แจ้งเตือนเรื่อง ฝนที่ตกโปรยปรายอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ ฝนตามฤดูกาล แต่เป็น ฝนนิรมิต

ความฝัน

เรื่องน้ำนั้น ยกให้เป็นของ สายกระผม กับ พระพิรุณ
เราพิจารณาถึงความแห้งแล้ง และ การไม่มีน้ำใช้
และ น้ำในเขื่อนแทบไม่เหลือ จึงเห็นสมควรว่า
ตั้งแต่ ก่อนสงกรานต์เป็นต้นไป ตัวเรานี้
ขออัญเชิญ น้ำที่ตกในมหาสมุทร ให้ขึ้นมาตกบนแผ่นดิน
ยังดินแดนสุวรรณภูมิ ถิ่นรวมพระอริยะเจ้า
จึงขอเชิญเหล่า พญานาคา ให้นำน้ำฝนมาตกที่นี่ก่อน
เหมือนดังปีที่เกิด สึนามิ
โดยครั้งแรก ให้ลองตกลงมาเจ็ดวันก่อน
เพื่อเป็นการเตือนล่วงหน้า

 

นึกว่าเตือน 99 วัน อิอิ

 

เรียนเชิญ ท่านผู้มีฤทธิ์ทุกท่าน
ลองร่วมกัน อธิษฐานใช้ฤทธิ์ ได้เลยครับ
แล้วก็รายงานผลด้วย โดยการใช้น้ำฝนที่ตกอยู่ในทะเล
ให้ขึ้นมาตกบนบกแทน
ถิ่นพระอริยะเจ้า จะได้เป็นแดนที่ชุ่มชื่น ไม่ใช่แดนแห้งแล้ง
เพราะที่ที่แห้งแล้วคือ ที่ที่ไม่ควรอยู่ปฏิบัติธรรม
เพราะ ผู้คนจะเป็นห่วงแต่เรื่องน้ำไม่พอ
จนไม่มีเวลาศึกษาพระธรรม

 

แล้วถ้าดินแดนบางส่วนในประเทศที่ไม่มีอริยะเจ้า ไม่ใช่ถิ่นพระอริยะเจ้า หรือไม่มีวัด พระสงฆ์ อยู่ละ จะให้ฝนตกหรือให้น้ำท่วม?

 

จริงๆ ถ้ามี ฤทธิ์ ก็ทำให้พระอาทิตย์ ความร้อนลดลง หรือ ให้มีลมเย็นพัด ไม่ดีกว่าหรอ
ฝนตก เดือดร้อน เดินทางลำบาก ฮาาา

ต่อให้มีน้ำพอ หรือ น้ำไม่พอ ถ้าคนไม่สนใจ ก็ไม่มีเวลาศึกษาพระธรรม หรอก จิงป่ะ?
ขนาดน้ำไม่พอ สงกรานต์ ยังเห็นหลายๆคน สนุกสนานกัน ดิ้นกันใหญ่

 

มีการกล่าวถึง เอาไว้ว่า ที่ไหนแห้งแล้งเกินไป
ที่นั่น พระอริยะเจ้า ไม่ควรไป หรือ ผ่าน
เพราะมนุษย์ที่นั่น จะมัวแต่ รับกรรมของตน
จนไม่มีเวลา มารับฟังคำกล่าวสอน เช่น
ดินแดนแอฟริกาที่ร้อนเกินไป หรือ
ดินแดนยุโรปที่มีหิมะหนาวเกินไป
คนเหล่านี้โปรดยาก เพราะ
มัวแต่หาทางพ้นความยากลำบาก

แต่ยังมีวิธี บอกไว้อยู่ว่า
ถ้าหากเป็นคนในดินแดนนั้นเอง
ออกมาหา ทางพ้นทุกข์ ข้างนอก
แล้วกลับเข้าไปสั่งสอนคนของตนเอง
อย่างนี้ ยังมีโอกาส ที่ พระพุทธศาสนา
จะเผยแพร่ไป ในยังที่ ที่มีทุกข์มากได้

 

หลวงปู่มั่น เคยกล่าวว่า ที่ใดมีพระแก้วมรกต
เสด็จมาประทับอยู่ ที่นั่น จะมีแต่พระอริยะเจ้า
มาอยู่รวมกัน คือ ที่รวมศรัทธาของ พระอริยะเจ้า นั่นเอง

 

การแจ้งเตือนนี้ เป็นการแจ้งเตือนเป็น 2 กรณี คือ

1 เเจ้งเตือนแก่ ผู้ที่สำเร็จกสินน้ำ หรือ กำล้งฝึกกสินน้ำ
ต้องช่วยกันดูแล ฝนฟ้าอากาศ ผืนดิน
ให้เป็นพื้นที่ที่ร่มรื่น ชุ่มชื่น ฉ่ำเย็น อยู่เสมอ
อย่าให้เกิดปรากฏการณ์แห้งแล้งจนเกินไป

2 แจ้งเตือนแก่ ชาวบ้านทั่วไป ควรหาทางรับมือ
ฝนฟ้าอากาศ ที่ตกต่อเนื่อง โปรยปราย น้ำท่วมขัง
ระบายไม่ทัน กักเก็บอุปกรณ์การยังชีพ และ หยุกยา ให้พร้อม

 

แต่ผมมองว่า มนุษย์นั้น ยังเป็นเด็กที่อ่อนหัดมาก รู้น้อยเกินไป
การใช้อิทธิฤทธิ์ของมนุษย์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธรรมชาตินั้น มักสร้างความเสียหายมากกว่าประโยชน์เสมอ

มนุษย์ไม่รู้ว่า การที่ตนไปใช้ฤทธิ์ควบคุมธรรมชาติ เช่นทำให้ฝนตก เรียกพายุมา
มนุษย์ไม่มีทางทราบว่า ผลจากการกระทำของตนนั้น มีใครเจ็บใครตาย ใครได้รับผลกระทบบ้าง และไม่รู้ว่า อะไรควรไม่ควร อะไรที่เป็นการไปฝ่าฝืนกฏแห่งกรรมเข้า

การใช้ฤทธิ์ของมนุษย์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาฟรีตามใจ แต่มีค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายที่ว่านี้ ก็คือ พลังบุญ พลังบารมี ที่ตนได้สั่งสมมาในชาติก่อนๆ
ยิ่งไปใช้พลังเหนือธรรมชาติมากเกินไป พลังบุญบารมีก็จะยิ่งถูกใช้ไปเรื่อยๆจนหมด
ยิ่งการใช้ฤทธิ์นั้นๆ ส่งผลจนกระทั่งมีผู้ได้รับความเดือดร้อน มีเจ็บมีตาย
ก็จะเกิดบาปแก่ผู้ทำ พลังบาปตัวนี้ จะไปลดทอน ผลบุญบารมีของผู้นั้น
ทำให้จิตวิญญาณตกต่ำ

พลังอิทธิฤทธิ์ทุกๆอย่างที่มนุษย์ฝึกได้ ล้วนมีเจ้าของผู้ควบคุม
ถ้าขืนนำมาใช้มั่วซั่วตามใจชอบ จนเกิดความเสียหายขึ้น ในที่สุดก็จะถูก
เจ้าของเขายึดกลับ แล้วในที่สุดมนุษย์ผู้นั้น ก็จะใช้พลังฤทธิ์ใดๆไม่ได้อีกเลย

ดังนั้น การจะใช้อิทธิฤทธิ์กระทำสิ่งใด จึงต้องใช้อย่างรอบคอบรัดกุม ต้องระวังไม่ให้เกิดผลร้ายต่อผู้ใด แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆเช่นมดก็ตาม
และจะต้องรู้ด้วยว่า ได้ไปขัดขวางกรรมของผู้อื่นหรือไม่
การไปขัดขวาง ไปฝ่าฝืนการส่งผลกรรมของผู้อื่น มีผลสะท้อนกลับมาที่ตนด้วย

ทางที่ดี ควรจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของกฏแห่งกรรม เรื่องของสวรรค์ เรื่องของเทวดาเขาดีกว่า
เพราะสวรรค์เขามีความรู้กว้างขวาง เขารู้ดีว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรที่ทำได้ และอะไรที่ทำไม่ได้ เพราะมันไปมีผลกระทบกับผู้อื่น และไปมีผลกระทบกับกฏแห่งกรรม
ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันรู้

ลองถามใจตัวเองดู ว่าคนที่ใช้กสิณ ในการเรียกพายุฝนก็ดี ทำให้ฝนแล้งก็ดี ทำให้อากาศร้อน อากาศหนาวก็ดี
เคยรู้ไหมว่า มีใครเจ็บมีใครตาย มีใครเดือดร้อน เพราะการกระทำนั้นไปเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ สัตว์ จนในที่สุด แม้แต่มดปลวกที่ตายไป
แล้วบาปกรรมขนาดนั้น ตนเองแบกรับไหวหรือ ?
มีบุญบารมีมากพอไหม ??

การไปกระทำในสิ่งฝืนธรรมชาติเหล่านี้ จะทำบุญบารมีที่สั่งสมมาลดลง
และจะมีบาปเพิ่มขึ้น ทำมห้โอกาสที่จะได้บรรลุธรรมนั้นช้าออกไปอีก
ไม่งั้น บรรดาเทพไทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตลอดจนครูบาอาจารย์ต่างๆ
ที่มีอภิญญาสมาบัติ ท่านคงทำกันไปนานแล้ว
แต่เพราะท่านรู้ว่า ทำแล้วมันมีโทษมากกว่าคุณ ท่านจึงไม่ทำกัน
ปล่อยทุกอย่างให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ยกเว้นแต่เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆเท่านั้น

บุญบารมี สั่งสมมามากขนาดไหน ถ้าหากว่า ใช้อิทธฤทธิ์โดยไม่บันยะบันยัง
โดยเฉพาะการเข้าไปยุ่งกับกฏของธรรมชาติ จนเป็นเหตุให้มีผู้เดือดร้อน หรือถึงแก่ชีวิต บุญบารมีเหล่านั้น ก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว
แล้วเมื่อ บุญบารมีเกิดอาการติดลบ ก็จะกลายเป็นบาปเข้ามาแทนที่ ไม่คุ้มกันเลย

 

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ ผู้ใช้อำนาจจิตมั่วซั่ว ใช้บ่อยมากไป จะแก่ง่าย อายุสั้น ตายเร็ว

 

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีคือ อย่าไปยุ่งกับธรรมชาติ ปล่อยให้ธรรมชาติมันเป็นไปตามทางของมันไป
ไม่ใช่กิจ ไม่ใช่หน้าที่ ไม่จำเป็นต้องไปอาสา
คนที่ทำหน้าที่่ เขามีของเขาอยู่แล้ว เขากระทำในสิ่งที่สมควรกระทำอยู่แล้ว
การที่คนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ไปยุ่งกับธรรมชาตินั้น
เท่ากับไปก้าวก่ายหน้าที่ของเขา ทำให้โลกได้รับผลเสียหายมากกว่าผลดี

 

ปริศนานกกระยาง

ขออธิบายเกี่ยวกับ ปริศนานกกระยาง
ที่พระอินทร์ ท่านทิ้งไว้ให้ผู้ที่มีบุญมาแก้
ซึ่งก็คือ เมื่อถึงเวลาแล้ว ทำไมทุกคน
ถึงยังไม่ทำหน้าที่ของตนเอง
โดยทุกคน จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน
มาฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
มิใช่เกี่ยงกัน หรือ ปล่อยให้คนใดคนหนึ่ง
ทำงานอยู่ผู้เดียว การงานที่ทำก็จะไม่มีวันสำเร็จได้
แต่ถ้าช่วยกันคนละนิดคนละน้อย
การฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ที่ว่า ยากลำบากมาก
ก็จะเป็นไปได้โดยง่าย

 

เพราะขณะนี้ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราอยู่เบื้องล่าง
จะได้อัญเชิญ พระศรีอารย์ หรือ พระศรีอาริยะเมตไตรย์
เพื่อมาโปรด พระพุทธศาสนา ในช่วงกึ่งพุทธกาล
หรือ ช่วงที่เกิด สัทธรรมปลอม ขึ้นมา
โดยเหล่าบริวารจะได้ลงมาทำหน้าที่ก่อน

โดยเราได้ลอง พูดถึง พระศรีอาริย์ มาพักใหญ่
ก็มีคนเข้าใจได้ดี และ กล่าวถึงกันมาก
อีกทั้ง หลวงตามหาบัว ก็ได้ช่วยโปรดสั่งสอน
และช่วย ลดทิฏฐิมานะของ พระนักปกครอง
และ พระมหาทั้งหลาย จนลดทิฏฐิลงไปเยอะ

และ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็ได้สร้าง
ลูกศิษย์สายอภิญญาไว้มากมาย
จนสามารถ ติดต่อกับ ภพภูมิต่างๆ
และ เทวสภา ได้อย่างน่าพอใจ

บัดนี้ ก็ได้ถึงเวลาแล้ว ที่เราผู้มาก่อน
จะต้องปูพื้นฐานเอาไว้ ให้กับ ผู้ที่มาทีหลัง
ใครรู้ตัวว่า มีฤทธิ์ ก็ควรใช้เวลานี้
สร้างสมบารมี ไปกับ พระศรีอาริย์
เพราะถ้าหากไม่บรรลุธรรมในชาตินี้
หรือ หมดฤทธิ์ หรือ ต้องกรรมเพราะช่วยคน
เราก็เห็นสมควรแล้วว่า ควรค่าแก่การเสียสละจริงๆ

เพราะถ้าหากไม่รีบป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ
ดินแดนของเหล่า พระอริยะเจ้า
จะหดเล็กลง จนเหลือนิดเดียว
เมื่อนั้น การจะขยายให้ใหญ่ออกไป
ก็ยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่

สุดท้าย ผู้ใดสร้างบุญร่วมกับ พระศรีอาริย์
ผู้นั้นจะได้บรรลุธรรม ในศาสนาของพระองค์
และจะมีอายุ 10 000 ปีมนุษย์

 

ผู้ใดใช้ฤทธิ์ สร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง
ผู้นั้นจะต้องตกนรกหมกไหม้
แต่ถ้าผู้ใด ใช้ฤทธิ์ สร้างประโยชน์
ให้แก่ พระพุทธศาสนา แล้ว
ผู้นั้นจะได้สร้างบารมีให้เต็ม เพื่อ ปรรลุธรรม
มีแล้ว ไม่ใช้ให้ถูกทาง หรือ ไม่ใช่ให้เกิดประโยชน์
จะมีดีไว้เพื่ออะไร หากจะต้องแลกทุกสิ่งแล้วได้ทำดี
เราขอเลือกทำดี สิ่งใดจะมีค่ากว่า ความดี

 

เราก็คือ คนตาย
คนตายก็คือ เรา
เราคือ สัตว์นรก
สัตว์นรกก็คือ เรา
เราคือ มนุษย์
มนุษย์ก็คือเรา
เราคือ เทวดา
เทวดาก็คือ เรา
เราคือ พรหม
พรหมก็คือ เรา
เราคือ นิพพาน
นิพพานก็คือ เรา
สรุป เราจะเป็นได้ทุกสิ่ง
ตั้งแต่มาร ยัน พระพุทธะ

นักหลบหลีกที่ดี ต้องรู้จัก เปิด และ ปิด
ผู้มีฤทธิ์เก่า ต้องรู้จัก ซ่อน และ ใช้งาน

 

ผมพูดหมายถึงเรื่องที่คุณไปชวนเชิญ บรรดาผู้ที่ฝึกอาโปกสิณให้มาใช้ฤทธิ์
เข้ามายุ่งเกี่ยวกับธรรมชาติ มันเกี่ยวอะไรกับการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาไม่ทราบ อย่าเอารวมเป็นเรื่องเดียวกันเลย

อีกอย่างหนึ่ง ปีที่แล้ว(๒๕๕๙) ในช่วงเดือนตุลาคม ก่อนที่ในหลวง รัชกาลที่ ๙ จะเสด็จสู่สรรคาลัย สักไม่เกิน ๑ อาทิตย์
ก็คุณนี่เอง ที่เข้ามาตั้งกระทู้ในเว็บพลังจิต เพื่อขอให้บรรดาผู้ปฏิบัติธรรม
และผู้ทรงอภิิญญาทั้งหลาย ช่วยกันเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
เพื่อจะขอให้ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ไม่อย่าเพิ่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

แล้วเป็นอย่างไร การกระทำครั้งนั้น มันช่วยแก้ให้เหตุการณ์ทุกอย่างดีขึ้นไหม ?
เพราะเพียงไม่กี่วันต่อมา ในหลวงก็เสด็จสู่สวรรคาลัยจริงๆ
ก็แปลว่า การพยายามใช้อิทธิฤทธิ์เข้าไปยุ่่งเกี่ยวกับกฏของธรรมชาติ
การพยายามฝืนธรรมชาติมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าพวกคุณไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องกฏแห่งกรรม
บางที เหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความสลดหดหู่ของคนไทยทั้งประเทศในเวลานี้
อาจยังไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้
ที่มันเป็นและมันเกิดขึ้น ก็เพราะมีคนบางพวกที่ชอบไปทำอะไรที่มันฝืนธรรมชาติ จริงไหม

กฏธรรมชาติ เขามีของเขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมาเดือดร้อนถึงพวกคุณหรอก

ไม่โลกนี้ จะมีพวกคุณเกิดขึ้นมาหรือไม่เกิดขึ้นมาก็ตาม
ยังไง ฟ้าฝน และธรรมชาติต่างๆ มันก็ดำเนินไปตามวิถีของมันอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องให้มนุษย์ไปลงมือเกีี่ยวข้อง

การที่ไม่รู้แล้วยังไม่ยุ่งไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ มีแต่จะสร้างความเสียหาย

การฟื้นฟูศาสนา มีวิธีอื่นถมเถไป ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยว หรือไปควบคุมบังคับธรรมชาติ

แล้วไอ้เรื่องพระศรีอาริย์อะไรนั่น มันใช่เวลาไหม
เวลานี้ คือเวลาของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า โคตมะ
ยังไม่ใช่ เวลาศาสนาของพระศรีอาริย์ มันคนละยุคกัน
จะไปเชิญท่านลงมาทำอะไร มันมีแต่ลัทธิบ้า พระศรีอาริย์เก๊ ลวงโลก

พระศรีอาริย์แท้ ต้องรอให้สิ้นพุทธศาสนเสียก่อน
ต้องสิ้นพุทธันดรเสียก่อน จึงลงมาตรัสรู้ได้ ไม่ใช่นึกอยากจะลงมาก็ลงมา

พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ต้องมีปฏิปทา และการดำเนินแบบเดียวกัน

ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ไม่ปรากฏว่า พระโพธิสัตว์ คือพระพุทธเจ้าของเรานี้ ได้เข้าไปยุ่มย่ามกับศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆกว่าพระองค์

เพราะฉะนั้น เรื่องพระศรีอาริย์ เข้ามาสอดแทรก ยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนา ทั้งๆที่ยังไม่ได้สิ้นศาสนา
อีกทั้ง พระอริยสงฆ์สาวกในปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่นั้น ให้เลิกคิดเลิกฝันได้แล้ว
ยังไงเสีย ก็ไม่มีทางเป็นไปได้
ถ้ามี ก็มีแต่ของปลอม แอบอ้าง หลอกลวงเท่านั้น ไม่ใช่พระศรีอาริย์จริง

 

การใช้ฤทธิ์ใช้เดช หรือหยิบยกเอามาโอ่อวดอ้าง เพื่อให้ประชาชนตื่นเต้น
การอวดตัวเป็นผู้มีฤทธิ์มีเดช
สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้า ไม่ทรงสรรเสริญ ไม่ทรงส่งเสริมให้ทำ
พระพุทธเจ้าทรงติเตียน

 

ถ้าสิ่งที่คิดจะทำนั้น เป็นความดีจริง
บรรดาครูอาจารย์ พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ท่านก็คงจะสั่งสอน
ให้ฝึกให้ทำกันแล้ว แต่นี่ท่านมีแต่ติเตียน
มีแต่สอน ไม่ให้หลงมัวเมา ไม่ให้อยากมีอยากได้
ไม่ให้ใฝ่หา กับอิทธิฤทธิ์พวกนี้

 

เราเป็นคนใจดำ จะไม่ช่วยเหลือใคร
ยิ่งเป็น พระโพธิสัตว์ อย่าง ในหลวง ด้วยแล้ว
ท่านก็มีบารมีสูงส่งอยู่แล้ว ท่านช่วยตัวท่านเองได้
เราไม่จำเป็นต้องใช้ อธิษฐานบารมี มาช่วยท่านอีก
ท่านมาเกิด ก็เพราะ กรรมของท่าน
หากไม่เกี่ยวข้องกัน เราจะไม่ช่วยเหลือใครเด็ดขาด

อีกอย่างเราก็เห็นว่า ตัวท่านนี้
ที่ชื่อว่า บุคคลทั่วไป
น่าจะเปลี่ยนเป็น บุคคลว่างเปล่า
น่าจะเหมาะกว่า
เพราะสิ่งใดที่เรายังไม่เจอ
อย่าพึ่งคิดว่า คนอื่นเค้าไม่มี
สิ่งใดที่เรายังไม่มี ก็อย่าคิดว่า จะไม่มีอยู่จริง