พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จักรพรรดิปูยีและน้องชายปูเจี๋ย
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=58381&NewsType=2&Template=1

    จักรพรรดิปูยีและน้องชายปูเจี๋ย
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="top">[​IMG]</td></tr><tr><td class="messageblack" align="center" height="20" valign="middle">ปูเจี๋ยและฮิโร ซากา</td></tr><tr><td align="center" valign="top">[​IMG]</td></tr><tr><td class="messageblack" align="center" height="20" valign="middle">ปูยีกับฮองเฮาหวั่นหยง</td></tr><tr><td align="center" valign="top">[​IMG]</td></tr><tr><td class="messageblack" align="center" height="20" valign="middle">ปูยีและปูเจี๋ยน้องชายกับองค์ชายชุน บิดา</td></tr><tr><td align="center" valign="top">[​IMG]</td></tr><tr><td class="messageblack" align="center" height="20" valign="middle">ภาพวาดโดยฝีมือ Pissarro</td></tr><tr><td align="center" valign="top">[​IMG]</td></tr><tr><td class="messageblack" align="center" height="20" valign="middle">Hamaguchi Mansion หรือทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว</td></tr></tbody></table>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จักรพรรดิปูยีและน้องชายปูเจี๋ย
    http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=2&Template=1

    จักรพรรดิปูยีเป็นจักรพรรดิราชวงศ์ชิงของจีนองค์สุดท้าย ซึ่งประสบชะตากรรมที่ร้ายแรงกว่าจักรพรรดิจีนองค์ใด ๆ เนื่องจากราชวงศ์ถูกโค่นล้มโดยการปฏิวัติและประเทศจีนได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง ทำให้ชีวิตของพระ องค์ต้องผ่านเหตุการณ์ที่มีสีสันทางประวัติศาสตร์มากมาย จนมีการนำประวัติชีวิตพระองค์ไปทำเป็นภาพ ยนตร์มาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด The Last Emperor ของยอดผู้กำกับนาย Bernado Bertolucci เมื่อปี ค.ศ. 1987 ซึ่งนอกจากจะได้รับรางวัลตุ๊กตาทองเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีแล้ว ยังได้รางวัลอื่น ๆ อีกถึง 8 รางวัลด้วยกัน โดยนาย Bertolucci ได้ขอให้ ปูเจี๋ยซึ่งเป็นน้องชายของจักร พรรดิปูยีร่วมเป็นที่ปรึกษาของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้มีโอกาสไปเช่าหนังจีนชุด “ปูยีจักรพรรดิที่โลกไม่ลืม” มาดูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหนังทีวีชุดนี้ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของปูยีมาก กว่า The Last Emperor หลายเท่า และทำให้ผมนึกถึงความเกี่ยวข้องระหว่างปูเจี๋ยและภริยาชาวญี่ปุ่น Hiro Saga กับบ้านซึ่งปัจจุบันเป็นทำเนียบสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวขึ้นมาได้ จึงอยากจะนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบถึงเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเรื่องนี้ด้วย

    ปูยีเกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1906 เป็นบุตรขององค์ชายชุน ราชวงศ์ชั้นสูงของตระกูล อ้ายซินเจี๋ยหลอของมองโกล ซึ่งเข้ามายึดครองจีนได้สำเร็จและได้สถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้น ปูเจี๋ยเป็นน้องชายของปูยีซึ่งมีอายุแตกต่างกันเพียง 1 ปี เมื่อปูยีอายุได้ 2 ขวบ พระนางซูสีไทเฮาก็ได้มีรับสั่งให้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิของจีน โดยมีองค์ชายชุนผู้พ่อเป็นผู้สำเร็จราชการ แต่พระนางเองเป็นผู้สั่งราชการต่าง ๆ แทนองค์จักรพรรดิจากหลังม่าน เมื่อจักรพรรดิปูยีมีพระ ชนมายุได้ 16 ปี ทางในวังต้องห้ามก็ได้จัดให้มีการเลือก ฮองเฮาให้พระองค์ ซึ่งแต่แรกปูยีทรงเลือกเหวินซิ่ว ซึ่งมีอายุเพียง 13 ปี เป็นฮองเฮาแต่ถูกคัดค้านจนในที่สุดพระองค์ก็ได้เลือก หวั่นหยง อายุ 17 ปี ซึ่งได้รับการศึกษาสมัยใหม่จากครูชาวต่างประเทศและมีชื่อเล่นว่า Elizabeth ขึ้นเป็นฮองเฮาและแต่งตั้งให้เหวินซิ่วเป็น พระสนมเอกแทน
    ชีวิตการแต่งงานของปูยีไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะฮองเฮากับสนมเอกมักมีเรื่องระหองระแหงกันอยู่เสมอ และปูยีก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก และสนใจที่จะเล่นกับมดกับจิ้งหรีดพร้อมกับขันทีคนโปรดเสียมากกว่า ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1924 ขณะที่ปูยีมีอายุได้เพียง 18 ปี ก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในจีน และเกิดการปฏิวัติขึ้นโดยนายพลเฝิงยู่เสียงได้ขับปูยีและพระราชวงศ์ออกจากพระราชวังต้องห้าม ในช่วงเวลานั้นญี่ปุ่นได้แผ่ขยายอำนาจเข้ามาในจีนเป็นอย่างมากและได้คิดใช้ประโยชน์จากปูยีโดยได้อาสาให้ความคุ้มกันแก่ปูยีและทำให้ปูยีเชื่อว่าญี่ปุ่นจะช่วยกอบกู้ราชวงศ์ชิงให้ จึงได้ให้ปูยีไปพำนักอยู่ในเมืองเทียนสิน ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของตน ในช่วงนี้เองที่สนมเอก เหวินซิ่วหมดความอดทนและได้ฟ้องหย่ากับปูยีต่อศาลจนสำเร็จ และได้กลับไปอยู่ในกรุงปักกิ่งโดยไม่ได้แต่งงานใหม่อีกตลอดชีวิต
    ในปี ค.ศ. 1931 ญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดแมนจูเรียและได้สถาปนาประเทศแมนจูกัวขึ้นโดยได้แต่งตั้งให้ปูยีเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของตนในปี ค.ศ. 1934 ในระหว่างนั้นเองฮองเฮาหวั่นหยงก็เริ่มติดฝิ่นและมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับองครักษ์ของตนเองและเสียสติไปในที่สุด ปูยีจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับนาง อีกต่อไป เมื่อฝ่ายญี่ปุ่นเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็พยายามบังคับให้ปูยีแต่งงานใหม่โดยแสดงความต้องการให้แต่งกับกุลสตรีชาวญี่ปุ่น แต่ปูยีก็ยืนกรานไม่ยิน ยอมและได้แต่งงานกับหญิงแมนจูตามประเพณีดั้งเดิมของราชวงศ์ ชื่อถานอี้หลิง วัย 17 ปี สนมคนนี้ได้มีความใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานของปูยีมาก ในช่วงนี้เอง ปูเจี๋ยซึ่งได้ไปเรียนโรงเรียนทหารในญี่ปุ่นก็ได้ไปพบรักกับสาวญี่ปุ่นตระกูลสูงชื่อ Hiro Saga ซึ่งก็เป็นที่สบอารมณ์ของญี่ปุ่นมาก จึงคิดที่จะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การสืบราชสันตติวงศ์ของแมนจูกัวใหม่โดยหวังจะให้บุตรชายของปูเจี๋ยกับฮิโร ซากาขึ้นครองราชย์ในแมนจูกัววันหนึ่ง แผนนี้ล่วงรู้ไปถึงปูยีซึ่งโกรธแค้นญี่ปุ่นมากและได้วางแผนปล่อยข่าวว่าถานอี้หลิงกำลังท้องกับตน
    กล่าวกันว่าญี่ปุ่นเกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นจริง จึงได้วางแผนให้หมอญี่ปุ่นลอบวางยาพิษถานอี้หลิงถึงแก่ชีวิตขณะที่เป็นไข้ธรรมดาเท่านั้น หลังจากนั้น ญี่ปุ่นก็รบเร้าให้ปูยีหาสนมใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปูยีก็ยอมทำตามโดยสุ่มเลือกอี้จิน เด็กสาววัย 14 ปีขึ้นมา แต่ก็อยู่กันได้ไม่นาน เพราะญี่ปุ่นกับจีนได้ทำสงครามใหญ่ระหว่างกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 และก็ได้ลุกลามขยายตัวรวมกับเหตุการณ์ในยุโรปทำให้กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด แต่ในปี ค.ศ. 1945 รัสเซียซึ่งเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้บุกยึดแมนจูกัว ปูยีและปูเจี๋ยถูกฝ่ายรัสเซียจับกุมตัวได้ขณะที่กำลังจะหนีไปญี่ปุ่น จากนั้นก็ถูกกักกันอยู่ในรัสเซียอยู่จนถึง ค.ศ. 1950 จึงได้ส่งตัวทั้งสองกลับมาให้จีนภายใต้เหมาเจ๋อตุงซึ่งกำลังเป็นสหายคอมมิวนิสต์ที่สนิทสนมกัน
    ปูยีต้องเข้ารับการอบรมให้เป็นพลเมืองใหม่ของรัฐคอม มิวนิสต์เป็นเวลาอีก 9 ปี จึงได้รับการปล่อยตัวให้ออกมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญแต่ก็เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของจีนคอมมิวนิสต์ไปด้วยในตัว เขาได้แต่งงานใหม่อีกครั้งหนึ่งกับหลี่ซู่เสียน นางพยาบาลวัย 37 ปีเมื่อปี ค.ศ. 1962 ก่อนที่จะสิ้นชีวิตในกรุงปักกิ่งด้วยโรคมะเร็งที่ไตเมื่อปี ค.ศ. 1967 สำหรับฮองเฮาหวั่นหยงได้เสียชีวิตที่สถานบำบัดผู้ติดฝิ่นในแมนจูกัวเมื่ออายุ 40 ปีหลังจากรัสเซียยึดได้ไม่นาน ส่วนอี้จิน ซึ่งปูยีไม่ได้พาหนีไปด้วย ก็อาศัยอยู่ในฉางชุนต่อไปและได้แต่งงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง กล่าวกันว่าปูยี เป็นผู้ไร้สมรรถภาพทางเพศ และบางแหล่งถึงกับกล่าวว่า เขามีความสัมพันธ์พิเศษกับขันทีคนโปรดของเขาเองด้วย

    ปูเจี๋ยได้พบกับกับฮิโร ซากา สาวสวยชาวญี่ปุ่น ที่บ้านพักของฝ่ายหญิงหรือที่เรียกกันว่า Hamaguchi Mansion เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1937 ในงานดินเนอร์ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้ทั้งสองได้พบกันโดยเฉพาะ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาก เพราะที่สุดทั้งสองก็ได้ชอบพอกันและได้แต่งงานกันเมื่อ 3 เมษายนของปีนั้นเอง สำหรับ Hamaguchi Mansion นี้ก็คือสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวในปัจจุบันนั่นเอง ตามประวัติซึ่งได้รับรายละเอียดเพิ่มเติมจากท่านเอกอัครราชทูตสุวิทย์ และมาดามบุญทิพา สิมะสกุล กล่าวว่า Kichiemon Hamaguchi the 10th เจ้าของ กิจการซอสถั่วเหลืองผู้ร่ำรวยและเป็นคุณลุงของฮิโร ซากา ได้ซื้อที่นี่ไว้จากครอบครัว Fukuzawa ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Keio นาย Kichiemon Hamaguchi the 10th เป็นผู้ที่รักการสะสมภาพวาดและได้ซื้อ ภาพวาดจากสถานทูตอิตาลีในญี่ปุ่นสมัย นั้นมาหลายภาพ
    ซึ่งบางภาพก็มีขนาดใหญ่มากไม่สามารถวางโชว์ได้ จึงได้คิดสร้างบ้านใหม่ขึ้นเป็นตึกเสริมคอนกรีตสไตล์ตะวันตก 2 ชั้น มีเนื้อที่ใช้สอย 1,000 ตารางเมตร เมื่อปี ค.ศ. 1934 หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแบบมาถึง 21 ครั้ง นาย Kichiemon Hamaguchi มีน้องชายและน้องสาวอย่างละ 2 คน น้องสาวคนโตมีชื่อว่า Hisako ได้แต่งงานกับ Marquis Saneto Saga ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรพรรดิเมจิ และมีบุตรชาย 1 คนกับบุตรสาวอีก 4 คน โดยมีฮิโร ซากาเป็นบุตรสาวคนโตเกิดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1914 และได้พักอาศัยอยู่ใน Hamaguchi Mansion นี้มาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งได้แต่งงานออกไป

    ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นที่สงสัยเลยว่า ทั้งปูเจี๋ยและโดยเฉพาะฮิโร ซากา ต่างก็มีความผูกพันเป็นพิเศษกับบ้านหลังนี้ เพราะเป็นที่ที่ทั้งสองได้พบกันและรักกัน ฮิโร ซากาเองก็ได้อยู่ในบ้านนี้มาตั้งแต่เกิด ดังนั้นหลังจากที่รัฐบาลไทยได้ซื้อบ้านหลังนี้รวมทั้งเครื่องประดับบ้านและภาพวาดทั้งหมดจากครอบครัว Kichiemon ในสมัยที่ ฯพณฯ ดร.ดิเรก ชัยนาม ดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1943 ในราคาเพียง 1 ล้านเยน ทั้งปูเจี๋ยและฮิโร ซากา ก็ยังหาโอกาสมาเยี่ยมเยือนบ้านเก่าของตนเป็นครั้งคราว โดยมีหลักฐานว่าทั้งสองได้ขอมาเยี่ยมชมบ้านด้วยกันเมื่อ 11 ธันวาคม 2523 (ค.ศ. 1980) สมัยที่ ดร.วิเชียร วัฒนคุณ เป็นเอกอัครราชทูตก่อนที่ฮิโร ซากาจะถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1987 และหลังจากนั้นปูเจี๋ยหรือที่ญี่ปุ่น เรียกว่า Prince Fuketsu Aishinkakura ก็ได้มาขอเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งในสมัยที่ท่านอดีตราชเลขาธิการ ม.ร.ว.พีระพงศ์ เกษมศรี เป็นเอกอัครราชทูตเมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ก่อนที่จะถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1997 ที่กรุงปักกิ่ง

    เกร็ดประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ที่ห้องทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะมีภาพวาดฝีมือ Camille Pissarro ของแท้แขวนเด่นเป็นสง่าอยู่มาตลอดเวลาตั้งแต่สมัยที่ผมเริ่มเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว Pissarro เป็นจิตรกร Impressionist ชาวฝรั่งเศสชื่อก้องโลกอีกคนหนึ่ง ซึ่งผลงานของเขาในปัจจุบันนี้หาค่ามิได้ ภาพชิ้นนี้ก็เป็นภาพวาดอีกชิ้นหนึ่งซึ่งรัฐบาลไทยได้มาจากการซื้อบ้าน Hamaguchi Mansion เมื่อปี ค.ศ. 1943 นั่นเอง และภายในตัวทำเนียบปัจจุบันก็ยังมีภาพวาดของจิตรกรมีชื่อของญี่ปุ่นและชาติอื่น ๆ อยู่อีกหลายภาพ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็ได้พยายามเก็บรักษาไว้ด้วยดีเสมอมา.
    สาโรจน์ ชวนะวิรัช
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่านปา-ทานองค์ที่ถามน่ะครับ กลับบ้านมาส่องก็ดู okครับ สวยสมบูรณ์ครับแต่ไม่มีคราบทองติดอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2011
  4. Chanayotha

    Chanayotha สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +10
    แจ้งคุณ sithiphong
    ได้รับพระพิมพ์แล้วนะครับ สมเด็จอกครุฑองค์ใหญ่สวยมากไม่ทราบว่าขึ้นกรุไหน สร้างปีไหนครับ ขอบคุณครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จอกครุฑ สร้างที่วังหน้า ส่วนสร้างปีไหน ทราบแต่สร้างก่อนปี พ.ศ.2415 เพราะว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอธิษฐานจิต(เดี๋ยว) ครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=39499
    อภินิหารพระสมเด็จพระบัณฑูรย์ หรือ สมเด็จวังหน้า

    <table id="post253647" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">31-05-2006, 08:05 PM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #1 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> guawn <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_253647", true); </script>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 08:20 AM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 11,105
    Groans: 26
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 4,927
    ได้รับอนุโมทนา 52,389 ครั้ง ใน 8,402 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5239 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_253647" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> อภินิหารพระสมเด็จพระบัณฑูรย์ หรือ สมเด็จวังหน้า
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> เสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์พระโอรสลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบรมราชาธิราชกับเจ้าจอมมารดาโหมด ทรงเสด็จไปศึกษาวิชาการทหาร ณ ประเทศอังกฤษแต่ยังทรงพระเยาว์และได้ทรงเลือกศึกษาวิชาการด้านทหารเรือจนสำเร็จการศึกษาเสด็จกลับมาอยู่ในกระทรวงทหารเรือในพระราชบิดา เนื่องจากทรงใช้พระชนม์ชีพอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่เคยคุ้นกับเรื่องเครื่องรางของขลังและพระเครื่องต่าง ๆ คงมีแต่พระชัยวัฒน์องค์น้อยที่ทรงได้รับการพระราชทานผูกพระศอจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบรมราชาธิราชเท่านั้น
    เมื่อทรงเสด็จกลับมารับราชการแล้วก็ทรงพบว่าทหารเรือในบังคับบัญชามาจากทั่วสารทิศ แต่ละคนล้วนมีพระเครื่อง เครื่องรางของขลังติดตัวและมีอิทธิปาฏิหาริย์นานาประการ จนที่สุดทรงทดลองยิงพระเครื่องที่ได้รับมาจากพระบรมวงศานุวงศ์ที่เรียกกันว่า "พระสมเด็จพระบัณฑูรย์" หรือ "สมเด็จวังหน้า" พระนี้ อันที่จริงแล้วไม่ใช่พระสมเด็จฯ แเต่เป็นพระเนื้อดินเผาลงรักปิดทองที่ได้มาจากวังหน้าของสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯจึงเรียกก้นว่า "พระสมเด็จวังหน้า" ปรากฏว่าพระแสงปืนพกยิงไม่ออกแม้จะเปลี่ยนเป็นปืนพระรามหกอันถือว่าเป็นปืนหลวงที่ตัดอาถรรพณ์ได้ก็ยิงไม่ออก หากถ้าเบนปากกระบอกออกจากพระขึ้นบนฟ้ากระสุนที่ไม่ลั่นกลับส่งเสียงคำรามลั่นทันใด จึงทรงสนพระทัยในเรื่องพระเครื่องและพระอาจารย์ตลอดพระชนม์ชีพ
    สมเด็จพระบัณฑูรย์หรือสมเด็จวังหน้าเป็นพระเครื่องที่นักเลงโบราณนิยมกันมากด้วยเชื่อกันว่าเรื่องมหาอุดแล้วยอดนัก
    <!-- / message --> <!-- attachments --> <fieldset class="fieldset"> <legend>รูปขนาดเล็ก</legend> [​IMG]
    </fieldset>
    </td></tr></tbody></table>----------------------------------------------------------------------

    <table id="post1262641" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">[​IMG] 8/6/2551, 08:12 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #4 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> guawn <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1262641", true); </script>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 08:20 AM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 11,105
    Groans: 26
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 4,927
    ได้รับอนุโมทนา 52,389 ครั้ง ใน 8,402 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5239 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1262641" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- message --> <table align="center" border="0" width="95%"><tbody><tr><td align="center">
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]</td></tr></tbody></table>
    ที่มา http://www.g-pra.com/auction/view.php?aid=44287
    </td></tr></tbody></table>
    +++++++++++++++++++++++++++++++++
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบัณฑูรย์ ที่เห็นในรูปนั้น
    [​IMG]

    เป็นพระที่เป็นเนื้อดินปิดทองร่องชาด

    คำว่าพระบัณฑูรย์นั้น หมายความว่า เป็นคำสั่งของผู้ดำรงตำแหน่งวังหน้า ส่วนพระราชดำรัส หมายความว่า เป็นคำสั่งของพระมหากษัตริย์

    ท่านอาจารย์ประถม ท่านให้ชื่อพิมพ์นี้ว่า พระฐานผ้าทิพย์ ซึ่งจะมีทั้งเนื้อดินเผาปิดทองร่องชาด และเนื้อผงปิดทองร่องชาด ครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [FONT=Tahoma,]น้ำมันโลกวันเดียวพุ่ง10ดอลล์ ขึ้นบ้าเลือด! ดึงราคาในปท.เพิ่ม3บาท/ลิตร
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01p0101080651&day=2008-06-08&sectionid=0101
    [/FONT][FONT=Tahoma,]วันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11047[/FONT]
    [FONT=Tahoma,]
    เบนซิน95ทะลุ43-ดีเซล42บ. "เลี้ยบ"ชี้ปัญหาศก.แรง-เฟ้อหนัก สั่งเร่งมาตรการคุม-ปลอบเอาอยู่



    น้ำมันโลกบ้าเลือด ขึ้นวันเดียว 10 เหรียญ ไปยืนที่ 138 เหรียญต่อบาร์เรล "บางจาก"ชี้ ถ้าตามต้นทุนต้องขึ้นลิตรละ 3 บาท "เลี้ยบ"ห่วงเงินเฟ้อยังเพิ่มต่อเนื่อง มิ.ย.ส่อเค้ามากกว่า 7.5% เร่งหาทางรับมือประคองเศรษฐกิจถึงสิ้นปี รอเม็ดเงินเมกะโปรเจ็คต์ 2 ล้านล้านดันให้โตต่อ

    @ น้ำมันบ้าเลือดวันเดียวขึ้น10ดอลล์

    เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน สำนักข่าวเอพีและบีบีซีรายงานว่า ราคาน้ำมันทำสถิติพุ่งสูงขึ้นในวันเดียวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ความเป็นไปที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่าราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้มีมากขึ้น

    ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรงถึงเกือบ 11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันเดียวเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ขณะที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันก็เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 5.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียงแค่ 2 วัน ถือเป็นสถิติใหม่ของตลาดซื้อขายไนเม็กซ์อย่างง่ายดาย โดยราคาน้ำมันดิบชนิดไลท์สวีต สัญญาส่งมอบเดือนกรกฎาคมพุ่งสูงขึ้นทำสถิติสูงสุด ในการซื้อขายระหว่างวันที่ 139.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก่อนลดระดับลงมาปิดที่ 138.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มสูงขึ้น 10.45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ จากวันก่อนหน้านี้ โดยราคาน้ำมันพุ่งขึ้นหลังจากที่นายโอเล สโลเรอร์ นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ทำนายว่า ความต้องการน้ำมันที่สูงมากของเอเชีย รวมกับระดับปริมาณน้ำมันสำรองของกลุ่มประเทศตะวันตกที่มีไม่มากจะผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นถึง 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลภายในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม

    @ ต้นตอจากยิวขู่โจมตีอิหร่าน

    นอกจากนี้ สาเหตุของราคาที่พุ่งสูงขึ้น ยังมาจากรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เยดิออท อาห์โรน็อตของอิสราเอล ที่ระบุว่า นายชาอูล โมฟาซ รัฐมนตรีขนส่งของอิสราเอล กล่าวว่า "อิสราเอลจะโจมตีอิหร่าน หากอิหร่านไม่ยกเลิกโครงการพัฒนานิวเคลียร์" และว่า ประธานาธิบดีมาห์มูด อาห์มาดิเนจาด ของอิหร่านจะสาบสูญไปจากโลกนี้ก่อนอิสราเอล โดยอิหร่านถือเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (โอเปค) และบรรดาผู้ค้ากังวลว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านจะทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกมีปัญหา

    ราคาที่พุ่งสูงอย่างผันผวนและรวดเร็ว ทำให้แม้แต่ผู้ที่อยู่ในวงการน้ำมันมาอย่างยาวนานยังตกใจ โดยจิม ริทเทอร์ บุช ประธานของบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานริทเทอร์บุช แอนด์ แอสโซสิเอตส์ ในรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐ กล่าวว่า ราคาน้ำมันขณะนี้อยู่ในช่วงที่เหมือนไม่มีกฎเกณฑ์ และค่อนข้างจะอยู่นอกแบบแผนของประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาก่อนหน้า

    ก่อนหน้าวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันลดลงจากระดับสูงสุดเกือบ 13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นการบรรเทาความรุนแรงของราคาจากช่วงที่ราคาน้ำมันลายสถิติสูงสุดเกือบทุกวันก่อนที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

    @ 5ปท.ยักษ์ให้ลดอุดหนุนราคา

    เอเอฟพีรายงานว่า รัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ ที่เข้าร่วมในการประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงานของชาติผู้บริโภครายใหญ่ที่เมืองอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันแสดงความกังวลอย่างรุนแรงต่อราคาน้ำมันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและขัดแย้งต่อผลประโยชน์ของทั้งประเทศผู้บริโภคและประเทศผู้ผลิต นอกจากนี้ทั้ง 5 ประเทศยังได้ออกแถลงการณ์ที่เรียกร้องให้ลดการอุดหนุนราคาน้ำมันลงทีละนิด เพราะราคาพลังงานที่ไม่ถูกบิดเบือนและเป็นไปตามกลไกตลาด จะช่วยให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มการลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือก ซึ่งจะนำไปสู่การลดภาระด้านงบประมาณของรัฐบาลและเกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจระหว่างพลังงานภายในประเทศและพลังงานในตลาดโลกมาก ขึ้น

    @ คาดน้ำมันในปท.เพิ่ม3บ./ลิตร

    นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก่อนหน้า 1 วัน ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จในตลาดสิงคโปร์ปรับขึ้น 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ประเมินว่าภายใน 1-2 วันนี้ ผู้ค้าน้ำมันในประเทศคงจะต้องปรับขึ้นราคาขายปลีกทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซลอีก ซึ่งหากคิดตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปแล้ว ต้องเพิมขึ้นประมาณ 1 บาทต่อลิตร

    "ส่วนราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่ปรับขึ้นอีกถึง 10.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เชื่อว่าจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับขึ้นตาม โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันคงจะไม่ปรับขึ้นครั้งเดียว แต่จะทยอยปรับ" นายยอดพจน์กล่าว

    @ เบนซินทะลุ43บ.-ดีเซลจ่อ42บ.

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากผู้ค้าน้ำมันในประเทศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน ตามต้นทุนราคาสิงคโปร์ หรือปรับขึ้น 1 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้น้ำมันเบนซิน 95 ขึ้นมาอยู่ที่ 41.09 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 อยู่ที่ 39.99 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 36.39 บาทต่อลิตร ดีเซลอยู่ที่ 40.04 บาทต่อลิตร และหากในสัปดาห์หน้าราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ปรับลดลง และมีการปรับราคาน้ำมันสำเร็จรูป 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อาจมีการปรับราคาในประเทศ 2 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ราคาเบนซิน 95 ทะลุ 43.09 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 อยู่ที่ 41.99 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 38.39 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91อยู่ที่ 37.59 บาทต่อลิตร ดีเซลอยู่ที่ 42.04 บาทต่อลิตร

    @ คลังหวั่นมิ.ย.เงินเฟ้อมากกว่า7.6%

    นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากากระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย" ในงานสัมมนาวิการเตรียมอุดม ฟอรั่ม ครั้งที่ 3 ว่า วิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ใกล้เคียงกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2513 แต่ครั้งนี้หนักกว่าเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะยังไม่แน่ใจว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะหยุดที่ระดับราคาเท่าไหร่ และนอกจากราคาพลังงานแล้ว ทั่วโลกยังถูกกดดันด้วยวิกฤตอาหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง และนำมาสู่วิกฤตเงินเฟ้อ เห็นได้จากบางประเทศมีปัญหาเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากอย่าง เวียดนาม 25% และหลายประเทศทั้งในเอเชีย และแอฟริกา ที่ล่าสุดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสองหลักทั้งนั้น ส่วนไทยเคยคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับ 3-4% เมื่อต้นปี แต่เวลานี้ได้ปรับขึ้นเป็น 5-6% หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม ขยายตัวถึง 7.6% สูงสุดในรอบทศวรรษ และเดือนมิถุนายนคาดว่าจะเพิ่มมากกว่านี้อีก

    "สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่ารุนแรง และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในอดีตเคยมีแต่วิกฤตพลังงาน แต่ไม่รุนแรงเพราะไม่มีวิกฤตอาหารมาผสมโรง จึงเกิดคำถามว่า วิธีที่เคยแก้ปัญหาในอดีตจะยังเคยแก้ไขได้หรือไม่ และยังมีความแตกต่างในสังคมเกี่ยวกับแนวทางแก้ไข บางคนบอกว่า ให้ขึ้นดอกเบี้ย บางคนก็บอกว่า ให้ลด แต่จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วแต่คนมอง ดังนั้น คนตัดสินใจในเชิงนโยบาย จะทำอย่างไร จะดำเนินนโยบายอย่างไร เพราะคนที่ให้ความเห็นก็มีความสามารถทั้งนั้น ดังนั้น แนวทางที่รัฐจะดำเนินก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน" นพ.สุรพงษ์กล่าว

    นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า น้ำมันที่ปรับเพิ่มมาที่ 130 ดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดมาตรการต่างๆ ให้เร็วขึ้น ทั้งด้านเพิ่มรายได้ให้ประชาชนและประหยัดพลังงาน และการสนับสนุนพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก ซึ่งเชื่อมั่นว่ารับมืออยู่และประคองเศรษฐกิจไปได้ หากราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอีก 2-3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่อีก 2 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลต้องยันเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับนี้ให้ถึงสิ้นปี เพื่อรอให้โครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้น เพื่อจะได้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อได้

    @ "พูนภิรมย์"พ้อทำอี85ดีที่สุดแล้ว

    พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ค่ายรถยนต์ระบุว่า ยังมีแผนนำเข้ารถยนต์ อี 85 มาขาย และมาตรการภาษีส่งเสริมอี 85 ของรัฐบาลไม่จูงใจว่า กระทรวงพลังงานทำดีที่สุดแล้ว ที่ผ่านมาพยายามจะต่อรองให้ได้มากที่สุด แต่เนื่องจากไม่ได้ขึ้นกับการตัดสินใจของกระทรวงพลังงาน และมีเวลาในการอธิบายชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีน้อย อย่างไรก็ตาม การที่ค่ายรถยนต์ยังไม่นำเข้ารถยนต์มาขาย ไม่ถือเป็นความล้มเหลวของกระทรวงพลังงาน เพราะยังเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนกรณีที่สมาคมผู้ค้าผู้ผลิตเอทานอลเสนอให้ยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 เพื่อมาส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์ 91 แทน นั้นคงต้องค่อยเป็นค่อยไป อยากให้เป็นเรื่องกลไกตลาด เหมือนน้ำมันเบนซิน 95 ที่รัฐบาลไม่ได้ประกาศยกเลิก แต่รัฐหามาตรการจูงใจให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 แทน

    @ ขึ้นแค่1บ.สองแถวโคราชยังไม่พอ

    ที่ จ.นครราชสีมา นายณัฐวุฒิ อินกระโทก คนขับรถสองแถวโดยสาร สาย 7 วิ่งระหว่าง ต.จอหอ-ต.หนองปรือ อ.เมืองนครราชสีมา กล่าวถึงมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดนครราชสีมา ที่ให้ขึ้นค่าโดยสารทั้งรถบัสและรถสองแถวที่วิ่งในตัวเมือง และเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างอำเภอ อีก 1 บาทว่า ยังดีกว่าไม่ได้ปรับ คงต้องยอมรับตัวเลขนี้ไปก่อน และจะต้องมีการหารือกันในการยื่นขอปรับขึ้นอีก 1 บาท เพื่อความอยู่รอดเพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันยังพุ่งสูง

    ขณะที่นางประเสริฐ สาทรจันทร์ คนขับรถสองแถวสาย 8 วิ่งระหว่างหมู่บ้านโฮมแลนด์-ชุมชนทุ่งสว่าง อ.เมืองนครราชสีมา กล่าวว่า การปรับขึ้นเพียง 1 บาท ไม่คุ้มทุน ยังต้องแบกรับภาระขาดทุนอยู่ แต่ต้องทนรับราคานี้ไปก่อน ทั้งนี้ ชมรมรถสองแถวโดยสารจะยังคงเรียกร้องขอปรับค่าโดยสารขึ้นอีกต่อไป เพราะราคาน้ำมันปรับขึ้นทุกวันไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
    [/FONT]
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [FONT=Tahoma,]วันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11047[/FONT]​
    [FONT=Tahoma,]
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01fun01080651&day=2008-06-08&sectionid=0140

    เกรียงไกร สัมปัชชลิต จาก "ถาปัตย์ จุฬาฯ สู่...อธิบดีกรมศิลปากร


    พนิดา สงวนเสรีวานิช เรื่อง ภานุมาศ สงวนวงษ์ ภาพ



    <table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"><tbody><tr bgcolor="#f8b8cb"><td>[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>เข้ารับตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน ก็ต้องรับหน้าที่เป็นแม่งานร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ดูแลการก่อสร้างพระเมรุงานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

    ผ่านไปอีกราว 4 เดือน ราวกับจะถูกท้าทาย...เกิดเหตุการณ์ปราสาทหินพนมรุ้งถูกมือมืดทุบทำลายเสียหาย ไหนจะต้องหามาตรการป้องกันโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนรอยเลื่อน ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายถ้าเกิดแผ่นดินไหว นอกเหนือจากปัญหาอุทกภัยที่กำลังตามมาติดๆ

    วันนี้ อธิบดีกรมศิลปากรคนใหม่หมาด *เกรียงไกร สัมปัชชลิต* ในวัย 59 ปี เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ 7 เดือน เปิดห้องทำงาน พร้อมทั้งเปิดอกให้สัมภาษณ์อย่างหมดใจ

    "ลูกไม่มี มีแต่เมีย" ชื่อ สิริลักษณ์ นามสกุลเดียวกัน คือ "สัมปัชชลิต"

    และประเด็นอื่นๆ ไม่เว้นคำถามคาใจ อย่างพิพิธภัณฑ์ของทางราชการที่ถูกค่อนแคะว่าเหมือน "โกดังเก็บของ"

    นอกเหนือจากคำครหาเบื้องหลังที่ว่า กรมศิลปากร นั้นเป็นพวก "ล้าหลัง คลั่งชาติ"

    อธิบดีเกรียงไกร เป็นเด็ก "ถาปัตย์ จุฬาฯ แม้ไม่ได้มาจากสายหน้าพระลาน แต่รับราชการสังกัดกรมศิลปากรตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 ในตำแหน่งมัณฑนากร กองสถาปัตยกรรม ระดับ 3

    เป็นหนึ่งใน 5 นักเรียนทุนที่ *ศ.พล.ร.ต.สมภพ ภิรมย์* อดีตอธิบดีกรมศิลปากร (2515-2518) ส่งไปศึกษาวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์แบบครบเซ็ตวิชา ในสหรัฐอเมริกา เพื่อจะได้กลับมายกเครื่องเรื่องพิพิธภัณฑ์ของไทย

    "ผมไปเรียนนิวยอร์กเรื่องการจัดการแสดง กับอินทีเรีย กลับมาก็มาทำพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ที่เอกมัย ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นศูนย์บริภัณฑ์เพื่อการศึกษา แล้วมาปรับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑ์ที่แบงก์ชาติ พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์ของทหารอีกหลายแห่ง

    แล้วก็ไปเรียนสายบูรณะโบราณสถานที่ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เนื่องจากตอนนั้นมีแนวคิดกับท่านอาวุธ (เงินชูกลิ่น) ว่าจะรวมตัวสถาปนิกในสายอนุรักษ์-บูรณะ กับสายสมัยใหม่มาอยู่ด้วยกัน" อธิบดีกรมศิลปากรคนปัจจุบันเล่าถึงชีวิตช่วงหนึ่ง

    หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.2545 เป็นรองอธิบดีกรมศิลปากร แล้วยังเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นอธิบดีกรมศิลปากรในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา

    - จบสถาปัตย์ จุฬาฯ ไม่เปิดบริษัทเอง?

    ผมทำงานออกแบบด้วย แต่ไม่ได้เปิดบริษัทใหญ่โต รับออกแบบอิสระในฐานะที่มีใบประกอบอาชีพสถาปนิก

    ทำอยู่ 1 ปี ที่ เอ.อี.พี.สถาปนิก เป็นออฟฟิศของอาจารย์ผม ดร.วีระ บูรณากาญจน์ ทำงานกับท่านตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษา จบแล้วก็มาฝึกงานด้วย แล้วสอบชิงทุน ก.พ.ไปเรียนต่อที่อเมริกา กลับมาทำงานใช้ทุน สมัยนั้นใช้ทุน 2-3 เท่า ระหว่างใช้ทุนก็สอบชิงทุนไปอิตาลีต่ออีก แล้วก็กลับมาใช้ทุนอีก จึงเลยช่วงที่จะไปทำงานเอกชน

    อีกส่วนหนึ่งผมว่าไม่จริงที่คนทำงานราชการจะเป็นคนเช้าชามเย็นชาม เอกชนก็เป็นเหมือนกันถ้าไม่มีระบบควบคุมที่ดี ไม่อย่างนั้นจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ล้มบนฟูก" คือ ทุกองค์กรเหมือนกันหมด ขึ้นอยู่ที่ว่าจะต้องพัฒนาคุณภาพบุคลากรให้ดี

    - ได้ออกแบบอาคาร?

    ที่ทำกำลังจะเสร็จคือ หอเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่คลอง 5 แล้วก็มีชุด "หอสมุด" ในภูมิภาคชุดหนึ่ง ประมาณ 5-6 หลัง ตั้งแต่ภาคใต้ยันภาคเหนือ และมีชุด "พิพิธภัณฑ์"

    ตั้งแต่เป็นอธิบดีไม่ได้ทำแล้ว ออกแบบชิ้นสุดท้ายตอนเป็นปลัด คือ ออกแบบบ้านตัวเอง

    - ที่ว่าพิพิธภัณฑ์เหมือนโกดัง หมดไปหรือยัง?

    ต้องปรับอีก 16 แห่ง ปี 2552 นี้ ของบปรับปรุงไป 4 แห่ง แต่ที่ไม่เป็นโกดังแล้วก็มีที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร, ที่สุพรรณบุรีก็ใหม่เอี่ยมอ่อง

    ผมมาทำงานปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2525 ตอนนั้นยังไม่มีการนำแสงเสียงมาใช้เลย แล้วก็ยังมีพิพิธภัณฑ์รามคำแหงที่แนะนำให้ไปชม ที่จังหวัดสุรินทร์ก็กำลังจะเปิด ที่บ้านเชียงก็ทำใหม่ 3 หลัง

    แต่คิดว่ายังมีความจำเป็นจะต้องพัฒนาทางกายภาพ คือ ขบวนการถ่ายทอดความรู้ให้ประชาชน นอกเหนือจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราต้องทำเสริมเข้าไป

    มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่ผมอยากจะทำ แต่ไม่คิดว่าจะสำเร็จก่อนเกษียณ คือ พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ จะสร้างที่รังสิต คลอง 5 ในส่วนของเนื้อหาวิชาการยังตกลงกันไม่ได้ กำลังประสานกับทางศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ให้เข้ามาช่วย เพราะเขาศึกษาเรื่องนี้มามาก รวมทั้งในส่วนวัตถุจัดแสดง ซึ่งกรมศิลป์สมัยก่อนไม่ได้เก็บวัสดุทางชาติพันธุ์เป็นหลัก แต่เป็นพระพุทธรูปเป็นส่วนใหญ่

    - วางนโยบายหลักของกรมศิลป์อย่างไร?

    เราจำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ซึ่งพัฒนามาจากเดิม คือ ทำงานโดยมีฐานข้อมูลความรู้ ความถูกต้อง ต้องคิดให้เป็นระบบขึ้น คิดให้ครอบคลุม ต้องคิดถึงชาวบ้าน แล้วความเป็นทีมเวิร์กก็จะเกิดขึ้น และจะเห็นว่าส่วนที่เราจะทำเป็นเพียงส่วนหนึ่งในระบบเท่านั้น

    - ลดความเป็นศิลปินลง?

    ไม่ได้ลด แต่อยากให้เขาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาในความเป็นศิลปินของเขา แล้วมาผสมผสานกับส่วนของวิชาการ ขณะเดียวกันก็ทำควบคู่ไปกับเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมของกลุ่มคน

    ผมมีความเห็นว่าทุกคนจะต้องสังกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างสถาปนิกก็มีกลุ่ม นักโบราณคดีก็มีกลุ่ม และทุกคนไปพัฒนามาตรฐานจริยธรรมกันเอง จะทำให้แต่ละกลุ่มมีมาตรฐานจริยธรรมมาเสริม อันนี้เป็นสายทางด้านสมรรถนะ ทัศนคติ ซึ่งเรากำลังพัฒนา

    ยกตัวอย่างงานด้านดนตรี เราจะประเมินว่าดนตรีที่เล่นกันอยู่ในวงต่างๆ มาตรฐานระดับไหน ระดับท้องถิ่น ระดับนานาชาติ สามารถไปเล่นในนานาชาติได้มั้ย

    - กรมศิลป์เข้าไปการันตี?

    เราทำหน้าที่ส่งเสริม โดยจะมีสำนักงานศิลปกรรมร่วมสมัย กับสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ทำหน้าที่ส่งเสริม กรมศิลปากรโดยปกติจะดูแลในส่วนของศิลปกรรมระดับชาติ แต่อย่าลืมว่างานศิลปกรรมระดับชาติมีพื้นฐานมาจากศิลปกรรมท้องถิ่น ยกตัวอย่างเช่น งานปูนปั้นซึ่งได้รับการยอมรับในระดับชาติ ก็พัฒนามาจากช่างสายสกุลเพชรบุรี หรืองานเครื่องถมมาจากนครศรีธรรมราช

    หน้าที่ของเราคือพยายามให้เขามองเห็นความเชื่อมโยงตรงนี้ว่า เขาไม่ใช่ระดับท้องถิ่น แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของระดับชาติ ทุกคนก็จะเกิดความภูมิใจ แต่สิ่งที่เราจะทำให้เป็นรูปธรรมคือ กำหนดคุณภาพมาตรฐาน เหมือนการกำหนดมาตรฐานเบอร์ 5 ให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า ในงานศิลปวัฒนธรรมก็น่าจะมีเหมือนกัน

    เรากำลังจะทำคุณภาพมาตรฐานในเรื่องของการให้บริการก่อน ซึ่งคนคาดหวังว่าห้องสมุด พิพิธภัณฑ์น่าจะให้บริการได้ดีขึ้น

    - ต้องรื้อใหม่หมด

    ผมต้องมากำหนดก่อนว่าจะมีอะไรบ้าง แต่ไม่ได้เปลี่ยนแบบปุ๊บปั๊บเพราะเดี๋ยวคนจะรับไม่ได้ จะเลือกหน่วยที่มีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้เพื่อมาเป็นต้นแบบก่อน ซึ่งเป็นแผนที่จะทำใน 3-4 ปีข้างหน้า โดยจะทำกับพิพิธภัณฑ์ 16 แห่งก่อน

    - ทำส่วนพัฒนาบุคลากรด้วย

    พัฒนาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ การจัดแสดง บุคลากร บริการให้ข้อมูล รวมทั้งสานงานต่อจากที่ท่านอารักษ์ (สังหิตกุล) เคยทำอยู่ คือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนาสำนักหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งกำลังทำอยู่ ปรับปรุงโรงละครแห่งชาติใหม่ และหอจดหมายเหตุ ที่คลอง 5

    นี่ก็กำลังหาที่แสดงโขนอยู่ ผมกำหนดให้ปีหนึ่งมีงานใหญ่ครั้งหนึ่ง เป็นการแสดงของดุริยางค์สากลประจำปี ทั้งงานที่อะเรนจ์มาใหม่ หรือฝึกมาทั้งปี คู่กับงานวิชาการประจำปี อยากให้พัฒนาไปถึงขั้นจัดขึ้นเป็นประจำในระดับนานาชาติ

    ปีนี้แม้จะยังไม่ได้จัดถึงขนาดนั้น แต่ก็เชิญในกลุ่มอาเซียน รวมทั้งออสเตรเลียมาแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เพื่อยกระดับความสามารถและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานในเชิงวิชาการ

    สุดท้ายที่อยากทำ คือเรื่องข้อมูลองค์ความรู้ จะจัดทำให้เป็นระบบสำหรับฝ่ายปฏิบัติงานและผู้บริหาร และส่วนบุคคลภายนอก จะพัฒนาเช่นกัน ไม่ว่าจะผ่านทางหอสมุด หรือเว็บไซต์ไอที แต่ในเบื้องต้นวางรูปแบบไว้ก่อน เหมือนกับพนมรุ้งที่ตอนแรกพยายามให้ประชาชนเห็นว่า (มีคุณค่าอย่างไรจึง) น่าเก็บไว้ แล้วต่อไปจึงมาถึงว่าถ้าจะเก็บจะทำอย่างไร

    - พนมรุ้งยังคงจะเสนอชื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลก?

    ก็ยังเป็นไปตามแผน เพราะจริงๆ แล้วทุกโบราณสถานไม่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัว สิ่งที่เราทำคือ 1.ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าโบราณสถานนี้มีคุณค่าจริงหรือเปล่า ถ้าจริง สิ่งที่เหลืออยู่จะทำอย่างไรเพื่อให้มันดีขึ้น จะอนุรักษ์ทั้งหมด หรือจำเป็นต้องสร้างขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น

    ยกตัวอย่าง ทับหลัง ถ้าจะอนุรักษ์ เอาวางบนพื้นก็ได้เพื่อเป็นการอนุรักษ์ แต่เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ เราจำเป็นต้องสร้างเสาขึ้นมาเพื่อรับชิ้นส่วนนี้จะได้เห็นว่ามันอยู่ตรงนี้ ขณะเดียวกันจะเห็นว่าทับหลังขาดส่วน สมมุติว่าเป็นส่วนของพระพุทธเจ้า เราก็ปั้นรูปมาเสริม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปั้นทุกส่วน

    พนมรุ้งก็เหมือนกัน ก็มีทั้งนาคราชของจริงและจำลอง ตอนพบเราอาจจะเจอแค่ 2 ตัวอยู่ชั้นล่าง ถ้าเราไม่จำลองนาคราชที่ชั้นอื่นด้วย คนก็จะนึกว่ามีนาคราชอยู่แค่ชั้นล่าง

    - เรื่องงานพระศพ กรมศิลป์ดูแลส่วนไหน

    หลักๆ มีคณะกรรมการจัดสร้างพระเมรุ และสิ่งประกอบ บูรณะราชรถ ราชยาน และคณะกรรมการจัดทำจดหมายเหตุและสิ่งของที่ระลึก อันนี้เป็น 2 ส่วนหลักๆ ตอนนี้ก้าวหน้าไปเยอะ

    ส่วนราชรถ ราชยาน ขณะนี้ทางกรมสรรพาวุธจัดการเกือบเสร็จแล้ว ยกเว้นส่วนล้อของพระมหาพิชัยราชรถ เนื่องจากเขาตั้งนั่งร้านทำความสะอาดอยู่ ส่วนชิ้นสุดท้าย ราชรถน้อยซึ่งเสียหายค่อนข้างเยอะ ต้องสั่งชิ้นส่วนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นล้อ หรือเพลา จะช้าเพราะต้องรอประมาณ 1 เดือนครึ่ง หรือ 2 เดือน เพื่อให้ไม้ที่อบแห้งสนิท รวมทั้งรอส่วนที่ไปสั่งระบบใหม่ ทั้งเบรก ระบบยกป้องกันการส่าย เพื่อให้ควบคุมการทำงานให้สะดวกขึ้น ต้องเปลี่ยนเหล็กใหม่ สั่งเข้ามาแล้วรอประกอบ ทางช่างสิบหมู่ก็แกะพวกลวดลายใหม่

    - ที่ว่ากรมศิลป์ล้าหลัง คลั่งชาติ

    ก็แปลว่า "อนุรักษ์" ซึ่งกรมศิลปากรมีหน้าที่หลัก 99% คือ อนุรักษ์ก่อน ขณะนี้เรากำลังจะทำ 2 อย่าง

    สิ่งที่ทำให้เกิดคำว่า "ล้าหลัง คลั่งชาติ" ถ้าให้วิเคราะห์ เป็นเพราะเราอนุรักษ์ลูกเดียว ไม่ได้เอามาประยุกต์ให้กับคนปัจจุบันรับรู้หรือยอมรับได้ ทำให้เขามองไม่เห็นประโยชน์ที่จะเกิดกับเขา ฉะนั้น เราก็ต้องทำให้เกิดประโยชน์กับเขาได้ อีกประเด็นคือ ถ้าเขารับรู้แล้วและเอาไปต่อยอด นั่นแหละเป็นความหวังที่อยากให้เขาทำ

    - ต่อจากนี้จะไม่ล้าหลัง

    เราก็ยังคงอนุรักษ์อยู่ ถ้าพูดในภาษาคุณคือ กรมศิลป์ยังคงล้าหลัง คลั่งชาติอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเราจะปรับให้เห็นว่า สิ่งที่ล้าหลัง คลั่งชาติมีความสำคัญอย่างไรในตอนนี้

    และจะเป็นฐานให้กับเด็กที่จะเกิดต่อไปในอนาคต
    [/FONT]
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่มีการบันทึกไว้เช่นกัน

    หรืออย่างองค์พระโมคคัลลานะ ที่คุณเพชร ทำบุษบกเพื่อเป็นสถานที่ประดิษฐาน
    การขึ้นทะเบียน ก็ส่วนขึ้นทะเบียน การบูรณะส่วนการบูรณะ
    แต่กรมศิลปากร ก็ปฎิเสธไม่ให้บูรณะ

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคล็ดลับการใช้บัตรเครดิตแบบสุดคุ้ม

    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=58418&NewsType=2&Template=1

    <table style="width: 480px;"><tbody><tr><td valign="top">
    </td> <td valign="top"> ใครที่ต้องใช้บัตรเครดิตอยู่เป็นประจำแล้วกลัวว่าไม่คุ้ม วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเคล็ดลับการใช้บัตรเครดิตแบบสุดคุ้มมาฝากกัน...
    1. จ่ายหมด ไม่มียอดค้างชำระ แค่นี้บัตรเครดิตก็ไม่มีทางได้กินดอกเบี้ยแล้ว (อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต ร้อยละ 18 ต่อปี)

    2. อย่าติด Late Charge ถ้าจ่ายทั้งหมดไม่ได้ ก็จ่ายเท่ายอดขั้นต่ำ แต่จ่ายตามกำหนด ถ้าจ่ายช้ากว่าวันนัดชำระ จะเสียค่าปรับที่แพงขึ้นอีก 100-200 บาท หรือเลือกใช้บัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงินของไทย เพราะเดี๋ยวนี้จะไม่มีค่าปรับหากชำระช้าอีกแล้ว

    3. อย่าเบิกเงินสดด้วยบัตรเครดิต ประเภทวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด เพราะจะเสียค่าธรรมเนียมแพงประมาณ 3% ของเงินสดที่เบิกออกมา รวมเงินต้น และดอกเบี้ยแล้ว จ่ายหนักแน่

    4. ไม่ซื้อของกับร้านที่คิดค่าบริการเพิ่มเมื่อใช้บัตรเครดิต บางร้านชาร์จเพิ่ม 2-5% แนะนำว่าไปซื้อร้านอื่นดีกว่า

    หรือทางร้านค้าจะไม่มีสิทธิ์มาชาร์จเพิ่มอีกแล้ว

    รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองให้มาใช้บัตรเครดิตให้คุ้มกันดีกว่า.

    </td></tr></tbody></table>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ค่าบาทอ่อนยวบแตะ 33.12 จับตาฝรั่งทิ้งหุ้นโยกเงินออก <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">7 มิถุนายน 2551 07:44 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ค่าบาทหลุด 33 แตะ 33.12 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนสุดรอบ 5 เดือน ระบุจากผู้นำเข้าแห่ทำฟอร์เวิร์ดมากขึ้น และต่างชาติยังขายหุ้นโยกเงินออก คาดแนวโน้มยังอ่อนต่อ จับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศ หวั่นต่างชาติไม่มั่นใจขายหุ้นอีกระลอก ด้าน"ประสาร"ย้ำแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นหลังกนง.ส่งสัญญาณขึ้นอาร์พี

    นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้บริหารสายธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงค่อนข้างมาในช่วงสัปดาห์นี้นั้น ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ดังจะเห็นได้จากปริมาณการทำประกันความเสี่ยงล่วงหน้าของลูกค้าซึ่งผู้นำเข้ามีกำหนดจะต้องส่งมอบเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงนี้ ทำให้มีความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมถึงกรณีที่นักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา และได้นำเงินทุนออกนอกประเทศไป ก็เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐและทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง

    ทั้งนี้ คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ค่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องโดยน่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 32.75-33.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังถือว่าไม่ผันผวนมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค

    นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า เงินบาทวานนี้ยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากวันก่อน จากระดับเปิดตลาดที่ 32.92-32.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นอ่อนค่าลงระดับสูงสุดของวันที่ 33.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบ 5 เดือน และปิดตลาดที่ระดับ 33.10-33.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณการทำธุรกรรมของผู้นำเข้าที่มีเข้ามาก ขณะที่ผู้ส่งออกยังคงเก็บเงินดอลลาร์สหรัฐไว้เนื่องจากมองว่าแนวโน้มเงินบาทยังคงอ่อนค่าอีก ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังคงมีการขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ยังมีเงินไหลออกอยู่ โดยกรอบการเคลื่อนไหวในสัปดาห์หน้าอยู่ที่ระดับ 33.00-33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

    นอกจากนี้ ยังต้องดูที่ปัจจัยภายในประเทศประกอบด้วย โดยหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่นิ่ง นักลงทุนต่างชาติยังไม่มีความมั่นใจก็คงจะมีการขายหุ้นออกมา ก็จะทำให้เงินบาทยิ่งอ่อนค่าลงตามอีก

    **คาดกนง.ขึ้นอาร์พีสกัดเงินเฟ้อ**

    ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น มาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และผู้นำเข้ามีการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดยังไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเริ่มเกินดุลในระดับที่น้อยลง

    สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้นั้น ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมองว่าหากมีการปรับขึ้นเพียง 0.25% ก็จะไม่ส่งผลกระทบให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม เนื่องจากปัจจัยที่จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น จะต้องพิจารณาจากสภาพคล่อง เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ รวมถึงนโยบายของทางการประกอบกัน

    นอกจากนี้ มองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมาจะยังไม่ส่งผลกระทบกับลูกค้า เนื่องจากลูกค้าสามารถปรับตัวได้โดยการขึ้นราคาสินค้า เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปีนี้เชื่อว่าธนาคารจะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ไว้ที่ 4% ได้ แม้ว่าต้นเดือนมิ.ย.จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากไปแล้ว แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการปรับขึ้นทั้ง 2 ขา จึงไม่น่ากระทบส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย

    นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า ในส่วนของเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศออกมาที่ระดับ 7.6% นั้นถือว่าสูงกว่าตลาดคาดไว้

    ทั้งนี้ จากแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ดังกล่าว จึงต้องจับตาดูการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ครั้งต่อไปในวันที่ 16 ก.ค.นี้ว่าจะพิจารณาไปในทิศทางใด แต่หากดูจากสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันคาดว่ากนง.น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% เพื่อเป็นการดูแลเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกว่าที่ตลาดคาดการณ์

    **ลีสซิ่งคาดปรับดบ.ตามก.ค.นี้

    นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้จะเห็นธุรกิจลีสซิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น โดยคาดว่าน่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 2-3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ไปแล้ว ซึ่งธุรกิจลีสซึ่งได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยส่งผลให้ต้นทุนของธุรกิจลีสซิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงคาดว่าผู้ประกอบการลีสซิ่งจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลังของปีนี้ มองว่าคุณภาพสินเชื่อของลูกค้าจะต่ำลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากลูกค้าได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรเข้มงวดในการคัดเลือกลูกค้า โดยเฉพาะในรายที่มีเงินดาวน์ต่ำกว่า 15-20%

    สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา แม้ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมายอดการขายรถยนต์ในประเทศจะเติบโตเพียงหลักเดียว เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคเลื่อนการบริโภคสินค้าคงทนออกไป แต่ยังเชื่อว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% เนื่องจากในปีนี้ความต้องการรถยนต์ของผู้บริโภคยังไม่ถึงกับหดตัว เนื่องจากผู้บริโภคส่วนหนึ่งหันมาเลือกรถยนต์ประหยัดพลังงาน เช่น รถยนต์ขนาดเล็กและรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะมีส่วนช่วยพยุงยอดสินเชื่อเช่าซื้อในปีนี้ให้เติบโตได้
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หนุ่มไทยพิชิต เอเวอเรสต์ งาน 60 ปี ครองราชย์บันดาลใจ


    http://hilight.kapook.com/view/24922

    [​IMG]

    หนุ่มไทยพิชิต "เอเวอเรสต์" เผยแรงบันดาลใจไต่เหยียบเมฆจากงานเทิดพระเกียรติ 60 ปี ครองราชย์ ภาคธุรกิจไทยเมินสุดท้ายได้เวียดนามสนับสนุน แฉภารกิจสุดหินซ้อมปีนเขาอยู่หลายประเทศก่อนพิชิตยอดเขาดัง

    คงมีไม่บ่อยครั้งที่คนไทยจะมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ ปีนเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาสูงที่สุดในโลก ซึ่งสูง 8,848 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ด้วยความเพียรพยายาม และความศรัทธาอันแรงกล้า ทำให้นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช อายุ 39 ปี ชาว กทม. สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้สำเร็จ
    และสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้เป็นผลสำเร็จ

    นายวิทิตนันท์ ประกอบอาชีพครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ และกำลังจะผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งด้วยสายงานดังกล่าวแทบจะไม่มีโอกาสให้ชายหนุ่มผู้นี้ไปเกี่ยวข้อง
    กับเรื่องราวของการเสี่ยงตายอย่างการปีนยอดเขามรณะเอเวอเรสต์ ที่แต่ละปีมีคนจากทั่วโลกเอาชีวิตไปทิ้งบนยอดเขาแห่งนี้จำนวนมากได้

    แต่ด้วยนายวิทิตนันท์ เป็นคนที่ชื่นชอบการผจญภัย ชอบการดำน้ำ ชอบขับเครื่องบินเล็ก และชอบการเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้หนุ่มใหญ่ผู้นี้มีโอกาสพบกับนายดูล สวี เชาว์ นักปีนเขาที่เป็นคนแรกของประเทศสิงคโปร์ที่ขึ้นไปเหยียบยอดเขาเอเวอเรสต์ ขณะร่วมทริปไปดำน้ำในประเทศพม่า เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา

    ในการพบกับนายดูล สวี เชาว์ ครั้งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายให้นายวิทิตนันท์ มีความคิดที่จะเป็นคนไทยคนแรกที่นำธงชาติไทยไปปักลงบนยอดเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาสูงที่สุดของโลก

    "ดูล สวี เชาว์ เขาพูดกับผมว่าอยากให้มีคนไทยปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ สำเร็จอย่างเช่นคนสิงคโปร์ทำ ผมบอกกับเขาไปในวินาทีนั้นเลยว่า คนไทยทำอะไรได้ทุกอย่างและผมนี่แหละจะเป็นคนไทยคนแรกที่ไปเหยียบยอดเขาลูกนั้น" นายวิทิตนันท์เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ต้องไปปีนเขาเอเวอเรสต์

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายวิทิตนันท์ขวนขวายที่จะเดินทางไปปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้สำเร็จ โดยเริ่มแรกไปทดลองปีนเขาชินาบูลู ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 4,095 เมตร


    นายวิทิตนันท์กล่าวอีกว่า ต้องการให้คนทั่วโลกรู้จักคนไทยในมุมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากมวยไทย หรือต้มยำกุ้ง และต้องการแสดงให้คนชาติไหนๆ ได้เห็นว่าคนไทยก็สามารถทำอะไรได้เหมือนคนชาติอื่นทำได้ และตั้งใจว่าในชีวิตนี้จะต้องไปยืนบนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ได้

    แต่การปีนเขาสูงที่สุดในโลกของนายวิทิตนันท์ มีอุปสรรคสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า 2 ล้านบาท จึงต้องหาทางแก้โดยการประกาศหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะติดขัดเรื่องเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยระหว่างคนในกลุ่ม

    นายวิทิตนันท์บอกว่า ในช่วงแรกรู้สึกท้อเพราะอุปสรรคมีมาก กระทั่งเมื่อปี 2549 เกิดแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ คือเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยกว่า 60 ล้านคนมาอย่างยาวนาน ตนซึ่งเป็นคนไทยควรทำอะไรเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน

    ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2549 นายวิทิตนันท์ตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศเนปาล เพื่อไปทดลองปีนเขาเอเวอเรสต์ พร้อมทั้งถ่ายภาพตัวเองขณะปีนเขาเพื่อนำกลับมาทำเป็นชิ้นงานเสนอขอสปอนเซอร์จากภาคธุรกิจ ในการเดินทางครั้งนั้นนายวิทิตนันท์ปีนเขาเอเวอเรสต์ได้ในระดับความสูงเพียง 5 ,000 กว่าเมตร เนื่องจากขาดอุปกรณ์การปีนเขาที่มีประสิทธิภาพเพราะราคาสูง

    "หลังจากกลับมาถึงประเทศไทยผมใช้เวลาหาสปอนเซอร์อยู่นานเกือบ 2 ปี แต่ก็ไม่มีใครให้ โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะทำได้ กระทั่งพบกับคุณนิรัตติศัย กัลย์จาฤก ผู้บริหารบริษัทกันตนา ซึ่งให้ความสนใจกับแผนการของผม ต่อมาคุณนิรัตติศัย และผู้บริหารกันตนาก็ได้พยายามหาสปอนเซอร์ให้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจในประเทศไทยแม้แต่รายเดียว โชคดีที่คุณจารึก กัลย์จาฤก รู้จักกับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามซึ่งสนใจที่จะสนับสนุน" นายวิทิตนันท์กล่าว

    นายวิทิตนันท์กล่าวว่า การให้การสนับสนุนของบริษัทธุรกิจจากเวียดนามมาในรูปของการร่วมกัน
    ผลิตรายการโทรทัศน์ในลักษณะเรียลิตี้ไปเผยแพร่ในประเทศเวียดนาม
    โดยเปิดรับอาสาสมัครชาวเวียดนามมาร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยมีตนเป็นหัวหน้าทีม

    การคัดสรรชาวเวียดนามนั้น ในระยะแรกมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการถึง 3,000 คน ก่อนที่จะคัดเหลือเพียง 4 คน ซึ่งระหว่างการคัดตัวนั้นมีการถ่ายทำเผยแพร่เป็นรายการเรียลิตี้โชว์ออกอากาศทางโทรทัศน์ในเวียดนาม ในวันจันทร์ถึงวันเสาร์วันละ 5 นาที และในวันอาทิตย์ 30 นาที

    นายวิทิตนันท์บอกด้วยว่า ระหว่างการคัดตัวนั้นมีการฝึกร่างกายให้มีความแข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมในการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยไปปีนเขา ฟางสิปัง ในเวียดนามที่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร และปีนยอดเขาชินาบาลู ในประเทศมาเลเซีย สูง 4,095 เมตร เพื่อสร้างความเคยชินและเรียนรู้วิธีการปีนเขา และปิดท้ายการฝึกซ้อมโดยการปีนเขาไอซ์แลนด์ฟิกส์ ซึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งสูง 6,189 เมตร ในประเทศเนปาล เพื่อให้นักปีนเขาเคยชินกับสภาพอากาศและภูมิประเทศของภูเขาลูกนี้ที่มีความใกล้เคียงกับยอดเขาเอเวอเรสต์

    การเตรียมร่างกายของนักปีนเขาชุดนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวนานกว่า 8 เดือน ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจสุดท้ายคือการปีนยอดเขาสูงที่สุดในโลก

    นายวิทิตนันท์เล่าว่า เขาเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเนปาล ในวันที่ 8 เมษายน 2551 เพื่อปฏิบัติภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และเดินทางกลับสู่มาตุภูมิในวันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเต็มในช่วงดังกล่าว เขาและเพื่อนร่วมทางชาวเวียดนามต้องใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาโลก

    "ชีวิตบนนั้นลำบากมากอากาศหนาวและแห้ง มีแต่ก้อนหิน กับหิมะ อุณหภูมิกลางวัน 15 องศาเซลเซียส บ่ายเหลือ 0 องศาเซลเซียส กลางดึกอุณหภูมิติดลบ 25 องศาเซลเซียส หากคืนไหนมีหิมะตกก็เหมือนอยู่ในนรกไม่มีผิด นอกจากอากาศแล้วอาหารก็แทบกินไม่ได้มีเพียงเนื้อที่ผ่านการปรุงจากชาวแชร์ปา รสชาติไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งในแต่ละวันที่ปีนเขาจะต้องเดินทางตลอดทั้งวันจนกว่าจะถึงแคมป์ที่พัก โดยจุดที่ยากสุดคือบริเวณที่ผ่านพื้นที่ที่เรียกว่า คลุมบูไอซอล แปลเป็นไทยคือหิมะถล่ม จุดนี้ยากมากหากพลาดหมายถึงเอาชีวิตไปทิ้ง" นายวิทิตนันท์กล่าว

    ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกของไทยกล่าวด้วยว่า แต่เมื่อเดินทางบริเวณแคมป์ 4 ซึ่งมีโอกาสได้พัก 4 ชั่วโมงก่อนที่จะขึ้นไปยังจุดซามิต ปลายยอดของภูเขาเอเวอเรสต์ สิ่งแรกที่ทำคือหยิบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งใส่ไว้ในเป้บนหลังมาดู เพื่อเป็นกำลังใจ ก่อนที่จะเดินทางออกจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ที่ต้องใช้เวลาการเดินทางอีก 7 ชั่วโมง

    "7 ชั่วโมงจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ผมพะวงอย่างเดียว กลัวพระบรมฉายาลักษณ์ กับธงชาติ หล่นหาย เพราะเส้นทางลำบากมาก แต่เมื่อถึงซามิต ผมโล่งอก พระบรมฉายาลักษณ์ยังอยู่ ธงชาติยังอยู่ ผมรีบหยิบพระบรมฉายาลักษณ์ออกมาชูขึ้นเหนือหัวและให้ มร.แชรัม แชร์ปา หัวหน้าทีมแชร์ปา ถ่ายภาพให้ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถามผมว่าคนในภาพเป็นพ่อผมหรือ ผมตอบเขาว่าใช่นอกจากจะเป็นพ่อผมแล้วยังเป็นพ่อของคนไทยอีก 60 ล้านคน หลังจากนั้นผมก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี" นายวิทิตนันท์กล่าว



    ข้อมูลจาก
    [​IMG]
    ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิวัฒนาการของบัตรประชาชน
    http://forum.sanook.com/forum/?topic=2376961

    ผู้เขียน oni2008

    วิวัฒนาการของบัตรประชาชน

    เราไม่ทันแบบแรกมีใครทันบ้าง

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    อันนี้แบบปัจจุบัน (สมาร์ทการ์ด)

    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.gif
      1.gif
      ขนาดไฟล์:
      45.1 KB
      เปิดดู:
      1,146
    • 2.gif
      2.gif
      ขนาดไฟล์:
      41.5 KB
      เปิดดู:
      584
    • 3.gif
      3.gif
      ขนาดไฟล์:
      35.4 KB
      เปิดดู:
      600
    • 4.gif
      4.gif
      ขนาดไฟล์:
      40.8 KB
      เปิดดู:
      608
    • 5.gif
      5.gif
      ขนาดไฟล์:
      26.6 KB
      เปิดดู:
      1,672
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ต้องขออภัยท่านเพชรมากๆเลยครับที่ไม่สามารถมอบองค์ที่7ให้ได้(มีมือสำคัญที่มองไม่เห็นขอไปครับ) แต่ผมรับปากว่าจะพยายามตามหามาให้เพื่อนๆพี่น้องๆได้จนครบครับ ดั้งนั้นเงื่อนไขผมเลยต้องกลับกัน ผมขอร่วมทำบุญถวายพระบูชาปางอุ้มบาตรด้วยจำนวน 500บาทครับโอนแล้วจะแจ้งครับ
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2008
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา16.28น.ผมได้ฝากเงินจำนวน500บาทเข้าบัญชี
    คุณอภิวัฒน์ ชัฎอนันต์ เพื่อสร้างบุษบกประดิษฐานพระโมคคัลลานะ
    เลขที่บัญชี 074-2-14149-7

    เพื่อร่วมทำบุญถวายพระบูชาปางอุ้มบาตรครับ
    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
    nongnooo...
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เพิ่งกลับจากการเดินทางตามรอยพระแม่จามเทวี trip เชียงใหม่-ลำพูนมาถึงที่พักได้ครู่หนึ่ง เอาไว้จะมาเล่าให้ฟังนะครับ คิดว่าจะตั้งกระทู้ในหมวดท่องเที่ยวครับ เป็น trip ที่สุดยอดจริงๆ วัดสี่มุมเมืองครั้งหริภุญไชย(ชัย) และวัดจามเทวีก็ได้ไปเยือนกราบสักการะมาทั้งหมดแล้ว
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอบคุณคุณน้องนู๋ครับ ยังไงก็ได้ครับสบายๆ ที่ว่าเงื่อนไขกลับกันนี่ไม่ทราบเป็นยังไงหรือ? และขอโมทนาบุญร่วมกันถวายพระพุทธเจ้าปางอุ้มบาตรเหนือบุษบกประดิษฐานพระโมคคัลลานะด้วยนะครับ
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ครั้งแรกตั้งใจจะตั้งเงื่อนไขว่าจะร่วมทำบุญจำนวนหนึ่งที่จะถวายพระบูชาและร่วมให้ทุนกับเว็ปพลังจิต แต่เมื่อมอบให้ไม่ได้ ผมก็เลยต้องส่งเงินทำทั้งสองแห่งเองไงครับ แต่อย่างว่าครับสบายๆข้อมูลที่ผมมีแน่นปึกพบที่ใดก็ไม่พลาดแน่นอนครับสำหรับเพื่อนๆที่เหลือ(มีไม่แน่ใจของท่านตั้งใจองค์เดียวเท่านั้นซึ่งสุดท้ายก็ได้รับที่ชัวร์ไปแล้วครับ) ผมมันใจร้อนอยากเสาะหาให้ได้กันถ้วนทั่วครับ แต่เริ่มเหนื่อยนิดๆก็ต้องตามวาระอ่ะครับ เหมือนองค์ที่วางแผนให้ท่านเพชรแล้วกำลังจะถ่ายรูปแต่ .....เห็นเข้าถึงกับขอผมก็เลยพูดไม่ออกครับแฮ่ะๆ(cry)
     

แชร์หน้านี้

Loading...