ว่าด้วยมูลกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 9 มิถุนายน 2016.

  1. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    อีมอญซ่อนผ้าตุ๊กตาอยู่ที่ไหน ไว้โน่นไว้นี่ ฉันจะตีตูดเธอๆๆ
     
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    แล้วคุณมังกร ชอบส่องกระจก ?
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    อันนี้เขียนเล่นนะครับ

    กรรมฐานหน้ากระจก
    ถ้าเราฝึกสิต ฝึกปัญญา มาพอสมควรแล้ว
    แต่ยังหาอุบายสอนตัวเองไม่ได้

    ปัจจะกรรมฐานห้าน่าสนใจไม่น้อย
    เวลานั้งอยู่หน้ากระจก
    ลองเอาปัญญาเจ้าของ พิจารณาร่างกายตัวเองดู

    ปัญญามีสองแบบ
    ปัญญากิเลส
    ปัญญาธรรม

    เวลาเห็นเรือนร่างตัวเองในกระจก เรารู้สึกอย่างไร
    เช่น ตา เห็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง รู้สึกอย่างไร

    สังเกตุตัว รู้สึก เจ้าของ?

    ถ้ามีปัญญากิเลสนำหน้า จะรู้สึก....ฯลฯ
    ถ้ามีปัญญาธรรมนำหน้า จะรู้สึก....

    นี้อาจจะค้นพบความลับ ของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    ที่พระพุทธองค์ท่านสอนให้พิจารณา....
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ครับ ขอบคุณ
    ตามความเห็นของผม
    การพิจารณา ให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    เป็นหลักพื้นฐานที่ชาวพุทธต้องศึกษา อบรม
    เพื่อความเข้าสภาวะธรรมธรรมที่เป็นจริงของมัน

    แต่อุบายธรรมที่พระพุทธองค์ทรงบอกไว้
    ตอนบวช(ทั้งบวชพระและบวชใจ)
    สอนปัจจะกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    ให้กับทุกที่ต้องการทำลายกิเลสอาสวะ
    ถ้าอุปัชฌาย์ไม่บอก ถ้าว่าขาดจากอุปัชฌาย์
    เพราะเป็นของสำคัญมาก

    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสิ่ง ตบ แต่ง ร่างกาย
    มันเปิดเผยให้มองเห็นด้วยตา มีอยู่ทุกคน หญิง ชาย

    ทุกคนหลงกับเรือนร่าง พอใจ กับธาตุขันธ์ตัวเอง
    ก็เพราะมันตบแต่งให้สวยงาม

    เราเจริญสติ ตามหลักแห่งการฝึก เช่นอานาฯสติ
    เราเจริญสมาธิ ตามหลักแห่งการฝึก เช่น ฌาน
    เราเจริญปัญญา ตามหลักแห่งการฝึก เช่น อนิจจังฯลฯ

    เราก็ได้กำลังของ สติ สมาธิ ปัญญา
    เหมือนนีกมวยที่ฝึกซ้อมอาวุธก่อนขึ้นเวที่ชก

    เวลาต่อยกับกิเลส เราก็ต้องใช้อุบายธรรมด้วย
    ชั้นเชิงในการต่อกรกับอำนาจกิเลส

    เนื่องจากพระพุทธเจ้าท่านจากไปแล้ว
    ตอนที่ท่านมีชีวิตท่านจะคอยบอกอุบายธรรม
    เพื่อการบรรลุธรรมกับบุคคลนั้น...

    มาตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้ว
    ท่านก็สอนบอกผ่านฝากไว้กับอุปัชฌาย์อาจารย์

    เขียนมายาวเพราะนักแฏิบัติชอบมองข้าม
    ไม่รู้ความลับของมัน

    แล้วคุณละ ทำลายกิเลสอาสวะได้แล้ว หรือยัง?...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2016
  5. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ไหนๆ ตั้งกระทู้ขึ้นแล้ว
    จะเขียนบอกประสบการณ์ของตัวเอง
    สักเล็กน้อยเพื่อแลกเปลี่ยนกันนะครับ

    ผมเรื่มต้นฝึก(ปี37)จากการกำหนดูลมหายใจเข้าออก...
    ฝึกไปสามเดือน ก็เริ่มเห็นผล
    สติจับลมตัวเองได้ตลอด ความคิดก็คิดไปตามประสามัน แต่สติตามดูลมตลอดทั้งวัน...

    เกิดความรู้สึกสงบขึ้นมา
    จากนั้นมีอาการที่ไม่เคยพบเจอปรากฎขึ้นมา
    เวลาหลับจะมีแสงสว่างขึ้นแทน
    บางครั้งมองออกตามแสงสว่างไปเห็นสถานที่ต่างๆ
    บางครั้งมองเห็นเป็นดวงจันทร์สว่างอยู่
    บางครั้งแตกเป็นสองตัว ร่างหนึ่งนอนอยู่ มีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่

    พอฝึกมากเข้า มันปรากฎกายทิพย์ขึ้นมา เหาะได้..
    เอาไว้เล่นสนุก

    ผ่านไปสามปี ได้แค่นี้...

    ต่อมาได้อ่านหนังสือประวัติหลวงมั่น...
    ทำให้เข้าใจขึ้นมา ว่าด้วยวิถีจิต สติ สมาธิขั้นต้น

    จากนั้นก็ฝึกตามท่าน พิจารณากาย
    ไม่ให้จิตทิ้งกายเนื้อ ใช้ปัญญาพิจารณากาย
    ให้เห็นเป็นอสุภะ เป็นอนิจจัง ฯลฯ

    ทำจิตให้สงบก่อน แล้วพิจารณากาย
    ทำอย่างนี้ ห้าปี พยามยามฝึก พยายามอ่านหนังสือ
    ถามผู้รู้ มันก็ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

    เลยขึ้นไปวัดป่าบ้านตาด ปี44
    หลวงตา ท่านเลยออกมาสอนเป็นพิเศษตอนเย็น
    ท่านเมตตากับเรามาก
    ท่านพูดให้ฟังหลายเรื่อง อยู่กับท่าน23วัน

    เรื่องที่จำได้ เรื่อง สติ สมาธิ ปัญญา

    ท่านบอกเราว่า "จิตเป็นสมาธิ ดีแล้ว ให้ก้าวเดินทางด้านปัญญา"

    ท่านสอนปัจจะกรรมฐานให้ฟัง
    ท่านสอนละเอียดมาก....
    เราใช้เวลาสิบกว่าวัน จนค้นพบความลับของมัน
    ทำให้หยั่งลงฐานของจิต เป็นที่อยู่ของอาสวะกิเลส

    ก่อนจากมา ท่านก็อธิบาย จิตอวิชชา ให้ฟังอย่างละเอียด

    จากนั้นผมไปทำหน้าที่อื่นของตัวเองสิบกว่าปี...

    เขียนเล่ากันฟัง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2016
  6. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ผมชอบฝึกการรับรู้ ทางอายตนะต่าง แต่เบื้องต้นต้องมีพื้นฐานก่อน คือ สมาธิ ต้องมีกำลังสมาธิในระดับหนึ่ง เพื่อ พิจารณา สภาวะธรรมที่เข้ามากระทบทางอายตนะ และ สภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นภายในจิต จริงๆแล้วสภาวะธรรมต่างๆที่เข้ามากระทบนั้น เรารับรู้มันก็จริง แต่เราไม่ค่อยได้ใส่ใจพิจารณามัน การฝึกการรับรู้นี้ฝึกได้ตลอดเวลา ตลอดทั้งวัน เพราะเราคงไม่มีเวลามานั่งสมาธิในแบบทั้งวัน เพราะยังต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพ และเป็นการฝึกฝนลงสนามจริง เจอกับกิเลสตัณหาจริงๆ ทั้งจากที่มาจากภายนอกและภายใน
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มันถึงได้ งมโข่ง ไง ..... พิจารณา อายตนะ แต่ชื่อเรียก แต่ไม่รู้ ถึงเหตุผล

    เพราะอะไร

    เพราะ กำหนดรู้แค่ ภายใน กับ ภายนอก

    ทั้งๆที่ ธรรมภายนอกเป็นธรรมภายใน
    และ ธรรมภายในเป็นธรรมภายนอก

    พิจารณาสอง วรรค นั้นหากเข้าใจ ภายนอก ภายใน สันติ อะไร มันไม่มี !!!

    ถ้าจะมี ก็เคลื่อนไปจาก ภายใน ทั้งหมด ...แล้วอะไรเคลื่อน ...

    ถ้าไม่รู้ ก็ ทำกรรมฐานจิ้มขี้มะเขือเปาะแปะ หู ตา จมูก ปาก กาย ใจ ตาม
    ชื่อไปเรื่อยๆ เถรส่องบาตรเรียกพี่ กอสระอู ทำแล้ว ประกอบแล้ว เว้ยเฮ้ย
     
  8. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ผม ขน หนัง เล็บ เป็นพื้นฐานกรรมฐานทั้งหมด ใครก็ตามทำกรรมฐานแบบใดไม่ก้าวหน้าลองมาปฏิบัติดู จิตไม่ออกนอก วนอยู่ในร่างกาย แยกอย่างหยาบ ปานกลาง จนละเอียด จากที่ตาเห็นจนเป็นผงธุลี จากผงธุลี เป็นอนู อะตอม แล้วประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายใหม่ ผม ขน หนัง เล็บ ฯ แล้วก็พิจารณาตัดไปที่ละอย่าง เวลานั่งสมาธิแล้วเกิดเวทนา ตรงไหน จับตรงนั้นพิจารณาเลย มีดีตรงนี้ จะเห็นความจริงจะไม่ยึดติดกับร่างกาย สมาธิแน่วแน่ จนเกิดปัญญา เกิดความเบื่อหน่าย เห็นโทษของร่างกาย ที่สังขารปรุงแต่ง ครับ อย่ามองข้ามครับ ครุบาอาจารย์บอกว่านิพพานอยู่ตรงนี้ครับ ขออนุโมทนา ครับ
     
  9. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    อันนี้ .. กระผมพอจะทราบแล้วครับ เรื่องธรรมภายนอก ธรรมภายใน ล้วนเกิดจาก จิตเราเอง ที่เคลื่อน หรือ ส่งออกไปรับรู้นั้นเอง อายตนะเป็นเพียงเครื่องรับเท่านั้น แต่ใจคือผู้รู้ ถ้าจิตที่ส่งออก คือ สมุทัย ผลจาก จิต ส่งออก คือ ทุกข์ จิต เห็น จิต เป็น มรรค ผล จาก จิต เห็น จิต คือ นิโรธ ฉะนั้น การห้ามไม่ให้ จิต ส่งออกจึงไม่ใช่ การ ดับทุกข์ แท้จริง จิต เห็น จิต ต่างหาก คือการ ดับทุกข์ การฝึกการรับรู้ คือ การเข้าไปเห็น จิต การ ส่งจิต การปรุงแต่งจิต ที่รับรู้ทางอายตนะ ไม่ใช่เรื่องของการไปยึดมั่นในอายตนะ แต่เป็น มรรควิธี ในการปฎิบัติ และมิได้มีเจตนามาโม้ให้ใครเหม็นขี้ฟัน ว่าทำแล้ว ประกอบแล้วเว้ยเฮ้ย :cool:
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่าว่า งู้นงี้เลยนะ

    ดูจาก การปรารภเนี่ยะ มันสังเกตได้ว่า " ใช้ตรรกศาตร์เทียบลงปริยัติ "

    ปฏิบัติแบบ "เถรส่องบาตร" ก็เรียก
    ปฏิบัติแบบ "โม้ให้เหม็นขี้ฟัน ว่าทำแล้ว ประกอบแล้วเว้ยเฮ้ย " ก็เรียก

    เพราะอะไร

    เพราะพูดว่า " อายตนะเป็นเพียงเครื่องรับ " ตรงนี้ผิดธรรม หานัยปฏิบัติ
    ไม่เจอ เป็นการ แปลความตามศัพท์ไปทื่อๆ ทั้งๆที่ ประโยคหน้าเนี่ยะ
    พึ่งพูดว่า " เกิดจากจิต " [ จริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูกธรรม ควรใช้คำว่า เกิดที่จิต
    ...ดับที่จิต ....เพิ่มความงงลงไปอีกว่า ไม่ใช่จิต ....งงเต็มสูบ จิตเกิดทาง
    ตาดับทางตา ...ฯ ]


    อายตนะ ไม่ใช่เครื่องรับ มันเป็น วิบาก เกิดขึ้นเพราะ ........


    และ

    " การห้ามไม่ให้ จิต ส่งออกจึงไม่ใช่ การ ดับทุกข์ แท้จริง "

    ประโยคนี้ ถ้าเอาไปพูดกับ พระป่า รับรอง ถูกถีบตกกุฏิท่านแน่นอน

    และ ถ้าพูดด้วยน้ำเสียงแบบว่า มั่นจาย ท่านจะบอกเลยว่า ภาวนาไม่เป็น
    หรือ ไม่เคยภาวนา
     
  11. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    จะเรียกว่าใช้ตรรกศาตร์ มาเทียบปริญัติ อะไร ก็ว่าไป ทีนี้พอบอกออกมาแล้วมันก็ผิดไปจากความหมายที่ต้องการสือ หรือ ผู้รับไม่เข้าใจเอง อันนี้ก็สุดแล้วแต่ ที่นี้จะไปตีความว่า อายตนะไม่ใช่เครื่องรับ ก็เอาตามความเข้าใจของแต่ละคน ทีนี้ คุณ นิวรณ์ คงถูกพระป่าถีบตกกุฎิมาแล้วกระมัง ถึงได้รู้:cool:
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ลอง ทวนกระแส จักนิด จิ

    อนุญาติให้ ควักตำราขึ้นมา อย่าโยนทิ้ง ไม่มีใครใน พุทธบริษัท
    เขาจะ ปรักปรำการใช้ตำราว่า ไม่ปฏิบัติหรอก เขามีแต่ จะสรรเสริญ
    ว่า หมั่นสดับ เป็นพหูสูต

    อายตนะ มีอะไรเป็น ปัจจัย ให้เกิด ...........

    แล้ว ลองตรองดูใหม่ว่า ตกลงมันเป็น เครื่องรับ หรือมันแค่ วิบาก
    จากการ ............
     
  13. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    เวลาพิจารณาใช้อายตนะอะไร...ใครรับรู้และที่มองอย่างหยาบแล้วกลายเป็นละเอียดได้เพราะจิตเพราะสติเพราะปัญญาเห็นอายตนะก็เหมือนอุปกรณ์เท่านั้น
     
  14. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    ตรงที่ไปทำ กำหนดปิติมันก็ไม่เห็นชัด เห็นอยู่ว่าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ฝืนทำตัวนั้น เลบไปฟังเทศน์
    หลวงพ่อสงบที่เคยถามไป ท่านว่าต้องกำหนด อานาชัดๆ ก็ลองทำดู
    พอทำเท่านั้นหละโอโห
    จิตมันเหมือนหลุดออกมาจากภพอันหนึ่งเลย
    แล้วก็พอทำเหมือนมันไหลไปหา ภพเลย
    เห็นเลยว่าอานาปาตัวนั้น มันเป็นภพ
    เห็นเลยว่าพอปัญญามันเดินปัญญา ตัดๆ ลงไปๆ (พิจารณาปล่อยจิต) ก็ติดตรงนี้ เหมือนติดภพละเอียด(ทั้งๆที่เจริญปัญญา ไม่ได้มีตัว"เจตนา" ด้วย)
    เลยอ้อ
    ที่สงสัยว่าทำไมไม่ไปต่อสักที ติดตรงไหน ก็ตรงนี้ไม่รู้เรียกอุเบกขาหรือภพละเอียดอะไรก็แล้วแต่ เลยเข้าใจว่าทำไมหลวงพ่อสงบให้ทำชัดๆ เพื่อกำหนดรู้ตัวภพ นี้ไปด้วย
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    ไปเรื่อยๆ

    พอละเอียดๆ. ไม่เกยตื้น ไม่ติดฝั่งซ้าย ขวา. เทวดา มนุษย์ ปลาร้ายไม่จับ
    ก็กำหนดเหน. การหยั่งลง........

    พอชำนาญ. พวกสัญญาสูตร. ต่างๆ. จะคล่อง

    พระทางผม ท่านจะกล่าวว่า. จะไม่ขี้เกียจภาวนา. จะไม่จม
    ภพกุศลต่างๆ. นาน จะอาสัยระลึกเกิดดับ. เราไม่ได้ภาวนา
    เพื่อเอาอะไร. ไม่ได้ไปเสริ๊ปอะไร. แต่ไม่ห่างจากกุสลเหล่านั้น

    สัมมาสมาธิ กว่าจะเหน. ไม่ง่าย. แต่ก้ไม่ยาก

    สาวกเหนชัดๆ สี่ครั้งพอ.

    ถ้าเหนบ่อย. เอะอะๆ. เหนสัมมาสมาธิ แปลว่า. โดนหลอกอีกและ


    ภาวนาเปน จะสนุก. แล้ว. ลาออกไม่ได้ เหนอนัตตาตรงนี้เข้ามาด้วย

    จะได้เหนอะไรแล้ว. ไม่ขวนขวายน้อย

    โลกนั้นร้อนนัก. โลกเขาหิว

    ถ้าเปนพระทางคุณ ท่านจะยก ทุกดวงใจว้าเหว่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2016
  16. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ผมเห็นด้วยกับคุณ nilakarn ครับ ในเมื่อเรายังมีอวิชชา ยังไม่พ้นทุกข์ เพราะยังดับกิเลสตัณหาไม่ได้ เราก็ยังต้องฝึกฝน ยังต้องเรียนรู้ และปล่อยวางมันอยู่เรื่อยๆ ปล่อยวางได้มาก ก็ทุกข์น้อย ปล่อยวางได้น้อย ก็ทุกข์มาก
    ปล่อยวางไม่ได้ ก็ยังต้องทุกข์ต่อไป แต่ตัวความทุกข์เองนั้น มันก็ไม่เที่ยง ไม่ตั้งอยู่ได้นาน "พิจารณาด้วยการกำหนดรู้ในความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ที่ตั้งอยู่ ที่ดับไป ย่อมเป็น มรรควิธี ของการพ้นทุกข์ได้ในที่สุด นั้นเอง"
     
  17. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ผมคงไม่ไปเถียง กับ คุณ นิวรณ์ ว่า มันเป็นเครื่องรับ หรือ วิบาก มันจะเป็นอะไรก็ช่าง ไม่ใช่สาระที่จะต้องยึดมั่นเอาถูกผิด ถ้าเอาตามตำรามันก็ถูกตามตำรา ถ้าเอาตามการพิจารณา มันก็เป็นเพียงเครื่องรับเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะไปยึดถือ วิบาก ก็มาจากกิเลส ตัณหาอวิชชา ยกมาพิจารณาให้เกิดปัญญาแล้ววาง ทุกข์ก็ไม่เกิด ทุกข์มันก็ดับ ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามายึดมั่นถือมั่นเอาถูกผิด ดับเหตุ คือ สมุทัย แล้วไปสู่ มรรคคา ทางดับทุกข์ เถอะครับ:cool:
     
  18. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ก็คนมันอ่านแต่ตำรา แล้วมันก็มั่ว ผสมจนเป็นธรรมปะผุ

    แล้วก็ฝึกตามตำราไม่ได้จริง แม้สักกระแอะ ยังสะเอาะ

    ไปสอนคนฝึกตามตำรา สอนคนฝึกจากประสบการณ์จริง


    ดูไปแล้ว ช่างน่าสงสาร มันต่างสายพันธ์กับคนรู้จริง ทำได้จริง

    ปล่อยให้คนอ่านที่ผ่านประสบการณ์มาจริงๆ นั่งหัวเราะ เอิ๊ก ๆ

    เห็นเป็นตัวตลกประจำห้องอภิญญา
     
  19. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ขอโทษพี่น้องทางธรรมทุกท่านนะครับ

    ที่ผมจำเป็นต้องนำบางอย่างมาใช้งาน

    ขอโทษอีกครั้งครับ
     
  20. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    เมื่อพูดถึง "วิบาก" เราทุกคนก็มีวิบากด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น อายตนะ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ประสาทสัมผัส หรือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื้อในกระดูก ตับ ไต ไส้พุง ม้าม ปอด อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆล้วนเกิดมาจากวิบาก คือ กรรมเก่าเราทั้งสิ้น เมื่อมี วิบาก ก็ต้องมีทุกข์ เป็น ธรรมดา ของสัตว์โลกที่ต้องเวียนว่าย เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในสังสารวัฎ แต่ทุกข์ที่เกิดจาก กิเลสตัณหา อุปทานขันณ์ ๕ นั้น ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาเพื่อออกจากทุกข์ ธรรมชาติของ ทุกข์ มันเกิดที่ไหน มันดับที่นั้น การออกจากทุกข์ จึงไม่ใช่การหนีทุกข์ แต่เป็นการ กำหนดรู้ทุกข์ เพราะการกำหนดรู้ทุกข์ จึงเห็นเหตุแห่ง ทุกข์ คือ สมุทัย เพราะการกำหนดรู้ สมุทัย เหตุ แห่งทุกข์ จึงเห็น นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เพราะรู้แจ้ง นิโรธ ความดับทุกข์ จึงเห็นมรรค ทางปฎิบัติ สู่ความดับทุกข์ แต่เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้จักทุกข์ เราจึงมักหนีทุกข์ หรือ ไม่ก็จมอยู่กับความทุกข์นั้น ด้วยการคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้จัก การปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นเหตุให้ เกิดทุกข์ เมื่อไม่รู้เหตุ แห่งทุกข์ ก็ไม่รู้จักนิโรธ ความดับทุกข์ เมื่อไม่รู้จัก นิโรธ ความดับทุกข์ ก็ไม่รู้จัก มรรค ทางปฎิบัติ ไปสู่ความดับทุกข์ การฝึกฝนการรับรู้ทางอายตนะ มันก็รวมลงมาใน สติปัฎฐาน ๔ เป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ ฝึกการรับรู้ให้เท่าทันกิเลสตัณหา เพียงแต่ไม่ใช่ในแบบที่ต้องไปนุ่งขาวห่มขาว แล้วไปกำหนดรู้ ยุบหนอ พองหนอ รู้หนอ เท่านั้น.
     

แชร์หน้านี้

Loading...