เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คำถามของคุณรักไร้พ่ายเป็นคำถามที่ดีมาก เพราะทุกคำถามน่าคิด น่ารู้

    1. ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ในมิติของจิตวิญญาณซึ่งสามารถรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติที่แท้จริงได้พร้อมกันทั้งหมด ทำให้จิตวิญญาณรู้เห็นอดีตชาติและอนาคตชาติ และเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลายเป็นอนันต์ และเลือกที่จะนำเหตุการณ์หรือประสบการณ์จากเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เหล่านั้น-มาสู่เส้นทางที่เราเรียกว่า โลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ กล่าวได้ว่าจิตวิญญาณรู้เห็นภาพรวมทั้งหมดของภาพต่อ และตระหนักว่าชิ้นส่วนใด คือชิ้นส่วนที่ควรจะนำมาเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ ณ จุดใด ชาติภพใด มิติใด ตัวตนใด และเลือกประสบการณ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นบุคคลตัวตนนี้ ณ มุมมองและจุดยืนนี้ เพื่อการเรียนรู้คุณค่าของชีวิตด้วยการเปลี่ยนความเชื่อหนึ่งๆเป็นความรู้

    หากจะกล่าวว่า ความเป็นไปทั้งหมดเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว-ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะคำว่าเกิดเรียบร้อยไปแล้ว-กลายเป็นอดีต แต่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน คือ กำลังเกิดขึ้น ณ ขณะจิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เราเรียกว่าอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ปราศจากเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เหตุการณ์ทั้งหลายกำลังเป็นไป ณ ขณะจิตนี้

    เหตุการณ์ทั้งหมดก็กำลังเป็นไป ในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ มิติอื่นๆ และความเป็นไปของเหตุการณ์ทั้งหลาย-มีความหลากหลายเป็นอนันต์ ซึ่งเกิดขึ้นจาก-ทุกอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของแต่ละบุคคล

    ยกตัวอย่าง หากเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดแว้บขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เนื้อคู่ หรือการตาย ความคิดแว้บหนึ่งๆ ก่อเกิดเหตุการณ์-ดังที่คิด บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใดเส้นหนึ่งเสมอ แต่มันอาจไม่มาสู่เส้นทางที่เราเรียกว่า โลกแห่งความเป็นจริง หากเราไม่ได้จดจ่อกับความคิดดังกล่าวมากพอที่จะก่อให้เกิดการดึงดูดสถานการณ์ทั้งหลายที่คล้องจอง และสนัับสนุนให้เส้นทางแห่งความเป็นไปได้นั้นมาสู่ความเป็นจริง เหตุการณ์นั้นๆก็จะยังดำเนินต่อไป-บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ มิติอื่นๆ เพียงแต่เราไม่ได้รู้เห็นมัน หรืออาจรู้เห็นได้ในความฝัน แต่มันก็ไม่ได้มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น มันยังคงเป็นเพียง-ความเป็นไปได้-สำหรับเราต่อไป

    เมื่อกล่าวถึงเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ พวกเรามักจะคิดว่า มันไม่มีตัวตน ไม่มีความเป็นจริง แต่ท่านอาจารย์อนาลัยได้อธิบายว่า เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ คือ ชาติภพอื่น มิติอื่น ที่มีความเป็นจริงไม่น้อยไปกว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่เรารู้จัก แต่เมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ เราจึงรู้จักมักเพียงแค่ว่าเป็นเพียง-ความเป็นไปได้เท่านั้น แต่สำหรับบุคคลตัวตนอื่นๆ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ของเขา เขาย่อมเรียกบุคคลตัวตนของเราและโลกแห่งความเป็นจริงของเราว่า เป็นบุคคลตัวตนอันเป็นไปได้ ผู้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ของเขา

    กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทุกความคิด ทุกความเป็นไปได้ กำลังเป็นไป บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใดเส้นหนึ่ง ชาติภพใดชาติภพหนึ่ง มิติใดมิติหนึ่ง อยู่ในขณะจิตนี้ แต่การที่เหตุการณ์นั้นๆจะมาสู่เส้นทางที่เราเรียกว่า-โลกแห่งความเป็นจริง-หรือไม่นั้น อยู่ที่การจดจ่อของบุคคล ต่อความคิดนั้นๆ

    ดังนั้นจึงไม่มีเหตุการณ์ใดที่ได้ถูกกำหนดไว้ตายตัว-ล่วงหน้า เพราะทุกทุกเหตุการณ์-มีความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ และกำลังเป็นไปพร้อมกันหมดทุกเหตุการณ์เป็นปัจจุบัน แต่เหตุการณ์ที่ถูกฉายมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ เป็นเหตุการณ์จำเพาะที่เราจดจ่อเป็นพิเศษ เสมือนการปรับ Focus จนคมชัด จนกระทั้่งเหตุการณ์บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เหตุการณ์นั้น ฉายมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพได้อย่างชัดเจน

    แต่ในขณะที่เหตุการณ์จำเพาะหนึ่งๆกำลังเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ เหตุการณ์อันเป็นไปได้ในทิศทางอื่นๆ ก็กำลังเป็นไปบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆด้วย มันไม่ได้สูญสลายไปไหน หากแต่ว่าการไม่ได้จดจ่อกับความเป็นไปได้เหล่านั้น ทำให้เราไม่สามารถปรับ Focus ได้จนคมชัดพอที่มันจะฉายมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพที่เราจดจ่ออยู่นี้ได้

    จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่เหตุการณ์ใด จิตวิญญาณก็มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนั้น เผชิญกับเหตุการณ์นั้นๆที่มันจดจ่อ เราจะกล่าวว่า เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนั้น มาสู่โลกแห่งความเป็นจริง หรือจะกล่าวว่า จิตวิญญาณย้ายฐานไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนั้น-ก็ไม่ต่างกัน เพราะการเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและการเวลา

    ต่อคำถามที่ว่า ความเป็นไปทั้งหลายเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่นั้น ตอบได้ว่า เปลี่ยนแปลงได้เสมอทุกขณะจิต ด้วยการเลือกและตัดสินใจของเราโดยแท้ การกระทำ ณ ปัจจุบันของเราจึงนอกจากจะไม่ได้ไร้ความหมายแล้ว ในทางตรงกันข้าม-การเลือก การตัดสินใจและการกระทำในปัจจุบัน คือ จุดพลังอำนาจ ที่ทำให้วิถีชีวิตของเราเป็นไปในทิศทางต่างๆ

    คำว่า กำหนดการกระทำ จึงปราศจากความหมาย เพราะไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใด กำหนดการกระทำ หรือ กำหนดวิถีชีวิตของเรา นอกจากความเชื่อของตนเองเราทั้งหลายเลือกมาถือกำเนิด ด้วยรูปกาย ด้วยบุคลิกภาพ ด้วยมุมมอง และด้วยทัศนคติจำเพาะตามความเชื่อที่ครอบงำสติสัมปชัญญะของเราหลายชาติภพ เราต่างมาถือกำเนิดเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ และเรียนรู้คุณค่าชีวิตด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเหล่านั้นเป็นความรู้ เราทั้งหลายกำหนดวิถีชีวิตด้วยความเชื่อของตนเอง และเราก็สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อ ณ ปัจจุบัน ได้ทุกเมื่อ

    2. เราทั้งหลายไม่ได้ดำเนินวิถีชีวิตในชาติภพหนึ่ง บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เพียงเส้นทางเดียวตลอดอายุขัย จิตวิญญาณของเราย้ายฐาน หรือเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะ ไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ หลายเส้นทาง หลายชาติภพ หลายมิติ อยู่ตลอดวันเวลา ทุกลมหายใจ เมื่อนาทีที่แล้ว และนาทีนี้ เราอาจไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นเดิมด้วยซ้ำไป หากเราเลือกตัดสินใจบางอย่างที่แตกต่างไป และหากเราเปลี่ยนความเชื่อบางอย่างไปนาทีที่แล้ว

    แรงบันดาลใจทั้งหลาย เกิดจากความปรารถนาของบุคคลตัวตน ณ จุดยืน ณ มุมมอง พร้อมด้วยทัศนคติและความเชื่อหนึ่งๆ เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถึการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น ชาติภพอื่น มิติอื่น พร้อมด้วยการเป็นบุคคลตัวตนอื่นๆ แรงบันดาลใจ ตลอดจนความปรารถนาย่อมผันแปรไปด้วยเสมอ เราทั้งหลายจึงมีความปรารถนาและแรงบันดาลใจที่เปลี่ยนแปลงไปชั่วชีวิตที่เรารู้เห็น เพราะเราไม่ได้ตระหนักว่า เราไม่ได้เป็นบุคคลตัวตนเดิมตลอดชีวิตที่เรารู้จัก กล่าวได้ว่า เราเปลี่ยนรูปกาย เปลี่ยนอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดมาตลอดชีวิต จิตวิญญาณของเราเท่านั้นที่คงสภาพตลอดจนบันทึกข้อมูลความรู้และความทรงจำ ที่ทำให้เรารู้เห็นการเป็นบุคคลตัวตนอย่างไม่ขาดตอน จนกระทั่งเรารับเอาว่า เราเป็นบุคคลตัวตนเดียวโดยปราศจากรอยต่อของชีวิตและความตาย ปราศจากรอยต่อของชาติภพ และปราศจากรอยต่อของการเปลี่ยนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ปราศจากรอยต่อของการเปลี่ยนมิติ

    แรงบันดาลใจทั้งหลายเป็นพลังที่ผลักดันให้จิตวิญญาณแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ณ จุดยืนหนึ่งๆ มุมมองหนึ่ง ด้วยทัศนคติและความเชื่อหนึ่งๆ แม้การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์หนึ่งๆอาจจะยังไม่ได้เป็นไปโดยสมบูรณ์?ด้วยการเป็นบุคคลตัวตนนี้ ร่างนี้ ด้วยรูปกายนี้ แต่การเติมเต็มดังกล่าวอาจเป็นไปแล้วอย่างสมบูรณ์บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น ชาติภพอื่นๆ มิติอื่นๆ การเติมเติมเหล่านั้นจึงอาจทำให้แรงบันดาลใจหนึ่งๆจางหายไป

    แต่หากเราพบว่า เรายังไม่ได้ใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ที่จะนำแรงบันดาลใจใดๆมาสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างดังที่เราคาดหวัง และยังรู้สึกเป็นหนี้ตนเองอยู่เสมอ แรงบันดาลใจดังกล่าวนั้นมักจะยังไม่ได้รับการเติมเต็มในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ หรือชาติภพอื่นๆ มิติอื่นๆ และมักจะทำให้เรารู้สึกถึงแรงผลักดันที่อยากจะบรรลุเป้าหมายหรือทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ

    การจดจ่อกับแรงบันดาลใจทั้งหลายด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ทำให้แรงบันดาลใจมีพลังผลักดันสูงขึ้น และเหนี่ยวนำให้ความเป็นไปได้ที่จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในทิศทางจำเพาะหนึ่งๆ-ตามแรงบันดาลใจนั้นๆ มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางนี้ มิตินี้ ชาติภพนี้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การจดจ่อกับแรงบันดาลใจหนึ่งๆด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น ที่เราสามารถนำแรงบันดาลใจนั้นๆมาสร้างสรรค์และเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ได้ดังปรารถนา

    3. พี่นักเขียนเคยฝึกสมาธิเพียงอย่างเดียวด้วยการกำหนดลมหายใจ หรืออานาปานสติมาก่อนหน้าที่จะมาฝึกฝัน สิ่งที่พบเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัวคือ การก้าวล่วงไปสู่ภาวะของการเป็นฌานนั้น และสัมผัสกับญาณนั้น เป็นสิ่งที่วัดได้ยาก และพิสูจน์ได้ยากว่า สัมผัสได้จริง รู้เห็นได้จริง เพราะบ่อยครั้งเมื่อก้าวล่วงไปสู่ภาวะที่เข้าใจว่าเป็นญาณ ภาวะนั้นๆอยู่ไม่ได้นาน แม้จะสัมผัส รับรู้ หรือ download ข้อมูลความรู้บางอย่างได้ แต่ก็มีระยะเวลา download สั้นเพราะการทำสมาธิมักเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งหลายกำหนดให้ตนเองใช้เวลาจำกัด แม้ว่าจิตวิญญาณจะไม่ต้องใช้เวลา แต่การกำหนดว่าจะนั่งสมาธิ 30 นาที 1 ชั่วโมง ก็ทำให้เกิดวิตกวิจารณ์ และทำให้ภาวะที่เข้าสู่การเป็นฌานและญาณพลอยมีระยะสั้นไปด้วยโดยปริยาย

    พี่นักเขียนเลือกที่จะฝึกฝัน โดยทำสมาธิก่อนนอนแล้วก้าวล่วงไปสู่ภาวะที่เรียกว่าเป็นฌาน เป็นญาณในความฝัน เพราะช่วงเวลาของการนอนหลับและฝัน เป็นช่วงเวลาที่เป็นอิสระจากกาลเวลาได้อย่างแท้จริง เพราะปราศจากกำหนดระยะสั้นเช่นการนั่งสมาธิ

    หากจะเปรียบว่า การฝึกฝันถนัดหรือไม่ถนัดกว่า การฝึกสมาธิ พี่นักเขียนก็คงต้องกล่าวว่า การฝันเป็นธรรมชาติมากกว่าการนั่งสมาธิ เพราะเราฝันอยู่แล้วทุกคืน เราไม่เคยต้องหัดฝัน เพียงแต่ว่าเรามักปล่อยให้ตนเองฝันโดยขาดสติ แต่เราไม่นั่งสมาธิเป็นธรรมชาติ หากไม่บังคับให้ตนเองนั่งบนเบาะสมาธิ กำหนดลมหายใจ หรือกำหนดจุดวางจิต ฯลฯ เราก็แทบจะไม่รู้จักการทำสมาธิเลยตลอดชีวิต

    สิ่งหนึ่งที่พี่นักเขียนค้นพบหลังจากการฝึกสมาธิ และหันมาฝึกฝันคือ ช่วงต่อระหว่างภาวะที่จิตตื่น-กายตื่น ไปสู่ภาวะที่จิตตื่น-กายหลับ เป็นช่วงที่เราทุกคนต้องก้าวล่วงไปสู่เสมอทุกคืนยาม ก่อนที่เราจะหลับได้ ช่วงต่อที่ว่านี้เรียกว่า ภวังค์ เราก้าวไปสู่ภวังค์ที่ว่านี้ แต่เรามักจะตกเข้าภวังค์หลับ คือเข้าสู่ภาวะที่ิจิตหลับ-กายหลับ หรือแท้จริงแล้วจิตไม่เคยหลับ แต่ขาดสติสัมปชัญญะที่จะระแวดระวังเช่นเดียวกับยามตื่นเท่านั้น

    หากเราคงภาวะให้จิตตื่น-กายหลับได้ เราจะตกเข้าภวังค์สมาธิ
    ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะหยุดทำงาน แต่สติสัมปชัญญะจะยังคงมีสติรู้ ระแวดระวัง เพราะประสาทสัมผัสภายใน หรือประสาทสัมผัสที่หก ซึ่งได้แก่ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดจะทำหน้าที่รู้เห็นอย่างคมชัดยิ่งกว่าเดิมเป็นอันมาก

    คนจำนวนมากเชื่อว่า หากนั่งสมาธิได้ไม่นานพอ เป็นฌานหรือญาณได้ไม่นานพอจากการนั่งสมาธิในแต่ละครั้ง จะทำให้ไม่มีเวลาพอที่จะรับรู้หรือ download ข้อมูลต่างๆได้ ซึ่งแท้จริงแล้วจิตวิญญาณรับรู้หรือ download ข้อมูลความรู้ได้โดยปราศจากช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ขนาดบรรจุข้อมูลหลาย gigabyte, terabyte, petabyte, exabyte zettabyte หรือแม้แต่ yottabyte ก็น้อยเกินไปที่จะบรรจุข้อมูลของจิตวิญญาณไว้ได้ และ nanosecond ก็ึช้ากว่าการทำงานของจิตวิญญาณมากมายมหาศาล

    พี่นักเขียนเชื่อว่าการฝึกสมาธินั้น เข้าถึงการหยั่งรู้ได้ตามตำนานพุทธศาสนา และเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยการฝึกฝนอย่างเข้มงวด และต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะประสพความสำเร็จ เพราะชีวิตประจำวันของเราไม่คุ้นเคยกับการนั่งสมาธิ เป็นฌานหรือญาณ

    แต่สำหรับปุถุชนอย่างพี่นักเขียนเข้าใจว่าความฝันเป็นวิธีการที่เป็นธรรมชาติที่สุด หากจะฝึกก็ฝึกเพียงบางส่วน ซึ่งได้แก่การฝึกให้คงสติสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่อง จากจุดที่เข้าสู่ภวังค์ จนก้าวไปสู่ความฝัน หากจะกล่าวว่าไม่ถนัดฝึกฝัน น่าจะเป็นเพราะเราไม่ได้มีครูฝีกฝันอย่างเป็นทางการเช่นครูสอนสมาธิ เราจึงรู้สึกว่าการฝึกฝันทำได้ยากกว่าเพราะไม่มีใครสอน หากจะเรียกให้ถูกต้อง น่าจะต้องเรียกว่า ฝึกคงสติสัมชปัญญะให้ตื่น-ยามฝัน มากกว่าเรียกว่าฝึกฝัน เพราะเราฝันอยู่แล้วทุกคนโดยไม่ต้องฝึก

    พี่นักเขียนเองก็ไม่ได้มีครูฝึกฝันหรอกค่ะ แต่มีกลุ่มนักเรียนที่เรียนสมาธิกับพี่นักเขียน และพี่นักเขียนได้ชักชวนให้ฝึกนอนสมาธิเนื่องจากหลายคนที่มาสมัครเรียนมีปัญหานอนหลับยาก บ้างก็มีอาการปวดที่ทำให้นอนหลับยาก จากนั้นนักเรียนก็เริ่ม report ความฝันกันมากมาย จนกลายเป็นต้องเพิ่มหลักสูตรฝึกฝันเข้าไปด้วย เพราะความฝันที่เกิดขึ้นกับนักเรียนสมาธิเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการคำตอบ สิ่งที่พี่นักเขียนและนักเรียนทั้งหลายค้นพบตลอดเวลาที่สอนสมาธิที่นี่มายาวนานหลายปีคือ ทุกคนฝัน และติดตามความฝันได้ด้วยสติสัมปชัญญะยามตื่น แม้ผู้ที่ไม่เคยจดจำความฝันได้ก็จดจำได้แม่นยำ และตระหนักได้ถึงความหมายอันลุ่มลึกของความฝัน เวลาที่พี่นักเขียนให้นักเรียนฝึกฝนก็เป็นระยะสั้นมาก เพราะหลักสูตรสมาธิที่พี่นักเขียนสอนมีระยะเวลาเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น กว่าจะเริ่มฝึกฝันก็ย่างเข้าสัปดาห์ที่ 4

    ไม่ว่าเราจะเลือกฝึกสมาธิ หรือฝึกฝัน หากเป้าหมายคือการได้เรียนรู้ หรือสัมผัสกับองค์ความรู้อันเป็นของกลางของจักรวาล หรือ Universal Knowledge พี่นักเขียนเชื่อว่าไม่ว่าจะฝึกด้วยวิธีการใด หากสัมฤทธิ์ผล ก็ย่อมเข้าถึงองค์ความรู้ได้ไม่ต่างกัน แต่หากจะเปรียบสื่อหรือยานพาหนะที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายแล้ว ไม่ว่าจะฝึกสมาธิหรือฝึกฝัน เราต่างก็ใช้สื่อหรือปัจจัยเดียวกันโดยไม่ผิดเพีี้ยน ซึ่งได้แก่ จิตวิญญาณซึ่งมีวิถึการจดจ่ออันคมชัด หรือ สติสัมปชัญญะอันคมชัด(rose)
     
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489

    การถ่ายทอดทั้งหลายระหว่างการเป็นบุคคลตัวตน ล้วนเป็นการถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความทรงจำ เพราะเป็นการถ่ายทอดจากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณโดยตรง และจิตวิญญาณ คือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    คุณน้อง amsomegal ไม่จำเป็นต้องขอฝันถึงตัวตนอื่นๆ ในชาติภพอื่นๆ เพราะความฝันจะนำพาไปสู่ประสบการณ์ของตัวตนอื่นๆ ในชาติภพอื่นๆอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ การขอ อาจทำให้ตนเองจดจ่อกับตัวตนนี้ จนในที่สุดเลยฝันถึงแต่ตัวตนในชาติภพนี้

    ขอให้ตั้งจิตขอฝันเพื่อรับถ่ายทอด คุณสมบัติจำเพาะ จากตัวตนในชาติภพใดๆที่มีความสามารถจำเพาะที่คุณน้องปรารถนาโดดเด่นที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากชาติภพนี้เล่นดนตรีไม่เก่งหรือยังไม่เคยหัดเล่นมาก่อน ขอฝันเพื่อรับถ่ายทอดความรู้และทักษะจากตัวตนในชาติภพที่สามารถเล่นดนตรีได้ดีที่สุด เป็นต้น

    แต่การจะทำเช่นนั้นได้ จะต้องเกิดจากการจดจ่อกับความปรารถนา เจตนา และมุ่งมั่นที่อยากจะเล่นดนตรีเก่งจริงๆ เพราะหากปราศจากความปรารถนา เจตนาและความมุ่งมั่น จิตวิญญาณจะปราศจากความคมชัดที่จะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่่มิติที่จิตวิญญาณเป็นบุคคลตัวตนที่พร้อมด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ไม่เผชิญกับประสบการณ์ความฝันดังที่คาดหวัง

    เราทั้งหลายถ่ายทอดข้อมูลความรู้และทักษะจากบุคคลตัวตนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเราในชาติภพอื่นๆ หรือแม้แต่บุคคลตัวตนอื่นๆในชาติภพนี้ มาสู่สติสัมปชัญญะของเราได้เสมอ หากเรามีความปรารถนา มีเจตนา และมีความมุ่งมั่น

    ผู้ที่ไม่เคยฝึกฝันหรือฝึกสมาธิเลย แต่ประสพความสำเร็จอย่างสูง มักกล่าวถึงบุคคลที่เขาเคยชื่นชอบ เช่น ศิลปินบางคนที่ประสพความสำเร็จจะกล่าวว่า เขาคลั่งไคล้ศิลปินคนใดมาก่อนหน้าที่เขาจะประสพความสำเร็จ เขามักจะเคยเลียนแบบ ลอกเลียน หรือทำตามศิลปินคนโปรดก่อนหน้าที่จะค้นพบ style อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง การเลียนแบบ ลอกเลีียน หรือทำตาม ทำให้เราจดจ่อกับผลงานของบุคคลหนึ่งๆเป็นอันมาก

    ยกตัวอย่างเช่น หากพี่นักเขียนปรารถนาจะวาดภาพได้งดงามเหมือนภาพวาดระบายสีของ Gustav Klimt พี่นักเขียนก็จะต้องจดจ่อกับรายละเอียดเส้นสาย การใช้สี ฝีพู่กัน ตลอดจน style ของ Klimt การจดจ่อกับผลงานของเขา การลอกเลียน การทำตาม ล้วนเป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพที่อยู่ชั้นนอก การถ่ายทอดที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นภายใน คือเกิดจากการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ จากสติสัมปชัญญะที่จดจ่อในทิศทางการวาดภาพของพี่นักเขียน เปลี่ยนไปจดจ่อในทิศทางของ Klimt หากพี่นักเขียนสามารถจดจ่อได้มากเท่าไร การถ่ายทอดก็เป็นไปได้มากเท่านั้น
    [​IMG]
    เราทั้งหลายทำเช่นน้ันอยู่เสมอๆกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างที่อาจเป็นผลงานของใครบางคน จดจ่อกับวิธีการ จดจ่อกับกรรมวิธี ฯลฯ เราถ่ายทอดข้อมูลความรู้ ทักษะและความสามารถจากผู้สร้างสรรค์มาสู่สติสัมปชัญญะของเราโดยไม่รู้ตัว แม้แต่อาหารที่เราลิ้มรสและพอใจ เมื่อเราปรุงอาหารและพยายามเลียนแบบรสชาดที่เราเคยลิ้มลอง เราทำได้โดยไม่ได้รู้ว่า ลิ้นของเรา นิ้วมือของเราไม่ได้ถ่ายทอดข้อมูลความรู้หรือทักษะเหล่านั้นมา หากแต่จิตวิญญาณของเราต่างหากที่ถ่ายทอดข้อมูลความรู้และทักษะเหล่านั้นมาได้เสมอๆ

    แม้ท่านอาจารย์อนาลัยจะกล่าวว่า เราสามารถถ่ายทอดความรู้ ความสามารถและทักษะจากตัวตนอื่นๆของเราในต่างชาติภพ ต่างมิติ มาสู่ตัวตนในปัจจุบันของเราได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะทำสิ่งต่างๆได้ "เหมือน" ตัวตนนั้นๆโดยไม่ผิดเพี้ยน

    เราแต่ละคนคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังอย่างเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าเราจะถ่ายทอดข้อมูลความรู้และทักษะใดๆมา เราย่อมนำมันมาใช้และสรัางสรรค์ในทิศทางใหม่เสมอ ความรู้อันเป็นของกลางของจักรวาลจึงขยายตัวออกไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่ว่าเราจะนำความรู้หรือทักษะเดิมมาใช้ในทิศทางใด มันย่อมจะแตกต่างและแตกแขนงไปจากเดิมเสมอ เพราะเราเป็นบุคคลตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากตัวตนในชาติภพอื่นๆเสมอ (rose)
     
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    REM

    ภาวะที่เข้าภวังค์สมาธิ เป็นภาวะที่พี่นักเขียนเรียกว่า กายหลับแต่จิตตื่น
    ภาวะที่พี่นักเขียนเรียกว่า ฝันด้วยการมีสติสัมปชัญญะที่คมชัดก็ไม่ต่างกันค่ะ เพราะในภาวะดังกล่าวนี้ กายหลับแต่จิตตื่น จึงก้าวล่วงไปสู่ความฝัน เผชิญกับประสบการณ์ในความฝันได้ด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัดเสมือนยามตื่น แต่ใช้ประสาทสัมผัสภายในเพื่อการรู้เห็นแทนประสาทสัมผัสทั้งห้า

    นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองเกี่ยวกับความฝันพบว่า เราจะฝันก็ต่อเมื่อร่างกายก้าวล่วงไปสู่สภาวะที่เกิด REM หรือ Rapid Eye Movement และพบว่าทารกจะเจริญวัยได้ต่อเมื่อนอนหลับและก้าวล่วงไปสู่ภาวะของ REM เด็กแรกเกิดจะนอนหลับมากกว่าตื่น และจะมี REM period ยาวนานถึง 80% ของเวลานอนทั้งหมด ผู้ใหญ่ที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว REM period จะสั้นลง เพราะร่างกายไม่ต้องการการเจริญเติบโตมากเท่าเด็กๆ แต่ REM period นอกจากจะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเจริญเติบโตแล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมตนเองอีกด้วย

    การรักษาโรคด้วยตนเองจึงเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติทุกคืนยาม ในขณะที่เรานอนหลับ ผู้ที่ป่วยมักจะต้องการนอนหลับพักผ่อนมากกว่าปกติโดยอัตโนมัติ เพราะร่างกายต้องการเข้าสู่ REM period เพื่อซ่อมแซมตนเอง โดยร่างกายจะหลั่งสารเคมีที่ต้องการไปสู่ส่วนต่างๆที่จำเป็นต้องซ่อมแซม แต่คนส่วนมากรักษาตนเองโดยไม่รับประทานยา ไม่ต้องหาหมอไม่ได้ เพราะนอกจากจะขาดความเชื่อถือในร่างกายแล้ว ยังนอนไม่หลับเอาเสียด้วยหากเครียดจัด ทำให้ร่างกายไม่สามารถก้าวล่่วงไปสู่ ?REM period ได้ยาวนานเท่าที่มันต้องการเพื่อซ่อมแซมสุขภาพ

    การฝึกสมาธิ หรือฝึกฝันอย่างมีสติ ทำให้เราก้าวล่วงไปสู่ภาวะของ REM period ได้บ่อยๆตามปรารถนา แทนที่จะรอให้มันเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆในแต่ละคืน เมื่อ REM period เกิดขึ้นได้ยาวนานขึ้น ร่างกายจะตกอยู่ในภาวะคล้ายเด็กอ่อนคือ หายใจด้วยท้องแทนที่จะหายใจด้วยปอด

    ผู้ที่ฝึกสมาธิมายาวนานจะสังเกตตนเองได้ไม่ยากว่า เมื่อเราเริ่มนั้งสมาธิไม่กี่นาทีแรก เราจะจับลมหายใจได้ว่า เราหายใจด้วยปอด เมื่อนั่งไปได้สักพักจนรู้สึกสงบ เข้าสู่ภวังค์ลึก การหายใจจะเปลี่ยนไปเป็นหายใจด้วยท้อง จากนั้นอาจรู้สึกเสมือนหายใจด้วยผิวหนัง และในที่สุดรู้สึกเสมือนปราศจากลมหายใจ

    ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ตะวันตกนิยมให้ผู้ป่วยฝึกหายใจด้วยท้องหลังการผ่าตัด เพราะทำให้ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยลง และทำให้แผลที่เกิดจากการผ่าตัดหายเร็วกว่าปกติ ตาม report ไม่ได้กล่าวถึง REM หรือการรักษาโรคตามธรรมชาติของร่างกาย เพราะนักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยเชื่อถือวิธีการตามธรรมชาติของร่างกายมากเท่าที่เขาเชื่อถือยา และผลผลิตทางการแพทย์และอุตสาหกรรม

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า เมื่อผู้ป่วยหายใจด้วยท้อง ผู้ป่วยก็ก้าวไปสู่ REM period โดยปริยาย ซึ่งทำให้ร่างกายไม่เพียงแต่จะเคลื่อนไหวน้อยลงและแผลผ่าตัดหายเร็ว แต่ทำให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมตนเองได้ตามธรรมชาติอีกด้วย ส่วนที่ว่าการทำสมาธิทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ก็น่าจะเป็นเพราะร่างกายก้าวไปสู่ REM period ได้ยาวนานเหมือนเด็กทารก ทำให้เกิดการเจริญวัยและการซ่อมแซมได้อย่างสม่ำเสมอและมากขึ้นหากทำสมาธิเป็นประจำ

    ปัจจุบันนี้ ในเมือง Salem รัฐ Oregon มีสถาบันชื่อว่า The Rapid Eye Institute เป็นสถาบันที่เปิดสอนกายภาพบำบัดด้วยการฝึกให้ผู้ป่วยก้าวล่วงไปสู่ภาวะที่เรียกว่า กายหลับแต่จิตตื่น แต่เขาเรียกภาวะนี้ว่า Waking Rapid Eye Movement(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • rapideye.gif
      rapideye.gif
      ขนาดไฟล์:
      16 KB
      เปิดดู:
      260
    • rapideye2.gif
      rapideye2.gif
      ขนาดไฟล์:
      15 KB
      เปิดดู:
      260
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2008
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    น้องใหม่ของห้องวิทย์ฯ มาแรงค่ะ
    ตอบคำถามได้ AAA เลย(good)
     
  5. amsomegal

    amsomegal Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92
    ขอบคุณพี่ nova ค่ะ^^
    เดี๋ยววันนี้ หนูลองตั้งใจขอฝันเห็นถึงคำตอบดู
    แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ มารายงานผลค่ะ ว่าเป็นยังไง
    ช่วยกันทดสอบ ช่วยกันเรียนนะคะ เพราะความรู้มีได้อย่างไม่สิ้นสุด ขอให้ห้องวิทย์นี้อยู่คู่เว็บไปนานๆแสนนานๆค่ะ
     
  6. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบคุณครับพี่นักเขียนสำหรับคำตอบ เลยทำให้มีคำถามต่อว่าถ้าในสภาวะ REM เป็นช่วงที่ร่างกายฟื้นฟูสภาพร่างกาย ถ้าอย่างนั้นแล้วการทำให้ร่างกายอยู่สภาวะ REM ยิ่งนานเท่าไหร่ก็น่าจะยิ่งดีใช่มั๊ยครับ ใน อมตะแห่งจิตวิญญาณ(ภาคต้น) เขียนว่าคนเรานอนแค่ 5-6 ชม.ก็เพียงพอ แต่ถ้าเรานอนนานกว่านั้น ก็เท่ากับว่าเราอยู่ในช่วง REM ยาวนานกว่า ซึ่งมันก็น่าจะดีกว่า??

    และจากคำตอบของพี่นักเขียนอันนี้

    2. เราทั้งหลายไม่ได้ดำเนินวิถีชีวิตในชาติภพหนึ่ง บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เพียงเส้นทางเดียวตลอดอายุขัย จิตวิญญาณของเราย้ายฐาน หรือเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะ ไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ หลายเส้นทาง หลายชาติภพ หลายมิติ อยู่ตลอดวันเวลา ทุกลมหายใจ เมื่อนาทีที่แล้ว และนาทีนี้ เราอาจไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นเดิมด้วยซ้ำไป หากเราเลือกตัดสินใจบางอย่างที่แตกต่างไป และหากเราเปลี่ยนความเชื่อบางอย่างไปนาทีที่แล้ว

    แต่ก่อนผมเคยคิดว่าการเปลี่ยนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ก็เหมือนภาพแรกคือตัวเรา(ทั้งจิตวิญญาณทั้งร่างกาย) เปลี่ยนวิถีการกระทำ เปลี่ยนเส้นทางเดินไปยังเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นทางใหม่

    แต่ถ้าเป็นอย่างที่พี่นักเขียนบอกมันก็เป็นว่าที่จริงแล้วมีแต่จิตวิญญาณที่เปลี่ยนร่างกายซึ่งเปลี่ยนไปจดจ่อยังตัวเราในเส้นทางอื่น และก็ทิ้งการจดจ่อกับตัวเราตัวเดิม และตัวเราแต่ละบุคคลก็ยังดำเนินไปยังเส้นทางของตัวเองต่อไป อย่างนั้นใช่หรือเปล่าครับ? และก็ที่เรา(จิตวิญญาณ)ไม่รู้ตัวก็เพราะว่าสภาพแวดล้อมของเส้นทางเก่ากับใหม่มันคล้ายกันมาก รวมถึงประสบการณ์ที่ตัวตนนั้นประสบพบเจอในอดีตด้วย จนคิดว่ามันเหมือนกันใช่หรือเปล่าครับ??
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • path1.GIF
      path1.GIF
      ขนาดไฟล์:
      1.7 KB
      เปิดดู:
      44
    • path2.GIF
      path2.GIF
      ขนาดไฟล์:
      2 KB
      เปิดดู:
      37
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2008
  7. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เห็นด้วยกับพี่นักเขียนค่ะ เพราะแม้แต่พระที่ฝึกสมาธิตามแนวสติปัฏฐาน 4 เก่ง ๆ คือ การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ท่านก็ให้ความสำคัญกับความฝันอย่างมากเหมือนกันนะคะ เช่นวิธีการฝึกสติก่อนนอนที่เรียกว่าการจับหลับ

    ท่านเคยกล่าวไว้ว่า อันตัวเรานี้เจริญพระกรรมฐานมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเราจะฝันโดยไร้สาระเป็นไม่มี:boo:
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG] [​IMG]


    เห็น graphic รูปนี้แล้วเหมือนเรากำลังขับรถเปลื่ยนเลนบนทางด่วนเลยคุณซิปฯ
    สมมุติฐานนี้คงคล้ายๆเราอยู่ในรถเก๋งคันเดิมๆ คันหนึ่ง (Me ดำเนินวิถีชีวิตในชาติภพหนึ่ง) ขับไปบนท้องถนน อยู่ๆก็เหลือบไปเห็นรถวื่งแซง สะดุดตาที่รถ sport สองที่นั่งเข้า (เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นทางอื่นๆ) เกิดรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษกับรถคันนั้น (เปลี่ยนวิถีการจดจ่อ) จึงพยายามศึกษาค้นหาดึงดูดเรื่องราวของรถ sport คันนั้นเข้ามา และในที่สุดตัดสินใจ (ตัดสินใจบางอย่างที่แตกต่าง) ที่จะก็ไปหาซึ้อจากโชว์รูม เอามาขับได้ในที่สุด (เปลื่ยนความเชื่อได้สำเร็จ) อาจไม่ใช่รถคันที่เห็นก็ได้แต่มีความคล้ายคลึงกัน (เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นทางใหม่) อนาคตจึงอยู่ที่การเปลื่ยนวิถึการจดจ่อและการเปลื่ยนความเชื่อเป็นหลักครับตามสมมุติฐานที่คุณซิปฯยกตัวอย่างมา

    ช่วงนี้มีคำถามและคำตอบที่เข้มข้นมาก...มีประโยชน์กันพวกเราจริงๆครับ+
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2008
  9. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    มาต้อนรับน้องใหม่ด้วยคนค่ะ

    จินตวดีกำลังคิดจะเปลี่ยนบริษัททำงาน แต่ก็ไม่แน่ใจในอนาคตว่าบริษัทใหม่จะดีกว่าที่เก่าหรือไม่ เมื่อคืนหลังทำสมาธิ ได้ลองตั้งจิตอธิษฐานขอรู้เส้นทางความเป็นไปได้ถ้าเราเลือกทำงานกับบริษัทใหม่ จินตวดีฝันเห็นงานที่บริษัทใหม่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาคคิด โดยเฉพาะงานที่มีการตกลงล่วงหน้าว่าวันนี้เราจะได้ออกทริป 2 วัน 1 คืน ในฝันให้เรารู้เสร็จสรรพว่าเราจะเก้อ ตื่นขึ้นมา พร้อมกับรับรู้ว่า งานที่คาดว่าต้องได้ไปแน่นอน กลับไม่ได้ไปอย่างในฝันจริง ๆ (ว่างงาน 2 วันเลย) จินตวดีเลยตกลงอยู่ที่เดิมดีกว่า

    มีคำถามอยากถามคุณนักเขียน ในหนังสือกล่าวไว้ว่า ถ้าเรากำลังมีประสบการณ์ชีวิตที่มีทุกข์ ตัวตนเราในชาติภพอื่นอาจกำลังมีประสบการณ์ทางด้านตรงกันข้ามอยู่ นี่คือกฏของความสมดุลย์ที่จินตวดีเข้าใจดี แต่ถ้าในปัจจุบันของตัวเราขณะนี้ เลือกที่จะเดินทางในทางสายกลาง โดยกระทำในสิ่งที่ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น ระมัดระวังในการกระทำ โดยไม่สุขจนเกินไป ทุกข์จนเกินไป เมื่อสุขให้รู้ว่าสุข เมื่อทุกข์ให้รู้ว่าทุกข์ โดยยึดหลักสติปัฐฐานมาช่วย ถ้าเรายึดทางสายกลางนี้แล้ว ตัวตนอื่นของเราจะเป็นอย่างไร จะยึดทางสายกลางเหมือนเราไหม บางครั้งจินตวดีมีความสุขมากมายเลยพาลคิดว่าตัวตนอื่นอาจกำลังลิ้มลองความรู้สึกอันเป็นตรงกันข้ามอยู่ เพราะเคยได้รับรู้ถึงความทุกข์ ความเจ็บปวด ความผิดหวังมาแล้ว เลยไม่อยากให้ตัวตนอื่นต้องทุกข์เหมือนตนเอง ถึงแม้จะแบ่งแยกคนละตัวตนคนละชาติภพ ถึงแม้จะยังระลึกไม่ได้ก็ตาม อำนาจปัจจุบันของตนตัวที่ระลึกได้ จะช่วยได้ไหม

    แม้จะมีการแบ่งแยกออกเป็นตัวตนมากมายตามเส้นทางอันเป็นไปได้อันเป็นอนันต์ ทังอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งร่วมมิติ และต่างมิติ ถ้าอำนาจปัจจุบันของการระลึกรู้ของจินตวดีช่วยได้ จินตวดีไม่อยากให้ความสุขของตัวเองต้องมีผลให้เกิดประสบการณ์ตรงกันข้ามกับตัวตนอื่นเลย
     
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ดีครับที่คุณจินตฯ รู้สึกเป็นห่วงตัวตนอื่นๆว่าจะเหมือนเราด้วย..ผมว่าเรื่องนี้คงเป็นการแชร์ความรู้สึกกันในระบบเครือข่ายนะครับ ตัวตนอื่นๆก็คงกำลังปรับตัวให้อยู่ระหว่างความสุข-ความทุกข์ หรือไม่ติดสุข-ไม่ติดทุกข์ให้ได้เช่นกันนะครับรู้สึกแบบนั้น และจะมีบทเรียน+บททดสอบมาให้ตัวตนทั้งหลายเกิดประสบการณ์เพื่อเรียนรู้กันอย่างทั่วถึงครับ

    แต่ก็คิดอยู่ว่า จะมีตัวตนอื่นๆที่หลุดพ้นจากระบบโลกไปแล้วเพื่อรอเรากลับคืนของพวกเรา และคอยประคับประคองระบบเครือข่ายของเราทั้งหมด โดยส่งตัวตนใหม่ๆลงมาคอยช่วยเหลือเราเพิ่มอีกเรื่อยๆ และเป้าหมายหลักคือการกลับคืนสู่ความเป็นตัวตนรวมอีกครั้งรึเปล่า? เรื่องนี้คงต้องฝากพี่นักเขียนอีกแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2008
  11. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ยินดีต้อนรับน้องใหม่ด้วยคน ยังไม่ได้แสดงความยินดีเลย

    คุณ Mead อันนี้ถ้าเข้าใจไม่ผิด โนวาอนาลัยกับพี่นักเขียนก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนรวมอันเดียวกัน

    กับตัวตนรวมอื่นๆ ก็คงจะเหมือนๆ กันละมั๊ง

    (แต่จริงๆ ทั้งหมด ก็ต้องถือว่าเป็นตัวตนรวมเดียวกัน สับสนมั๊ยเอ่ย?)
     
  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ตัวตนรวมคงมีอยู่หลายกลุ่มหลายเผ่าพันธุ์ ในหลายๆดาราจักรนะคุณซิปฯ
    บางทีคุณซิปฯอาจอยู่กลุ่มเดียวกับไอสไตน์ก็ได้ และมีบางตัวตนในกลุ่มนี้ไปเรียนรู้ที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆด้วย ในขณะเดียวกันเค้าก็กำลังศึกษามองดูวิถึชีวิตคุณซิปฯไปพร้อมๆกัน พร้อมกับถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในกลุ่มมาให้เสมอ น่าจะเป็นแบบนั้นครับ..โดยที่ไอสไตน์เองก็ยังมีหน้าที่สำคัญในการสร้างสรรค์เอกภพในรูปแบบอื่นๆที่ยังต้องเรียนรู้ต่อไป (ไม่เหมือนมนุษย์ที่เดียวแต่เคยมีประสบการณ์แบบมนุษย์)..และตัวตนรวมของไอนสไตน์ก็จะทำหน้าที่สำคัญยิ่งขึ้นไปอีก..เพื่อช่วยเหลือค้ำจุนระบบใหญ่ๆอีกทอดนึงซึ่งเป็นศูนย์รวมของตัวตนรวมทั้งหมดอีกที (คุณซิปฯ คงทราบดีว่าหมายถึงอะไร?)

    คิดว่าตัวตนรวมคงคล้ายกับการ Big bang
    ตอนนี้กำลังขยายตัวออกไปเพื่อการสร้างสรรค์
    แต่วันหนึ่งน่าจะมีการหดกลับเข้าสู่จุดศูนย์กลางนะครับ
    เหมือนการเข้าศูนย์ยกเครื่องหรือบูรณาการใหม่เพื่อขยายตัวใหม่ทั้งระบบ
    คิดไปไกลเลยครับ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2008
  13. ronnie07

    ronnie07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +193
    พี่จินตนี้น่ารักจริงๆยังเป็นห่วงเป็นใยตัวตนอืนๆอีกด้วย(good)
    ช่วงนี้รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเปลียนแปลงอย่างเข็มข้นเลยนะหลายๆคำถามเหรอข้อสงสัยของผมส่วนมากจะมีใครบางคนเข้ามาโพสคำตอบให้เสมอๆเลยโดยเฉพาะคุณJINTAWADEE คุณ Mead คุณ Zipper เหรอไหมก็พี่นักเขียน ขอขอบคุณทุกๆท่านนะครับ(f) :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2008
  14. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คุณ Mead จินตนาการไปไกลดีนะครับ n_n
    อย่าเอาผมไปอยู่กลุ่มเดียวกับไอสไตน์เลย ยังห่างกันอีกเยอะ มิอาจนำพา

    ตัวตนรวมเนี่ยจะมีวันหดกลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ และที่ขยายก็จะขยายไปได้ขนาดไหนหรือว่าขยายไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้นหนอ

    ช่วงนี้จำฝันอะไรไม่ได้มากนัก เคยมีฝันที่ผ่านมาซัก 2-3 เดือนได้ ไปอยู่ในที่มีคนมากมาย มีผู้หญิงคนนึงจะสอนอะไรให้ แต่ในฝันบอกปฏิเสธไป ยังคิดอยู่เลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครในที่นี้หรือเปล่า??
     
  15. amsomegal

    amsomegal Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92
    สวัสดีพี่ๆทุกคนค่ะ ตั้งแต่อยากรู้คำตอบของต้นกำเนิดหรือคำตอบของจักรวาล ก็ได้มาพบกับห้องวิทย์นี่พอดี แล้วก็ได้คำตอบของพี่นักเขียนแล้วก้อพี่ๆทุกคนที่ให้ความกระจ่างไปแล้ว
    แต่ตอนนี้กำลังเผชิญกับความรู้สึกแปลกๆ ที่มีมานานแล้วค่ะ พยายามขอฝันหรือนั่งสมาธิแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบที่กระจ่าง มันเป็นความรู้สึกว่า"ตัวเองต้องการอะไรบางอย่าง" แต่ก็ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร พยายามไม่คิดแล้ว แต่ความรู้สึกนี้มันก็ผุดขึ้นมาตลอดเวลา
    ขอฝันก็แล้วก็ยังไม่ได้เห็นคำตอบ ตอนนี้เลยอยากขอคำแนะนำจากพี่ๆหรือว่าหนทางอะไรก็ได้ค่ะ ที่จะทำให้ได้คำตอบ ได้รู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการซักที
     
  16. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จ๊าก... เมื่อคืนคุณมี้ดกับน้องผู้ชายใครไม่รู้ไปหาถึงในฝันแน่ะ จินตวดียังแลบลิ้นหลอกอยู่เลย หุ หุ
     
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความฝันกับความคาดหวัง
    เมื่อเราคาดหวังบางสิ่งบางอย่าง-อย่างจดจ่อ จิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่สิ่งนั้น-แม้ในความฝัน ไม่ว่าเราจะคาดหวังสิ่งใด เช่น ลาภยศ ชื่อเสียง ตำแหน่งหน้าที่ การงาน สัมพันธภาพ เงินทอง การถูกล้อตเตอรี่ โรคภัยไข้เจ็บ การหายจากโรค ปัญหาการเงิน ปัญหาการงาน หรือการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น หากสิ่งที่เราจดจ่อยามตื่นปรากฏในความฝันได้คมชัดไม่แพ้ยามตื่น ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เราเห็นว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราจดจ่อจดจ่อกับสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่-ทั้งยามตื่นและฝัน ทำให้มันปรากฏในความฝัน

    การปรากฏของมัน หมายถึงว่า มันกำลังปรากฏในโลกแห่งความเป็นจริงอีกหลายโลก หลายมิติ หลายชาติภพ การปรากฏของประสบการณ์เหล่านั้นมักกลายเป็นความจริง หรือถูกดึงดูดมาสู่ความเป็นจริง เพราะความคิดหนึ่งๆก่อให้เกิดกระแสเช่นเดียวกับหินก้อนหนึ่งที่ตกลงสู่ผิวน้ำ มันก่อให้เกิดคลื่นหลายลูก เช่นเดียวกับความคิด ณ ชาติภพหนึ่งๆก่อให้เกิดกระแสที่ส่งผลกระทบต่อชาติภพอื่นๆ เมิื่อมันปรากฏในหลายชาติภพเหมือนคลื่นหลายลูกที่เกิดจากหินก้อนเดียว กระแสของความคิดนั้นๆ หรือคลื่นที่เกิดจากหินก้อนนั้นๆ ในที่สุดย่อมจะส่งผลกระทบกลับมา ณ ชาติภพนี้ ตัวตนนี้ เช่นเดียวกับคลื่นที่กระทบฝั่งย่อมสะท้อนกลับไปยังศูนย์กลางที่หินก้อนนั้นตกลงกระทบผิวน้ำ

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เธอจดจ่อสิ่งใด-ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น

    คนจำนวนมากที่อยากถูกล้อตเตอรี่แล้วไม่ถูก เพราะเขาไม่สามารถจดจ่อกับการถูกล้อตเตอรี่ได้มากพอที่จะดึงดูดมันมาสู่ความเป็นจริงได้ คนจำนวนมากจดจ่อกับความ "อยาก"ที่จะถูกล้อตเตอรี่ แต่ไม่ได้จดจ่อกับ"ความสุขหรือความพอใจ"ที่ได้ถูกล้อตเตอรี่ เขาก็เผชิญกับความอยากนั้นๆต่อไปอีกยาวนาน เหตุที่เป็นเช่นนั้น-เป็นเพราะคนจำนวนมากคิดว่า การถูกล้อตเตอรี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก หรือมีความเป็นไปได้จำกัดมาก เช่น รางวัลที่หนึ่งมีเพียงรางวัลเดียว และคนนับล้านดูเสมือนจะต้องแย่งกัน อย่างมากก็อาจมีคนถูกซ้ำกันได้เพียงสองคน เป็นต้น

    เราเคยคิดกันบ้างไหมว่า หากเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลายแตกแขนงออกไปอย่างเป็นอนันต์ ดังเช่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึง พวกเราชาวห้องวิทย์ฯสามารถถูกล้อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งได้พร้อมกันหมดทุกคน ณ จุดที่ความเป็นไปได้ดังกล่าวเกิดขึ้น เราจะแยกทางหรือแตกแขนงออกไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้อื่นๆ ด้วยการดำเนินชีวิตและจดจ่ออยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้คนละเส้น ซึ่งแต่ละเส้น-มีเราแต่ละคนถูกรางวัลที่หนึ่งบนเส้นทางนั้นๆเพียงคนเดียว ...........ธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้คือความเป็นจริงที่ว่า จักรวาลเต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข และเราทุกคนสามารถจะมีได้-เป็นได้-ทำได้ เสมอเหมือนกันหมดทุกคน แต่มันก็เป็นความเป็นจริงที่เราทั้งหลายเข้าใจแทบไม่ได้ เพราะเราติดกับความเชื่อที่ว่า โลกนี้มีทุกสิ่งทุกอย่าง-อย่างจำกัด และผู้ที่แข็งแรงกว่า มีบุญวาสนาสูงกว่า หรือเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานเท่านั้น จะมีสิทธิ์เอาได้-มีได้-ทำได้ เรามองเห็นความเหลื่อมล้ำ และเชื่อในความเหลื่อมล้ำจนเราเข้าใจในธรรมชาติของความเสมอภาคไม่ได้

    ความเชื่อของเราเป็นปัจจัยจำกัดความเป็นไปได้ทั้งปวง และในขณะเดียวกัน ความเชื่อของเราก็เป็นปัจจัยที่ระบุความเป็นไปได้ทั้งปวง คนที่ถูกล้อตเตอรี่มักเชื่อว่า เขามีสิทธิ์จะถูกได้ และมักฝันหวานว่าหากถูกแล้วเขาจะทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำประโยชน์ให้ผู้อื่น และบางคนก็ฝันว่าเขาเห็นสิ่งที่บอกใบ้ หรือเป็นสัญญลักษณ์

    พี่นักเขียนเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยว่า การถูกล้อตเตอรี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะเติบโตมาในครอบครัวที่มีทัศนคติว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องได้มาด้วยความเพียร สมัยอยู่เมืองไทยเคยซื้อล้อตเตอรี่ไม่ถึง 5 ครั้ง เคยช่วยคนตาบอดโดยซื้อยกเล่มในวันเกิด ใจก็นึกว่าช่วยคนตาบอดและเชื่อว่าจะไม่ถูก ก็ไม่ถูกจริงๆแม้แต่ใบเดียว

    ในช่วงชีวิตที่เชื่อว่าตนเองไม่มีวันถูกล้อตเตอรี่ ตั้งท้องได้ 4 เดือน ฝันไปว่าเดินทางไกลและท้องแก่มาก ไปพบบ้านที่มีคนตาย เขาเพิ่งยกศพออกจากที่นอนไปเผา แต่ตนเองเห็นว่าจิตวิญญาณของคนตายยังนอนอยู่บนเตียงนั้น แต่อารามที่เหนื่อยจัด จึงบอกกับจิตวิญญาณของผู้ตายที่ปราศจากรูปกายว่า ตนเองท้องแก่และเหนื่อยมาก ขออาศัยนอนบนที่นอนอีกซีกหนึ่งจะได้ไหม หากไม่รังเกียจจะขอนอนพักข้างคนตาย เขาก็บอกว่าได้

    ในความฝันนั้น ฝันว่านอนหลับแล้วจิตวิญญาณของผู้ตายก็มาบอกเลขทั้งหมด 7 ตัว แล้วตนเองก็ฝันว่าตื่นขึ้นแล้วจดเลขทั้งหมดไว้ สมัยนั้นล้อตเตอรี่มีแค่ 7 เลข พอตื่นขึ้นจริงๆตอนเช้า จำเลขทั้งชุดได้แม่นมากเพราะฝันว่าได้จดไว้ด้วย เช้านั้นแฟนขับรถไปส่งที่ทำงาน สมัยนั้นสอนหนังสือคณะ'ถาปัตย์ศิลปากร ขับรถผ่านกองสลากกินแบ่ง ถนนราชดำเนิน พี่นักเขียนเล่าให้สามีฟังว่า คนตายมาบอก 7 เลข พอเล่าจบรถติดก็ไปติดไฟแดงใกล้ๆหน้ากองสลากพอดี เงยขึ้นไปดูบอร์ด รางวัลที่หนึ่งออกตรงตามที่ฝันหมดทั้ง 7 เลข เสียแต่ว่าคนตายมาเข้าฝันเอาเช้ามืดก่อนล้อตเตอรี่ออกไม่กี่ชั่วโมง อย่างไรก็ซื้อไม่ทัน ครั้งนั้นไม่ได้จดจ่อกับการถูกล้อตเตอรี่เลย แต่พี่นักเขียนมักสื่อกับคนตายเสมอๆในความฝัน เข้าใจว่าคงจะพบจิตวิญญาณที่ใจดีบอกเลขให้ แต่ลืมเวลาทางโลกไปหน่อยละมัง...แป๋วแหว่ว....

    สิบกว่าปีผ่านไป ยังไม่เคยถูกล้อตเตอรี่อยู่ดี พี่นักเขียนเดินทางไปเยี่ยมลูกที่เรียนอยู่โรงเรียนประจำในประเทศอังกฤษ ได้นำเสื้อผ้าที่ลูกๆใส่ไม่ได้แล้วไปบริจาคให้ร้านค้าของ Red Cross ที่นั่น เพื่อนชาวอังกฤษเห็นพี่นักเขียนเอาเสื้อผ้ามากมายไปบริจาค เขาบอกว่า"เธอนี่น่าจะถูกล้อตเตอรี่นะ จะได้มาบริจาคอีกแยะๆ" ออกจาก Red Cross เขาชวนให้พ่ี่นักเขียนไปซื้อล้อตเตอรี่ก่อนที่จะบินกลับกรุงเทพฯได้เพียงสองวัน เขาบอกว่าอยากให้พี่นักเขียนจ้างเขาดูแลลูกๆที่เรียนหนังสืออยู่ที่นั่น พี่นักเขียนจะได้ไม่ต้องบินไปบินมาให้เหนื่อยอย่างที่เป็นอยู่ และเขาก็จะได้มีรายได้เพิ่มเนื่องจากเขาเป็นแม่หม้าย สามีเสียชีวิตไปและต้องเลี้ยงลูกตามลำพังถึงสามคน

    พี่นักเขียนไม่ได้รู้ความต้องการของเขามาก่อน พอได้ยินดังนั้นรู้สึกสงสารเพื่อนคนนี้จับใจ พี่นักเขียนซื้อล้อตเตอรี่ไปเพียง ?1 แล้วก็ส่งต้นขั้วให้เพื่อนผู้นั้นเก็บไว้ตรวจ โดยเก็บแต่หางตั๋วไว้เพราะรู้ว่าตัวเองจะลืมตรวจ และบอกเขาว่าถ้าถูกแล้วจะให้เขาเก็บตังไว้เป็นค่าจ้างดูแลลูกๆล่วงหน้าหนึ่งปี แล้วตัวเองก็บินกลับเมืองไทย ปรากฏว่าสามวันให้หลังเพื่อนผู้นั้นโทรมาบอกว่า-"Guess what! You've won the British Lotto! How Lovely!" พี่นักเขียนลองเข้าไปตรวจหางตั๋วดูทาง Internet ตามที่เพื่อนบอก พบว่าถูกเป็นเงินจำนวนหลายพันปอนด์ พอกันกับที่พี่นักเขียนต้องจ่ายค่าดูแลหนึ่งปีจริงๆ หากจะต้องจ้างใครเขา ก็เลยให้เพื่อนคนนั้นเอาไปขึ้นเงินแล้วเก็บไว้ใช้จ่ายในฐานะผู้ดูแลลูก-ตามความฝันของเขา พี่นักเขียนเชื่อว่า ความคิดที่ตนเองอยากจะช่วยเพื่อนซึ่งลำบากอยู่ ประจวบกับความปรารถนาที่จะได้มีผู้ช่วยดูแลลูกๆที่เรียนหนังสืออยู่ที่นั่น เป็นปัจจัยที่ทำให้ถูกล้อตเตอรี่ในครั้งนั้น

    จากนั้นก็ไม่ได้ซื้อล้อตเตอรี่อีกหลายปี จนกระทั่งได้เดินทางไปรับใช้พระอาจารย์สอนสมาธิของพี่่นักเขียน โดยไปช่วยทำหน้าที่ล่ามให้ท่านที่ประเทศ Canada หลังจากเลิกงานเย็นวันหนึ่ง ท่านก็เอ่ยว่า ให้พี่นักเขียนไปซื้อล้อตเตอรรี่หน่อย เพราะได้ไปทำงานบุุญมาหลายวันแล้ว พี่นักเขียนหยอด box ทำบุญที่วัดไปก่อนที่จะออกไปทานอาหารเย็น แล้วแวะซื้อล้อตเตอรี่ตามที่ท่านแนะ ก็ปรากฏว่าถูกอีกเป็นครั้งที่สองในชีวิต เท่าจำนวนที่ทำบุญไปพอดี ก็เลยเอาไปหยอดเพิ่ม ได้ทำบุญเป็นสองเท่าของที่ีคิด นับจากวันนั้นก็ไม่เคยซื้ออีกเลย

    มีอีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ มีเพื่อนทางเมืองไทยเดินทางมาเยี่ยมพ่ี่นักเขียนที่ Kansas เขาแวะไปหาเพื่อนอีกคนที่พี่นักเขียนไม่เคยรู้จักมาก่อนที่ Las Vegas แล้วก็ชวนเพื่อนคนนั้นเดินทางมาเที่ยว Kansas ด้วย พี่นักเขียนได้ทราบว่า เพื่อนผู้นั้นเพิ่งประสพปัญหาชีวิตมาอย่างโชกโชนทุกด้าน ก็รู้สึกสงสารจับใจ เมื่อมาพักที่บ้านก็ได้ให้การต้อนรับและให้กำลังใจทุกทิศทางที่จะทำได้ เย็นวันหนึ่งพี่นักเขียนบอกกับเพื่อนของเพื่อนว่า ชีวิตของเขากำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นละขอให้ไปซื้อล้อตเตอรี่ $1 เหตุที่พี่นักเขียนบอกกับเขาเช่นนั้นเพราะพี่นักเขียนเชื่อว่า การให้กำลังใจก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง หากเขาพิสูจน์ตนเองได้ว่า พลังความเชื่อมั่นในตนเองมีอำนาจจริง มันจะทำให้ชีวิตที่ตกต่ำพลิกผันได้โดยสิ้นเชิง คืนนั้นล้อตเตอรี่ออก เพื่อนของเพื่อนที่บอกว่าเกิดมาไม่เคยถูกล้อตเตอรี่มาก่อนเลยในชีวิต-ถูกล้อตเตอรี่ไปหลายร้อยบาท แววตาของคนสิ้นหวัง กลับเป็นประกาย พี่นักเขียนรู้สึกประทับใจกับภาพที่เห็นไม่รู้ลืม หลังจากนั้นก็ได้ทราบข่าวว่า ปัญหาทั้งหมดของเขาคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี เขาเฝ้าถามพี่นักเขียนว่า รู้ได้อย่างไรว่าเขาจะถูกล้อตเตอรี่ พี่นักเขียนก็ตอบไปตามตรงว่า พี่นักเขียนไม่ได้ทราบหรอก แต่ทราบว่า พลังจิตของผู้ที่ไม่ยอมแพ้ชีวิตย่อมเอาชนะได้ทุกสิ่ง แม้กระทั่งสิ่งที่เราคิดว่าเอาไม่ได้ หรือมีความเป็นเป็นได้เพียงน้อยนิด

    พี่นักเขียนเชื่อว่า เราสามารถฝัน เพื่อเหนี่ยวนำทุกส่ิงทุกอย่างมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงยามตืื่นได้เสมอ แต่ปัจจัยหลักก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใด นอกจากความเชื่อของตนเอง หากเราเชื่อว่าเราจะเอาได้ มีได้ เป็นได้ ทำได้ เรามักจะฝันเห็นความเป็นไปได้เหล่านั้นเพราะจิตของเราจดจ่อกับมันอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าจะเห็นอย่างตรงไปตรงมาหรือเห็นเป็นสัญญลักษณ์และตระหนักหรือเข้าใจในสัญญลักษณ์เหล่านั้นได้ ตีความหมายได้ถูกต้อง และบ่อยครั้งเราก็เห็นสัญญลักษณ์ต่างๆได้ยามตื่น เช่นผู้ที่เห็นสัญญลักษณ์จากต้นไม้ และเชื่อว่า ต้นไม้ให้หวย เป็นต้น

    หากคุณ VeggieGuy อยากจะถูกล้อตเตอรี่ จุดเริ่มต้นคงต้องเปลี่ยนความเชื่อก่อนว่า มันไม่ได้เป็นแผนการอันชั่วร้าย เพราะหากคิดว่า การวางแผนที่จะทำอย่างไรให้ถูกล้อตเตอรี่เป็นสิ่งชั่วร้าย-ก็คงจะถูกไม่ได้ เพราะขัดกับคุณธรรมในตนเอง

    สารภาพค่ะว่าทุกวันนี้ พี่นักเขียนเลิกเชื่อแล้วว่าตนเองถูกล้อตเตอรี่ไม่ได้ เพราะเชื่อที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า
    เธอทัั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง ก็เลยคิดว่าจะเชื่ออะไรที่ไม่ให้ผลดีกับตนเองทำไมล่ะ-ขาดทุนเปล่าๆ

    แม้กระทั่งต้นวาสนาที่ปลูกไว้ในกระถางที่บ้านออกดอกเมื่อไร ใครๆมาที่บ้านมักจะทักว่า ทำไมมันจึงออกดอกมากนัก ทั้งที่เป็นไม้ที่ออกดอกยากและอากาศที่นี่ก็เย็นเกินไป พี่นักเขียนก็บอกกับตนเองว่า ต้นไม้นี้พิเศษ หากเขาออกดอกเมื่อไรจะถูกล้อตเตอรี่ ต้นนี้ออกดอกมา 5 ครั้งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถูกทั้ง 5 ครั้งจริงๆค่ะ-ไม่ได้ล้อเล่นเลย ครั้งแรกๆเขาออกดอกเพียงสองช่อ แล้วก็ถูกเพียงไม่กี่พัน ก็ยังไปสัพยอกว่า "คุณวาสนา มีตั้งสามยอดทำไมออกดอกเพียงสองยอดล่ะ คราวหน้าออกดอกสามยอดนะจ๊ะ จะได้ถูกแยะกว่านี้" ปรากฏว่าสามเดือนให้หลัง คุณวาสนาก็ออกดอกสามยอดจริงตามที่ท้าทายเธอไว้ แล้วก็ถูกล้อตเตอรี่อีกจนได้ ต้นวาสนาจะบานแต่เพียงเวลากลางคืนเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว ตอนแรกๆตืื่นมาเห็นดอกหุบตลอด สงสัยว่าทำไมไม่บานสักที จนกระทั่งบังเอิญตื่นมาดื่ีมน้ำกลางดึกประมาณตีหนึ่ง ได้กลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน จึงพบว่าเขาบานกลางดึกเท่านั้น เช้าขึ้นก็หุบ ไม่ทราบว่าทางเมืองไทย ต้นวาสนาบานเวลาใด ใครทราบบ้างคะ?

    ปีนี้ยังไม่ออกดอกนะคะ ว่าจะใส่ปุ๋ยเร่งเสียหน่อย และระหว่างนี้ก็คงจะต้องใส่ปุ๋ยเร่งความเชื่อและความปรารถนาของตนเองบ้างเหมือนกัน ไม่ชั่วร้ายเลยนะคะ ใครจะร่วมแผนการนี้ เชิญเลยค่ะ มีที่ว่างสำหรับรางวัลที่หนึ่งให้ทุกคนเสมอ เพราะ เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง โลกนี้จึงไม่มีวันคับแคบ แต่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุขและความมั่งคั่งที่มีพอสำหรับทุกคนเสมอ(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN4637_1.jpg
      DSCN4637_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      327.5 KB
      เปิดดู:
      33
    • DSCN4642_1.jpg
      DSCN4642_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      262.4 KB
      เปิดดู:
      29
    • DSCN4648_1.jpg
      DSCN4648_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      244.9 KB
      เปิดดู:
      24
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2008
  18. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ไม่เคยปลูกต้นวาสนา แต่รู้สึกว่ามันจะบานช่วงกลางคืนนะครับ จากที่อ่านๆ มาจากเวปอื่น

    ที่บ้านตอนนี้ปลูกต้นไม้ไว้กระถางนึง แต่กำลังจะตาย คาดว่าคงเพราะดินเค็มไป กะว่าจะเอาต้นสาวน้อยประแป้งมาลงแทน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ มันมีเห็ดขึ้นมานี่สิ?? ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน หรือเพราะว่าบางทีไปเก็บใบไม้แห้งข้างทางมาบิๆ ใส่กระถาง(กะว่าจะให้เป็นปุ๋ยด้วยเลย) แล้วมันก็ติดเชื้อเห็ดมาล่ะเนี่ย ขึ้นมาประมาณ 3-4 ต้น ตอนนี้มันก็ตายหมดแล้ว กับประโยคที่ว่า "เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง" แล้วความเชื่ออะไรหนอถึงนำพาให้เห็ดมาขึ้นในกระถางต้นไม้ได้ ดอกเห็ดที่มันตายไป ก็มีราขึ้นเต็มเลย พืชตระกูลเดียวกันขึ้นทับกัน

    นี่เป็นรูปเห็ดที่ขึ้นมา ตอนที่เห็ดตอนแรกก็คิดว่า มันกินได้หรือเปล่าหว่า ถ้ากินได้จะคงจะหันมาปลูกเห็ดกินแทนไม่ปลูกต้นไม้แระ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2008
  19. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    มิน่าล่ะ เมื่อคืนเหมือนจะฝันร้าย
    ฝันว่ามี"ตุ๊กแก"เข้ามาเต็มบ้าน น้องชายเลยเอา DDT. มาฉีด
    ปรากฎว่า เค้าไปยกพวกมาเป็นกองทัพ มองไปเหมือนทะเลเลย
    พอหนีขึ้นโต๊ะเค้าก็ไต่ขึ้นมา..โดนตุ๊กแกน่ารักรุมกัด
    มีบางคนบอกให้ไปซื้อล๊อตตารี่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 41487.gif
      41487.gif
      ขนาดไฟล์:
      9.1 KB
      เปิดดู:
      236
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2008
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    คุณ Zip มองภาพตัวตนรวมคล้ายกับขจรวรรณเลยค่ะ ขจรวรรณมองตัวตนรวมทั้งหลายเป็นภาพคล้ายกับอวัยวะภายในต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ คือ ในร่างกายเราอาจจะประกอบกันขึ้นมาจากอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด หัวใจ กระเพาะอาหาร ลำใส้เล็ก,ใหญ่ ฯลฯ โดยแต่ละอวัยวะก็เป็นตัวตนรวมย่อย ๆ หนึ่งตัวตนซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป และตัวตนรวมย่อย ๆ ก็มารวมกันเป็นตัวตนรวมทั้งหมด คือเป็นร่างกายของมนุษย์

    แต่ละตัวตนรวมย่อย ๆ ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันและกันได้ด้วยการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะอีกทีหนึ่ง ในขณะที่ตัวตนรวมทั้งระบบก็รับรู้ถึงการความเป็นไปของตัวตนรวมย่อย ๆ อีกทีนึ ( พิมพ์เองก็สับสนเอง ) อิอิ..

    แฮ่.. อันนี้คิดเอาเองค่ะ เดี๋ยวพี่นักเขียนคงมาขยายความอีกทีนึงเน๊อะ..[Embarrass
     

แชร์หน้านี้

Loading...