มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติพระกรรมฐานครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย MStepnana, 20 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. MStepnana

    MStepnana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    สวัสดีครับสมาชิกเว็บพลังจิตทุกๆท่านนะครับ พอดีผมมีปัญหาเรื่องการฝึกกรรมฐานอยากสอบถามผู้รู้สักนิดครับ ผมขอเปรยเรื่องไว้ก่อนนะครับ คือผมมีความคิดว่าจะบวช จึงหมั่นศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาได้ไม่นาน ก็มาจบที่คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ คัมภีร์วิสุทธิมรรคครับ ผมได้ฝึกอานาปานสติมาได้สักพักละครับ แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยสงบเลยครับ คือมีอาการอย่างนี้นะครับ พอเวลาที่ผมบริกรรม ไม่ว่าจะเป็น พุท-โธ ยุบหนอ-พองหนอ หรือนับก็ตาม จิตมันจะซ่านๆไปหมด แต่เมื่อไม่บริกรรมกับรู้สึกว่าจิตค่อนข้างที่จะซ่านน้อยกว่า แต่ก็ซ่านอยู่ดี
    ทีนี้มาวันหนึ่งขณะที่ฝนตกแล้วไฟดับ ผมได้จุดเทียนและลองเพ่งเทียนดู รู้สึกว่ามันสงบรู้สึกว่าเห็นภาพนิมิตของเปลวเทียนติดอยู่ในความทรงจำนานมาก แต่ผมไม่ได้บริกรรมนะครับ แต่จิตมันไม่ซ่าน มันไปอยู่ที่นิมิตอย่างเดียวเลย แต่พอดีผมเห็นว่ากสิณนั้นค่อนข้างมีโทษมากถ้าจะปฏิบัติด้วยตัวเองเลยไม่ปฏิบัติต่อ
    ต่อมาผมได้ฟังเพลง ตราบลมหายใจสุดท้าย ปรากฏว่าขณะที่ mv มีการแสดงการเน่าเปื้อยของซากศพ ผมจำติดตาเลยครับ ผมขอใช้คำว่าจำติดตา พอนึกถึงภาพนั้นก็ขึ้นมาเลย
    บ้านค่อนข้างเคร่งเรื่องนี้เพราะที่บ้านจะติดไปทางโลกสะมากกว่าผมเองก็เช่นกัน แต่มีเรื่องให้ประสบทุกข์ ทุกข์มากๆจนตัดสินใจว่า ใช่เวลา 18.00 น.-24.00 น. ในการปฏิบัติธรรมและเรียนรู้คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะผมถือว่าการบวชเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับชีวิตของผม
    จึงขอท่านผู้รู้ช่วยตอบคำถามนี้หน่อยนะครับ
    1. เราสามารถที่จะฝึกอสุภะกรรมฐานกับอานาปานสติไปพร้อมกันได้ไหมครับ หมายถึงแบ่งช่วงนะครับ ชัวโมงนี้ฝึกอานาปานสติ เดินจงกรม อีกชั่วโมงหนึ่งฝึกอสุภะกรรมฐาน
    2.ผมมีแต่ครูเทปกับครูตำราเท่านั้น เพราะที่บ้านไม่ค่อยได้สนใจในการปฏิบัติธรรมสักเท่าไหร ถ้าผมไปปฏิบัติก็อาจโดนว่ากล่าวได้จึงกลัวว่าจะเป็นบาปติดตัวพวกท่านปล่าวๆ คำถามคือ ผมสามารถฝึกเองโดยไม่ต้องมีอาจารย์ได้ไหมครับ ศึกษาเอาจากตำราหรือเทปจากอาจารย์ทั้งหลาย
    3.ที่ผมบอกว่าผมจำภาพอสุภะติดตาเวลาที่ผมคิด ภาพนั้นก็ปรากฏโดยทันที คือมันทำให้ผมอยากอาเจียน แต่ในขณะเดียวกันก็ปลงกับมัน บางครั้งเห็นผู้หญิงสวยๆภาพนั้นก็ปรากฎขึ้นมาทันที อาการอย่างนี้เป็นอาการของจิตคิดไปเองใช่ไหมครับ
    4.กสิณสามารถฝึกเองได้ไหมครับโดยฟังจากครูเทป อ่านจากครูตำรา
    5.ท่านมีอุบายในอานาปานสติไหมครับ บางท่านก็บอกให้เพ่งพระพุทธรูปบ้าง หรือบริกรรมคำอื่นๆบ้าง
    ที่ผมถามนี้คือ ผมยังไม่ได้ฝึก กสิณและอสุภะ อย่างแท้จริงและเป็นทางการนะครับ แค่อยากสอบถามให้แน่ใจว่าเราสามารถฝึกเองได้ไหมแล้วฝึกคู่ไปกับอานาปานสติได้หรือปล่าวเท่านั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2018
  2. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    คำถามท่านเหมือน อ่านและฟังมาเยอะ แต่ไม่มั้นใจในการปฏิบัติครับ

    แนะนำให้หาครูบาอาจารย์ สอนจะดีกว่าครับ ตอนเริ่มต้นนั้นจะมีปัญหามากที่สุดครับ และหลงได้ง่ายมาก

    ช่วยตอบได้ตามประสพการณ์ของผมครับ อาจจะแตกต่างกันบ้างกับบางท่าน จะได้เป็นแนวทาง ให้ท่านได้อ่านได้ฟังจากหลายๆ ท่าน เพื่อจะได้ปรับให้ถูกกับจริตตัวเองครับ

    1. สามารถทำได้ครับ แนะนำเพิ่มครับ การฝึกอานาปานสติ ไม่จำเป็นเฉพาะช่วงเวลาก็ได้ เราสามารถฝึกได้ทั้งวันตลอดเวลา ช่วงที่เราว่าง เดินไปเรียน นั้งรอ นอนเล่น ยืนรอรถเมย์ นั้งในรถ กินข้าว เข้าห้องน้ำหนักเบา ทุกช่วงที่ว่างครับ มีคำภาวนาและรู้ลมหายใจได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องนั้งหลับตาอย่างเดียวถึงจะทำได้ ค่อยๆฝึก สติจะดีมาก หากถึงขั้น ทรงฌานได้ยิ่งดีครับ หลวงพ่อฤษี ท่านเรียกว่า ฌานใช้งาน ฌาน 1 และ ฌาน 2

    ส่วนอสุภะกรรมฐาน เบื้องต้นอาจต้อง นั้งแบบเป็นทางการไปก่อน เมื่อชำนาญแล้ว จะพิจารณาตอนไหนได้ตลอด 24 ชม. ครับ

    2. เริ่มฝึกใหม่ แนะนำให้หาครูบาอาจารย์ครับ จะช่วยได้เยอะมาก ด้นเองจะมีปัญหาเยอะครับ อาจหลงได้ง่าย

    3. อันนี้คงเป็นของเก่าติดมาเยอะครับ เมื่อได้มาแบบยังไม่ชิน แนะนำให้ฝึกแบบเป็นทางการครับ ต้องหาครูบาอาจารย์ กำกับด้วย จะใช้ได้ดีคล่องกว่าครับ ผมไม่ค่อยมีประสพการณ์ ด้านอสุภะกรรมฐาน เท่าไหร่ รบกวนรอท่านอื่นตอบให้จะดีกว่าผมมากครับ

    4. กสินฝึกเองก็ได้ครับ ตามตำรา ตามเทปหลวงพ่อฤษี ในยูทูบเยอะครับ แต่ ต้องมีปัญญาในการดูนะครับ ว่า เป็นจิตนาการหลอกตัวเอง หรือของจริง อย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่ได้ครับ จริงๆ แนะนำหาครูบาอาจารย์สอนดีที่สุดครับ

    5. ตอบให้แล้วในข้อ 1. ครับ

    อย่าพึ่งเชื่อผม ให้รออ่านของท่านอื่นก่อนนะครับ แล้วค่อยวิเคราะห์ เปรียบเทียบ จนกว่าท่านจะแน่ใจ ผมอาจจะพูดผิดก็ได้ ใช้หลัก กาลมาสูตร นะครับ ข้อนี้ก็สำคัญ

    เจริญในธรรมครับ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ฝึกอะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่จริตนิสัย แต่ประเด็นที่สำคัญคือที่เป็นคำสอนสูงสุดที่ควรจะไปให้ถึงเป้าหมายคือ "การหาอารมณ์มิได้ นั่นคือที่สุดแห่งทุกข์" กรรมฐาน คือ ฐานแห่งการเรียนรู้กรรม เรียนรู้และเข้าใจอารมณ์กรรม กฎแห่งกรรม ที่สำคัญจะต้องมีสัมปชัญญะในทุกกองกรรมฐานที่จะฝึกค่ะ และสิ่งที่ควรระมัดระวังก็คือ "การเพ่ง" ค่ะ ให้หมั่นคอยสังเกตุสภาวะของการเพ่ง และ สภาวะของการรู้ คือ ที่มีผู้รู้อยู่ หรือผู้เห็นอยู่ กับสิ่งที่ถูกรู้ค่ะ แตกต่างกันอย่างไร? ไมว่าจะเป็นกรรมฐานกองไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้นค่ะ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เด่วช่วยแนะ แบบฟังหูไว้หู้เน้อ...
    บอกอะไรไว้ก่อน ท่านที่น้อง นับถือ
    ที่สุดแล้วเรื่องการสอนกรรมฐานพิเศษในปัฐพีนี้
    ทริคอยู่ตรง เวลาที่ท่านพูดเสียงโทนเดียว เรียบๆง่ายๆ
    ตรงนี้หละที่สำคัญ และท่านห้ามอะไร เตือนอะไรอย่าทำ....
    ถ้าสนใจจริงๆและจะฟังเทป ให้ไปฟัง
    ตอนปฏิสัมภิทาญานนะ ถ้าไปฟังกสิณ ๑๐ จะยังไม่คลอบคลุม
    ให้ฟังประมาณ ตอนที่ ๓ และ ๔ แล้วสังเกตุอย่างที่บอก
    จะพอเข้าใจอะไรๆได้เอง

    ทั่วๆไปนะ ถ้าจะให้แนะนำเรื่องกสิณนะ
    ถ้าเรื่อง กสิณน้องพอฝึกได้
    แต่จะบอกว่า กสิณไฟ เป็นกองที่จิตเราอ่อนที่สุด
    พูดง่ายๆ ว่าถ้าขึ้นด้วยกองนี้ โอกาศจะสำเร็จ
    ถึงขั้นใช้งานได้จริง คงอีกยาวไกลนั้นเอง
    ในบรรดากสิณกลางทั้งหมด ถ้าสมมุติน้องจะฝึกกสิณ
    ควรขึ้นด้วย อากาศ หรือ ดิน นะครับ ส่วนกสิณสี
    ไม่ต้องเพราะอ่อนกว่ากสิณกลางอีก....
    พูดง่ายๆถ้าเผลอไปขึ้นด้วยกสิณสี ยิ่งเสียเวลามาก
    กว่าขึ้นด้วยกสิณไฟอีกนั่นหละครับ

    โหมดนี้เล่าให้ฟังแบบฟังหูไว้หูอีก เล่าให้ฟังเล่นๆ
    ที่เรารู้สึกว่าปลงๆเกี่ยวกับภาพอสุภะอะไรนั้น
    เพราะว่าจิตในอดีตในอยู่ในระดับที่เคยใช้งานได้
    เกี่ยวกับเรื่องอสุภะมาก่อน พูดง่ายๆว่า เคยได้กองนี้
    มาก่อนนั่นเอง(น้องลองดูเล่นๆนะ ถ้านึกภาพพวกนี้
    น้องจะสามารถผลักภาพพวกนี้ ผ่านออกทางเหนือระหว่างคิ้ว
    น้องจะรู้สึกว่า ภาพจากกรรมฐานกองนี้ทำไมมันออกไป
    ปรากฏอยู่บนอากาศได้นั่นหละ)
    พอมาปัจจุบัน ด้วยที่เคยฝึกสมาธิมาบ้าง พอจะเห็นอุคหนิมิตบ้าง
    เวลาภาพมันขึ้นมา พอเราหายใจเข้า
    แค่เกือบถึงหน้าอก(สังเกตุดีๆ)
    มันจะมีคล้ายๆลมหมุนย้อนเข้าตัวและหยุดตรงหน้าอก
    แล้วมันไปกดตัวจิตที่กลางลิ้นปี่ เราเลยจะรู้สึกสะอิดสะเอียน
    หรือรู้สึกปลงๆนั่นหละ ตรงนี้เล่าให้ฟังเล่นๆ
    ลองไปสังเกตุดูได้ เล่าให้ฟังเฉยๆเน้อ........


    ข้อแนะนำ อย่าพึ่งไปสนใจเรื่องอาปาฯอะไรในเชิง
    เทคนิควิธีการอะไรนะ.....แต่ให้ปรับระบบหายใจ
    ตัวเองใหม่ ด้วยการระลึกรู้ลมเข้าและออก ให้หยุด
    ที่ปลายจมูกก็พอ และสายตาปกติให้มองที่ลิ้นปี่
    เพื่อตัดการไปดึงระบบความคิดที่สร้างจากสมอง
    ถ้าหลับตานะ แต่ถ้าลืมตาให้มองวัตถุนั้นๆ แล้วละสายตา
    เพื่อให้ภาพไปปรากฏบนอากาศแทน ที่สำคัญ
    คือสายตาต้องนิ่งๆ ห้ามขยับซ้าย(เพราะมันจะดึงเรื่อง
    ราวในอดีตขึ้นมาให้เรานึกทันที) และห้ามขยับไปทางขวา
    (เพราะมันจะทำให้เรานึกเรื่องใหม่ๆขึ้นมาทันที) แต่ให้หายใจทั้งเข้าและออกให้ลึก
    ถึงท้อง คือ หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ
    แต่ ห้ามๆ ย้ำว่า ห้ามไปตามลมหายใจเป็นอันขาด
    เพราะมันจะทำให้เราแป๊กที่ระดับปฐมฌาน only ไปต่อไม่ได้
    ทำระบบหายใจแบบนี้ให้ได้ก่อน อันดับแรก
    เรื่องอื่นๆอย่าพึ่งสนใจ เพราะตรงนี้คือ
    เบสิคเอนจิเนียริ่ง ถ้าพื้นฐานตรงนี้ไม่ได้
    อย่าไปหวังว่า จะฝึกกรรมฐานกองอื่นๆได้สำเร็จ...
    เข้าใจเนาะ อย่าคิดว่ามันไม่เท่ห์อะไร
    พื้นฐานแน่น ต่อไปฝึกอะไรมันจะง่ายเอง จบ......


    ถ้าจะฝึกกสิณ ให้ตั้งเป้าหมายไว้ดังนี้
    ๑.ฝึกเพื่อเรียกของเก่าขึ้นมา
    ๒.เพื่อใช้งานที่เป็นประโยชน์ทางธรรม
    และผู้อื่นๆโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
    ถึงจะมีโอกาสเข้าถึงผลสำเร็จได้ และใช้งานได้จริง
    ไม่งั้น มันจะกลายเป็นแค่ หล่อในระดับนิมิต
    แต่ใช้งานจริงอะไรไม่ได้ อาจจะทำให้เราติดหล่อ
    หลงตัวเอง หรือบ้าพลังไปวันๆ...เข้าใจนะ..

    อสุภะช่วยหนุนให้จิตปล่อยวางได้ง่าย
    พูดง่ายๆ ทำให้เราไม่เป็นพวกหื่นกามนั่นหละ
    ทำให้ตัดเรื่อง การแสดงก้ามเพื่อเรียกร้อง
    ความสนใจให้สาวๆมาสนใจเรา
    แต่ถ้ามีคนมาชอบ ก็ให้เฉยๆอย่าไปให้ความสำคัญ
    ตรงนี้เป็นข้อดี
    ดังนั้นไม่ต้องไปฝึกอะไรมันอีกกับกรรมฐานกองนี้
    เพราะมันอยู่ในระดับที่ใช้งานได้แล้ว เข้าใจที่พูดนะ.......


    แต่ถ้าจะฝึกกสิณนั้น มันจะไปได้ ๓ ทาง
    ๑. ปั่นปฎิภาคนิมิต ในกำลังระดับสูง
    เราจะได้กำลังจิตใช้งาน ได้ภูมิต้านทานทางจิต
    และเล่นกับพลังงาน
    ได้ทั้งภายในและภายนอก......
    ทริคอยู่ตรงเข้าอุคหนิมิตให้ได้ แต่อย่าไปพยายาม
    รักษาให้อยู่นาน ให้เข้าและออกให้ได้บ่อยๆ
    มันจะมีกำลังไปถึงระดับปฎิภาคนิมิตได้เอง
    แล้วค่อยไปหาระยะเพื่อเกรงกล้าม ปั่นปฏิภาค
    นิมิต ให้มันหมุนด้านซ้ายให้ได้(ย้ำว่าด้านซ้าย)
    ด้านขวาหมุนไปแค่นั้น มันเบสิค ทำได้ก็ไม่มีประโยชน์
    แต่ต้องจำให้มั่นว่า ในระหว่างทาง
    หากพบเจอกิริยาใดๆ ระหว่างทาง และพบเจอท่านใดก็ตาม
    เมืองใด ที่ใด ก็ตาม และไม่ว่าจะเกิดเครื่องรู้อะไรก็ตาม
    เจอสภาวะที่พิศดารระดับโลกแค่ไหนก็ตาม
    ห้ามๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    และก็ห้ามๆๆๆๆๆๆๆ สนใจทุกๆกรณี
    จนกว่าจะใช้งานได้ เพราะถ้าไปสนใจคือเราพลาด
    ที่เค้าป่วงๆกัน ที่บ้าๆพลังกัน ที่หลงตัวเองกัน
    ที่ยึดติดกัน ที่คิดว่าตนบรรลุกัน ที่คิดว่าตนเก่งกว่าใครนั้น
    ที่คิดว่าตนวิเศษนั้น ที่คิดว่าตนเป็นยอดนั้น ที่ไปทางดูดวงนั้น
    แต่อ้างครูบาร์อาจารย์ นั้นเพราะติดกิริยาระหว่างทางนั้นหละ
    จริงๆแล้ว ยังใช้งานอะไรไม่ได้หรอก ไม่มีกำลังจิตอะไรหลอก
    แต่จะเป็นอย่างที่เล่าให้ฟัง อย่างคาดไม่ถึง
    *** ท่านที่น้องนับถือ ท่านก็บอกไว้แล้วนะ สังเกตุ
    ในเทปคำสอน ท่านจะเน้นเรื่องนี้ตลอด ****
    ๒.อฐิษฐานจิตในกำลังระดับสูง เพื่อหวังผลทางด้านพิเศษ
    แต่ต้องรู้จักเรื่องการวางอารมย์และฉลาดในการอฐิษฐานจิต
    ถ้าไม่เข้าเรื่องนี้ ก็อย่าไปฝึกเลย เพราะค่อนข้างยาก
    ที่ทำได้ จะเป็นระดับครูบาร์อาจารย์ที่เรานับถือนั่นหละ
    เช่น อฐิษฐาน น้ำเป็นน้ำ อะไรประมาณนี้ ระดับท่าน
    หายใจพรวดเดียว อย่างๆเราๆทำก็เป็นหลักครึ่งชั่วโมงหละ
    ถือว่าเก่งแล้ว ดังนั้นวางไว้ก่อนดีกว่า
    ๓. ทิ้งภาพนิมิต และก็ดึงขึ้นมา และก็ทิ้งอีก เพื่ออะไร
    เพราะถ้าทิ้งภาพแล้วไม่ดึงขึ้นมาและทิ้งอีก
    กำลังจะไม่พอไปต่อในระดับอรูปฌานนั่นเอง
    ถ้าจะวิปัสสนาในระดับนี้ ก็ต้องวางอารมย์ไว้ก่อนให้เป็นเช่นกัน
    วางอารมย์คือ (จะพิจารณาเรื่องอะไร ให้นึกๆไว้ระหว่างวัน
    พอถึงสภาวะมันจะผุดขึ้นมาเองตามลำดับ ถ้าไปนึกๆตอนนั้น
    จะหลุดจากอารมย์และกลายเป็นวิปัสสนึกทันที เข้าใจเนาะ)
    ผลคือ จิตจะไปได้ ระหว่างอรูป ๑ ถึง ๓ คือใช้งานได้
    เพราะฐานกำลังมันเท่ากัน ส่วนขั้นสุดท้าย
    จะทำได้ คือ ต้องทิ้งทั้งหมดถึงเข้าได้ เพราะมันฝึกเอาไม่ได้
    ใครบอก ฝึกเอาได้ ให้นึกไว้ก่อนว่า อ่านตำราหรือโม้แน่ๆ
    ให้พิสูจน์ด้วยการให้เรียกพลังงาน เล่นกับพลังงาน
    ให้ดูไม่ว่า ภายนอก ภายในหรือพลังงานกสิณทุกกอง
    ให้ดูได้ ถ้าทำไม่ได้แสดงว่า มาทางตำรา เป็นหลักสังเกตุ

    กรรมฐานพิเศษ ถ้าจะสำเร็จได้ เราควรมีปฏิทานที่
    ไม่เป็นไปเพื่อตัวเอง รู้จักเสียสละตนเอง
    รู้จักการทำบุญไม่หวังผลตอบแทน รู้จักการเป็นผู้ให้
    รู้จักทำดีลับหลัง รู้จักการทำดีทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง

    เพราะกรรมฐานเวลาฝึกมันเป็นนามธรรม
    เวลาจะใช้งาน มันจะพลิกจากนามธรรมเป็นรูปธรรม
    เราจะต้องผ่านการทดสอบเรื่องความเฉลียวในการ
    ใช้งานและผ่านการทดสอบเรื่องความตาย
    ซึ่งมันจะบอกถึงนิสัยๆลึกๆเรา ซึ่งจะแสดงเจตนา
    ที่แท้จริงในการใช้งานของเรา ตรงนี้จะมีระบบภาคทิพย์
    หรือภพภูมิมาทดสอบจิตใจเรา
    ถ้าผ่านตรงนี้ ซึ่งปกติต้องหลายสิบครั้งหน่อย
    พอผ่านได้ เราจะพลิกขึ้นมาใช้งานเหมือนๆเรื่องปกติทั่วไป
    และหากปฏิทาน เราดีจริง ไม่ต้องกลัวไม่มีใครมาสอนหรอก
    ท่านๆรู้ดี ว่าใครควรสอนไม่ควรสอน...พอเข้าใจเนาะ......

    ปล.ย้ำว่า ฟังหูไว้หูเน้อ เป็นแนวทางหนึ่งให้ตัดสินใจ
    ดียังไงถ้าทำได้ ด้วยพื้นฐานกำลังที่สูงกว่า
    มันจะทำให้ความเข้าใจนามธรรมเราดีกว่าปกติ
    ซึ่งมันจะเอื้อสำหรับการไปต่อในเรื่อง ปัญญาญาน
    หากเรามาหัดเจริญสติ สังเกตุเหตุการเกิดและดับเพิ่ม
    เติมขึ้น จิตเราก็จะคลายตัวได้นานขึ้น
    สิ่งที่เราทำได้ มันก็จะมีแต่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
    ไม่มีเสื่อม พร้อมการพัฒนาคุณภาพจิตเราไปในตัว
    *** ให้ความเคารพนับถือทุกภพภูมิ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    อย่าหวังหรือคาดหวังว่า เวลาไปไหนจะได้รับการยอมรับ
    ด้วยหมายว่าเรามีอะไรพิเศษกว่าใครเค้า
    หลีกเหลี่ยงที่ๆส่งผลให้จิตเราไม่สงบ
    ไม่สร้างเหตุให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง....
    เมตตาควรสร้างจากภายในไปภายนอก
    ไม่แยกแยะ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่เลือกข้าง
    และให้ระวัง การเผลอไปดึง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    จนเข้ามาเป็นกิเลส และกลายเป็นตัวตนของเรา ***
     
  5. MStepnana

    MStepnana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ขอบพระคุณมากครับสำหรับคำตอบ
     
  6. MStepnana

    MStepnana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ขอบพระคุณมากครับสำหรับคำตอบ
     
  7. MStepnana

    MStepnana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ขอบพระคุณมากครับสำหรับคำตอบ ละเอียดมากๆครับ เดียวจะลองไปฝึกปฏิบัติดูครับ พร้อมกลับย้อนไปฟังเทปเก่าๆ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้ละเอียดมากขึ้นครับ
     
  8. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ทั้งหนังสือทั้งเทสนาของหลวงพ่อได้บรรยายไว้ดีแล้วนะครับและหลายๆท่านก้ได้ให้ความเห็นไว้มากแล้ว
    ขอยกธรรมง่ายๆนะครับ อิทธิบาทธรรมและอทิบายสั้นๆ

    1ให้ใช้ฉันทะในการภาวนา พอใจในการกระทำสิ่งใดไว้ในใจให้เริ่มที่สิ่งนั้นก่อนครับเพื่อให้เกิดปิติ สุขได้ง่าย วิตกและวิจารท่านนั้นคงทราบดีว่าเป็นคำที่ภาวนาและภาพที่ท่านจับไว้ในใจ

    2ให้ใช้วิริยะในการภาวนา คือความเพียรพยาม ในการภาวนามีขันติอดทนต่อทุขเวทนาทางกาย อดทนต่อความท้อถอย

    3ให้ใช้จิตตะในการภาวนา คือมีความตั้งมั่น มีความตั้งใจที่จะภาวนาสิ่งอื่นใดให้ละวางลงเสียก่อน ความคิดอื่นใดให้หมายไว้ว่าละลงเสียก่อนให้ตั้งใจลงในภาวนาที่ตนตั้งจิตไว้ครับ

    4วิมังสาให้ท่านภาวนาด้วยการไตร่ตรองตรวจสอบว่าสิ่งที่ภาวนาอยู่อยู่ในภาวนาหรือไม่หรือสัดส่ายไปในสิ่งอื่น ให้ท่านตรวจสอบว่ายังคงวิตกวิจารในสิ่งที่ภาวนาหรือไม่

    เมื่อจิตมีฉันทะในกองใดใจย่อมเกิดปิติและสุขโดยง่ายมีความพยามด้วยขันติและตั่งมั่นด้วยตรวจตราในวิตกวิจารว่าอยู่กับสิ่งที่ภาวนาหรือไม่ครับการเข้าสู่ความสุขและสงบย่อมทำได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2018
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    ถาม : สมัยที่หลวงพ่อท่านอาพาธอยู่ที่ศิริราช มีอยู่คนหนึ่งเขาไปหาหลวงพ่อ ?
    ตอบ : พวกที่ตายโหงนี่ บางรายก็เป็นพวกที่หมดอายุ แต่ส่วนใหญ่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์นี่ยังไม่หมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วก็ไปรับบุญรับบาปได้ทันที อีกอย่างคือว่าถ้ากำลังบุญมากก็ไปรับส่วนดีเลย ทำบาปมากสูงมากก็ลงไปรับกรรมเลย ไม่ผ่านการตัดสิน พวกผ่านการตัดสินนี่มันกระดำกระด่างจะดำก็ไม่ดำ จะขาวก็ไม่ขาว แต่ว่าพวกผ่านการตัดสินนี่ยังโชคดีนะ โอกาสรอด ๘๐% เพราะว่าพระยายมท่านจะถามละเอียดจริง ๆ ถามนิดถามหน่อยถามล้วงไปเรื่อยมันจะต้องทำดีซะอย่างหนึ่งล่ะ แล้วท่านก็จะส่งไปรับความดีก่อน ทีนี้ถ้าทำดีเล็กน้อยมากอย่าง สุปติฏฐิตเทพบุตร อย่างนี้นี่มัวแต่ไปเพลินกับความดีอยู่ หมดบุญทีนี้ล่ะโดนเต็ม ๆ
    ถาม : อย่างเวลาเช้า ๆ เราแผ่เมตตาตามแบบหลวงพ่อนี่มีอานิสงส์อย่างไรบ้างคะ ?
    ตอบ : อันดับแรกของเรา ๆ จะได้ปัตติทานมัย เป็นการทำบุญประเภทหนึ่ง การทำบุญมี ๑๐ ประเภท ๆ สุดท้ายนี่จะเป็นของกำไรโดยตรง เขาเรียกทิฎฐุชุกัมม์ มีความเห็นถูกว่าพระพุืทธเจ้าสอนดี เราจะทำตามอันนี้ได้กำไรแน่ ๆ
    นอกนั้นก็มีทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล ภาวนามัย บุญเกิดจากการทำสมาธิภาวนา ๓ อย่างนี้จะเป็นบุญใหญ่ที่สุด แล้วหลังจากนั้นจะยังมีบุญเล็ก ๆ ซึ่งจะเรียกว่าเล็กก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าเล็กของช้างมันก็ใหญ่ของมดน่ะ บุญเล็ก ๆ ก็ยังมีอปจายนมัย อ่อนน้อมถ่อมตนกับคนอื่น คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนมา เราเห็นก็เย็นตาเย็นใจเกิดความรักความเมตตาเขาใช่มั้ย ? ตัวนี้มันก็ทำให้คนนอบน้อมถ่อมตนเขาได้บุญ ต่อมาก็ปัตติทานมัย ทำบุญแล้วตั้งใจนอบน้อมให้คนอื่นเขา ตัวเราจะทำได้สำเร็จก็ยากแล้ว อุตส่าห์แบ่งปันให้คนอื่น ถ้าจิตไม่ได้ประกอบด้วยความรักความเมตตาจริง ๆ มันก็จะให้เขาไม่ได้
    ในเมื่อให้เขาได้ผลบุญของเรามันก็จะเพิ่มขึ้น ปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในความดีที่คนอื่นทำ ปกติมันคอยจะอิจฉาเขา แต่อันนี้มันคอยยินดีจริง ๆ ได้บุญจริง ๆ ใช่มั้ย ? ธัมมัสสวนมัย นำไปปฏิบัติ ธัมมเทสนามัย ได้ผลแล้วกลับไปสอนเขาต่อ พวกนี้เขาเรียก บุญกิริยาวัตถุ สิ่งที่ทำให้เกิดบุญ ทำแล้วเป็นบุญเป็นกุศล ทีนี้ของเราที่ว่าตั้งใจอุทิศให้คนอื่นเขา มันก็จะเป็น ปัตติทานมัย ก็คือว่า บุญที่ได้จากการตั้งใจทำความดี แล้วแบ่้งให้คนอื่นเขาไป
    ถาม : ทำตามหลวงพ่อตอนเช้า ๆ หลวงพ่อจะนำแผ่เราก็พยายามทำตาม ?
    ตอบ : มันเป็นวิธีการที่จะได้บุญ อย่างของเรานั่งอยู่คนอื่นเขาถวายสังฆทานเราก็สาธุ มันก็ได้ไปด้วยใช่มั้ย ? มันเป็นวิธีการทำบุญที่ง่าย แต่ในขณะเดียวกันที่คนที่ทำไม่ได้ กำลังใจไม่ถึงมันจะทำอะไรกันนักหนาวะ เดี๋ยวทำ ๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ได้แล้วกำลังใจยังเศร้าหมองไปด้วย
    ถาม : มีพระองค์เล็ก ๆ อยู่หลายองค์ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
    ตอบ : แค่คำว่าเล็กน้อยนี่เราก็เจ๊งแล้ว ถ้าหากว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้าคำว่าเล็กน้อยไม่มีสำคัญสุด ๆ ทั้งนั้นเลย ถ้ามีมากเกินไปดูแลไม่ทั่วถึง ควรจะทำอย่างไร ?
    หากล่องหาอะไรใส่รวม ๆ กันเอาไว้ให้ดีให้เหมาะสม แล้วเอาขึ้นบูชา ต่อไปอย่าใช้คำว่าเล็กน้อยกับพระนะ เดี๋ยวเจอข้อหาปรามาสพระรัตนตรัย
    สมัยหลวงปู่ปาน ท่านสร้างพระคำข้าวองค์หนึ่งหน้าตัก ๕ นิ้ว ตั้งโต๊ะบวงสรวงชุดใหญ่เลย ทำพิธีบวงสรวง หลวงพ่อก็บอกว่าทำไมแค่พระองค์เล็ก ๆ แค่นี้ต้องตั้งเครื่องบวงสรวงเต็มพิธีชุดใหญ่ขนาดนี้ด้วย หลวงปู่บอกว่า คำว่าพระพุทธเจ้ามีเล็กเหรอ ? หลวงพ่อบอกได้ยินแล้วตกใจ แสดงว่าจิตเราหยาบไปหน่อยใช่มั้ย ? เห็นพระพุทธเจ้าเล็กน้อย จำไว้นะคำว่าเล็กน้อยไม่มี พุทโธ อัปปมาโน ธัมโมอัปปมาโน สังโฆอัปปาโน คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่สามารถจะประมาณได้
    มีลูกศิษย์หลวงพ่อสดวัดปากน้ำได้พระสมเด็จของ ขวัญไปองค์กระจิ๋วหนึ่ง นั่งมอง ๆ มันไม่ถูกใจน่ะ องค์กระจิ๋วหนึ่ง องค์แค่นี้จะคุ้มครองเราได้เหรอ ปรากฎกลางคืนนอนหลับไปฝันเห็นพระสมเด็จวัดปากน้ำองค์ของขวัญนั่นแหละลอยมาโต ขึ้นจนใหญ่จนเต็มจักรวาลเลย แล้วถามว่าแค่นี้พอมั้ย ? (หัวเราะ) สะใจมั้ย ? พุทโธอัปปะมาโน จำไว้คุณพระพุทธเจ้าประมาณมิได้
    ถาม : การถวายสังฆทาน ถ้าเราเอาพระองค์ขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก คุณภาพจะเหมือนกันมั้ยครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าจะเอาอานิสงส์กันจริง ๆ พระที่ถวายสังฆทานหน้าตักไม่ควรต่ำกว่า ๔ นิ้วแต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจถวายแล้วเป็นองค์น้อย อันนั้นเราจะได้อานิสงส์เป็นพุทธบูชา คือเราได้สร้างพระขึ้นมาองค์หนึ่ง
    หลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัว ท่านสร้างพระสร้างเอา ๆ องค์เล็กองค์ใหญ่เต็มไปหมด ท่านบอกว่า อานิสงส์ ของการสร้างพระพุทธรูปไม่ว่าองค์โตเท่าภูเขาหรือองค์เล็กเท่าใบหญ้าคา เกิดมากี่ชาติก็จะเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยเดชอำนาจไม่รู้จักจบจักสิ้น พุทธบูชามหาเตชะวันโต เพราะฉะนั้นจะองค์เล็กองค์ใหญ่ก็แล้วแต่ ขอให้เป็นพระพุทธเจ้าเถอะ อานุภาพไม่สิ้นสุดหรอก
    ถาม : อย่างบางทีมันขี้เกียจทีนี้เราพยายามแล้วน่ะค่ะ .....?
    ตอบ : ก็เลิกขี้เกียจ สังเกตดูว่าธรรมะบางส่วน เราพยายาม วันก็แล้ว เดือนก็แล้ว ปีก็แล้วมันก้าวพ้นไม่ได้ อันนั้นห้ามขี้เกียจนะจ๊ะ ต้องทบทวนแล้ว ทบทวนอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ย่ำอยู่กับที่เดิมให้มันชำนาญไปเลย อัน นั้นแสดงว่าสติปัญญาของเรามันยังไม่เพียงพอ ถ้าหากว่าสติ สมาธิ ปัญญามันเพียงพอ เราจะก้าวพ้นตรงจุดนั้นได้ เราต้องหาความชำนาญไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะพอ ถ้าภาษานักปฏิบัติเขาจะบอกว่า วาระมันยังมาไม่ถึง
    มันเหมือนกับต้นไม้ เราปลูกมันแล้วมันยังไม่ออกดอกออกผลซักที เราจะขี้เกียจไม่ดูแลมันจะไม่ได้ ต้นไม้มันจะตาย เราต้องดูแลมันต่อไป ถึงวาระ ถึงเวลาที่สมควรดอกผลมันจะออกมาเอง เพราะฉะนั้นยิ่งไม่ได้นี่ยิ่งต้องขยัน
    ถาม : อย่างเราปฏิบัติแล้วเราไม่รู้ว่าเราควรจะทำแบบไหนจึงจะตรงกับจริตของเรา ?
    ตอบ : แบบไหนจะตรงกับจริตของเรานี่หาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของ หลวงพ่อมา อ่านแล้วชอบตรงไหนก็ทำตรงนั้นเลย ทำกองนั้นกองเดียว หัวข้อนั้นหัวข้อเดียว เอาให้มันได้จริง ๆ ไปเลยอย่าไปเปลี่ยนใหม่ ถ้าหากว่าเราทำ ๆ ไปแล้วมันยังไม่ได้ เราไปท้อแล้วไปเปลี่ยนใหม่ทำ ๆ ไปยังไม่ได้ ท้อแล้วเปลี่ยนใหม่ อาตมาเปรียบว่ามันเหมือนยังกับว่าขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ ขุดลงไป ๓ เมตร ๕ เมตร ถ้าเกิดน้ำมันอยู่ ๒๐ เมตรอย่างนี้ เรารู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อแล้วไปเปลี่ยนใหม่ ไปขุดอันนั้น ๓ เมตร ๕ เมตรแล้วเมื่อไหร่มันจะได้ล่ะ
    เพราะฉะนั้นมันจะต้องประเภทต้องตั้งหน้าตั้งตาทำไป ได้สักหัวข้อหนึ่งแล้วอันอื่นมันจะง่าย เพราะว่ากำลังมันเท่ากัน มันแค่เปลี่ยนวิธีการเท่านั้นเอง
    เมื่อวานนี้พี่ชายเขามา พี่ชายคนนี้ก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติธรรมะแข็งขันมาก ตั้งใจอย่างเดียวว่าจะไปนิพพาน ครอบครัวก็ไม่มีแล้ว อีตอนนี้ก็มีเมีย ๑ มีลูก ๓ เรียบร้อยไปแล้ว เขามาถามว่าเขาปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้าจะทำอย่างไร ? ก็บอกว่าพี่ก็ทำอย่างที่อาตมาเคยทำนั่นแหละ
    สมัยก่อนพี่ว่าอาตมาบ้าอย่างไรก็บ้าอย่างนั้นล่ะ แล้วมันก็จะได้เอง พูดง่ายนะ แต่ตอนทำมันเหนื่อยก็ท้อเหมือนกันเปรียบให้ฟัง ถ้ากลัวว่าจะผิดเอาศีลเป็นกรอบ ศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้
    ถ้าหากว่ายังอยู่ในกรอบของศีล การปฏิบัตินั้นไม่ผิดหรือว่าผิดก็ผิดน้อยเต็มที ในเมื่อมีศีลแล้วพยายามกวดศีลของเราให้บริสุทธิ์อย่าละเมิดศีลด้วยตัวเอง อย่ายุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำ อย่ายินดีเมื่อคนอื่นล่วงให้ศีลนั้นขาดลงในเมื่อเราทำละเอียดได้ถึงขั้นนี้ ศีลมันทรงตัว สมาธิก็จะตั้งมั่นได้ง่าย ปัญญาก็จะเกิด
    เพราะว่าจิตของเราถ้านิ่งนี่มันเหมือนน้ำที่นิ่งมันจะมองเห็นได้ เวลาชะโงกไปก็เห็นหน้าตัวเอง คราวนี้พอจิตมันนิ่งปุ๊บ ปัญญามันก็จะเกิด พอ ปัญญามันเกิดจะใช้ไปคุมศีลอีกทีหนึ่ง ในเมื่อยิ่งคุมศีลให้ละเอียด สมาธิก็จะตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิยิ่งตั้งมั่น ปัญญาก็ยิ่งเกิด มันจะไล่กวดไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดสุดท้ายของมัน เราก็จะก้าวข้ามในจุดที่เราต้องการได้
    ถาม : ถ้าใจเราอยากทำกสิณนี่ทำได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : ได้ทุกคน ถ้าใจรักอยากจะทำอดีตเคยทำมาแล้ว ทีนี้เราเอากสิณ ๑๐ กองนี่เอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อมา ตั้งใจจุดธูปบูชาหน้าพระรัตนตรัยต่อหน้าหิ้งพระของเรา กราบพระขอบารมีท่านสงเคราะห์ อธิษฐานว่ากสิณกองใดที่เราเคยทำได้แล้วในอดีตแล้ว ถ้าหากว่าทำในปัจจุบันนี้จะได้ผลเร็วที่สุดขอให้เราอ่านแล้วชอบกองนั้นมาก ที่สุดแล้วก็ไล่ไปเลย อาโลกสิณ อากาศกสิณ ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ โลหิตกสิณ ปีตกสิณ นีลกสิณ โอทาตกสิน พอครบ ๑๐ กองเสร็จแล้วชอบอันไหนมากที่สุดก็หาอุปกรณ์มาแล้วก็ทำ
    คราวนี้การทำกสิณนี่มันสำคัญอยู่ตรงที่ย้ำคิดย้ำทำ ยิ่งกว่าพวกโรคจิตอีก ก็คือว่ามันลืมตามอง หลับตาลงนึกถึงมันจะนึกได้แป๊บหนึ่ง พอภาพหายก็ลืมตามองใหม่ พร้อมคำภาวนาอยู่ตลอด คราวนี้พอเลิกจากตรงนั้นไปห้ามลืมนะ ต้องนึกถึงภาพนั้นอยู่เรื่อย ๆ นึกไปพร้อมกับคำภาวนาอยู่เรื่อย ๆ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งให้เขา อาจจะซัก ๓๐-๔๐% นึกถึงภาพนั้นพร้อมคำภาวนาตลอด ส่วนความรู้สึกอีก ๖๐-๗๐% ก็ทำหน้าที่การงานของเราไป
    ถาม : ต้องแบ่งอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ตลอดเวลาจนกว่าภาพนั้นเราจะลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น คราวนี้ก็คอยประคับประคองเอาไว้ให้ดี ถ้ามันหายไปรีบนึกขึ้นมาใหม่ หายไปรีบนึกขึ้นมาใหม่ไปเรื่อย ๆ สมาธิก็จะทรงตัว ตั้งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ ภาพนั่นก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จากสีเดิมก็จะจางลง ๆ เป็นสีขาว จากสีขาวก็กลายเป็นขาวทึบ จากขาวทึบก็กลายเป็นขาวใส จนกระทั่งสว่างเจิดจ้าเหมือนกับเรามองดวงอาทิตย์
    คราวนี้ลองอธิษฐานดูให้หายไปก็ได้ ให้มาก็ได้ หรือจะให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ คราวนี้อธิษฐานดูว่ามันจะมีผลตามนั้นมั้ย ? ถ้าเป็นอาโลกสิณ ก็สามารถทำที่มืดให้สว่างได้ สามารถเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้ ถ้าเป็นโอทาตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีขาวได้ สามารถเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ เป็นปีตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีเหลืองได้ สามารถทำของอื่นให้เป็นทองได้ โลหิตกสิณ ก็สามารถเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีแดงได้ นีลกสิณ ก็สามารถที่จะเปลี่ยนสีอื่นเป็นสีเขียวเป็นสีดำได้ หายตัวได้เหล่านี้เป็นต้น
    พอทำได้เต็มที่แล้วเราค่อยก้าวข้ามกองใหม่ก่อนจะจับกองใหม่ก็ซ้อมกองเดิมให้ เต็มที่ก่อน มันปุ๊บเดียวเท่านั้นเองนะ ถ้ามันได้คล่องตัวแล้วมันปุ๊บเดียวไม่ถึงวินาที สองวินาทีก็เต็ม แล้วเราก็จับกองอื่นต่อ
    ถาม : แล้วคำภาวนาจำเป็นมั้ยคะ ?
    ตอบ : จำเป็นเพราะว่าคำภาวนาพร้อมกับลมหายใจเข้าออกสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอานาปานี่กรรมฐานทุกกองได้ประมาณแค่อุปจารสมาธิเท่านั้นล่ะ ทรงฌานไม่ได้

    ถาม : ..............................
    ตอบ : ถ้ามันเต็มที่ของฌานมันก็จะได้ฌาน ๔
    ถาม : ความรู้สึกมันได้ขนาดไหน ?
    ตอบ : ถ้าภาพกสิณนั้นสว่างเจิดจ้าเหมือนกับเรามองกระจกสะท้อนแสดงอาทิตย์นั่นคือ ฌาน ๔ แล้ว ส่วนเรื่อง ๓ ฐาน ๗ ฐานอะไรนั่นไม่ต้องไปคิดถึง เพราะว่าถึงเวลาบางทีคำภาวนามันหายไปเฉย ๆ เราก็แค่กำหนดรู้ตามภาพมันเท่านั้นว่า ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้
    ถาม : จำเป็นต้องทำอานาปาด้วยเหรอคะ ?
    ตอบ : จำเป็นต้องใช้เลย กรรมฐานทุกกองอีก ๓๙ กอง ถ้าไม่ได้อานาปานสติควบด้วยอย่างเก่งก็ได้แค่อุปจารสมาธิ ชอบทำกสิณก็ดีเพราะว่ากสิณเป็นพื้นฐานของฤทธิ์ พอได้กสิณคล่องแล้ว ต่อไปเป็นสมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ นี่เรายกกสิณขึ้นมากองหนึ่ง แล้วเพิกภาพกสิณเสีย ทำอรูปฌานให้เกิด
    ถาม : ทำมาตอนนี้ตัวมันโยกไปมาแล้วสงสัยว่าทำไมมันถึงติดอยู่แบบนี้ ?
    ตอบ : ต่อไปลืมมันไปเลย ไม่ต้องไปสนใจมัน ตามรู้มันอย่างเดียว มันโยกก็ให้มันโยก จะเป็นจะตายหัวโขกพื้นอีท่าไหนหกคะเมนตีลังกาก็ช่าง อาตมาเองเฉพาะโยกนี่เดือนกว่า แต่ว่าน้ำตาไหลนี่เช้ายันเย็นเช็ดหน้าจนแสบไปหมด เพราะมันดันผ่าไปไหลที่สายลมพอดี ผู้ชายตัวเท่าควายนั่งร้องไห้ตรงหน้าพระ จะกลั้นมันไว้พอคิดจะกลั้นมันหยุดเลยนะ แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ได้นะลูกต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย เพราะถ้าไปกลั้นมันเอาไว้พออารมณ์ใจมันถึงทีตรงนี้ น้ำตามันจะไหลอีกก็เลยปล่อยมันเต็มที่ก็เช็ดไปเรื่อย คนโน้นมาก็ทิชชุ คนนี้มาก็ทิชชุ เช็ดไปเช็ดมาหน้าแสบหมด กว่าจะเลิกก็ ๕-๖ โมงเย็นโน่น
    ตอนนั้นหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพระนางเรือล่ม เสร็จแล้วมันเห็นภาพพอดี เพราะตอนที่เรือพระประเทียบล่มลงน่ะ ท่านว่ายน้ำออกมาแล้วหันกลับไปเห็นลูกไม่ได้มาร้องคำเดียวว่าลูก แล้วว่ายกลับมาไปควานไปหาอีท่าไหนไม่รู้ จมลงไปด้วย มันก็เลยน้ำตาไหลโจ๊ก เห็นชัด ๆ ว่าความรักของแม่ขนาดไหน ตัวเองตายก็ไม่ว่า ตั้งใจกลับไปเพื่อช่วยลูกอย่างเดียว เลยนั่งร้องไห้ น้ำตาไหลจ๊อก
    ตอนนั้นปีติมันเกิดขึ้นพอดี มันจ้องจังหวะมานานแล้วล่ะ มันจะเล่นจังหวะไหน มันเล่นจังหวะนั้นพอดี แหม...มันเล่นไหลได้ไหลดี พอเลิกร้องไห้หิวน้ำเป็นบ้าเลย (หัวเราะ) ตั้งใจจะกลั้นล่ะ ทีนี้หลวงพ่อท่านบอกให้ปล่อย เราเชื่อพ่อซะจนชินปล่อยก็ปล่อยก็ฟาดมันซะเต็มที่ไปเลย
    แต่ตอนผรณาปีตินี่มันบวม มันลอย ปีตินี่มันลอยมันร่วง มันระเบิด นี่มันเป็นบ้าเลย ที่บางคนบอกว่าฌานระเบิดมันไม่ใช่หรอก ตัวมันพองขึ้นใหญ่ขึ้น จนรับไม่ไหวระเบิดกลายเป็นจุลไปอย่างนั้นล่ะ หรือบางทีตัวมันก็รั่วเป็นรู มีอะไรไหลซู่ซ่าจากข้างในเต็มไปหมด ไม่รู้อะไรต่อมิอะไรมันไหลเต็มไปหมด ถ้ามันชินซะอย่างอันอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไปกลัวมันแล้ว
    ถาม : ......................
    ตอบ : เหตุผลนั่นสำคัญที่สุด หลวงพ่อท่านลาพุทธภูมิเพราะว่า ตอนช่วงนั้นท่านทำหน้าที่เป็นปลัดเหมือนกับเลขานุการส่วนตัวของสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดอนงคาราม ตอนนั้นมันเกิดเหตุว่าเจ้าคณะจังหวัดท่านหนึ่งเบียดเบียนพระในจังหวัด วัดไหนมีพระเก่าวัตถุโบราณไปยึดของเขามา ถ้าเขาไม่ไให้ก็จับเจ้าอาวาสสึกซะบ้าง ถอดซะบ้าง
    พอท่านทราบเรื่องท่านก็รายงานไปตามระดับชั้นของทางคณะสงฆ์ พอเรื่องขึ้นไปถึงข้างบนก็เงียบ รายนั้นแทนที่จะโดนถอดหรือว่าโดนลงโทษรายงานทีไรมันได้ตำแหน่งเพิ่มขึ้น ทุกที ๆ หลวงพ่อท่านสืบไปสืบมาจนในที่สุดก็เจอว่า ตัวเป้งเลยเป็นตัวหนุน ท่านก็เลยเกิดสลดใจขึ้นมา โดยวิสัยของพุทธภูมิถ้าเพื่อความสุขส่วนรวม แม้กระทั่งลงนรกก็ยอมทำ ท่านบอกว่าถ้าหากว่าท่านไม่ลาพุทธภูมิเพื่อเป็นพระอริยเจ้าด้วยกำลังใจแบบ นั้นเดี๋ยวท่านต้องฆ่ามันแน่ นี่แหละสาเหตุใหญ่ที่สุด
    ถาม : ผมจำได้ว่า ถ้าใครฆ่ากันแล้วก็ต้องฆ่ากันทุก ๆ ชาติ ในเมื่อหลวงพ่อปรารถนาพุทธภูมิแล้ว คนที่ปรารถนาพุทธภูมินี่นรกปิดประตูแล้ว ทำไม .....(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ไม่ใช่ พุทธภูมินี่ต่อให้ปฏิบัติขนาดไหนก็ตามอารมณ์จะไม่ตัดเป็นพระอริยเจ้าเป็นได้แค่เทียบเท่าเท่านั้น คือทำได้เหมือนแต่มันไม่ใช่ ทีนี้เนื่องจากว่าของท่านทำมาด้วยการบำเพ็ญบารมีด้วยการสละตัวเองเพื่อความ สุขส่วนรวมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีอะไรบางอย่างจำเป็นต้องละเมิดศีลเพื่อความสุขส่วนรวม พุทธภูมิเขายอมไม่ใช่ว่าพุทธภูมิไม่ลงนรก พุทธภูมิเขาไม่กลัวนรก เต็มใจลง
    ถาม : .................................
    ตอบ : อันนั้นเขาพุทธภูมิแท้เลย เขาเสี่ยงต้องใช้ว่าเอาดอกบัวอ่อนเลยนะ เสี่ยงอธิษฐานเลยว่า ถ้าหากว่าความปรารถนาในพระโพธิญาณเขาจะสำเร็จจริงก็ขอให้ดอกบัวนี้บาน แล้วของท่านบานจริง ๆ ดอกบัวตูม ๆ เพิ่งจะเก็บไม่น่าจะบานได้ เลยตั้งใจเผาตัวเองเป็นพุทธบูชา ชาวบ้านผ่านไปผ่านมาทราบเจตนาก็ช่วยกันเผาคือขอบุญด้วย คนผ่านไปผ่านมาถอดเสื้อผ้าบ้างมีข้าวมีของอะไรก็โยนไปเผาร่วมกัน กำลังใจระดับนั้นหายาก ถ้าหากว่าไม่ใช่ทรงสมาบัติจริง ๆ เขาเผาขนาดนั้นก็ดิ้นพราดเท่านั้น แต่ว่าท่านนั่งขัดสมาธิ
    นั่งสมาธิให้เขาเผาอีกองค์หนึ่งก็พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังไม่เต็มกำลังใจท่านเอาตัวเองเป็นไส้เทียน ใช้ผ้าสำลีพันตัวเองแล้วชุบน้ำมันตั้งใจว่าเราจะจุดไฟนี้เพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วก็ให้คนจุดไฟ ตัวเองตั้งสมาธิเพ่งมองเจดีย์ ตั้งใจว่าสิ่งที่เราทำนี่ตั้งใจจะถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไฟไหม้อยู่ ๗ วันกว่าเชื้อจะหมดแต่ไม่เป็นอะไร เพราะว่ากำลังใจที่เกาะพุทธานุภาพก็เลยรักษาได้
    มีเหมือนกันจะลองมั้ย จะช่วยเผารายนี้เขาพวกพุทธภูมิเหมือนกัน เขาไม่ยอมลา อาตมาเบี้ยวทิ้งเขากลางอากาศ (หัวเราะ) พุทธภูมินี่เขาถือว่าเป็นเพื่อนกันหมด เพราะว่าความปรารถนาอย่างเดียวกันเดินตามรอยกัน
    สมัยครั้งแรกที่เจอหลวงปู่เจ้าคุณพระราชกวีวัดโสมนัส หลวงปู่อ่ำ ครั้งแรกเลยเคาะประตูกุฏิ ท่านโผล่ออกมาถึงท่านถาม เป็นยังไงเพื่อนจำกันได้มั้ย ? นั่นพระโพธิสัตว์จะถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนกันหมดก็เลยกราบเรียนท่านไปว่า ผมจำหลวงปู่ไม่ได้หรอกครับ แต่ว่าหลวงปู่ต้องจำผมได้แน่เลย (หัวเราะ) เอาเปรียบคนแก่ หลวงปู่อ่ำ ตอนแรกท่านก็ไม่ทราบว่าท่านปรารถนาโพธิญาณ นั่นก็นิยตโพธิสัตว์ เพราะท่านเป็นช้างปาลิไลยกะ ตรัสรู้เป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัปป์ ทีนี้ท่านก็บอกว่ารู้แต่ว่าตอนเรียนบาลีไปถึงตอนที่ช้างปาลิไลยกะออกมาส่ง พระพุทธเจ้า ๆ ตรัสว่า ปาลิไลยกะ ตรงนี้เป็นเขตแดนของมนุษย์แล้วเธออย่าตามตถาคตไปเลย อันตรายจะเกิดขึ้นกับเธอ ขอให้กลับไปเถอะ ช้างปาลิไลยกะเสียใจจนอกแตกตาย
    สมัยนี้คงประเภทหัวใจสลายท่านบอกว่าอ่านมาถึงตรงนี้ทีไรร้องไห้น้ำหูน้ำตา ไหลทุกทีเลย ไม่รู้ว่าทำไมต้องร้อง ทีนี้เวลาที่มันจะรู้มันก็รู้เอาง่าย ๆ ตอนเย็นกำลังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนสบาย ๆ มองตะวันตกดินอยู่ มองเพลิน ๆ ท่านบอกอยู่ ๆ มันมีอีกตัวหนึ่งมันหลุดเดินดุ่ย ๆ ขึ้นฟ้าไปเลยคือ จิตท่านเป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัวเพราะมองดูตะวันอยู่ กายในมันก็เลยออกไปเลย
    พอขึ้นไปข้างบนก็เห็นดอกบัวดอกหนึ่งมโหฬาร ก้านบัวใหญ่กว่าเสาอีก ท่านว่าอย่างนั้น อยู่สูงลิบเลยเห็นว่ามีสารพัดสีแล้วดอกบัวก็ลดลงมา ๆ เห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างบนนั้น ถามว่าจำได้มั้ย ? ท่านก็บอกว่า จำไม่ได้เป็นใคร ท่านก็บอกว่าท่านคือพระศรีอาริยเมตตรัย เสร็จแล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟังว่าเคยตั้งความหวังว่าสมัยนั้นอย่างนั้น ๆ


    คำภาวนาจำเป็นมั้ย? จำเป็น ถ้าไม่มีคำภาวนา อานาปานี่กรรมฐานทุกกองได้แค่อุปจารสมาธิเท่านั้น ทรงฌานไม่ได้
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    นั่งหลับตาเฉยๆ โดยไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย ถือว่าเป็นสมาธิ ??


    ถาม : ถ้าเราทำสมาธิแล้วเราไม่กำหนดลมหายใจ ไม่กำหนดภาพ ไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย จะถือว่าทำสมาธิหรือเปล่า หรือเรียกว่านั่งหลับตาเฉยๆ ?

    ตอบ : คงจะนั่งหลับตาเฉยๆ ยกเว้นอย่างเดียวว่า มีความเคยชิน สามารถเข้าฌานระดับใดระดับหนึ่งได้คล่องมาก ถ้าอย่างนั้นเราสามารถจะดิ่งไปสู่ระดับนั้นได้เลย

    แต่ถ้าเราไม่มีการกำหนดใดๆ เลย ไม่มีทางที่จะทรงตัวเป็นสมาธิได้ เพราะจิตเราต้องคิดเป็นปกติ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

    ถาม : หรือจะย้อนมาปฏิบัติเหมือนเดิม จับลมหายใจเหมือนเดิม ?

    ตอบ : ลมหายใจเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกองเลย คุณจะทิ้งลมหายใจไม่ได้

    ถาม : แล้วถ้านั่งสมาธิไม่เคยเห็นแสงสี ไม่เคยเห็นภาพ ?

    ตอบ : ถือว่าโชคดีที่สุดในโลก ไม่อย่างนั้นคุณจะติดอีกเยอะ



    สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : แล้วคำภาวนาจำเป็นมั้ยคะ ?
    ตอบ : จำเป็นเพราะว่าคำภาวนาพร้อมกับลมหายใจเข้าออกสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอานาปานี่กรรมฐานทุกกองได้ประมาณแค่อุปจารสมาธิเท่านั้นล่ะ ทรงฌานไม่ได้

    ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัติ

    ปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัตินี้ ท่านกำหนดองค์ของปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัติไว้ ๕ อย่าง
    ดังต่อไปนี้
    ๑. วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าหายใจเข้าหรือออก ถ้าใช้คำ
    ภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย
    ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพกสิณอยู่ตลอดเวลา
    อย่างนี้เรียกว่าวิตก
    ๒. วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือหายใจออก
    หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น หายใจเบาหรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนดลมสามฐานคือ หายใจเข้า
    ลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย หายใจออกลมกระทบศูนย์ กระทบอก
    กระทบจมูกหรือริมฝีปาก
    ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการใด
    ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสิณอะไร มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร
    ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไปหรือคงเดิม ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณ
    ที่เราต้องการ หรือภาพหลอนสอดแทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้
    เรียกว่า วิจาร
    ๓. ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ
    ๔. ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีต ซึ่งไม่เคยมีมาในกาลก่อน
    ๕. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการนั้นไม่คลาดเคลื่อน
    ข้อที่ควรสังเกตก็คือ ปฐมฌานหรือปฐมสมาบัตินี้ เมื่อขณะทรงสมาธิอยู่นั้นหูยังได้ยินเสียง
    ภายนอกทุกอย่าง แต่ว่าอารมณ์ภาวนาหรือรักษาอารมณ์ไม่คลาดเคลื่อน ไม่รำคาญในเสียง เสียงก็ได้ยิน
    แต่จิตก็ทำงานเป็นปกติ อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ อารมณ์เพ่งอยู่ โดยไม่รำคาญในเสียง
    ทรงความเป็นหนึ่งไว้ได้ ท่านกล่าวว่า กายกับจิตเริ่มแยกตัวกันเล็กน้อยแล้ว ตามปกติจิตย่อมสนใจ
    ในเรื่องของกาย เช่นหูได้ยินเสียง จิตก็คิดอะไรไม่ออกเพราะรำคาญในเสียง แต่พอจิตเข้าระดับ
    ปฐมฌาน กลับเฉยเมยต่อเสียง คิดคำนึงถึงอารมณ์กรรมฐานได้เป็นปกติ ที่ท่านเรียกว่าปฐมสมาบัติ
    ก็เพราะอารมณ์สมาธิเข้าถึงเกณฑ์ของปฐมฌาน ที่จิตกับกายเริ่มแยกทางกันบ้างเล็กน้อยแล้วนั่นเอง

    http://www.palungjit.org/smati/k40/smabat.htm#ปฐมฌาน
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : กรรมฐานสี่สิบกอง ที่เราเลือกมาปฏิบัติครั้งแรก ถ้าทำไป ๆ แล้วรู้สึกว่ายังไม่ไปไหน แล้วเปลี่ยนกองถือว่าเป็นการโลเลหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ไม่ใช่โลเล แต่จะเหมือนกับที่เคยเปรียบว่า ขุดบ่อแต่ไม่ได้น้ำ สมมติมีน้ำอยู่ในระดับ ๑๐ วา พอขุดไป ๆ ถึง ๕ วา ไม่ถึงตาน้ำสักที เราก็ย้ายที่ไปขุดใหม่ เท่ากับเราเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

    ถาม : ถ้าเลือกมาสัก ๒ กองแล้วทำ
    ตอบ : ๒ กองที่คุณเลือก หรือกองเดียวที่คุณเลือก ให้เป็นอานาปานสติไว้ก่อน ๑ กอง ซึ่งกองอื่นเลือกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก กรรมฐานทุกกองไปไม่รอด

    ถาม : แล้วถ้าวันหนึ่งจับภาพพระ อีกวันหนึ่งจับกสิณ
    ตอบ : เจริญแน่..! ทำแบบนั้นอีกกี่ชาติก็ได้แค่ทำ..!

    ถาม : เปลี่ยนไปทุกวัน
    ตอบ : ชาติหน้าตอนเย็น ๆ อาจจะได้..!

    ถาม : ถ้าทำอย่างนี้ชาติหน้าตอนเย็น ๆ จะได้หรือครับ ?
    ตอบ : ถ้าวันนี้คุณจับกสิณ แล้วคุณก็เลิก..ปล่อย ถ้าสมาธิคลายตัวก็ไหลตามกิเลส พอรุ่งขึ้นแทนที่คุณจะมาจับกสิณเพื่อว่ายทวนกิเลสต่อ แต่คุณไปจับอีกกองหนึ่ง แล้วคุณก็ปล่อยและก็ไหลตามไป พออีกวันคุณก็กลับไปทำอีกกอง

    ลองนึกดูก็แล้วกัน คนไหลตามกิเลสไปสองวัน แล้วว่ายกลับมา จะหาความก้าวหน้าได้อย่างไร ? ขาดทุนสะสมไปเรื่อย รอวันล้มละลาย..!


    ถาม : แล้วถ้าทำทุกวัน อย่างละกองวันละชั่วโมงละครับ ?
    ตอบ : ๒๔ ชั่วโมงยังไม่รอดเลย..!

    ตอนนี้ค่าแรง ๒๕๐ บาท ก็ตีเสียว่าชั่วโมงหนึ่ง ๑๐ บาท สิบบาทพอกินไหม ? กินซาละเปาลูกหนึ่งก็หมดเงินแล้ว

    เรื่องของการปฏิบัติ เลือกกรรมฐานกองใดกองหนึ่งแล้วทำให้ถึงที่สุดไปเลย ถ้าหากถึงที่สุดแล้วกองอื่นจะเป็นของง่ายเพราะกำลังที่ใช้เท่ากัน เปลี่ยนแค่วิธีการนิดเดียว เพราะฉะนั้น..อย่าหลายใจ กรรมฐานไม่ใช่วิชาทางโลก ที่จะได้สะสมหน่วยกิตได้ เขาต้องการความจดจ่อต่อเนื่องตลอด คุณไปสะสมหน่วยกิตก็ได้เหมือนกัน ได้แค่ในส่วนอานิสงส์ที่เป็นกุศลกรรม แต่ความสำเร็จมาถึงยาก



    รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กรรมฐานสี่สิบกอง เปลี่ยนไปทุกวัน จะหาความก้าวหน้าได้อย่างไร ?

    เรื่องของการปฏิบัติ เลือกกรรมฐานกองใดกองหนึ่งแล้วทำให้ถึงที่สุดไปเลย ถ้าหากถึงที่สุดแล้วกองอื่นจะเป็นของง่ายเพราะกำลังที่ใช้เท่ากัน เปลี่ยนแค่วิธีการนิดเดียว เพราะฉะนั้น..อย่าหลายใจ กรรมฐานไม่ใช่วิชาทางโลก ที่จะได้สะสมหน่วยกิตได้ เขาต้องการความจดจ่อต่อเนื่องตลอด คุณไปสะสมหน่วยกิตก็ได้เหมือนกัน ได้แค่ในส่วนอานิสงส์ที่เป็นกุศลกรรม แต่ความสำเร็จมาถึงยาก
     
  15. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ต้องถามก่อนว่าคุณหวังในผลลัพธ์มากน้อยแค่ไหน คุณต้องการอะไร ?

    นั่งๆไปเถอะตามที่คุณเข้าใจ ถ้าคุณติดขัดหรือมีปัญหา ผมมั่นใจว่าคุณเปิดเว็ปหาคำตอบมันอยู่ดี
    จะครูบาอาจารย์ไหนก็สอนแค่พื้นฐานนั้นแหละ
    หรือว่าคุณอาจจะไปถูกใจท่านใดท่านนึงก็ได้ ก็ทำตามฉบับท่านั่นอย่างจริงจังไปเลยก็ได้
     
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เป้าหมายของการฝึกจิตหลักๆคือค้นหาความสงบที่ซ่อนอยู่ภายใน และพิสูจน์ว่าความสงบนั้นให้ผลดีหรือเสียกับชีวิตปกติปกติไม่มีผลเสียอะไรเพราะความสงบช่วยในหลายๆด้าน แม้ว่าจะไม่เป็นหนึ่งคือจิตจะไม่นิ่งแต่จริงๆก็จะมีช่วงที่นิ่งสงบแต่ด้วยความกังวลกับผลลัพธ์ต่างๆ จึงไม่ทันได้สังเกตแต่ว่าเมื่อเรายิ่งสังเกตมากก็จะไม่สงบเพราะว่าการฝึกจิตถ้ายิ่งเพ่งก็จะยิ่งเห็นแต่สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความสงบ...มันคือสิ่งที่เราอยากจะเห็นหรืออยากให้มันเป็นหรือแม้กระทั่งสิ่งที่เราเคยรับรู้มาก่อนนี้ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น...ไม่ว่าเราจะใช่อะไรเป็ยที่ตั้งของจิตก็จะมีจุดที่เราไม่จำเป็นจะยึดไว้หรือกอดไว้มันจึงทำยากกว่าพูดหรือคิด...อุบายที่จะใช้คือไม่มีอุบายอะไรเพราะฝึกจิตที่จริงมันเป็นเรื่องตรงไปตรงมาคือเราโฟกัสตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นพอเรารับรู้อาการของการโฟกัสจังหวะปล่อยหรือจังหวะคลายนั่นคือจุดที่เราใช้เป็นข้อเปรียบเทียบความรู้สึกของการเพ่งและการปล่อยให้ผลค่อนข้างต่างกันเราใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจึงมองเห็นว่ามันมีรอยต่อของความสงบแรกๆมันจะเร็วจนมองไม่เห็นแต่เราจะเพิ่มเวลาหรือซ้ำรอยนั้นต่อไปจนมันมีรอยต่อนานมากขึ้นและมากขึ้นๆเรื่อยๆจนรู้สึกว่ามันยาวขึ้นและนี่คือจุดเริ่มต้นของฌาน....คือจากจุดนี้ทุกๆครั่้งที่สัมผัสรอยต่อมันจะลึกลงไปเพราะมันเริ่มจากรับรู้ภายนอกและเข้าถึงภายในไปจนถึงไม่มีอะไรให้รับรู้....ก็ทำนองนี้นะถ้าต้องการเพียงความสงบ...แต่ถ้าต้องการมากกว่านั่นต้องศึกษาตำราบ้างเพื่อสร้างสมมติฐานของเรื่องต่างๆเพื่อเพิ่มระดับของจิตในเชิงพุทธศาสนา
     
  17. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    การใช้อสุภะหรือกสิณเป็นอุบายเพื่อ...จริงๆก็หลอกตัวเองนั่นแหละแต่ผลการหลอกนั้นให้ความจริงตามวัตถุประสงค์สองประการคือการสมมุติให้ตรงข้ามกับความเป็นจริง กับเพื่อให้เห็นในความสมมุติ จิตที่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นรูปโดยปกติจะรวมลงและหารอยต่อของความสงบไม่ได้จึงมีอุบายคือสร้างสมมุติเสมือนจริงให้เป็นอารมณ์ถามว่าทำไมต้องเป็นไฟ..เพราะไฟคือตัวกระตุ้นและเป็นตัวแทนของความร้อนที่คนบางคนอาจไม่มีแต่ก็ไม่ใช่ในเชิงว่าร้อนนั้นหรือไฟนั้นเราจะสัมผัสมันจริงๆแต่เป็นการสร้างแรงกระตุ้น...เพราะเกิดความอยากที่จะรู้...ถ้าถามว่าจริงๆคืออะไร...ความรู้สึกที่เคยสัมผัสเสมือนจริงคือร้อนแต่ไม่ร้อนเป็นก้อนไฟสีแดงเมื่อแรกเพ่งเห็นเป็นวงกว้างเมื่อโฟกัสมันไม่ใช่วงกว้างมันเหลืเป็นจุดสีแดงบ้างสีเหลือบ้างโดยมากเราจะเห็นเป็นสีแดงเคลือบด้วยขอบสลับกันไประหว่างเหลืองกับแดงแต่ขนาดเมื่อจุดที่ละจากการเพ่งจะคนละเรื่องกัเริ่มต้น จุดนี่ก็คือจุดที่เกิดฌานสมาธิ
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อสุภะใช้เมื่อจิตไม่เชื่อและยึดถือตามที่ต้องการคือระหว่างที่ฝึกภาพหลุดไปในอดีตว่าด้วยเรื่่องกามราคะ..มันหยุดไม่ได้มันไม่ย้อนกลับแต่ที่จริงดูแต่ภาพมันก็ไม่ช่วยเพราะมันยังไม่เคยเห็นของจริงและไม่ได้สัมผัสทุกอายตนะ...จึงว่าต้องเห็นของจริงก่อนจึงจะใช้รูปเป็นที่ตั้งได้...ส่วนของจริงจะเห็นที่ไหนก็สุดแต่ใจจะค้นหา...เพราะขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการอยากที่จะรับรู้มันจริงๆไหม...ไปนั่งเล่นหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลหรือไปงานล้างป่าช้าก็ทำได้...อันนี้จะช่วยได้ถ้าอยากทำจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...