สายใต้พระนางตรา ๑๐๐ ปี พระพุทธนิมิตร พ่อท่านพลับ ๒๕๐๔

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    ประวัติหลวงพ่อดาบส สุมโน ผู้อุปภัมป์ รพ.พร้าว และ สภ.พร้าว

    หลวงพ่อดาบส สุมโน เดิมชื่อ สง่า นามสกุล เจริญจิตต์

    เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๖๗ ปีชวด ตำบลบางกระไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นลูกคนที่ ๖ ในจำนวนทั้งหมด ๘ คน บิดาชื่อ “นายเถียน” มารดาชื่อ “นางเวียง”

    ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕ อายุได้ ๑๘ ปี “คุณป้า” ได้นำ “เด็กชายสง่า” ไปบรรพชาที่ “วัดจันทนาราม จังหวัดจันทบุรี” เพื่อเรียนปริยัติธรรมซึ่งต่อมาสามารถ สอบได้ทั้ง “นักธรรมตรี” และ “นักธรรมโท”



    พ.ศ.๒๔๙๐ ด้วยจิตที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติธรรม แสวงหาธรรม จึงออกเดินธุดงค์ไป “จังหวัดเชียงใหม่” ตามเส้นทาง “อำเภอดอยสะเก็ด” สู่ “ถ้ำเชียงดาว” อำเภอเชียงดาวได้ธุดงค์พลัดเข้ามาสู่เขตพื้นที่ของ “อำเภอพร้าว” ในปี ๒๔๙๐ ถึง ๒๔๙๔ จึงพำนักและปฏิบัติธรรมใน “ป่าช้า” ของตำบลเวียง อำเภอพร้าว หรือ “วัดป่าเลไลย์” เป็นเวลาถึง ๔ ปี

    ณ วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๔ ตรงกับแรม ๖ ค่ำ เดือนยี่เวลา ๑๗.๐๐ น. “พระภิกษุสง่า สุมโน” ตั้งสัจจะอธิษฐาน ณ ดอยพระเจ้าหล่าย ขอสละเพศบรรพชิตขอลาสิกขาบทจากการเป็น “พระภิกษุสงฆ์” โดยหันมาถือการครองเพศเป็น “ดาบส” ที่มีเพียง ผ้าอังสะและผ้าสบง เพียงสองผืนหุ้มห่อร่างกายไว้จากนั้นจึงครองเพศเป็น “ดาบส” และปฏิบัติธรรมอยู่บน “ดอยพระเจ้าหล่าย” โดยมิได้ฉันทั้งอาหาร และน้ำถึง “๓ วัน ๓ คืน” จากนั้นจึงเดินทางลงจากดอยเพื่อธุดงค์ไปจังหวัด ต่างๆ ทั้ง แพร่ ลำปาง น่าน ยะลา ชุมพร และท้ายสุดปฏิบัติธรรมที่ “อาศรมไผ่มรกต” ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย จนมรณภาพ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ สิริอายุได้ ๗๖ ปี



    “หลวงพ่อดาบส สุมโน” นับเป็น “ผู้บำเพ็ญเพียร” ด้วยศีลาจารวัตร บริสุทธิ์ผุดผ่องจนได้พบแสงสว่างแห่งธรรมเจิดจ้า และธรรม ที่ท่านแสดงให้บรรดาศิษย์ได้ยังความสุข ความสงบ ความร่มเย็น ให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่เคยฟังธรรมจากท่าน นอกจากนี้ ในวันเผาสรีระของท่าน แต่หัวใจของท่าน กลับเผาไม่ไหม้ แถมยังแปรสภาพเป็น สีเขียวมรกต อีกด้วยจึงนับได้ว่าท่านเป็น “ประทีปธรรม” แห่งภาคเหนือที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ และในจิตใจ ของประชาชนตลอดไป

    โดยทุกวันนี้ หัวใจของท่าน ศิษยานุศิษย์ยังคงเก็บรักษาไว้ ณ กุฏิของท่านเพื่อเป็นที่สักการะแก่ผู้ศรัทธาโดยทั่วไป

    นอกจากหลวงพ่อดาบส แล้ว ที่ไฟไม่อาจย่อยสลาย “ดวงใจ”ของท่านได้ ยังคงมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศจีน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปถ่ายกรอบวิทยาศาสตร์ขนาดเล็กประมาณ3 นิ้ว หลวงพ่อดาบสสุมโนเชียงราย ให้บูชา
    300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20231113_085546.jpg IMG_20231113_085625.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    พระสมเด็จหลวงปู่บุุดดา
    ให้บูชา120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20231113_060526.jpg IMG_20231113_060551.jpg IMG_20231113_060616.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2023
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343


    เหรียญหล่อใบโพธิ์เสาร์ห้าหลวงพ่อสมควรวัดถือน้ำ เนื้อฝาบาตร
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    IMG_20231113_170023.jpg IMG_20231113_170053.jpg IMG_20231113_165952.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    หลวงพ่อเสาร์ วัดกุดเวียน ต.บุ้งขี้เหล็ก อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
    พุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวาเตส เหต ตถาคโต เตสญจ โย ริโรโธ เอววาที มหาสมโณ แปลความว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุพระตถาคตตรัสรู้เหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เมื่อพระมหาสมณะทรงสั่งสอนเช่นนี้ อุปติสสะได้ฟังแล้วเกิดธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดย่อมต้องมีความดับเป็นธรรมดา อันเป็นแนวทางแห่งธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนพุทธศาสนิกชนให้ยึดถือปฏิบัติเพืิ่อไม่ตกเป็นทาสแห่งกิเลส ความโลภ ความประมาท ซึ่งตามหลักธรรมคำสอนนี้นั้น ได้ถือเป็นหลักปฏิบัติสำคัญอันสำคัญอย่างเคร่งครัดของพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองนาม แห่งเมืองโคราช เมืองที่เป็นประตูสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย จ.นครราชสีมา ที่นี่เป็นที่ปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อพระเกจิอาจารย์ผู้มีความเมตตาธรรมสูง สมถะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยที่สาธุชนชาวพุทธจากทั่วประเทศเดินทางหลั่งไหลให้การศรัทธาอย่างแรงกล้า และรู้จักท่านในนามของ หลวงพ่อเสาร์ ติสสปญโญ หรือพระครูอุดมศิลาภรณ์ แห่งวัดกุดเวียน ต.บุ้งขี้เหล็ก อ.สูงเนิน
    แต่เดิมทีนั้นหลวงพ่อเสาร์ท่านมิได้เป็นคนนครราชสีมาแต่อย่างใด แต่ด้วยวัตรปฏิบัติที่ขาวสะอาดปราศจากการยึดติดวัตถุใดๆ จึงเป็นพระเกจิอาจารย์ที่น่ายกย่องเลื่อมใสอีกท่านหนึ่งแห่งเมืองโคราช และเป็นที่เคารพของลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ และเส้นทางสู่ร่มกาสาวพัตรของหลวงพ่อเสาร์นั้น ท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าจากการเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรใฝ่ศึกษาหาวิชาความรู้อย่างแท้จริงและความตั้งใจจริงที่จะสละความสุขในทางโลก เพื่อเจริญตามรอยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสู่การดับทุกข์ ดับกิเลสในโลกแห่งธรรม
    หลวงพ่อเสาร์แต่เดิมนั้นเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ เกิดเมื่อวันที่10 มกราคม พ.ศ.2454 โยมบิดา คือคุณพ่อคำ โยมมารดา คือคุณแม่อุมา นามสกุล ชัยพรรณ อยู่ที่บ้านห้วยลิ้นจี่ อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 9 คน นับตั้งแต่ปฐมวัยเด็กชายเสาร์เป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียร ชอบศึกษาหาความรู้ในสรรพวิชาต่างๆแต่ด้วยฐานะทางครอบครัวที่ลำบากทำให้เด็กชายเสาร์ได้เรียนหนังสือจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก็ต้องออกมาช่วยบิดามารดาทำมาหากินและจัดการด้านงานบ้านดูแลปรนนิบัติท่าน แต่ด้วยความที่ท่านเรียนอยู่กับวัดและท่านเองก็ใกล้ชิดกับพระภิกษุสามเณรจนเกิดความศรัทธาในการสืบสานพระพุทธศาสนา บิดามารดาท่านได้พาไปฝากเรียนโดยบรรพชาเป็นสามเณรขณะที่มีอายุ 18 ปี ในปี พ.ศ.2474กับหลวงพ่อพระอาจารย์ฉิม แห่งวัดปักธงชัย อ.อุทุมพร จ.ศรีษะเกษ ต่อมาพออายุครบบวช ท่านจึงขออุปสมบท โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2476 โดยมีพระอาจารย์ฉิม แห่งวัดปักธงชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญมี เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ติสสปัญโญ" และนับจากนั้นเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่แท้จริงที่ท่านต้องการเข้ามารับใช้บวรพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
    ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาว่าเป็นหัวใจของพระภิกษุและสามเณรในพระพุทธศาสนาแต่ต้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงวางรากฐานหลักสูตรการศึกษาสำหรับพุทธสาวกได้แต่แรกสถาปนาพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก ทั้งถือเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญสำหรับสาธุชนชาวพุทธโดยทั่วไป ด้วยเหตุนี้หลวงพ่อเสาร์ท่านจึงเคร่งครัดต่อหลักการศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องต่อแนวทางของพระภิกษุสามเณรซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสมณะอันหมายถึงผู้สงบ และมีหน้าที่สร้างสันติความสุขสงบร่มเย็นให้แก่สังคม เมื่อภิกษุสามเณรเป็นบัณฑิตก็ย่อมสามารถเกื้อกูลช่วยสังคมได้เป็นอย่างสูง และด้วยเหตุนี้หลวงพ่อเสาร์ ท่านจึงได้พยายามที่จะศึกษานักธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และการที่ท่านได้ศึกษาปริยัติธรรมด้วยความตั้งใจอย่างแท้จริง จนกระทั่งสอบได้นักธรรมตรีพร้อมทั้งยังค้นคว้าในการศึกษาวิชาด้านอื่นๆเท่าที่ท่านจะสามารถทำได้ และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการศึกษาที่หลวงพ่อเสาร์ท่านจะสามารถปฏิบัติได้ หลวงพ่อเสาร์ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งชัยเป็นเวลา 1 พรรษา ต่อมาท่านได้เกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากจะเดินธุดงค์เพื่อเสาะแสวงหาวิทยาคมและสรรพวิชาต่างๆ รวมทั้งเจริญกรรมฐานวิปัสสนาเพ่ือหาหนทางสู่ความสงบสุข ท่านจึงตัดสินใจที่จะเริ่มธุดงค์ตั้งแต่นั้น การเดินทางธุดงค์ในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นที่มาแห่งตำนานที่ทำให้หลวงพ่อเสาร์ได้มุ่งสู่การพัฒนาบูรณะ วัดกุดเวียน
    แม้ว่าในขณะนั้นเองหลวงพ่อเสาร์ท่านจะทำหน้าที่เผยแพร่คำสอนต่อศาสนิกชนในเขตจังหวัดนครราชสีมาแล้วนั้น แต่ท่านเองก็มีความตั้งใจที่จะเข้าศึกษาหลักธรรม แลกเปลี่ยนความรู้กับสหายธรรมเพิ่มเติมที่วัดบ้านดอน กรุงเทพฯ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ท่านเองต้องเปลี่ยนแนวความคิดดังกล่าว เมื่อได้เดินทางมาสู่สหายธรรมท่านหนึ่งที่อำเภอสี่คิ้ว เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ท่านได้รับมอบหมายภารกิจที่จะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อพื้นที่ดังกล่าวนั้นขาดพระผู้ทำหน้าที่ปกครอง เจ้าคณะตำบลต่างลงความเห็นว่าหลวงพ่อเสาร์เป็นพระที่มีความเหมาะสม และขอให้หลวงพ่อเสาร์เข้ามารับตำแหน่งและทำหน้าที่ดูแล ตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ.2488 และขอแต่งตั้งหลวงพ่อเสาร์ให้เป็นพระอุปัชฌาย์นับตั้งแต่นั้นซึ่งประมาณปีพ.ศ.2490 ต่อมาท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าอาวาสในปีพ.ศ.2507 ด้วยความที่หลวงพ่อเสาร์ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความรอบรู้สรรพวิชาต่างๆ จากที่ได้มีโอกาสศึกษาร่ำเรียนมาจากพระเกจิอาจารย์หลายๆท่าน และท่านเองก็เป็นผู้ปฏิบัติที่เคร่งครัดอยู่ในวัตรปฏิบัติที่ขาวสะอาดและมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อหลักธรรมคำสอนนั้น ท่านจึงทำหน้าที่เผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนาต่อประชาชนเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีอย่างสม่ำเสมอ จนได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นตรี นามว่า "พระอุดมศิลาภรณ์"
    ด้วยหลักธรรมประจำใจที่ท่านมุ่งสอนให้สานุศิษย์ยึดไว้เป็นแนวทางสำคัญในการดำเนินชีวิตนั่นคือ การเป็นผู้ที่รู้จักการทำสมาธิทำใจรวบรวมเพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นแนวทางตามพระธรรมคำสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงรู้แจ้งด้วยพระองค์เอง ถูกต้องทุกประการและทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ให้แก่โลกเพื่อพาสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์ของตามหลักไตรสิกขานั่นคือ รักษาศิล สมาธิ ปัญญา อันเป็นการเรียนรู้เพื่อคุ้มครองทั้งกาย วาจา ใจ เจริญปัญญาเพื่อละทิ้งกิเลส เป็นสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อเสาร์ได้สั่งสอนให้กับลูกศิษย์และสาธุชนที่เกิดแรงศรัทธาต่อท่าน เรื่องราวของการบูรณะสร้างวัดกุดเวียน แห่งต.บุ้งขี้เหล็ก อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ของท่าน วัดกุดเวียนมีสภาพเป็นเพียงวัดเล็กๆที่ชำรุดทรุดโทรมมาก ถนนหนทางสัญจรสู่วัดก็พัง หลวงพ่อเสาร์ท่านได้ใช้ความสามัคคีจากแรงศรัทธาของประชาชนให้ช่วยเหลือทำนุบำรุงวัดโดยเริ่มต้นจากการซ่อมแซมถนนหนทางเพื่อให้กระแสศรัทธาเดินทางมาได้อย่างสะดวกขึ้น จากนั้นท่านจึงเริ่มบูรณะกุฏิสงฆ์ โบสถ์ และถาวรวัตถุต่างๆเป็นลำดับจนกระทั่งวัดกุดเวียนมีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นที่ศรัทธาของลูกศิษย์ลูกหา ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อเสาร์เป็นอาจารย์
    ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อเสาร์จึงเสมือนเป็นศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาต่อการรักษาบวรพุทธศาสนาให้กับประชาชนที่ต้องการรักษาพระศาสนาให้คงอยู่สืบไป ด้วยเหตุที่ท่านมุ่งสอนว่าแรงศรัทธาที่ถูกต้องนั้นต้องศรัทธาในพระพุทธเจ้าว่าเป็นองค์พระศาสดา ส่วนเราเป็นสาวกนั้นคือ ศิษย์ ศรัทธาในศาสนาคือ คำสอน ว่าพึงปฏิบัติให้งอกงามได้มีโอชะ คือ รสที่ซึมซาบให้เกิดสุขและศรัทธาในการปฏิบัติด้วยความเพียรและสุดท้ายนั้นคือ ศรัทธาที่พึงหวังโลกตรผลได้
    หลวงพ่อเสาร์ วัดกุดเวียน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ได้มรณะภาพ บ่ายวันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ.2554 สิริรวมอายุ 100 ปี พรรษา80

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญบารมี หลวงปู่เสาร์ วัดกุดเวียน ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งผล 30 บาทครับ

    IMG_20231113_171159.jpg IMG_20231113_171220.jpg IMG_20231113_171132.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2023
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343



    เรียนสอบถามเรื่องประสบการณ์ของหลวงปู่ธรรมรังษี จ.สุรินทร์ พี่ๆ ท่านใดมีประสบการณ์ของหลวงปู่ธรรมรังษี ช่วยนำเรื่องมาเล่าสู่กันฟังหน่อยครับ
    ส่วนตัวผม...มีประสบการณ์ตอนคัดเลือกทหารเกณฑ์ แม่ผมพาไปหาหลวงปู่่ หลวงปู่ก็ถามว่าอยากเป็นทหารหรือไม่อยากเป็น ผมก็ตอบไปว่าไม่อยากเป็น จากนั้นหลวงปู่ก็เป่ากระหม่อมให้ ผมก็ไปจับฉลากก็ได้ใบดำ และมีอีกคือเพื่อนผมจะไปสอบนายสิบพากันไปหาหลวงปู่ประมาณ 4-5 คน เพื่อให้หลวงปู่ช่วยให้สอบนายสิบได้ แต่เมื่อไปถึงหลวงปู่ก็ชี้บอกว่าเพื่อนผมอีกคนหนึ่งสอบได้ ส่วนพวกมึงที่เหลือสอบไม่ได้...ถึงเวลาประกาศผลสอบออกมาปรากฏว่าเพื่อนผมคนที่หลวงปู่ชี้บอกว่าสอบได้ก็สอบได้คนเดียวจริง ๆ ครับ...หลวงปู่เป็นที่นับถือของคนสุรินทร์มากครับ
    โดยคุณ flybike
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญยอดฉัตรกฐินหลวงปู่ธรรมรังษีให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20231113_174137.jpg IMG_20231113_174238.jpg IMG_20231113_174018.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    ประวัติความเป็นมาของ-พระราชสังวร...์-หลวงปู่โต๊ะ-อินฺทสุวณฺโณ-แห่ง-วัดประดู่ฉิมพลี-.jpg
    พระผงรุ่นนี้สร้างจากมวลสารเก่าของหลวงปู่โต๊ะที่ปลุกเสกไว้ พระดีพิธีใหญ่ วันที่ 28สิงหาคม พ.ศ.2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดถ้ำสิงโตทอง ต.ปากช่อง อ.จอมบึง จ.ราชบุรีเพื่อทรงเป็นประธานในพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ยกฉัตรพระประธาน ตัดลูกนิมิตฉลองรูปเหมือนพระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินสุวรณุโณ) และพิธีพุทธาภิเษก"พระพุทธสิริกิตติพิพัฒน์"และ "พระสมเด็จนางพญา ส.ก."ในการเสด็จพระราชดำเนินในคราวนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปลูกต้นสักไว้บริเวณด้านหน้าอุโบสถ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีพระมหากรุณาธิคุณให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ "ส.ก." จารึกไว้หน้าปันอุโบสถด้วยสร้างวัดถ้ำสิงโตทองพระราชสังวราภิมณฑ์(หลวงปู่โต๊ะ)ท่าน มีสถานที่บำเพ็ญสมณธรรมของท่านอีก ๒ แห่งคือที่สำนักสงฆ์ถ้ำสิงโตทองแห่งหนึ่ง และที่วัดพระธาตุสบฝาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งท่านไปสร้างกุมิไว้อีกแห่งหนึ่ง ที่วัดพระธาตุสบฝางท่านไม่ค่อยได้ไปจึงจะไม่กล่าวถึง จะกล่าวถึงถ้ำสิงโตทองแต่เพียงแห่งเดียวเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ท่านได้เดินทางไปจังหวัดกาญจนบุรี ได้ไปพบกับพระมานิตย์เข้าพระมานิตย์พูดกับท่านถึงถ้ำสิงโตทอง ที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี และชวนท่านให้ไปชมหลังจากนั้นท่านก็มีโอกาสได้ไป และไปเห็นว่าสถานที่นั้นเป็นที่สงบสมควรแก่นักปฏิบัติธรรม ทั้งอยู่ไม่ห่างไกลกรุงเทพ ฯ มากนักท่านจึงไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำสิงโตทองเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ แล้วเริ่มปรับปรุงให้มีความสะดวก เหมาะสมที่จะตั้งเป็นสำนักปฏิบัติธรรม คือได้สร้างกุฏิสำหรับท่านพักหลังหนึ่ง กุฏิเล็กอีกหลายหลัง ตามไหล่เขาข้างถ้ำสิงโตทอง พร้อมทั้งโรงครัวและที่พักสำหรับลูกศิษย์ที่ประสงค์จะติดตามไปค้างแรมหาความสงบสุข อยู่กับท่าน ท่านได้สร้างพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธรูปแบบและปางต่าง ๆ เช่น แบบพระพุทธชินราช พระปางลีลา ปางมารวิชัย กับรูปเจ้าแม่กวนอิม เชิญไปไว้ที่ถ้ำในบริเวณใกล้ ๆ กันนั้นขึ้นอีกหลายแห่ง ได้เชิญพระพุทธรูปที่ผู้มีศรัทธาสร้างถวาย ไปประดิษฐานไว้ให้สำกการะกัน ครั้งหลังที่สุดท่านได้สร้างรูปพระมหากัจจายนะนำไปประดิษฐานไว้ที่หน้าถ้ำ กลาง ต่อมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙ พระมานิตย์ซึ่งรับหน้าที่ดูแลถ้ำสิงโตทองมรณภาพลง ท่านได้ส่งพระรูปอื่นไปดูแลแทน ได้มีผู้ศรัทธาถวายที่ดินเพิ่มให้อีก ท่านจึงวางโครงการก่อสร้างให้เพิ่มเติมอีก จะสร้างโบสถ์ ศาลาการเปรียญ กฏิโรงเรียนเด็กสำหรับลูกชาวไร่ สระน้ำ พร้อมกับซื้อที่บริเวณหน้าถ้ำเติมอีก ๙o ไร่เศษ รวมกับเนื้อที่เดิมเป็น ๑๔0 ไร่ ทำถนนเชื่อมกับถนนส่วนใหญ่ ให้เป็นทางเข้าออกที่สะดวกองค์ท่านควบคุมดูแลการดำเนินงานนี้อย่างใกล้ชิด
    IMG_2406.JPG

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลวงปู่โต๊ะถ้ำสิงโตทองรุ่นฉลองโบสถ์ 2535 ให้บูชา
    300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20231113_061724.jpg IMG_20231113_061749.jpg IMG_20231113_061654.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2023
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1699925899019.jpg

    พระเกจิดังหลวงพ่อพระมหาวารี
    ได้ชื่อเทพเจ้าแห่งนครเขื่อนขัณฑ์
    สมถะจริยาวัตรงดงามที่น่าเคารพ
    วัตถุมงคลดังหลายรุ่นสนนราคาสูง
    เด่น กีรติ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์คัมภีร์นิวส์รายงานว่า หลวงพ่อพระมหาวารี วัดทรงธรรมวรวิหาร อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งนครเขื่อนขัณฑ์พระประแดง ท่านเป็นพระสมฤที่น่าเคารพนับถือ จริยาวัตรงดงามเรียบง่าย ท่านเป็นพระที่เรียนเก่ง ปัจจุบันวัตถุมงคลของหลวงพ่อวารีได้รับความนิยมในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาอย่างมาก นับวันจะหายาก และสนนราคาเล่นหาสูงอีกด้วยท่านบวชตั้งแต่เด็ก สอบนักธรรมได้ตั้งแต่เป็นเณร ในขณะที่สอบเปรียญ๑-๔ผ่านไป ชาวบ้านหวังว่าท่านคงจะสอบได้ถึงเปรียญ๖-๙แต่ท่านกลับยุติการเรียน และมุ่งสู่ความสงบโดยให้เหตุผลว่า ยิ่งเยนสูงท่าไหร่ ก็เหมือนห่างไกลจากที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่ใช่สิ่งที่ท่านมุ่งหวัง พระมหาวารีท่านเป็นพระที่ชาวบ้านเกรงใจ และสิ่งที่ท่านสั่งชาวบ้านเอาไว้อย่างหนึ่งคือ "ห้ามกินเหล้าภายในบริเวณวัด" งานบวช งานบุญ จึงไม่มีใครกล้ากินเหล้าชาวบ้านหลายคนนึกว่าท่าน ฉันมังสวิรัติ จึงมีแต่คนถวายอาหารที่เป็นมังสวิรัติเป็นเวลาหลายปี จนหมอลงความเห็นว่าท่านเป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง จนตอนหลังชาวบ้านจึงมารู้ที่หลัง ว่าท่านไม่ได้ฉันมังสวิร้ติ แต่โยมเข้าใจเอาเอง แต่ท่านไม่เคยเอ่ยปากบอกใครให้ฉันอย่างไรก็อย่างนั้น ท่านเป็นพระที่สอนนักธรรม และดูแลวินัยพระในวัดพระในวัดจะมานั่งสูบบุรี่ หรือหยอกล้อกันต่อหน้าโยมไม่ได้เด็ดขาด หลวงพ่อท่านจะเรียกไปอบรมและค่อนข้างดุ จรียวัตรของท่านงดงามเรียบง่าย ไม่สะสมในกูฏิของท่านต่างกับเจ้าคุณท่านอื่นมากมาย ต่างกับพระลูกวัดเสียด้วยเนื่องจากไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกนอกจากหมอน มุ้ง ตู้หนังสือ และกระติกน้ำร้อน ไม่มีตู้เย็น ที่วี แอร์ หนังเสือปูนอน นั่งไม่มีหมาก ไม่มีกาแฟ น่าเสียดายที่ปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปหลายปีแล้ว นับเป็นการสูญเสียพระอริยะสงฆ์ของเมืองพระประแดงองค์หนึ่งพระครูสมุทรวราภรณ์ อดีตรองเจ้าคณะอำเภอพระประแดง, อดีตเจ้าคณะตำบลตลาด, อดีตรักษาการเจ้าคณะตำบลบางกะเจ้า, อดีตเลขานุการคณะกรรมการสงฆ์อำเภอพระประแดง และอดีตรองเจ้าอาวาสวัดทรงธรรมวรวิหาร นามเดิม ของหลวงพ่อคือ "วารี แก้วพวง" เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 18มกราคม พระพุทธศักราช 2469 ที่ตำบลสามวาตะวันออก อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนครโยมบิดาชื่อ ยิ้ม แก้วพวง และ โยมมารดา ชื่ออาน แก้วพวง หลวงพ่อมีพี่น้องด้วยกัน 4 คนคือ นายศิริ แก้วพวง, นางทิพย์ คลี่ฉายา, พระครูสมุทรวราภรณ์ และนางบุญเสริม เชยสุวรรณเมื่อหลวงพ่อมีอายุ 12 ปี ได้มาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดทรงธรรมวรวิหาร โดยมีพระครูปิฎกธระ (สุกพุทธรสี) ซึงต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ที่พระราชธรรมวิสารท) เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ และได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ถึง 8 พรรษา ในเวลาต่อมา หลวงพ่อได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2481 ณพัทธสีมาวัดทรงธรรมวรวิหาร โดยมีพระครูปิฎกธระ เจ้าอาวาสวัดทรงธรรมวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์ คือพระใบฎีกาเจริญ ธมุมจารี (พระราชวิสารท)และมีพระอนุสาวนาจารย์ คือ พระสายหยุดเกสโร (พระครูสมุทรวุฒิกร) เจ้าอาวาสวัดบางน้ำผึ้งนอก และได้รับฉายาว่า "จนุทปุตโต"ต่อมาเมื่อปี พระพุทธศักราช 2494 หลวงพ่อสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ได้เป็นพะมหาเปรียญที่ พระมหาวารี จนุทปุตฺโต ด้วยพระกุศลบารมีและหน้าที่อันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ได้รับมอบหมายและรับผิดชอบอีกหลายอย่าง จึงทำให้หลวงพ่อทรงได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ ดังต่อไปนี้ในปีพระพทธศักราช 2506 ได้เป็นพระครในปีพระพุทธศักราช 2506 ได้เป็นพระครูปลัด ในฐานานุกรมของพระราชธรรมวิสารท(สุก พุทธรํสี) เจ้าอาวาสวัดทรงธรรมวรวิหารวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พระพุทธศักราช2514 ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูสมุทรวราภรณ์" พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นโท วันศุกร์ที่ 5ธันวาคม พระพุทธศักราช 2518 ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูสมุทรวราภรณ์"พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอาราม
    หลวงชั้นเอกในราชทินนามเดิม
    และเป็นที่น่าเสียดายของชาวเมือง
    พระประแดงอย่างยิ่ง เมื่อต้องสูญเสียพระ
    เถระที่สำคัญไปอีกรูปหนึ่ง เมื่อพระครูสมุทรว
    ราภรณ์ แห่งวัดทรงธรรมวรวิหาร ได้
    มรณภาพลงใน วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม
    พระพุทธศักราช 2541 เมื่อเวลา 12 นาฬิกา
    40 นาที ด้วย โรคปอดอักเสบอย่างรนแรง ณโรงพยาบาลบางปะกอก 1 สิริรวมอายุได้ 72ปี 50 พรรษา สร้างความอาลัยอาวรณ์แก่
    บรรดาลูกศิษย์ลูกหามากมาย คงเหลือไว้แต่คุณงามความดี และภาพจริยาวัตรอันงดงามที่ผ่านมา ไว้เป็นอนุสรณ์ย้ำเตือนถึงความทรง
    จำ แก่อนุชนรุ่นหลั่งสืบไป ปัจจุบันวัตถุมงคลของหลวงพ่อวารีได้รับความนิยมในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาอย่างมาก นับวันจะหายาก และ
    สนนราคาเล่นหาสูงอีกด้วย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปภาพที่มาอย่างสูงครับ
    พระปิดตาหลวงพ่อมหาวารีให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20231113_061524.jpg IMG_20231113_061554.jpg IMG_20231113_061629.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2023
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้จัดส่ง
    ขอบคุณครับ

    1699932609455.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    3072-b744.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่หอม เขมิโย
    วัดหนองชนะชัย
    ต.เกาะแก้ว อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี
    เทพเจ้าแห่งทุ่งเกาะแก้ว
    หลวงปู่หอม มีนามเดิมว่า หอม มโนรัตน์ เกิดเมื่อวันจันทร์ ปีจอ เดือน 4 พ.ศ.2465 ณ หมู่บ้านปลาซิว ต.หนองใหญ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ปัจจุบัน สิริอายุ 85 พรรษา 65 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองชนะชัย ต.เกาะแก้ว อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี
    การบรรพชาและอุปสมบท
    เมื่อเรียนจบชั้นประถม จนอายุครบ 12 ปี โยมบิดาได้พาบุตรชายไปบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดจีนเลี้ยว วัดในพื้นที่ใกล้บ้าน โดยมีพระครูเทวราชญาณกวี เจ้าอาวาสวัดจีนเลี้ยว เป็นพระอุปัชฌาย์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาด ใฝ่การศึกษา หากปล่อยให้อยู่กับพ่อแม่ต่อไป เกรงว่าจะส่งเสียให้เล่าเรียนในระดับสูงไม่ได้ เนื่องจากทางบ้านมีฐานะยากจน
    จากนั้น จึงเดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ที่สำนักเรียนวัดขุนศรี อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น และสอบได้นักธรรมชั้นเอก
    กระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดหนองจีนเลี้ยว โดยมีพระครูเทวราชญาณกวี เจ้าอาวาสวัดจีนเลี้ยว เป็นพระอุปัชฌาย์, พระมหาสิงห์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาบุญมี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    *****ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต*****
    หลังครองผ้ากาสาวพัสตร์ พระหอมได้มุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าในเรื่องปฏิบัติธรรม และเคยไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาในด้านปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระมหาเถระชื่อดังแห่งยุค จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติยิ่ง
    ท่านจึงละเลิกในด้านการศึกษาภาษาบาลี หันมาศึกษาด้านการปฏิบัติ ด้วยการออกเดินธุดงควัตรไปตามพื้นที่ป่าเขาลำเนาไพร โดยเริ่มจากการออกเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดในภาคเหนือ ผ่านจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น และอีกหลายจังหวัด ก่อนมุ่งเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่
    เนื่องจากการออกเดินธุดงค์ปลีกวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร จำเป็นต้องมีวิทยาคม เอาไว้ป้องกันภัยอันตรายนานัปการ เนื่องจากคนป่าคนดอยหรือพวกกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ตามดอยเขา ชอบลองวิชากับพระธุดงค์อยู่เป็นประจำตัวท่านก็ไม่ได้ละเลยจากการศึกษา วิทยาคม ได้ฝึกฝนวิชาจากพระอาจารย์ชาวเขมร โดยต้องไปนั่งบริกรรมภาวนาท่องพุทโธ และมนต์คาถาต่างๆ อยู่บนหลุมฝังศพคนตายใหม่เพียงลำพังคนเดียว ทำให้จิตไม่ฟุ้งซ่านเกรงกลัวภยันตราย และเป็นการทำจิตให้เกิดสมาธิที่รวดเร็วอีกด้วย ด้วยสถานที่ตรงนั้นเป็นสถานที่สงบ ไร้คนรบกวน
    หลวงปู่หอมเป็นพระที่ เปี่ยมล้นด้วยเมตตา ส่งเสริมพระพุทธศาสนา และการศึกษาพระปริยัติธรรม นักธรรม-บาลี ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ที่เคารพและศรัทธาท่านทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับชาวบ้าน ไปจนถึงข้าราชการทหาร ตำรวจ และนักการเมือง
    ในชีวิตสมณเพศตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงวัยชรา หลวงปู่หอม ยังมั่นคงในการเจริญพระกัมมัฏฐานตลอดมา ด้วยเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้จิตใจหมดจดบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
    paragraph__107_706.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพอย่างสูงครับ

    รูปหล่อหลวงปู่หอมวัดหนองชนชัยรุ่นแรก
    ให้ บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20231114_192442.jpg IMG_20231114_192501.jpg IMG_20231114_192419.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1700047422610.jpg

    #หลวงพ่อฝุ่น(เตี้ย)อตฺตทโม พระครูพิพิธกิจจานุรักษ์ วัดสามเอก เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี ชื่อเดิม ฝุ่น นามสกุล จูงาม เกิดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2477 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ ณ หมู่ 6 ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท บิดาชื่อ พ่อมะลิ จูงาม มารดาชื่อ คุณแม่แกละ จูงาม โดยมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกันทั้งหมด 12 คน ปฐมวัย สมัยเด็กนั่นหลวงพ่อมีรูปร่างเล็กจึงได้ชื่อว่าฝุ่น แต่จะเรียกติดปากกันว่า“เตี้ย” ลูกศิษย์ใกล้ชิดได้เล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อบอกว่า“เตี้ย” คือ ไม่สูง ไม่ต่ำ อยู่กลางๆ ท่านได้รับการศึกษาจนจบชั้น ป.4 จากโรงเรียนวัดค้างคาว เมื่ออายุประมาณ 10 ขวบ จึงได้ออกจากโรงเรียนโดยขออนุญาตจากโยมบิดาและมารดา
    บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพระแก้ว อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท โดยมีพระอาจารย์โปร่ง เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงอาของท่าน เป็นผู้บรรพชาเป็นสามเณรให้ ในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่นั้นก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมและวิชาการต่างๆอยู่พอสมควร โดยท่านนั้นชอบศึกษาและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับวิชาและคาถาอาคมต่างๆ
    มีเรื่องเล่ากันว่าตอนท่านเป็นสมเณร ท่านสามารถท่อง อิติปิโส ถอยหลังจนสามารถสะเดาะกุญแจได้ อุปสมบทเมื่อครั้นอายุได้ 21 ปีบริบูรณ์ จึงได้ญัตติจากสามเณรและอุปสมบทเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2498 เวลา 13.15 น. ณ วัดโบสถ์ ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท โดยมีพระครูวิฑูรชัยกิจ(หลวงพ่อเทียน)เป็นพระอุปัชฌาย์และมีพระครูวิชัยวรคุณ(หลวงพ่อป่วน) วัดโพงาม ต.โพงาม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า“พระฝุ่น อตฺตทโม”
    ในปี พ.ศ.2528 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสามเอก รับพัดยศเป็นพระครูปลัดฝุ่น อตฺตทโม และในปี พ.ศ.2533 ก็ได้สร้างเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน เพื่อหาปัจจัยสร้างโบสถ์ เมรุเผาศพและกุฏิ ที่พักอาศัยของพระ เณร เหรียญรุ่นแรกปลอดภัย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า“เหรียญปิดตา”(พระควัมบดี) สร้างไว้หลายแบบด้วยกัน มีทั้งเนื้อทองคำ เนื้อเงิน(ต้องสั่งจอง) เนื้อทองแดงธรรมดา รมดำ กะไหล่นาก และกะไหล่ทอง สำหรับแจกกรรมการและยังมีรูปเหมือนบูชา ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว รุ่นแรกอีกด้วย ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2537 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์พัดยศ เป็นพระครูพิพิธกิจจานุรักษ์ ตลอดเวลาท่านได้บำรุงและพัฒนาวัดสามเอกเรื่อยมา ทั้งหล่อพระประธาน สร้างกุฏิ วิหาร ศาลา ห้องน้ำ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
    นับตั้งแต่ พ.ศ.2546 เป็นต้นมา สุขภาพของหลวงพ่อได้ร่วงโรยไปตามกาลเวลา โรคภัยไข้เจ็บเข้ามารบกวนบ่อยครั้ง ตามวิสัยของทางโลก หลวงพ่อเตี้ยท่านได้ป่วยเป็นโรคความดัน เบาหวาน ได้มีคณะศิษย์ยานุศิษย์พาไปรักษายังโรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ และท่านได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2548 รวมสิริอายุได้ 71 ปี พรรษาที่ 50 โดยที่สังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย จนถึงปัจจุบันทางวัดโดย พระอธิการอำนาจ และคณะกรรมการวัดได้ตั้งศาลาบรรจุสรีระของท่านไว้ให้สาธุชนสักการบูชาจนถึงทุกวันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จพิมพ์วัดเกศไชโยหลังปั๊มหมึกแดงหลวงพ่อเตี้ยวัดสามเอกให้บูชา
    300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20231115_182908.jpg IMG_20231115_182939.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2023
  11. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,963
    ค่าพลัง:
    +6,873
    ขอจองครับ
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    ข้อมูลประวัติหลวงพ่อขัน อินทปัญโญ

    เกิด ปี 2415 ตรงกับขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก เป็นบุตรของนายชื่น นางส่วน คงสุขี

    อุปสมบท อายุ 20 ปี ตรงกับ พ.ศ.2435

    มรณภาพ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2486 (ตรงกับแรม 12 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย)

    รวมสิริอายุ 72 ปี 51 พรรษา

    หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ขัน อินฺทปญฺญา ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดนกกระจาบ นับว่าเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับวัด หลวงพ่อเป็นผู้นำในการก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดนกกระจาบ ท่านเป็นพระผู้เปรี่ยมไปด้วยปฏิปทาอันน่าเลื่อมใส จึงเป็นที่เคารพสักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อขันฯเป็นคณาจารย์รูปหนึ่งที่เข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก วัตถุมงคล เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่บรรดาทหารที่เข้าร่วมรบในสงครามอินโดจีน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๑ ณ วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร หน่วยงานราชการได้ยกย่องให้ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญของอำเภอบางบาล ดังคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “อิฐแกร่ง แหล่งดนตรีไทย เลื่อมใสหลวงพ่อขัน ผลิตภัณฑ์ก้านธูป” หลวงพ่อ เกิด ณ ตำบลบ้านสะพานไทย อำเภอบางบาล จังหวดพระนครศรีอยุธยา นามเดิมของท่าน ชื่อ ขัน นามสกุล คงสุขี เมื่ออายุครบจึงได้อุปสมบท โดยมี หลวงพ่ออ่ำ วัดวงศ์ฆ้อง เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    หลวงพ่อ เกิดเมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำ, เดือน ๘ ปีวอก เวลา ๑๗.๑๕ น. ตรงกับปี พ.ศ.๒๔๑๕

    มรณภาพเมื่อ วันแรม ๑๒ ค่ำ, เดือน ๔ ปีมะเมีย เวลา ๑๑.๓๐ น. ตรงกับวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๖ รวมอายุ ๗๑ พรรษา ๕๑

    ในสมัยที่หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ขัน อินฺทปัญญา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส คือในราว พ.ศ.๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสร็จประพาสผ่านมาประทับแรมที่วัดนกกระจาบ ๑ คืน ข้าหลวงคือ พระธรรมรามาธิบดี เจ้าเมืองพระนครศรีอยุธยาในสมัยนั้น ได้เกณฑ์กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชน นำไม้ไผ่มาปลูก สร้างพลับพลาที่ประทับรับเสร็จ โดยมีพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกีรยติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย ตามเสร็จด้วย กรมหลวงชุมพรฯ มีความเคารพในองค์หลวงพ่อขันฯเป็นอย่างมาก
    หม่อมเจ้าหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาของเสด็จในกรมฯมีบันทึกยืนยันว่า พระองค์ได้สักอักขระ “นะ” วิเศษ ที่บริเวณกัณฐมณี (ลูกกระเดือก) จากหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบด้วย

    จากคำบอกเล่าจากศิษย์ผู้ใกล้ชิด กรมหลวงชุมพรฯทรงรับสั่งกับหลวงพ่อขันฯ ว่า “หลวงพี่”

    ในปัจจุบันนี้บริเวณที่เคยเป็นพลับพลาที่ประทับของในหลวงรัชกาลที่ ๖ เป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดนกกระจาบ (สิริสรณ์ประชาสรรค์) และได้ก่อสร้างศาล พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกีรยติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไว้เป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อเป็นที่เคารพสักการะแก่ประชาชนโดยทั่วไป ณ บริเวณวัดนกกระจาบด้วย

    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม

    วัตถุมงคลของท่านมีหลายชนิด เช่น เชือกคาดเอว เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ ส่วนของพระเครื่องที่นิยมเล่นคือ เหรียญเสมาหูเชื่อม ปี 2480 มีเนื้อเงิน และทองแดง เหรียญหล่อก้นแมลงสาบ เนื้อสัมฤทธิ์ เป็นต้น

    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา

    เด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี ครบเครื่อง (ขอขอบคุณข้อมูลจากหมูหินพระเครื่อง)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญตูดแมงสาบหลวงพ่อขันวัดนกกระจาบปี 37 อธิฐานจิตปลุกเสกโดยลูกศิษย์เอกของท่านหลวงพ่อเอียดวัดไผ่ล้อมอยุธยา ให้บูชา
    300บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20231113_061907.jpg IMG_20231113_061945.jpg IMG_20231113_061825.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    สมเด็จพระพุทธโคดม หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว เนื้อดิน ปี 2505 หลวงพ่อกวย ร่วมปลุกเสก
    ..หลวงพ่อขอม วัดโพธาราม (วัดไผ่โรงวัว) จ.สุพรรณบุรี จัดสร้างปี 2505 ด้านหลังยันต์ จัดสร้างพิธีพุทธาภิเษกใหญ่เสาร์ 5 ปี 2505 สภาพสวยเดิมๆ เนื้อจัด สวยงาม ดูง่ายสบายตา พุทธคุณดี พิธีใหญ่ น่าใช้ยิ่งนัก หลวงพ่อขอมท่านมักได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกในงานพุทธาภิเษกตามวัดต่างๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งงานใหญ่ๆ ต้องมีท่านด้วยเสมอ ขณะไปปลุกเสกในการสร้างพระให้วัดอื่นๆ ท่านมีปณิธานว่า จะสร้างพระจำนวนโกฏิ (สิบล้านองค์) ท่านมีเจตนาสร้างเพื่อสืบทอดพระศาสนา โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ปี ๒๔๗๓ จนถึงปี ๒๕๐๐ จำนวนการสร้างไม่แน่ชัด ทราบแต่เพียงว่า ท่านก็ยังสร้างอีกเรื่อยมามีจำนวนหลายร้อยตุ่ม สร้างแล้วก็แจกกันอย่างเดียว หลวงพ่อขอมท่านบอกว่าที่ท่านสร้างพระเครื่องจำนวนมากๆอย่างนี้ ก็เพื่อไม่ให้พระเครื่องมีราคาแพง เมื่อพระไม่แพงพวกที่ทำพระเก๊ก็ไม่อยากทำเลียนแบบขึ้นมาเพราะไม่คุ้มค่า แม้จะสร้างมาก แต่พระของท่านก็มีประสบการณ์ดีเช่นกัน คือคนนำไปลองยิงแล้วมีผลเป็นมหาอุดด้วย วัตถุมงคลที่ท่านอฐิษฐานจิตปลุกเสกนั้น พุทธคุณสูงและโดดเด่นทางด้าน คงกระพันชาตรี แคล้ว

    คลาดกันภัย โชคลาภค้าขาย เมตตามหานิยม
    พระครูอุภัยภาดาทรหรือ หลวงพ่อขอม อนิโชภิกขุ วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี ยอดพระเกจิอาจารย์แห่ง จ.สุพรรณบุรี ท่านได้สร้างพระพุทธโค

    ดมด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังได้สร้างถาวรวัตถุและสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากมายเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้แก่

    คนรุ่นหลัง ได้ศึกษาเรื่องราวของพุทธประวัติ
    วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๕๕ หลวงพ่อขอมก็มรณภาพลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมสิริอายุ ๘๘ ปี พรรษา ๖๘ ทำให้นึกถึงคำ

    ปฏิญาณของหลวงพ่อขอม ที่ท่านได้กล่าวไว้ ๕ ข้อ คือ

    ๑. ชีวิตของเราที่เหลือ ขอช่วยพระพุทธองค์ไปจนตาย
    ๒. เมื่อมีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีเงินส่วนตัวสัก ๑ บาท เราจะอายพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
    ๓. เราจะให้รูปพระองค์เกลื่อนไปในพื้นธรณี
    ๔. โอ..โลกนี้ไม่ใช่ของฉัน
    ๕. เราต้องตาย ตายใต้ผ้าเหลือง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระพุทธโคดมหลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัวให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20231116_202119.jpg IMG_20231116_202135.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1700141578303.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพอย่างสูงครับ
    เหรียญรุ่น ๒ หลวงพ่อแสวงวัดหนองอีดุกให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20231116_203152.jpg IMG_20231116_203222.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2023
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1700142254723.jpg
    หลวงปูหิน ปภงกโร เทพเจ้าแห่งลุ่ม
    แม่น้ำพอง วัดโพธาราม ต.กุดน้ำใส
    อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น หลวงปู่เป็นพระ
    เถระที่มีอายุพรรษายืนยาวถึง ๑๓๘ ปี
    เกิดเมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๐๗ มรณะ
    ภาพเมื่อปี ๒๕๔๖ เมื่อก่นคนขอนแก่น
    แทบไม่รู้จักหลวงปู่เพราะท่านเป็นพระ
    ที่มักน้อยสันโดดไม่ สนใจในลาภ ยศ
    สักการะ ดำเนินชีวิตอยู่ในเพศบรรชิต
    แบบเจริญมหาสติปัฏฐาน 4
    ๑.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติ
    ระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกายในที่นี่
    หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4
    ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกัน
    เป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็น
    คน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็นรูปธร
    รมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่
    สติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูป
    ธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ
    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    จนกระทั้งได้มีรายการทีวีรายการหนึ่ง
    มาถ่ายทอดท่านออกอาศท่านจึงเป็นที่
    รู้จักของสาธุชนทั่วไปและเริ่มมีคนรู้จัก
    หลวงปู่มากขึ้นต่างหลังไหลกันมาก
    ราบหลวงปู่จากทุกทั่วสารทิศไม่เว้น
    แต่ละวันแต่ท่านก็ให้ความเมตตาแก่
    ทุกๆคนที่มากราบขอพรท่านแม้อายุ
    ของท่านจะล่วงมาร้อยกว่าปีแล้วก็ตาม
    ท่านไม่เคยบนว่าเหนื่อยสักคำและบาง
    ที่มีคณะทัวร์มาลงทีเป็นร้อยคนสอง
    ร้อยคนก็มีมาจากทั่วทุกสารทิศต่างก็
    อยากได้วัตถุมงคลของหลวงปู่จึงต้อง
    มีการจัดสร้างหลายครังหลายวาละ
    เหรียญรุ่นหนึ่งคณะทหารสร้างถวายมี
    แค่หลักพันเหรียญประสปการณ์ทุกคน
    ต่างรู้ดีลงข่าวหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    หลายฉบับตอนที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอย่
    สติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูป
    ธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ
    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    จนกระทั้งได้มีรายการทีวีรายการหนึ่ง
    มาถ่ายทอดท่านออกอาศท่านจึงเป็นที่
    รู้จักของสาธุชนทั่วไปและเริ่มมีคนรู้จัก
    หลวงปู่มากขึ้นต่างหลังไหลกันมาก
    ราบหลวงปู่จากทุกทั่วสารทิศไม่เว้น
    แต่ละวันแต่ท่านก็ให้ความเมตตาแก่
    ทุกๆคนที่มากราบขอพรท่านแม้อายุ
    ของท่านจะล่วงมาร้อยกว่าปีแล้วก็ตาม
    ท่านไม่เคยบนว่าเหนื่อยสักคำและบาง
    ที่มีคณะทัวร์มาลงทีเป็นร้อยคนสอง
    ร้อยคนก็มีมาจากทั่วทุกสารทิศต่างก็
    อยากได้วัตถุมงคลของหลวงปู่จึงต้อง
    มีการจัดสร้างหลายครังหลายวาละ
    เหรียญรุ่นหนึ่งคณะทหารสร้างถวายมี
    แค่หลักพันเหรียญประสปการณ์ทุกคน
    ต่างรู้ดีลงข่าวหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    หลายฉบับตอนที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่
    นั้นถนนราคาอยู่ที่5000-7000 บาทแต่
    กะนั้นก็ไม่มีของหมุนเวียนจนได้สร้าง
    วัตถุมงคลรุ่นต่างๆตามมาอีกหลายรุ่น
    แต่ก็ไม่น่าจะเกิน10รุ่น แต่ก็ไม่เพียงพอ
    ต่อสาธุชนที่มากราบไหว้หลวงปู่ ในแต่
    ละวันฉนั้นของจึงไม่ค่อยมีหมุนเวียน
    วันนี้ผมจึงอยากนำเสนอวัตถุมงคลรุ่น
    ต่างๆที่หลวงปู่อนุญาติให้จัดสร้างใน
    นามของวัดและลูกศิษย์ของหลวงปู่
    อาจจะไม่ครบทุกรุ่นทุกเนื้อแต่ก็พอ
    เป็นแนวทางศึกษาและสะสมต่อไป ไม่
    ได้มากก็น้อยบุญกุศลที่ได้เอาประวัติ
    วัตถุมงคลของหลวงปู่มาเผยแผ่ในครั้ง
    นี้แม้จะน้อยนิดกระผมขอน้อมถวาย
    บูชาองค์หลวงปู่ ลูกหลานไม่มีเจตนา
    ใจเป็นอื่นนอกจากทำเพื่อเป็นพุทธบูชา
    ธรรมบูชา สังฆบูชาเผื่อให้สาธุชนคนที่
    ศรัทธารักในการสะสมวัตถุมงคนได้
    ศึกษาสะสมสืบต่อไป จากใจ ทรัพย์ยังมา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพอย่างสูงครับ

    รูปหล่อรุ่น 2 หลวงปู่หิน ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20231116_203910.jpg IMG_20231116_203935.jpg IMG_20231116_203847.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2023
  16. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,148
    ค่าพลัง:
    +1,192
    จอง รูปหล่อ ลป.หิน ปพังกโร รุ่น 2
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ลองดูประวัติและหาอ่านประวัติของท่านก่อนครับ
    หลวงพ่อสุบินวัดหัวเขาเป็นศิษย์หลวงพ่อสดวัดปากน้ำและศิษย์วัดหัวเขา
    พระสมเด็จหลวงพ่อสุบินวัดหัวเขาให้บูชา
    200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20231116_204031.jpg IMG_20231116_204052.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2023
  18. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,963
    ค่าพลัง:
    +6,873
    ขอจองพระสมเด็จหลวงพ่อสุบิน วัดหัวเขา ครับ
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    ประวัติท่านพระครูอุทุมพราศัย (ชม กัสโป)
    วัดวรนายกรังสรรค์เจติบรรพตาราม (วัดเขาดิน)
    ต.เขาดิน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

    หลวงพ่อชม กัสโป เดิมชื่อ ชม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน ๕ คน ของโยมบิดา นิ่ม และ โยมมารดา เชย ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงทำให้ในตระกูลของท่านไม่ปรากฏนามสกุล (ณ ตอนนั้น) ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๖๐
    แม้ท่านจะเป็นคนบางเดื่อ คือเกิดที่บ้านบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ท่านก็อยู่ไม่ไกลจาก วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อยังเล็กท่านจึงได้มาเรียนหนังสือที่วัดสะแกจนจบ ป.๔ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีวิทยฐานะดีแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ
    ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสะแกนั่นเอง และนี่คือการบวชครั้งแรกในชีวิต ซึ่งท่านไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยในขณะนั้นว่าท่านจะไม่ได้สึกอีกตลอดไป
    ขณะเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสะแก ช่วงนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของปรมาจารย์ทางไสยเวทย์ที่หาตัวจับยากในอยุธยาคนหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ตอนที่เด็กชายชมเป็นสามเณรก็ให้บังเอิญที่อาจารย์เฮงกำลังบวชพระอยู่พอดี ท่านจึงได้เห็น ได้รู้ ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของพระภิกษุเฮงตลอดมา
    วันทั้งวันจะมีคนเข้านอกออกในมากราบพระอาจารย์เฮงตลอด ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายทั้งในบางกอกและโดยรอบปริมณฑลล้วนเดินทางมาหาพระอาจารย์เฮงเพื่อมุ่งหาของดี สามเณรชมได้เห็นอภินิหารที่พระอาจารย์เฮงแสดงอยู่บ่อย ๆ อาทิ ให้ศิษย์ชักยันต์ชาตรีแล้วเอาหินขนาดสองคนยก ทุ่มลงไปบนหัวจนหน้าคะมำดิน เมื่อเงยขึ้นมาก็ไม่เจ็บ ไม่แตก ไม่ตาย ท่านรู้สึกอัศจรรย์ใจในวิชาของพระอาจารย์เฮงเป็นยิ่งนัก ทำให้อยากเรียนด้วยเป็นกำลัง แต่ท่านก็กลัวพระอาจารย์เฮงจนไม่อาจเข้าไปขอถวายตัวเป็นศิษย์ได้ ท่านเล่าว่าพระอาจารย์เฮงนั้นอารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาจะดุขึ้นมาก็ราวกับเสือมาอยู่ต่อหน้า ทำให้ท่านประหวั่นเกรงจนไม่กล้าเข้าไปหาทั้ง ๆ ที่อยากเรียนด้วยใจแทบขาด
    ต่อมาก็ได้สังเกตเห็นการทดลองคงกระพันชาตรี โดยการที่บรรดาศิษย์หามีดดาบที่แหลมคมมาฟัน มาทิ่มแทงกัน แต่ก็ไม่เคยมีบาดแผลหรือมีเลือดออกให้เห็นแม้สักแมลงวันกินอิ่ม
    เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้ท่านเกิดความมุมานะหมั่นเพียรแอบศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราโบราณในวัดสะแกมาแต่ครั้งยังเป็นสามเณร
    จวบจนอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุโบสถวัดแก โดยมี ท่านพระครูอุทัยคณารักษ์ (แด่) วัดสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระโบราณคณิสสร (ใหญ่ ติณณสุวัณโณ) วัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์วัดไผ่ ฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากบวชพระแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาที่วัดสะแกดังเดิม
    วัดสะแกยุคนั้นแม้จะเลื่องชื่อลือชาในกิตติคุณของพระอาจารย์เฮง แต่ก็ใช่ว่าจะกลบกลิ่นหอมของคนดีไปเสียจนหมดสิ้น นามหนึ่งที่ใครหลายคนรู้จักดีก็คือ พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกในหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์กลั่น วัดพระญาติการาม เหมือนกัน และท่านพระอาจารย์สีนี้ก็ยังเป็นศิษย์น้องและศิษย์จริงของพระอาจารย์เฮงอีกด้วย
    เมื่อเป็นดังนี้ พระภิกษุนวกะอย่างพระชม จึงคิดเข้าหาพระอาจารย์สีมากกว่า เหตุหนึ่งเพราะท่านพระอาจารย์สีนี้ใจดีกว่า ดุน้อยกว่าพระอาจารย์เฮง
    ครั้งพระชมเข้าไปนมัสการพระอาจารย์สีขอถวายตัวเป็นศิษย์ องค์อาจารย์ก็เมตตารับโดยไม่รังเกียจ และเริ่มปฐมบทแห่งขลังด้วยการสอนให้พระใหม่ฝึกนั่งสมาธิภาวนา แรกนั่งท่านก็รู้สึกอึดอัดเบื่อหน่าย ด้วยใจท่านคิดว่าเรามาขอศึกษาวิทยาคุณกับหลวงพ่อท่าน แต่เหตุไฉนท่านจึงให้มานั่งหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ไม่เห็นจะได้อะไร คาถาสักตัวก็ยังไม่ได้ น่าเบื่อเหลือเกิน
    ก็ไม่ทราบหลวงพ่อสีทราบได้อย่างไร จึงสอนท่านว่า “ท่านชม วิชาไสยศาสตร์ใด ๆ ก็ดีล้วนมีพื้นฐานอยู่ที่สมาธิทั้งสิ้น วิชาที่จะทำแล้วมีความขลังก็ต้องอาศัยสมาธิจึงจะทำได้ผล”
    ด้วยคำแนะนำเชิงปลอบประโลมเช่นนี้ จึงทำให้พระภิกษุชมเกิดความตั้งอกตั้งใจในการบำเพ็ญกัมมัฏฐานยิ่ง ๆ ขึ้น ต่อมาเมื่อหลวงพ่อสีเล็งเห็นว่าพระชมมีสมาธิดีในระดับหนึ่งแล้ว ท่านจึงเริ่มสอนเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ให้เป็นลำดับ ๆ ไป และเมื่อการนั่งภาวนาของท่านมีผลแปลก ๆ บังเกิดขึ้น ถ้าไม่ถามเอาจากหลวงพ่อสี พระชมก็จะไปกราบเรียนถาม หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ แทน เพราะท่านได้ขึ้นกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อดู่ไว้ด้วย
    ภายหลังท่านพระอาจารย์เฮงก็ลาสิกขาบทออกมามีภรรยาและลอยเรืออยู่ที่หน้าวัดสะแก อันเรือประทุนลำนี้อาจารย์เฮงห้ามขาดมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปได้เลย เหตุเพราะอาจารย์เฮงมีภรรยาที่สาวและสวยมาก ๆ ท่านจึงไม่ต้องการให้ใครได้พบเห็น คงอนุญาตอยู่เพียงผู้เดียวให้ลงไปกินเหล้ากับท่านในเรือได้อย่างเป็นกันเองที่สุด นั่นก็คือ อาจารย์ก้าน บำรุงกิจ น้องชายแท้ ๆ ของหลวงปู่สี พินทสุวัณโณ ซึ่งอาจารย์ก้านนี้สมัยบวชเป็นภิกษุก็มีพระอุปัชฌาย์เดียวกันกับอาจารย์เฮง คือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฯ และต่อมาอาจารย์ก้านก็ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์เฮงอีกด้วย
    อันความขลังในเรื่องเมตตามหานิยมของอาจารย์เฮงนั้นบรรดาหนุ่ม ๆ ยุคกระนั้นล้วนทราบดี ต่างอยากได้ของดีในทางมหานิยมมาใช้กับสาวที่ตนรัก วิชาหนึ่งที่ขึ้นชื่อคือการหุงสีผึ้ง แต่อาจารย์เฮงก็ยังไม่ได้ถ่ายทอดให้ใครนอกจากหลวงปู่สี เมื่อพระชมต้องการเรียนวิทยาคุณ อย่างแรกที่ท่านขอศึกษาจากหลวงปู่สีคือการเสกสีผึ้ง
    หลวงปู่สีก็เมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้พระชมโดยไม่ปิดบัง และยังบอกอีกว่าหากทำทุกอย่างได้สำเร็จครบตามตำรา ขณะทำการเสกอยู่นั้นจะได้ยินสีผึ้งระเบิดแตกดัง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ชื่อว่าบรรลุผลใช้ได้ทันที
    พระภิกษุชมเพียรเสกสีผึ้งด้วยพระเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกอบรมมาอย่างยาวนานถึง ๑๐๘ คาบ สีผึ้งก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ๑๐๘ คาบที่สองก็ไม่มีปฏิกิริยา ท่านจึงรำพึงในใจว่า ชะรอยคงจะไม่สำเร็จ ดูแล้วน่าจะเสียเวลาเปล่า แต่แล้วท่านก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ตลอดเวลาที่ทำการเสกจิตท่านคอยพะวงอยู่ว่าเมื่อไรสีผึ้งจะแตกให้ได้ยินเสียที เหล่านี้คงเป็นตัวการที่ทำให้จิตไม่สงบโดยแท้จริง จึงยังไม่ปรากฏผลใด ๆ ขึ้นมา
    ครั้งที่สามของการเสกนี้ พระชมจึงไม่สนใจกับตัวสีผึ้งเลย หากกำหนดจิตให้แน่วแน่อยู่กับตัวพระคาถา กดใจนิ่งบริกรรมภาวนากระทั่งจิตรวม ไม่นานท่านก็ได้ยินเสียงสีผึ้งระเบิดติดต่อกันถึง ๓ ครั้ง ทำให้ท่านมั่นใจว่าสำเร็จแล้ว เพราะหลวงปู่สีสั่งไว้ว่าถ้าได้ยินเสียงสีผึ้งแตกก็เพียงนับว่าพอใช้ได้ แต่ถ้าได้ยินติดต่อกันถึง ๓ ครั้งนั้นหมายถึงว่าสีผึ้งตรงหน้าบรรลุผลเต็มอัตรา เป็นของมหาวิเศษ มหานิยม อย่างยิ่งทีเดียว
    ต่อมาพระอาจารย์ชมก็ยินชื่อเสียงของ ปู่สอน หรือ อาจารย์สอน ซึ่งเป็นฆราวาสชาวอำเภออุทัย นามปู่สอนกระเดื่องไปก้องทุ่งด้วยเรื่องที่วัยเข้าขั้นปู่แต่มีภรรยาคราวลูกที่สวยสะคราญถึง ๗ นางด้วยกัน และทุกคนอยู่กินในเรือนเดียวกันอย่างมีความสุขไม่เคยทะเลาะตบตีกันแต่อย่างใด
    และเมื่อพระอาจารย์ชมได้พบปู่สอน ก็ปรากฏว่าปู่สอนรู้สึกถูกอัธยาศัยกับพระอาจารย์ชมเป็นอย่างยิ่ง จึงปรารภว่าที่ได้เมียสาวและสวยนี้เพราะวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ ถ้าอยากเรียนก็ยินดีจะถ่ายทอดให้ เป็นวิชาทางมหานิยม มหาเสน่ห์อย่างเยี่ยมยอด นั่นคือการ “เสกแป้งแปลงหน้า” โดยเมื่อปลุกเสกแป้งนี้แล้วครบถ้วนตามตำรา ครั้นนำมาผัดหน้าทากาย จะเดินไปสารทิศใดคนที่เห็นเราก็จะรู้สึกว่ามีรูปงามตาน่าชม อยากพูดจาพาทีด้วยเสียทั้งนั้น แม้รูปชั่วตัวดำหากใช้แป้งเสกนี้แล้วก็เป็นอันว่ามีเสน่ห์ต้องใจคนทั้งหลายได้ทันที จึงได้ชื่อว่า “วิชาเสกแป้งแปลงหน้า”
    และพระอาจารย์ชมก็ตกลงใจที่จะครอบครูเรียนวิชานี้ เมื่อท่านเรียนจบแล้วก็สามารถเสกแป้งให้ศิษย์วัดไปทดลองใช้ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ จึงทำให้ท่านมีวิชาเด็ดอยู่ในมือแล้ว ๒ วิชา
    พระอาจารย์ชมจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแกยาวนานถึง ๑๐ พรรษาเศษ ๆ ท่านก็ถูกคณะสงฆ์แต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
    ที่วัดบางเดื่อนี้เอง ท่านได้พบคัมภีร์เก่าโบราณอายุราว ๒๐๐ ปี ซึ่งเป็นสมบัติเก่าของวัดประดู่โรงธรรม สำนักตักศิลาใหญ่ทางศาสตร์วิชาต่าง ๆ มากมายเกินพรรณนา โดยเฉพาะวิชาทางไสยเวทย์ถือได้ว่าเป็นหอสมุดขลังซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก หากไม่เพราะพม่าเข้ามาเผาทำลายไปจำนวนมาก ลูกหลานไทยคงได้พบเห็นอะไรดี ๆ อีกเยอะ
    ครั้นหลวงพ่อชมได้ครอบครองคัมภีร์สำคัญ ท่านก็เฝ้าศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียด พบว่าในตำรานั้นบันทึกวิชาการสร้างและเสก ตะกรุดโทน เบี้ยแก้ เชือกคาด เชือกแขน แหวนพิรอด การทำยาสมุนไพรและผงว่านต่าง ๆ มีทั้งการแก้และกันคุณไสยนานาประการ ยิ่งท่านศึกษาก็รู้สึกว่าตำรานี้มีความลึกซึ้งมาก แยบคายมาก ตอนใดที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ท่านก็จะนำความเข้าไปกราบเรียนถามกับ พระครูศีลกิตติคุณ (อั้น คันธาโร) วัดพระญาติการาม บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่สี พินทสุวัณโณ บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ บ้าง ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาพระคัมภีร์นี้
    วิชาหนึ่งในนั้นที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือ การสร้างตะกรุดโทน ซึ่งเป็นวิชายุ่งยากมากที่สุด มีขั้นตอนในการทำสลับซับซ้อนมากที่สุด ท่านจึงให้ความสนใจมาก และในที่สุดท่านก็ตกลงใจที่จะสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย “ตะกั่วดำ”
    โดยท่านกำหนดวันซึ่งตรงกับ เพ็ญ เดือน ๑๒ ชำระฤกษ์ยามที่เป็นมงคลให้ถูกถ้วนดีแล้ว ก็ตั้งหัวหมู บายศรี ดำน้ำลงไปจารตะกรุดใต้น้ำและม้วนให้เสร็จภายในอึดใจเดียวโดยไม่ขึ้นมาก่อน ทุกดอกต้องได้รับการทำอย่างนี้เหมือนกันหมดตะกรุดชุดแรกมีจำนวนทั้งสิ้นราว ๒๐ ดอก
    เมื่อท่านปลุกเสกจนครบถ้วนตามตำราแล้ว ก็ได้มอบให้ศิษย์บางคนไปใช้คุ้มครองตัว ปรากฏมีศิษย์จอมซนสามคนซึ่งได้ตะกรุดไปคนละดอก ทดลองนำตะกรุดไปผูกกับไก่บ้านจำนวน ๓ ตัว แล้วยิงด้วยปืน .๓๘ ตัวละนัด ตัวละนัด เรียงเรื่อยมาจนครบทุกตัว
    ไม่ดังสักนัด
    ต่อเมื่อกระดกปากกระบอกขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไก เสียงปืนก็คำรามก้องทุ่ง เป็นเหตุให้สามหนุ่มหัวใจพองโตเกิดปีติอย่างยิ่งว่าได้ครอบครองของดีอย่างสุดยอดจากครูบาอาจารย์แล้ว จึงก้มกราบขอขมาแล้วอีกไม่นานก็มาเล่าถวายให้ท่านฟัง
    โดนเทศน์ไปหลายกัณฑ์
    เหตุนี้หลวงพ่อชมจึงเลิกทำตะกรุดโทนดอกใหญ่แต่หันมาทำตะกรุดดอกเล็ก ๆ แทน และเรียกว่า
    “ตะกรุดบริวาร”
    ตำราระบุว่าเมื่อจาร-ม้วนแล้วเสร็จ ต้องทำการเสกให้ถึงไตรมาสหนึ่งจึงใช้ได้ แต่เมื่อท่านเสกครบถ้วนตามตำรา ก็ยังมิได้แจกจ่ายออกไปเพราะยังไม่มีเหตุให้ต้องแจก กระทั่งคืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ท่านก็นิมิตเห็นชายชรารูปร่างสูงใหญ่ ใส่กางเกงจีนสีดำ ไม่สวมเสื้อแต่มีผ้าขาวม้าพาดบ่าเดินตรงเข้ามาหา มาถึงตัวหลวงพ่อแล้วก็ลงนั่งถามขึ้นว่า
    “ตะกรุดที่สร้างนั่นทำถูกต้องแล้ว และก็เสกจนใช้ได้แล้วทำไมยังไม่แจกจ่ายออกไปอีก”
    หลวงพ่อชมตอบว่า
    “อยากจะปลุกเสกต่อไปเรื่อย ๆ ก่อน”
    ชายชราลึกลับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า
    “ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องปลุกเสกอีกแล้ว วันนี้จะช่วยเสกซ้ำให้”
    จากนั้นชายร่างใหญ่ก็นั่งขัดสมาธิ ลงมือบริกรรมภาวนาพระคาถาที่ใช้เสกตะกรุด ไม่นานนัก หลวงพ่อก็เริ่มรู้สึกว่ากุฏิของท่านมีการสั่นเทือน.....และแรงขึ้น....แรงขึ้นทุกที ความสั่นไหวนั้นเกิดตามคำบริกรรมภาวนาของชายชราร่างใหญ่ ยิ่งร่างนั้นเร่งรัวคำบริกรรมมากขึ้นเท่าใด ความสั่นสะเทือนก็รุนแรงขึ้นเท่านั้น
    ครั้นหลวงพ่อกำหนดจิตดูที่ถาดใส่ตะกรุดตรงหน้าซึ่งคั่นอยู่ระหว่างท่านกับชายลึกลับ ก็เห็นถนัดตาว่าตะกรุดหลายร้อยดอกมีอาการสั่นไหวจนกระโดดเต้นไปมาอยู่ภายในถาดราวกับมีชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านรู้สึกตื่นเต้นระคนยินดีเป็นอย่างมาก ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ดำเนินอยู่เป็นครู่ใหญ่ก็ค่อย ๆ สงบลง เมื่อท่านละความสนใจจากตะกรุดตรงหน้ามากำหนดดูที่ชายชรานิรนาม ก็ปรากฏว่าแกหายไปเสียแล้ว หลวงพ่อจึงค่อย ๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ
    ครั้นลืมตาดูถาดตะกรุดตรงหน้าด้วยตาเนื้อ ท่านก็ต้องตกตะลึงเป็นยิ่งนัก เพราะตะกรุดในถาดที่เคยวางรวมกันเป็นหมวดหมู่ บัดนี้มีหลายสิบดอกที่ปาฏิหาริย์หล่นออกมากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นกุฏิ แสดงให้เป็นเด่นชัดว่า “นิมิต” ที่ปรากฏในจิตท่านเมื่อครู่มิใช่นิมิตลวง ชายชร

    1303433-2b773.jpg

    …คนเฒ่าคนแก่แถวๆวัดบางเดื่อเล่าปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อชมให้ฟัง ผู้เขียนจึงนำมาเล่าต่อ ดังนี้…

    …มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางมาหาหลวงพ่อชมที่วัดบางเดื่อ(แต่งเครื่องแบบ) แต่ไม่เคยพบหลวงพ่อมาก่อน จึงไม่รู้ว่าท่านเป็นใครอยู่กุฏิไหน

    …ทหารพากันเดินดุ่ยๆเข้าไปในวัด แล้วก็พบเข้ากับพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ ทหารบอกกับพระรูปนั้นไปว่าจะมาหา“หลวงพ่อชม” พระรูปนั้นตอบว่า“ข้านี่แหละ หลวงพ่อชม” ทหารที่มากัน๔-๕คนจึงยกมือขึ้นไหว้

    …ทหารคนที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าพูดกับหลวงพ่อว่า“หลวงพ่อครับ พวกเรามีของมาถวาย” พูดเสร็จก็ส่งของให้หลวงพ่อทันที!…

    …ถึงตอนนี้“หลวงพ่อชม”ท่านรู้แล้วว่า “โดนเจ้าพวกทหารวัยคะนองลองของเข้าให้ เพราะของที่ว่าเป็นลูกระเบิดสังหาร รุ่นM-26”(ทหารเอาระเบิดมาหยอกหลวงพ่อ โดยไม่ได้ดึงสลักออกแต่อย่างใด คือแบบว่าหากเอาลูกระเบิดนี้ปาลงพื้น หรือขว้างใส่กำแพง ก็ไม่สามารถระเบิดได้ นี่เป็นการเล่นแบบพิเรนทร์ๆของพวกทหาร)…

    …กลับมาที่ฝ่ายทหารกันบ้าง พวกทหารอยากจะดูว่า“พระอาจารย์ที่เขาลือกันว่าเก่งนักหนา พอตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ ท่านจะทำอย่างไร”(ตั้งใจมาลองของหลวงพ่อ)

    …ทหารบางนายคิดอย่างขำๆเลยเถิดไปว่า“หลวงพ่อคงตกใจจนขวัญหนีดีฟ่อ แล้วโยนระเบิดทิ้งไป ก่อนวิ่งหนีป่าราบ” บ้างก็คิดว่า“หลวงพ่อคงเขวี้ยงระเบิดไปไกลๆด้วยความหวาดกลัว” คือแบบว่าคิดกันไปต่างๆนาๆอย่างสนุกสนาน แต่ทหารกลุ่มนี้คิดผิด!…

    …พอ“หลวงพ่อชม”รับลูกระเบิดมาแล้ว ท่านก็ยิ้มให้แล้วพูดกับทหารกลุ่มนั้นว่า “รับแล้วนะ ทีนี้ข้าจะให้ของพวกเอ็งบ้าง” ว่าเสร็จท่านก็ปา“ระเบิด”ลงพื้นกลางวงทหาร และทั้งๆที่รู้ว่า”ระเบิดยังไม่ได้ถอดสลักออก อย่างไรก็ไม่ระเบิดแน่ๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้ทหารกลุ่มนั้นแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ทหารบางนายรีบวิ่งแล้วนอนราบเอามือกุมหัว ส่วนบางนายกระโดดพุ่งหลาวไปกับพื้นลูกรังข้างหน้าแล้วนอนทำตัวแบนราบให้ตกเป็นเป้าสะเก็ดระเบิดน้อยที่สุด สรุปว่าทหารทุกนายทำตามยุทธวิธีที่เล่าเรียนมา”(การณ์กลับตาลปัตร ทหารว่าจะมาลองดีกับหลวงพ่อ แต่กลับโดนหลวงพ่อย้อนศรเข้าให้)

    …“พอลูกระเบิดกระทบพื้น ระเบิดก็ทำงานทันที แต่แทนที่ระเบิดจะส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ(ส่งสะเก็ดระเบิดออกมา) ระเบิดกลับมีเสียงดัง“ฟู้ด” แล้วก็มีฝุ่นขี้เถ้าแตกกระจายกลายเป็นผุยผง ฟุ้งกระจายไปถ้วนทั่ว”(ระเบิดไม่ได้แตก เพียงแต่ดินระเบิดเกิดฟู่ขึ้นมาเฉยๆ) และโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ พอทหารเห็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อชมกันแบบจะจะคาตาเช่นนั้น ต่างก็พากันคลานเข่าเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วหมอบกราบแทบเท้าน้ำหูน้ำตาไหล จากนั้นได้กราบขมาลาโทษและเอ่ยปากขอน้อมกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน หลวงพ่อชมพูดอย่างเมตตาว่า“ไม่เป็นไร พวกเจ้าอยากเห็นก็เลยแสดงให้ดู” นับจากนั้นเป็นต้นมาทหารกลุ่มนี้ได้กลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่คอยช่วยเหลืองานหลวงพ่ออย่างเต็มกำลังความสามารถ

    …ว่ากันว่า“ทหารเหล่านี้เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์” เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล…

    Cr.น้าเอก.
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพเวปไซท์นิตยสารอย่างสูงครับ
    ลองอ่านประวัติท่านดุก่อนครับ ศิษย์สายวัดพระญาติ วัดสะแก อีกท่าน เหรียญยุคเก่า สวยเดิมๆ จะ50 ปีแล้ว
    เหรียญหลวงพ่อชมวัดบางเดื่อปี 2517 กะไหล่เงินหูตันให้บูชา
    350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20231117_104630.jpg IMG_20231117_104659.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2023
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +21,343
    เหรียญเปิดโลกหลวงปู่ทวด วัดป่าดาราภิรทย์ ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20231117_104722.jpg IMG_20231117_104741.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2023

แชร์หน้านี้

Loading...