เทวดาประจำตัว (ตรวจญาณบารมีองค์เทพ..อำนาจญาณบารมี)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย me-pui, 8 กรกฎาคม 2012.

  1. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    20/10/58 สุดยอดเคล็ดเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง ด้วยเคล็ดบูชาเทวดาประจำตัว
    1. การบูชาเทวดาประจำตัว
    ก่อนที่เราจะทำการบูชาเทวดาประจำตัวนั้นขออธิบายเป็นการบอกกล่าวเพื่อความเข้าใจเรื่องเทวดาประจำตัวเสียก่อน

    1. การบูชาเทวดาประจำตัว
    ก่อนที่เราจะทำการบูชาเทวดาประจำตัวนั้นขออธิบายเป็นการบอกกล่าวเพื่อความเข้าใจเรื่องเทวดาประจำตัวเสียก่อน

    เทวดาที่เราเข้าใจกันว่าเป็นเทวดาประจำตัวนั้นจริงๆแล้ว เทวดาเหล่านั้นท่านไม่ได้อยู่คอยติดตามตัวเราอย่างที่หลายคน ๆเข้าใจ คนส่วนใหญ่พร้อมจะเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ดีหรือร้ายนั้นเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญหรือไม่ก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทวดามาช่วยบันดาลให้เกิด ไม่ได้มองไปถึงเรื่องกฎแห่งกรรม พอได้ดีมีความสุขก็เลือกที่จะเชื่อว่าเทวดาท่านดลบันดาลมาให้ ส่วนเรื่องร้าย ๆที่เกิดขึ้นก็มักจะโทษว่าเพราะเทวดาไม่ยอมมาดูแลปกป้องหรือว่าเป็นเหตุบังเอิญที่ทำให้โชคร้าย

    เมื่อคิดกันอย่างนี้ก็เป็นการง่าย เพราะการเลือกที่จะเชื่ออย่างนั้นเป็นการง่ายที่จะไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบในผลการกระทำของตนเองเลย อะไร ๆก็อ้างว่าเป็นเหตุบังเอิญ, พรหมลิขิต, เทวดาบันดาล และอื่น ๆอีกมากมาย ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่าเรื่องการมีเทวดาประจำตัวนั้นเป็นเรื่องจริงในแบบที่ว่าท่านจะต้องคอยอยู่ติดตัวคอยดลเหตุการณ์ใด ๆที่ดีหรือร้ายให้เกิดขึ้นในแต่ละวัน

    แต่ถ้าจะถามว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า ขอให้ลองตั้งข้อสังเกตดูก่อนสักหนึ่งดูว่า การเกิดเป็นเทวดานั้นจะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมาย กว่าจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการเกิดเป็นเทวดา

    แล้วลองนึกภาพตามต่อไปอีกว่าถ้าจะให้เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลาก็คงจะเป็นไปไม่ได้

    คิดตามหลักเหตุผล เพราะว่าเหล่าเทวดาท่านอุตส่าห์ได้สู้ทำบุญมามากๆ จนพ้นจากความเป็นมนุษย์มาแล้วแต่สุดท้ายต้องกลับมากลายเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวมนุษย์คนใดคนหนึ่งคอยคุ้มครองหรือกลายเป็นทั้งที่ผู้คอยมอบความสุขให้มนุษย์เสียอย่างนี้ ท่านเหล่านั้นจะทำบุญเพื่อเป็นเทวดากันไปทำไม ถ้าถามตัวเราเองเราก็คงไม่อยากจะเป็นเทวดาประจำตัวใครในลักษณะนี้เช่นกันใช่หรือไม่

    แต่การมีอยู่ของเทวดาแล้วการลงมาช่วยเหลือมนุษย์นี่ก็มีความเป็นไปได้ การช่วยเหลือกันข้ามภพข้ามชาตินั้นก็เหมือนกับการที่เราเป็นมนุษย์อยู่แล้วไปช่วยสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น คนไปเก็บแมวหมาจรจัดมาเลี้ยง การช่วยช้างที่ตกบ่อให้ขึ้นมาจากหลุมหรือท่อระบายน้ำ หรือการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์หลายๆ ประเภทอย่างนี้เป็นต้น คือแม้จะอยู่ภพชาติเดียวกันแต่เป็นการช่วยเหลือต่างภูมิกัน คือเราเป็นมนุษย์มีภูมิสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานลงไปช่วยมัน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ที่มาคอยช่วยเหลือ

    เหล่าเทวดาก็เช่นเดียวกัน ท่านเหล่านั้นอยู่ในภพภูมิที่ทั้งแตกต่างและอยู่สูงกว่าอาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมนุษย์ได้ เทวดาท่านก็มีสังคมของท่านคือมีทั้งเพื่อน มีสามี,ภรรยา มีเจ้านาย มีบริวารที่มีความรักผูกพันกันเหล่าญาติหรือคนรู้จักของท่านอาจจะจุติมาเกิดในโลกมนุษย์

    เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ยังมีกิเลสมีความห่วงหาอาทรเหมือนกับคนเรา อาจคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุขโดยการรับรู้ด้วยความเป็นทิพย์เพราะท่านมีหูทิพย์,ตาทิพย์หรือความรู้สึกอันเป็นทิพย์ก็จะรู้ขึ้นเองว่าเกิดเรื่องร้ายแรงหรือมีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นกับญาติมิตร

    เทวดาท่านมีแต่กายทิพย์ไม่มีกายเนื้ออย่างคนเรา การให้ความช่วยเหลือของท่านส่วนใหญ่จะเป็นการ “ดลจิตดลใจ” หรือโน้มน้าวให้ญาติมิตรเหล่านั้นให้เปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศลกำลังจะตกไปอยู่ในอบายภูมิให้กลับกลายเป็นจิตกุศลและมีความสุขขึ้นได้ เช่น หากญาติมิตรที่กำลังโกรธจัดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท่านก็แผ่เมตตาส่งบุญกุศลลงมาดลจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง

    ที่เวลาเราที่กำลังโกรธใครหรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่กับสิ่งนั้นมาก ๆจู่ ๆก็รู้สึกเยือกเย็นลงได้อย่างน่าประหลาดเช่นเมื่อได้ก้าวเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆอย่างเช่นในวัดวาอารามใหญ่ๆพอเข้าไปแล้ว รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นสว่างไสว ทำให้จิตที่กำลังขุ่นข้องหมองใจนั้นก็กลับสงบเยือกเย็นลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นเพราะเทวดาที่อยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นได้แผ่เมตตาลงมาให้ทำให้รู้สึกสงบเย็นลง

    การดลใจของเหล่าเทวดาก็ยังมีหลายระดับขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเองและก็กิเลสที่อยู่ในตัวคนๆ นั้นด้วยหากเป็นคนมีกิเลสหนาโทสะมากๆ ถูกความมืดในจิตครอบงำเสียเต็มแน่นทำให้เห็นผิดได้อย่างรุนแรงอย่างนี้เทวดาก็ไม่อาจดลใจช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน

    ความเชื่อเรื่องการบูชาเทวดานั้นก็มีสาเหตุมาจาก “ความทุกข์” ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ ธรรมชาติเมื่อคนเราตกอยู่ในความกลัว ความทุกข์ยาก หรือช่วงที่กำลังได้รับความยากลำบากในการผ่านอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งหลาย มันนำมาซึ่งความเครียดและไม่แน่ใจว่า สิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนั้นจะเกิดผลดีกับชีวิตหรือไม่ จึงเป็นเหตุให้มีการ “บูชาเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์” ทั้งหลายขึ้นมาเพื่อหาที่พึ่งทางใจและหาแรงสนับสนุนให้ผ่านพ้นวิกฤตหรือแม้กระทั่งผลักดันให้ประสบความสำเร็จ

    การบูชาเหล่าเทพเทวดาในปัจจุบันมีความเข้าใจผิดที่มีความคลาดเคลื่อนอย่างรุนแรง ในที่นี้ขออนุญาตยกตัวอย่างการบูชาที่เข้าใจผิดกันอย่างมากซึ่งในที่นี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวแต่อย่างใดเพียงแต่ต้องการยกตัวอย่างที่ชัดเจนให้เห็นชัดเจนขึ้น

    เมื่อหลายปีก่อนมีการบูชาเทวดาที่ชื่อ “จตุคามรามเทพ” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากดังระดับที่คนทั้งประเทศรู้จักกันไปทั่ว แต่ละแห่งแห่แหนกันให้เช่าบูชาจนแทบผลิตไม่ทันกับตามความต้องการ พร้อมกับการตั้งชื่อรุ่นเป็นแบบต่างๆ เช่น รุ่นโคตรรวย โคตรเศรษฐี และชื่อรุ่นอื่น ๆอีกมากมาย ซึ่งในข้อนี้ ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า ตกลง คนที่เช่าไปบูชาหรือคนให้เช่ากันแน่ที่จะรวยเป็นโคตรเศรษฐี

    เพราะถ้าหากเชื่อกันว่า เทวดาจะสามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้และเทวดามีความสามารถเก่งกาจขนาดนี้ มนุษย์คงไม่ต้องทำมาหากินให้เหนื่อยแค่ไปเช่าเทวดามาบูชาแล้วก็นอนรอความสำเร็จที่จะได้รับมาอย่างนี้ก็คงจะมีคนนอนรอความร่ำรวยและความสำเร็จกันเต็มบ้านเต็มเมือง

    ดังนั้นก่อนที่จะบูชาเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามขอให้พึงระลึกเรื่องหนึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนครับ เรื่องสำคัญที่ว่านี้ก็คือเรื่อง “กรรม” พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้และมีบันทึกในพระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในจูฬกรรมวิภังคสูตรในมัชฌิมนิกาย พระสุตตันตปิฎกมีใจความว่า

    “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนกำเนิด มีกรรมเป็นเครื่องติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์เลวและประณีตแตกต่างกัน”

    จากใจความนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าใครทำกรรมอันใดไว้ไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ๆเช่นเดียวกับการที่เราหว่านพืชแบบใดลงไปในดินก็ย่อมได้รับผลของพืชชนิดนั้นไม่มีวันเป็นอื่นไปได้ กรรมจึงเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของทุกอย่าง

    By -mepui
    Cr.-ท่าน ธ.ธรรมรักษ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    มีต่ออะไรไหมหรือจบเพียงเท่านี้ อยากรู้คำตอบที่คำถามยอดฮิตนั้น :love:
     
  3. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    21/10/58
    การใช้ญาณหยั่งรู้จากแหล่งปัญญาญาณนอกและในตัว



    แหล่งปัญญามีทั้งนอกและในตัวเราเอง นอกตัวเรานั้นกว้างใหญ่ไพศาลทั่วจักรวาล มีท่านผู้รู้ที่อยู่ในสภาวะแห่งจิตวิญญาณมากมาย หากเรามีความสามารถก็สามารถใช้การสื่อสารพิเศษไปยังท่านเหล่านั้นเพื่อถามสิ่งต่างๆ ที่ต้องการรู้ได้ ทว่า ข้อมูลที่ได้มานั้น ก็เป็นเพียงข้อมูลชนิดหนึ่ง จำต้องผ่านกระบวนการพิจารณาต่ออีกทอด ส่วนปัญญาญาณภายในตัวเราเองนั้น มีระดับมากน้อยตามจิตวิญญาณของเรา ถ้าเรามีจิตวิญญาณเป็นเปรตก็หยั่งรู้ได้แค่เปรต คือ หวงของของตนไว้กลัวไม่มีของกิน หากจิตวิญญาณของเราเป็นเทวดา ก็หยั่งรู้ได้เท่าเทวดา เช่น กลัวความผิดบาป นิยมทำบุญสร้างความดี เป็นต้น ในบทความฉบับนี้ จะขออธิบายถึงการฝึกใช้ญาณหยั่งรู้ภายในและนอกตัว ต่อไปนี้


    การฝึกใช้ญาณหยั่งรู้ไปสู่แหล่งปัญญาญาณนอกตัว
    ได้แก่ พรหมโลก เช่น การสื่อสารถามพระพรหม, สุขาวดีโลกธาตุ เช่น การสื่อถามพระยูไล การสื่อถามท่านเหล่านี้ จิตวิญญาณของเราเองต้องมีบารมีระดับหนึ่ง จึงจะถามได้ มีกำลังญาณในการส่งจิตไปไกลถึงระดับหนึ่ง กล่าวคือ ญาณระดับสามภพนี้ถือว่าสั้นที่สุด ญาณระดับพรหมโลก ไกลออกไปอีก ญาณระดับสุขาวดีโลกธาตุนั้น ไกลที่สุด แต่ยังไม่เท่าระดับนิพพาน ผู้ที่สื่อสารถามพระพรหมได้ เช่น เหล่าฤษีต่างๆ ผู้ที่สื่อสารถามพระยูไลได้ เช่น พระอวโลกิเตศวร, พระมัญชุศรี เป็นต้น ถ้าบำเพ็ญบารมีถึงขั้นนี้ แม้ตนเองไม่มีญาณหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง ก็สามารถสื่อถามได้โดยตรง บางท่านเรียกวิธีนี้ว่าการสื่อสารกับ “จิตจักรวาล” นั่นเอง การสื่อสารนี้ บางท่านใช้การถามแล้วใช้หูทิพย์ฟัง ถ้าหูทิพย์มีกำลังไกลถึงก็จะได้ยิน ถ้าหูทิพย์ไปไกลไม่ถึง ระยะทางที่เหลือต้องถอดกายทิพย์ไปถามต่อ จึงจะได้ยินได้ ผู้ที่ทำแบบนี้ได้มีมากมาย เช่น อาจารย์ ปริญญา ตันสกุล ทว่าข้อเสียของวิธีนี้คือ แหล่งข้อมูลนอกตัวนั้น อาจไม่น่าเชื่อถือเสมอไป บางแหล่งให้ข้อมูลถูกต้องแก่เรา แต่ไม่ครบถ้วนรอบด้าน ทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดได้ บางแหล่งก็หลอกล่อให้เราทำกิจต่างๆ บางแหล่งก็ถูกก่อกวน รบกวนด้วยพลังงานภายนอกต่างๆ ที่เรียกว่า “คลื่นแทรก” เช่น การเบี่ยงเบนข้อมูลระหว่างทางที่ส่งมาเป็นต้น บนสวรรค์นั้นมีผู้มีฤทธิ์เดชมากมาย คอยลองกำลังจิตเราอยู่ บางคนเพ่งมองกายทิพย์เพื่อน แต่กลับเห็นเป็นหลุมดำ ซึ่งกายทิพย์คนจะเป็นหลุมดำไปไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เห็น หรือเห็นผิด เขาเห็นจริงๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นภาพนิมิตที่ถูกส่งมาจากแหล่งอื่นระหว่างทางที่เพ่งดูก็ได้ มีผู้มีฤทธิ์ที่สามารถส่งภาพนิมิตให้เราได้เห็นมากมาย นิมิตบางอย่างไม่น่าเชื่อถือ เราอาจโดนหลอกได้ แต่บางครั้งก็ทำเพื่อทดสอบใจเรา เราผ่านก็ได้บารมีเหมือนกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เรามีจิตใจที่ดีงามไว้ ย่อมไม่พลาดแน่นอน


    การฝึกใช้ญาณหยั่งรู้ไปสู่แหล่งปัญญาญาณในตัว
    การใช้ญาณหยั่งรู้ของตนเองดีกว่าถามจากผู้อื่น จิตวิญญาณของเราเองไม่ทรยศเราเอง คนอื่นอาจหลอกเรา ไม่จริงใจต่อเรา หวังผลประโยชน์จากเราได้ แต่จิตวิญญาณเราเองจะปกป้องตัวเราเอง ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่การที่เราจะมีปัญญาญาณสูงระดับนั้นได้ เราต้องพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้ได้ดีมากพอก่อน คือ มีความบริสุทธิ์ของจิตมาก ข้อมูลจะบริสุทธิ์ไม่ถูกปรุงแต่งให้บิดเบือน และต้องมีญาณหยั่งรู้ที่สูงมาก ก็จะรู้เรื่องราวต่างๆ ได้มากมาย มากกว่าคนที่มีกำลังญาณหยั่งรู้ต่ำ การใช้ญาณหยั่งรู้จากภายในของตนเองดีกว่าภายนอกหลายข้อตรงที่ ไม่ถูกใครหลอกใช้ ไม่ถูกแทรกหรือบิดเบือนข้อมูลระหว่างทาง และไม่ต้องใช้กำลังจิตไปไกลยังจักรวาล แต่มีขีดจำกัดที่ตัวเราเอง มีปัญญาญาณเท่าใด ถ้ามีน้อยก็รู้น้อยเท่านั้น ถ้ามีมากก็รู้มาก ที่เหลือต้องถามผู้รู้ท่านอื่นๆ อนึ่ง ยังมีอีกวิธีที่นิยมกัน คือ การใช้แหล่งปัญญาญาณภายนอกแต่ดึงพลังมาอยู่ภายในตนเองก่อน เช่น การเชิญพระพรหมมา เข้าทรงในกายจากนั้นสื่อจากจิตภายในกายของตนเอง แต่ไม่ได้ใช่ปัญญาญาณของตนเอง วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาญาณหยั่งรู้ของตนเองต่ำได้ แต่ยังไม่ดีเท่ากับการใช้ญาณหยั่งรู้ของจิตตนเองอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นที่นิยมแพร่หลายในคนระดับล่างที่ไม่ต้องการคำตอบลึกซึ้งนัก

    Post by Mepui
    Cr. physigmund_foid
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    20/10/58
    การพิจารณาธาตุสี่จากธรรมชาติรอบตัว ต่างจากการพิจารณาธาตุในร่างกาย การพิจารณาธาตุจากธรรมชาติทำให้เข้าใจง่ายเป็นเบื้องต้นก่อนที่จะพิจารณาธาตุสี่ในร่างกายซึ่งยากกว่า เพราะของในกายมองไม่เห็น จะผ่าออกมาดูอย่างไรก็ไม่ได้ ดังนั้น ในการพิจารณาธาตุ จึงต้องเริ่มจากธรรมภายนอกตัว โดยการพิจารณาธรรมชาติรอบตัวเรานี้เอง ว่ามีธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้


    ธาตุสี่มีความเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
    ฤดูหนาว ธาตุลมจะเริ่มพัดเข้ามาเป็นช่วงแรกเรียกว่า “หัวลม” จะมีความบริสุทธิ์มาก ดังนั้น ฤดูหนาวควรพิจารณาธาตุลมจะง่ายเพราะมีความบริสุทธิ์ไม่ค่อยถูกเจือปนมากนั่นเอง จากฤดูหนาวไปแล้ว ธาตุลมจะเสื่อมความบริสุทธิ์ลงเรื่อยๆ จนพิจารณาได้ยาก เรียกว่า “ลมดับ” เมื่อธาตุลมดับลงแล้วจะก่อให้เกิดธาตุไฟ ต่อไป ในช่วงเข้าฤดูร้อน


    ฤดูร้อน ธาตุไฟจะมีพลังมาก มีความบริสุทธิ์มาก ไม่ถูกกดทับปิดบังไว้โดยธาตุอื่นๆ ทำให้ฤดูร้อน จึงร้อนมาก ฤดูนี้เหมาะสมที่จะพิจารณาธาตุไฟ จะสังเกตและเข้าใจธาตุไฟได้ง่าย ว่ามีอยู่ทุกที่ ทั้งที่มองเห็นและไม่เห็น จากนั้น ธาตุไฟจะค่อยๆ เสื่อมความบริสุทธิ์ลงไป จนพิจารณาได้ยาก เรียกว่า “ไฟดับ” เมื่อธาตุไฟดับลงแล้วจะก่อให้เกิดธาตุดิน


    ฤดูใบไม้ผลิ ธาตุดินจะมีความบริสุทธิ์สมบูรณ์และสมดุลมากที่สุด ทั้งจากความร้อนที่ได้ซึมซับผ่านมาในฤดูร้อน และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างพอดี ธาตุดินจะมีพลังมาก มีความบริสุทธิ์มาก และมีความอุดมสมบูรณ์มากในช่วงนี้ ทำให้คนมักเริ่มเพาะปลูกลงดิน ฤดูฝนกึ่งแรกจึงเหมาะสมที่จะพิจารณาธาตุดิน จนกระทั่งผ่านครึ่งแรกฤดูฝนไป ธาตุดินจะไม่สมดุล เพราะถูกฝนมากเกินไป ดินจะเสื่อมความบริสุทธิ์ลงไป จนพิจารณาได้ยาก เรียกว่า “ดินดับ” เมื่อธาตุดินดับลงไปแล้วจะก่อเกิด “ธาตุน้ำ” เข้าสู่ฤดูฝนกึ่งหลัง


    ฤดูฝนกึ่งหลัง ธาตุน้ำจะเพิ่มมากขึ้นจนเหนือธาตุดิน คุมดินได้สมบูรณ์ จนมีพลังกดทับดินลงไป เผยให้เห็นธาตุน้ำที่สมบูรณ์ บริสุทธิ์มากขึ้น คือ ธาตุน้ำมีพลังมากในช่วงฤดูฝนกึ่งหลังนี้ เรามักเห็นแม่น้ำ, ลำคลอง, หนอง, บึง เต็มไปด้วยน้ำ และน้ำเริ่มใส เพราะดินที่ไหลมาพร้อมกับน้ำเริ่มตกตะกอน ธาตุน้ำเริ่มมีความบริสุทธิ์มากขึ้น มีพลังเต็มเปี่ยม เมื่อฤดูฝนหมดไป ธาตุน้ำก็อ่อนกำลังจนพิจารณาได้ยาก เรียกว่า “น้ำดับ” เมื่อธาตุน้ำดับลงแล้ว ก็จะก่อให้เกิด “ธาตุลม” เข้าสู่ฤดูหนาว ลมหนาวก็พัดเข้ามาเยือนต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1347673921.jpg
      1347673921.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.7 KB
      เปิดดู:
      265
  5. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    หลีกเลี่ยงการสวดมนต์เพื่อขับไล่วิญญาณ

    ๒๕/๑๐/๕๘
    หลีกเลี่ยงการสวดมนต์เพื่อขับไล่วิญญาณ:boo::boo:
    บทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนพวก
    วิญญาณชั้นต่ำในโลกทิพย์ให้ได้รับความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผี
    ไว้ในพระวินัยบัญญัติ ดังนั้น การสวดมนต์เพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ โปรดอย่าตั้งจิตไป
    กำราบคุกคามภูตผีปิศาจขั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อจะสวดให้ตั้งจิตระลึกเสียก่อนว่า ภูตผี
    ปิศาจชั้นต่ำทั้งหลาย บัดนี้เราจะกล่าวบทสวดมนต์ ใครชอบฟังเอาบุญกุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครฟังแล้ว
    ทรมานก็ให้หลีกหนีไปที่อื่นจนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จแล้วจงกลับมาเถิด เราไม่ได้สวดเพื่อขับไล่ใคร แต่สวด
    เพื่อเจริญในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเท่านั้น
    โปรดอย่านิมนต์พระมาทำพิธีขับไล่ภูตผีในที่อยู่อาศัย ควรงดเด็ดขาด เพราะวิญญาณนั้นเขาอยู่ อาศัยที่นั้นมาก่อนเราอย่างสงบสุข บางตนก็เป็นญาติที่เราเคารพรักมาก่อน ตายไปแล้วมีบุญน้อยกุศลน้อย ก็เป็นภูตผีอาศัยอยู่ในบ้านนั้น ภูตผีบางตนมีความทุกข์เดือดร้อนพยายามส่งกระแสความเดือดร้อนให้เรารู้สึก เพื่อจะได้ทำบุญส่งให้เขา แต่คนไม่เข้าใจคิดว่าเขาเบียดเบียนหลอกหลอน จึงนิมนต์พระมาสวดขับไล่ เมื่อเรา ไปทำพิธีขับเขาก็ยิ่งเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก แล้วพวกวิญญาณเหล่านั้นจะรวมหัวกันกลั่นแกล้งผู้คนในบ้านให้เดือดร้อนวุ่นวายกันมากขึ้น มีแต่เรื่องทะเลาะขัดแย้งกันเนืองๆ สังเกตดู บ้านไหนที่มีคนถือวิชาอาคมสวดมนต์ไล่ผีบ่อยๆ คนในบ้านจะหาความสุข ความสงบไม่ได้เลย พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา
    ทะเลาะขัดแย้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนฆ่ากันตายมานักต่อนัก ฉะนั้น ต่อไปเมื่อมีเหตุเดือดร้อนภายในบ้าน
    หรือภายในองค์กร ควรทำบุญอุทิศให้พวกเขา เมื่อพวกเขาอยู่สุขสบายก็จะเลิกรบกวนเรา แล้วจะกลับเป็น
    องค์รักษ์ชั้นดีที่คอยปกปัก รักษาเราต่อไปหลีกเลี่ยงการติดผ้ายันต์กันภูตผีในบ้าน หรือการพกเครื่องรางของขลังที่เบียดเบียนวิญญาณชั้นต่ำ เพราะสิ่งเหล่านี้จะกระทบกระเทือนถึงวิญญาณชั้นต่ำให้ได้รับความเดือดร้อนและเคียดแค้น อันจะส่งผลให้เขา หันกลับมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญเราไม่มีที่สิ้นสุดโดยที่เราไม่รู้ตัว บ้านเรือนเคหะสถานเป็น ของที่มีอยู่ในโลกนี้ เป็นทั้งที่อยู่ของผู้มีชีวิตในโลก และในอีกมิติหนึ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ควรเห็นแก่ตัวว่าเป็นสมบัติของเราเพียงผู้เดียว ควรร่วมกันอยู่กันอย่างสงบสุข พวกวิญญาณต้องอาศัยบุญกุศลถึงอยู่ได้ ถ้าได้รับบุญจากมนุษย์ผู้อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินเดียวกันเขาย่อมพึงพอใจ และจะรักษามนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไว้ในเทวตาทิสสทักขิฌนุโมทนา ว่า
    ยัสมิง ปะเทเส กัปเปติ วาสัง ปัณฑิตะชาติโย
    สลวันเตตถะ โภเชตวา สัญญะเต พรหมะจาริโน
    ยา ตัดถะ เทวตา อาสุง ตาสัง ทักขิฌะมาทิเส
    ตา ปูชิตา ปูชะยันติ มานิตา มานะยันติ นัง
    ตะโต นัง อนุกัมปันติ มาตา ปุตตัง วะ โอระสัง
    เทวะตานุกัมปิโต โปโส สะทา ภัทรานิ ปัสสะติ
    แปลความว่า ผู้ฉลาดชาติบณฑิต เมื่ออาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งใด ควรเชื้อเชิญผู้ทรงศีลเข้าไปเลี้ยง ดูในสถานที่แห่งนั้น แล้วอุทิศบุญให้แก่เทวดาผู้อาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น เทวดาเมื่อได้รับการบูชาแล้วย่อม บูชาตอบ คือ ทำความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อุทิศบุญให้แล้วนั้น เหมือนบิดามารดาผู้รักบุตรย่อมอนุเคราะห์ บุตร ผู้ใดได้รับการช่วยเหลือการเทวดาแล้ว ย่อมประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจการให้ทานแก่บุคคลย่อมมีผลบุญแตกต่างกัน ให้ในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานย่อมเกิดผล มากกว่าให้พระพุทธเจ้าองค์เดียว ให้ในพระพุทธเจ้าย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระอรหันต์ ให้ในพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในสถานภาพปกติ ให้ในพระอรหันต์ย่อมมีผลเหนือกว่าให้ในพระอนาคามี ให้ในพระอนาคามีย่อมมีผลมากกว่าให้ใน พระสกิทาคามี ให้ในพระสกิทาคามีย่อมมีผลมากกว่าให้แก่พระโสดาบัน ให้ในพระโสดาบันย่อมมีผลมาก กว่าให้แก่ผู้ทรงฌาน ให้ในผู้ทรงฌานย่อมเหนือกว่าให้ในพระผู้ประพฤติศีลตามปกติ ให้ในผู้มีศีลย่อมมากกว่าให้ผู้ไม่มีศีล ให้ในคนย่อมมากกว่าให้ในสัตว์ ให้ในสัตว์ผู้โพธิสัตว์ย่อมมีผลมากกว่าให้ในสัตว์ธรรมดา ให้ในสัตว์ที่มีคุณย่อมเกิดผลมากกว่าให้แก่สัตว์ที่ไม่มีคุณ และแม้แต่ให้อาหารแก่พวกมดปลวกก็ยังเกิดกุศล ดังนั้น ชื่อว่าการให้ย่อมเกิดบุญกุศลทั้งสิ้น แต่จะมากน้อยก็ต่างกันไป เงิน ๑ บาท ถวายพระอรหันต์มีผล มากมายนับไม่ได้ แต่ให้ในภิกษุผู้ทุศีลมีผลน้อย นี่คือความแตกต่างของนาบุญ ถ้ารู้จักเลือกก็ให้เลือกเถิด ถ้าเลือกไม่ได้ก็ให้ถวายในสงฆ์ส่วนรวม ก็มีอานิสงส์มากคนในศาสนาไหนก็ส่งบุญได้ ไม่ว่า พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิก ล้วนมีวิธีสร้างกุศลผลบุญสะสม คุณงามความดีด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเกิดบุญกุศลขึ้นสามารถส่งถึงผู้อยู่ในโลกทิพย์ได้ด้วยวิธีเดียวกัน ก่อผลลัพธ์ แบบเดียวกัน
     
  6. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    ๒๕/๑๐/๕๘ การโอนบุญ-เบิกบุญ

    ๒๕/๑๐/๕๘
    :cool::cool:
    - ทำให้เทวดาที่ได้รับบุญแล้วท่านจะมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้น สามารถช่วยเหลือผู้ส่งบุญให้ได้รับความ สำเร็จ เทวดาที่รักษาเคหะสถานบ้านช่องบางหลังก็แสดงอิทธิฤทธิ์แทนเจ้าของบ้าน เปิด-ปิดทีวี วิทยุ และ ไฟฟ้าในบ้านได้เอง ทำให้พวกโจรขโมยไม่กล้าเข้าไปยกเค้าเพราะเหมือนมีอยู่ในบ้าน ทั้งที่ความจริงไม่มีใคร อยู่ในบ้านเลย เทวดาสามารถป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้บ้าน ป้องกันภัยอันตรายจากพายุ ต้นไม้หักโค่นล้ม ทับบ้าน บ้านไหนถูกไฟไหม้แสดงว่าเทวดาไม่รักษาเพราะเจ้าของบ้านมีบาปกรรม และไม่เคยส่งบุญให้เทวดา และเจ้ากรรมนายเวร
    - ทำให้เจ้ากรรมนายเวรหยุดการจองเวรแล้วกลับมาเป็นเทวดาที่ปกป้องรักษาตัวเรา
    - ทำให้เป็นที่รักของเทวดา และมนุษย์-สัตว์ทั้งหลาย ไปทางไหนมาเสน่ห์แก้ผู้พบเห็น การเดิน ทางไปไหนมาไหนก็จะแคล้วคลาดจากภัยอันตราย
    - ธรกิจการค้า หน้าที่การงาน จะราบรื่น จะพบช่องทางทำมาหากินที่แจ้งชัด ถ้าตกงานก็จะได้ งานทำ ถ้าเจ้านายเกลียดก็จะรักชอบขึ้น
    - ร้านอาหาร ร้านขายของ จะมีแขกเข้าร้านมากกว่าเดิม และอย่าลืม!! ถ้ามีคนมาอุดหนุนให้ อธิษฐานบุญให้แก่เทวดาที่รักษาลูกค้าที่มีมาอุดหนุนทันที ต่อมาเทวดาก็จะดลใจให้ลูกค้ากลับ มาหาเราอีก
    - จะหลับก็ง่าย จะนอนก็สบาย ไม่ต้องใช้ยานอนหลับ ไม่ต้องสะดุ้งผวาตกใจ แม้ฝันก็ฝันดี สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน
    - ครอบครัวจะอยู่กันอย่างอบอุ่นมีความสุข มีความเข้าอกเข้าใจกัน
    - เพื่อนบ้านที่เขม่นชิงชัง เป็นเกาเหลาต่อกัน ก็จะหันกลับมาเป็นมิตร รักใคร่ใยดี ให้ความเกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกันในแต่ละวันขอให้ท่านขยันในการโอน เบิก/เปิดบุญให้ถี่ๆ อยู่บ่อยๆ ท่านยิ่งให้ ท่านก็จะได้ผลอย่าง
    คาดไม่ถึง ทั้งบุญก็ได้เพิ่มขึ้นทวีคูณ อีกทั้งยังเป็นการเจริญเมตตาอยู่ในตัว ยิ่งถ้าท่านเป็นนักศีลนักบุญ ด้วยแล้ว ยิ่งจะเห็นผลเร็วอย่างมาก คนจะเลิกทำบาปมาแสวงบุญก็เพราะได้ฟังธรรม คนจะสนใจให้ทาง รักษาศีล บำเพ็ญ ภาวนา ก็เพราะฟังธรรม คนจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ก็เพราะฟังธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    ธรรมทาน คือ การให้
    ธรรมเหนือกว่าการให้สิ่งอื่นๆ ทั้งหมด แม้ในถวายทานในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ก็ยังไม่เหนือ
    กว่าการให้ธรรมทานได้ บุญกุศลที่เกิดจากธรรมทานนี้ ข้าพเจ้าขอมอบแด่เทวดาที่รักษาข้าพเจ้า พ่อ-แม่ข้าพเจ้า ท่านผู้อ่านและผู้ฟังทุกท่านเมื่อเทวดาได้รับบุญนี้แล้วจงมีความสุขความเจริญ มีฤทธิ์มีอำนาจ จงช่วยเหลือทุกท่านให้ประสบความรุ่งเรือง ยิ่งๆ ขึ้นไป ตลอดกาลนานเทอญ
    By Mepui
     
  7. อุนนตา

    อุนนตา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +24
    รบกวนด้วยนะคะ พี่ส่งข้อมูลทางFBแล้วนะคะ
    ขอคุณล่วงหน้านะคะ
     
  8. nerazzurriboyz1908

    nerazzurriboyz1908 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +763
    ส่งนตัวเชื่อเรื่องนี้ครับ แต่ไม่มีจิตสัมผัสครับ

    ส่ง pm ไปแล้วนะครับ
     
  9. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    เรียกว่าคนมีองค์

    :boo:เมื่อพูดถึงคำว่าร่างทรง คนหลายคนคงนึกถึงภาพคนยืนตัวสั่น พูดจาทำนายทายทัก พูดกันด้วยภาษาแปลกแปลก บ้างก็เปิดเป็นตำหนักกัน บ้างก็เก็บเงินชาวบ้านหรือบอกหวยกัน ทำสิ่งที่ลึกลับมีพิธีกรรมแปลกๆซึ่งมักมีทั้งทรงจริง และของปลอมหลอกกัน เพื่อหาผลประโยชน์จากการหลอกให้หลงเชื่องมงายโดยขาดสติปัญญา เรื่องของสวรรค์ นรก เรื่องแปลกๆ เรื่องเหลือเชื่อ อันที่เราสามารถพินิจเห็นอยู่บ่อยๆตามสื่อรายการต่างๆ ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์อันทันสมัย โลกแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจกันอย่างดุเดือดรุนแรงวุ่นวายจนเราไม่เคยใส่ใจคำว่าคนมีองค์ ไม่เคยคิดแม้แต่ว่ามันจะจริงหรือไม่คิดเพียงว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ควรไปใส่ใจให้เสียเวลา เป็นเรื่องเหลวไหล แท้จริงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด จนแทบจะพูดได้เลยว่าเป็นเรื่องของเราเองทีเดียว

    :cool:แต่น้อยคนที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ว่าแท้จริงคือสิ่งใดเกิดขึ้นได้อย่าง เหตุผลใดทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้:cool:
    :boo:เรื่องใดเป็นเรื่องจริง เรื่องใดเป็นของปลอม หาได้แต่โทษโชคชะตา หรือไปโทษตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้

    :boo:มันเป็นเรื่องปัจจัตตังคือรู้และพิสูจน์ได้เฉพาะตน :boo:

    จะว่าไปแล้วคนทุกคนล้วนมีบุญเก่ากรรมเก่าติดตัวมาตั้งแต่เราเกิด ตั้งแต่ปฏิสนธิ มันเป็นเครื่องกำหนดกฏแห่งกรรมของทุกชีวิตที่เกิดมาในโลก ในแง่สิ่งเหนือสามัญวิสัย คนที่มีความซับซ้อนของภพชาติยิ่งมาก ย่อมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ ตลอดจนสิ่งศักย์สิทธิ์มามากด้วยเราคงเคยไปก่อกรรมกับใครต่อใครไว้ทั้งดีและชั่วก็มาก ชาตินี้เรามาเกิด แต่คนที่เกี่ยวข้องกับเราบางคนในอดีตชาติ บางดวงจิตอาจมาเกิดร่วมชาติกับเราเพื่อมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกันในชาตินี้ ซึ่งเราไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง บางคนที่เกี่ยวกับเรามาในอดีตชาติได้มาเกิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน แต่บางคนก็อาจยังไม่ได้มาเกิดอาจยังเป็นเทวดาสถิตในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า หรือในนรก หรือติดอยู่ในภพภูมิใดตามกรรมของเขา หรือบางคนสามารถพัฒนาจิตหนีเราไปเกิดเป็นพรหม เป็นมหาพรหม มหาเทพไปแล้ว ท่านก็ถือว่าท่านมีกรรมสัมพันธ์กับเรา จึงมีสิทธิที่จะมากำกับชีวิต ช่วยเหลือ ต่ออายุ ให้โอกาสเราหากเราเข้าถึงพระพุทธศาสนา คนเราหลายๆคน เรียกว่ามากมายนักที่มีสัญญากรรมกับเทพที่เกี่ยวข้องกับตนทั้งกรรมเก่าเกี่ยวเก่า กรรมใหม่เกี่ยวใหม่ตามบุคคลาธิษฐาน ท่านจึงคอยมากำกับชีวิตเราตามพื้นฐานของกฏแห่งกรรม แต่ก็ให้โอกาสเราทำกิจกรรมตามที่เคยสัญญากันไว้ก่อนมาเกิด หากใครทำได้ครบ ก็จะส่งบุญเก่าให้บุญเก่าของเราแสดงผลออกมาเป็นรางวัลชีวิต หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำเพราะส่วนใหญ่ไม่มีตัวรู้ หลงในเทคโนโลยี แสง สี เสียงสมัยใหม่ จนลืมสัญญากรรม ท่านก็จะอุเบกขาวางเฉยปล่อยให้กรรมเล่นงานเราตามกฏแห่งกรรม คนเหล่านี้จึงมีคลื่นพลังส่งมาจากโลกเหนือสามัญวิสัย แฝงมามาก ส่งมาดลใจ ลองใจเราอยู่ตลอดเวลา คงมีทั้งเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ และเมื่อถึงกาลที่เหมาะสมเทพท่านจะมาใช้ร่างเราเพื่อให้เราสร้างบารมีคือท่านมาโปรดมนุษย์ ให้เข้าถึงธรรม มาจรรโลงพระพุทธศาสนา มารักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสอนเราโดยส่งญาณอันเป็นรังสีมาสู่ตัวเรา เข้าสู่ระบบสมอง สู่ระบบประสาทจนเกิดแสดงเป็นอาการต่างๆให้เป็นร่างทรง ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป ทั้งนี้การส่งคลื่นรังสีมาสู่ร่างเทพองค์เดียวกันสามารถลงสู่ร่างได้พร้อมกันทีละนับไม่ถ้วน ซึ่งเมื่อท่านสัมผัสรังสีในตัวเราในสังขารท่านก็จะทราบเวทนาของเรา มาเกื้อหนุน คุ้มครองช่วยเหลือเรา โดยท่านประสงค์ที่จะให้เราได้สร้างและเสริมบารมีเพื่อให้สามารถฟันฝ่าวิบากกรรมไปได้ คนบางคนที่เขาเรียกว่ามีสัมผัสที่ ๖ ล่วงรู้หรือเห็นชาติภพของตนมาก่อน ชอบเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่มีชะตาชีวิตรุนแรงประเภทขึ้นสูงก็สูงไปเลย พอลงต่ำก็ต่ำไปเลย คนบางคนมีความสามารถทางโลกโดดเด่นมาก บ้างก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในชีวิต บ้างก็มีตำแหน่งในสังคม คนพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากทางในส่งผลเป็นปัจจัยทั้งสิ้น เรียกว่าคนมีองค์ การที่คนเก่ง ด้วยหน้าที่การงาน มีฐานะตำแหน่งเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม หากคนเหล่านี้จะต้องมาตัวสั่น หรือมาเปิดสำนักคงยากที่คนเหล่านั้นจะยอมรับได้ แต่แท้จริงการพัฒนาร่างทรงต่างหากที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มแรกเราจะตัวสั่น พูดจาภาษาเทพเร็วๆ ฟังไม่ออก เป็นเพราะเรายังมีตัวรู้ในองค์ญาณ ที่ยังไม่สัมพันธ์กับองค์ฌาน ละเอียดไม่เท่ากับรังสีที่ส่งลงมา เทพท่านส่งมา สิบคำรับได้แค่คำเดียวจึงเกิดเป็นอาการตัวสั่น พูดจาฟังไม่รู้เรื่องที่เรามักเรียกกัน "ว่าพูดภาษาเทพ" แท้จริงหากพัฒนาจิตให้ละเอียดจนสามารถรับคลื่นรังสีที่ส่งมาได้ครบถ้วน การพูดก็คือการพูดภาษาปกติมนุษย์นั่นเอง การตัวสั่นยังเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราจึงยังไม่สามารควบคุมอาการได้ ซึ่งอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นพระพุทธเจ้าทรงยอม รับแต่ทรงรังเกียจ เพราะส่วนใหญ่ง่ายในการนำไปใช้ผิดวิธี ผู้พบเห็นมักศรัทธาด้วยฤทธ์ไม่ใช่เข้าใจด้วยปัญญา หากเราฝึกฝนพัฒนาจิต พัฒนาทักษะ พัฒนาตัวรู้จนละเอียดใกล้เคียงกับรังสีเทพที่ส่งมาหาเรา เราก็จะเริ่มควบคุมตัวเองได้ จะแสดงอาการที่ปรกติมากขึ้นที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์ หรือเทวฤทธิ์อยู่ในขั้น ฤทธานุภาพ และเทวานุภาพ หรือสูงขึ้นจนทายใจคนได้อย่างอัศจรรย์เรียกว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ ซึ่งขั้นนี้พระองค์ก็ยังคงทรงรังเกียจ จนกระทั่งสามารถพัฒนาจิตสู่ขั้นมาตรฐาน คือขั้นจิตตานุภาพ นั่นคือเป็นองค์แฝงไม่พบอาการผิดปกติให้เห็นได้แต่อย่างใด แต่ขณะที่พูดสามารถปล่อยให้ญาณหรือรังสีเทพผ่าน แสดงออกมาหรือพูดออกมาในลักษณะที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นการแสดงออกของตัวเราเอง โดยไม่มีใครทราบนอกจากตัวเรา สามารถอธิบายธรรมให้เข้าใจโดยใช้หลักธรรมให้เห็นเด่นชัดด้วยปัญญา มีความสมดุลอย่างสูงในองค์ฌาน และองค์ญาณ คนกลุ่มนี้ชีวิตจะยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้นโดยปาฏิหาริย์ เรียกว่าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนมีผลจริงเป็นมหัศจรรย์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสนับสนุนถือว่าดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ ทั้งนี้คนที่พบกับวิบากกรรมก็สามารถที่จะดีขึ้นจนสามารถหลุดพ้นจากวิบากกรรมได้ หากเราสามารถทำตามสัญญากรรมข้ออื่นๆได้ครบ การพัฒนาร่างทรงสู่ญาณแฝง และสามารถถ่ายทอดธรรมได้อย่างมหัศจรรย์ จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำสังคมก้าวไกล มองดูเป็นปกติธรรมดาธรรมชาติ และสังคมยอมรับกันได้ในปัจจุบัน

    มูลนิธิสหปฏิบัติฯ
     
  10. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    เทวดาคุ้มครองกายมาจากไหน

    เรื่องของเทวดาประจำกาย หรือเทวดาที่ติดตามคุ้มครองประจำกายของแต่ละคน มีกล่าวขวัญกันมานานนับพันๆปีแล้ว แต่ทำไมคนทั่วไปบางครั้งไม่ค่อยได้ให้ความสนใจ หากนึกย้อนดูดีๆจะพบว่า หลายครั้งที่เราผ่านพ้นอุปสรรค หรืออันตรายมาอย่างฉิวเฉียด ประเภทที่ว่าน่าจะไม่รอดแต่ก็รอดได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในฐานะที่เป็นคนไทยที่นับถือ พุทธศาสนา มีพุทธประวัติที่มีเรื่องของเทวดา เทพเทวา สอดแทรกอยู่เสมอ ชัดๆเลยก็ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ โปรดพระมารดา และ กล่าวถึงการเปิดให้เห็น สามโลกพร้อมๆกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการ เปิดให้เห็นถึง ความดี ความชั่ว และการกระทำในปัจจุบัน ว่าหากทำดีจะส่งผลเช่นใด ทำความชั่วจะได้ไปทุกข์ทรมาณอยู่ที่ใด

    แม้แต่ประเทศไทย ในประวัติศาสตร์ เชื่อว่ามีเทวดาคุ้มครองรักษาประเทศ คือ พระสยามเทวาธิราช ซึ่งได้ประจักรแล้วว่าแม้จะผ่านพ้นอุปสรรค อันตรายเพียงใดแม้ถึงเสียกรุงก็จะมีผู้มีบุญญาธิการ มากอบกู้รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นเสมอในตัวของแต่ละคนในตำราอายุกว่าพันปี แม้แต่ในจารึกศิลา กล่าวถึงว่า คนเราที่มาเกิด กรรมมากกรรมน้อย จะมีเทวดาคุ้มครองรักษาอย่างน้อย 2 องค์
    และในคำทำนายสมัยพุทธกาลกล่าวว่าจะมีผู้รักษาพุทธศาสนา แบ่งเป็น 3 ยุคคือ
    1 ยุคแรกจะเป็นหน้าที่ของนักบวชดูแลคุ้มครองพุทธศาสนา
    2 ยุคที่สองจะเป็นหน้าที่ของเหล่าทวยเทพเทวาทั้งหลาย
    3 ยุคที่สามจะเป็นหน้าที่ของเหล่ายักษ์ทั้งหลาย

    จะเห็นได้ว่าตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาแล้วมนุษย์ไม่เคยห่างจากเทพเทวาเลย เพียงแต่มนุษย์หลงลืมที่จะน้อมนำเอาคุณอันอัศจรรย์ของเทวดาที่สถิตย์ในกายและไม่เคยที่จะนำพลังอันมหัศจรรย์มาใช้ทำให้พลังที่ติดตามคุ้มครองช่วยเหลือเรามาตั้งแต่กำเนิดอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ แล้วเราจะทำอย่างไรพลังอันมหัศจรรย์เหล่านั้นจะกลับคืนมา เทวดาคุ้มครองกายมาจากไหน, คุณวิเศษของเทวดาประจำกาย,กรรมกับกลไกของกรรม......
     
  11. รัชนีพร

    รัชนีพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +1,038
    มีคนอ่านข้อความแล้ว 2558 คนค่ะ
     
  12. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    การอุทิศบุญให้เชื่อโรค หรือโรคที่เราเป็นอยู่

    4-11-58 ท่านใดเชื่อในเรื่องของการอุทิศบุญให้เชื่อโรค หรือโรคที่เราเป็นอยู่บ้างคะ......ท่านใดเชื่อเรื่อง เชื่อโรค หรือโรคที่เราเป็นอยู่มีชีวิตบ้างและสามารถ รับบุญจากเราได้ ลองมากอ่านดู
    **อุทิศผลบุญกุศลให้ได้ผลทันที ตลอดทั้งการอุทิศผลบุญเพื่อรักษาโรค ในการอุทิศบุญเพื่อรักษาโรค หลวงพ่อสอนให้อุทิศให้เทวดาประจำตัว เทวดาที่ช่วยรักษาโรค นายเวรที่ทำให้เกิดโรคนั้น และเชื้อโรคบริเวณที่เป็นโรคนั้น ในกรณีที่ผู้ป่วย ป่วยหนักไม่สามารถอุทิศผลบุญเองได้ สามีหรือภรรยา บุตร บิดามารดา และญาติ สามารถช่วยกันอุทิศบุญให้ได้ โดยอุทิศบุญให้ เทวดาประจำตัวผู้ป่วย เทวดาที่รักษาโรคให้ผู้ป่วย นายเวรของผู้ป่วยที่ก่อให้เกิดโรคนั้น
    **การอุทิศบุญทำได้ 2 วิธี
    1. ตอนที่เรากำลังทำบุญทำทาน ให้คิดอุทิศผลบุญทันทีว่า
    "บุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้จงสำเร็จแก่ ........เมื่อท่านรับแล้วจง......."
    2. ถ้าตอนนั้นเราไม่ได้ทำบุญทำทานอยู่ แต่เราสามารถเบิกบุญที่เราเคยทำมาในอดีต มาอุทิศผลบุญได้ โดยการตั้งจิตอุทิศผลบุญว่า"ขออำนาจ พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ จงดลบันดาลผลบุญของข้าพเจ้า จงสำเร็จแก่ .... เมื่อท่านรับแล้วจง ...."
    ในการอุทิศผลบุญรักษาโรคมีลำดับการอุทิศผลบุญด้วย คือ
    1. อันดับแรกเราต้องอุทิศผลบุญให้แก่ เทวดาประจำตัวเราที่คอยดูแลช่วยเหลือและคุ้มครองเรา รวมทั้งเทวดาที่รักษาโรคให้เราด้วย ให้ท่านได้รับผลบุญก่อน
    2. อันดับที่สองอุทิศให้แก่นายเวรที่ทำให้เกิดโรคและเชื้อโรคบริเวณนั้น เมื่อเขารับผลบุญแล้วให้ออกไปจากร่างกายเรา และขอให้เขาอย่าจองเวร และอโหสิกรรมให้เรา
    วิธีการอุทิศบุญสำหรับผู้ป่วย
    ตั้งจิตอธิษฐานว่า "ด้วยอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จงดลบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าที่ทำมาแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรของ.......................(โรคที่เป็น) เมื่อท่านได้รับบุญแล้วขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้นมีภพภูมิที่สูงขึ้น จงหลุดจากชีวิตขั้นต่ำเดี๋ยวนี้ เมื่อข้าพเจ้าหายแล้ว ข้าพเจ้าจะทำบุญให้แก่พวกเจ้า ส่งชีวิตให้พวกเจ้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเจ้าจงเลิกจองเวรจองกรรมในเราเสียที"

    โดยสรุปแล้วการสร้างความดีทุกประการ ล้วนเป็นแหล่งของการเกิดบุญกุศลทั้งสิ้น แล้วก่อให้เกิดอานิสงส์ที่จะสร้างความสำเร็จให้ชีวิตได้ทั้งสิ้น เมื่อกำลังให้ของแก่ใคร ไม่ว่าจะถวายของแก่พระสงฆ์ ให้ของแก่พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้หมากิน เอาอาหารโยนให้ปลากิน เอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน ย่อมเกิดกระแสบุญขึ้น เป็นกระแสเรืองรองแผ่ออกจากตัวผู้กำลังให้ เพียงไม่กี่วินาทีแสงนี้จะพุ่งหายขึ้นไปเบื้องบน แล้วสะสมเป็นกองบุญผู้ให้อยู่บนเทวโลก ดังนั้นขณะให้ของแก่ใคร จึงควรอธิษฐานจิตคิดทันทีว่า “บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาตัวข้า” หรือ “บุญนี้จงเป็นของเจ้ากรรมนายเวรของข้า” หรือ “บุญนี้จงเป็นของเทวดา-ภูต-ผี-ปีศาจ-เปรต-ครุฑ-นาค-ยักษ์ ที่อาศัยอยู่ในสถานที่เรือกสวนไร่นา หรือเคหะสถานบ้านเรือนของข้า” หรือ “บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาบุตรของข้า จงเป็นของเทวดาผู้รักษาบิดา-มารดาของข้า” เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแก้ไขในจุดไหน
    ***ลองดูไม่เสียหายนะคะ** มีคนทำแล้วอาการดีขึ้นนะ ..บอกก่อน
     
  13. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    กายมนุษย์ละเอียดหรือกายอื่นๆ แตกต่างจากกายหยาบของเราอย่างไร

    4-11-58
    กายมนุษย์ละเอียดมีหน้าตาเหมือนกับตัวเรา เหมือนเลย แต่ว่าสดใสกว่า บริสุทธิ์กว่า นุ่มนวลกว่า เห็นแล้วชอบใจมากกว่า มีความคิดกว้างขวางกว่ากายหยาบ ไม่คับแคบเหมือนกายหยาบ มีความคิดที่กว้างขวาง กว้างไกล ลึกซึ้ง เห็นว่ากายหยาบนี้แค่เป็นเครื่องอาศัย ของที่อยู่กับกายหยาบเป็นอุปกรณ์ในการใช้สร้างบารมี จะเป็นทรัพย์สินเงินทองของนอกกายนั้น เป็นแค่อุปกรณ์ในการสร้างบารมีเท่านั้น กายมนุษย์ละเอียด เห็นได้กว้างขนาดนั้นทีเดียว และเห็นว่าทุก ๆ ชีวิตนั้นน่ะ มีความเกี่ยวพันกันไป เป็นเหมือนญาติ เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน เป็นเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน จะเห็นได้ชัดเจนเลยเมื่อเข้าถึงกายละเอียด แล้วก็จะเข้าถึงกายทิพย์ กายพรหม อรูปพรหม ที่มีลักษณะสวยงามแตกต่างกันขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งความบริสุทธิ์ ความใส ขนาดใหญ่โตกว่ากัน ความสุข ความบริสุทธิ์อะไรต่างก็ รวมทั้งความนึกคิดดวงปัญญาแตกต่างกันขึ้นไปเรื่อย ๆ กระทั่งเข้าถึงกายธรรม แต่ละกายนั้นก็จะคั่นด้วยดวงธรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องกลั่นใจให้ใส กลั่นแล้วกลั่นอีก กายก็จะถอดออกเป็นชั้น ๆ ๆ นี่แหละมีอยู่ในตัวของพวกเราทุก ๆ คนแต่เราไม่เคยเฉลียวใจเลยว่ามันมีอยู่ ไม่เคยมีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวนะ ว่าในตัวเรามีสิ่งเหล่านี้อยู่ เพราะมัวไปทำมาหากิน มัวเพลิดเพลินกันอยู่ในโลกการทำมาหากิน มีปัญหาต้องแข่งขันกัน ต้องแก้ปัญหากัน เวลาถูกใช้ไปอย่างนั้น ได้ทรัพย์มาแล้วก็เอาไปใช้จ่ายเพลิดเพลิน โดยคิดว่านั่นคือการผ่อนคลาย คือการพักผ่อนเพื่อจะเผชิญปัญหาในวันต่อไป แต่จริง ๆ นั้นก็คือชีวิตที่สูญเปล่า เพราะฉะนั้นพอมาถึง ณ จุดตรงนี้แล้ว เราจะแจ่มแจ้งทีเดียว

    คำว่า สัมภเวสี อีก ส่วนหนึ่งนั้น ยังหมายถึง สภาวะของคนที่ตายแล้วจิตออกจากร่าง แต่ยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ใน 31 ภพภูมิได้ เนื่องด้วยเหตุและปัจจัยบางอย่าง เขาต้องรอเวลา แถมเวียนวนหลงอยู่ในภพภูมิกลางนี้ไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนภพภูมิจริงๆ
     
  14. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    โลกของกายภาพ โลกของกายหยาบ

    4-11-58
    เรื่องทุกเรื่องที่ปุถุชนคนธรรมดาสงสัยและมองเห็นว่าเป็นเรื่องลี้ลับนั้น สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรลี้ ไม่มีอะไรลับ ทุกสิ่งสามารถอธิบายได้ทั้งนั้น
    **และข้าพเจ้าก็เห็นจริงตามที่ท่านว่า เพราะในช่วงหลังๆ ข้าพเจ้าพบเจอเรื่องราวหลายอย่างที่เป็นเรื่องนอกเหตุ เหนือผล และได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมๆ ของข้าพเจ้าไปไม่น้อย
    โลกของกายภาพ โลกของกายหยาบนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราได้เรียนรู้แบบหลงๆ มาตลอดชีวิต เราต้องมาเรียนรู้เพิ่มเติมใหม่ว่า ในกายหยาบที่เรามองเห็นและจับต้องได้นั้น ที่แท้มันเป็นเพียงการก่อเกิดขึ้นชั่วคราว จากการรวมตัวของ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน และไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ สุดท้ายผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนา ต้องเข้าสู่วิถีของการเรียนรู้ในโลกของนามธรรม โลกของจิต ที่ไม่อาจจับต้องมองเห็นได้ แต่จะรู้จักและสัมผัสได้ ก็ด้วยการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติสมาธิภาวนาเท่านั้น และมีสิ่งหนึ่งที่ผู้ปฎิบัติจะได้เรียนรู้ก็คือ โลกของกายละเอียด ..
    imepui
     
  15. me-pui

    me-pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +348
    mepui

    6-11/58 ท่านใดที่รอคำตอบ มีปุ๊ยจะรีบตอบให้นะคะ!!!!! หากไวรบกวนติดต่อทาง Face book นะคะ
    เราต่างถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกพร้อมกับพรสวรรค์ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีโดยธรรมชาติคุณได้รับพรพิเศษนี้ด้วยเหตุผลประการเดียว นั่นคือ เพื่อนำไปใช้และแบ่งปันให้กับคนอื่น ผู้ที่มีความสุขที่สุดคือคนที่ใช้พรสวรรค์ของตนอย่างเต็มที่ หนึ่งในภารกิจแห่งชีวิตของคุณคือการแบ่งปันพรสวรรค์และคุณค่าของคุณให้ผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นหมายถึงการเต็มใจที่จะคิดการใหญ่

    ขอบพระคุณสำหรับการติดตามด้วยดีเสมอมา
    mepui
     
  16. hiroshima51

    hiroshima51 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอตรวจสอบด้วยคนครับ
    เกิด 28 พฤษภาคม 2532 เวลา 04.56 น.
    อยากทราบเทวดาประจำตัวเป็น ชายหรือ หญิง
     
  17. Tiger4534

    Tiger4534 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีคะคุณ me-pui ดิฉันเชื่อ และศรัทธาต่อ องค์เทพที่ปกปักรักษาอยุ่ใน ร่างของมนุษย์ทุกคน แต่ทุกคนก้อต้องมั่นเพียรทำความดี เพื่อถวายแก่องค์ท่านด้วย
     
  18. พร้อมทาน

    พร้อมทาน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +126
    ทุกท่านครับ.. . คุณ me-pui เข้าเว็บพลังจิตไม่ได้..เลยไม่ได้มาดูกระทู้ ท่านใดสนใจ หรือ สอบถาม มีความรู้สึกเห็นด้วย อื่นๆ แอดไปที่ไลน์นี้ ได้นะครับผม https://line.me/R/ti/p/@imepui
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2018
  19. ปรางค์แก้ว

    ปรางค์แก้ว สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    สอบถามเรื่องเทวดาประจำตัวค่ะ เกิด วันที่17 กุมภาพันธ์ 2531ค่ะเวลาตี4จำนาทีไม่ได้ ขอบคุณค่ะ
     
  20. rjajj05

    rjajj05 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +9
    ช่วยกรุณาตรวจให้หน่อยได้มั๊ยค่ะ ว่าอะไรที่คอยช่วยเหลือหรือคอยคุ้มครองเรากันแน่ คือส่วนตัวสัมพัสได้ เพราะมีเหตุการณ์ร้ายๆมากมายที่เกิดขึ้นแต่เราก็ผ่านมาได้ บางอย่างเห็นจากฝัน บางอย่างเกิดขึ้นเอง คือรู้ว่ามีพลังบางอย่างที่อยู่ข้างๆเราตลอด แต่เราบอกไม่ได้ คืออะรัยกันแน่ แต่บอกตรงๆว่าตัวเองค่อนข้างกลัวพลังหรือสิ่งที่ตัวเองเป็นซะมากกว่า เพราะเราไม่รู้พลังที่แท้จริงหรือเขาต้องการอะรัยจากเรากันแน่ คือถ้าคุณสัมพัสจริงขอให้ความกระจ่างที
     

แชร์หน้านี้

Loading...