พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอรับจากพี่น้องนู๋ พี่ตั้งจิตนะค้าบบบ...
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เชน [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]

    ขอมั่งครับ ถ้าได้นะ ..............................แหะๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    งานนี้ ทั้งคุณnongnooo และคุณตั้งจิต งดเข้ากระทู้พระวังหน้า 3 เดือน จำศีล แหง๋ๆเลย
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต้องท้าวความกันไปยาวหน่อย แต่เขียนสั้นๆ

    เดิมการสร้าง สร้างขึ้นที่วังหน้า มีการเก็บไว้ในที่ต่างๆ เช่นบนเพดานโบสถ์ เพดานพระที่นั่งต่างๆ รวมทั้งในเจดีย์ต่างๆ ต่อมายุบวังหน้า ก็ได้นำพระพิมพ์ส่วนใหญ่เข้าไปเก็บในวัดพระแก้ว ก็ได้นำไปเก็บไว้ตามเพดานโบสถ์บ้าง เพดานพระที่นั่งต่างๆบ้าง ในเจดีย์บ้าง บางครั้งการเก็บในเจดีย์ก็จะบรรจุพระพิมพ์ลงในโถเบญจรงค์ขนาดต่างๆกัน ซึ่งในสมัยนั้นมีการทำเครื่องเบญจรงค์กันอย่างมาก ถึงขั้นมีการประกวดกันว่า ใครทำเครื่องเบญจรงค์ได้สวยกว่ากัน

    เนื่องจากการเก็บรักษา ในแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เนื้อของพระพิมพ์ก็จะแตกต่างกัน ถ้าเก็บไว้บนเพดานโบสถ์หรือเพดานพระที่นั่ง เนื้อพระพิมพ์ก็จะกระทบแต่ความร้อน ความเย็น และความชื้นบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าเก็บไว้ในเจดีย์ต่างๆ (และไม่ได้บรรจุลงในโถเบญจรงค์) ก็จะมีคราบกรุบ้าง และยังมีการเก็บรักษาพระพิมพ์ในกำปั่นอีก ซึ่งการกระทบความร้อน ความเย็น และความชื้น ยิ่งไม่ค่อยมีครับ

    .
     
  4. เชน

    เชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,037
     
  5. เชน

    เชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,037
    อยากจะบอกว่าทหารระดับสูงๆในจ. โคราชส่วนใหญ่เค้าจะเก้บพระวังหลวงกันเยอะมากเลยครับโดยเฉพาะพระบุทองคำ และประเภทฝังเพชรพลอย แต่พระวังหน้าแบบพี่หนุ่มไม่ค่อยจะเห้นเค้ามีกันเลย...........ที่เจอและเคยพูดคุยกันก็พระบุทองกับฝังเพชรพลอยและ หลังมุก จปร ซะเยอะ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบเนื้อพระของคุณพี่หนุ่มมากกว่านะครับ เลยคิดว่า ถ้ามีกำลังปัจจัยพอสะสมได้ ก็จะรีบสะสมไว้ให้มากๆเผื่อลูกหลานในอนาคตครับ......อนุโมทนา
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เอาจนได้เลยนะท่านปา-ทานกะ ท่านเพชร โปรโมตจนได้เรื่องอ่ะครับ ผมตอบแค่ 3ไม่ครับ ไม่ทราบ ไม่เห็น และไม่รู้เรื่องใดๆอะคร๊าบ...(tm-love)
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ไม่เห็นด้วยเพราะไม่ทราบว่า อารายใดๆเมื่อไหร่ไม่รู้ ไม่ชี้อ่ะคร๊าบ...
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระวังหลวง ที่ติดเพชร(แท้) ติดพลอย(แท้) หรือพลอย(จากยุโรป) ก็มีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากช่วงปี พ.ศ.2451 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ช่วงนั้นดำรงตำแหน่ง สยามมงกุฎราชกุมาร) พระองค์ท่านเป็นแม่งาน และเป็นประธานในส่วนของฆารวาส ได้มีการเกณฑ์ช่างหลวง และช่างราษฎร์จากในกรุงเทพฯและหัวเมืองต่างๆ เข้ามาสร้างพระพิมพ์ ,พระบูชา และวัตถุมงคลต่างๆ อย่างมากมายมหาศาล

    ปัจจุบันมีของปลอมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องดูทั้งเนื้อหาทรงพิมพ์และพลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิตให้เป็น ถ้าเพียงแค่จับพลังอิทธิคุณได้ ก็มีสิทธิ์โดนของปลอมได้เช่นกัน

    .
     
  9. เชน

    เชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,037
    ล้อเล่นค้าบไม่เอาหรอก ของรักของหวงเนอะ.......ไหลไปตามพี่เพชรไปยังงั้นล่ะขอรับ..
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เชน [​IMG]
    อยากจะบอกว่าทหารระดับสูงๆในจ. โคราชส่วนใหญ่เค้าจะเก้บพระวังหลวงกันเยอะมากเลยครับโดยเฉพาะพระบุทองคำ และประเภทฝังเพชรพลอย แต่พระวังหน้าแบบพี่หนุ่มไม่ค่อยจะเห้นเค้ามีกันเลย...........ที่เจอและเคยพูดคุยกันก็พระบุทองกับฝังเพชรพลอยและ หลังมุก จปร ซะเยอะ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบเนื้อพระของคุณพี่หนุ่มมากกว่านะครับ เลยคิดว่า ถ้ามีกำลังปัจจัยพอสะสมได้ ก็จะรีบสะสมไว้ให้มากๆเผื่อลูกหลานในอนาคตครับ......อนุโมทนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อย่างที่เคยบอกไว้ในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ ว่า เดี๋ยวนี้คนที่ทำปลอม พัฒนาไปมากๆ เวลาคนเหล่านี้ทำปลอมก็นำเศษพระแท้ มาผสมเป็นมวลสาร ตรวจพลังอิทธิคุณไม่เป็นก็จบ บางครั้งนำพระปลอมไปเข้าพิธี ซึ่งผมเคยนำไปตรวจสอบพลังอิทธิคุณ ท่านผู้ที่ตรวจให้ยังบอกเลยว่า ใครเสก เสกได้อย่างไร คนเชิญนี้เก่งจริงๆ พระปลอมชุดนั้น หากตรวจพลังอิทธิคุณไม่เป็น จบเห่

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมลงไปอย่างนี้ เพื่อนๆหลายคน คงจะบ่นกับผมว่า ลงไปทำไม เดี๋ยวคนอื่น(อาจจะมีคนที่ทำพระปลอมเข้ามาดูในกระทู้นี้) รู้ ผมจะบอกว่า ผมก็บอกผ่านกระทู้นี้เช่นกันว่า ผมและเพื่อนๆ รู้ทัน และตรวจสอบได้ ไม่มีปัญหาครับ

    .
     
  12. เชน

    เชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,037
    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเพชรพลอยที่ติดอยุ่กับองค์พระเป็นของแท้หรือของปลอมครับ เพราะบางอันก็คล้ายพลาสติกสีขุ่นๆ บางอันก็เหมือนกับพลอยสมัยปัจจุบันเลย และอย่างไหนเรียกว่า เพชร อย่างไหนเรียกว่าพลอยครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เพียงแต่ต้องดูของจริง องค์จริงๆ และดูผ่านตาให้เยอะๆ

    แต่ของปลอมในเวลานี้ บางรุ่นก็ใช้พลอย(ที่น้ำไม่ดี) มาเป็นองค์ประกอบเหมือนกัน


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รวยรินกลิ่นเหมาไถ-นารีแดง / อู่วัฒนธรรม
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000068415
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">11 มิถุนายน 2551 20:03 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="300"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาชนะใส่เหล้าทองสัมฤทธิ์สมัยโจวตะวันตก</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ค.ศ.1915 ชาวจีนได้พาเหล้าเหมาไถ เหล่าเจี้ยว แล้วเหล้าเหลืองเส้าซิง อันเลื่องชื่อของประเทศ ไปร่วมจัดแสดงที่ปานามา แต่ด้วยรูปร่างภาชนะที่เรียบง่าย ไม่สะดุดตาสะดุดใจ ทำให้ไม่ค่อยได้รับการต้อนรับนัก แต่ในตอนนั้นเองก็มีชาวจีนหัวหมอแกล้งทำไหเหล้าตกแตก ทำให้กลิ่นหอมหวนของเหล้าจีนกำจายไปทั่วห้องจัดแสดงสินค้า ในที่สุดงานครั้งนี้เหล้าจีนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดเหล้ามาได้ถึง 4 เหรียญทองเลยทีเดียว

    กำเนิดเมรัยมังกร

    ในประวัติศาสตร์จีนมีเรื่องเล่าขานมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดสุราจีน บ้างว่าจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้) บ้างว่าอี๋ตี้ เป็นผู้รังสรรค์น้ำเมานี้ขึ้นมา แต่ตำนานที่เล่าลือกันอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวบ้านได้แก่เรื่อง “ตู้คังผลิตเหล้า” เล่ากันว่า ตู้คังเป็นหนุ่มเลี้ยงแพะสมัยราชวงศ์โจว (1100-771 ปีก่อนประวัติศาสตร์) วันหนึ่งระหว่างที่ต้อนแพะไปกินหญ้า เขาทำกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุโจ้กหล่นหาย หลังจากนั้นครึ่งเดือนเขาพบกระบอกใส่โจ้กลำนั้นอีก แต่โจ้กในกระบอกบัดนี้ได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเหล้ากลิ่นหอมกำจายไปเสียแล้ว

    ตู้คังรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ค้นพบเป็นอย่างยิ่ง นับจากนั้นมาเขาก็เลิกเลี้ยงแพะ หันมาเปิดโรงกลั่นเหล้าและร้านเหล้าแทน ต่อมา “ตู้คัง” ก็กลายเป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของเหล้านั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว หลักฐานของการมีอยู่ของสุรานั้นได้ปรากฏก่อนหน้าตำนานข้างต้นยาวนานนัก

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="301"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="301"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาชนะใส่เหล้าทองสัมฤทธิ์สมัยราชวงศ์ซาง</td></tr> </tbody></table></td> <td width="5">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เหล้าเป็นเครื่องดื่มที่เกิดจากการหมักผลไม้หรือธัญพืช เหล้าไม่เพียงแต่เป็นผลผลิตจากน้ำมือมนุษย์ แต่ตามธรรมชาติก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ดังเช่น หากผลไม้สุกงอมตกลงมากองรวมกัน จะเกิดกระบวนการหมักตามธรรมชาติ และเกิดเป็นเหล้าขึ้น

    ตั้งแต่ยุคสังคมกสิกรรมเป็นต้นมา มนุษย์ก็รู้จักวิธีหมักผลไม้ทำเหล้าแอลกอฮอล์ต่ำแล้ว นักโบราณคดีได้มีการขุดพบเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภาชนะใส่เหล้าและผลิตเหล้ายุควัฒนธรรมต้าเวิ่นโข่วและหลงซัน (ปลายยุคหินใหม่) จำนวนไม่น้อย เป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่าชาวจีนนั้นสามารถผลิตเหล้าแอลกอฮอล์ต่ำได้ตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนแล้ว

    กระทั่งถึงสมัยราชวงศ์ซาง (1700-1100 ปีก่อนประวัติศาสตร์) และโจว (1100-771 ปีก่อนประวัติศาสตร์) ธุรกิจผลิตเหล้ากลายเป็นธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ชาวบ้านสามารถกลั่นเหล้าดีกรีต่ำได้หลายประเภท โดย “อักษรจารบนกระดูก” (甲骨文) ของสมัยซาง ซึ่งเป็นอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนได้ปรากฏอักษร “酒” (จิ่ว-เหล้า) แล้ว นอกจากนี้ยังค้นพบภาชนะใส่เหล้าทองสัมฤทธิ์มากมาย สะท้อนสภาพสังคมในสมัยนั้น

    ชาวจีนสมัยราชวงศ์ซางนิยมดื่มเหล้า โดยเฉพาะนักปกครองในยุคหลังๆ ดื่มเหล้าถึงขั้นบ้าระห่ำเลยทีเดียว พวกเขาดื่มเหล้ากันตลอด ไม่สนใจบ้านเมือง คนยุคหลังจึงมีคำพูดว่า “ราชวงศ์ซางสิ้นเพราะสุรา”

    นอกจากภาชนะใส่สุราแล้ว ยังมีการขุดพบเครื่องกลั่นเหล้า ซึ่งนับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์จีน เมื่อเหล้าผ่านการกลั่น ส่วนที่เป็นน้ำจะค่อยๆ ลดลง ดีกรีของเหล้าจะเพิ่มสูงขึ้น เหล้าที่ผ่านกระบวนการกลั่นแล้วจะกลายเป็นเหล้าดีกรีสูงที่เรียกว่า “เหล้าขาว” กว่าจะมีเหล้าขาวนั้นก็ล่วงเลยเข้าสู่ยุคราชวงศ์ซ่งแล้ว (ค.ศ.960-1127)

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="5">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="250"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพวาดหลี่ไป๋ จิบเหล้า ชมจันทร์</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> หลากประเภทเหล้าแดนมังกร

    เหล้าเหลือง (黄酒) – เป็นเหล้าที่เก่าแก่มาก มีดีกรีต่ำ ใช้ข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ ผ่านกระบวนการย่อยสลายจนกลายเป็นน้ำตาล หมัก และคั้นน้ำ หลังจากคั้นน้ำแล้วก็ต้องเก็บไว้หลายปีจึงนำออกมาลิ้มรส สีของเหล้าเป็นสีเหลือง ดีกรีเหล้าค่อนข้างต่ำ โดยทั่วไปอยู่ที่ระดับ 10-20% เหล้าเหลืองขึ้นชื่อของจีนได้แก่ เหล้าฮวาเตียว จอหงวนแดง และเจียฟั่น ของเส้าซิง

    เหล้าขาว (白酒) – เป็นเหล้าที่ถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศจีนก็ว่าได้ มีดีกรีที่สูงทั่วไปอยู่ที่ 40% ขึ้นไป หรืออาจสูงถึง 65% เหล้าขาวมีแป้งตะกอนเป็นวัตถุดิบ ไม่มีสี เหล้าขาวขึ้นชื่อได้แก่ เหล้าเหมาไถของกุ้ยโจว เหล่าเจี้ยว ของเสฉวน เฝินจิ่วในซันตง เป็นต้น

    นอกจากเหล้าที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในประเทศจีนก็ยังมีน้ำเมาอื่นๆ อีกเช่น ไวน์ ยาดองเหล้า และเบียร์ เป็นต้น

    ทั้งนี้ ในประเทศจีน เหล้าสามารถพบได้ทุกที่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในวงการเมือง เศรษฐกิจ ศิลปะ การทหาร การแพทย์ ล้วนมีเงาของเหล้าแฝงอยู่

    นักเลงกลอนสมัยก่อนใช้เหล้าดึงอารมณ์ความรู้สึกออกมาถ่ายทอดเป็นบทกลอนที่ไพเราะเสนาะหู ในยุคสามก๊ก โจโฉชื่นชมการร่ำสุรา และเคยแต่งคำกลอนเกี่ยวกับสุราไว้ว่า “หาทางดับทุกข์ มีเพียงตู้คัง” (ตู้คังในที่นี้หมายถึง “สุรา”) แม้แต่กวีเอกสมัยถัง หลี่ไป๋ ก็ยังชื่นชมการดื่มสุรา ถึงขนาดมีคนกล่าวว่า ในบทกวีของหลี่ไป๋สามารถได้กลิ่นหอมหวนของเหล้า

    นอกจากนี้ ไม่ว่างานมงคล งานโศกเศร้า เหล้าล้วนเข้ามามีบทบาทในสังคมจีนอย่างแนบแน่น

    มีคำกล่าวว่า “พบผู้รู้ใจ พันจอกยังน้อย” เวลาที่ชาวจีนเลี้ยงอาหารนั้น เจ้าภาพมักจะรินเหล้าให้แขกเต็มจอกเต็มแก้ว เติมเต็มแล้วเต็มอีก เพื่อเป็นเชิงให้แขกดื่มมากๆ

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเหล้าจะอยู่คู่สังคมจีน รวมทั้งสังคมไทยมานานแล้วก็ตาม แต่ก็มิอาจปฏิเสธความจริงได้ว่า เหล้าเป็นเครื่องดื่มให้โทษ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ยิ่งหากดื่มจนเมามาย อาจเป็นโทษแก่ชีวิตตนเองและผู้อื่นได้ แม้แต่โกวเล้ง นักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดัง ผู้ได้สมญาว่า “ปีศาจสุรา” ยังเคยเขียนไว้ว่า “สุราไม่อาจคลี่คลายความคับแค้นของผู้ใดได้ แต่สามารถดลบันดาลให้ท่านหลอกตัวเองได้”…..ทางที่ดีเลี่ยงได้เป็นดี
    </td></tr></tbody></table>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สยองขวัญน้ำมันลิตรละ 50 บาท แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร?


    http://hilight.kapook.com/view/25132
    [​IMG]

    ในยุคที่ราคาน้ำมันขยับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง กระทั่งไปแตะที่ระดับ 139 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ใครก็ตามที่ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ รักความสะดวกสบาย ตามใจตัวเองไปเสียทุกเรื่อง เห็นทีจะนำตัวเองและครอบครัวผ่านพ้นวิกฤติอันหนักหนาสาหัสสากรรจ์นี้ไปไม่ได้ . . . และคำถามที่คนไทยทุกคนต้องหาคำตอบ โดยเฉพาะคนเมืองที่ต้องพึ่งพิง "น้ำมัน" คือถ้าหากน้ำมันทะยานขึ้นไปถึงลิตรละ 40-45-50 บาท แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร

    แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร

    วันนี้วิถีชีวิตของคนเมือง โดยเฉพาะคนระดับกลางที่ต้องพึ่งพิงเงินเดือนประจำเป็นหลักเริ่มเปลี่ยนไปแล้วตามสภาพเศรษฐกิจที่บีบรัดขึ้นทุกวันๆๆ . . . ระบบขนส่งมวลชนหรือรถไฟฟ้า ดูเหมือนจะเป็นทางออกแรกที่ "คนเมือง" จะหันไปพึ่งพิง ขณะที่รถยนต์คู่ใจที่เคยใช้เดินทางต้องจอดสนิทไว้ที่บ้าน หรือฝากไว้ที่ลานจอดรถของบีทีเอส

    นับวันลานจอดรถของสถานีบีทีเอสที่หมอชิต แทบไม่เหลือที่ว่าง แม้เพียงแต่จะเบียดกายแทรกระหว่างรถแต่ละคัน แน่นอนว่าในชั่วโมงเร่งด่วน ผู้คนย่อมพากันไปเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ถึงแม้บีทีเอสจะเสริมขบวนรถเข้ามาอีก 12 ขบวน แต่นั่นก็เป็นเพียงการบรรทาความแออัดชั่วคราวเท่านั้น เพราะในสภาพความเป็นจริงของแต่ละเช้า-เย็น เห็นๆ กันอยู่ว่าเสริมอย่างไรก็ยังไม่พอ ด้วยจำนวนผู้โดยสารที่มากถึงวันละ 5 แสนคน

    เลิกรถส่วนตัว-หันใช้บีทีเอส

    "น้องป่าน" บ้านอยู่รังสิต ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อราคาน้ำมันไม่มีทีท่าจะหยุดนิ่งหรือลดลง เธอจึงจำยอมต้องจอดรถไว้ที่บ้าน

    "ไม่อยากใช้แล้วรถยนต์ เพราะน้ำมันแพงมาก เลือกใช้บริการขนส่งมวลชนดีกว่า ประหยัดดี ถ้าวันไหนเข้าเมืองก็ใช้บริการของบีทีอสเป็นหลัก แต่บางทีในชั่วโมงเร่งด่วน รถบีทีเอสคนก็แน่นเหมือนกัน บางขบวนก็เต็มไปไม่ได้ต้องรอขบวนใหม่" น้องป่านกล่าว

    ขณะที่ "คุณแผ่น" ซึ่งมาพร้อมกับลูกสาว บอกว่า ในช่วงที่น้ำมันแพงอย่างนี้ การเลือกใช้บริการขนส่งมวลชนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องแบกรับภาระเรื่องน้ำมัน หรือถ้าจำเป็นก็ใช้รถยนต์ส่วนตัวให้น้อยสุด สำหรับครอบครัวของเธอ เลือกที่จะใช้วิธีขับรถมาจอดไว้ที่สถานีบีทีเอสหมอชิต แล้วนั่งรถไฟฟ้ามาทำงาน เพราะทำงานอยู่สีลม ส่วนลูกสาวเรียน ทุกคนก็จะมารวมตัวกันแล้วก็กลับบ้านพร้อมกัน เพื่อไปขึ้นรถที่จอดไว้ ถือว่าเป็นการประหยัดไปได้อีกส่วนหนึ่ง

    "แต่ก็ต้องมาแต่เช้านะ เพราะลานจอดรถจะมีรถมาจอดเยอะมาก บ้านพี่อยู่ดอนเมือง ก็ต้องตื่นออกจากบ้านแต่เช้ามืด มาถึงที่หมอชิตประมาณ 06.30 น. ก็หาที่จอดลำบากแล้วแต่ก็ยังพอมี จะใช้วิธีนี้ทุกวัน ช่วยประหยัดได้เยอะเหมือนกันไม่อย่างนั้นก็สู้ค่าน้ำมันไม่ไหว" คุณแผ่นกล่าว

    "น้องแชมป์" สาวออฟฟิศ บ้านย่านพุทธมณฑล แต่ดั้นด้นมาทำงานถึงสยามสแควร์ กล่าวว่า ขาเข้าเมืองติดรถพ่อมาต่อรถไฟฟ้าที่หมอชิต ไปสยามสแควร์ ขากลับนั่งรถเมล์ไปต่อรถตู้​
    "ต้องประหยัดทุกอย่างเลยค่ะพี่ สู้ราคาน้ำมันไม่ไหว จอดไว้ที่บ้านอย่างเดียวเลย แล้วเรื่องการกินนี่ จากที่หนูกินฟาสต์ฟู้ด หรือสั่งมากิน ตอนนี้ใช้วิธีเดินไปกินศูนย์อาหารใต้ตึกศูนย์หนังสือจุฬาฯ เพราะที่นั่นราคาอาหารไม่เกิน 25 บาท มีเงิน 100 บาทกินได้ 2-3 คน อิ่มท้องด้วยประหยัดไปได้เยอะมาก" น้องแชมป์กล่าว

    เดินดินกินข้าวแกง-ลำบากอยู่ดี "ปู" สาวออฟฟิศอยู่สมุทรปราการ ทุกวันนี้เลือกใช้ระบบขนส่งมวลชนแบบผสมผสาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องถือว่าลำบาก เพราะแต่ก่อนเคยอาศัยข้าวกล่องจากร้านของแม่ที่ขายข้าวแกง แต่เมื่อแก๊สขึ้น ข้าวสารแพง น้ำมันขึ้นทุกวันๆ ที่สุดแม่ของเธอก็ต้องหยุดขาย นั่นหลายถึงว่าเธอได้รับผลกระทบด้วยเพราะต้องไปหาซื้อข้าวแกงกันเอง

    "พอแม่ไม่ขายแล้ว เราอยู่กินน้อย 4 คนเอง ทำกินก็ไม่คุ้มเพราะแม่อยู่อีกบ้านหนึ่ง ปูอยู่กับสามีและลูกๆ เลยต้องหันมาใช้วิธีซื้ออาหารสำเร็จมากินแทน ถามว่าจ่ายเพิ่มขึ้นไหม ก็ต้องจ่ายค่ะ เพราะไม่มีทางเลือก แต่ก็ไปประหยัดส่วนอื่นมาชดเชยส่วนนี้ คือต้องคิดรอบคอบมากขึ้นในเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่าง"

    หยุดเสริมสวย-ตามใจปาก

    ด้าน "โรส" สาวออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือนอีกรายหนึ่งยอมรับว่า สำหรับเธอแล้วเรียกว่าเป็นการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตอย่างมากก็ว่าได้ จากที่เคยเข้าห้างสรรพสินค้าเพื่อช็อปในซูเปอร์มาร์เก็ตอาทิตย์ละครั้ง อยากซื้ออะไรก็ซื้อ บางครั้งซื้อตุนไว้ล่วงหน้าอย่างละหลายชิ้น แต่มาวันนี้เปลี่ยนมาเป็นเข้าห้างเดือนละ 1-2 ครั้ง ไม่ซื้อของเก็บไว้อีกเลย ซื้อเฉพาะที่จำเป็นอะไรขาดก็ซื้อ ถ้ามีอยู่แล้วไม่ซื้อโดยเด็ดขาด

    โรสบอกว่า สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันไม่อาจคาดเดาอะไรได้ มีแต่ของขึ้นราคาทุกวัน ในขณะที่รายได้เธอยังคงเดิม ทำให้ต้องระวังอย่างมากเรื่องการใช้เงิน เสื้อผ้าที่เคยซื้อเดือนละ 2 ตัว ตอนนี้แทบจะไม่ซื้อเพิ่มเลย ใช้วิธีมิกช์แอนด์แมทช์แทน ส่วนอาหารการกินก็ลดลง ถือเป็นการลดความอ้วนไปในตัว หรือที่เคยนั่งในที่ที่มีบรรยากาศดีๆ ก็เลิกนั่งไปในที่สุด

    "เป็นคนทำงานฟรีแลนซ์ ชอบไปนั่งที่ที่มีบรรยากาศอย่างร้านกาแฟหรูๆ ตอนนี้แทบจะเลิกเข้าไปเลย ใช้วิธีชงกาแฟดื่มเองเลย ประหยัดดี แล้วก็ต้องหาทางหางานเพิ่มด้วย ยังคิดอยู่ว่าอาจจะต้องไปเปิดท้ายขายของเหมือนคนอื่นเขาบ้าง เพราะในยุคนี้เราเอาแน่ไม่ได้ ถ้าเกิดงานที่ทำอยู่เลิกจ้างก็แย่เหมือนกัน อย่างตอนนี้ก็ประหยัดและรัดเข็มขัดแบบสุดๆ แล้ว" โรสบอก

    โทรศัพท์มือถือยอดขายหด ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ สถานบริการเสริมความงาม ธุรกิจบันเทิง ล้วนเป็นกลุ่มสินค้าและบริการลำดับต้นๆ ที่ผู้บริโภคเลือกที่จะชะลอการซื้อเอาไว้

    นายกุลดิษฐ์ สมุทรโคจร กรรมการผู้จัดการ บริษัทไวร์เลส ดีไวซ์ ซัพพลาย จำกัด (ดับบลิวดีแชด) บริษัทในเครือเอไอเอส ผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อเอ็มเอฟเอ กล่าวว่า ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อสินค้าที่มีความจำเป็นน้อยออกไป รวมถึงโทรศัพท์มือถือด้วย ส่งผลให้ยอดขายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ทั้งนี้การชะลอตัวของตลาดทำให้ตัวแทนจำหน่ายทุกรายประสบปัญหาการคงคลังสินค้า เพราะตั้งแต่ต้นปีมีการนำเข้าเครื่องมาเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด แต่เมื่อยอดขายไตรมาสแรกไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ ทุกรายจึงเร่งระบายสินค้าในคลังออกมาสู่ตลาด ทำให้ราคาต่อเครื่องลดลงอย่างรวดเร็ว

    สอดคล้องกับผลการเดินสำรวจตลาดโทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งและค้าปลีกขนาดใหญ่พบว่า กลุ่มคนที่มาเดินหาซื้อโทรศัพท์มือถือมีจำนวนลดลง โดยเฉพาะในช่วงวันธรรมดา ขณะที่วันหยุดสุดสัปดาห์แม้จะมีคนเดินหนาตามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นไปด้วย

    นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้อำนวยการบริหารสายงานการตลาดและการขาย บมจ.เจ มาร์ท กล่าวว่า ตลาดรวมช่วงไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสสอง มีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ขนาดตลาดลดลงประมาณ 10% มียอดเฉลี่ยประมาณ 6 แสนเครื่องต่อเดือน โดยกลุ่มลูกค้าที่กระทบมากสุด คือลูกค้าระดับล่าง

    สถานเสริมความงามเริ่มซบ
    ด้าน ดร.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี กล่าวว่า ภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น จากราคาสินค้าหลายอย่างในตลาดที่ปรับสูงขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาน้ำมัน คาดว่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ รวมถึงทำลังซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการเสริมความงามในปีนี้ลดลง กระทบต่อภาพรวมผู้ให้บริการธุรกิจความงามในโรงพยาบาล คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

    ในส่วนของโรงพยาบาลคาดว่า จะทำให้ผู้ที่มารับบริการด้านความงามมีจำนวนลดลงประมาณ 10% จนทำให้ภาพรวมรายได้ในปีนี้คาดว่าจะลดลงด้วยราว 5% จากที่ผ่านมายันฮีนมีรายได้จากการให้บริการความงามคิดเป็น 40% หรือยาว 500-600 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา โดย 60% ของรายได้หลักเป็นรายได้จากการให้บริการรักษาโรคทั่วไป รวมรายได้ในปีที่ผ่านมากกว่า 1.5 พันล้านบาท

    "พฤติกรรมของผู้บริโภคตอนนี้จะใช้เวลาในการพิจารณาเลือกแพ็กเกจ และราคาค่าบริการ ก่อนตัดสินใจรับบริการมากขึ้น มีการโทรเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพื่อเปรียบเทียบ มากกว่าการเข้ามาสอบถามข้อมูล แสดงถึงการไตร่ตรองในการใช้จ่ายมากขึ้น"

    ร้านค้าซีดีถูกลิขสิทธิ์เงียบเหงา อย่างไรก็ตามจากการเข้าไปสังเกตร้านขายซีดีย่านซอยอารีย์แห่งหนึ่ง พบว่าภายในร้านเงียบเหงามาก ไม่มีลูกค้าอยู่ในร้านแม้แต่คนเดียว และเมื่อสอบถามเจ้าของร้านทำให้ทราบว่าบรรยากาศแบบนี้เป็นมาระยะหนึ่งแล้ว

    "วันนี้เพิ่งมีลูกค้ารายแรกนะ ช่วงนี้ร้านเงียบๆ ก็คงต้องทำใจเพราะเป็นที่รู้กันว่าค่าครองชีพสูงน้ำมันก็แพง ของทุกอย่างแพงหมดยิ่งซีดีเพลงวีซีดีหนังที่ร้านขายเป็นของถูกสิขสิทธิ์ ราคาก็ไม่ได้ถูกเหมือนของก๊อปปี้ยิ่งต้องทำใจ เพราะไม่ใช่ของจำเป็น คนก็ยิ่งต้องประหยัดกัน"

    เจ้าของร้านยังบอกอีกว่า ก่อนหน้านี้ยังพอมีลูกค้าประจำและลูกค้าจรบ้าง ทำให้พออยู่ได้ เพราะที่ร้านพยายามขายของถูกกว่าร้านใหญ่ๆ อยู่แล้ว อย่าวีซีดี ดีวีดีหนังจีน เกาหลีเก่าๆ ของถูกลิขสิทธิ์ยังขายแค่เรื่องละ 40 บาท ขณะที่ของก๊อปปี้ก็ขายเกิน 50 บาทแล้ว ยังขายไม่ค่อยออก หรืออย่างหนังขุด เช่น ซีรีส์เกาหลี เคยขายเรื่องละ 1,000 กว่าบาท เหลือ 700 กว่าบาท ตอนนี้ยิ่งลดลงไปอีกเหลือ 600 บาทเท่านั้น เพราะเข้าใจดีว่าลูกค้าที่ชื่นชอบหนังพวกนี้ยังมีจะได้พอมีกำลังซื้อได้

    ขณะที่ "หน่อย" ผู้บริโภครายหนึ่งที่ชื่นชอบซื้อวีซีดีและดีวีดีมาก และเป็นลูกค้าประจำย่านคลองถม ซึ่งมีทั้งร้านขายของถูกลิขสิทธิ์และก๊อปปี้ เล่าว่า ก่อนหน้านี้พอมีเงินเหลือก็จะมาเดินเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อหาซื้อหนังอย่างน้อยได้ติดมือกลับบ้าน 1 เรื่อง เฉลี่ยเดือนหนึ่งจะมีหนังใหม่ประมาณ 5 เรื่องใช้เงิน 1,000-2,000 บาท หรือบางเดือนก็หยุดซื้อไปเลย

    สถานการณ์เศรษฐกิจทรุด ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุดทางรอดของประชาชนคนไทยในวันนี้คือ "ช่วยเหลือตัวเอง" ให้มากที่สุด และนี่คือคำตอบว่า เราจะอยู่กันได้อย่างไร ในเมื่อราคาน้ำมันปรับแพงขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน

    ข้อมูลจาก
    [​IMG]
    หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2551
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตอนที่กลับบ้าน ได้โทร.ไปหาศิษย์น้อง ถามไถ่สารทุกข์สุขต่างๆ ศิษย์น้องบอกว่า ตอนนี้สบายดี ก็เลยถามว่า เป็นยังไงบ้างสำหรับพระที่ให้ไป

    คำตอบที่ไ้ด้รับ บอกว่า ดีเยี่ยม เมื่อก่อนนี้เจ้านายคอยที่จะแขวะๆนิดๆ ไปไหนมาไหน ต้องเหนื่อย แต่ตอนนี้ห้อยเดี่ยว เจ้านายเอ็นดูมากขึ้น เวลาไปไหนมาไหน ติดต่องานอะไร มักจะได้คนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด

    ของจริงย่อมพิสูจน์ได้ ใช่หรือเปล่าครับคุณnongnooo ,คุณเพชร

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    ขอรับจากพี่น้องนู๋ พี่ตั้งจิตนะค้าบบบ...


    คุณตั้งจิต ไม่ยอมมาเลย ปล่อยคุณnongnooo อยู่คนเดียว
    (evil)
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [FONT=Tahoma,]เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่วิชามาร (อีกครั้ง)
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01act01110651&day=2008-06-11&sectionid=0130
    คอลัมน์ ดุลภาพ ดุลยพินิจ
    [/FONT][FONT=Tahoma,]
    วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11050

    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,] โดย ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ สถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์



    ต้องขอขอบคุณอาจารย์มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด ที่เขียนบทความ "เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่วิชามาร" ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2551 ผู้เขียนมีความรู้สึกเหมือนกับอาจารย์มิ่งสรรพ์มาตลอดว่า มีคนจำนวนมากเข้าใจวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างผิดๆ แล้วก็มาโทษนักเศรษฐศาสตร์ว่า เป็นบ่อเกิดหรือรากเหง้าปัญหาของสังคมและเศรษฐกิจ ความรู้สึกที่เป็นเสียงส่วนน้อย หรือเป็นคนภายนอกนี้ เป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนพบเวลาเราต้องไปอยู่ในท่ามกลางนักวิชาการสาขาอื่นๆ รวมทั้งนักปฏิบัติการทางสังคม เช่น NGOs นักธุรกิจ หรือชาวบ้านทั่วๆ ไป เป็นต้น

    สาเหตุหนึ่งที่คนทั่วไปมองเศรษฐศาสตร์เป็นวิชามาร มีสาเหตุมาจากโลกทรรศน์ของนักเศรษฐศาสตร์เอง คนจำนวนมากไม่เห็นด้วยและรับไม่ได้กับการที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้สมมติฐานว่า มนุษย์ทุกคนเห็นแก่ตัว คนจำนวนมากถึงกับเชื่อว่า ด้วยข้อสมมุติที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้นี้ โดยเฉลี่ยคนที่เรียนมาทางเศรษฐศาสตร์จะกลายเป็นคนที่มีนิสัยให้ความสำคัญกับประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งสูงกว่าผู้อื่น


    หรือการที่เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ผลที่ได้จากการค้า การแลกเปลี่ยน มีอคติที่จะส่งเสริมการค้าเสรีโดยมีสมมติฐานที่ว่า การค้าทำให้คู่ค้าดีขึ้น เพราะเวลาคนสองคนหรือประเทศค้าขายกัน นักเศรษฐศาสตร์ถือว่า นี่เป็นพฤติกรรมที่ทำโดยสมัครใจ ไม่มีใครไปบังคับใคร การแลกเปลี่ยนหรือการค้านี้ย่อมให้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือมีสวัสดิการที่ดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง ความเป็นชาตินิยมมีอยู่เสมอในหมู่คนมากบ้างน้อยบ้าง การค้าและการลงทุนที่เป็นไปอย่างเสรี อาจจะให้ประโยชน์แก่ผู้บริโภค แต่ผู้ผลิตถูกกระทบ ผู้ถูกกระทบมักจะไม่ได้รับการเยียวยาอย่างพอเพียง กลไกตลาดเสรีหรือปรัชญาเสรีนิยมถูกมองว่าสร้างปัญหาให้แก่สังคม เป็นต้น

    แม้ความเข้าใจผิดในการมองเศรษฐศาสตร์เป็นวิชามารนั้น จะมาจากหลายๆ สาเหตุ ซึ่งอาจารย์มิ่งสรรพ์ก็ได้ให้ความกระจ่างไปบ้างแล้ว ผู้เขียนใคร่ขอเสริมเพิ่มเติมว่า แก่นที่มาของปัญหาโดยเฉพาะในบริบทของบ้านเรา ก็คือลักษณะของพัฒนาการของระบบทุนนิยมไทย ซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบผสมของไทยนั้น รัฐบาลและตลาดต่างก็มีความสำคัญ แต่ตลาดเป็นหัวใจและพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของระบบทุนนิยม ทุนนิยมมีปัญหาก็จะโทษการทำงานของตลาด แล้วก็โยนความผิดมาให้นักเศรษฐศาสตร์


    ทุนนิยมที่จะยั่งยืนได้นั้น ต้องเป็นระบบที่สังคมมีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ตลาดการผลิตสินค้าบริการไม่ได้สร้างผลข้างเคียงที่ตามมา ที่มีผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างกว้างขวาง เช่น ตลาดสินค้าสาธารณะจำนวนมาก เช่น การศึกษา การสาธารณสุข สาธารณูปโภคบางอย่าง ตลาดที่มีการแข่งขันสูงในการผลิตสินค้าเอกชนย่อมเป็นเงื่อนไขจำเป็นในการสร้างสังคมที่มีประสิทธิภาพ การแข่งขันในการเข้าออกในธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างเสรีย่อมเป็นหัวใจของระบบ ในระยะยาวบทบาทของตลาดที่เกิดจากการแข่งขัน ความสามารถในการทำกำไร และความมั่นคงในระบบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล ได้มีส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษยชาติมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน คนจนโดยเปรียบเทียบในโลกทุกวันนี้ มีมาตรฐานสุขอนามัย เข้าถึงน้ำที่สะอาดกว่า มีโอกาสรอดตายจากโรคดีกว่าคนรวยหรือแม้แต่พระราชาเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่คนทั่วไปมักจะละเลยไม่เห็นความสำคัญของมัน

    แต่การที่มนุษย์มีขีดความสามารถที่สูงขึ้น เห็นได้จากนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่ไม่หยุดยั้งนั้น มีสาเหตุมาจากการแข่งขันในระบบทุนนิยมและระบบตลาด และการแข่งขันนี้ก็มักจะนำมาซึ่งการทำลายพร้อมๆ กัน แต่เป็นการทำลายอย่างสร้างสรรค์ หรือที่นักเศรษฐศาสตร์ Joseph Schumpeter เรียกว่าเป็น Creative Destruction เศรษฐกิจจึงมีส่วนที่ถูกทำลายและมีส่วนที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่อยู่เสมอ ประวัติศาสตร์ทุนนิยมเต็มไปด้วยปรากฏการณ์ตัวอย่างในผลของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี


    ทุนนิยมและระบบตลาดมีสิ่งที่ขัดแย้งกัน หรือเป็น Paradox ในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือในระยะสั้นอยู่เสมอคือขณะที่ระบบตลาดนำมาซึ่งความสุขของมนุษยชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ของปัจเจกบุคคล นักคิดจำนวนมาก ยกเว้น Karl Marx มองว่านี่เป็นปัญหาชั่วคราวระยะสั้น แต่ความทุกข์ของปัจเจกนี้ทำให้คนรับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดไม่ได้ หรือมีความรู้สึกทั้งรักทั้งชัง Schumpeter อธิบายระบบทุนนิยมว่าเป็นกระบวนการของการทำลายอย่างสร้างสรรค์ โดยการปฏิวัติตลอดเวลาจากภายใน ขณะที่มีการทำลายองค์ประกอบเก่าๆ และสร้างองค์ประกอบใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

    ที่น่าสนใจก็คือ ในระยะยาวการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีไม่ได้ก่อให้เกิดกองทัพคนว่างงานเหมือนที่ Marx ทำนายไว้ ในความเป็นจริง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสร้างโอกาสใหม่ในระบบเศรษฐกิจเสมอ ดูง่ายๆ จากอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ก็ได้ เมื่อ PC เข้ามาแทนที่คอมพิวเตอร์เมนเฟรม เป็นต้น คนงานผลิตได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง และได้ค่าจ้างสูงขึ้น ปรากฏการณ์นี้คนทั่วไปมักไม่ได้เห็นประโยชน์จากการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจตลาด


    เศรษฐศาสตร์ตระหนักดีว่า มนุษย์ก็คำนึงถึงผู้อื่นและยินดีทำอะไรหรือต่อสู้เพื่อส่วนรวม (ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครส่งเงินมาช่วยและมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรที่สะพานมัฆวานฯ) แต่ดูเหมือนว่าการที่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปในบริบทที่มนุษย์ทุกคนคำนึงถึงประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง หรือมีความเห็นแก่ตัว แทนที่จะได้รับคำชมว่าเป็นการมองโลกตามที่เป็นจริง และทำให้เศรษฐศาสตร์มีพลังในการอธิบายได้ทุกปรากฏการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

    แต่คนทั่วไปกลับไปตีความผลของสมมติฐานความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นี้ต่างไปจากส่วนที่เป็นคุณจากมือที่มองไม่เห็นของการแข่งขันที่วิเคราะห์โดย Adam Smith คนทั่วไปกลับไปมองว่า ความสัมพันธ์แบบตลาด (Market Relationship) เป็นรากเหง้าของการไม่มีศีลธรรมและจริยธรรมของการเอารัดเอาเปรียบ ความโลภไม่มีที่สิ้นสุด มุ่งแต่ประสิทธิภาพความเจริญเติบโต ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการปักใจในความเชื่อว่าไม่มีตลาดใดที่มีการแข่งขันอย่างแท้จริง มีแต่การผูกขาด และเป็นที่มาของความไม่เท่าเทียมกันในรายได้ และโยนปัญหาทั้งหมดให้เป็นความผิดในโลกทรรศน์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่เน้นประสิทธิภาพของระบบตลาด โดยมีพื้นฐานมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์


    การที่เศรษฐศาสตร์มุ่งอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ โดยสมมุติว่ามนุษย์ทุกคนเห็นแก่ตัว ย่อมหมายความว่า โดยทั่วไปมนุษย์สามารถจะฉวยโอกาสทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตนให้มากที่สุดแล้วแต่โอกาสและสิ่งแวดล้อมอำนวย เช่น โกง เบี้ยวสัญญา เบี้ยวงาน รายงานข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง สินค้าของตนเองหรือบริษัทของตนที่ผิดไปจากความจริง เช่น ในการทำประกันในการขายรถ การกู้ยืมเงิน หรือทำไมคุณทักษิณถึงมีการซุกหุ้นภาค 1 หรืออาจจะมีภาค 2 เศรษฐศาสตร์ไม่ได้สอนให้คนไปทำชั่ว แต่ก็จะวางกลไกการทำงานของความสัมพันธ์ของตลาดว่า ตลาดที่ดีมีประสิทธิภาพ สินค้ามีการซื้อขายกันโดยราคาที่สะท้อนคุณภาพสินค้า ควรมีคุณสมบัติอย่างไร ถ้าอีกฝ่ายมีข้อมูลดี อีกฝ่ายไม่มีข้อมูล อะไรจะเกิดขึ้น ปัจจัยที่จะทำให้ใครเบี้ยวหรือไม่เบี้ยวใครเป็นอย่างไร เป็นต้น เพราะฉะนั้น เศรษฐศาสตร์พยายามอธิบายโลกตามความเป็นจริง

    ในความเป็นจริง ระบบเศรษฐกิจที่ความสัมพันธ์ที่เป็นแบบตลาดมีการพัฒนาไปในระดับหนึ่ง จะมีกลไกทางสถาบันที่มีประสิทธิภาพมารองรับ กฎหมายมีความชัดเจน แน่นอน โปร่งใส การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผลและต้นทุนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบังคับสัญญา การคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ทุกฝ่ายหรือคู่กรณีมีธรรมาภิบาลหรือบรรษัทภิบาลที่ดี การที่มนุษย์คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นผู้ที่ฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่น ขาดศีลธรรม การคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน หรือการทำธุรกิจแบบความสัมพันธ์แบบตลาด ย่อมต้องคำนึงถึงผลกระทบจากการกระทำของเราที่มีต่อผู้อื่น อันจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นคุณสมบัติของประเทศที่ระบบทุนนิยมมีวุฒิภาวะ


    แต่ผู้เขียนก็เห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์ยังให้ความสำคัญและมีคำอธิบายองค์ความรู้น้อยไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโครงสร้างเศรษฐกิจหรือตลาดสินค้า ตลาดทุนกับการพัฒนาประชาธิปไตย เพราะที่แน่ๆ ก็คือ ในระบบเศรษฐกิจ ตลาดสินค้าที่ไม่มีการแข่งขันจะทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งย่อมมีผลต่อลักษณะและพัฒนาการของประชาธิปไตย ตลาดสินค้าที่มีการแข่งขัน เป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตย

    ถ้าทุกตลาดสินค้าเปิดและมีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง เป็นบันไดไปสู่ความมั่งคั่ง
    [/FONT]
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณเพชรครับ

    ผมได้กลิ่นหมากชัดเจนมาก เดินไปบริเวณที่ตั้งองค์ท่าน ก็ได้กลิ่นหมาก ผมลองเดินเข้าไปดมที่องค์พระ ปรากฎว่า กลิ่นยิ่งมีมาก ตอนนี้ก็ได้กลิ่นอยู่ตลอดเวลาครับ

    มาเล่าให้ฟังครับ


    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/forumdisplay.php?f=15
    390 (47 สมาชิก & 343 บุคคลทั่วไป)

    sithiphong, 16, ภราดรสันติ, โมฆบุรุษ, มรณาติ, ยอดธง, amnartk73, Anupap9, มิ่งเมือง, area, atha, โดเรมอนมหาลาภ, b_bom1104, ditsapong, donjudo077, dragonn, สายครูบา, ศิษย์ต่างแดน, gasnaka, อัสดงส์, อาคันตุกะนิรนาม, janny.29, javapor, jimmyuro, kaicp+, kato_king, kussalajitto, maxsranger, noraphat, od2499, roy04, Shinray01, sunny_sky, tuaang, zmico, ฤาษี, _AHINGSAKA, กระพี้, กาละมังบุญ, ฅนเมืองพริบพรี, ชวภณ+, ซักวันจะคิดออก, ซีเคร็ต, นายเทิด, นครานี, พระชยภัทร, พระธรรมกาโม




    <table class="tborder" id="threadslist" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody id="threadbits_forum_15"><tr><td style="cursor: default;" class="alt1" id="td_threadtitle_22445" title="พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ถ้าต้องการที่จะได้......................<O:p</O:p <O:p</O:p พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสกไว้ (มีการจัดสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ,รัชกาลที่ 5) ถ้าท่านใดต้องการที่จะได้เพื่อไว้บูชา ผมพอมีจะแบ่งปันให้ได้ ...">พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... (25 คน กำลังดูอยู่)([​IMG] 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)
    [​IMG]sithiphong
    </td> <td class="alt2" title="จำนวนตอบ: 17,393, จำนวนอ่าน: 401,508">
    วันนี้ 11:17 PM
    โดย sithiphong [​IMG]
    </td> <td class="alt1" align="center">17,393</td> <td class="alt2" align="center">401,508</td></tr></tbody></table>
    ********************************************

    http://palungjit.org/showthread.php?p=1273217#post1273217
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead"> ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 23 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 20 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, kaicp+, ชวภณ+</td></tr></tbody></table>

    เฉพาะคนที่เป็นสมาชิก ได้อ่านกระทู้นี้แล้ว ในช่วงเวลา 180 วัน จำนวณ 138 คน (Set) 16, :::เพชร:::, ภราดรสันติ, มหาโอ๊ต, โอ ท่าซุง, ยอดดอยอินทนนท์, alovesab2002, ananhesawadi, anun9894, รัตน, ราตรีกาล, ARAYAN, aries2947, atha, autojet, a_sitt, เกสรช์, เชน, เพพัง, Beer1469, chaipat, Chanayotha, channarong_wo, Chatchaic, chirakit, chodchoi, combattgirl, conans, dasa_jr, Dekwatnai, drmetta, หม่อง, eakbordin, ศิษย์ต่างแดน, fuse4418, gasnaka, guawn, hamanokun, hawnoi, hongsanart, infinityboon, อาหยั่น, อดุลย์ เมธีกุล, Jacko, jirautes, kaicp, kajit, KANGEA, kato_king, korakots14, ksriuta, kussalajitto, kwok, k_kom, lap.decha, littlelucky, marcbangkok, mark-99, MEA, MissP, momo1729, montri_tee, moowasin, nanabird, narin96, newcomer, nongnooo, Noppadontt, NuiAngle, odie, offerrer, ong224, onimaru_u, peesut, Phanuphong, Phocharoen, Pichet-m, pisit22, pms_uten, pongtera24p, pu002, pucca2101, pusem, RainyWindy, ringside, roy04, seata, sek_toto, sithiphong, soc191, Sunny, suralai, tawatd, teerins, thaiput, THANAKIM, vena, vijit_j, Vilaiwanna, vongsaroj, wichitt, wood6208, ลูกวัดท่าซุง, ลูกลพ.เขาสาริกา, ฤาษีน้อย, กุ้งมังกอน, คอสโม, คนวังหน้า, คนลึกลับ, จรัสกุล, จิตสะอาด, ชวภณ, ชาตรี ช้างน้อย, ด้วยคน, ตรีนิสิงเห, ต้นแก้ว, ตั้งจิต, ตามธรรม, ทิกเกอร์_ทิกเกอร์, นายคัง, บัวไข, ปิยะนารถ, พรสว่าง_2008, พหล, พี เสาวภา, พิมพาภรณ์, พิช, พุทธันดร


    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 23 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 20 คน ) sithiphong, kaicp+, ชวภณ+

    ********************************************

    ยังไม่นอนหรือไม่ไปดูบอลกันหรือครับ เข้ามาอ่านในกระทู้ 23 ท่าน
    ถ้าดูบอล อย่าไปเล่นพนันบอลนะครับ หมดตัวได้ครับ


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...