ใครเป็นพระอริยะบุุคคล

อันนี้ผมไม่ได้ขัดนะ ในข้อ 2 ที่คุณว่านั้นดีแล้วเพราะถือว่าเป็นเบื้องต้นให้เราระงับ เพราะเราห้ามเกิดไม่ได้ มีแต่ว่ามันเกิดแล้วข่มมันไว้ อันนี้ผมเห็นด้วยครับ

แต่ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยอย่างแรงนั้น คือ ประโยคแรกที่คุณบอกว่า "การปรุงแต่งนั้นมีมานานแล้ว ก่อนเราเกิดเสียอีก เป็นกรรมเก่า แล้วมันหลอมรวมเป็นขันธ์๕ ในปัจจุบัน" ตรงนี้แหล่ะครับที่เข้าใจผิดกันไปทั้งโลกทั้งประเทศ แต่ก็ไม่ว่านะถ้าชอบแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะก็ไม่ใช่หน้าที่อะไรที่ผมจะไปยุ่งอะไรกับพวกคุณมาก เพียงแวะมาสนทนากันด้วยช่วงว่างเท่านั้นเอง

 

พูดถึงพระมหากัสสปะแล้วก็นึกถึงคำพูดของท่านเลยครับ ในตอนที่พระพุทธองค์ไปชวนพระมหากัสสปะให้ไปช่วยแสดงธรรมโปรดชาวโลก คุณ นิวรณ์พอทราบมั้ยว่าพระมหากัสสปะท่านตอบพระพุทธองค์ว่าอย่างไร? (อันนี้อาจจะเป็นความจำซักหน่อยละกันครับ)

 

พวก ภาวนา อ้างความบริสุทธิ ด้วยการดับคิด นี่โหลยโถ้ยมาก

คนโง่จริงๆ ถึง จะเชื่อตามได้

เพราะอะไร

เพราะธรรมการสอนเนี่ยะ ต้องคิด ต้องอาสัยคิด

ความคิดที่ปราสจากกิเลส คือ สภาวะสมควรแก่ธรรม

แต่พวกนอกศาสนา มุ่งทำลายศาสนา ชวนเชื่อ ให้เรา หยุดคิด

พวกนี้ หวังให้เราสิ้นชาติ สิ้นเนื้อประดาตัว ตายเปล่า

ซึ่ง ตลกมาก เพราะ คนเรายังไงก้ต้องคิด

คิดดีออกมาจากจิตไร้กิเลส คนนั้นก้นับเปนเนื้อนาบุญให้โลก

ดังนั้น พิจารณาดีๆ พวกสอนหยุดคิด คือ จิตบริสุทธิ นี่มีเจตนาเดียว คือ พาหลง

 

(- -)' ... เป็นงั้นไป

 

ใคร อย่า เอาเข้วตัวนะฮับ

หากชนคนใด พูดแจ้วๆ ให้หยุดคิด แต่ปากพูดแจ้วๆ
นี่แปลว่าอะไร

แปลว่า คนนั้น แสดงถึงสัจจธรรม ความคิดไม่ต้องไปดับมัน
แต่จงฝใช้ให้เปน คือ เอามาพูดถามตอยแจ้วๆ จนกว่าจะ
เจอทาง สิ้นกิเลส ตัณหา อุปทาน ก้ว่ากันไป

ยังปรารภความเพียร ก้ รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีการปรักปรำ ตำหนิกัน

 

อิอิ พูดให้อยากรู้แล้วก็จะจากไปหรอ
ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยอย่างแรงนั้น ได้โปรดเถอะ ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยนะคะ

 

อธิบายนิดเดียว รับรองไม่เข้าใจแน่นอน แต่ก็พอจะชี้จุดให้พอเห็นได้บ้างอยู่ (ถ้าพิจารณาตามนะ) โดยเฉพาะที่ว่า ที่เคยรู้มานั้นมันผิดอย่างไรนั่นเองครับ ส่วนจะไปรู้ตัวถูกนั้นต้องอาศัยว่า ปฏิบัติให้พอเห็นจึงจะตัดสินใจ (ตรงนี้ขอยกไว้ก่อน)

 

แล้วมันผิดอย่างไรหละคะ ไม่บอกแล้วจะรู้ได้อย่างไร บอกมาเถอะค่ะ

 

งั้นผมถามคุณก่อนว่า "นามรูป" กับ "รูปนาม" มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร? หาความหมายมาดูละกันนะครับ

เพราะมีคำถาม คำตอบหนึ่งที่อชิตมาณพไปทูลถามพระบรมศาสดาอยู่ว่า "ปัญญา สติ และ นามรูป จะดับลงในที่ใด" ประมาณนี้ครับ ถ้าคุณพบคำตอบค่อยว่ากันต่อ ถ้าไม่สนใจก็ขอให้ผ่านไปครับ อย่าได้ใส่ใจ ส่วนที่คุณถามและอยากจะทราบนั้นที่ว่าตรงไหนผิด ก็คือ ตรงนี้แหล่ะครับ เพราะหาก "ดับนามรูปได้" วงปฏิจฺจสมุปบาท ก็ถูกตัดกระแสไปเรียบร้อยตรงนี้แหล่ะ ก็ในเมื่อตัดกระแสตรงนามรูปแล้ว มันจะไปถึง "ผัสสะ" ได้อย่างไรเพราะวิญญาณดับแล้ว ถ้างั้นจะมีคำว่า "วิสังขาร" หรือครับ ...

 

ผิดก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่า "นามรูป" คืออะไรนั่นเอง เขาจึงแปลไปเป็น "รูปนาม" จึงได้งมโข่งกันอยู่ไงครับ

 

เอาเป็นว่าคุณสนใจรับฟังอยู่ ผมจะให้ลิงค์คุณไปฟังเอง พิจารณาด้วยตัวของคุณเองว่าจะเป็นอยางไร ไม่สนใจก็ไม่ว่าอะไรนะครับขอให้เป็นวิจารณญาณของคุณเอง แต่ถ้าไม่ชอบใจหรือไม่เห็นด้วยนั้นผมก็ขอให้วางเฉยและอย่าได้ใส่ใจนะ เพราะหากเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ถ้าเราไปจ้วงจาบจะเป็นโทษต่อเราเอง แต่ถ้าเราไม่ไปดูถูกหรือตำหนิ ก็จะไม่มีโทษหรือกรรมอะไรกับเราแน่นอนครับ ผมฝากให้คุณโดยเฉพาะเท่านั้นนะ ผู้อื่นจะสนใจหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ หากว่างก็ลองฟังดู คัดมาให้ตามที่ถามเลยหล่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=8HYn9ivSfPA

https://www.youtube.com/watch?v=qyfDHsW1bRE

 

ไปซื้อกับข้าวก่อนนะคะ เด่วมาฟังค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

ครับผม ผมก็จะไปสูดอากาศภายนอกสักหน่อย ยินดีที่ได้สนทนากันครับ

 

น่าสนใจครับ นามรูป ? รูปนาม ?

 

หากใครไปใส่ใจก็จะหลงตามกันไปหน่ะสิครับ ...
หรือหากใครสนใจก็ไม่เกิดประโยชน์ ...แบบไม่ต้องสงสัยเลย

 

ผมคงไม่ตั้งสำนัก ขยี้ภูเขา พังทลายเขื่อน เสพกามโดยไม่ติดใจหรอกครับ สำนักนี้เขาสอน ดับวิญญาน ใจหายจ้อย น่าจะไปอยู่สำนักเดียวกับพวก ภาวนาดับความคิดได้นะ ที่บอกขันณ์ ๕ เป็นทุกข์นั้นมันสำหรับ พวกมือใหม่หัดภาวนา ก็ต้องให้มันเห็นทุกข์ เห็นโทษไปก่อน พวกนี้อุปทานมันหนา เหมือนชามที่ยังไม่ได้ล้าง ห้องน้ำที่ยังไม่ได้ขัด มีแต่สิ่งสกปรก เมื่อชำระล้างกิเลส ตันหา อุปทานสิ้นไปแล้ว ขันณ์ ๕ มันก็สะอาด ความสกปรกของกิเลส ตันหา อุปทานไม่มีแล้ว ขันณ์ ๕ มันก็ทำงานตามเดิมของมัน แต่ทุกข์ที่เกิดจากอุปทานขันณ์ไม่มี ทุกข์จากความยึดมั่นไม่มี ไม่ต้องไปนั่งภาวนาดับขันธ์ ๕ บ้าๆๆ บอๆๆ สำนักไหนสอน อริยสัจ ๔ นะ เขาสอนดับอะไร เขาสอนดับทุกข์ "ถ้าสอนดับขันธ์ ๕ ก็เพราะความจานลายของมะอึงเอง" อันนี้ยืมประโยคเขามาใช้

 

พึ่งจะฟังลิ้งค์แรกจบค่ะ

หลวงปู่ท่านเทศน์ในตอนต้น เรื่องมารห้า
ตอนกลางเทศน์เรื่อง ตัดสังขาร
และตอนปลายท่านเทศน์เรื่อง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ

เรื่องตัดสังขาร เท่าฟังท่านก็ตัดหลังเกิดเวทนา ก็ตัดสังขารเลย คือไม่ให้สังขารเกิด

อายตนะภายนอก สฬายตนะ(อายตนะภายใน) วิญญาณ ผัสสะ สัญญา(จํา) เวทนา สัญญา(หมายรู้) สังขารขันธ์

หรือมีอะไรแนะนำคะ

 

ลองเปิดดูวงปฏิจฺจสมุปบาทสิครับ ว่าสังขารอยู่ตรงไหน? ผมว่ายังก่อนเวทนาอยู่หลายตัวอยู่นะ ก็ค้นปฏิจฺจสมุปบาทดูสิครับ

 

ส่วนที่คุณจะยกขันธ์ ๕ ขึ้นมานั้นจะเอามาเป็นลำดับไม่ได้เพราะในขันธ์ ๕ แต่ละกรุ๊ปนั้นจะ "เกิดพร้อมกันและดับพร้อมกัน" ... ส่วนวงจรการเกิดทุกข์นั้นต้องไปดูที่ปฏิจฺจมุปบาทครับ และถ้าคุณอยากฟังโดยตรงว่า "ใครเป็นผู้แปลว่า เตสัง วูปะ สะโม สุโข แปลว่าอะไร และใครเป็นผู้แปลเป็นคนแรกก็ให้คุณฟังได้จากลิงค์นี้นะครับ เพราะผมไม่ใช่คนแปล เพียงแต่ได้รับฟังมาเท่านั้น" มีหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วยครับที่แปลไว้

---> https://www.youtube.com/watch?v=OQ86hzNge5A

 

วงจรปฏิจฺจสมุปบาท มีวงจรใหญ่ กับวงจรในขันธ์๕

อันนี้เป็นวงจรใหญ่
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นาม-รูป
อายตนะภายนอก สฬายตนะ(อายตนะภายใน) วิญญาณ ผัสสะ สัญญา(จํา) เวทนา สัญญา(หมายรู้) สังขาร(ความคิดปรุงแต่ง กาย วาจา ใจ)ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ

อันนี้วงจรในขันธ์๕
อายตนะภายนอก สฬายตนะ(อายตนะภายใน) วิญญาณ ผัสสะ สัญญา(จํา) เวทนา สัญญา(หมายรู้) สังขาร(ความคิดปรุงแต่ง กาย วาจา ใจ) ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ

สังขาร มีความหมายกว้างมากค่ะ
จะคือสังขารตรงไหนก็ดูบริบทในบทธรรมนั้นๆเอาแล้วกันเน้อ ว่าผู้สอนท่านหมายถึงตรงไหน
ที่เข้าใจคือคนทั่วไปต้องตัดความคิดปรุงแต่ง(สังขาร)หลังเวทนา
ส่วนการจะตัดสังขารที่อยู่หลังอวิชชาได้คงจะเป็นพระอริยะเจ้า

หรือมีอะไรแนะนำได้ค่ะ​