เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เห็นด้วยกับพี่นักเขียนครับ

    และ...........

    ขอต้อนรับคุณ illanzer สู่ห้องวิทย์ครับ
    ขอต้อนรับคุณ Campanile สู่ห้องวิทย์ครับ
    ขอต้อนรับ คุณปลายสายน้ำ สู่ห้องวิทย์ครับ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เสียงประหลาดล่องลอยมาตามสายลมตะวันออก
    พัดเอาพลังคลื่นความคิดเข้าสู่เซลสมองของจินตดารา
    บอกเล่าถึงความหมายของ จักร์เล็กๆที่หมุนอยู่ปลายนิ้วชี้
    สิ่งนี้มีนามว่า จักร์นารายณ์
    เป็นอาวุธของทวยเทพที่พิทักษ์สวรรค์และโลกมนุษย์
    ขณะนี้สวรรค์สุขสงบ แต่โลกมนุษย์จะวุ่นวาย
    ขอให้จินตดารา จงใช้ของรางวัลชิ้นนี้ ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติเถิด

    ด้วยพลังความคิดและจิตวิญญาณ จงนึกนำจักร์นี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
    สลายพายุที่พัดโหมกระหน่ำก่อความเสียหายให้ชาวโลก
    แม้โรคภัยไข้เจ็บ ก็สามารถนึกนำจักร์นี้เข้าแก้ไข ได้เช่นเดียวกัน

    จินตดารา จงจำไว้ จักร์นี้ สามารถใช้ได้สารพัด
    จิตนึกคิดใช้อย่างไร ได้อย่างนั้น ด้วยพื้นฐานแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2008
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ห้องวิทย์ฯครับ(sing)

    เห็นด้วยเช่นกันครับพี่นักเขียนฯ ที่จะให้มี Concept ตามแนวที่ว่ามาครับ ก็รู้สึกอยู่เหมือนกันครับว่าเราแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีทางจะเหมือนกันครับ แม้ว่าพวกเราจะพยายามต่อเนื้อหากันอย่างไร ก็จะเกิดทิศทางใหม่ของประสบการณ์แต่ละคนออกไปอย่างไม่มีวันจบ (คิดในใจว่าเรื่องนี้ยาวแน่ครับ..)

    พอได้อ่านเรื่องความสำเร็จของวง The Beatles จึงเข้าใจครับ ว่าทุกคนมีหน้าที่เฉพาะต่างกัน มาเล่นด้วยกันเป็นวงจะต้องทำอย่างไรเพื่อไปสู่เป้าหมายในทิศทางที่ตั้งใจร่วมกัน...เชื่อว่าเราก็สนุกมากที่ได้อ่านเรื่องราวของแต่ละคน มีมุมมองน่าสนใจกันทุกท่านจริงๆครับ...แต่คราวนี้ขอให้พยายามเจาะลงไปที่เรื่องราวของประสบการณ์แท้จริงที่เรามาพบกันที่ห้องวิทย์ฯ ตามพี่นักเขียนบอกมากันนะครับ เชื่อว่าเราจะพบอะไรดีๆหรืออาจมองเห็นเป้าหมายของจิตวิญญาณของเราแต่ละคนได้ชัดเจนขึ้นอีกมากครับ :::: ลองกลับไปอ่านข้อความของพี่นักเขียนฯกันอีกครั้งครับ ::::

    (||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2008
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    นอนดึกเหรอ? ดูบอลรึเปล่าครับ...เมื่อคืนผมก็ดูอยู่ครับ (เลือกดูเป็นบางคู่น่ะ)
    รู้สึกเหมือนคุณเซลล์นะครับ ตื่นมาพร้อมกับสติสัมปชัญญะภายในที่คมชัดขึ้นจริงๆแบบรู้สึกได้เลย ร่างกายจะเหมือนอ่อนแอนิดๆแต่เลือกที่จะเชื่อว่าเรานอน 4 ชม.ก็เพียงพอแล้ว จึงรู้สึกปกติธรรมดาครับ แต่ถ้านอนดึกติดต่อกันหลายคืนก็คงไม่รอดครับ เคยทำโปรเจคส่งอาจารย์อดนอน 3 วัน 3 คืนก็ยังไหวนะ คงเพราะเราจดจ่อกับสิ่งนั้นไปเรื่อยๆจนลืมคิดว่าจะต้องนอน เพราะจิตเราไม่เคยหลับ..แต่ร่างกายในมิติโลกจะต้องหยุดพักบ้างไม่งั้นระบบในร่างกายคงรวนแน่ครับ ที่คุณเซลล์ถามก็น่าสนใจครับ ว่านอนดึกแบบนี้จะเหมือนอาการกายหลับ-จิตตื่นรึเปล่า? รอคำตอบด้วยเช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2008
  5. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เห็นด้วยกับพี่นักเขียน เป็นอย่างยิ่งค่ะ

    เรามักจะหลงลืม ว่าเราต่างมีเอกลักษณ์ ซึ่ง ไม่เหมือนกับผู้อื่น
    เมื่อเราพยายาม จะ คิดแทนผู้อื่น โดยไม่ได้ตระหนักถึงว่า ผู้อื่นก็มีเส้นทางที่เป็นไปได้อยู่อย่างอนันต์ เฉกเช่นเดียวกับเรา โอกาสที่เราจะสามารถ เลือกได้ ตรงใจ กับผู้อื่นนั้น ย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้

    แต่ถ้าเรามี วัตถุประสงค์ร่วมกัน เราก็จะมีแนวทางที่จะดำเนิน ไปได้ อย่างน้อย ก็ใกล้เคียง และ ไม่หลงทาง

    ขอขอบพระคุณ พี่นักเขียน มากค่ะ ที่คอยดูแล และชี้แนะ อยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเราไม่ สะเปะ สะปะ และ บานปลาย ขยาย ใหญ่โต ไปบนทางเลือกที่เป็นอนันต์เหล่านั้น....รักค่ะ(kiss)
     
  6. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ยินดีต้อนรับคุณ"ปลายสายน้ำ"ค่ะ


    [​IMG]
     
  7. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ท่าน สองหนุ่ม น้อย ระวัง เบลอนะค่ะ(tm-love)

    วันนี้ พี่นักเขียน ให้ข้อคิด ดีๆ มาให้เราคิด อีกแล้วค่ะ;)
     
  8. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ความฝันเมื่อคืนของจินตวดี

    ในฝันมองเห็นตัวเองนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างชัดเจน เห็นดวงจิตส่วนหนึ่งแยกออกจากกายเนื้อ ลอยไปที่ไหนสักแห่ง เห็นภาพชัดเจน จิตไปปรากฏที่ห้องโถงใหญ่ลักษณะเหมือนห้องประชุม มีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง มีคนนั่งรออยู่แล้วหลายคน บนหัวโต๊ะ มีที่นั่งที่จินตวดีรู้โดยอัตโนมัติว่าเป็นของใคร ถัดมาเป็นคุณนักเขียน (ยังเป็นภาพเดิมที่เห็นเพียงแค่ด้านหลังก็รู้ว่าเป็นคุณนักเขียน) ฝั่งตรงข้าม มีมากมายหลายคนนั่งอยู่ จินตวดีเดินไปนั่งประจำเก้าอี้ตัวเอง แล้วการประชุมที่เหมือนการพูดคุยมากกว่าก็เริ่มขึ้น มีการปรึกษาถึงแนวทาง สิ่งที่จะให้เกิดต่อไป และเรื่องราวที่แต่ละคนได้เจอ ก่อนจากมีการเช็คแฮนด์ร่ำลากันด้วย แต่รู้สึกจินตวดีไม่ได้ยื่นมือไปจับกับเขาหรอก มัวแต่งง ทำไมเขาไม่ยกมือไหว้กัน พอตื่นขึ้นมาก็เลยคิด อ๋อ มันเป็นอุปมาอุปมัยบอกให้รู้ถึงเบื้องหลังการติดต่อ สื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้ของจิตวิญญาณนั่นเอง

    และยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกท่าน ที่นั่งยังว่างอยู่เพียบค่ะ แล้วเจอกันคืนนี้ที่โต๊ะประชุมเหมือนเดิมนะจ๊ะ
     
  9. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จินตดาราแว่วเสียงบอกเล่าถึงประโยชน์ของของเล่นอันใหม่ของเธอ "จักรนารายณ์" หล่อนยิ้มอยากนึกสนุก พร้อมถามกลับทันที
    "เอ่อ ท่านเจ้าคะ ใช้ให้ไปทำงานแทนได้ไหมคะ อีกอย่างท่านเอาเปรียบหนูหลอกให้หนูแต่งนิยายคนเดียว ฉะนั้นลงมาแต่งด้วยกันเลยค่ะ ไม่งั้นหนูจะฟ้องสภาอนาลัย ว่าท่านเอาเปรียบหนู คิก ๆๆๆๆ"


     
  10. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7.gif
      7.gif
      ขนาดไฟล์:
      23.5 KB
      เปิดดู:
      19
    • icons-106.gif
      icons-106.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.5 KB
      เปิดดู:
      128
  11. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    [​IMG]

    สวัสดีทุกคนนะคะ... เอาดอกไม้ กำลังใจและความรักมาฝากค่ะ
     
  12. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ขณะกำลังรอเพื่อน ๆท่านอื่น ๆ กันอยู่ ขออนุญาติจินตวดีลงภาค 2 แล้วกัน คือแบบว่ากำลังมันส์ อ่ะค่ะ

    JINTANA II

    ภายหลังจากการเรียนรู้จากชีวิตจริงเกี่ยวกับอำนาจของการใช้ความคิด และ จินตนาการที่สร้างสรรค์ จินตนาคิดว่าเรื่องแปลกประหลาดต่าง ๆ มันคงจบสิ้นไปแล้ว เธอคิดว่าเธอได้เรียนรู้แล้ว แต่ไม่ใช่ มันยังไม่เพียงพอสำหรับจิตวิญญาณ เพราะนี่เป็นแค่กระไดก้าวแรกเท่านั้นเอง ยังมีภาระอื่นรอเธออยู่อีกffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คืนหนึ่งหลังจากจินตนาล้มตัวลงนอน กลิ่นหอมของดอกไม้ประหลาดที่เธอไม่ได้กลิ่นมานานแล้วโชยมา ภายในความมีดมิดเสียงของชายชราคนเดิมแว่วเข้ามาภายในโสตประสาทอีกครั้ง<O:p></O:p>
    จินตดารา แค่จินตนาการที่สร้างสรรค์นั้นมันยังคงไม่เพียงพอสำหรับเจ้าหรอก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังมี นั่นคือทำอย่างไรเจ้าจึงจะได้กลับมาสู่ข้าอีกครั้ง แค่การคิดจินตนาการอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ ความรู้ทั้งหลายที่จะทำให้เจ้ากลับมาพบข้าอีกครั้งยังคงรอให้เจ้าค้นหาอยู่ หามันให้เจอ นำมันมาใช้ สิ่งนี้อยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากตัวเจ้า จะว่าไปมันอยู่ในทุกลมหายใจของเจ้าซะด้วยซ้ำ ความสงบจะช่วยให้เจ้าสัมผัสมันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เป้าหมายของข้าจะสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเจ้าทั้ง 17 คน ได้เรียนรู้ เผยแพร่ สืบสาน อย่าให้มันเลือนหายไปพร้อมกับกาลเวลาเหมือนในอดีต จงทำให้มันเป็นจริง และ ดำรงอยู่สืบไป ข้าจะรอวันเวลาที่เราและพวกเจ้าจะกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้งหนึ่ง”<O:p></O:p>
    จินตนาลืมตาตื่น พลางคิด ความสงบหรือเราต้องทำสมาธิ แต่ก่อนเธอเคยหัดทำสมาธิ แต่เป็นการหัดทำเองตามหนังสือมากกว่า <O:p></O:p>
    เห็นทีต้องไปหาที่เรียนอย่างเป็นจริงเป็นจังสักทีนะเรา”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในงานสัปดาห์วันวิสาขบูชาที่สนามหลวง มีการจัดเต๊นท์แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพุทธศานาซึ่งมีเป็นประจำทุกปี ในงานมีการออกบู๊ธหนังสือจากบริษัทห้างร้านต่าง ๆ พร้อมตัวแทนจากวัดต่าง ๆ มาให้ความรู้กับประชาชนที่สนใจ จินตนาไม่พลาดงานนี้เช่นกัน เธอกำลังอยากได้หนังสือฝึกสมาธิสักเล่มพอดี ขณะจินตนากำลังเดินผ่านบู๊ธของวัดปากน้ำ ข้างในมีการแนะนำการฝึกสมาธิของแม่ชีท่านหนึ่ง ท่านกำลังสอนประชาชนที่สนใจฝึกสมาธิ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการฝึกการถอดกายทิพย์ กายทิพย์หรือ น่าสนใจ เธอรำพึง<O:p></O:p>
    มีผู้คนมากมายที่สนใจ และต่างก็กำลังขัดสมาธิรับฟังคำสอนของแม่ชีท่านนั้น จินตนาเดินเข้าไปแสดงความจำนงค์ในการเรียนกับท่าน แม่ชีท่านนั้นหันมามองหล่อนอยู่ครู่ใหญ่ ชั่วครู่ที่หล่อนรู้สึกอึดอัดกับสายตาแปลก ๆ ของท่าน<O:p></O:p>
    แม่สอนลูกไม่ได้หรอก เพราะลูกทำเป็นอยู่แล้ว จินตนาพยายามจะกล่าวปฏิเสธ แต่หล่อนได้แค่อ้าปากค้างเท่านั้นเพราะแม่ชีท่านนั้นหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว จินตนาได้แต่ยืนงงก่อนก้าวเท้าจากบู๊ธนั้นมาอย่างผิดหวัง<O:p></O:p>
    แต่เธอยังไม่หมดหวัง เธอหาซื้อหนังสือฝึกสอนการทำสมาธิที่น่าสนใจบางเล่มติดกลับไปด้วย ในนั้นมีเล่มที่ว่าเกียวกับพลัง COSMIC ที่ว่ากันว่าเคยเป็นของมหานครที่ล่มสลายเมื่อนานมาแล้วด้วย มหานครอนาลัย”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จินตนาใช้เวลาในการอ่าน หนังสือพลัง COSMIC” และ หนังสือเล่มที่เหลือของ THE WRITER ไปพร้อมกัน บทฝึกฝนที่เธอชอบที่สุดบทหนึ่งก็คือ การเพ่งมองร่างในอดีตที่ผ่านมาที่ซ้อนร่างของเธออยู่ เพราะพลังงานของตัวตนในอดีตยังคงมีอยู่ซ้อนกับตัวตนในปัจจุบัน แรก ๆ เธอฝึกหัดดูในเวลากลางคืน โดยใช้วิธีจุดเทียนตั้งไว้ระหว่างเธอกับกระจกเงา แล้วตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แต่ช่วงหลัง ๆนี้ เพียงแค่ตั้งจิตให้เป็นสมาธิที่กลางหน้าผาก เธอก็สามารถมองเห็นเงาที่ซ้อนตัวเธออยู่ได้เลย เธอสนุกกับการมองภาพของเธอที่เปลี่ยนไปเป็นผู้คนมากมาย ทั้งชาย หญิง เด็ก และคนชรา แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทุกครั้งที่มองกระจกเธอจะเห็นภาพของเธอเป็นภาพชายวัยกลางคน โกนศรีษะนุ่งห่มสีขาวเหมือนนักพรต อะไรบางอย่างบอกเธอในใจว่านั่นเป็นภาพของนักบวชโบราณ เธอมักจะเห็นภาพชายคนนี้เสมอในหางตา ไม่ว่าจะในกระจกรถ กระจกตู้ หรือแม้กระทั่งเงาในน้ำ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คืนหนึ่ง เธอได้กลิ่นหอมของดอกไม้ประหลาดเหมือนเคย พร้อมทั้งภาพของมหาวิหารขนาดใหญ่ ภายในมหาวิหารมีคนกลุ่มใหญ่กำลังถกเถียงกันอยู่ ภาพชาย และ หญิงแต่งตัวด้วยอาภรณ์สีขาวงดงาม บนศรีษะประดับด้วยมงกุฏอันเป็นสัญญลักษณ์ของผู้มีอำนาจ หรือชนชั้นปกครอง พวกเขากำลังถกเถียง กับกลุ่มชายแต่งชุดสีขาว พาดเฉียงไหล่ โกนศรีษะอันเป็นสัญญลักษณะของนักบวชในสมัยโบราณ<O:p></O:p>
    ท่านทำผิดกฏ ท่านจะทำลายองค์ความรู้นี้ไม่ได้ นี่เป็นองค์ความรู้ที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน ผู้ปกครองนครทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อสืบทอดพลังอำนาจการเป็นโอรสแห่งโอซิริสที่แท้จริง หนึ่งในกลุ่มนักบวชเอ่ยขึ้น<O:p></O:p>
    ไม่จำเป็น ข้าทั้งสองคนมีอำนาจอันล้นฟ้าอยู่ในมือ ข้าเป็นผู้ปกครองผู้คนนับหมื่นแสนแห่งอาณาจักรนี้ ทุกคนต่างก็ให้ความเคารพแก่ข้าดุจดั่งโอรสแห่งโอซิริสอยู่แล้ว แม้นข้าต้องการชีวิตใครมันก็อยู่แค่ปลายโอษฐ์ข้าเท่านั้น ชายหนุ่มรูปร่างสง่าลักษณะผู้นำเอ่ยขึ้น<O:p></O:p>
    แต่ท่านทำผิดกฏ ท่านจะทำลายองค์ความรู้นี้มิได้ พวกข้าทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษณ์ พวกข้าจักทำทุกวิถีทางเช่นเดียวกัน เพื่อรักษาองค์ความรู้นี้เอาไว้”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    กริ๊ง .............. เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2008
  13. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เข้ามาต้อนรับเพื่อนใหม่ทุกท่านคับ ช่วงนี้บอร์ดคึกคักจังน่ะ จะมาไฮท์ปาร์คกันหรือป่าวเนี่ย

    ตอนสองยังเขียนไม่เสร็จเลยรอแปบน่ะ
     
  14. soul2006

    soul2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,026
    ค่าพลัง:
    +5,169
    ว๊าวววว อาทิตย์นี้งานเริ่มยุ่งๆๆ เข้ามา ไม่มีเวลามานั่งอ่าน กลับจากที่ทำงานก็เพลียสลบแล้ว เพื่อนมา ต่อบทกันอ่านไม่ทันเลยค่ะ.. ยอดเยี่ยมทุกๆ คนเลยค่ะ
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆ ที๋เข้ามาใหม่ด้วยค่ะ .....
     
  15. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    cells ได้ฝันทุกๆวัน และก็ไม่เคยที่จะหยุดฝัน ซึ่งฝันของเขาได้เกี่ยวพันกับความรู้สึกลึกๆภายในของเขา เขาก็ได้ครุ่นคิดถึงความหมายของคำที่มีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งคำว่า อนาลัยนคร,Mrs.Writer,อาจารย์โนวา อนาลัย,ชาวห้องวิทย์ และ คริสตัล ที่จะไขปริศนาของกล่องโบราณ ในดินแดนที่หายสาบสูญไปนาน ที่ปรากฎในความฝันของเขาทั้งยามหลับ และตื่น

    cells ได้คำตอบว่า

    อนาลัยนคร คือ มหาวิทยาลัยทางจิตวิญญาณของชาวห้องวิทย์ทุกคน ที่หายสาบสูญไปนาน และรอวันฟื้นกลับมาเพื่อฉุดช่วยจิตวิญญาณของนักเรียนทั้งหลาย

    นักเรียนของมหาวิทยาลัยนี้ ก็คือพวกเราห้องวิทย์นี้ ซึ่งไม่ได้มีเพียง 17 คน มีเยอะมากมายเกินกว่าจะนับเป็นจำนวนได้ เพราะตัวเลขก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ของช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา


    สิ่งที่เขาต้องทำในการเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยที่ปราศจากกาลเวลานี้ให้สำเร็จ ก็คือให้นำประสบการณ์ในฝัน และก็ประสบการณ์ยามตื่น มาถอดความจากความรู้สึกภายในของเขาออกมา โดยใช้วิชาจากอนาลัยนครเป็นบรรทัดฐาน

    คริสตัลนั้น เป็นสัญลักษณ์ หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจของเขา ปัญญาที่ใช้ในการเปลี่ยนความเชื่อต่างๆที่เราเคยมีเป็นความรู้ได้สำเร็จ โดยยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมก็คือ ยกตัวอย่างประสบการณ์ของเราจากการถอดรหัสในหนังสือทุกๆเล่ม ของท่านอาจารย์โนวา อนาลัย ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของอนาลัยนคร แล้วนำความเข้าใจที่ได้ มาใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วเห็นผลอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม

    นักเรียนทุกคนถึงจะอยู่ต่างที่ ต่างถิ่น ต่างร่าง แต่จุดประสงค์เดียวกันคือ นำคริสตัลที่มีอยู่ในตัวทุกคนออกมาไขรหัสจากอนาลัยนคร แล้วยกตัวอย่างจากข้อมูลจริงๆทั้งยามหลับ และตื่น

    (ซึ่งจุดประสงค์ของ Mrs.Writer น่าจะเป็นสิ่งนี้) ข้อมูลจริงๆตรงนี้ นอกจากทำให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณเขาได้มากขึ้นผ่านสารในหนังสือใน อนาลัยนครแล้ว เขายังต้องเขียนสิ่งที่เขารู้ เขาเข้าใจออกมาในบอร์ดของอนาลัยนคร เพื่อแบ่งปันให้กับแขก และนักเรียนท่านอื่นๆด้วย เพราะเขาเข้าใจว่าจิตวิญญาณเป็นระบบเครือข่ายที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีจิตวิญญาณหน่วยใดขัดขวางการเรียนรู้ของจิตวิญญาณหน่วยอื่น
    เพราะเขาทราบว่าข้อมูล ประสบการณ์ต่างๆของเขา ที่นำความรู้จากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปใช้แล้วได้ผล ก่อให้เกิดแนวความคิดที่เปลี่ยนไปของเขา ซึ่งส่งผลอันเป็นรูปธรรมต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเขาอย่างชัดเจน

    จุดประสงค์อย่างหนึ่งที่นักเรียนที่นี่ ล้วนทราบดีคือ ต้องนำความรู้ ความเข้าใจทั้งหมดที่เกิดขึ้น มาแบ่งปันกันลงในบอร์ดของมหาวิทยาลัย (ห้ามกั๊ก อิอิ)
    ซึ่งบททั้งหมดที่เขียนต่อกันมานั้น ไม่จำเป็นต้องต่อกันทั้งหมด เพราะทุกคนต่างมีเอกลักษณ์ของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายทุกอย่างจะเชื่อมกันเองหมด เพราะเราต่างเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยเดียวกัน

    เพราะจุดประสงค์ของทุกคนคือใช้คริสตัลที่มีอยู่ ในการไขกล่องปริศนา คือ กล่องแห่งความรู้ทั้งมวลของจิตวิญญาณของตน สุดท้ายแล้วนักเรียนทุกคนก็จะดำเนินเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ ผ่านความเข้าใจในชีวิตจริง
    ความเข้าใจของทุกคนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆผ่านการช่วยคิด ช่วยตอบ และทำความเข้าใจมากขึ้นทุกที ทำให้คริสตัลที่ทุกคนมีอยู่ เปล่งประกายขึ้นพร้อมๆกัน
    เมื่อนักเรียนทุกคนสามารถใช้คริสตัลได้ถูกวิธี และเปล่งแสงออกมาได้หมด
    กล่องปริศนานี้ก็จะเปิดออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่เปิดออกก็คือ ประตูแห่งจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของแต่ละคนนั่นเอง

    ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวนี้ก็คือ ความประสงค์ของ Mrs.Writer และท่านอาจารย์ โนวา อนาลัย ที่เฝ้ารอดูความเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของศิษย์ในมหาวิทยาลัยแห่งจิตวิญญาณนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน

    เอาล่ะ ถึงเวลาที่เราจะต้องเรียนรู้มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตนี้อย่างถ่องแท้

    ติ๊งหน่องๆๆ CELLS ได้ตื่นจากฝัน และรีบวิ่งไปเปิดประตูบ้าน ต้อนรับแขกที่มาเยือน
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    Zizz นึกย้อนไปถึงประสบการณ์ที่ตัวเองประสบมา นึกไปก็อดประหลาดใจระคนความตื่นเต้น

    zizz นึกไปถึงหนังสือในชั้นหนังสือที่ส่วนมากเต็มไปด้วยหนังสือเรื่องลึกลับและหนังสือที่เรียกกันว่าแนวนิวเอจ แต่ไหนแต่ไรแล้วที่ชอบอ่านหนังสือแนวลึกลับเพราะว่ามันดูน่าสนใจพิศวง และอยากรู้ว่ามันเกิดจากอะไร บางครั้งก็ทำให้รู้ด้วยว่ามีอะไรแปลกๆ แบบนี้ในโลกด้วย

    ใช่แล้ว เพราะว่าอยากรู้นี่เองทำให้สนใจเรื่องทางวิทยาศาสตร์ด้วยเพราะมันทำให้รู้และเข้าใจในหลายๆ เรื่อง บางเรื่องดูเป็นเรื่องลึกลับแต่วิทยาศาสตร์ก็มีคำอธิบาย

    บางเรื่องดูซับซ้อนที่จะทำความเข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นการท้าทายที่จะเข้าใจในเรื่องนั้น

    แต่บางทีบางเรื่องก็ดูเหมือนยังเป็นปริศนาที่ยังแก้ไม่ออก zizz ก็เกิดความอยากรู้ว่า ความจริงคืออะไร? ทำไมหลายๆ เรื่องที่อ่านดูเป็นเรื่องขัดแย้งกัน บางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งๆ ที่คนที่เขียนถึงเรื่องนั้นเหมือนว่าไปประสบเรื่องอย่างนั้นมาจริงๆ อย่างเช่นเรื่องตายแล้วฟื้น บางรายในต่างประเทศสามารถไปหาเจอครอบครัวเก่าตัวเองได้ด้วยซ้ำ

    หรือว่าคนเราจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อ? หรือว่าหลักฐานยังมีไม่มากที่จะทำให้เชื่อได้นะ? คำถามมากมายเกิดขึ้นในสมอง

    zizz พยายามคิดหาคำตอบให้กับตัวเองด้วยสมองน้อยๆ......

    จากที่อ่านเรื่องทางวิทยาศาสตร์มามาก นักวิทยาศาสตร์จะค้นพบสิ่งใหม่ๆ มาเสมอ นั่นก็หมายความว่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ไปซะทุกเรื่อง แล้วจะเอาความรู้ที่ไม่รู้ในทุกสิ่ง ไปอธิบายปรากฏการณ์ทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ถ้าเปรียบเหมือนความจริงทั้งหมดเป็นพื้นที่ห้องๆ นึง ความจริงที่วิทยาศาสตร์รู้ก็คงเหมือนลูกโป่งใบนึงที่ซักวันคงจะโป่งขยายเต็มห้อง แต่ตอนนี้ยังเป็นลูกโป่งที่ยังไม่เต็มห้อง แต่จะใหญ่ขนาดไหนก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน

    ใช่แล้ว เพราะเหตุนี้บางเรื่องจึงยังไม่มีคำอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ zizz นึกไปพลางอมยิ้มให้กับตัวเอง บางทีการนึกอะไรโดยการนึกภาพเปรียบเทียบตามไปด้วยจะทำให้เข้าใจอะไรได้ง่าย ทริกนี้ zizz ได้มาจากไอสไตน์ เพราะเคยอ่านเจอว่าเวลาไอสไตน์คิดอะไรจะใช้จินตนาการนึกภาพขึ้นมา อย่างเช่นเรื่องแสงที่วิ่งขึ้นลงในรถไฟแล้วคนภายนอกจะเห็นยังไงเป็นต้น

    แล้ว... ทำไมบางเรื่องถึงดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์ถึงไม่ยอมค้นคว้าหาคำตอบล่ะ อย่างเรื่องผี zizz คิดต่อ แล้วก็คิดหาให้กับตัวเองต่อ ยังกับว่ามีคนพูดคุยกันในหัวหรืออีกแง่นึงก็คือถามเองตอบเอง

    ก็คงจะเป็นเพราะความคิดอคติของตัวนักวิทยาศาสตร์เองด้วยละมั๊ง นักวิทยาศาสตร์ก็ยังเป็นคนนี่นะ ก็ยังมีเชื่อไม่เชื่อในบางเรื่อง บางเรื่องเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระก็ไม่อยากจะไปคิดหาคำตอบก็ได้ เพราะก็เคยได้ยินมาว่าก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคนพยายามจะพิสูจน์เรื่องนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่เยอะก็เถอะ.....

    ส่วนเรื่องชาติภพ ก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน โดยมากจะเป็นการรู้เห็นโดยทางใน บางเรื่องก็มีการลองไปสืบค้นตามที่อยู่ที่ตัวเองเคยอยู่แล้วก็พบว่ามันก็มีอยู่จริง บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เด็กสามารถบอกรายละเอียดสถานที่ได้ละเอียดโดยที่ไม่เคยไปมาก่อน อ่านแล้วดูน่าเชื่อนักว่าระลึกชาติได้จริง

    แต่ว่า.... ถ้าจริงแล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ และถ้าจริงแล้วแต่ถ้านักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับมันก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปอยู่ดี


    "ฮื้ม ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า" zizz เริ่มรู้สึกว่าตันในความคิด เลยออกไปเดินเล่นข้างนอก บางทีอาจจะแวะไปร้านหนังสือด้วยเผื่อเจอหนังสืออะไรน่าสน

    เมื่อไปถึงร้านหนังสือก็เดินหาหนังสือแนวนิวเอจอย่างเคย เนื่องจากหาหนังสือทำนองนี้บ่อย จึงรู้ว่าบางร้านจะวางหนังสือแนวนี้ไม่เหมือนกัน บางร้านก็อยู่ที่หมวดลึกลับ บางร้านก็อยู่แถวๆ หมวดศาสนาก็มี

    ซักพักก็ไปสะดุดกับหนังสือที่ชื่อว่า "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" เขียนโดย ดร.ไบรอัน เรื่องจริงที่ทั้งคู่ระลึกชาติได้และกลับมาพบกันอีก

    "อืม.. น่าสนดีแฮะ ใช้วิธีการสะกดจิตในการระลึกชาติ คนเขียนเป็นถึงจิตแพทย์ด้วย อย่างนี้น่าจะยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องการระลึกชาติจริง ไม่ได้เกิดจากการสมองสร้างภาพไปเอง ก็คนเขียนเป็นจิตแพทย์นี่นะ น่าจะมองออกว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แถมเป็นเรื่องจริงอีกต่างหาก"

    และก็ไม่ผิดหวังหนังสือเล่มนั้นทำให้ zizz สนใจหนังสือเล่มอื่นๆ ของดร.คนนี้อีก มีบางเล่มคนแปลเขียนไว้ว่าหนังสือของดร. หล่นมาที่หน้าตักของเค้าในร้านหนังสือเลย เหมือนว่าเป็นเหตุบังเอิญ ทำให้ได้มาแปลหนังสือเล่มนี้

    หนังสืออาจจะเรียกหาคนอ่านก็ได้นะ บางครั้งที่เคยเล่าเรื่องหนังสือที่อ่านให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ทำหน้าสงสัยว่าไปเจอตรงไหนเพราะเข้าร้านหนังสือบ่อยเหมือนกันแต่ทำไมไม่ค่อยเจอหนังสือเล่มที่ว่ามา

    zizz คิดสงสัยว่าคงเพราะว่าตัวเองสนใจเรื่องพวกนี้ละมั๊งเลยทำให้สายตาสะดุดกับหนังสือทำนองนี้ง่าย

    มีวันนึงได้ไปเจอเวปที่คุยเกี่ยวกับหนังสือชื่อว่า Conversation with God อาจจะเพราะว่าสนใจเรื่องทำนองนี้กระมังทำให้มาเจอเวปที่มีเรื่องทำนองนี้อีก ก่อนหน้านี้ก็เคยเข้าไปในกลุ่มของต่างประเทศที่คุยเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน เพราะอยากรู้ว่าฝรั่งมีมุมมองยังไง และคิดว่าคงจะมีคุยเรื่องประมาณนี้มากกว่าเวปไทย

    เวปที่เจอนั้นเป็นเวปไทย ในเวปนั้นได้โพสเนื้อหาในหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่มให้อ่าน zizz รู้สึกตื่นเต้นกับเนื้อหาในหนังสือมากเพราะมันเหมือนกับว่าได้ตอบคำถามที่มีอยู่ในใจได้เกือบหมด บางเรื่องก็เหมือนกับที่ zizz คิดไว้เลย ด้วยความดีใจจึงเซฟหน้าเวปนั้นเก็บไว้ และรวมถึงเรื่อง The Little Soul and the Sun ในเวปนั้นด้วย เผื่อว่าจะมีเวลาอ่าน

    และเรื่องนั้นก็ย้ำความเชื่อที่ว่า ความจริงเป็นสากลถึงแม้ว่าเนื้อหาจะเขียนต่างกัน คำอธิบายจะต่างกัน แต่ก็ย่อมจะหมายถึงสิ่งเดียวกันเสมอ แต่เราไม่เข้าใจถึงความหมายลึกๆ ข้างในเท่านั้นเอง จึงมองเห็นว่าเป็นคนละสิ่งกันหรือลึกตื้นไม่เท่ากัน


    นอกจากนั้นก็ได้อ่านหนังสือที่ฝรั่งเขียนเกี่ยวกับการตายแล้วฟื้นหรือไม่ก็ประสบการณ์ทางวิญญาณ แปลกที่ว่าไม่ได้มีการพิพากษาว่าขึ้นสวรรค์หรือลงนรก มีแต่ว่าวิญญาณนั้นอยู่ต่อหน้าจิตวิญญาณที่ทรงภูมิ และคิดไคร่ครวณถึงเรื่องที่ทำไปในชาตินี้ และรู้สึกผิด เป็นทุกข์กับเรื่องที่ตัวเองทำไป ได้รู้ว่าบางคนนั้นที่เกิดมาพิการ ก็เพราะว่าตั้งใจจะไปเกิดอย่างนั้นเพื่อทำอะไรบางอย่างเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะว่ากรรมซะทั้งหมด

    บางเรื่องมันก็ดูขัดแย้งกับความเชื่ออื่นๆ

    จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจลึกๆ ว่า "ความจริงคืออะไร?"

    หลายวันผ่านไป zizz ได้พบกระทู้นึงเขียนชื่อกระทู้ว่า "ระบบเครือข่ายแห่งจิตวิญญาณ"

    เนื้อหาในกระทู้นั้นเอามาจากหนังสือเล่มนึง zizz อ่านดูแล้ว รู้สึกว่าเนื้อหาแปลกกว่าเล่มอื่นๆ ที่เคยอ่าน ทั้งอ่านแล้วรู้สึกว่าเข้าใจยากกว่าด้วย

    คิดว่าซักวันจะลองหามาอ่านดู เลยหารูปหนังสือมาดูจะได้รู้ว่าหน้าตาหนังสือเป็นยังไง เผื่อเดินผ่านจะได้รู้

    และซักวันนั้นก็มาถึง เมื่อ zizz ไปงานหนังสือ ไปดูบูธที่ขายหนังสือเกี่ยวกับ Mind map เพราะว่ากำลังสนใจในเรื่องนั้นพอดี สายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนั้นที่เคยหาดูรูปจากในเนต หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนั้น แต่เนื้อหาใหญ่กว่าตัวหนังสือมากนัก....

    <hr>
    เขียนยาวไปไหมครับเนี่ย -_-'' ทีแรกจะเขียนอะไรยาวกว่านี้อีก แต่คิดไปคิดมามันไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่เลยตัดออก

    ไม่รู้ว่าเขียนออกทะเลไปไกลแล้วหรือยังนะ อิอิ ไม่ค่อยฉวัดเฉวียนเข้าเนื้อเรื่องเท่าไหร่เลย

    [​IMG]
    "บ๊าย บาย ไปดีมาดีเน้อ~"
    "แย๊กกกกกก"

    เคยคิดไว้นะว่า เนื้อที่ในกระทู้นี้ก็เปรียบเหมือน โรงละครโรงหนึ่ง คนที่โพสก็เหมือนตัวละครในเวทีนั้น คนที่เข้ามาอ่านก็เหมือนคนดู บางครั้งตัวแสดงก็ผลัดกันเป็นตัวนำ บางครั้งคนดูก็ขึ้นมาแสดง บางครั้งคนแสดงก็ไปเป็นคนดู

    นึกภาพไว้ในหัวอยากจะวาดภาพประกอบ แต่คงไม่ได้วาดล่ะ [Embarrass
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เป้าหมายที่แท้จริงในการมาถือกำเนิดของบุคลิกภาพ

    พี่นักเขียนได้รับคำถามจากผู้อ่านหลายท่านว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่า เป้าหมายที่แท้จริงในการมาถือกำเนิดในชาติภพนี้คืออะไร บางท่านบอกว่า รู้สึกว่ายังค้นไม่พบ และรู้สึกเสมือนว่าดำเนินชีวิตไปวันๆ โดยยังไม่ได้เติมเต็มหลายๆอย่างที่รู้สึกว่าขาดหายไป แต่ไม่ทราบว่ามันคืออะไร อยากทราบว่า เราจะค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงของตนเองได้อย่างไร (นอกเหนือไปจากขอให้พี่นักเขียนฝันให้) บางท่านบอกว่า ทดลองฝันแล้วก็ไม่รู้-ไม่เห็น ดูเสมือนว่าฝันเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวพัน ทำให้ไม่มั่นใจว่าตนเองจะรู้เห็นได้ในความฝันเช่นพี่นักเขียน บางท่านก็ข้องใจว่า หากตนเองค้นไม่พบเป้าหมายที่แท้จริง จะทำให้ชาติภพนี้กลายเป็นสูญเปล่า ไม่พัฒนาจิตวิญญาณหรือเสียเวลา-เสียชาติเกิดไปหรือเปล่า? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ ซึ่งเกี่ยวพันกับการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และการสร้างสรรค์ทั้งสิ้น

    ก่อนที่จะตอบคำถาม พี่นักเขียนขอคัดลอกบทความมาให้อ่าน และลองขบคิดกันดู
    __________________________________________________________
    ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ
    บทที่ 2 ก่อนกำเนิดจักรวาล (หน้า 12)

    การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์เป็นสิ่งที่อธิบายให้เธอเข้าใจได้ยาก เพราะมันประกอบด้วยธรรมชาติของการก่อเกิดด้วยความรัก การก่อเกิดที่เต็มไปด้วยความรู้ภายในถึงความซับซ้อนและความมีเป็นระเบียบแบบแผนอันเป็นเลิศ ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์อันปราศจากขีดจำกัด ซึ่งแสวงหาประสบการณด้วยสัดส่วนที่เหลือคณานับ เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ ไม่ว่าสัดส่วนนั้นจะเล็ก-อยู่ไกล-กลับทิศหรือซับซ้อนเพียงใดก็ตาม หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า พลังงานทุกหน่วยได้รับมอบทุนซึ่งประกอบด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่แสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในความเป็นไปได้ทุกรูปแบบ พัฒนาการดังกล่าวจะช่วยให้พลังงานแต่ละหน่วยมีความสร้างสรรค์สูงยิ่งขึ้นไปอีกในโลกแห่งความเป็นจริงแต่ละโลก

    การเกิดของจักรวาลเกิดขึ้นจากความปลื้มปิติและความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ ไม่ใช่เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบ
    __________________________________________________________

    การเกิดของจักรวาลทางกายภาพ ครบคลุมถึงการมาถือกำเนิดของจิตวิญญาณเป็นร่างกายเนื้อหนังทางกายภาพ ที่เราเรียกว่าตัวตนของเรา และครอบคลุมถึงการถือกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวงในจักรวาล

    เมื่อเรากล่าวถึงเป้าหมายของการมาถือกำเนิด เรามักจะรู้สึกถึงความจริงจัง ที่ทำให้เราให้คำจำกัดความว่าเป็น หน้าที่ ภาระที่ได้รับมอบหมาย หรือ แม้แต่การถูกเลือกให้ดำเนินการ แทนที่เราจะเรียกมันว่า ความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ เพราะคำว่า ความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ ดูเสมือนจะเป็นสิ่งที่เป็นส่วนตัวเกินไป เล็กจิบจ้อยเกินไป หรือ แม้แต่ขาดคุณค่า ทั้งที่มันดูเสมือนว่าจะมีอิสรภาพอันยิ่งใหญ่และยั่วยวนแอบแฝงอยู่ในที

    หากเราจะบอกกับตนเองว่า เป้าหมายของการมาถือกำเนิดของฉันคือ การสร้างสรรค์ในสิ่งที่ฉันปรารถนา เรากลับรู้สึกผิด และ คิดว่ามันจะเป็นเป้าหมายอันสูงส่งไปไม่ได้ แต่รากฐานของความคิดของบุคคลตัวตนทั้งหลาย ล้วนมีธรรมชาติที่ไม่อาจปฏิเสธการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ตนปรารถนาได้เลย ไม่ว่าบุคคลนั้นจะถูกกดดัน หรือบีบบังคับด้วยวินัยหรือกฏเกณฑ์ใดๆในโลกมนุษย์ ในที่สุดแล้วบุคคลตัวตนนั้นๆก็ปลิดเอาความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ทิิ้งไปไม่ได้ และปฏิเสธอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม จะทำทุกวิถีทางที่จะแลกให้ได้มาซึ่งอิสรภาพของตน

    ไม่ว่าเราจะถือกำเนิดมาด้วยการมีแขน-ขา มีทรัพย์สิน มีสุขภาพ มีสัมพันธภาพที่ดี หรือไม่ก็ตาม ภาวะทางกายทางใจและสภาพแวดล้อมทั้งปวงก็ไม่อาจสกัดกั้น ความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ของจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังได้เลย ในทางตรงกันข้าม เราได้พบเห็นมากมายจากประวัติศาสตร์โลกว่า การสร้างสรรค์ในสิ่งที่บุคคลปรารถนา เกิดขึ้นในยามที่โลกหรือประชาโลกประสบการณ์กับภาวะที่ความปรารถนาในการสร้างสรรค์ของเขาได้รับการสนับสนุนน้อยที่สุด แต่สภาพแวดล้อมและสถานการณ์เหล่านั้นก็ไม่อาจขัดขวางความปรารถนาในการสร้างสรรค์ ในทางตรงกันข้าม ยิ่งมนุษย์ขาดอิสรภาพที่่จะสร้างสรรค์ตามปรารถนาเท่าใด มันกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้บุคคลเพียรพยายามที่จะประสพความสำเร็จในการสร้างสรรค์สิ่งที่ตนปรารถนามากขึ้นเท่านั้น เราจึงเห็นจิตกรที่ปราศจากแขนแต่วาดภาพระบายสีด้วยเท้าได้อย่างงดงาม นักกีฬาที่ปราศจากขาแต่วิ่งเร็วทำลายสถิติได้ด้วยขาเทียม นักโต้คลื่นที่ปราศจากแขนแต่โต้คลื่นได้รับดับโลก นักดนตรี-นักร้องที่ตาบอดมาแต่กำเนิด แต่เล่นดนตรีและร้องเพลงได้ไพเราะอย่างน่าอัศจรรย์ ฯลฯ

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า
    อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน


    หากเราเข้าใจในธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ได้อย่างแท้จริง คำว่า "ชาติภพนี้" แทบจะหมดความหมาย เพราะในแต่ละวันที่เราดำเนินชีวิต เราไม่ได้ดำเนินชีวิตบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่เป็นเส้นตรงเพียงเส้นเดียว ทุกขณะจิตที่เราคิดและตัดสินใจ เราก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ ชาติภพใหม่ มิติใหม่ อยู่ตลอดวันเวลา โดยที่เราไม่อาจรู้เห็นได้ในระดับกายภาพ

    ตัวตนของเรา เมื่อวานนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว เมื่อสิบปีที่แล้ว ยี่สิบปี่ที่แล้ว หรือตัวตนตั้งแต่แรกเกิด ไม่ได้เป็นบุคคลตัวตนเดิมที่ดำเนินชีวิตตามเส้นทางแห่งกาลเวลาเป็นเส้นตรง และเจริญเติบโตมาเป็นเรา - ในวันนี้ โดยไม่ได้เปลี่ยนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ไม่ได้เปลี่ยนชาติภพ ไม่ได้เปลี่ยนมิติ ไม่ได้เปลี่ยนตัวตน

    เราเปลี่ยนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ เปลี่ยนชาติภพ เปลี่ยนมิติ เปลี่ยนตัวตน อยู่ทุกขณะจิต รูปกายของเรากะพริิบเกิด-ดับ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่ง และไปกะพริบเกิด-ดับ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ หรือชาติภพอื่น มิติอื่นๆอยู่ตลอดวันเวลา

    จิตวิญญาณอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา หากตัดเอาช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ออกไปจากภาวะของการกะพริบเกิด-ดับ เราจะเหลือแต่ธรรมชาติความเป็นจริงที่เปลือยเปล่า ปราศจากเครื่องพราง และพบว่าเรากำลังดำเนินชีวิตทุกชาติภพ ทุกมิติ ทุกตัวตน ทุกขณะจิต พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน และทุกบุคลิกภาพ ทุกตัวตัน ทุกชาติภพ ทุกมิติของเรา เกี่ยวพันและส่งผลกระทบกันทั้งหมดเป็นระบบเครือข่าย ซึ่งปรากฏให้เรารู้เห็นเสมอๆในความฝัน

    คำถามที่ว่า เป้าหมายที่แท้จริงในการมาถือกำเนิดของเรา ในชาติภพนี้คืออะไร
    ย่อมเป็นคำถามที่ไม่มีวันได้รับคำตอบที่ถูกต้อง เพราะมันเป็นคำถามที่ผิดธรรมชาติความเป็นจริง

    คำถาม-คำตอบที่เป็นไปตามธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ ย่อมปราศจากกาลเวลาเสมอ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องตัดคำว่า -ในชาติภพนี้-ออกไป เพราะมันปราศจากความหมายสำหรับจิตวิญญาณ ชาติภพหนึ่ง มิติหนึ่ง การเป็นบุคคลตัวตนหนึ่งๆ ปราศจากขอบเขตอันจำกัดที่แท้จริง เรารู้เห็นเพียงชาติภพหนึ่ง มิติหนึ่ง ตัวตนหนึ่ง ร่างหนึ่ง เท่านั้น แต่มันก็ไม่ใช่ตัวตนทั้งหมดที่แท้จริงของเรา

    คำถามที่ถูกต้องจึงเป็นคำถามที่ว่า เป้าหมายที่แท้จริงในการมาถือกำเนิดของบุคลิกภาพที่เรารู้จักว่า คือตัวตนของเรา (ณ ปัจจุบันนี้) คืออะไร?

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า บุคลิกภาพเป็นคุณสมบัติที่เป็นอมตะ ซึ่งสถิตย์อยู่ในหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ ไม่ว่าจิตวิญญาณจะถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง หรือปราศจากร่างกายเนื้อหนัง บุคลิกภาพนั้นๆก็ไม่มีวันสูญสลาย อย่างไรก็ตาม บุคลิกภาพของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ ก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะคงที่เป็นกลุ่มก้อน จิตวิญญาณปราศจากหน่วยนับและสามารถแตกตัวออกไปได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งหมายความว่า บุคลิกภาพทั้งหลายแม้ว่าจะไม่สูญสลาย แต่ย่อมมีการพัฒนาและแตกแขนงออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    เป้าหมายที่แท้จริงในการมาถือกำเนิดของบุคลิกภาพของเราแต่ละคน จึงไม่ได้ขึ้นกับการเป็นบุคคลตัวตนหนึ่งๆ เพียงตัวตนเดียว ร่างเดียว ชาติภพเดียว มิติเดียว และไม่ได้มีเพียงเป้าหมายเดียว เพราะความซับซ้อนอันหลากหลายของโลกแห่งคววามเป็นจริงหลากมิติที่จิตวิญญาณรวมสถิตย์อยู่ ทำให้เราต่างก็แสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ด้วยการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนาทุกรูปแบบที่จะเป็นไปได้ จากมุมมอง ทัศนคติ และ ความเชื่อ ณ จุดหนึ่งๆอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา

    บุคลิกภาพที่ไม่มีวันสูญสลาย จะแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ด้วยการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนา จากมุมมอง ทัศนคติ และ ความเชื่อ ณ จุดหนึ่งๆอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเสมอ แต่ความเชื่อทั้งหลายย่อมแปรเปลี่ยนไปเสมอ ไม่มีความเชื่อใดๆคงที่ถาวร จนกว่ามันจะเปลี่ยนเป็นความรู้ แต่ถึงกระนั้นความรู้ก็ยังไม่ใช่ที่สุด-ของที่สุด เพราะความรู้ทั้งหลายก็ยังแตกแขนงต่อไปอีกอย่างไม่มีวันสิ้นสุดเช่นกัน

    การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ด้วยการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนา เป็นกระบวนการเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่แท้จริงในการมาถือกำเนิดของบุคลิกภาพทั้งหลาย-ของเราทุกคน

    ตลอดชีวิตของเราแต่ละคน เรามีแรงบันดาลใจที่ผุดขึ้นมามากมาย พร้อมกับความปรารถนาที่จะมี-จะเป็น-จะทำ หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ถึงกระนั้นเมื่อเราได้บรรลุผลสำเร็จไปแล้ว คือ ได้มี-ได้เป็น-ได้ทำสำเร็จตามแรงบันดาลใจแล้ว เรากลับพบว่ามีแรงบันดาลใจใหม่ๆ ความปรารถนาใหม่ๆผุดขึ้นมาอีก ไม่มีวันสิ้นสุด

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ความปรารถนาเป็นพลังผลักดันที่ทำให้จิตวิญญาณเป็นอมตะ และ ดำเนินชีวิตต่อไป ทั้งที่เป็นร่างกายเนื้อหนังและปราศจากร่างกายเนื้อหนัง

    การสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนา เป็นกระบวนการ ไม่ใช่ผลผลิตสำเร็จรูป กล่าวได้ว่ากระบวนการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนาเป็นความท้าทายของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณทั้งหลายมีเป้าหมายสูงสุดคือ การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ กระบวนการสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนาล้วนตั้งอยู่บนรากฐานของการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้เสมอ

    เราจะพบได้เสมอว่า แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เราลงมือสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนามักจะไม่ดับไปง่ายๆ หากมันทำให้เราเพิ่มพูนความรู้ เรามักจะลืมเวลาและจมหายไปในการสร้างสรรค์นั้นอย่างดื่มด่ำ ลืมวันเวลา ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ยิ่งเราเรียนรู้ หรือเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้มากเท่าใด ก็ดูเสมือนว่าแรงบันดาลใจนั้นๆกลับมีพลังผลักดันสูงยิ่งขึ้นไปอีก ผลักดันให้เรากระหายที่จะเรียนรู้ยิ่งขึ้นไปอีก และดูเสมือนว่าการเรียนรู้นั้นๆจะไม่มีวันสิ้นสุด

    แต่แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เราลงมือสร้างสรรค์ในสิ่งที่ไม่เพิ่มพูนความรู้ ได้แต่เพียงความบันเทิง จะสลายตัวไปอย่างง่ายดาย มันเกิดขึ้นชั่ววูบ และแล้วความน่าสนเท่ห์หรือเสน่ห์ของมันก็สลายตัวไปอย่างง่ายดาย พลังผลักดันหรือความกระหายที่จะสร้างสรรค์อาจดับวูบหรือสลายตัวไป และทำให้เราหมดความสนใจในที่สุด

    การสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนา ซึ่งเพิ่มพูนความรู้ มักทำให้เราพัฒนาทักษะบางอย่างที่จะติดตัวเราไปจนวันตาย มันมักจะเป็นการสร้างสรรค์ที่พัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาความรู้ความสามารถของเราด้วยเสมอ ยกตัวอย่างเช่น การวาดภาพของพวกเราชาวห้องวิทย์ฯ การวาดภาพเเหมือนเป็นการสร้างสรรค์ผลงานที่หลายคนปรารถนา แม้ว่าจะไม่เคยวาดภาพมาก่อนเลยในชีวิต พี่นักเขียนได้แนะนำว่า การวาดภาพเหมือนเป็นกระบวนการที่ช่วยทำให้เราเรียนรู้ที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ตามความเป็นจริง พี่นักเขียนเรียกการวาดภาพเหมือนว่าเป็นวิธีการฝึกสมาธิ เพราะมันทำให้เราจดจ่อกับส่ิงที่เรามองเห็น และถ่ายทอดลงบนหน้ากระดาษอย่างตรงไปตรงมา ผลงานภาพวาดเป็นเครื่องวัดพัฒนาการในการมองเห็น โดยกำจัดการวินิจฉัยที่เรามักจะมีเป็นนิจนิสัย ซึ่งทำให้เรารู้เห็นสิ่งต่างๆบิดเบือนไปจากความเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว

    หลายๆคนที่ร่วมวงวาดภาพ พัฒนาทักษะในการมองเห็นโดยปราศจากการวินิจฉัย และผลิตผลงานภาพเหมือนออกมาได้อย่างงดงาม การวาดภาพเหมือนพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคล ทำให้เรียนรู้การรู้เห็นโดยปราศจากการวินิจฉัย หรือมองเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นทักษะทางจินตภาพและกายภาพที่จะติดตัวไปจนวันตาย

    ไม่ว่าเราจะมีความปรารถนาใดๆผุดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดชีวิต การสร้างสรรค์ในสิ่งที่ปรารถนาทั้งหลายได้สำเร็จ คือการบรรลุเป้าหมายที่แท้จริงในการมาถือกำเนิดของบุคลิกภาพที่เรารู้จักว่า คือตัวตนของเรา (ณ ปัจจุบันนี้)

    ผู้ที่กล่าวว่ายังค้นไม่พบเป้าหมายของการมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง ไม่จำเป็นต้องค้นหาคำตอบจากภายนอก เพราะแรงบันดาลใจทั้งหลาย คือกลไกที่ทำให้เราหยั่งรู้ได้ถึงเป้าหมายทึ่เป็นความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้นเสมอ หากเราสนองตอบแรงบันดาลใจทั้งหลายด้วยการทุ่มเทกายใจและลงมือทำอย่างดีที่สุด เราจะพบว่าเราได้บรรลุเป้าหมายในการมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง-ครั้งแล้วครั้งเล่า เราจะพบว่า ชีวิตที่เราเลือกมาถือกำเนิด เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยโอกาส เต็มไปด้วยความท้าทาย และเต็มไปด้วยความเบิกบานในการสร้างสรรค์ที่ปราศจากขีดจำกัด แม้ว่าความปรารถนาของเราจะไม่ดับสลายไป และมีความปรารถนาใหม่ๆผุดขึ้นมาเสมอ แต่เราจะพบว่าความรู้สึกเป็นหนี้ตนเอง หรือความรู้สึกที่ว่าบางส่ิงบางอย่างขาดหายไปจากชีวิตนั้นได้เติมเต็มแล้ว และรู้สึกกระตือรือล้นที่จะได้เติมเต็มต่อไปอีกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008
  18. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    "ห้องเรียนของเราพร้อมเสมอที่จะต้อนรับเด็กๆทั้งหลาย" .......เสียงแห่งความคิดคำนึงกึกก้องไปทั่วโรงเรียนในโลกทางจินตภาพ ซึ่งสถิตย์อยู่ท่ามกลางแมกไม้และธรรมชาติอันงดงาม นกนานาพันธุ์ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วราวกับว่า พวกมันตื่นเต้นกับการมาของเด็กๆทั้งหลายและพร้อมที่จะต้อนรับเด็กๆเหล่านั้นอย่างลิงโลด กระต่ายน้อยเล็มดอกกุหลาบอันหอมหวานอย่างเอร็ดอร่อย มันชะเง้อมองไปยังซุ้มทางเข้าด้วยใจระทึก ในขณะที่กระรอกหลายตัววิ่งไล่กันขึ้นไปบนยอดไม้ และชะเง้อดูซุ้มทางเข้าอย่างใจจดใจจ่อ

    "ในที่สุดเด็กทั้งหลายก็กำลังมุ่งหน้ามาสู่ - อนาลัยนคร - ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อว่า เขาสอบเข้า"อนาลัยนคร"แห่งนี้ได้ด้วยความพิเศษของเขา ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าเขาคือผู้ที่ถูกเลือก และไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อใดๆ ความปรารถนาและความรักที่พวกเรามีให้เขา คือ การเปลี่ยนความเชื่อของเขาให้เป็นความรู้"

    เสียงแห่งความคิดคำนึงของบุคลิกภาพอันไร้รูปกาย แตกแขนงออกเป็นจินตภาพหลายรูปกายหลายบุคลิกภาพ ที่มีทุกเพศ วัย ทุกชาติภาษา แต่ละบุคลิกภาพต่างก็เดินไปตามเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย พร้อมด้วยความปรารถนาอันลุ่มลึกที่ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะถ่ายทอดข้อมูลความรู้ และสร้างสรรค์ความเป็นไปได้ที่สนับสนุนการถ่ายทอดข้อมูลความรู้ทั้งหลายจากต้นกำเนิดเดียวกันอย่างดีที่สุด เพื่อนำไปส่งมอบให้กับนักเรียนทั้งหลาย ผู้แสวงหาความรู้ที่จะเปลี่ยนความเชื่อของเขาให้กลายเป็นความรู้ที่แท้จริง เพื่อการพัฒนาจิตวิญญาณของอันเป็นหน่วยย่อย ที่เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณรวมทั้งหมด

    แต่ละร่าง-บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้แต่ละเส้น แตกแขนงออกมาจากต้นกำเนิด พร้อมด้วยความคิดคำนึงว่า เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ของฉัน สัมพันธ์กับบุคลิกภาพตัวตนอื่นๆ ที่มีความปรารถนา มีเจตนาและความมุ่งมั่นเดียวกับฉันอย่างเป็นระบบเครือข่าย ฉันได้ยิน ได้รู้ ได้เห็น บุคลิกภาพตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ ประสบการณ์ของเขาคือของฉัน ประสบการณ์ของฉันคือของเขา มันช่างเป็นความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างมั่งคั่งเสียนี่กระไร

    คืนแล้วคืนเล่าที่ Mrs. Writer ก้าวล่วงไปสู่โลกแห่งความฝัน บุคลิกภาพทั้งหลายเหล่านั้นปรากฏขึ้นในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ เป็นความฝันซ้อนความฝันหลายชั้นด้วยกัน และปรากฏพร้อมกันหมด ราวกับการเฝ้าดูภาพยนต์หลายจอที่ดำเนินไปต่างเรื่องราว ต่างท้องที่ ต่างตัวแสดง แต่เป็นไปพร้อมกันหมดทุกจอภาพ และตระหนักว่าตัวแสดงต่างรูปกายทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนเป็นบุคคลตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ของเธอ ที่มาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนจำเพาะ จากต้นกำเนิดเดียวกัน

    มีบุคลิกภาพสามบุคลิกภาพ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้สามเส้นทาง ที่สะกดให้ Mrs. Writer ต้องเฝ้าดูอย่างจดจ่อคืนแล้วคืนเล่า
    -------------------------------
    ในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่ง หรือจอภาพจอหนึ่ง เธอเฝ้าสังเกตการณ์ เห็นและได้ยินชายผิวขาวผู้มีหนวดเครา ร่างสูงใหญ่ "สัมภาษณ์" บุคิลกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตนของเขา พร้อมกันนั้นเธอก็ตระหนักว่าบุคลิกภาพผู้ปราศจากร่างกายของเธอคือ ผู้ที่เธอเรียกท่านว่า-อาจารย์อนาลัย เธอกำลังมองโลก ณ จุดนี้ จากมุมมองต่างมุม ต่างบุคลิกภาพ ต่างการเป็นบุคคลตัวตน

    ชายผู้นี้เป็นนักเขียน เขาตอบจดหมายมากมายจากผู้อ่านของเขา เขาเดินทางไปรอบโลกเพื่อถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่เขาได้รับมาจากการสัมภาษณ์บุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตนของเขา เขาเป็นักเขียนที่กลายเป็นครูไปโดยปริยาย

    Mrs. Writer คิดคำนึงว่า ฉันไม่ได้เป็นนักเขียนสักหน่อย ฉันเป็นสถาปนิก ฉันเป็นนักการศึกษา ฉันจะทำอะไรกับข้อมูลความรู้ที่ฉันรับถ่ายทอดมาเล่า?

    -------------------------------
    ในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อีกเส้นหนึ่ง หรือจอภาพอีกจอหนึ่ง เธอเฝ้าสังเกตการณ์ เห็นและได้ยินสตรีผิวขาวร่างเล็ก สนทนากับบุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกาย เธอตระหนักดีว่า สตรีผู้นั้นคือเธอ เธอคือสตรีผู้นั้น เธอกำลังมองโลก ณ จุดนี้ ผ่านดวงตาของสตรีผู้นี้ เธอได้ยินเสียงจากภายในกล่าวว่า "Looking through the eyes of Jane..." และตระหนักว่า บุคลิกภาพบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ คือสตรีที่มีชื่อว่า Jane... เธอกำลังมองโลก ณ จุดนี้ ผ่านดวงตาของ Jane จากมุมมองต่างมุม

    สตรีผู้นี้เป็นนักเขียน เธอตอบจดหมายมากมายจากผู้อ่านของเธอ เธอไม่ชอบการเดินทางเท่าไรนัก แต่เธอก็สร้างห้องเรียนเล็กๆในห้องนั่งเล่นในบ้านของเธอ และยินดีให้นักเรียนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาหาเธอจากทั่วประเทศ เพื่อเรียนรู้วิธีการใช้พลังจิต และประสาทสัมผัสภายใน

    Mrs. Writer คิดคำนึงว่า ฉันรู้จัก Jane ในความฝันนี้เป็นอย่างดี แต่ตัวตนยามตื่นของฉันไม่ได้รู้จัก Jane เลย แต่ประสบการณ์ของ Jane ก็เป็นส่วนหนึ่งของฉัน และอยู่ในความทรงจำ อยู่ในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของฉัน ไม่น้อยไปกว่าประสบการณ์ของฉันเอง ขณะที่เฝ้าดู Jane ในความฝัน Mrs. Writer มองเห็นชีวิตของตนเองแทบจะเป็นชีวิตที่ซ้อนกันกับ Jane เพราะ Mrs. Writer เองก็ใช้บ้านของเธอเป็นห้องเรียนที่รับนักเรียนที่ต้องการฝึกสมาธิ และฝึกฝนที่จะใช้ประสาทสัมผัสภายใน บางครั้ง Mrs. Writer ก็อาศัยสถานที่ของโบสถ์ หรือ ห้องสมุด เมื่อมีนักเรียนจำนวนมากมาลงทะเบียนเรียนกับเธอ

    -------------------------------
    ในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อีกเส้นหนึ่ง หรือจอภาพอีกจอหนึ่ง เธอเฝ้าสังเกตการณ์ เห็นและได้ยินสตรีผิวขาวร่างโปร่งบางอีกคนหนึ่ง รับถ่ายทอดข้อมูลจากบุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกาย สตรีผู้นี้เป็นครู เป็นนักเขียน เธอเขียนหนังสือด้วยปากกาขนนกอย่างรวดเร็ว เธอตอบจดหมายผู้อ่านทุกฉบับอย่างตั้งใจ ความสุุขของเธอคือการได้สัมผัสกับผู้อ่าน การตอบคำถามพวกเขาอย่างหมดเปลือก และการสัมผัสถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อ่านของเธอด้วยความรักอันไร้พรหมแดน Mrs. Writer รู้สึกว่ามันช่างน่าขบขันเสียจริง ที่สตรีในยุคนั้นต่างก็สวมกระโปรงยาวรุ่มร่ามและเกล้าผมกันทั้งนั้้น แต่เธอกลับพอใจที่จะตัดผม bob สั้นๆ และเรียกตนเองว่า "lady with the bob hair." สีโปรดของเธอคือ lavender
    [​IMG]
    Mrs. Writer สวมจิตวิญญาณของสตรีผู้นี้ เอื้อมมือผลักบานประตูบานคู่ที่ทำด้วยไม้โอ๊คขนาดยักษ์ ก้าวเข้าไปสู่ภายในของตัวอาคารอย่างคุ้นเคย เสียงน้ำพุกระเซ็นซ่านอยู่เบื้องหลัง เธอคุ้นเคยกับเสียงน้ำพุ 100 อันที่ดังราวกับเป็นเสียงของน้ำตก เธอรักบ้านหลังนี้ เพราะมันเป็นทั้งบ้านและโรงเรียนที่เธอกับสามีของเธอก่อตั้งขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและความศรัทธาอันลุ่มลึก ด้วยเป้าหมายที่จะถ่ายทอดข้อมูลความรู้ทั้งหมดที่เธอรับถ่ายทอดจากบุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตนไปสู่ผู้คนทั้งหลาย มันช่างเป็นความปรารถนาที่เต็มไปด้วยภาระหน้าที่ที่ยากลำบาก และต้องต่อสู่กับความเชื่อของกลุ่มชน และผู้ที่ยึดติดกับความเชื่อทางศาสนาอย่างเหนียวแน่น แต่การสร้างสรรค์ของเธอก็รุดหน้าไปได้อย่างเหลือเชื่อ ด้วยความศรัทธาและการค้นพบของคนจำนวนมากที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้อ่านหนังสือของเธอเพียงไม่กี่คน แม้เธอจะพบกับอุปสรรคมากมายที่บั่นทอดชีวิตและความสงบสุขอันเป็นส่วนตัวของเธอ แต่สตรีผู้นี้ก็ไม่เคยหยุดยั้ง

    ประเทศอินเดีย และ ประเทศอังกฤษ คือ ดินแดนที่เธอใฝ่ฝัน แต่ชีวิตของเธอก็เต็มไปด้วยภาระกิจที่แทบจะทำให้การเดินทางไกลเป็นไปไม่ได้ บ้านหลังใหญ่ที่เป็นทั้งโรงเรียนและบ้านของเธอ กลายเป็นโรงเรียนไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ เธอมีบ้านหลังเล็กๆอยู่กลางสวน ห่างจากอาคารเรียนไปไกลพอสมควร แต่อยู่ในที่ดินผืนเดียวกัน มันเป็นบ้านที่ไม่มีครัว เพราะเธอใช้เวลาทั้งหมดชั่วชีวิตกับการเขียนหนังสือ ตอบจดหมายผู้อ่าน สอนหรืออบรมนักเรียนจำนวนมาก และอาศัยโรงครัวของโรงเรียนเป็นห้องอาหารของครอบครัว

    บ้านหลังใหญ่ที่เป็นทั้งโรงเรียนและบ้านของเธอ เป็นสถานที่ที่ Mrs. Writer คุ้นเคยจนแทบจะแยกมันออกจากโลกยามตื่นของเธอไม่ได้ เธอจำห้องต่างๆได้อย่างแม่นยำ เธอจดจำได้แม้กระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต ที่เธอกล่าวลา-เลขา-ผู้ร่วมงานของเธอ ผู้ช่วยเธอรวบรวมจดหมายผู้อ่าน และช่วยนำจดหมายเหล่านั้นไปส่งที่ไปรษณีย์ให้เธอทุกวันเป็นเวลากว่า 40 ปี เลขาของเธอเป็นทั้งเพื่อนรัก และเปรียบเสมือนพี่สาวที่ดูแลเธออย่างใกล้ชิดเสมอมา เธอเดินกลับไปยังห้องนอนของเธออย่างเหนื่อยล้า หลังจากร่ำลาเพิื่อนร่วมงานและสามีของเธอ เธอล้มตัวลงนอนในเตียงอันแสนสบาย จ้องมองดูภาพประธานาธิบดี Lincoln ที่ติดอยู่บนผนังปลายเตียง คิดคำนึงถึงภาระอันยิ่งใหญ่ของ Lincoln และบอกกับตนเองว่า ภาระอันยิ่งใหญ่ของฉันได้สำเร็จลงแล้วด้วยร่างกายตัวตนนี้ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน และรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแผ่วลงๆ จนกระทั่งมันหยุดสนิท....

    Mrs. Writer หายใจเข้าอย่างแรง พร้อมกับลุกขึ้นนั่งอย่างฉับพลันในเตียงนอนของเธอ เธอตื่นขึ้นพร้อมกับตระหนักว่า มันไม่ใช่ฝันร้าย....แต่มันเป็นการตื่นขึ้นบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อีกเส้นหนึ่ง ที่ชีวิตของจิตวิญญาณของสตรีผู้นั้นดำเนินต่อไป เป็นบุคคลตัวตนใหม่ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ จะเรียกมันว่าเป็นชาติภพใหม่ มิติใหม่ก็ไม่ผิด.... แต่เป้าหมายและภาระหน้าที่ที่เลือกไว้ก่อนมาถือกำเนิด พร้อมด้วยอารมณ์อันลุ่มลึกที่สถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณ ยังคงทำให้สตรีผู้นั้น หรือ Mrs. Writer ตระหนักในความปรารถนาและการสร้างสรรค์ ที่ยังไม่สิ้นสุด....

    เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ และการเป็นบุคคลตัวตนนี้ เป็นเส้นทางที่ Mrs. Writer แวะเวียนไปเรียนรู้ และเฝ้าสังเกตการณ์เสมอๆในความฝัน เสียงน้ำพุร้อยอันยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท มันช่างเป็นสถานที่ที่พิเศษอะไรเช่นนั้น.... Mrs. Writer แทบจะปักใจเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างตัวเมือง Lawrence ที่เธออาศัยอยู่ไปทางตะวันออก แต่มันอยู่ที่ไหนแน่ ? และจะหามันพบไหม ? Mrs. Writer ขอร้องให้สามีของเธอพาขับรถไปเพื่อค้นหาสถานที่แห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็หาไม่พบ เธอไม่ได้ตระหนักว่า 21 ปีหลังจากนั้น เธอจะค้นพบสถานที่แห่งนั้น พร้อมด้วยน้ำพุ 100 อัน และประวัติศาสตร์แห่งจิตวิญญาณอีกมากมาย.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • myrtle.gif
      myrtle.gif
      ขนาดไฟล์:
      20.4 KB
      เปิดดู:
      31
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008
  19. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ที่มา และ ที่ไป...............><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เดรด นั่งมอง ชั้นหนังสือ ที่มีหนังสือ เรียงราย อยู่เต็มไปหมด มีทั้งแนวศาสนา แนวจิตวิทยา แนวนิวเอจ ฯลฯ ...3 ปีที่ผ่านมา เราอ่านหนังสือ มากมายเหล่านี้ ไปได้ยังไงนะ<O:p></O:p>
    ทดลองทำมาแล้วสารพัด ดูๆแล้วไม่ถึงไหน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ...เธอ ครุ่นคิด ไปพลาง เหลือบไปเห็น หนังสือ เล่มเล็กๆ ขนาดกระทัดรัด ที่มีชื่อว่า
     
  20. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ฝันคืนต่อมาของจินตนาffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ในห้องลับภายในมหาวิหาร คนกลุ่มหนึ่งกำลังประชุมกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บนบัลลังค์ที่แกะสลักมาจากศิลาปรากฏร่างชายหนุ่มแต่งกายลักษณะงดงามเฉพาะผ้าที่ใช้พันกายก็สวยงามระยิบระยับดั่งทอมาจากเส้นทองคำปานนั้น ชายหนุ่มผู้มีภัตราภรณ์ประดับบนศรีษะนั่งเคียงคู่อยู่กับหญิงสาวลักษณะสง่างามเช่นกัน หล่อนสวยสมวัย หน้าตาหญิงสาวบ่งบอกลักษณะของความเด็ดเดี่ยว และดูน่ากลัวในขณะเดียวกัน โดยเฉพาะแววตา บนศรีษะหญิงสาวมีเครื่องประดับอันแสดงถึงฐานันดรเช่นเดียวกัน เบื้องล่างแวดล้อมไปด้วยเหล่าบุรุษและสตรีประมาณ 10 คน หมอบแสดงอาการเคารพ ยำเกรง<O:p></O:p>
    ข้าอยากรู้นักว่ามันผู้ใดที่นำแผนการของข้าไปแจ้งแก่เหล่านักบวชพวกนั้น มันเป็นเพราะนักบวชพวกนั้นมิใช่รึที่คอยขัดขวางแผนการของข้าอยู่ร่ำไป ไม่ว่าข้าจะทำอะไร หรือไปทางใดก็ตาม ทำไมข้าต้องคอยปรึกษาเจ้าพวกนั้นด้วยทั้ง ๆ ที่ข้าเป็นผู้ครองอาณาจักรแห่งนี้ เป็นโอรสที่พระเจ้าส่งมาแท้ ๆ เสียงจากชายหนุ่มที่ประทับนั่งบนบัลลังค์สำเนียงบ่งบอกอาการโกรธจัดหญิงสาวที่นั่งเคียงข้างกายหันมามอง มือของนางเอื้อมไปแตะหลังมือชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้าง พร้อมเอ่ยโอษฐ์<O:p></O:p>
    ก็เพราะพวกมันถือว่า พวกมันกำความลับแห่งพลังอำนาจอยู่ในมือน่ะสิ คิดรึว่าเพียงแค่องค์ความรู้นั้นจะสามารถทำให้พวกมันยิ่งใหญ่กว่าข้าได้ ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้ข้า และสวามีต้องยินยอมอยู่ภายใต้การดูแลแห่งกลุ่มนักบวชนั้น แต่ถ้าองค์ความรู้นั้นสูญหายไปล่ะก็ นับจากนี้ไปจะไม่มีวันที่ใครจะได้พบความลับนั้นอีกต่อไป จะไม่มีใครล่วงรู้ถึงที่มาแห่งพลังอำนาจนั้น และจะไม่มีผู้ใดหาญกล้าขึ้นมาเทียบเคียงกับเราอีกต่อไป บุตรแห่งโอสิริสคือพวกข้าเท่านั้น จำไว้”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทหารกลุ่มหนึ่งนำหญิงสาวร่างระหงเข้ามาภายในห้องลับ พร้อมรายงานต่อนายเหนือหัวของพวกเขา<O:p></O:p>
    ข้าได้นำตัวพระนาง......... ตามคำสั่งของท่านแล้ว”<O:p></O:p>
    สายตาของทุกคนในที่นั้นเพ่งมองไปยังหญิงสาวที่เพิ่งถูกทหารคุมตัวเข้ามา<O:p></O:p>
    ข้าเสียใจจริง ๆ เจ้าเป็นถึงพระขนิษฐาแห่งเรา เหตุใดจึงคิดคด ทรยศ ต่อข้าถึงเพียงนี้ หญิงสาวที่ประทับนั่งบนบัลลังค์ส่งเสียงเกรี้ยวกราด<O:p></O:p>
    ท่านพี่ ข้าไม่ ..”<O:p></O:p>
    อย่าปฏิเสธเลย มีแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความลับการปฏิวัติศูนย์อำนาจของพวกข้า และเจ้าเพียงคนเดียวเช่นกันที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ เจ้ามันหัวโบราณเกินไป เจ้าเห็นแก่นักบวชพวกนั้นมากกว่าเราที่เป็นถึงมหารานีแห่งนคร และพี่สาวของเจ้า <O:p></O:p>
    ท่านพี่ข้าไม่ได้ทำ หญิงสาวที่ถูกควบคุมส่งเสียงร่ำร้อง ขณะเดียวกันนางมองไปรอบ ๆ ห้อง มองหาใครสักคนที่จะเข้าข้าง และช่วยนางในการอธิบายความเป็นจริง อนิจจา ทั้งพี่น้อง และ เพื่อนรัก หามีใครสักคนไม่ ที่จะมีความกล้าที่จะช่วยเหลือเธอ หรือเอ่ยทัดทาน มีหลายคนที่มองหล่อนอย่าไม่เชื่อเช่นกัน หล่อนก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง น้าตาไหลออกมาเป็นสาย <O:p></O:p>
    และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่นต่อไป ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยมือของข้าเอง ขนิษฐาแห่งข้า มหารานีสูงศักด์ค่อย ๆ ก้าวลงมาจากบัลลังค์ พร้อมดาบในมือ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>มหารานีนางได้ทำพลาดไปเสียแล้ว นางตัดสินชีวิตของน้องสาวคนเดียวด้วยความผิดที่ไร้หลักฐาน นางลืมเลือนไปว่า สำหรับนักบวชที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ความลับไม่มีในโลก นางลืมไปว่า จิตวิญญาณล้วนประสานงานกันเป็นเครือข่าย ไฉนเลยผู้นำแห่งกลุ่มนักบวชผู้ผ่านการฝึกฝนทางจิตมายาวนานจะไม่ล่วงรู้ในสิ่งนางคิด

    <O:p> (นวนิยายเล่มนี้เกิดจากความฝันและจินตนาการส่วนตัวเท่านั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ใด ๆ) </O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...