เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณบทความดีๆที่ทำลิงค์มาให้นะครับคุณ mead (good)
    ผมคิดว่าศาสตร์ที่ว่าด้วยฮวงจุ้ย ในความคิดผม คือ การทำตนให้กลมกลืนกับธรรมชาติ อาศัยอิงแอบซึ่งกันและกันครับ

    ผู้อยู่อาศัยเป็นประเด็นสำคัญที่สุดครับ อยู่ที่บุคลิกภาพของคนที่อยู่เป็นสำคัญครับ แต่เรามักจะเอากรอบความคิด ความเชื่อ มาปน และกำหนดให้เราเป็นไปตามนั้นด้วยตัวของเราเองครับ

    มีตัวอย่างเกี่ยวกับ แปลนบ้านของผม ผมชอบอะไรที่โล่งๆ ง่ายๆ หากดูฮวงจุ้ยตามตำรา ก็ต้องบอกว่า ผมขุดบ่อเลี้ยงปลาผิดทิศผิดทาง ต้องวางด้านซ้ายของบ้าน ไม่ใช่ด้านขวา แต่ผมคิดว่า ผมต้องการความเย็นจากน้ำ ที่มาลดความแรงของแสงอาทิตย์ทางด้านขวา เพราะด้านขวาของบ้านจะหันทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งตอนเช้าแสงอาทิตย์จะโค้งจากทางด้านหลังบ้านเฉียง ๆ และมาร้อนที่หน้าบ้านด้านซ้ายตอนเย็น ตรงด้านนี้ก็มีการสร้างตึกเล็กๆ และปลูกต้นไม้ด้านบนบังไว้ เพราะฉะนั้นตัวบ้านจะเย็นทั้งตอนเช้า และเย็น และอาศัยช่องลมจากช่องว่าง ให้ไหลเข้ามาในตัวบ้านครับ

    เพราะผมคิดว่าหากคนในบ้านอยู่แล้วสบายใจ และเราอาศัยอิงแอบธรรมชาติ ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ ฮวงจุ้ยที่นั่นก็ต้องดีแน่นอนครับ :d
     
  2. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    (good) good vibration
     
  3. ronnie07

    ronnie07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +193
    (good)ดีใจด้วยคนครับสุดท้ายคุณจินตวดีก็เข้าใจใด้สักที่
    (tm-love)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มิถุนายน 2008
  4. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    คุณนักเขียนคะเมื่อคืนจินตวดีฝันว่าได้กลับไปโรงเรียนอีกครั้งแล้ว มันเป็นโรงเรียนของจักรวาลหลังจากที่ตั้งใจไม่อยากฝันถึงอีกแล้ว คราวนี้ครูผู้สอนให้หนังสือมา 3 เล่ม จริง ๆ เราเป็นคนเดินไปหยิบเองเสียด้วยซ้ำ พร้อมคำพูดที่ว่า "เธอต้องเรียนรู้เกี่ยวกับที่มาของพลังงานต่าง ๆ" สุขภาพร่างกายที่แย่ในตอนนี้จะสามารถแก้ไขได้พร้อมกับคำพูดที่ว่า "เธอต้องเรียนรู้ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง" จินตวดีตื่นขึ้นมาพร้อมกับคิดว่า ในจักรวาลนี้เต็มไปด้วยครูบาอาจารย์ที่พร้อมจะให้คำแนะนำ ความรัก และ ความเอ็นดูเราเสมอ ถ้าเพียงแต่เราจะกล้าเปิดใจยอมรับ และพิจารณาดูมันในมุมมองที่จะก่อให้เกิดคุณแก่เราและผู้อื่น กำลังคิดว่าเรานี่โชคดีจริง ๆ ในโลกของความฝันก็มีครูบาอาจารย์ ในโลกแห่งความเป็นจริงโลกนี้ก็ยังมีคุณนักเขียน พร้อมเพื่อนมากมายช่วยชี้แนะและเป็นกำลังใจให้อยู่สม่ำเสมอ ยังไงเราก็มั่นใจ ว่าเราจะไม่เดินหลงทางอย่างแน่นอน ยาน้องขจรวรรณกับคุณนักเขียนได้ผลแฮะ คิดดี คิดบวก คิดดี คิดบวก บทเรียนบนโลกใบนี้ใช่จะโหดร้ายเสมอไป เรามีสิทธิเลือกบทเรียนให้กับตัวเราเองตลอดเวลา จดจ่ออย่างไร ได้อย่างนั้น ไม่มีอย่างอื่นจริง


    เรามาได้เพราะรัก เราอยู่ได้เพราะรัก เรากลับได้ก็ด้วยรัก

    เด็กวิทย์คิดบวก ว่าแล้วก็ รักกันเยอะๆน่ะ ชาวห้องวิทย์
     
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ขอต้อนรับคุณน้อง sarissa สู่ห้องวิทย์ค่ะ
    [​IMG]
    สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมีจิตวิญญาณของมัน เราสื่อสารกับสัตว์โลกทั้งหลายโดยตรงจากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณ ซึ่งหมายถึงการสื่อสารหรือถ่ายทอดข้อมูลกันโดยตรงด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    1. เรื่องปลาของคุณน้อง sarissa ทำให้พี่นักเขียนระลึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณอาของพี่นักเขียน
    ท่านเป็นคนรักทั้งสัตว์และต้นไม้ ที่บ้านของคุณอามีทั้งสุนัข แมวและปลา บ่อปลาอันหนึ่งเต็มไปด้วยปลาหางนกยูงและปลาเงินปลาทองมากมาย


    คืนวันหนึ่งคุณอาเข้านอนและเคลิ้มหลับไป ท่านฝันว่าปลาในบ่อดังกล่าวนี้มากระซิบข้างหู ฟังเสียงของมันไม่เป็นภาษาพูดใดๆ แต่เมื่อได้ยินแล้วแลเห็นภาพปลาทั้งบ่อลอยอืด ตะแคงตัวและหายใจแผ่วๆ คุณอาตกใจตื่นและทำให้ต้องรีบลงไปเปิดไฟดูบ่อปลา ซึ่งท่านบอกว่าเลี้ยงปลาบ่อนี้มากว่า 25 ปี ไม่เคยมีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ปรากฏว่าเมื่อเปิดไฟดู ก็พบว่าปลาทั้งบ่อลอยตะแคง หายใจแผ่วเหมือนกับจะตายจริงๆ คุณอาพบว่ามอเตอร์ที่เดินเครื่องทำ oxygen สายหลุดไปจากตำแหน่งที่มันควรจะต่อกัน ทำให้ปลาทั้งบ่อขาด oxygen ไปหลายชั่วโมง คุณอาก็เลยจัดการต่อสาย oxygen คืนกลางดึกและช่วยชีวิตปลาไว้ได้ทั้งหมด

    ท่านบอกกับพี่นักเขียนว่า ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ท่านตระหนักว่า สัตว์เลี้ยงสามารถสื่อสารกับเจ้าของได้ทางจิตอย่างแท้จริง

    พี่นักเขียนใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ สวนหลังบ้านมีป่าละเมาะย่อมๆ และมีสัตว์ชนิดต่างๆออกมาให้เห็นเสมอๆ เช่น raccoon, ground hog, opossum, กระรอก กระต่าย นกนานาชนิด และเมื่อหลายปีก่อนหน้าที่จะมีบ้านเรือนใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายในพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังของป่าละเมาะแห่งนี้ เคยมีไก่งวงป่า และ กวาง มาเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านพี่นักเขียนด้วยค่ะ พี่นักเขียนเฝ้าดูสัตว์ที่เราเรียกมันว่า สัตว์ป่าเหล่านี้ และสงสัยว่าเราจะสามารถสื่อสารกับมันได้เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงของเราหรือไม่ และก็พบว่าการสื่อสารดังกล่าวนั้นเป็นไปเสมอๆ

    พี่นักเขียนได้เล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุก summer เกี่ยวกับการสื่อสารกับสัตว์ด้วยภาษาใจ ไว้ที่ http://www.novaanalai.com/mother_nature/raccoon.html
    สัตว์ป่าที่ว่านี้ เป็นเจ้า raccoon ค่ะ เขาน่ารักมาก เป็นลูกค้าขาประจำที่สามีของพี่นักเขียนเลี้ยง buffet ไปพร้อมๆกับนกนานาพันธุ์ในสวนหลังบ้านเสมอๆ ปีนี้เด็กๆในละแวกบ้านต่างพากันถามหาเจ้า raccoon - Garfielda อีกแล้ว และเริ่มแวะเวียนมานั่งคอยเพื่อที่จะได้เห็นมันอีก แต่ summer ปีนี้ร้อนช้า ยังมีฝนตกและลูกเห็บตกเป็นประจำ ทำให้ raccoon มาล่าช้าไปกว่าปกติ

    [​IMG]
    ไม่ว่าเด็กๆจะคอยกันจนดึกตื่นแทบทุกคืน แต่พวกเขาก็เชื่อถือในธรรมชาติ และเชื่อว่า Garfielda ของพวกเขาจะกลับมาอีก เจ้าตัวเล็กที่นอนแอ้งแม้งบนโต๊ะคือ Justin ซึ่งเมื่อปีที่แล้วยังต้องนั่งตักพี่นักเขียนอยู่เลยค่ะ เพราะกลัวหน่อยๆ กล้านิดๆ ปีนี้เป็นหนุ่มไปเสียแล้วค่ะ ทันทีที่เห็นหิ่งห้อยบินขึ้นมาจากพื้นดิน เด็กๆร้องว่า "They are Back!" ในความหมายของเขาคือ หิ่งห้อยที่หายไปตลอดฤดูหนาวอันแสนนาน และฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งผ่านไป ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกในฤดูร้อนนี้ ราวกับสัญญากันไว้

    พี่นักเขียนอาศัยอยู่ในเมือง Lawrence, Kansas ซึ่งเป็น zone ที่มีพายุ tornado บ่อยมากทุกปีในช่วงฤดู Spring ไปจนถึงต้น Summer และอีกช่วงหนึ่งคือต้น Fall ทุกครั้งที่ TV ออกข่าวเตือนภัยว่ามีพายุลูกเห็บ และ tornado เกิดขึ้นและกำลังมุ่งหน้ามาสู่ตัวเมือง เขาจะเตือนว่าจะมีลูกเห็บตก และมักจะใช้คำว่า อาจมีลูกเห็นตกขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะคาดคะเนไม่ได้ว่าใหญ่เพียงใด เพราะบ่อยครั้งก็จะตกขนาดเท่าเหรียญ penny บางครั้งก็เท่าเหรียญ quarter และบางครั้งก็อาจใหญ่ได้เท่า golf ball หรือแม้แต่ softball

    พี่นักเขียนมักจะไม่สนใจข่าว TV เท่าไรนัก เพราะเป็นการคาดการณ์ที่ไม่ได้แม่นยำเสมอไป แต่ส่ิงที่พี่นักเขียนจะจับตาดูและมั่นใจได้ว่าให้ข้อมูลที่แม่นยำไม่เคยผิดพลาดคือสัตว์ต่างๆเหล่านี้ พวกมันจะออกมากินอาหารที่สามีของพี่นักเขียนจัดไว้ให้เสมอๆทุกวันอย่างตรงเวลา เช่น เจ้านก Cardinal สีแดงจะปรากฏเวลา 6 โมงเช้าชุดหนึ่ง และตอนเที่ยงวันอีกครั้งหนึ่ง และเวลาสามทุ่มอีกรอบหนึ่ง ส่วนนกอื่นๆก็มีเวลาจำเพาะของเขา ส่วนกระรอก กับ กระต่าย จะออกมากินอาหารเช้าช่วงเจ็ดโมงเช้า และ อาหารเย็นราวๆห้าโมงเย็น เป็นต้น

    วันใดที่จะมีพายุพัดผ่าน area นี้ในตอนบ่าย สัตว์ทั้งหลายจะออกมากินอาหารเร็วกว่าปกติ และจะมาพร้อมๆกันหมดในช่วงเช้า หลังจากที่มันมากินอาหารกันจนอิ่มหนำแล้ว สวนหลังบ้านแทบจะร้าง ไม่มีสัตว์เหล่านี้ปรากฏให้เห็นอีกเลย และหลังจากที่มันหายไปหมดได้ไม่เกินสองชั่วโมง จะมีพายุรุนแรงมาก หากพายุจะเกิดตอนกลางคืน บ่ายจัดๆ พวกมันจะออกมากินอาหารกันอย่างหนาแน่นเป็นพิเศษ ตามปกติอาจเห็นนกเขามาเพียงคราวละ 3-4 ตัว แต่หากพายุจะมา พวกมันจะมากันเป็นสิบ

    บางครั้งพวกมันจะส่งเสียงร้องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และเมื่อเราออกไปฟัง มันก็จะไม่หนีและร้องต่อไป ราวกับส่งสัญญาณเตือนภัย หากได้ยินเสียงนกบางชนิด หรือกระรอกร้องด้วยเสียงจำเพาะนั้นๆ เชื่อขนมกินได้ว่า เมื่อพวกมันหายไปหมดจนเงียบสงัดได้ไม่เกิดสองชั่วโมง จะเกิดพายุแรงมาก

    2. บุคลิกภาพทั้งหลายที่ปรากฏในความฝัน คือส่วนหนึ่งของภาวะจิตของตนเอง
    เราจะต้องสำรวจความคิดของตนเอง และหาความหมายของบุคลิกภาพส่วนนั้น โดยถามตนเองว่า บุคลิกภาพซีดขาวที่ปรากฏในความฝันนั้น ทดแทนอะไรในตัวเรา? เขาอาจเป็นสัญญลักษณ์ของความกลัว หรือ ความพยายามที่จะเก็บหรือซ่อนบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งตนเองไม่ปรารถนา หรือแม้แต่ต้องการกำจัดมัน หากมีความฝันในทิศทางนี้บ่อยๆ แม้จะคนละเรื่อง แต่มีประเด็นคล้ายคลึงกัน คุณน้องควรสำรวจความคิดและความรู้สึกของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดและความรู้สึกที่ตนเองมีต่อบุคลิกภาพในความฝันนั้นๆ ในที่สุดจะพบว่ามันคืออะไร-ในตัวเรา

    คนจำนวนมากมีความเชื่อเรื่องผี เรื่องพลังอำนาจหรือจิตวิญญาณที่อยู่นอกตัวตนของเรา และมักสัมพันธ์สาระหรือประเด็นในความฝันกับสิ่งที่อยู่ภายนอก ทำให้ต้องวิ่งไปทำบุญ อุทิศส่วนกุศล หรือไปทำสิ่งอื่นๆที่เกี่ยวพันกับภายนอกโดยไม่จำเป็น โลกแห่งความฝันเป็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติที่สะท้อนให้เห็นภาวะจิตของเราเสมอ แม้ภาพของปลาในความฝันของคุณน้องก็สะท้อนให้เห็นบางส่วนของตนเอง

    แม้คุณอาของพี่นักเขียนจะเห็นปลาที่เกือบจะตาย และได้ช่วยชีวิตปลาจริงๆ แต่ความฝันของคุณอาก็สะท้อนภาวะจิตของท่านโดยตรง ความกลัวหรือความกังวลว่าแมวจะเตะสายไฟทำให้ปลั๊กต่อ motor เครีื่องทำ oxygen หลุดและทำให้ปลาตาย เหนี่ยวนำให้เหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้น แต่ความปรารถนาที่จะช่วยรักษาชีวิตของปลาเหล่านั้นไว้ ก็ทำให้คุณอาฝัน และช่วยชีวิตปลาได้สำเร็จ สรุปคือ ไม่ว่าเราจะฝันและในที่สุดได้รู้เห็นความฝัน กลายเป็นความจริง แต่ความฝันทั้งหลายก็คือภาพสะท้อนภาวะจิตของเรา ซึ่งท่านอาจารย์อนาลัยเรียกความฝันว่า แบบพิมพ์เขียวที่เรานำไปสร้างโลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น

    3. ภาษาจิตคือ ภาษาของความรู้สึก หากภาษาไทยเป็นภาษาตัวของคุณน้อง ในที่สุดแล้วคุณน้องก็ย่อมจะแปลงความรู้สึกเป็นภาษาพูดโดยอัตโนมัติ การพูดของเราตามปกติก็เป็นไปเช่นนั้นเสมอทุกเมื่อเชื่อวัน คำพูดในภาษาทุกภาษาในโลกเป็นเพียงสัญญลักษณ์ที่ทดแทนภาษาจิต หรือภาษาที่แท้จริงของความรู้สึกทั้งสิ้น

    หากการสื่ิอสารที่เกิดขึ้นภายใน เป็นการสื่อสารที่แท้จริงกับตัวตนภายใน Inner Self หรือ Higher Self ที่แท้จริง
    เราจะปราศจากความลังเลสงสัยโดยอัตโนมัติ เพราะการสื่อสารนั้นๆจะเต็มไปด้วยความหมายที่เราปฏิเสธคุณค่าของมันไม่ได้
    การคิดว่าตนเองฟุ้งซ่าน หรือการปราศจากศรัทธาในตนเองอาจทำให้เราไม่สามารถสื่อสารกับตัวตนภายใน หรือ Higher Self ของเราได้อย่างแท้จริง


    หากคุณน้องปรารถนาที่จะสื่อสารกับตัวตนภายในของตนเอง คุณน้องจะต้องเริ่มต้นด้วยการตระหนักในธรรมชาติความเป็นจริงข้อที่ว่า Higher Self อยู่กับเราและสื่อสารกับเราได้เสมอ เมื่อเราดำเนินภาวะจิตไปสู่ภาวะที่ละจากประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แล้ว และมีสติคมชัด ซึ่งพี่นักเขียนมักเรียกภาวะนี้ว่า ภาวะที่กายหลับ จิตตื่น แต่หากเราฝึกสมาธิบ่อยๆ เราจะพบว่าภาวะนี้จะอยู่ติื้นขึ้นมาอีก คือไม่ต้องถึงกับกายหลับ แต่จดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างได้อย่างคมชัดเพียงอย่างเดียว เช่น จดจ่อกับการเขียน การพิมพ์ อย่างที่พี่นักเขียนทำเวลาเขียนหนังสือชุดนี้ โดยที่พิมพ์สัมผัสไม่เป็น ก็จะสามารถรับถ่ายทอดข้อมูลเหล่านั้นมาได้ และเกิดการแปลงเป็นคำพูดในภาษาตัวได้อย่างฉับพลัน

    4. ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า
    เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง
    เธอจดจ่อกับสิ่งใด-ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น

    การจดจ่อในสิ่งที่ปรารถนา ย่อมทำให้เราได้สิ่งนั้นๆ-จริง
    แต่ถ้าหากเราจะไม่ได้งานที่เราปรารถนา ก็เพราะเรามีความเชื่อที่ขวางกั้นความเป็นไปได้นั้นๆ

    ในกรณีของคุณน้อง คุณน้องเริ่มต้นด้วยการมีความเชื่อว่า
    candidate คนหนึ่ง มีประสบการณ์สูงกว่าเรา
    candidate อีกคนหนึ่งมีบุคลิกภาพด้อยกว่า


    เราทั้งหลายมักจะทำการวินิจฉัยและตั้งข้อสังเกตให้กับบุคคล และทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้เห็น
    โดยเชื่อว่า การวินิจฉัยและข้อสังเกตเหล่านี้ คือความเป็นจริงทั้งหมด
    เรามักจะไม่ได้เผืื่อใจไว้ว่า ยังมีข้อมูลอื่นๆอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ซึ่งหากเราได้เรียนรู้เพิ่มเติม
    การวินิจฉัยและข้อสังเกตทั้งหมดของเราจะคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดไปได้ทั้งหมด

    แต่เมื่อเราทำการวินิจฉัยและตั้งข้อสังเกตขึ้นมาแล้ว เราก็มักจะมีอารมณ์จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อที่เกิดจากทำการวินิจฉัยและตั้งข้อสังเกตเหล่านั้นโดยปริยาย โดยไม่ได้ตรวจสอบว่า มันเป็นเพียงความเชื่อ หรือความเป็นจริงทั้งหมด และในทึ่สุด เราก็จดจ่อกับสาระเหล่านั้น และดึงดูดมันมาสู่ประสบการณ์ชีวิตโดยตรง

    การที่เราจะได้มี ได้เป็น ได้ทำ ในสิ่งที่ตนปรารถนา จะต้องเกิดจากการมีเจตนาที่แน่วแน่ ต่อตนเอง
    เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อถือในความสามารถของตนเอง ศรัทธาในความเป็นไปได้ของตนเอง
    ไม่ใช่เกรงกลัวในความสามารถของผู้อื่น หวั่นไหวเพราะความเป็นไปได้ที่สูงกว่าของคนอื่น
    มันทำให้เราจดจ่อกับผู้อื่น และสิ่งที่อยู่นอกตัวตนของเรา

    เราทุกคนไม่เคยต้องแข่งกับผู้อื่น หรือต้องพยายามเอาชนะผู้อื่น
    แต่เราทุกคนต้องแข่งขันกับตนเอง และพยายามเอาชนะตนเอง
    เราจะมีได้ เป็นได้ ทำได้ สมความปรารถนา เมื่อเราจดจ่อกับความสามารถของตนเอง
    ชื่นชมตนเอง ศรัทธาตนเอง และเชื่อถือในตนเองค่ะ
    (rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4821.jpg
      IMG_4821.jpg
      ขนาดไฟล์:
      241.6 KB
      เปิดดู:
      263
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความโกรธ การกำจัดความโกรธ

    วันนี้พี่นักเขียนได้รับ e-mail หลายฉบับที่ถามคำถามคล้ายคลึงกันว่า จะกำจัดความโกรธ หรือแก้นิสัยขึ้โมโหได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโกรธที่มีต่อลูก และผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขาดความรับผิดชอบ

    ความโกรธเกิดจากการที่เราไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้อื่น หรือจากสถานการณ์บางอย่างในทิศทางที่เราคาดหวัง

    เราจะโกรธก็ต่อเมื่อเราเผชิญกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และรู้สึกว่าเราไร้พลังอำนาจที่จะทำให้มันเป็นไปได้ตามที่คาดหวัง เมื่อเราเชื่อว่าพวกเขาตอบสนองไปในทิศทางตรงกันข้ามด้วยการใช้พลังอำนาจที่เราต่อต้านไม่ได้ เราย่อมจะโกรธ เพราะเรารู้สึกว่าเราควบคุมหรือทำให้เขาตอบสนองในทิศทางที่เราปรารถนาไม่ได้

    การระงับความโกรธทำได้ด้วยการตระหนักในพลังอำนาจของตนเอง ไม่ใช่การใช้พลังอำนาจของตนเอง

    ถ้าหากเราเป็นพ่อ-แม่ เป็นผู้บริหาร เป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีผู้ใต้บังคับบัญชา เราสามารถควบคุมความโกรธได้ง่ายกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเราด้วยซ้ำไป เพราะหากเราตระหนักได้ในพลังอำนาจที่เรามีด้วยตำแหน่งหน้าที่ของเรา เราจะตระหนักได้ด้วยว่า เราไม่ได้ไร้พลังอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือแม้แต่กำจัดหรือปฏิเสธการตอบสนองที่ได้รับในทิศทางที่เราไม่ปรารถนา แต่คนจำนวนมากกลับใช้ตำแหน่งหน้าที่ที่เหนือกว่า เป็นสิทธิที่จะระบายความโกรธได้โดยไม่รู้สึกผิด

    ที่พี่นักเขียนกล่าวว่าผู้มีพลังอำนาจเหนือกว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่ สามารถกำจัดความโกรธได้ง่ายกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาก็เพราะว่า เราไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่ไร้พลังอำนาจเลย ไม่ว่าเราจะเป็นพ่อ-แม่หรือเป็นผู้บริหาร ประสบการณ์และความรู้ตลอดจนความสามารถของเรา ทำให้เราต้องมาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว เราคือผู้ที่มีพลังอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ล้มเลิก เลือก ปฏิเสธหรือยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยแท้ เราจึงเป็นพ่อ-แม่ เราจึงเป็นผู้บริหาร

    หากเราตระหนักความเป็นจริงข้อนี้ได้ ไม่ว่าลูกหรือผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำผิด ไร้ความรับผิดชอบ หรือขาดคุณสมบัติใดๆที่ทำให้เขาไม่สามารถตอบสนองได้ในทิศทางที่เราคาดหวัง เราจะมีเพียงสิ่งเดียวที่จะให้เขาได้คือ ความเมตตา เพราะเราจะตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถเป็นไปตามความคาดหวังของเราได้เพราะเขาขาดความรู้ ขาดทักษะ ขาดประสบการณ์

    การขาดความรับผิดชอบ การทำผิดพลาด และความบกพร่องทั้งหลายของบุคคล ไม่ใช่คุณสมบัติที่ถาวร มันเป็นเพียงสถานการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ย่อมจะผ่านพ้นไป แต่มันจะดูเสมือนว่าเป็นคุณสมบัติที่ถาวร ก็ต่อเมื่อเรามีความเชื่อในแง่ลบว่ามันเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่นลูกที่กล่าวเท็จ หรือทำผิดในทิศทางที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง หากพ่อแม่มีความเชื่อว่า การกล่าวเท็จและการทำผิดของเขาคือคุณสมบัติของเขา ความเชื่อในแง่ลบของพ่อแม่ก็ไม่ต่างไปจากการรดน้ำพรวนดินให้กับวัชพืช มันจะงอกงามจนควบคุมไม่ได้ แต่หากพ่อแม่ตระหนักว่าการกล่าวเท็จและการทำผิดของเขาเป็นเพียงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การเข้าใจผิด และการพยายามปิดบังความผิดของเขาด้วยความกลัวและไร้พลังอำนาจ พ่อแม่ก็จะตระหนักได้ว่า พ่อแม่เพียงแต่ยกโทษให้เขา และสอนให้เขารู้ว่า เขาสามารถสื่อสารกับเราได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะได้รับโทษ การกล่าวเท็จก็จะสลายตัวไป เหมือนวัชพืชที่ปราศจากการรดน้ำ มันจะร่วงหล่นไปเองโดยปราศจากความเสียหายหรือพิษภัย

    ผู้ใต้บังคับบัญชามีสถานภาพไม่ต่างไปจากลูก เราจึงเรียกเขาว่าลูกน้อง เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับมือกับสถานการณ์ใดๆด้วยความโกรธ แต่ควรตระหนักว่า เขาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่หากเราจะบีบ-เขาก็ตาย หากเราจะคลาย-เขาก็รอด สิ่งที่เราควรจะมีให้เขาอย่างเต็มเปี่ยมคือ ความเมตตา เมื่อลูกหรือลูกน้องได้รับความเมตตาอย่างเต็มเปี่ยมจากเรา โดยธรรมชาติของคนเราแล้ว-เขาย่อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง-อย่างดีที่สุด เพื่อให้เมตตานั้นเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปอีก

    การสื่อสารทั้งหลายเป็นไปมากกว่าสองทางเสมอ และเป็นวงจรที่ส่งผลกระทบกันทั้งหมด ในระดับจิตวิญญาณ ก่อนหน้าที่ประสบการณ์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นกับชีวิต
    ความโกรธของเราไม่ได้เกิดจากการทำผิด การไม่รับผิดชอบของลูกน้อง
    หากแต่การทำผิด การไม่รับผิดชอบของลูกน้อง เกิดจากความคาดหวังของพวกเขา
    คือพวกเขาคาดหวังล่วงหน้าได้เสมอๆว่า เราหรือผู้บังคับบัญชาของเขาจะโกรธ
    ไม่น้อยไปกว่าที่เราคาดหวังได้ล่วงหน้าเสมอๆว่า พวกเขาจะไม่รับผิดชอบ

    ความกลัวและความรู้สึกไร้พลังอำนาจของพวกเขา ทำให้เขาไม่สามารถทำหน้าที่การงานได้อย่างมีสติ ยิ่งเราโกรธได้มากเท่าไร เราก็ต้องตระหนักด้วยว่า เราสามารถทำให้เขากลัวได้มาก และทำผิดได้มากเท่านั้น แต่เราจะไม่สามารถทำให้เขามีความรับผิดชอบได้มากขึ้นเลย ในทางตรงกันข้าม ความกลัวของพวกเขาจะทำให้เขาทำงานด้อยประสิทธิภาพลงไปยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าพวกเขาจะแสดงออกซึ่งความกลัวหรือไม่ก็ตาม เขาก็กลัว และเราก็จะมองเห็นความกลัวนั้นปรากฏเป็นการไม่รับผิดชอบ

    เกมส์ชีวิตทุกเกมส์ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์ในครอบครัว ในที่ทำงาน หรือสังคม
    ล้วนเป็นเกมส์ที่เราแข่งขันกับตนเอง และต้องเอาชนะตนเอง

    เราไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่นอกตัวตนของเราได้ เพราะเราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง เราจึงสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่อยู่นอกตัวตนของเรา รวมทั้งบุคคลทั้งหลายที่สัมพันธ์กับเราได้ ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อของตนเอง

    เราสามารถเริ่มต้นสร้างประสบการณ์ในทิศทางใหม่ได้ ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อว่า
    ความไม่รับผิดชอบของลูกน้อง เป็นเพียงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ และย่อมจะผ่านพ้นไป และเชื่อว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก หากเราในฐานะผู้บังคับบัญชา ให้ความรู้แก่พวกเขาในส่วนที่พวกเขายังขาดตกบกพร่องอยู่


    แต่ถ้าหากเราให้ความรู้เขาไปด้วย พร้อมกันกับที่คาดการณ์ล่่วงหน้าไปด้วยว่า
    คราวหน้าพวกเขาก็คงจะทำพลาด ให้เราโกรธอีกจนได้ ไม่ว่าเราจะสอนเขาหรือถ่ายทอดความรู้ให้มากมายเพียงใดก็ตาม หากเรามีความเชื่อเช่นนั้นเกิดขึ้น เราจะต้องกำจัดมันด้วยการทดแทนด้วยความคิดความเชื่อในแง่บวกว่า เราได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาอย่างดีที่สุดแล้ว ต่อไปเขาจะทำได้ดีกว่าเดิม และเราไว้ใจเขาได้

    หากเราเชื่อว่าเราไว้ใจเขาไม่ได้ เขาก็จะไว้ใจไม่ได้
    เราไม่ได้คาดการณ์ได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ
    ในทางตรงกันข้าม เราต่างหากที่สร้างสถานการณ์นั้นได้อย่างแม่นยำ ด้วยความเชื่อของตนเอง

    พี่นักเขียนมีลูกทั้งชายหญิง และมีลูกน้องมามากมายตลอดชีวิตการทำงาน
    ไม่ว่าลูกน้องจะพูดภาษาเดียวกับเรา หรือใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของเขา
    พี่นักเขียนก็พบว่า ภาษากลางที่ใช้ได้ผลเสมอมาคือ เมตตา

    เมตตาคือปัจจัยที่ทำให้ลูกและลูกน้องไม่เคยทำให้เราผิดหวัง
    เพราะเมื่อเขาสัมผัสกับเมตตาของเราได้อย่างแท้จริง เขาจะรักเราจนไม่กล้าทำให้เราผิดหวัง เราจะไม่เคยต้องขอร้องให้เขารับผิดชอบ แต่เขาจะรับผิดชอบโดยอัตโนมัติ เพราะความรับผิดชอบจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญของเขา ที่จะทำให้เขาสามารถบรรลุผลสำเร็จที่เขาปรารถนา(ไม่ใช่ที่เราปรารถนา) และความปรารถนาของเขาคือ การทำให้เรามีความสุข หรือพอใจ โดยที่เราไม่ต้องขอร้องเขา

    หากเรามีความปรารถนาที่จะกำจัดความโกรธของตนเอง และตระหนักดีว่า มันให้โทษแก่ตนเองและผู้อืน ความปรารถนานี้เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนความเชื่อได้อย่างง่ายดาย เพราะเราได้สร้างความเป็นไปได้ และความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้กับตนเองแล้ว กล่าวได้ว่า เราได้เริ่มต้นก้าวล่วงไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่แล้ว
    เราจึงสามารถมองเห็นความโกรธของตนเองบนเส้นทางเก่านั้นได้ - จากเส้นทางใหม่นี้

    ขั้นต่อไปก็มองไปข้างหน้า ด้วยความเชื่อที่ดีกว่าเดิม อย่านำความเชื่อบนเส้นทางเก่ามาใช้
    เพื่อทำให้เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใหม่ได้อย่างแท้จริง(rose)
     
  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Blooming!

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ความบังเอิญทั้งหลายล้วนมีความหมาย ปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า ความบังเอิญ เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นหรือเป็นไป อย่างมีเหตุผล มีความหมายเสมอ

    พี่นักเขียนขอแนะนำให้ผู้ที่มีความสงสัย ข้องใจ กับปัญหาต่างๆในชีวิต
    ทดลองค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ด้วยการทำเช่นเดียวกับคุณน้องจินตวดี
    คือทดลองตั้งจิต ตั้งคำถาม และเปิดหนังสือ หรือ เปิด eBook เล่มใด หน้าใดก็ได้โดยไม่ได้เลือก และทดสอบดูว่า จะ "บังเอิญ"ได้คำตอบที่มีความหมายเช่นคุณน้องจินต์หรือไม่


    หากเราทดลองด้วยการใช้สติสัมปชัญญะอันระแวดระวังของเรา
    ติดตามสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เราจะพบได้บ่อยๆว่า
    แว้บหนึ่งของประสบการณ์ในแต่ละวัน เราจะพบสิ่งที่เป็นเสมือนสัญญาณเตือน
    สิ่งที่เป็นเสมือนคำตอบต่อคำถามที่เราหาคำตอบไม่พบมายาวนาน
    หรือพบเห็นสิ่งที่เป็นอุปมาอุปมัยกับชีวิตของเรา และให้คำตอบแก่เราได้อย่างลุ่มลึก
    มันอาจปรากฏในธรรมชาติ ในภาพยนต์ ในหนังสือ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับเป็นความบังเอิญ แต่กลับกลายเป็นภาพสะท้อนที่ให้คำตอบ ต่อคำถามของเราได้อย่างชัดเจน

    เราทั้งหลายไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยว เป็นบุคคลตัวตนที่มีความเป็นส่วนตัวโดยไม่เกี่ยวพันกับผู้อื่น ในทางตรงกันข้าม เราดำเนินชีวิตเป็นระบบเครือข่ายที่สัมพันธ์กันหมด
    พวกเราห้องวิทย์ พบเห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้เสมอๆ เพราะเราต่างก็มีความสนใจและมีความพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านั้น


    เทคโนโลยีของระบบ Internet ที่กำลังรุดหน้าไปในวันนี้ เป็นภาวะทางกายภาพที่สะท้อนให้เรารู้เห็นถึงสัมพันธภาพอันเป็นระบบเครือข่าย ที่เป็นไปในระดับจิตวิญญาณ Internet และ เทคโนโลยีของการสื่อสารไม่ได้รุดหน้าไปด้วยความบังเอิญ หรือด้วยการคิดค้นทางโลกที่ประสพผลสำเร็จด้วยความบังเอิญ แต่เทคโนโลยีรุดหน้าไปได้ด้วยการตระหนักในการประสานกันเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณ ซึ่งในที่สุดแล้วสะท้อนออกมาเป็นภาวะทางกายภาพ หรือเป็นเทคโนโลยีได้สำเร็จ เทคโนโลยีไม่ได้ทำให้มนุษย์ใช้ความสามารถของจิตวิญญาณน้อยลง แต่เทคโนโลยีคือผลผลิตของการใช้ความสามารถของจิตวิญญาณในร่างมนุษย์

    มนุษย์โลกคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง
    ไม่ว่ามนุษย์จะลืมเลือนภาวะดั้งเดิมในการเป็นจิตวิญญาณที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากน้อยเพียงใดในภาวะอันเป็นกายภาพ แต่จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังก็ไม่เคยลืมเลือนภาวะที่แท้จริงของมัน และหาทางที่จะกลับคืนสู่ภาวะอันเป็นธรรมชาติของมันอยู่เสมอ และมันก็จะหาพบเสมอ ไม่ว่ามนุษย์จะสกัดกั้นการค้นพบของจิตวิญญาณ ด้วยความเชื่อในแง่ลบ ด้วยความไม่รู้ หรือด้วยความจำเสื่อม และการขาดสติ ในที่สุดจิตวิญญาณก็จะหาช่องทางที่จะเล็ดรอดความเชื่อในแง่ลบ ความไม่รู้ ความจำเสื่อม และการขาดสติ และกลับไปสู่ความรู้ที่แท้จริงได้เสมอ แม้ในความฝัน


    โลกมนุษย์ พร้อมด้วยจิตวิญญาณทั้งหลายที่มาถือกำเนิดในโลกทางกายภาพ ไม่ได้ดำเนินไปเพื่อจะถึงจุดสูงสุด เพื่อจะเผชิญกับภัยพิบัติและล่มสลายไปในที่สุด การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ และวิวัฒนาการทั้งหลายจะแปลงสภาวะต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด การเป็นไปทั้งหลายไม่ได้เป็นเพื่อถึงจุดจบ แต่เป็นไปเพื่อแปลงสภาวะไปสู่ภาวะใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มความเป็นไปได้ใหม่ๆต่อไป

    ผู้ที่เชื่อว่าโลกจะเกิดภัยพิบัติและสังคมมนุษย์โลกจะเผชิญกับการล่มสลาย เทคโนโลยีจะทำให้มนุษย์ทำลายตนเอง และที่สุดของเทคโนโลยีคือการล่มสลายของเทคโนโลยี และการทำให้มนุษย์ตกไปสู่ภาวะที่แทบจะช่วยตนเองไม่ได้ ย่อมดำเนินวิถีชีวิตอยู่บนความกลัว และเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ตนเองจดจ่อ มันเป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะเชื่อและคาดหวังว่า สิ่งที่จะตามมาหลังความเจริญทั้งหลาย คือ ความตกต่ำ เพราะความเชื่อและความคาดหวังดังกล่าวย่อมสร้างโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่พึงปรารถนาให้แก่ผู้สร้าง ผู้คิด หรือผู้ที่มีความเชื่อเช่นนั้น

    คุณ zip ได้ตั้งคำถามไว้หลายวันมาแล้วว่า เป็นไปได้ไหมว่า สิ่งต่างๆไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจริงๆทางกายภาพ หากแต่ว่ามันดูเสมือนว่าเปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะว่า เราเปลี่ยนความเชื่อหรือความคิดของตนเองเท่านั้น คำกล่าวของคุณ zip น่าขบคิด และเป็นคำถามที่เราทุกคนควรหาคำตอบให้พบ คุณ zip ให้การบ้านพวกเราไปฝันแล้ว ทิ้งคำถามที่ทุกคนควรตอบไว้อีกด้วย คุณครูคนนี้ นักเรียนต้องระวังนะคะ เผลอเดี๋ยวเดียว อาจมีการบ้านทบต้นที่พวกเราลืมส่งได้มากมายค่ะ

    พี่นักเขียนเชื่อว่า เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อและความคิดของตนเอง สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไปจริงๆทางกายภาพ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทางกายภาพของเราจะเปลี่ยนแปลงไปภายใต้กฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเสมอ ถ้าหากเราเปลี่ยนความเชื่อและความคิดของตนเองได้เมื่อไร แม้การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพนั้นๆจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือปรากฏอย่างเลือนรางเพียงใด เราจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนว่ามันเปลี่ยนไป

    ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อและความคิดของตนเอง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพนั้นๆเกิดขึ้นชัดเจนเพียงใด เราก็อาจจะมองไม่เห็นมันเลยด้วยซ้ำไป

    การเปลี่ยนความเชื่อของคุณน้องจินต์ เป็นการเปลี่ยนแปลงภายใน ทำให้คุณน้องจินต์มองเห็นความเปลี่ยนแปลงภายนอกได้อย่างชัดเจน ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใดก็ตาม เราทั้งหลายคงจะเคยผ่านความทุกข์ และความสุขที่เราเรียกมันว่า เหมือนตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นมาแล้วไม่มากก็น้อย การเปลี่ยนแปลงภายใน จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงภายนอกที่เลือนราง กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ได้ในชั่วพริบตา

    พี่นักเขียนได้สัญญากับคุณน้องจินต์ไว้ว่า จะนำดอกไม้ summer มาฝากอีกรอบหลังจากที่คุณน้องจินต์บอกว่าชอบดอกไม้ Spring ในสวนของพี่นักเขียน แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ร้อนจัดเท่าไรนักและดอกไม้ summer อีกหลายพันธุ์ในสวนหลังบ้านของพี่นักเขียนก็เพิ่งจะออกดอกตูมๆกันเท่านั้น แต่วันนี้คุณน้องจินต์ของพวกเรา บานเหมือนกุหลาบกลางฤดูร้อนแล้วอย่างงดงาม พี่นักเขียนเลยขอนำภาพกุหลาบต้นฤดูร้อนมา post คู่กับคุณน้องจินต์ แล้วจะตามมาด้วยดอก lily และดอก Zinnia หรือดอกบานชื่นหลากสีในเร็ววันนี้

    พี่นักเขียนขอให้พลังใจของพวกเราชาวห้องวิทย์ฯ ที่มีให้แก่กันและกัน เป็นเสมือนน้ำฝนเย็นๆ ที่พร่างพรมไม้ดอกกลางฤดูร้อน ให้เบ่งบานตลอด summer นี้ค่ะ(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4803.jpg
      IMG_4803.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.1 KB
      เปิดดู:
      23
    • IMG_4806.jpg
      IMG_4806.jpg
      ขนาดไฟล์:
      165.7 KB
      เปิดดู:
      26
    • IMG_4830.jpg
      IMG_4830.jpg
      ขนาดไฟล์:
      427.2 KB
      เปิดดู:
      30
    • IMG_4831.jpg
      IMG_4831.jpg
      ขนาดไฟล์:
      264.3 KB
      เปิดดู:
      21
    • IMG_4838.jpg
      IMG_4838.jpg
      ขนาดไฟล์:
      351.8 KB
      เปิดดู:
      25
    • IMG_4879.jpg
      IMG_4879.jpg
      ขนาดไฟล์:
      359.2 KB
      เปิดดู:
      24
    • IMG_4882.jpg
      IMG_4882.jpg
      ขนาดไฟล์:
      287.3 KB
      เปิดดู:
      34
    • IMG_4886.jpg
      IMG_4886.jpg
      ขนาดไฟล์:
      336.3 KB
      เปิดดู:
      25
    • IMG_4890.jpg
      IMG_4890.jpg
      ขนาดไฟล์:
      191.8 KB
      เปิดดู:
      20
    • IMG_4784.jpg
      IMG_4784.jpg
      ขนาดไฟล์:
      510.7 KB
      เปิดดู:
      27
    • IMG_4786.jpg
      IMG_4786.jpg
      ขนาดไฟล์:
      502.2 KB
      เปิดดู:
      227
    • IMG_4826.jpg
      IMG_4826.jpg
      ขนาดไฟล์:
      424.5 KB
      เปิดดู:
      33
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  8. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    กราบขอบคุณพีนักเขียนมากต่ะ เดี่ยวกับคำตอบ เวลาที่อ่านรู้สึกราวพี่นักเขียนได้นั่งอยู่ตรงหน้า เมื่อวานนี้พยายามจะเข้ามาหน้านี้แต่ก็เกิด Error ทุกครั้งแล้วไปหยุดที่หน้า 219 เป็นตลอดทั้งวัน เลยอ่านไย้อน 219 ลงไป อย่างที่พี่นักเขียนว่าไว้ คามบังเอิญที่ดูเหมือนบังเอิญ ริศาได้คำตอบในระหว่างบรรทัดทีอ่าน

    ริศาจบจากที่เดียวกับพี่นักเขียนค่ะ แต่อยู่ทับแก้ว ทำอาชีพ นักเขียน แต่กลับไม่ได้เขียนอะไรได้ถึงแก่นเช่นพี่นักเขียนหรอกค่ะ ( รู้สึกอายจัง) หลายวันมานี้ เขียนไม่ออกเลยค่ะ ทั้งที่พล๊อตก็วางเอาไว้แล้ว คัวละครหลักๆก็มีแล้ว อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว ฝืนเขียนก็ทำไม่ได้ ไม่รู้สึกอยากเขียน ตอนนี้เลยมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องของจิตแทน แต่ก็อยู่ในรูปแบบนิยายเช่นเดิม
    หวังว่า สนพ คงจะยอมตีพิมพ์ให้ อิอิ และสิ่งที่ทำคือ ร่างสิ่งที่พี่นักเขียนบอกเป็นการบ้านออกมา ไล่ทำย้อนหลัง บันทึกความฝัน และอื่นๆอีกมาก โดยเพาะการบ้านใหม่ครูซิป ไว้ไดอารี่ความฝันเสร็จ จะมาเล่าให้ฟังนะคะ

    อย่างไรก็ตามขอน้อมกราบน้ำใจพี่นักเขียนที่เป็นดั่งผู้ถือเทียนเดินนำหน้า และกราบขอบคุณเพื่อนนักเรียนทุกคนในห้องที่เป็นดั่งครูผู้ช่วย ให้นักเรียนใหม่หลังห้องที่เมื่อวานก็หาทางเข้าห้องไม่เจอ ได้ความรู้อย่างมากมาย คงตามรุ่นพี่ทันไม่เร็วช้านี้ละค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    มีเพื่อนๆสถาบันเดียวกันมาเพิ่มอีกแล้ว คุณริศาอยู่ทับแก้วนี่เองนะครับ
    แถมยังเป็นนักเขียนอีกด้วย เชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ความฝันและจินตนาการจากพี่นักเขียนอย่างแน่นอน และขอให้ประสบความสำเร็จตามที่ใจปรารถนาครับ (มีเขียนเรื่องอะไรออกมาบ้างแล้วครับ)

    มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นและที่เรามักคิดว่า "บังเอิญ" แต่ความบังเอิญนี่อาจไม่มีอยู่จริงๆก็ได้ เชื่อว่ามีเหตุ-มีปัจจัยอยู่เบื้องหลังทุกๆเรื่องครับ อย่างการได้มาพบเจอกันบนระบบ Internet นี้ เชื่อว่าแต่ล่ะท่านสามารถรับแรงดึงดูดได้ เหมือนถูกแม่เหล็กขนาดยักษ์ดูดเข้ามา แค่เปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ เราทุกคนก็สามารถส่งคลื่นสั่นสะเทือนด้วยความถี่พิเศษเพื่อค้นหาและพบกันได้ในที่สุดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  10. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คุยกันเรื่องงานเขียนแล้ว งานเขียนที่เขียนถึงตอนไปเที่ยวเวียดนามยังไม่เสร็จเลย [​IMG]
     
  11. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอบพระคุณพี่นักเขียนมากค่ะ...

    kindred มีเมตตาแล้ว แต่บางทีผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ เหมือนเด็กๆ พอไม่ดุ ไม่ว่า ...เค้ากลับ น้อยใจว่าไม่สนใจ...kindred เคยถามว่าตกลงจะเอาอย่างไร...เค้าบอกต้องการให้ Kindred ดุ ด่า ว่ากล่าว เค้าไม่เคยโกรธ...kindred เลยมาคิดว่า ที่พวกเค้า มักทำงานผิดพลาด เพราะเรียกร้องความสนใจรึเปล่า...เหมือนเด็กๆที่ ร้อง งอแง ให้ผู้ใหญ่อุ้มนะค่ะ

    ตอนนี้ kindred จะพยามยามเปลี่ยนความเชื่อ ว่าพวกเค้าจะทำไม่ได้...จะลองเขื่อมั่น พวกเค้าดู...และ เมตตา ให้มากกว่านี้

    ขอบพระคุณพี่นักเขียนอีกครั้งค่ะ...ที่มาย้ำเตือนสติ kindred จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากความเชื่อเก่าๆ เพื่อเรียนรู้ที่จะทำสิ่งที่ควรทำ ต่อไปค่ะ...ด้วยรัก
     
  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เอาแบบนี้ดีมั๊ยคุณซิปฯ
    พวกเราห้องวิทย์น่ามาลองทำงานเขียนร่วมกันสักเรื่องดีมั๊ยครับ
    ถึงไม่เคยทำมาก่อนแต่ก็เป็นฝันหนึ่งอยู่เหมือนกัน ดึงเอาจินตนาการออกมาใช้กันครับ
    ทำ project ดีๆเกี่ยวกับความรู้ใหม่ของจิตวิญญาณ ให้มีตัวละครเดินเรื่องที่มีบุคลิกพิเศษหลากหลาย แบบว่าคล้ายๆคุณซิปฯก็ได้ ชอบความเป็นเด็กในตัวคุณซิปฯนะ ผมว่าผู้ใหญ่หากดึงเอาความเป็นเด็กๆมาใช้สักหน่อยจะมีประโยชน์และน่ารักดีด้วยความฝันและแรงบันดาลใจในวัยเด็กครับ ลองคิดพล็อตเรื่อง location กันดู เวลาและสถานที่อาจไม่มีอยู่จริงก็ได้ ให้พี่นักเขียนเป็นที่ปรึกษาซะเลยครับ
    พอกำหนดเบื้องต้นได้ อาจทำภาพนิ่งหรือ 3 D ประกอบเสียงเพลงและบทพูด สื่อออกมาให้ดูน่าสนใจและเป็นประโยชน์ มี Idea ยังไงกันบ้างครับ? ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  13. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    หัวหน้าห้องเราไอเดียบรรเจิดจริงๆ งั้นเราลองมาวาพล้อตเรื่อง โดยมีตัวเอกสัก 4คน ต่างคนมีบุคลิกแตกต่างกัน คนหนึ่งเอาเป็นคุณมั้ด มีความเป็นผู้นำ เป็นผู้ใหญ่ คอยปรามคนอื่น แต่ใจดี ชอบช่วยเหลือ อีกคนคือคุณซิปที่มีความเป็นเด็กสูง และกล้าที่จะทำอะไรต่อมิอะไร เป็นคนที่จะพาเพื่อนตลุยผจญภัยด้วยนิสัยขี้สงสัย ขออีกสองคน คนหนึ่งมีบุคลิกเงียบขรึม ช่างคิด ไม่ค่อยพุด แต่ว่าไงว่าตามกัน ไม่ทิ้งเพื่อน หญิงสาวอีกคน เป็นคนสวย ร่าเริง มองโลกในแง่ดี และแน่นอนสิ่งที่พิเศษสไหรับเธอคือ จิตสัมผัสที่หกที่เหนือกว่าใครเพื่อน

    ทั้งหมดได้รับบัตรเชิญให้มาคัดเลือกให้เข้าเรียนในโรงเรียนอนาลัย ซึ่งรับได้เพียง 18 คนในแต่ละปีเท่านั้น แต่เด็กที่มากว่า 4000 คน ต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้น กติกาการเลือกคือ การผ่านความฝัน

    ในแต่ละตอน เพื่อนรักทั้งสี่จะพบกันในความฝัน และร่วมผจญภัยและเรียนรู้จิตวิญญาณ เช่นบางตอน พวกเขาอาจจะได้ช่วยกันปลดปล่อยปีศาจร้ายในใจของบางคนในโรงเรียน มีบ้างที่อาจจะเพลี่ยงพล้ำ แต่ทว่า ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพวกเขา และด้วยการช่วยเหลืออย่างลับๆของครูใหญ่แห่งโรงเรียนอนาลัย มิสไรเตอร์ผู้ใจดี การต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้ายกำลังจะเริ่มแล้ว....

    รับสมัครนักแสดงสมทบดีไหมคะ แล้วเราต่อบทเล่าบทพูดร่วมกัน
     
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    [​IMG]

    ถ้าได้ไปนั่งเล่นในสวนหลังบ้านพี่นักเขียนฯ ดูท่าจะคิดอะไรดีๆได้หลายเรื่อง
    ล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่สดใสมาก บรรยากาศบริเวณนั้นดูสงบเย็นร่มรื่นจริงครับ
    เหมาะในการส่งเสริมพลังความคิดและจินตนาการข้ามมิติได้ง่ายขึ้นนะครับ
    ขอเอาเปลไปผูกแถวต้นไม้ด้วยคนนึง อิอิ แบบอยู่ใกล้จุดประสานมิติที่สุดน่ะครับ
     
  15. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    อืมม์...บรรเจิดมากเลยค่ะ คุณ Sarissa นักเขียนมืออาชีพ จริงๆ แค่คุณ mead เปิดประเด็น คุณ Sarissa ก็ plot เรื่อง ออกมาได้ขนาดเนี่ย...เด๋ว ทำเสร็จ เราไปวางขาย แข่งกะ แฮรี่ พ๊อตเตอร์ เลย ดีม๊าย...อิอิ
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    แค่อ่านพล็อตเรื่องก็น่าติดตามจนอดใจไม่ได้แล้วครับ
    สมกับเป็นนักเขียนจริงๆครับ ไวมากๆ ช่วยคิดกันต่อครับ 0_o
    (||)
     
  17. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    [​IMG]
    เจ้าโปรเจคจริงๆ เลยนะคุณ Mead เขียนเล่าต่อกันไปในกระทู้เลยเหรอครับเนี่ย [​IMG] หรือจะไปหาที่สุมหัวกัน?
    (เอาจิตเด็กออกมาวิ่งเล่นหน่อยนะโพสนี้)
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เราไปสุมหัวที่หลังห้องก่อนดีมั๊ย...แล้วพวกเราไปช่วยกันเสนอ Idea
    พี่นักเขียนฯ เป็นที่ปรึกษา และ Guide Concept
    คุณศิรา เป็น Poducer (ปรับแต่งดูแลเนื้อเรื่องเหมาะมากๆ)
    คุณซิปฯ กับ คุณเซลล์ ช่วยกันเป็น Director & เรียบเรียงบทจัดตัวละคร
    Mead เป็น Conceptual Artist & story Board (ถนัด อิอิ)
    คุณ Kindred เป็น Custume Design...(เห็นชอบสะสมเครื่องประดับ)
    คุณโซล มาเป็น เรียบเรียงจัดบทพูด..หรืออะไรถนัดก็ได้ครับ
    ท่านอื่นๆ ถนัดอะไรก็มาแจมได้ครับ..

    พอออกแบบบุคลิกตัวละครได้แล้วค่อยเอามาลงกระทู้ ไปคิดมาคนละ 1 ตัวก่อน อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    มีประสบการณ์มาแชร์ค่ะ ครั้งนึงนานมาแล้วมี นาย ก. มากระทำต่อตัวเองบางอย่างด้วยวิธีการเอารัดเอาเปรียบเพื่อให้ได้มอเตอร์ไซด์ที่อยู่ในครอบครองของเราไปเป็นของตัวเอง ก็คอยตั้งสติอยู่ตลอดเวลาว่าปล่อยเค้าไปคิดซะว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของเราไม่ต้องไปโกรธเคืองอะไร แต่พอทำงานไปเพลิน ๆ จิตแว๊ปไปคิดว่าเค้าจะต้องมีอุบัติเหตุแน่ ๆ ปรากฏว่าเย็นนั้นตัวเองไปซ้อนมอเตอร์ไซด์แบบตะแคงข้างกะเพื่อนอีกคนนึง แต่เค้าขับมอเตอร์ไซด์ไม่แข็งพอก็ไม่ยอมบอกกัน ตอนจอดรถเค้าประคองรถไม่อยู่เลยหงายหลังเลย.. เจ็บจัง.. เงียบ.. พูดไม่ออกเลย.. กลับกลายเป็นว่าความคิดแค่แว๊ปเดียวของเรากลับสะท้อนมาหาตัวเองซะนี่.. อิอิ..({)({)({)
     
  20. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    ดีออกค่ะ เราทำเรื่องแนจิตที่วัยรุ่นอ่านได้ง่าย จะเป็นแนวทางให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างลึกซื้ง งั้นประเดิมเลยนะคะ

    คว้ากๆๆ
    เสียงนกตัวใหญ่ร้องดังอยู่เหนือศีรษะ มันเป็นนกตัวใหญ่สีน้ำตาลสลับชาวที่มีจงอยปากงองุ้มสีเหลืองเข้ม ตาดุคมของมันดำวาว ปีกกว้างของมันยาวเม่าๆกับความยาวของแขนผู้ชายเหยียดตรงส่วนความกว้างของมัน กว้างเกินกว่าความสูงของเดรดก้าเสียอีก ยามที่มันกระพือปีก ราวมีลมแรงๆกระแทกลงมา เดร็ดก้าตัวสั่นเทา มือสองข้างที่ล้วงเข้าไปในแจ็กเก็ตตัวโคร่งกำแน่น สายลมพัดผมสีน้ำตาลเธอปลิวละใบหน้าหวานใส เหลือบแลตาไปรอบๆอย่างตกใจ เจ้านกยักษ์ตัวนั้นบินโฉบกลับมาอีกแล้ว คราวนี้เด็กสาวตัดสินใจออกวิ่งไปข้างหน้าแรงสุดชีวิต เธอวิ่ง และวิ่ง ความรู้สึกที่นกยักษืตัวนั้นอยู่เบื้องหลัง ทำให้เดร็คก้าไม่อาจจะหยุดวิ่งได้...

    ทันใดนั้นเอง เด็กสาวแทบเซถลาเพื่อหยุดตัวเอง...เจ้านกยักษ์หน้าตาน่ากลัวอยู่ตรงหน้า ...ตาดุของมันจ้องตรงมา
    "เธอวิ่งหนีอะไร" เสียงแหลมกรีดถามในความคิดของเดร็ดก้า มันสื่อสารได้...เด็กสาวยืนอ้าปากมองมันค้าง ก่อนที่จะรีบหุบฉับ
    "ก็วิ่งออกกำลังกายน่ะสิ" เดร็คก้าตอบ เรื่องอะไรจะบอกว่ากลัว "ฉันก็...แค่วิ่งเล่น..." เด็กสาวถอยเท้าไปอีกก้าว กลัวก็กลัว แต่แม่เคยสอนเสมอ ไม่ให้เดร็คก้าแสดงความกลัวออกมา ความกลัวเป็นเพียงพลังอันหนึ่งที่สร้างจากความเชื่อของเรา แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ เดร็ดก้าก็ยังไม่อาจวางใจกับเจ้านกหน้าตาประหลาดนี้ได้

    เจ้านกยักษ์ปรายตามองเดร็ดก้าอย่างรู้ทัน มันสลัดตัวเบาๆ ขนสีน้ำตาลร่วงลงมา..ลอยมาตกลงตรงหน้าเธออย่างเหมาะเหม็ง..มันเป็นจดหมาย มีตราประทับสีน้ำตาลเข้ม เหมือนสีกาแฟเข้มๆ...

    ด้วยความอยากรู้ เดร็ดก้าพลิกจดหมายขึ้นมาดู มันจ่าหน้าถึงเธอ...เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย...

    ตรงหน้าเธอ...บัดนี้ว่างเปล่า...ไม่มีนกที่น่าจะมีน้ำหนักสัก 50-60 กก อยู่ เป็นไปได้อย่างไร...เด็กสาวเหลียวมองไปรอบๆ...ไม่มีวี่แววเจ้านกนั่นเลย...

    เดร็ดก้าก้มลงมองจดหมายในมือ เธอเปิดออกมาด้วยมืออันเย็นเฉียบ...


    (คุณ เดร็ดก้า kindred มาต่อข้อความนะคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...