สงสัยมากครับ การแยก-รูป-นาม-จะแยกไปเพื่ออะไร..ในเมื่อ..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ใครบรรลุธรรม, 26 ตุลาคม 2018.

  1. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    สักกายะทิฏฐิ ของใครของมันส์


    แต่สติมันก็ระลึกตรงตามเป็นจริง เป็นไปตามสัจจะ
    ตามเหตุ เหมือนเราดูละคร


    เราจะไปเทียบกับพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย จะเอาสมาธิของเราไปเทียบพระพุทธเจ้าไม่ได้ เกินภูมิ


    นอกจากจะบำเพ็ญ บารมี เท่าพระพุทธเจ้า

    วิเคราะห์
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    น่านปะไร
    พูดไม่ทันขาดคำ
     
  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ขออภัยค่ะ หากไม่เกิดประโยชน์ ลบให้แล้ว
     
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มีประโยชน์สำหรับผู้ใฝ่ปฏิบัติมาก
    แต่ควรให้เป็นวาสนาของผู้ขวนขวายฮัย
     
  6. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    แยกรูปแยกนาม นั่นไม่จำเป็นต้องแยก "เพราะมันแยกเองอยู่แล้วสำหรับผู้ที่รู้ ตน และสภาวะธรรมต่างๆมันจะแยกกันเอง"
    แต่สำหรับผู้ที่หาตนไม่ได้ ก็ไม่สามารถแยกรูปแยกนามได้เลย เพราะ "ตนไปอยู่ในสภาวะธรรมใดสภาวะหนึ่งแล้ว" แต่ดันไม่รู้เอง ซึ่งมันก็จะสอดคล้องกับกระทู้ ปฏิจสมุปบาท เหมือนกัน. ที่ไม่มีใครเทศน์ปฏิจสมุปบาท เพราะเป็นธรรมของผู้ที่พ้น "ตน" ไปแล้ว ส่วนผู้ที่ยังหา "ตน" ไม่เจอ(ไม่ใช่กายเนื้อ) ไม่ว่าจะชักสิบแม่น้ำ เจ็ดคาบสมุทร ก็ทำได้แค่พูดไปเรื่อย เพราะไอ้การเพ่งโทษ การเพ่งดี อารมณ์ดีไม่ดีหรือเฉยๆ "นั่นคือยังมีตน" ก็เท่านั้นแหละ.

    ดังนั้นการพูดคุยทั้งหมดในกระทู้สำหรับสาระของธรรมปฏิจสมุปบาท "ย่อมไร้ประโยชน์" เพราะไม่มีใครไปถึง "เหตุปัจจัยโย" ของปฏิจสมุปบาทได้ ส่วนแยกรูปแยกนาม คนที่ปฏิบัติจนถึง "สัพเพ ธรรมา อนัตตา" ได้เท่านั้นถึงจะรู้และได้ประโยชน์ ส่วนการคุยกันทั้งหมดที่มาจากปริยัตินั้นไม่ได้อะไรเลยได้แค่ "แสดงความเห็น" โดยการปี้แปะความรู้จากพระไตร มาแสดงความเห็นว่าตนใช่ก็เท่านั้น ทั้งๆที่ตนก็หาไม่เจอ เชิญสนทนา "ยกพระไตรและความเห็นกันมาต่อเลยครับ"
     
  7. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ดังนั้น สำหรับ "ผู้อ่าน" ทุกคนก็สามารถอ่านข้อความในกระทู้ต่างๆได้ แต่พึงพิจารณาเอาว่า "อันไหนข้อความจากพระไตร" และ "อันไหนยกมาเพื่อแสดงความเห็นของตน" นะครับ
    และผมได้พิมพ์ "สิ่งที่เป็นประโยชน์ไปแล้ว" ดังนั้นผู้อ่านก็พึงพิจารณาเอาไว้ด้วย "เพราะผู้ที่ปฏิบัติมาทั้งชีวิตไม่ได้แม้ฌาน 4 ยังมีอยู่" ก็เพราะ ไปจำข้อความของการ "แสดงความเห็น" ที่เอามาปนกับพระไตรนั่นแลครับ
     
  8. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    จะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วครับ

    ไม่ทราบว่า คำว่า "แยกรูปแยกนาม" คุณไปมีอคติ ตะขิดตะขวงใจอะไรกับคำบัญญัตินี้ไปเองหรือเปล่าครับ เพราะที่ผมกล่าว ผมก็พยายามกล่าวถึงแต่ในลักษณะที่เป็นกริยาที่เป็นนามธรรมๆทั้งนั้นนะครับ เช่น ลักษณะของจิตที่เป็นอิสระเป็นกลาง ไม่หลงความคิดควรเป็นยังไง และเมื่อจิตเกิดภาวะหลงความคิดไม่เป็นกลางแล้วจะเป็นยังไงนะครับ

    คือถ้าเราไม่เข้าใจกริยาพวกนี้ได้จริงๆ ร้อยละร้อยหลงความคิดหมด จะหลงกระทำไปตามอารมณ์ตามความอยาก ไม่หลงคิดหลงกระทำด้วยอาการเหนี่ยวรั้ง ก็ผลักไส ตลอดนั่นแหละครับ ก็คือหลงกระทำตามอำนาจของตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตลอด สังเกตเลยถ้าไม่ทันตัณหา แปลว่าดูเวทนาไม่ออกไม่ทันไม่เข้าใจอะไรเป็นอะไรตั้งแต่ต้นแล้วครับ ปฏิจจฯไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง ไม่เป็นก้าวแน่ๆ

    ดังนั้นมัชฌิมาปฏิปทาคือความเข้าใจอันดับแรก ที่จะทำให้เราไม่หลงสุดโต่งตามความคิดไปทางใดทางหนึ่งจนสุดโต่งไปนะครับ ก็คือจะต้องกลับมารู้เท่าทันความคิด จิตหลงความคิดเป็นยังไง ไม่หลงความคิดเป็นยังไง สติจะต้องแยกตรงนี้ให้เป็นก่อน มันคือภาคบังคับเลยล่ะครับ ไม่งั้น หลงก็จะไม่รู้ว่าหลง หลงยังไง เผลอเหนี่ยวรั้งหรือผลักไสไปตามความคิดตามอารมณ์นี่จะไม่รู้เรื่องเลย หลงตลอด ครูบาอาจารย์ท่านถึงเตือนเป็นปริศนาธรรมว่า อย่าหลงเอาจิตเที่ยวแสวงหาจิต ที่จะเป็นอย่างนั้นไปก็เพราะความชัดเจนในเรื่องกริยาจิตที่เป็นกลางยังไม่มีนั่นเองครับ ปัญญาตรงนี้ให้มันกระจ่างชัดก่อนครับ

    ยิ่งถ้าลองพูดว่าไม่ต้องอ้อมไปดูหรือแยกรูปแยกนามอะไรเลยเนี่ย เข้าใจผิดถนัดเลยครับ เพราะนั่นแหละครับ ความรู้อันนั้นทำให้เข้าถึงความเป็นกลางหรือหามัชฌิมาปฏิปทาจริงๆเจอเลยล่ะครับ ถ้ามัชฌิมาปฏิปทาไม่มีไม่สนใจ ปฏิบัติไปก็ไม่เกิดมรรคเกิดผลจริงๆหรอก ก็เข้าอีหรอบเดิม ไปที่ไหนสำนักไหนก็เข้าอีหรอบเดิม หลงลูบคลำไปเรื่อย มีเท่านั้นเองน่ะครับ เตือนไว้เลย
     
  9. เทวินตพรหม

    เทวินตพรหม พรหมวิหาร4มรรคมีองค์แปด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,002
    อืม.......


     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
     
  11. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +268
    NOPPAKAN....

    :mad::mad::mad:..ป่วยหนักมากจริงๆ-บ้าแต่ไม่โง่-แค่หลงตัวอย่างหนัก..

    :):) ไปด่า-คนที่เขาไม่รู้เรื่องด้วย..เขาแค่มาออกความเห็นแค่-กดไลท์..ลักษณะคนพาลจริงๆ..

    :):) หลงตัวเองขนาดนี้ ตึกจิตเวช รพ.จุฬา เขาไม่รับแล้ว..ต้องไปศรีธัญญา-หลังคาแดง..อย่างเดียว..จิตดวงกลมๆ-แดง-เขียว-เหลือง-แสงที่ใต้ตา-หัวคิ้ว-แสงที่วิ่งตามแขน-ขา-กางเกงใน-นั่นใกล้สำเร็จแล้ว
    :):):):) ส่วนใครที่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์8-วงจรปฏิจจะสมุปบาท.."ทิฏฐิวิปลาสหมด"..เอ้อออออออออออ
     
  12. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +268
    :mad::mad: คนไทบ้านๆ..(ที่คุณโพสต์มามีเนื้อหาดังนี้)
    ถ้าตามที่ไล่อ่านๆมา มีความเห็นว่า.
    .

    :mad::mad: ควรวางความเชื่อทั้งหมดลงชั่วคราวก่อน หมั่นเคลียร์ใจให้เป็นปกติก่อน ใจที่เป็นปกติย่อมจะไม่มีความหนักใจหรือเคร่งเครียดใดๆ ณ เวลานั้น ถ้าหากว่ายังหมกมุ่นอยู่ในความคิด ใจจะไม่ผ่อนคลายไม่โล่งไม่โปร่ง นี่เป็นข้อสังเกตเบื้องต้นข้อแรกนะครับ
    ความเห็นผม-ไม่ผิดเลย..ถูกต้องหากทำได้..

    :mad::mad: คนไทบ้านๆ..โพสต์..
    ..หมั่นเคลียร์ใจให้เป็นปกติบ่อยๆ เรื่องศึกษาพุทธวจนะ สั่งสมสุตะ เชื่อว่าศึกษากันมาจนได้แนวทางในเบื้องต้นพอสมควรแก่เหตุแล้ว ตอนนี้มีแต่ต้องมาเข้าใจในกริยาที่เป็นนามธรรมนั้นให้ได้จริงๆ ตามความเป็นจริงจริงๆ ครับ ถึงจะเรียกว่าเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่เข้าใจ กริยาเช่น ใช่แล้ว ใช่เลยอะไรแบบนี้จะยังไม่ใช่การเข้าถึงที่แท้จริง

    ให้สังเกตว่า เวลารู้จักอะไรขึ้นมาสักอย่าง มันยังเป็นการเอาไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานบางอย่างที่เราเผลอมีตั้งไว้ในใจอยู่แล้วหรือเปล่า อาจจะแบบไม่ทันรู้ตัวก็ได้ครับ ลองสังเกตกันดูเอง

    ถ้าเข้าถึงจริงๆ จะมีแต่ อ๋อ..มันเป็นแบบนี้นี่เอง คือหายสงสัยหายข้องใจ คือที่เคยสงสัยๆ เขาพูดอะไรกัน ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย มันจะเก็ท เห็นกริยาแล้วมันเก็ทตามได้ ระลึกถึงคำพูดที่เขาพูดนั้นขึ้นมาได้ อ้อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง..

    ความเห็นผม ถูกต้องเลยครับ สะสมสุตตะ.. หากคุณทำได้

    และนี่ท่อนสุดท้าย.. คนไทบ้านๆ..โพตส์

    ..:mad::mad: จะต่างกับที่ว่า พอเกิดรู้เกิดเห็นอะไรขึ้นมาแล้ว คิดในใจหรือโพล่งออกมาว่า นี่ไง ใช่เลย ตรงเป๊ะเลย มันจะคนละแบบกันครับ ตรงนี้คงต้องค่อยๆ ลองสังเกตเอาเอง แต่ถ้ายังไม่มาถึงจุดที่ว่านี่ ก็จะยังยากที่จะเข้าใจอยู่ดี อย่างเก่งก็แค่คาดคะเนไปเรื่อย ใช้วิจารณญานว่าไปเรื่อยน่ะครับ เดี๋ยวก็ว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา คือมันใช้วิจารณญานไปเรื่อยมันก็เลยว่าออกไปแนวๆนั้นหมดครับ

    :):):) ผมตอบขยายให้เลยนะครับ ว่าใช่เลย..การตัดวงจรปฏิจจะสมุปบาทได้ ในปัจจุบัน ตัดผัสสะแล้วรีบดึงจิตกลับมาเสาเขื่อน-เสาหลัก-ที่ลมหายใจหรือกาย..นี่คือ การละนันทิ-ละอกุศล-ละสังโยชน์ได้บางตัว-ละความเพลินติดใน การคิด..
    :):):) จิตที่สั่งสมสุตตะอยู่แล้ว มีความรู้ทางปริยัติเรื่องรุป-นาม อยู่แล้ว เพราะปริยัติ เขาแยกให้ในตัวแล้ว รูปเกิด-นามต้องเกิดด้วย มันเป้น สมมุติบัญญัติ ทั้งสิ้น ..ที่โลกเขาต้องกำหนดให้-ไม่จำเป็นต้องไปนั่งแยกอะไรมันอีก แค่ทำการละนันทิ..ละความเพลินติดในคิด-ในปัจจุบัน
    :):):) ทำไปเรื่อง สมาธิ-สติ-จะแข็งแกร่งขึ้นเอง สะสมขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ..ไม่จำเป้นต้องไปแยกรูปนาม

    :):):) แล้วคุณมากลับความเห็นอ้างว่าไม่ใช่-อย่างนั้นผมคงเข้าใจเจตนาคุณผิดไปละซิ-นี่หลักฐานครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2018
  13. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +268
    คนไทบ้านๆ..โพสต์

    :mad::mad::mad:จะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วครับ

    ไม่ทราบว่า คำว่า "แยกรูปแยกนาม" คุณไปมีอคติ ตะขิดตะขวงใจอะไรกับคำบัญญัตินี้ไปเองหรือเปล่าครับ เพราะที่ผมกล่าว ผมก็พยายามกล่าวถึงแต่ในลักษณะที่เป็นกริยาที่เป็นนามธรรมๆทั้งนั้นนะครับ เช่น ลักษณะของจิตที่เป็นอิสระเป็นกลาง ไม่หลงความคิดควรเป็นยังไง และเมื่อจิตเกิดภาวะหลงความคิดไม่เป็นกลางแล้วจะเป็นยังไงนะครับ

    คุณ:):):) ย้อนแย้ง-ในภาษาและความคิดเห็นของตัวคุณเอง.."ผมพยายามกล่าวถึงแต่ในลักษณะที่เป็นกริยาที่เป็นนามธรรมนั้นๆนะครับ"..เป็นทั้งกริยา เป็นทั้งนามธรรม..(อะไรของคุณครับ)..พูดให้ชัดเจนซิครับ

    :):)ข้างล่างนี่ ..คนไทบ้านๆ..โพสต์


    :(:( คือถ้าเราไม่เข้าใจกริยาพวกนี้ได้จริงๆ ร้อยละร้อยหลงความคิดหมด จะหลงกระทำไปตามอารมณ์ตามความอยาก ไม่หลงคิดหลงกระทำด้วยอาการเหนี่ยวรั้ง ก็ผลักไส ตลอดนั่นแหละครับ ก็คือหลงกระทำตามอำนาจของตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตลอด ครับ ปฏิจจฯไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง ไม่เป็นก้าวแน่ๆสังเกตเลยถ้าไม่ทันตัณหา แปลว่าดูเวทนาไม่ออกไม่ทันไม่เข้าใจอะไรเป็นอะไรตั้งแต่ต้นแล้ว

    :):):) มีแต่คนบ้าครับ ที่ไม่เข้าใจกริยาตนเองในชีวิตประจำวัน-ผมว่า คุณเริ่มสับสนในตนเองเพราะความไม่เข้าใจในวงจรปฏิจจะฯล และข้อความที่พิมพ์มา 2 บรรทัดสุดท้าย ที่คุณโพสต์มานี่ คือ การทำงานของวงจรปฏิจจะสมุปบาท ทิ้งสิ้นแต่คุณกลับปฏิเสธ ..บ้ารึปล่าวครับนี่คุณนะ ..อ่านดูครับ

    :mad::mad::mad: " ปฏิจจฯไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง ไม่เป็นก้าวแน่ๆสังเกตุเลยถ้าไม่ทันตัณหา แปลว่าดูเวทนาไม่ออกไม่ทันไม่เข้าใจอะไรเป็นอะไรตั้งแต่ต้นแล้ว"..

    ....(ดูการทำงานของวงจรปฏิจจะสมุปบาทครับ-ข้างล่างนี่)

    -ผัสสะเกิดเป็น-ปัจจัยให้เกิด-เวทนา
    -เวทนา เกิด เป็นปัจจัย-ให้เกิดตัณหา..
    -ตัณหาเกิด เป็นปัจจัยให้เกิด- อุปทาน..ฯล..แล้วมันผิดตรงไหนครับ..ที่คุณโพสต์มานี่ แสดงถึง สับสนในตัวเอง ไม่เข้าใจการทำงานของวงจรปฏิจจะฯล แถมยกตนเล่นงานผมอีกแน๊..!
    :):):) คุณอย่าไปคลุกคลีกับเจ้า NOPPKAN..มากนักนะครับเชื้อมันแรงครับ.


    :):) ยิ่งความเห็นข้างล่างนี้..คุณมองไม่ขาดในภาคปฏิบัติเลยยยย..คุณจะทำใจ-จิต-ให้มัฌชิมาปฏิปทาได้ยังไงครับ-ในเมื่อตัวคุณยังเต็มไปด้วยกิเลส-เลือกข้าง-แบ่งฝ่าย-ทำมาหากิน..ฯล คุณต้องเข้าใจในปริยัติก่อนยังไง-ต้องสั่งสมสุตตะ-จินตะ-แล้วนำมาภาวนา-ปฏิเวธ ความเป็นกลางจึงจะเกิดขึ้นกับคุณได้ครับ
    :):) ผมก็ชี้ไว้แล้วครับ ..อยู่ๆจะมาวางจิตให้ มัฌชิมะปฏิปทา..พจ.ท่านก็ไม่ต้อง มาสอนคุณ แล้วครับ..เฮ้อออ!

    :mad::mad:ดังนั้นมัชฌิมาปฏิปทาคือความเข้าใจอันดับแรก ที่จะทำให้เราไม่หลงสุดโต่งตามความคิดไปทางใดทางหนึ่งจนสุดโต่งไปนะครับ ก็คือจะต้องกลับมารู้เท่าทันความคิด จิตหลงความคิดเป็นยังไง ไม่หลงความคิดเป็นยังไง สติจะต้องแยกตรงนี้ให้เป็นก่อน มันคือภาคบังคับเลยล่ะครับ ไม่งั้น หลงก็จะไม่รู้ว่าหลง หลงยังไง เผลอเหนี่ยวรั้งหรือผลักไสไปตามความคิดตามอารมณ์นี่จะไม่รู้เรื่องเลย หลงตลอด ครูบาอาจารย์ท่านถึงเตือนเป็นปริศนาธรรมว่า อย่าหลงเอาจิตเที่ยวแสวงหาจิต ที่จะเป็นอย่างนั้นไปก็เพราะความชัดเจนในเรื่องกริยาจิตที่เป็นกลางยังไม่มีนั่นเองครับ ปัญญาตรงนี้ให้มันกระจ่างชัดก่อนครับ:mad::mad:

    :):):) ข้างล่าง ที่คุณโพสต์นี่ ก็เหมือนกันครับ ถามกลับคุณดีกว่า มีเหตุผลอะไรต้องไปนั่งแยก รูป-นาม-ในเมื่อวงจรปฏิจจะฯล ปริยัติ-เขาแยกให้มาแล้ว..เหตุผลคุณไม่มี- มีอะไรคาใจรึครับ..ผูกขาดมาจากสำนักไหนรึครับ-แสดงความคิดเห็นวิปลาสเหมือนเจ้า NOPPAKAN..เป๊ะ อย่าไปคลุกคลีกับเจ้านี่มากนักนะครับ ผมเตือนให้-คุณจะเสพติด-จิต แดง-เขียว-เหลือง-ชมพู-แสงแว็บๆๆๆหัวตา-หางตูด-ปลายก้น-ขอบกางเกงใน-มันก็ทำนายได้หมด อาการหนักจริงๆครับ..

    :mad::mad: ..ยิ่งถ้าลองพูดว่าไม่ต้องอ้อมไปดูหรือแยกรูปแยกนามอะไรเลยเนี่ย เข้าใจผิดถนัดเลยครับ เพราะนั่นแหละครับ ความรู้อันนั้นทำให้เข้าถึงความเป็นกลางหรือหามัชฌิมาปฏิปทาจริงๆเจอเลยล่ะครับ ถ้ามัชฌิมาปฏิปทาไม่มีไม่สนใจ ปฏิบัติไปก็ไม่เกิดมรรคเกิดผลจริงๆหรอก ก็เข้าอีหรอบเดิม ไปที่ไหนสำนักไหนก็เข้าอีหรอบเดิม หลงลูบคลำไปเรื่อย มีเท่านั้นเองน่ะครับ เตือนไว้เลย..
     
  14. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +268
    การแยกรูป-นาม-แค่อุบายในการทำจิต ให้เกิดสมาธิเท่านั้น..สมาธิสามารถระงับกามได้แต่แค่ชั่วคราวเหมือน หินทับหญ้า=สมถะ ครับ
     
  15. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    ก็คือ ทุกข์อริยสัจ4 นั้นเอง ถ้ายังๆไม่แจ้งอริยสัจ4 ก็ยังหลงเป็นขบวนการของสัจจะ ที่สัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าสาวกจำแนกใว้ดีแล้วสติปัฏฐาน4

    ตามจริง ความคิดก็เป็นอนัตตา จะหาความเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ ไปตามเหตุจริงๆ จนแยกเป็นสิ่งถูกรู้ หรือ เกิดสภาวะทุกข์ขัง โดยตัวของมันเอง
     
  16. เทวินตพรหม

    เทวินตพรหม พรหมวิหาร4มรรคมีองค์แปด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,002
    60F9B410-4E85-434E-8341-34EFE06376EC.jpeg 0FD26FC8-E469-4D7B-9396-80CF60095821.jpeg

    ไปขี่แมงกะไซด์เพลินๆดีกว่าครับ :D
    อย่าด่าผมนะครับท่านสมาชิก ผมสายฮาครับ
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    การพิจารณากิจของรูปธรรม กิจของ
    นามธรรม
    ต้องมีทั้งสติสมาธิ
    และปัญญาตั้งแต่ระดับต้นๆ
    เพื่อการพิจารณาความจริงที่ปรากฏ
    ขณะปัจจุบันนั้นๆ ไม่ใช่กลอุบาย
    เเต่เป็นรู้สภาวะจริงๆ ในแต่ละขณะ
     
  18. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ขอตอบเป็นเรื่องๆไปนะครับ ค่อยๆทะยอยตอบ

    ตรงนี้เข้าใจตรงกันนะครับ เป็นเรื่องของการฝืนทวนกระแส ทวนความเคยชินเดิมๆ ตัดผัสสะ แล้วรีบดึงกลับอะไรเนี่ยน่ะครับ

    ละนันทิ ละอกุศล แต่ยังไม่ละสังโยชน์ (ได้บางตัวตามที่คุณบอก) หรอกครับ ยังเป็นแค่สมถะภาวนาธรรมดาๆ สมถะคือการข่ม ถ้าข่มความเคยชินได้ ไม่ติดใจในชัยชนะ หรือเท่าทันในความหลงยินดียินร้ายได้ จิตถึงจะค่อยเป็นกลางไปเอง แบบไม่มีเจตนาไปจงใจจะเอาความเป็นกลางอะไร

    ถ้าดูให้ดี จิตเป็นกลางไปเองได้เพราะ สติไปรู้เท่าทันความคิดและไม่ทันได้ยึดอะไรต่อ ณ เวลานั้น จิตจึงว่างจากอารมณ์ยึดได้ชั่วคราว นั่นจึงจะเริ่มเข้ามาในทาง ดังนั้นเราควรสมาทานการมีสติรู้เท่าทันความคิดก็ด้วยเหตุอย่างนี้แหละครับ เผลอจะเอาบ้างอะไรบ้าง รู้เท่าทันไปครับ จนสติมันเท่าทันพอ มันเกิดความชัดเจนขึ้นเอง (ผมย้ำว่าเกิดขึ้นเอง) ในกริยาที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ครับ ถึงจะเริ่มย้อนไปรู้ว่ามันพลาดตรงไหนมาได้บ้างครับ นั่นแหละครับจะเริ่มร้องอ๋อ..

    และนี่แค่เริ่มต้น แค่เริ่มที่จะมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกตรงขึ้นมาเท่านั้นเองครับ ยังไม่ได้ตัดสังโยชน์อะไรเลย โปรดทำความเข้าใจให้ตรงครับ ใครที่เป็นคนบอกคุณว่า ละนันทิ ละอกุศล และละสังโยชน์ได้บางตัว นั้นเขาไม่รู้จริงหรอกครับ ถ้ายังเป็นลักษณะจงใจกระทำอยู่ แปลว่าจิตยังไม่มีปัญญาด้วยตัวของมันเองจริง ยังอาศัยการปฏิบัติตกแต่งเอาจากภายนอกช่วยอยู่ ถ้าจิตมันมีปัญญาของมันเองจริงๆแล้ว มันไม่ต้องไปทำอะไรหรอกครับ ตัวมันจะคลายโดยตัวของมันเอง และคลายอยู่แล้ว อะไรที่มันรู้แจ้งแล้วมันคลายของมันเองครับ

    ผมถึงบอกว่า ถ้าไปไหนยังเข้าไปแบบอาศัยการทรงๆ การตัดฉับๆ ตัดไวๆ แบบนี้ยังไม่ใช้ไม้ได้ ถ้าจิตเขามีปัญญาเองแล้ว มันคลายๆไปแต่ต้นแล้ว ไม่มีกระบวนท่าอะไรหรอกครับ แล้วแต่สถานการณ์ รู้ไปตามความเป็นจริง ยอมรับไปตามความเป็นจริง แก้ไขเอาเฉพาะหน้านั่นแหละครับ
     
  19. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    อันนี้พูดมาตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่ใช่ไปนั่งจับแยกว่าไอ้นั่นไอ้นี่คืออะไร แบบนั้เขาเรียกว่ายังหลงความคิดอยู่ วิชาการ ภาษาบัญญัติให้วางไว้ก่อน มาศึกษาด้วยการเจริญสติเข้าไปรู้ลักษณะอาการตามความเป็นจริงน่ะครับ และถ้ายังไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องรีบร้อน ประเดี๋ยวจะกลายเป็นตัณหาสับขาหลอกเข้าให้อีก

    ถ้ากำลังสติ สมาธิ หรือจริงๆ ต้องว่า พละ 5 ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มีความแก่กล้าเป็นเหตุเป็นปัจจัยเพียงพอก็จะเริ่มชัดเจนในกริยาที่เป็นนามธรรมได้มากขึ้นๆเอง ไม่ใช่ลักษณะไปนั่งจับแยก แต่ความชัดเจนจะทำให้เห็นแยกส่วนตามลักษณะความเป็นจริงได้เอง

    ส่วนถ้าสงสัยคำว่า กริยาที่เป็นนามธรรม ก็ต้องพูดถึงกริยาที่เป็นรูปธรรม จะได้เห็นภาพชัดขึ้น กริยาที่เป็นรูปธรรม เช่น ร่างกายเกิดเป็นฝี มีหนองแตกไหลเยิ้มออกมา นี่คือกริยาที่เป็นรูปธรรม มันจับต้องได้ ส่วนกริยาที่เป็นนามธรรมคืออะไรที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ เป็นต้นครับ
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ประโยชน์ของดอกบัวเหล่าที่ 4
    คือเป็นอาหารของเต่าปลาเท่านั้นฮับ
    พระสัมมาฯทรงจำแนกไว้อย่างนั้น จบข่าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...