เซียน เทวดา นางฟ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Niasa, 14 มิถุนายน 2009.

  1. Niasa

    Niasa สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เซียน ต่างจากเทวดายังไงหรอ

    แล้วการจะไปจุติเป้นเซียน ต้องบำเพ็ญยังไงบ้างหรอค่ะ

    แล้วเทวดา นางฟ้า ต้องบำเพ็ญรึเปล่าค่ะ
     
  2. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เรื่องทางมหายานที่เกี่ยวกับเซียน แต่ในพุทธศาสนาแบบเถรวาทจะกล่าวถึงเทวดา สำหรับทางมหายานก็คงลองดูเพื่อนสมาชิกท่านอื่น แต่เทวดา ต้องมีศีลและหิริโอตัปปะละอายต่อบาปและช่วยเหลือมนุษย์ที่มีคุณธรรม ถึงจะเป็นเทวดาได้ครับจะอยู่ระดับใดก็ขึ้นอยู่กับบุญและบารมีของแต่ละท่านที่ทำมา
    แต่คำว่า เซียน อาจหมายถึงความเก๋งเฉพาะทางก็ได้นะ เช่น เซียนพระเครื่อง ก็ได้นะเป็นคนธรรมดาก็ได้
     
  3. nttr

    nttr สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +3
    เซียน คือพ่อมด ผู้วิเศษ คนธรรพ์
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ภาษาจีนน้อง......จริงๆก็อันเดียวกัน.....อย่าไปคิดมาก...
     
  5. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ไหนๆจะเดินทางทั้งที ทำไมไม่ตีตั๋วสู่นิพพานไปเลยล่ะเนาะ
    เพื่อไว้น่ะ เพราะระหว่างอาจมีเหตุปัจจัยอย่างอื่นให้ตกข้างทางเสียก่อน แต่ก็ยังดีที่เลือกที่จะเกิดได้ใช่ไม๊ล่ะ หือ ??

    จะเข้าใจที่พูดไม๊หนอ..??

    เจริญในธรรมกันนะครับ
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    วิธีปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมากครับ.......เทวธรรม...หิริ...โอตัปปะ.....ครับ

    รักษาศีล ทำสมาธิ หมั่นสวดมนต์.......อย่างน้อยก่อนนอนก็ได้....ทำทุกวันนะครับ......

    นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.......ทำทาน ปกติ เท่าที่ทำได้..........กตัญญูต่อพ่อแม่........เชื่อฟังตามท่าน...ไม่ทำให้ท่านเสียใจ........

    ไม่ก็นับถือเจ้าแม่กวนอิมก็ได้....ไปอยู่สุขาวดี....เป็นเซียน....ลูกศิษย์ท่าน....ดีๆ....เก่ง....ทั้งนั้น......

    นิพพาน...ตอนนี้ยังไม่อยากไป....ก็ไม่ไป......ไปอยู่ สุขาวดี ก่อนก็ได้.....เตรียมนิพพาน....หรือจะช่วยสัตว์......ก็แล้วแต่....

     
  7. เจษฎา ทุ่มนุ่ม

    เจษฎา ทุ่มนุ่ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +5
    ตอบนะครับ เซียน เป็นคติของผู้สำเร็จในทัศนคติของศาสนาเต๋า
    เซียน นี่หมายถึง ผู้เป็นอมตะ เข้าถึงมรรคผลอันมิอาจประมาณได้ เข้าถึง สภาวะเต๋า
    ซึ่ง เทวดา เป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่มีความสุขสราญอยู่ในสรวงสวรรค์
    ซึ่งยังไม่สำเร็จเป็นพระอริยเจ้าเข้าถึงธรรม เหมือนเซียน
    และเซียนนี่ ถือเป็นอุดมคติเต๋า ไม่ใช่ อุดมคติของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานแต่อย่างไร

    การบำเพ็ญของเซียน ต้องอาศัย จิตสงบสยบกิเลส รวมจิตเป็นเอกะ
    ในคัมภีร์เต๋าต่างๆ จะระบุชัดว่า แท้จริงเต๋า คือสภาวะธรรมที่เป็นบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียว
    แต่เมื่อมนุษย์มีจิตปรุงแต่งจึงแยกขาวดำ และ ห่างไกลจากเต๋า มีการเกิดตาย
    มนุษย์จึงมีหน้าที่กลับคืนสู่ภาวะเดิมคือเต๋า เป็นอมตะ เป็นสุขนิรันดร์

    ส่วนเทวดา นางฟ้า เป็นอุดมคติของพระพุทธศาสนา และ ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งในทางพุทธหมายถึง บุคคลที่ประพฤติชอบ ตั้งอยู่ในความดี (แต่มีกิเลส) ก็เลยยังอยู่ในทิพยสภาวะ เป็นเทพเทวดาอยู่ในสวรรค์
     
  8. เจษฎา ทุ่มนุ่ม

    เจษฎา ทุ่มนุ่ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +5
    โพสต์นี้ แนะนำอาวุโสนะครับ ผู้น้อยขอแนะนำอาวุโส เป็นสิ่งที่มิบังควรอย่างยิ่ง จะเรียกพระโพธิสัตว์กอวโลกิเตศวรว่า เจ้าแม่กวนอิมนะครับ และเรื่องสุขาวดีเป็นทัศนคติของพุทธ เป็นอีกโลกมนุษย์นึงที่สุขสงบ และบัดนี้โลกนั้นยังมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์อยู่ จึงมีหลายคนปรารถนาไปอุบัติ ไม่ใช่ที่อยู่ของเซียน และเซียนเป้นอุดมคติของเต๋า ไม่ใช่ศิษย์พระกวนอิมครับ
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เซียนเป็นคติทางเต๋า

    เซียน ไม่ใช่เทวดา คนอาจเป็นเทวดาถ้าตายไป

    แต่เซียน ไม่ต้องตาย ไม่ต้องไปเกิดจุติอะไรทั้งนั้น

    เป็นเซียนต้องเป็นตอนนี้เลย เป็นตอนที่เป็นคนนี่แหละ

    ถ้าไปศึกษาจะพบว่า เซียน ของจีน กับพราหมณ์ ของอินเดีย ที่ถอดจิตไปสวรรค์นั้น คล้ายกันเลย

    (แต่ว่า ทางพุทธศาสนา ถือว่า ก็คือ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นแหละ)

    ที่แนวทางเซียน กับพราหมณ์ถอดจิต ต่างกับเทวดา ต่างกันตรงที่ การตายตามปกติในโลกนี้แล้วเกิดใหม่ แต่เซียน กับพราหมณ์ ไม่ต้องตาย ไม่ผ่านการตายเลย( หมายถึง ดวงจิตไม่สัมผัสสภาวะตายตามปกติเลย แต่ทางพุทธก็ถือว่า ตายอยู่ดี)

    ให้ฝึกฝนจิต บำเพ็ญความเพียรจน จิตมีศักยภาพเข้าออกจากกายนี้ได้ดั่งใจปรารถนา เมื่อเวลาร่างกายจะแตกดับ ก็ให้ก้าวออกจากร่างกายไปยังภพที่ต้องการได้เลย ดวงจิตในกายทิพย์หรือกายเซียน หรือกายพรหมณ์จะออกไปโดยไม่ต้องเข้าสู่สภาวะการตายเลย จิตวิญญาณจะสืบเนื่องเป็นเซียน หรือพรหม ตั้งแต่ออกจากร่างกายไป จนถึงสภาวะที่กายนั้นจะปรับสภาพอีกครั้ง (คือ เคลื่อนไปยังภพที่ตั้งใจไว้ จะเป็นการเกิดใหม่นั้นเอง (พุทธศาสนา คือ ตายแล้ว เกิด แต่ความเข้าใจคือ ไม่ตายเพราะยังทรงสัญญาต่อเนื่องจากภพมนุษย์ได้โดยไม่ต้องไปดมดอกไม้ระลึกชาติอะไรอีก)

    ดังนั้น ฝึกฝนไปนิพพานดีกว่าครับ แต่ถ้าไปไม่ได้ ก็เลี่ยงภพที่ไม่ควรไปได้ เช่น ตอนร่างกายจะแตกดับ ก็เข้าฌาณถอดจิตออกจากร่างก่อนเข้าสู่กระบวนการตายของร่างกาย ถอดจิตไปสวรรค์เพื่อรอพระศรีอาริย์ดีกว่า ดีกว่าลงนรกหรืออบายภูมิอื่น
     
  10. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ผมไม่มีความรู้เรื่องเซียนเลย แต่ที่รู้นิดหน่อยก็คือ เคยอ่านประวัติ โป๊ยเซียน
    พวกเซียนนี้ไม่ใช่พุทธนะครับ แต่เป็นหลักความเชื่อทางลัทธิเต๋า
    เซียนหมายถึงผู้สำเร็จครับ อาจเทียบได้กับอรหันต์ของพุทธนี่แหละ แต่เป็นผู้สำเร็จตามคติของเต๋า
    ผู้ปฏิบัติจะสำเร็จเป็นเซียนได้
    ต้องให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ การสำเร็จเป็นเซียนนั้นเลยฌานขึ้นไป
    จึงทำให้ผมสันนิษฐานว่า เทียบได้กับอรหันต์ของพุทธ แต่เป็นผู้สำเร็จตามคติเต๋า
    ผู้สเร็จเป็นเซียนแล้วก็สำเร็จตลอดไปไม่มีการเวียนว่ายกลับมาเกิดเป็นคนอีก
    ต่างกับเทวดาตามคติของพุทธมาก
    เพราะเทวดาของพุทธเป็นผู้ทำความดีในระดับ ทานศีล เท่านั้น
    และสูงกว่าพรหมตามคติพุทธ เพราะผู้สำเร็จเป็นเซียน อย่างพวกโป๊ยเซียนนั้น สูงกว่าผู้ได้ฌาน
    (สังเกตจากประวัติ องค์แรกของแปดเซียน คือทิกวยลี่ ตอนที่ท่านยังไม่สำเร็จเป็นเซียนนั้น
    ท่านก็ได้ฌาน สามารถนั่งสมาธิถอดวิญญาณออกจากร่างได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่เซียน
    ต่อมา มีครั้งหนึ่ง ท่านนั่งสมาธิถอดจิตเพื่อไปทำธุระอย่างหนึ่ง
    ก่อนถอดจิตท่านสั่งลูกศิษย์ที่รับใช้ว่า ถ้าเห็นท่านนั่งนิ่งไม่หายใจ อย่าให้ใครมาทำอะไรกับสังขารของท่าน
    แต่พอผ่านไปหลายวัน ลูกศิษย์เห็นท่านนั่งนิ่งไม่มีลมหายใจ จึงเข้าใจว่าท่านตายแล้ว
    จึงได้ทำการเผาศพท่าน
    ครบเจ็ดวัน วิญญาณท่านกลับเข้าร่างไม่ได้ เนื่องจากร่างกายถูกเผาไปแล้ว
    ท่านจึงหาร่างมนุษย์ที่เพิ่งตายใหม่ๆ ได้ร่างขอทานขาเป๋คนหนึ่ง
    ท่านเข้าสิงอาศัยอยู่ในร่างนั้น ต่อมาท่านได้รับมอบคัมภีร์ของเซียน
    ปฏิบัติไปตามคัมภีน์นั้น ก็ได้สำเร็จเป็นเซียนคนแรกของแปดเซียน นามว่าทิกวยลี่)
    การสำเร็จเป็นเซียนเหนือกว่าผู้ได้ฌานตรงที่ ผู้สำเร็จเป็นเซียนแล้ว ร่างกายและชีวิต
    เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย
    แต่ผู้ได้ฌาน ร่างกายยังมีแก่และตาย
    ดังนั้นผมจึงได้เปรียบเทียบเซียนว่า เท่ากับอรหันต์ของพุทธ แต่เป็นผู้สำเร็จตามคติของเต๋า ไม่ใช่พุทธ
    พวกเซียนนี้หากจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดก็คงคล้ายกับ พระเหนือโลกอย่างเช่น
    พระคณะหลวงปูโลกอุดร ที่ท่านมีชีวิตอยู่หลายร้อยปีตามที่เขาเล่าลือกัน
    ดังนั้น เซียนจึงเหนือกว่า เทวดา และพรหม ตามคติพุทธ เนื่องจากว่าคนเป็นเทวดานั้น ต้องตายก่อนจึงค่อยไปเกิดเป็นเทวดา
    และคนเป็นพรหมนั้น ก็ต้องตายก่อน แล้วจึงเกิดเป็นพรหม
    แต่เซียน เมื่อสำเร็จเป็นเซียนแล้วก็มีร่างกายและชีวิตเป็นอมตะอย่างนั้นเลย
    ทั้งยังมีฤทธิ์เดชประการต่างๆ
     
  11. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อันนี้ ผมก็อ่านและเค้าก็มีละครซีรี่ย์ออกมาด้วยนะครับ

    แต่ที่ผมบอกว่า ยังไงๆ เซียนก็ไม่ใช่พระอริยะในสายของพุทธอย่างแน่นอน

    ไม่ใช่ อคติ แต่ผมพิจารณาจาก ที่ผมอ่านตำราเกี่ยวกับ การบรรลุเซียนครับ

    ซึ่ง หลักใหญ่ของเต๋า ที่จะบรรลุเซียน เป็นเรื่องของ หยินหยาง ในร่างกายของมนุษย์ และวิธีการแปรธาตุของเต๋าเพื่อปรับธาตุหยินหยาง และรับพลังหยินหยางจากจักรวาล (อุปมา หินศิลาที่รับพลังธาตุจนกลายเป็น หงอคง) ก็ไม่พ้นวิธีการทาง สมถะ ไม่เคยได้ยินว่ามีส่วนการวิปัสสนาเลยด้วยซ้ำ

    และการที่แปรธาตุได้ ต้องมีต้นทุนที่เพียงพอ นั้นคือ ปราณธาตุ ซึ่งการสะสมปราณธาตุนี้แหละที่เป็นปัญหาสำคัญของคนฝึกฝนเข้าถึงเซียน เพราะว่า หลักของเซียนนั้น ต้องบรรลุเซียนเมื่อร่างกายยังไม่แตกดับ นั้นคือ ทำให้คนฝึกฝนต้องทำให้ร่างกายอยู่นานที่สุดจนกว่า จะบรรลุเซียน เพราะถ้าร่างกายแตกดับก่อนบรรลุเซียน จะหมดโอกาสทันที ต้องเริ่มใหม่ นิยายละครเซียนหลายเรื่อง การกำเนิดใหม่ หรือ reborn จึงต้องนับหนึ่งใหม่ (เรื่อง จิ้งจอกเก้าหาง ที่มีการแต่งเติม)

    การสะสมพลังปราณธาตุจักรวาล ให้เพียงพอเพื่อมาแปรธาตุในกายสร้างน้ำอมฤต หลักนี้ อาจนึกถึง ปีศาจงูขาว ที่สะสมพลังวัตช้านานนับพันปี ซึ่งหากประคองตัวอาจบรรลุ เซียนได้ โดยนั่งสมาธิ(ภาพที่เห็นคือ การนั่งสมาธิ) และสำหรับคน จึงกลายเป็นคนที่เหมือนเป็น อมตะ อย่าง จางซันฟง ทีตำนานกล่าวว่า อาจมีอายุกว่า ๓๐๐ ปี

    โดยหลักการฝึกฝนเพื่อบรรลุเซียน หากจะมีคนกล่าวถึงความพิศดารกว่านี้ ก็กล่าวมาได้เลย ซึ่งความจริง หากปราศจากหลักวิปัสสนาญาณแบบเดียวกับทางพุทธ ต่อให้ อยู่เป็นหมื่นปีหรือมากกว่า อย่างพญานาค ที่ตื่นมาก็กล่าวว่า อุ้ย มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติอีกล่ะ พญานาคท่านนั้น ตามหลักเต๋าก็คือเซียน แต่โดยหลักการและวิชามีเท่านี้(ขาดด้านวิปัสสนาญาณ) เซียน จึงไม่มีทางบรรลุุเทียบเท่าพระอรหันต์หรือแม้แต่พระโสดาบันเลย

    ดังนั้น ถ้าใครทราบ หลักการมากกว่านั้น ที่เห็นถึงการฝึกฝน วิปัสสนาญาณแบบพุทธ ผมจึงจะยอมรับได้

    นอกจากนี้ ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ตรัสถึง ความเป็นอมตะ แล้วมีชาดก ตอนที่พระองค์เสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ยิ่งกว่าใคร ซึ่งตามหลักทางพุทธ ตอนนั้น พระโพธิสัตว์(อดีตเฉพาะพระพุทธองค์) ท่านแม้อมตะ ยิ่งกว่าใคร ก็ถือว่า มีการเคลื่อนอยู่ดี แม้จะซ้อนกัน ก็ถือว่า เคลื่อน

    หลักอมตะของพระองค์ที่ตรัสสอน คือ ทมะ จาคะ ขันติ

    นอกจากนี้ ผู้สำเร็จอภิญญา ๕ นั้น หากมีความฝึกฝนเป็นพิเศษ จะมีอิทธิวิธีประดุจพระเจ้า และอาจไม่ต้องตาย สามารถเป็นอย่างเซียน คือ เคลื่อนกายมนุษย์ไปยังอีกโลกได้ ซึ่งตามหลัก ยังไงร่างกายก็จะถูกแปรธาตุได้ เช่น อินเดีย ตามคัมภีร์มหาภารตะ ยุธิษฐิระขึ้นสวรรค์ด้วยกายเนื้อแต่จะต้องถูกชำระล้างด้วยน้ำคงคาบนสวรรค์อยู่ดี

    ประดุจเดียวกัน ฤาษีหรือดาบส ที่เขาหิมาลัย เมื่อบรรลุโยคะสูงสุด สามารถเดินเข้าไปอยู่ที่หิมพานต์ได้ ที่ๆ ซึ่งพระเวสสันดรเคยอาศัยอยู่ และมีอายุยืนยาวกว่าอายุขัยมนุษย์ในยุคของตน และมีหลายท่านอาจยังมีชีวิตอยู่มากกว่าเป็นพันปีหรือหมื่นปีด้วยซ้ำ แต่ว่า เค้าไม่ได้หลุดพ้น

    เซียน ตามเต๋าเมื่อบรรลุเซียนได้ ไม่ได้มีการบรรยายต่อว่า ฝึกฝนอะไร หลุดพ้นยังไง แต่เซียนเป็นอมตะอยู่อย่างนั้น ซึ่งขาดการวิปัสสนา เดิม เค้าแค่ได้ ถึงหลัก ทมะ จาคะ ขันติ เท่านั้น

    มีหลายตำนาน ที่กล่าวถึงว่า เซียนในสวรรค์ เซียนในนกายมหายาน ซึ่งเซียนอาจไปปรากฎที่สวรรค์ หรือแดนที่สามารถติดต่อกับผู้ที่อยู่แดนสุขาวดีได้
    แต่ตามคัมภีร์ปรัชญามหายาน แดนสุขาวดี ไม่ใช่ดินแดนนิพพาน เป็นแต่ดินแดนที่ฝึกฝนเพื่อไปนิพพาน ฝึกฝนอย่างน้อย 5 กัปร์

    การปรากฎในโลกธาตุนี้ของเซียน จึงแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่บรรลุเทียบเท่า พระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ท่านย่อมไม่มาที่โลกนี้(โลกสังขาร)

    ใครก็ตาม ที่สอนเรื่องการบรรลุเซียน หากไม่กล่าวถึงส่วนที่คล้ายวิปัสสนาญาณ ก็หมายถึงว่า ขาดการบรรลุมรรคผลอย่างแน่นอน และผมอ่านหลายที่ ไม่เคยปรากฎว่า มีการสอนวิปัสสนาญาณเลย

    ถ้าใครมี ก็ช่วยยกอ้างคัมภีร์ได้ ผมอ่านจากหลายที่

    ในมุมมองของผม พระโสดาบันที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามปกตินั้น ท่านอมตะกว่าเยอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2017
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ในพระพุทธศาสนานี้ ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์

    ปรารถนาเทพนิกายอย่างใดอย่างหนึ่ง พรหมจรรย์ของเธอชื่อว่าต่ำ เพราะเจตนาต่ำ. เธอย่อมบังเกิดในเทวโลกตามผลที่เธอปรารถนานั้น.

    ก็การที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ยังสมาบัติแปดให้บังเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลาง. เธอย่อมบังเกิดในพรหมโลก ด้วยพรหมจรรย์อย่างกลางนั้น.

    การที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ เจริญวิปัสสนา ยังอรหัตมรรคให้บังเกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างสูงสุด. เธอย่อมบริสุทธิ์ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูงสุดนั้น.

    http://www.84000.org/tipitaka/atita10/jataka10.php?i=4

    *****************************

    ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารีโดยชอบ...แต่เธอประพฤติพรหมจรรย์
    ตั้งปรารถนาเพื่อเป็นเทพเจ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่งว่า เราจักได้เป็นเทพเจ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง ด้วยศีล พรต ตบะ หรือพรหมจรรย์นี้

    เธอพอใจ ชอบใจถึงความปลื้มใจ ด้วยความปรารถนานั้น แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่าขาด ทะลุ ด่าง พร้อยแห่งพรหมจรรย์

    ดูกรพราหมณ์ ผู้นี้เรากล่าวว่า ประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธิ์ประกอบด้วยเมถุนสังโยค
    ไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาส เรากล่าวว่า ไม่หลุดพ้นไปจากกองทุกข์ได้ ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=1221&Z=1297


    เครดิตฟองสิเอ pantip ===> click
     
  13. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เพิ่มเติมนะครับ

    การฝึกฝนจนชำนาญในญาณสมาบัติและอภิญญา 5 ทำให้ท่านเข้าถึงสภาวะที่ ทมะ จาคะ ขันติ แกร่งกล้า

    บุคคลใดก็ตาม ลองนั่งเฉย นั่งสมาธิเฉยๆ อย่างนั้น มันจะคืนสิ่งที่เคยทำได้มา ท่านที่นั่งแล้วปรากฎว่า นั่งบนดอกบัวที่กลางทรวงอก นั้นแหละครับ วิถีเซียน ที่ถูกต้อง ตามตำราเซียนให้นั่งจนเกิดแสงสีทอง แสงเป็นสีทอง นั้นคือ น้ำอมฤตที่แปรธาตุหยินหยางและรับพลังหยินหยางจากจักรวาลแล้ว (รับ หรือเข้าถึง เป็นศัพท์ที่ใกล้เคียงครับ)

    พระอริยะ ท่านที่อยู่เป็นพันปี เพราะท่านมีภารกิจครับ ต้องมีกิจที่ต้องทำตามที่เหตุปัจจัยเคยทำมานะครับ เท่าที่ทราบ องค์ที่กล่าวถึง ท่านรอโปรดบริวาร ที่มีวาระหลุดพ้นหรือเข้าถึงธรรม ช้ากว่าท่าน ท่านต้องฝึกสอนครับ (บางคนฝึกฝนมาเพื่อจะยอมรับฟังและหลุดพ้นเฉพาะจากบุคคลที่เฉพาะที่ตนตั้งจิตอธิษฐานเท่านั้น)

    บางท่านอาจมีเพื่อนซึ่งไม่เคยตายเลย ในชาติก่อนจนปัจจุบัน (คือเราเกิดตายหลายรอบ แต่เพื่อนเราสถิตที่แถวๆ เขาไกรลาส) เป็นต้น เพราะเค้าเป็นดั่ง เซียน ครับ

    ดังนั้น กรณีพระอริยะเจ้า ท่านเป็นดั่งเซียน นั้น ไม่ใช่ว่า เซียนมาเทียบเท่าท่าน เป็นแต่พระอริยะท่านใช้วิธีแบบเซียนเพื่อโปรดสัตว์และบริวารในข่ายบารมีเท่านั้น

    พระอรหันต์และพระพุทธเจ้า พวกเรามนุษย์และเทวดา ย่อมไม่เห็นครับ ที่เห็นนั้น เป็นเพียงอานุภาพของพระคุณ หรืออานุภาพของพระธรรมเท่านั้น ครับ ซึ่งไม่ใช่สภาวะอย่างเซียน ที่เรามนุษย์และเทวดา สามารถสืบเสาะด้วยญาณได้ว่า อยู่ที่ไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2017
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอะอะ โพธิสัตว์

    เอะอะ โบ๋กะทิสาด สันติ

    ขี้ทูตกุดถัง


    เหตุ ที่ทำให้ จิตธาตุ ผลิก หรือปลิ้น หรือ แฉลบ ไปทาง โพธิสัตว์ เกิดจาก โลกมีอะไร

    มี " เกิด แก่ เจ็บ ตาย "

    สรรพสัตว์ในโลก แม้แต่ หมา มันก็เห็น " เกิด แก่ เจ็บ ตาย "

    สาดหนาเฮีย !!! อวดตน โบ๋ธิสาด โบ๋ธิสาด อยู่นั่น เชียนเมถุนธรรม เมา ฮี
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อันนี้ ยอมรับคำสอนแต่โดยดีครับ จะพยายามแก้ไขครับ
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้าว เซ็งเป็ดเลย

    ดี ลุยโลด อย่าทิ้ง อย่าหนี

    เวลาจิตมันผลิก ให้ดู ประโยชน์ตน หรือ ประโยชน์อื่น ต้อง บาลลานซ์

    ถ้า ประโยชน์ตนไม่มี หาไม่ค่อยเจอ

    ลอง กถาพระสารีบุตร อวิชชามีสองอย่าง อวิชชาเป็นทุกข์ฝ่ายทีนี้เดี๋ยวนี้ ก็มี
    เป็น สมุทัยฝ่ายยืดยาว ก็มี

    ไปละ กราบลา
     
  17. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ในหนังสือปราบมารเล่ม ๖ ที่ผมเคยอ่าน เขาเขียนนิพพานไว้สองแบบคือ
    นิพพานถอดกาย หมายถึง การนิพพานโดยทิ้งกายสังขารไว้เป็นซากศพ
    ไปแต่กายธรรมหรือธรรมกายเท่านั้น อย่างที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกนิพพานกัน
    การนิพพานแบบนี้ เกิดในยุคที่ธาตุธรรมภาคขาวอ่อนกำลังลง
    ธาตุธรรมภาคดำมีกำลังมากกว่า จึงผู้ที่จะนิพพานจึงถูกบังคับ
    ให้นิพพานแบบถอดกาย(ทิ้งสังขารร่างกายไว้ในโลก)
    กับ นิพพานกายมนุษย์
    คือผู้ที่ได้วิชชาธรรมกาย เวลาจะนิพพาน จะเดินวิชชา
    จนกระทั่งกายทั้งกายแปรสภาพเป็นแก้วใสดั่งเพชร
    แล้วหายเข้านิพพานทั้งกายมนุษย์อย่างนั้น
    อยู่ในนิพพานทั้งกายมนุษย์อย่างนั้น
    เขาบอกว่านิพพานกายมนุษย์ คือยุคที่ธาตุธรรมภาคขาว
    มีกำลังแก่กล้ากว่าธาตุธรรมภาคดำ
    ผู้บรรลุมรรคผลจึงสามารถพาร่างกายมนุษย์เข้านิพพานได้
    โดยเดินวิชชาจนร่างกายขาวใสกลายเป็แก้วทั้งร่าง
    แล้วหายเข้าอายตนะนิพพานไปเลย
    การนิพพานแบบนี้ดีกว่านิพพานถอดกาย
    เพราะมีร่างกายที่เป็นแก้วเป็นวัตถุ มารทำลายไม่ได้
    แต่นิพพานถอดกายนั้น มารทำลายได้ เหมือนกับปูนิ่มที่ไม่มีกระดอง(เขาว่าของเขาอย่างนั้นนะ)

    หนังสือปราบมารนี้ ผมชอบอ่าน เพราะว่าแปลกดี ไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แนวนั้น พระป่า ท่านอ่าน ท่านก็บอกว่า

    เอ็ง เอาผ้าขาว เข้านิพพาน ไปด้วย

    เอาไว้เช็ดฝุ่น ที่จะมาเกาะ


    แต่ถ้า เอา พุทธวจน ของ ปู่สับสน สมาชิก

    พระพุทธเจ้า จะให้ ถามปัญหากับ พวกนั้นว่า

    " รู้จักที่ๆไม่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้าไปอาสัยตั้งอยู่ หรือไม่ "

    เมื่อถามคำถามนี้แล้ว พวกนั้น จะเหงือแตก คอตก ไม่สามารถ
    บอกกล่าวได้ เว้นแต่ จะมารยาสาไถย ก๊อปปี้คำตอบจาก พระศาสดา เอาดื้อๆ

    " อับดุล ถามไร รู้จัก ...... "
     

แชร์หน้านี้

Loading...