การแยกปรมาณูละเอียดออกจากจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เกวะละ, 24 กรกฎาคม 2016.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เรื่องของอวกาศนั้น "กว้างใหญ่ ไร้ทิศทาง หลากหลายจนประเมินไม่ได้"
    +++ ดังนั้น หาก คุณ "เห็น หรือ รู้" และสงสัยอะไรบางประการ
    +++ เรื่องการ "ถามหรือปรึกษา ในกลุ่มพวกเรา" จะมีลักษณะคร่าว ๆ ดังนี้

    1. อันดับแรก คือ "มันเป็นสิ่งที่เป็นตามธรรมชาติ หรือ เป็นเทคโนโลยี่" อันนี้มาก่อนเพื่อน (ตรงนี้ ตามธรรมดาควร ระบุได้ไม่ยาก)
    2. ต่อมาคือ "มันมีจิตครอง หรือ ไม่มีจิตครอง" หากมีจิตครอง ต้องประเมิน ธรรมะ/อธรรม ออกมาเป็น % คร่าว ๆ ได้ (ตรงนี้สำคัญมาก พวกเราเคยได้บทเรียน มาแล้ว)(ตรงนี้หาก คุณประเมินไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ)

    3. ตำแหน่ง อยู่ "ข้างใน หรือ ข้างนอก" กาแลคซี่ ระบุพิกัดแบบ "นาฬิกา" รวมทั้งชี้ ขึ้น/ลง ประมาณ กี่องศา ต่าง ๆ

    4. การกำหนดทิศของกาแลคซี่ (เฉพาะกลุ่มของพวกเรา) ด้านยาว นับเป็น เหนือ/ใต้ ด้านกว้างนับเป็น ออก/ตก เฉพาะ "ด้านยาว" ในส่วนโค้งบริเวณหัวที่ "มีความป้านมากกว่า จะนับเป็น ทิศเหนือเสมอ" ณ กึ่งกลาง ของหัวความป้าน คือตำแหน่ง 12 น. ส่วนด้านปลายที่ความป้านน้อยกว่า นับเป็น 6 น. เมื่อลากเส้นผ่าศูนย์กลาง ผ่านหลุมดำลงมา ส่วน "องศา ขึ้น/ลง" ต้องระบุว่า วัดจาก ส่วนปลายด้านใด หรือ จากในกลางหลุมดำ เป็นต้น

    5. เฉพาะผู้ที่ "เห็น" arc bow (สนามแม่เหล็กของกาแลคซี่) ที่เคลื่อนตัวไป ฝ่า ไปในอวกาศ ด้านที่เข้มข้นกว่า คือ "ทิศทางการเคลื่อนตัวไป ของกาแลคซี่" ควรระบุด้วยว่าเคลื่อน เข้าหา/ถอยห่าง ต่าง ๆ เป็นต้น

    6. หากเป็นเหตุการณ์ นอกกาแลคซี่ ควรระบุพิกัดตามที่กล่าวมาด้วย หากเป็นข้างใน ก็จะใช้พิกัดของ ดวงอาทิตย์ หรือ พิกัดจากหลุมดำ เพื่อ "ชี้เป้า" ให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้

    +++ พวกเราเคยได้ "บทเรียน" หลายอย่างพอสมควร รวมทั้งเรื่อง "หลงอวกาศ" ก็เคยผ่านมาแล้วเช่นกัน
    +++ ดังนั้นเรื่อง "คำถามปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในอวกาศ" นั้นต้อง "ระบุมาอย่างคร่าว ๆ" ขั้นต่ำควร "ชี้เป้า" ได้ใกล้เคียง

    +++ จากคำถามของคุณ "แสงสีขาว" นั้นเป็นลักษณะ "ฉายแบบแว็ป ๆ หรือต่อเนื่อง" ส่วน "สีดำขนาดใหญ่ อยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว" นั้นพอจะระบุได้หรือไม่ว่า "เป็นรูปทรงอย่างไร"
    +++ และ "การเห็น" ของคุณในปรากฏการณ์นี้ "นานเท่าไรแล้ว"

    +++ ให้ลองพยายาม "รวบรวมรายละเอียด มาอย่างคร่าว ๆ" ก็ได้ เพื่อคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดของคุณ หากไม่สามาถหารายละเอียดมาได้เลย ตรงนี้อาจเป็นเรื่อง มโนหลอน ก็เป็นได้ แต่ถ้าหากเป็นเหตุการณ์จริง พวกเราจะสามารถ ระบุเหตุการณ์ได้ไม่ยากนัก

    +++ หากคุณเห็นแบบ "ภาพปรากฏแวปเดียว" แล้วไม่สามารถหารายละเอียดอื่นได้เลย ตรงนี้คง "ยากที่จะระบุสถานการณ์ได้" คงต้องปล่อยวางไป เพื่อหลีกเลี่ยวการคาดเดา นะครับ
     
  2. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    "เราเข้าไปเดินในเส้นเลือดของตัวเองได้น๊ะโยม ทำตัวเราให้เล็กๆ
    เดินดูการทำงานของตับไตไส้พุง ดูการเต้นของหัวใจของเราได้
    มันเต้นยังไง"

    ไปกราบท่านครั้งที่สอง ท่านก็เทศให้ฟัง เราก็หูผึ่งเลยตอนนั้นยังเด็กอยู่
    ตื่นเต้นมาก อยากรู้ อยากเห็นจริงๆ...
     
  3. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    "ธรรมะจริงๆไม่มีการเปรียบเทียบ ถ้ายังเปรียบเทียบได้ ไม่ใช่ธรรมะ
    โยมต้องไปให้ถึงจุดนั้นด้วยตัวของโยมเอง"
     
  4. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    อนุโมทณาครับ
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เพิ่งนึกออก หากการเห็นอยู่ในช่วง 2-6 สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว จะมีเหตุการณ์เล็ก ๆ อยู่เหตุการณ์หนึ่ง แต่ถ้า ระยะเวลาไม่สัมพันธ์กัน ก็ถือว่า "ไม่ใช่" ก็แล้วกันนะ

    +++ มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมพานักศึกษาชุดใหม่นี้ไปที่ วงอุกาบาต ที่อยู่ระหว่าง วงโคจรของ ดาวอังคารกับดาวพฤหัส แล้วให้เลือก อุกาบาตก้อนโต ๆ เพื่อทำ case study

    +++ จากนั้นให้ทำการ สร้างอัตตาจากในเนื้ออวกาศ แล้ว ทำให้มันเข้มข้น แล้วจึง แยกมันออกมา (วิมุติญาณทัศนะ) จนไร้ตน

    +++ ดังที่กล่าวมาแล้วว่า เมื่อแยกออกมาจนถึงที่สุด ตัวอัตตา จะมีสภาพเป็น กาแลคซี่ ส่วนใจกลางของมันที่เป็น ตัวดู จะเป็นหลุมดำ

    +++ จากนั้นทดสอบการทำ GRB ทั้งจากทางด้าน หลุมดำและหลุมขาว เพื่อทดสอบว่ามีผลต่อ ลูกอุกาบาต อย่างไร

    +++ ตอนนั้น "มั่นใจ" ว่า ไม่น่าจะมีใครรับรู้เรื่องพวกนี้ได้ แต่ก็เป็นได้ที่ นักศึกษารุ่นใหม่ไม่ทันระวัง ปิดจิตส่งออกไม่สนิท จึงเป็นไปได้ว่า ภาพเหตุการณ์อาจรั่วไหลได้

    +++ ถ้าเป็นเหตุการณ์นี้
    1. แสงสีขาววิ่งเข้าหาสีดำ คือ แสงจากหลุมขาว ส่องเข้าหา ก้อนอุกาบาตขนาดใหญ่
    2. และแสงสีขาวก็วิ่งออกมาจากสีดำอีกทีหนึ่ง คือ GRB ที่ออกมาจาก หลุมดำ ส่องเข้าหา ก้อนอุกาบาตขนาดใหญ่ เช่นกัน

    +++ เรื่องพวกนี้ เป็น case study ของพวกเราทดลองทำการศึกษาใน กาลอวกาศ อย่างเงียบ ๆ ไม่ปรารถนาที่จะเปิดเผยอะไรมาก มันเป็น อจินไตย ชนิดหนึ่ง

    +++ แต่ก็ต้อง "ขอขอบคุณ" คุณ มังกรบูรพา ที่ได้ถามตรงนี้มา ในภายภาคหน้า ผมจะได้ระวัง และเข้มงวดกว่านี้ และฝึก การปิดจิตส่งออกของนักเรียน จะต้องมั่นคงกว่านี้ ตรงนี้ถือว่า "เป็นบทเรียน" อีกบทหนึ่งของพวกเรา "ขอบคุณอีกรอบ นะครับ"

    +++ หากกาลเวลาไม่สัมพันธ์กัน ก็ให้ถือว่า เรื่อง case study ของกลุ่มผม ไม่เกี่ยวก็แล้วกัน นะครับ
     
  6. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    โอ้ววว....เก่งจริงๆครับ....
     
  7. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65

    แสงจ้าสว่าง ต่างกันกับ นิมิต นะครับ

    นิมิตคือภาพ
    แสงสว่างมันก็คือแสง เหมือนเราหลับตาแล้วมีไฟฉายส่อง นั้นแหละแสง

    ดังนั้นคนที่นั่งสมาธิไม่เห็นนิมิตก็อาจเห็นแสงสว่างได้ สมองคนเราบันทึกพวกนี้ไว้อยู่แล้ว เช่น ภาพต่างๆที่เคยเห็นถูกนำไปฉายตอนฝัน ......
     
  8. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ถ้าเห็นภาพได้ก็เห็นแสงได้ หรือถ้าเห็นแสงได้ก็สามารถเห็นภาพได้ จัดใน

    หมวดหมู่เดียวกันครับ อยู่ที่ว่าจะเห็นอันไหนก่อนอันไหนหลัง
     
  9. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    จิตรวมก่อน แล้วเกิดแสง จากนั้นแยกไปหลายทาง

    แล้วแต่เจ้าของจะเล่น

    ตามแสงไป จะเห็นภาพสถานที่ต่างๆ

    กำหนดย้อนหาต้นแสง จะเห็นตัวเองนั้งอยู่

    กำหนดถาม ตัวเราอีกตัว จะพูดกับเจ้าของ

    กำหนดดู เห็นตัวอีกตัวแปลงร่างได้สารพัด

    เป็นสัตว์ก็ได้ เป็นชายหญิงก็ได้ เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้

    กำหนดเพ่ง ตัวเราอีกตัวหาย เป็นความว่างไม่มีประมาณ


    สรุป หากิเลสไม่เจอ!!!

    .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2016
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คลื่นความถี่สมอง ที่เกือบเป็นเส้นตรง หรือที่มักเรียกกันว่า
    อารมย์อุเบกขา บ้างก็เรียก ฌาน ๔ มีค่าประมาณ ๐ Hz
    ตรงนี้มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบได้
    ในอากู๋ ก็หาอ่านได้...
    ส่วน Cosmic ray หรือรังสีคอสมิก มีส่วนประกอบจาก
    โปรตอนและนิวเคลียสอะตอมพลังงานสูง ส่วนใหญ่กำเนิด
    นอกระบบสุริยะ และมีที่มานอกโลก ตรงนี้หาอ่านได้
    ตามอากู๋ เช่นกัน

    ส่วนพลังงานจักรวาล มีแหล่งกำเนิดจากภายในร่างกาย
    หรือพลังจากตัวมนุษย์เราเองกับ
    และพลังงานภายนอกร่างกายที่เรียกกันว่าพลังงานจักรวาล
    มีความเชื่อว่า มาจากพวกแอตแลนติส
    เป็นพลังงานที่มีประโยชน์ตรงสามารถมาใช้รักษาผู้ป่วยได้
    เป็นแพทย์ทางเลือก
    ข้อมูลที่กล่าวมานี้หาอ่านได้ตามอากู๋ ครับ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ขอบคุณครับ แต่ความจริงแล้ว พวกเรา "ยังเตาะแตะ" อยู่มาก ในวงจรระดับ "ออกจากอัตตา เข้าสู่ จักรวาล (อัตตะจักรวาล)" ตรงนี้

    +++ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ "การใช้ภาษา" หากใช้บนโลกมนุษย์จะตรงและถูกต้อง แต่หากนำมาใช้กับปรากฏการณ์ตรงนี้ มันมักจะไม่ตรงเสียเลยทีเดียว

    +++ เช่น คำว่า "แสง (light)" ในโลกมนุษย์นั้นตรงตามอาการและความเข้าใจได้อยู่ แต่ถ้าอยู่ในอวกาศ คำว่า "แสง (light)" จะไม่ตรงตามอาการ เพราะอาการหลัก ๆ กว่า 90 % ขึ้นไปจะเป็นการ "เรืองแสง (luminous)" มากกว่า

    +++ การ "เห็น" ต่าง ๆ จะเป็นลักษณะ Halogram (3 มิติ) ท่ามกลางความว่าง แต่มักจะผนวกการเห็น "ข้างใน" ของ Halogram นั้นด้วยจึงกล่าวได้ว่าเป็น 4 มิติมากกว่า ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจากพวก "นิมิต" ทั้งหลาย ที่เป็น 3 มิติ แม้ว่าจะคมชัดแบบ 4 K ก็ตามแต่ทุกอย่างจะเห็นแค่ "เปลือกนอก" เท่านั้น

    +++ หากใครมี "แว่น หรือ เลนซ์นูน" ลองเอามา ส่องหรือทำมุมสะท้อนแสง จนตัวภาพลอยหลุดออกมาจากเลนซ์ ลอยอยู่ในอากาศ ก็จะพอทราบได้เองว่า การเห็นแบบ "ญาณทัศนะ" นั้นแตกต่างไปจากการเห็นแบบ "นิมิต" โดยสิ้นเชิง (ตรงนี้เป็นการ สาธิตตัวอย่าง เท่านั้น)

    +++ อาการเห็นแบบ "นิมิต" นั้นส่วนใหญ่สามารถ "ระบุชี้ ตามสัญญาอาการได้" แต่การเห็นแบบ "ญาณทัศนะ" นั้น มักจะเป็นสิ่งที่ "เกิดมาไม่เคยเห็น" หรือ สัญญาไม่เคยมีมาก่อน เช่น "มนุษย์ที่ไม่ใช่ Homo sapiens" ไม่ใช่ยักษ์ รวมทั้งอสุรกาย ตามสัญญาความจำ เป็นต้น

    +++ เพียงแค่ต้องการระบุว่า คำว่า "เห็น" นั้น ไม่ใช่มีแค่ "ตาเห็น หรือ จิตเห็น" เท่านั้น อาการที่เรียกว่า "สติเห็น" ก็มีอยู่ด้วย ที่ทางสายพระป่าท่านมักจะพูดว่า "ตาสติ ตาปัญญา" ก็คือ ตรงนี้นั่นแหละ ส่วนการเรียนรู้นั้น "ทางโลกเน้นในเรื่อง การแข่งขันของ ความมีอัตตา + ความคิด + ความจำ" ส่วนการเรียนรู้ของ "อัตตะจักรวาลนั้น ไม่มีอัตตา + รู้ธรรมเฉพาะหน้า"

    +++ อย่างที่เคยกล่าวไว้แล้วว่า ต้องออกจาก "อัตตา" ก่อน จึงจะออก "จักรวาล" ได้

    +++ ดังนั้น "อัตตาจึงถูก วางทิ้งไว้ เบื้องหลัง" สิ่งที่เหลืออยู่คือ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" เท่านั้น นะครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    รู้ธรรมเฉพาะหน้า ถ้าพูดในเรื่องของ กิริยาที่เกิดกับจิต...
    หมายถึง การรู้ที่ไม่ใช่มีตัวเราเข้าไปกระทำ เป็นการรู้ที่เกิด
    จากภายในของจิตเองไม่ว่าเรื่องอะไร..
    เป็นการรู้ที่จิตกระทำไปเองเป็นไปเองเพื่อคลาย
    สิ่งที่จิตสงสัย พอรู้แล้ว ก็ละ ก็ปล่อย ก็วาง...
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า จิตจะไปรู้อะไร
    ซึ่งเป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆ
    ที่เคยสะสมมา ซึ่งแล้วแต่ว่าจะสะสมมาทางด้านไหน...
    ประมาณนี้ไหมครับ คุณ ธรรมชาติ
     
  13. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    แสดงความเห็นส่วนตัวสักนิด

    ถ้าพระท่านเทศน์อย่างนี้กับท่าน ขอแนะนำว่า ท่าน จขกท อาจมีความสามารถฝึกกรรมฐานข้อนี้ได้ หรือที่เรียกว่า มีศักยภาพ (ไม่ใช่คำว่า มีของเก่า ซึ่งอ่านแล้วจะเข้าใจผิดได้)

    ท่านลองนั่งสมาธิกำหนดจิตไว้ที่กึ่งกลางกระโหลกระหว่างตาทั้งสองของท่าน แล้วทำจิตให้สงบ ทำความรุ้สึกในกายและจิตไปพร้อมกัน แล้วมันจะเป็นไปเอง จากนั้น ท่านก็ต้องฝึกฝนเอาเองว่า จะพิจารณาดูอะไร จะดูรูป หรือดูธาตุ ก็ตามจะพิจารณา แล้วให้ยกขึ้นสู่วิปัสสนาต่อไป

    ปล. ถ้าท่านลองทำ ท่านจะรู้ ไม่ต้องถามใครแล้วครับ
     
  14. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    อธิบายได้ดีครับ เก่งและมีความสามารถมาก...
     
  15. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    ขอบคุณท่านนพและท่านณฉัตรที่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ...
    ผมยังต้องฝึกอีกมากครับ ตอนนี้ก็ได้แต่นำเอาเรื่องราวของครูบาอาจารย์
    มาเล่าให้ฟัง...เผื่อว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิคที่สนใจปฏิบัติธรรม
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขออนุญาตพูดอีกเรื่องครับ เรื่องที่ครูบาร์อาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า
    เราจะเดินเข้าไปในเส้นเลือดได้นะครับ...
    ถ้าพูดจากประสบการณ์นะครับ..
    วิธีที่คุณ ณฉัตร แนะนำไว้ใน #33 นั้นหลักการนี้ถ้าทำตาม
    จะไปโหมดอย่างที่จะไปเดินในเส้นเลือดไม่ได้ครับ..
    เพราะว่าจิตมันจะผลิกขึ้นไปในรูปของวิชาเดินธาตุแบบในดงครับ
    โดยกิริยาของจิต มันจะทิ้งธาตุทั้ง ๔ ที่รวมเป็นร่างกายไปสู่
    อากาศ วิญญาน และความว่าง แต่กิริยาตรงนี้ถ้าทำได้เหมาะ
    สำหรับการยกขึ้นพิจารณาเพื่อเข้าสู่วิปัสสนาอย่างที่ คุณ ณฉัตร กล่าวไว้ครับ...
    และถ้าเราเข้าถึงได้จริง เรื่องการรับรู้ในเรื่องพลังงานภายนอกและภายใน
    จะเกิดขึ้นเป็นปกติกับตัวจิตเรา ใช้งานได้ในระดับลืมตาปกติครับ
    ตรงนี้เอาไว้ตรวจสอบว่าเราทำได้จริงหรือไม่ได้จริงครับ

    แต่ถ้าจะเดินในเส้นเลือดนั้น..ยังไงก็ต้องนั่งสมาธิแบบมีพื้นฐานแบบอาปาฯ
    เป็นต้นทุนนะครับ เพราะถ้าขึ้นกรรมฐานด้วยรูป มันจะไปออกทางด้านการ
    อฐิษฐานจิต หากแม้ว่าชำนาญพอที่จะทิ้งรูปและขึ้นรูปใหม่ มันก็จะข้ามไป
    อรูปฌานอีกครับ หรือถ้าไปปั่นปฏิภาคนิมิตรอีกก็จะไปได้ทางกำลังจิต
    ไปได้ทางเล่นในเรื่องพลังงานแทนครับ...

    ดังนั้นเมื่อผ่านอาปาฯแล้ว ยังไงก็ต้องนั่งให้ถึงระดับกำลังฌาน ๔ เป็นทุน
    (อาจจะต้องฟิตหน่อยนะครับ คือ มีเวลา ไม่มีภาระทางโลกอะไรตกค้างจริงๆ)
    และเมื่อเข้าถึงฌาน ๔ ได้จริงๆแล้วนั้นครั้งแรกที่เข้าถึงได้นะครับ ตัวจิตมันจะไม่อยู่ในร่างกายเราแน่นอนครับ
    ถ้าเราทำได้ถึงสภาวะจริงๆนะครับ คือ จะอยู่แถวๆนั้นหละครับ จะเห็นร่างกาย
    เรานั่งอยุ่ด้วยครับ และการออกไปก็มักจะหกคะเมนตีลังกา ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ
    ถ้าแบบเงียบๆ คล้ายๆฝัน ตรงนี้ยังเป็นอุปจารสมาธิครับ ซึ่งต้องระวัง
    เพราะว่าอาจทำให้หลงตัวเองได้ว่าเข้าสมาธิระดับสูงได้อย่างคาดไม่ถึงครับ

    เราต้องมาเจริญสติให้ต่อเนื่องเพิ่มเติมระหว่างวันด้วยครับ
    สะสมสมาธิเพิ่มเติมระหว่างวัน คือ นั่งเอาแค่สงบประมาณ ๕ ถึง ๑๐ นาทีพอ
    แล้วมานั่งใหม่ ต้องประมาณ ครั้งที่ ๓ ถึง ๔ นะครับ
    ตัวจิตมันถึงจะแยกขาดกับร่างกายได้ชั่วคราวจริงๆ
    และเราถึงมีกำลังสติทางธรรมบังคับให้จิตมันนิ่งๆในกายเราได้ครับ
    เราจะมองเห็นผนังท้องด้านในเราได้เลยหละ
    ในสภาวะที่ใช้ชีวิตปกติประจำวัน และแม้ว่าจะพยายาม
    นึกหรือคิดมันก็จะนึกไม่ออกด้วยครับ

    ถึงตรงนี้จะวิ่งไปดูอวัยวะร่างกายส่วนไหนก็ได้ครับ
    แต่ถ้ามาถึงตรงนี้ได้ ต้องพึ่งระลึกไว้ว่า
    จิตมันอาจจะไปได้ ๒ กรณีครับ
    (ย้ำว่า ๒ กรณีและไปของมันเองครับ) คือ ๑.วิ่งดูอวัยวะภายในร่างกายเรา
    หรือเดินไปในเส้นเลือด หรือ ภายในกายเราเป็นโพรงเพราะจิต
    วิ่งในเส้นเลือด จนกระทั่งมันไปหยุดที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง
    แล้วเกิดการระเบิดเสียงดังกัมปนาท นั่นหละครับ ถ้าถึงตรงนี้
    ตัวจิตจะตัดกิเลสเรื่องการยึดติดร่างกายได้ในระดับละเอียดครับ..

    แต่ถ้าต้นทุนเดิมจิตเป็นประเภทใช้งานทางจิตมาก่อนหรือหนัก
    มาทางด้านการใช้งาน ตัวจิตมันก็จะไปที่ข้อ ๒ คือวิ่งเหมือนซ้อนเข้าไปซ้อนเข้าไป
    เรื่อยๆในจิตเอง และสุดท้ายก็เกิดการระเบิดดังกัมปนาทเช่นกัน
    ตรงนี้ถ้าทำได้นะครับ เวลาเราลืมตาปกติตัวจิตจะเกิดความสามารถ
    พิเศษขึ้นและสามารถใช้งานได้เลยในสิ่งที่จิตเคยสะสมมาครับ
    เช่น เห็นคล้ายตาทิพย์ภาพปรากฏในอากาศ รู้อดีต รู้วาระกรรมฯลฯ

    และทั้ง ๒ อย่างที่จะเกิดนี้ เราจะไม่สามารถเลือกได้ว่ามันจะเกิดแบบไหน
    ด้วยครับ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาเดิมแท้จิตเราที่เคยสะสมมาครับ
    แต่วิธีที่ ๑ ถ้าสามารถวิ่งไปดูอวัยวะใดๆในร่างกายเราที่มันเคย
    เจ็บป่วยเรื้อรังมาได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถ้าเห็นจนมันระเบิดได้
    อวัยวะส่วนนั้นมันจะหายกลับเป็นปกติได้อย่างอัศจรรย์ครับ..
    ปล.ขอจบส่วนที่เพิ่มเติมประมาณนี้ครับ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ในวรรคนี้ "มันเป็นอย่างนั้น 100 %"

    +++ หากเทียบง่าย ๆ ก็คือ "แค่ รู้ ดีกว่า ไม่รู้" ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไร

    +++ ถึงแม้กระทั่ง ไม่ว่าจะรู้อะไรก็ตาม สิ่งที่เรียกว่า "เชื่อ" ก็ไม่ปรากฏเกิดขึ้นตามมาทีหลังเลย แม้แต่น้อย (มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ)


    +++ ตรงนี้ไม่ได้เกิดจากการที่ "จิตสะสม" แต่มันเกิดจาก การเรียนรู้ขีดความสามารถของ "ขันธ์ในสภาวะการณ์ต่าง ๆ และใช้งานมันให้เข้ากันกับ สถานการณ์" เท่านั้นเอง

    +++ ตรงนี้เป็นการ "ประยุกติ์" มาจากคำพูดของ พระอุปัชฌาย์ (เป็นพระธาตุ) ของผมที่เคย "เปรย ๆ แบบยิ้ม ๆ" กับผมเป็นการส่วนตัวนานแล้วว่า "เห็นจิต ฝึกจิต ใช้จิต" ประโยคนี้เท่านั้น ผลลัพธ์ออกมา "มากเกินพอ" จริง ๆครับ
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เท่าที่ตนเองทราบมาหลังฉากดำนั้นคือแดนสุญญตา
    หากจะพ้นจากฉากดำนั้นไปได้จิตต้องใสพิสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์เท่านั้น
    คล้ายเปรียบเสมือนหลุมดำที่มีแรงดึงดูดไม่มีสิ่งใดหลุดลอดออกไปได้เลยแม้แต่สิ่งเดียว
    นอกจากสิ่งที่มีความเร็วกว่าแสง ประมาณนี้นะคะ เปรียบเทียบกัน
    เพราะตัวjityimเอง เคยลงไว้ในห้องวิทยาศาสตร์2 กระทู้จึงเข้าใจได้ว่า
    ท่านธรรมชาติกล่าวไว้คืออะไร นึกภาพออกเลย ลองอ่านคร่าวๆที่กระทู้ของjityim เพื่อเป็นแนวอีกทางประกอบกันก็ได้ค่ะ

    ออกตัวไว้ก่อนห้ามติงกันนะคะ ว่าปฎิบัติระดับนี้นะเหรอจะมาโพสลงในสิ่งนี้เพียงแค่ว่าใครสนใจอยากรู้อีกทางนึงนะค่ะก็ดีเหมือนกันนะ เพราะตนเองเห็นภาพได้จากการอ่านโพสของท่านธรรมชาติค่ะ เผื่อท่านธรรมชาติจะได้ท้วงติง ว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่นะคะ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คำว่า "แดนสุญญตา" นี้ปกติผมไม่ได้ใช้ เพราะคำ ๆ นี้ แต่ละครูบาอาจารย์อาจชี้ไปที่ "อาการต่างกัน"

    +++ ผู้ที่ผ่าน นิโรธสมาบัติ และ ไขปริศนาของการออกจากนิโรธได้ จะทราบว่า ในนิโรธเองก็ยังมี "อนุภาคอิสสระ" ยังถือว่ามี "สังขตะธรรม" อยู่แม้ว่ามันจะเป็น "วิสังขาร" ที่ไร้การปรุงแต่งก็ตาม

    +++ ตรงนี้ในกระทู้สอน "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" ที่ผมกล่าวไว้ในโพสท์ที่ 1 เริ่มที่ "กรรม-ฐาน เป็นเรื่องของ 2 สภาวะเท่านั้น คือ สภาวะที่อยู่ในส่วนของ "กรรม" (มีการกระทำ มีการทำงาน Dynamic) กับสภาวะที่อยู่ในส่วนของ "ฐาน" (ไร้การกระทำ ไร้การทำงาน Static)" นั้น ตรงนี้ผมเริ่มที่ "ปริศนาของ นิโรธสมาบัติ"

    +++ หากจะเทียบก็คือ "เนื้อความว่าง ที่มี อนุภาคเคลื่อนที่" ประกอบอยู่ด้วยกัน โดยมี "เนื้อความว่างเป็นภาชนะ"

    +++ หากจะพูดถึง เนื้อนิพพานแล้วคำว่า "ไกวัลยธรรม" จะชี้สภาวะได้ 100 % ที่สุด ยกเว้นนิดหน่อย ตามภาษาในยุคปัจจุบัณ

    +++ ประโยคที่ว่า เป็น "ความโดดเดี่ยวที่สุด" นั้น หากเป็นการใช้ภาษาของผม จะเป็น "ความเป็น เอกภาพที่มั่นคง ที่สุด"

    +++ ส่วนประโยคที่ว่า "ความแข็งเป็นดุ้นเป็นก้อนเดียว" ผมใช้ภาษาว่า "ความว่างที่เป็นปึกแผ่นอันเดียว"

    +++ ตรงนี้ "เป็นความเข้าใจทางภาษาที่ต่างยุคกัน" แต่อาการทั้งหมด ชี้ไปที่เดียวกัน

    +++ ส่วนอาการของ "ฉากดำ" นั้น ตัวจิต จะต้อง "เป็นเนื้อของฉากดำ" นั้นให้ได้เสียกก่อน ตัวจิตจึงจะ "ใสพิสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์" ตรงนี้ต้องทำเอา

    +++ เมื่อ "จิตว่างสนิท จน ไร้สังขารจิต" แล้วเท่านั้น จิตจึง "เป็น" เนื้ออวกาศ "ฉากดำ" (แม้แต่ แสง ก็ถูกบันจุอยู่ในภาชนะแห่ง เนื้ออวกาศ) ได้

    +++ ตรงนี้เป็น "อาการของนิโรธ" ที่กำลัง "รอวาระแห่งการเกิดตน" และเมื่อ "ตนเกิดเมื่อไร ให้ ระเบิดตน ทิ้งทันที" (ตรงนี้คือ พบผู้รู้ ให้ทำลาย ผู้รู้)

    +++ ณ ขณะที่ "ตนระเบิดออก" สภาวะ "เจิดจ้าแห่ง พรรณรังสี" จะเกิด ณ ตรงนี้ ก็ให้ "อยู่อย่างนั้นไปเลย" (หากคำว่า ฉัพพรรณรังสี สงวนไว้สำหรับ พระพุทธเจ้า เท่านั้น ผมก็จะใช้แค่คำว่า "พรรณรังสี" เฉย ๆ ก็แล้วกัน)

    +++ หากอยู่ใน "พรรณรังสี" ได้สนิทดีพอจะมีอาการหนึ่งเกิดขึ้นใน เนื้อแห่งพรรณรังสีนั้น คือ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ตรงนี้ ผมยืนยัน 100 % และผู้ที่ฝึกกับผมจนถึงชั้น "พรรณรังสี" ได้ "ทุกคนไม่มีข้อยกเว้น" จะเจออาการของ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ทุกคนเป็น "สักขีพยานธรรม" ตรงนี้ได้ดี ให้ไปหาอ่านในเรื่อง "ในวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต บรรลุธรรมขั้นสูงสุด" เอานะ จะเข้าใจได้เองว่า "มันเป็นอาการเดียวกัน" กับที่หลวงปู่มั่นเจอ นั่นเอง

    +++ หาก "การปฏิบัติธรรม" มาถึงตรงนี้แล้ว "ห้ามเผยแพร่" นั้น ตรงนี้ "จะมีเฉพาะ พวกมารที่ขวางการปฏิบัติธรรม เท่านั้น" เป็นพวกที่พูดแบบนี้ และ "นรก" คือที่ไปของ พวกมัน ไม่มีข้อยกเว้น

    +++ ให้คุณ jityim "ระเบิด ตน อัตตา ตัวดู" ทิ้งให้เรียบร้อยเสียก่อน จนอาการแบบ "หลวงปู่มั่น" ปรากฏแก่ตน แล้วมา "สนทนาแลกเปลี่ยน การใช้ภาษา" กันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อพุทธศาสนิกชน โดยทั่วไป

    +++ ขอให้คุณ jityim รีบ ๆ ทำตรงนี้ให้ผ่านโดยเร็ว และ เต็มไปด้วย "ความไม่ประมาท" นะครับ
     
  20. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    เล่าแบบรวมๆไปละกันครับ

    ที่เห็นแสงสีขาว วิ่งไปในดำ ความรุ้สึกของแสงสีขาว คือตัวผมเองครับ และที่วิ่งออกมาจากดำ ก็คือ

    ตัวผมเองอีก เหตุเกิดประมาณสี่ ถึงห้าเดือนแล้วครับ สำหรับก่อนหน้านั้น จะเป็นไปตามโพสข้างล่าง คือ


    ผมเห็นตัวจักรวาล หรือ อวกาศ ที่มีดวงดาวเล็กๆ เต็มท้องฟ้า เห็นมาหลายครั้งจนเป็นเรื่องปรกติ ต่อมา

    ดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้า หรืออวกาศได้หายไป กลายเป็นสถานที่มืด ดำสนิท ไม่มีแม้กระทั่งแสงอาทิตย์

    ส่องเข้าไปถึง ต่อมา สถานที่มืดดำสนิท นั้นได้หายไป กลายเป็นสถานที่สว่างไสว ผมรู้สึก ถึงตัวผมเอง

    ได้ไปยืนอยู่ ณ สถานที่นั้น ผมหันไปมองรอบตัว โดยไม่ต้องเอี้ยวคอ หรือหันซ้ายขวา สถานที่แห่งนั้น

    เต็มไปด้วยแสงสว่าง ลักษณะสีขาว นวลตา และมีความรู้สึก เย็นอย่างประหลาด จะมองไปทางไหน ก็มีแต่

    สภาพของแสงสว่างสีขาว นวลตา และเย็นอย่างประหลาด


    ป.ล. การเข้าไปยังสถานที่แต่และแห่ง ความรู้สึกของตัวผมเอง คือลอยเข้าไป และ ลักษณะของการลอย

    จะเป็นการเดินหน้าอย่างเดียวครับ และพอถึง สถานที่สว่างและเย็น จะเหมือนกับเรายืนติดอยู่กับที่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...