วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    จงอย่าเมาในชีวิต
    (คัดลอกบางส่วนจากสนทนาธรรม เล่ม 6 โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี น.55 - 74)

    ..."นักเจริญกรรมฐานทุกคนก็จงอย่าเมาในชีวิต ก็ต้องรู้อยู่ว่าเราจะต้องตาย" นี่ให้มีความรู้สึกอยู่เสมอ ท่านบอกให้ถือบาลีต้น คือบาลีสำคัญมีอยู่บทหนึ่งในพุทธศาสนาว่า

    "อัตตา หิ อัตตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
    อัตตนา หิ สุทันเตนะ นาถัง ละภะติ ทุลละภัง"

    แปลว่า
    ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    ถ้าเราฝึกฝนตนดีแล้ว เราจะได้ที่พึ่งอันบุคคลหาได้โดยยาก

    นี่หมายความว่าความดีและความชั่วมันอยู่ที่เราคนเดียว ท่านว่ายังงั้น ทุกคนหวังเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ความจริงพระพุทธเจ้าก็เป็นที่พึ่งได้ แต่หากว่าเราปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน หากว่าทุกคนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอน พระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นที่พึ่งของเราได้ หากว่าบุคคลทำตนของเราดีแล้ว จะได้ที่พึ่งที่บุคคลหาได้โดยยาก ก็หมายถึงพระนิพพาน นี่ท่านต้องการอย่างนั้น

    ในตอนต้นท่านจะมาสอน บอกว่า "ให้ทุกคนจงอย่าเมาในชีวิต จงคิดว่าเราน่ะจะต้องตาย"

    ไอ้คำว่าตายในที่นี้จะไปรอตายวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ วันมะเรื่องนี้ มันไม่ถูก คิดว่าเราน่ะตายทุกลมหายใจออก ลมหายใจที่มันออกไปแล้วน่ะ ลมเก่ามันไม่เข้านะ ที่เข้ามามันเป็นลมใหม่ หายใจออกไปแล้ว ถ้าบังเอิญเราไม่สูดลมหายใจใหม่เข้ามามันก็ตาย ชีวิตเราตายตรงนี้ ตายทุกลมหายใจออก หรือว่าเราหายใจเข้าถ้าเราไม่หายใจออกมันก็ตาย นี่ต้องคิดว่าเราตายอยู่เสมอ ในเมื่อเราคิดว่าเราตายแล้ว เราก็ต้องเป็นผู้ไม่เมาในชีวิต

    นี่ท่านสอนต่อไป เมื่อกี้ท่านเตือนมานะ วันนี้น่ะดูเหมือนว่าจะหนักไปในเรื่องวิปัสสนาญาณ ดูท่านเงียบๆ องค์ที่มาคุมวันนี้เป็น สมเด็จพระพุทธสิขี แล้วก็มีบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหมดที่เรารู้จัก แล้วก็ที่ฉันไม่รู้จักมั่ง มาเยอะ วันนี้ล้วนแล้วแต่พระโพธิสัตว์ แล้วก็มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน บรรดาท่านสาวกทั้งหลายวันนี้ไปตั้งแถวอยู่ไกลหน่อย เพราะว่าท่านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เข้ามา...


    ...ท่านบอกว่าเมื่อเราพิจารณาชีวิตเราอย่างนั้น คิดว่าเราจะต้องตาย ก็หันมามองดูชีวิตว่าไอ้ร่างกายของเรานี่น่ะ มันมีสภาพเหมือนรถยนต์หรือเรือยนต์ มันมีสภาพเหมือนกัน คือ มันมีธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกัน ไอ้ที่จับลงไปเป็นก้อนเป็นแท่งมันแข็งก็เป็นธาตุดิน แล้วก็มีน้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายหรือดื่มเข้าไป นั่นเป็นธาตุน้ำ อากาศพัดไปมีลมหายใจเข้าออกเป็นต้น หรือลมที่มันพัดไปตามเส้นตามสายนี่มันเป็นธาตุลม ความอบอุ่นเป็นธาตุไฟ สภาพของร่างกายทั้งหมดนี่ถ้าไม่มีจิตเข้ามาอาศัย มันจะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่เขาวางทิ้ง มันไม่มีความรู้สึกหนาว ไม่มีความรู้สึกร้อน ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ไม่รู้สึกว่ามันจะสวยจะสกปรกหรือมันสะอาด ไม่มีหรอก แต่นี่ที่เรารู้ก็เพราะอาศัยจิตเข้าควบคุม

    ท่านเปรียบกับรถ รถนี่ก็มีสภาพมีธาตุ ๔ คุมกันเหมือนกัน รถยนต์คือของแข็งๆ ทั้งหมดเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำก็เรารู้แล้วต้องเติมน้ำ รถมันจึงจะไปได้ หรือว่าถ้าไม่ใช่น้ำเติมหล่อไปในหม้อถ่ายเทความร้อนความเย็น ก็มีน้ำมัน ที่นี้ก็ต้องมีความร้อนคือธาตุไฟ ธาตุลมเราก็ต้องใช้พัดให้เครื่องเย็น ไอ้รถยนต์นี่ถ้าจะเปรียบเทียบกับร่างกาย ท่านบอกว่าถ้าหากไม่มีคนเข้าไปคุม มันจะวิ่งไปไหนได้ไหม แล้วมันจะทรงตัวอยู่ได้นานเท่าไร ถ้าเชื้อเพลิงไม่มีเมื่อไร น้ำมันหล่อลื่นไม่มีเมื่อใด มันก็จอดสนิทตายไปไม่ได้

    ตานี้ไอ้รถนี่น่ะ ถ้าเราอาศัยมันได้ก็เพราะอาศัยคนขับขี่ควบคุม ตัวรถเหมือนกับร่างกาย คนที่เข้าไปควบคุมเหมือนจิตที่เข้ามาสิงในร่างกาย ตานี้รถมันจะรู้จักว่ามันสะอาดมันสกปรก มันจะใหม่หรือไม่ใหม่ สวยหรือไม่สวย ไม่มีสำหรับตัวรถ อันนี้ที่จะรู้ว่ามันจะสวยหรือไม่สวย ไม่มีสำหรับตัวรถ อันนี้ที่จะรู้ว่ามันจะสวยหรือไม่สวย สะอาดหรือสกปรก มันเป็นเรื่องคนคุมรถนั่นเอง เหมือนกับร่างกายของเราเหมือนกัน ตามธรรมดามันสกปรก ไอ้ธาตุ ๔ นี่น่ะมันคลุกเคล้ากัน มีน้ำเลือด น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลายอะไรพวกนี้ มันอยู่ในท้องเยอะแยะ มันสกปรก แต่ร่างกายมันจะรู้ว่าสกปรกหรือสะอาดก็ไม่มี มันจะรู้สภาพของมันสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้ เป็นแต่เพียงอาศัยจิตที่เข้าไปอาศัยนี่หรอก มันเข้าไปติร่างกายว่าตัวนั้นสวย ตัวนี้ไม่สวย ตัวนั้นดี ตัวนี้ไม่ดี แต่ถ้าจิตสะอาดก็รู้ตามความเป็นจริง ถ้าหากว่าจิตมันสกปรกล่ะ จิตมีกิเลสไม่รู้เสียอีก เห็นไอ้ของที่สกปรกเข้าใจว่าเป็นของสะอาด นี่ท่านบอกให้พิจารณาอย่างนี้แล้วก็ปลดมันเสีย ที่เรามาทำกันนี่น่ะ เรามาทำหวังความดีกัน เรามาทำเพื่อต้องการไม่เกิด ถ้าขืนเกิดอีกเราก็มีทุกข์อย่างนี้

    ตานี้ถามท่านว่าคนทุกคนจะหวังไปนิพพานได้รึ ท่านบอกว่ามันของง่าย นิพพานนี่ไม่ใช่ของยาก ของง่าย ง่ายมาก ถามว่าง่ายยังไง บอกก็เราไม่ต้องการเกิดมันเสียซิ! เราคิดไว้เสมอว่าเราเกิดมาลำบาก เกิดกี่ชาติๆ มันก็ลำบากอย่างนี้ มีทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการเกิดมัน คิดมันทุกวันว่าเราไม่ต้องการเกิด เราจะไปนิพพาน ทำบุญอะไรนิดทำบุญอะไรหน่อยนี่ เราจะไปนิพพาน เราไม่เอาไอ้เรื่องว่าความดีทั้งหลายแหล่ทั้งหมดน่ะ เราไม่ต้องการ ทิ้งดีมันเสีย ดีในโลก ดีในโลกก็มี

    ๑) โลภโมโทสันเกินสมควร หมายความว่าตะเกียกตะกายไปคดโกงเขา ยื้อแย่งเขา หลอกลวงเขา อันนี้ไม่เอาเราไม่ต้องการดีประเภทนี้ ความมีลาภน่ะ

    ๒) มียศ ไอ้การแต่งตั้งอะไรต่ออะไร มียศฐาบรรดาศักดิ์น่ะ เราไม่เมามัน ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพของมัน ถ้าใครเขาจะตั้งอะไรเราแค่ไหน แล้วเขาจะให้เท่าไรเราพอใจเท่านั้น ทำให้จิตมันหยุด แล้วมันดีของมันเอง มันสบาย

    ๓) ไอ้คำสรรเสริญก็เหมือนกัน ใครเขาว่าดีเราก็ไม่ดีไปตามเขา ใครเขาว่าเราชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตามเขาว่า ถ้าเราเลว เขาจะสรรเริญว่าเราดี เราก็ดีไม่ได้เหมือนกัน

    ๔) ทีนี้ไอ้ตัวนินทาเราก็อย่าไปเดือดร้อน เขาว่าเราชั่ว ถ้าเราดีแล้วมันไม่ชั่ว ถ้าเราชั่วเขาชมว่าดีมันก็ไม่ดี ก็เลยไม่ต้องเดือดร้อนตามคำพูดของเขา

    นี่เป็นถ้อยคำตอนแรกที่ท่านเตือน บอกว่า

    "บอกกันนะ! บอกกันให้รู้ว่าเราทำเพื่อพระนิพพาน แล้วก็นิพพานเป็นของทำง่าย ทำจิตให้พอใจในนิพพาน ทำจิตให้พอใจในความไม่เกิด"


    ................................................................
     
  2. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    อนุโมทนากับบุญปฏิบัติทั้งหมดของน้องเจนจ้ะ ก้าวหน้ามาก
    ลิงน้อยหายไปไม่เห็นอีกแล้ว กลายเป็นหญิงสาวใส สงบเย็น..
    เป็นผู้แสวงหาโอกาสเพื่อเป็น "ผู้ให้" กับส่วนรวมตามอัตตภาพ

    เป็นภาพที่งดงามมากๆค่ะ
    อนุโมทนาบุญคุณคณานันท์ คุณชธร คุณต้น-ไลท์ คุณปู และคุณตุ๊กตาแก้วด้วยค่ะ...ช่างเจียระนัยธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2008
  3. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    สงสัยมั้ยครับว่าพระโพธิสัตว์มีเคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน เพื่อตอบข้อข้องใจของใครหลายคนสำหรับใครที่อยากรู้....?

    มานพหนุ่มช่างทอง

    กาลต่อมาพระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นบุตรของช่างทอง และเป็นมานพหนุ่มช่างทองมีรูปสิริเลิศงดงาม ในเมื่องแห่งนั้น มีฝีมือในการทำทองนั้นยอดเยียม ชื่อเสียงในการทำทองขจรไปไกล เพราะความมีฝีมือนี้เอง ได้มีเศรษฐีของเมื่องมาทำการว่าจ้างให้ทำทองรูปพรรณ ให้บุตรสาวที่จะเข้างานวิวาห์มงคล เมื่อเห็นรูปร่างของหนุ่มช่างทองก็เกิดรังเล แต่ไม่สามารถหาช่างทองที่ฝีมือดีกว่านี้ได้อีกเลย จึงกล่าวกับหนุ่มช่างทองว่า ถ้าท่านเห็นมือ และเท้าของบุตรสาวของเราอย่างเดียวท่านสามารถทำทอง ได้สวยสดงดงามหรือไม่? หนุ่มช่างทองก็บอกว่าทำได้ เหตุผลของท่านเศรษฐีทำแบบนี้ เพราะบุตรสาวเป็นหญิงที่สวดสดงดงาม เมื่อเห็นหน้าตากันจะทำให้ทั้งสองเกิดหวั่นไหว มีปัญหาในการแต่งงานของลูกสาวกับบุตรชายของเพื่อนเศรษฐี ที่หมั่นหมายไว้แล้วเป็นการตัดไฟเสียต้นลม

    เมื่อถึงวันที่หนุ่มช่างทอง ทำการตรวจวัดมือและเท้าของบุตรสาวเศรษฐี ที่บ้านของเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ทำฉากกั่น ให้บุตรสาวยื้นเฉพาะมือและเท้าออกมาเท่านั้น แต่บุตรสาวเกิดความสงสัยว่าทำไม่บิดาจึงทำอย่างนี้ ในขณะที่หนุ่มช่างทองกำลังตรวจวัดอยู่ บุตรสาวเศรษฐี ก็แอบดูตามช่องที่มองเห็นได้ เมื่อเห็นรูปร่างหนุ่มช่างทองเกิดหลงรักทันที จึงทำการเขียนอักษร นัดแนะหนุ่มช่างทองทันที่ ว่าในค่ำคืนนี้นัดเจอกันที่ส่วนหลังบ้านที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ฝ่ายหนุ่มช่างทองเมื่อเสร็จภารกิจ ก็กลับไปยังเรือนของตน ทำงานทำทองตลอด

    เมื่อตกค่ำก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปตามนัด ที่ กาญจนวดีกุมารีบุตรสาวเศรษฐีได้เขียนอกษรไว้ แต่มานพหนุ่มช่างทองมาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน นั่งรออยู่ เพราะทำงานมาทั้งวัน เมื่อเจอบรรยากาศร่มรื่นจึงเผลอหลับไป เมื่อนางกาญจนวดีกุมารีมาถึงก็เห็นหนุ่มช่างทองหลับไปแล้ว ซึ่งในสมัยนั้นมีการถือกันว่า ถ้าผู้ใดนอนหลับอยู่ห้ามปลุกขึ้นมาเพราะจะเป็นบาป นางจึงนั่งรอเป็นเวลาพักใหญ่ เห็นว่าไม่ตื่น จึงว่าขันใส่ดอกไม้ไว้ แล้วเขียนอักษรไว้ว่า นางได้มาแล้วแต่ท่านหลับอยู่ จึงว่างขันดอกไม้ไว้ให้ทราบ และในราตรีต่อไปขอนัดเจอที่เดิม แล้วจากไป เมื่อหนุ่มช่างทองตืนขึ้นมาเห็นขันดอกไม้ จึงรู้ว่านางได้มาแล้วและได้อ่านข้อความที่นางเขียนไว้

    ตกค่ำวันต่อมาหนุ่มช่างทองก็ออกไปตามนัดเหมือนเดิม ก็ไปถึงต้นไม้ใหญ่ก่อนอีก ด้วยความอ่อนแรงจากการงานจึงเผลอหลับไปอีก นางกาญจนวดีกุมารีเมื่อมาถึงก็เห็นหลับเหมือนเดิม จึงเขียนอักษรนัดแนะเหมือนเดิม หนุ่มช่างทองเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบอักษรที่นัดแนะ ก็ให้นึกโกรธตนเองที่เผลอหลับมาสองวันแล้ว

    พอตกค่ำวันที่ 3 ครั้งนี้หนุ่มช่างทองพยายามเตือนตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้เผลอหลับ แต่ต้านไว้ไม่อยู่เลยเผลอหลับไปอีก เมื่อกาญจนวดีกุมารี มาเห็น ก็คิดว่า บุญไม่ต้องกันที่จะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตนจะเข้างานวิวาห็ นางจึงวางขันดอกไม้ไว้อย่างเดียว ให้รู้ว่านางได้มาตามนัดแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้เขียนอักษนัดแนะประการใด เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมา ก็โกรธตนเองที่เผลอหลับ จึงกลับบ้านด้วยความผิดหวังที่จะดูหน้าและรูปร่างเพียงสักครั้ง

    แล้วนางกาญจนวดีกุมารี ก็เข้าวิวาห์กับบุตรชายเศษรฐี ตามกำหนดการ ฝ่ายหนุ่มช่างทองก็คล่ำครวญถึงนางกาญจนวดี ว่าสมควรจะอยู่ร่วมภิรมณ์กับตนและควรเป็นของเรา เพราะหญิงก็มีใจกับตน จึงคิดหาอุบาย ได้ทำเครืองทองที่ดีเลิศขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วนำไปถวาย มหาอุปราช มหาอุปราชทรงพอพระทัย จึงทรงถามหนุ่มช่างทองว่า มีประสงค์อันใดที่นำเครื่องทองอันดีเลิศมาถวาย หมุ่นช่างทองจึงบอกจุดประสงค์ มหาอุปราชจึงรับปากและจะออกอุบายช่วยเหลือ หลังจากนั้นก็ให้หนุ่มช่างทองแต่ตัวเป็นสตรี ปลอมเป็นน้องหญิงของมหาอุปราช แล้วทรงกระบวนช้างผ่านไปยังบ้านเศรษฐีแล้วตรัสบอกกับท่านเศษรฐีว่า จะเอาน้องหญิ่งมาฝาก ที่บ้านเศรษฐี เพราะออกไปปราบข้าศึกที่ชายแดน และห็นว่าท่านได้สร้างเรื่อนใหม่ ที่พอจะฝากน้องหญิงได้

    แล้วมหาอุปราชถามอีกว่า "เรือนนั้นเป็นเรื่อนของใครของใครหรือ? "
    เศรษฐีจึงตอบว่า "เป็นเรือนของบุตรสาวที่พึ่งแต่งงาน"

    มหาอุปราชกล่าว "อย่างนั้นก็ดีสิ ! จะได้ให้น้องหญิงพักอยู่ที่นั้น และจะได้ให้บุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อนของน้องหญิง ให้นางงดการอยู่ร่วมกับสมามีชั่วคราว ห้ามผู้ชายแม้กระทั้งสามีของบุตรสาวท่านเข้าไปในส่วนของชั้นเรือนที่น้องหญิงพักอยู่ โดยมีบุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพือน แล้วเราจะกลับมารับหนึ่งหญิงในภายหลัง"

    เศรษฐีด้วยความเกรงในอำนาจของอุปราช และเห็นว่าท่านอุปราชทรงห่วงใยน้องหญิงคนนี้มาก จึงรับทำตามที่มหาอุปราชกับชับด้วยความเต็มใจ

    หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองได้อยูร่วมกับนางกาญจนวดี เป็นเวลา 3 เดือนโดยไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนมหาอุปราชมารับกลับไป

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->ด้วยผลกรรมที่พระโพธิสัตว์ ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่นเมื่อสิ้นอายุขัยของตกนรกทันที่ เวียนเกิดตายระหว่างอบายภูมิ(ภพต่ำ)เป็นเวลานาน แล้วเกิดเป็นกระเทยและเป็นผู้หญิง เป็นพันชาติ รวมเวลา ถึง 14 มหากัป <!--colorc--><!--/colorc-->

    เมื่อทำกรรมหนักเพียงชีวิตเดียว ก็ตกลงในภพภูมิที่ต่ำจะทำให้สร้างบุญกุศลนั้นยาก เพราะใจจะตกต่ำไปด้วย ย่อมกระทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไปเรี่อยกว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็ใช้เวลาหลายมหากัป นับประสาอะไรกับผู้ที่ไม่ปรารถนาสร้างบารมี(อย่างใดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา) จะวนเวียนอยู่โดยไม่รู้ทิศรู้ทางเป็นเวลานานนับแสนแสนอสงไขย จนประมาณไม่ได้


    เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี (หรือพระนางวิสุทธาเทวี ในหนังสือ พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง ของ อ.บารมี)

    จากกรรมที่พระโพธิสัตว์ทำผิดศีลกาเมมิจฉา แล้วตกนรก เป็นเวลานานแสนนาน หลังจากนั้น ถือกำเนิดเป็น ลา เป็นโค เป็นคนพิการ เป็นตาบอด เป็นคนหูหนวก เป็นกระเทย และเป็นสตรี อย่างละ 500 ชาติ เป็นการชี้ให้เห็นว่า เป็นมนุษย์ผิดศีลอย่างเด็ดขาด ด้วยอำนาจแห่ง โทสะ และราคะ อย่างรุนแรง และติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นเดือน หลังจากนั้นไม่ได้สร้างบุญกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อ ผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลพรต หรือต่อธรรมที่กำหนดให้รักษาศลี 5 อย่างศรัทธา ในภายหลัง บาปที่ทำไปแล้วนั้นมีกำลังรุนแรง ให้เป็นชนกกรรม คือจะส่งผลทันที่เมื่อได้ตายไปจากภพปัจจุบัน สัตว์ใดที่ทำบาปอย่างรุนแรง เมื่อตกลงเบื้องต่ำอบายภูมิ จะหลุดออกจากอบายภูมิโดยเร็วพลันนั้นอยากยิ่ง

    มากล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยเศษกรรมชาติสุดท้าย ด้วยมีบุญเก่าหนุนนำ จึงเกิดเป็นสตรีในวงค์กษัตริย์ ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช และในกัปนั้นเป็นสารกัป เพราะ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ เพียงพระองค์เดียว ทรงพระนามว่า พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า พระองค์เป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช แต่ต่างมารกับเจ้าหญีงสุมิตตาเทวี และพระพุทธเจ้ามีฐานะเป็นพี่ชายของพระนาง เมื่อพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พระทรงทำให้พระธรรมปรากฏขึ้น ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างได้รับรสพระธรรมนั้น จำนาณมากมายเหลือคณานับ บังเกิด พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นรัตณตรัย กระจรไปทั่วสากลจักรวาล

    กล่าวถึงพระนางสุมีตตาเทวี ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเชษรฐาเป็นทุนเดิม เมื่อพระเชษรฐา ตรัสรู้เป็นพระบุราณทีปังกรพุทธเจ้า ความศรัทธาย่อมมีมาขึ้นเป็นทวีคุณ

    วันหนึ่งเวลาใกล้คำพระนางยืนอยู่บนปราสาทมองลงมาเบื้องล่าง ก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาต อยู่ที่หน้าราชวังของพระนาง จึงคิดในพระทัยว่า " พระคุณเจ้ามาบิณฑบาตอะไรหนอ ถึงได้มาใกล้ค่ำ" จึงทรงสั่งให้บุรุษรับใช้ไปถามพระภิกษุ พระภิกษุรูปนั้นบอกว่า จะมาบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อพระนางทรงทราบ จึงได้อาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา ณ อาสนะ อันสมควร แล้วพระนางทรงดำรัสถามว่า "พระผู้เป็นเจ้า มีความประสงค์น้ำมันไปเพื่อทำอะไร?" พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า

    " อาตมา บิณฑบาตน้ำมันเป็นอันมากเพื่อ จุดประทีปมากมาย ทำการสักการะบุชาแด่พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า จนสิ้นราตียันรุ่งสาง พร้อมทั้งมีเหล่าพระอริยะสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน อาตมารับทำภารกิจนี้เสมอมา" พระนางสุมิตตาเทวีได้รับทราบดังนั้นมีศรัทธาเป็นอันมาก ก็ดำริในพระทัยว่า "พระเชษฐาของเรา ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในกาลเบื้องหน้าขอให้เราได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกเหมือนพระองค์"

    หลังจากนั้นพระนางทรงเอาน้ำมันถวายพระคุณเจ้า จนเต็มบาตร พร้อมทั้งกล่าววาจาปณิธานว่า

    <!--coloro:#9932CC--><!--/coloro-->"ด้วยอนิสงสผลทานนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จผลตามที่ปรารถนา และขอให้พระคุณเจ้าจงมีจิตช่วย กราบทูล พระองค์ด้วยว่า พระน้องนาง ของพระพุทธองค์ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท พระพุทธองค์ และขอตั้งความปารถนาว่า ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคต ให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า สิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด" <!--colorc--><!--/colorc-->

    หลังจากนั้นพระนางก็ส่งพระคุณเจ้ากลับไป
    ผ่ายพระคุณเจ้า ครั้งนี้ได้น้ำมันมากกว่าทุกวันที่แล้วมา จึงจุดประทีปได้สว่างไสว มากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วก็เข้าไปกราบทูลสมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้าว่า

    " ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คืนนี้ข้าพระองค์ได้จุดประทีปบูชาได้มากกว่าคืนก่อนๆ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันพระน้องนางสุมิตตาเทวีของพระองค์ถวายมา และพระนางกล่าววาจาอธิษฐานว่า พระนางมีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท พระพุทธองค์ และขอตั้งความปารถนา ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคต ให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า สิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด ข้าพระองค์จึงขอโอกาสกราบทูลถามต่อพระองค์ว่า ความปารถนาของพระน้องนางจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า ?"

    พระพุทธองค์เมื่อได้สดับฟัง จึงตรัสว่า " พระน้องนาง ยังเป็นสตรีเพศอยู่ จึงยังไม่สมควรรับลัทธยาเทศพยากรณ์"

    พระคุณเจ้าจึงทูลถามต่อ "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระน้องนางของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า"

    พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาดูในอดีดภาคของพระน้องนาง ก็ทรงทราบว่า พระน้องนางสุมิตตาเทวี ได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้นานนักหนา เมือต้นอสงไขย ตั้งแต่เป็นมานพแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทร และมีทรงพิจารณาดูไปในอนาคต ก็ทรงทราบ ว่าพระน้องนาง อาจสำเร็จซึงพุทธภูมิตามความปรารถนา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า

    <!--coloro:#9932CC-->
    <!--/coloro-->
    "กาลข้างหน้า นับจากนี้ไป 16 อสงไขยกับอีกแสนกัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าทีปังกร ซึ่งมีนามเสมอกับเรานี้ อุบัติขึ้นในโลก แล้วพระน้องนางจะได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
    นั้น" <!--colorc-->
    <!--/colorc-->

    เมื่อพระคุณเจ้าได้รับฟังคำตรัสของพระพุทธองค์ ก็กราบทูลลา หลังจากนั้นก็ได้ไปยังปราสาท ของพระนางสุมิตตาเทวี แล้วบอกข้อความ แก่พระนางตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทุกประการ นำความปีติแก่พระนางเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวปวารณา ให้พระคุณเจ้า จงมารับน้ำมันในสำนักของพระนางทุกวัน

    ในวันถัดมาพระนางสุมิตตาราชกุมารี ก็จัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมาพร้อมทั้งเครื่องสักการะบูชาถวายบิณฑบาตแก่หมู่ พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง และพระนางทรงเบื่อหน่ายเพศสตรีเป็นกำลัง ครั้นสิ้นอายุขัย ก็ได้เสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก

    [​IMG]
     
  4. พระคุณที่สาม

    พระคุณที่สาม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2008
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +47
    อนุโมทนาค่ะ ได้รับความรู้มากมาย แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดค่ะ

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง..
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 width=350 background=../pics/banner350.gif align=center height=70><TBODY><TR><TD>
    บทเพลงแผ่เมตตา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE border=0 cellPadding=5 width=290 bgColor=#ffffff align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=1 width=280 bgColor=#dddddd align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#cccccc align=center height=22><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=center background=../pics/_top3.gif>
    บทเพลงแผ่เมตตา
    </TD></TR></TBODY></TABLE><EMBED language=-1 height=69 type=audio/x-ms-wma width=280 src=http://www.dhammathai.org/radio/sound/Illimitable.wma bgcolor="CCCCCC" autoplay="true" cache="true" enablejavascript="true" controller="true" filename="" showcontrols="true" showstatusbar="true" rate="1" balance="0" currentposition="0" playcount="1" currentmarker="0" invokeurls="true" volume="0" mute="0" enabled="true" enablecontextmenu="0" audiostream="true" autosize="0" animationatstart="true" allowscan="true" allowchangedisplaysize="true" autorewind="1" baseurl="" bufferingtime="5" clicktoplay="false" cursortype="0" displaybackcolor="50" displayforecolor="16777215" displaymode="0" displaysize="4" enablepositioncontrols="-1" enablefullscreencontrols="0" enabletracker="-1" selectionstart="-1" selectionend="-1" sendopenstatechangeevents="-1" sendwarningevents="-1" senderrorevents="-1" sendplaystatechangeevents="-1" showaudiocontrols="-1" showpositioncontrols="-1" showtracker="-1" autostart="true" border="0"> </EMBED></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. พระจิตวิณญาณ

    พระจิตวิณญาณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2007
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +82
    เวลาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแล้วนะค่ะ ยังไงก็ขอให้ทุกคนอยู่รอดกันทุกคนค่ะ
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขอบคุณคุณvancoค่ะ ที่ได้นำเพลงเมตตามาให้ฟังเพราะมากค่ะ ฟังแล้วรู้สึกใจเย็นสบายมากขึ้น
     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ใช่ค่ะเวลาใกล้เข้ามามากแล้วค่ะ แต่ระหว่างที่เวลาใกล้เข้ามานั้น เราควรที่จะเตรียมจิตให้พร้อมค่ะ และถ้าเป็นไปได้เราปฏิบัติธรรมแล้ว มีความรู้สึกว่าที่เราทำนั้นดีมากและเห็นผลในการปฏิบัติ ก็ชักชวนคนอื่นที่เขาสนใจมาร่วมปฏิบัติธรรมกับเราด้วยดีเหมือนกันค่ะ อย่างน้อยก็ยังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้บ้างถึงแม้จะได้เพียงน้อยนิดค่ะ ขอโทษนะคะที่แสดงความคิดเห็นแบบนี้ถ้าล่วงเกินต้องขออภัยค่ะ
     
  9. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    เมื่อวานได้ดูหนังจีนตอนเย็น สำหรับคนอื่นอาจจะดูแล้วคิดว่าเป็นหนังตลกไร้สาระ แต่ในหนังเรื่องนี้ มีเด่นตรงที่นางเอก ที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี มีเมตตา ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงกับตนเอง ก็ยังไม่คิดโกรธแค้นคนที่ทำร้ายตน กับพร้อมที่จะให้อภัย และคิดว่าถ้าช่วยเหลือเขาให้คลายจากจิตที่เป็นมิจฉาทิฏฐิได้ก็ยินดีที่จะทำ พอสุดท้ายคนที่ทำร้ายก็ได้กลับตัวเป็นคนดี พอมาดูถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงคำสอนของอาจารย์คณานันท์ที่ได้สอนเมตตาอัปมาณฌาณที่เวลาแผ่ออกไปให้กับดวงจิตดวงอื่นๆ เพื่อปลุกจิตดวงนั้นให้ตื่นขึ้นมาจากข้างใน มีจิตใจที่ดีงามค่ะ
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    สวัสดีค่ะทุกคน...

    เมื่อสองสามวันก่อน... พระท่านมาสอนค่ะ... ว่าหลังจากนี้... เวลามีเรื่องใดก็ตามที่มากระทบจิตกระทบใจ ทำให้ใจมี รัก โลภ โกรธ หลง... แล้วเกิดใช้วิปัสสนา พิจารณาสิ่งต่างๆ แล้ว... อาการยังไม่ลงสงบ... ท่านสอนให้ใช้อรูป ๔ ล้างค่ะ...

    ธรเลยขออนุญาตนำมาลงให้ได้ทบทวนกันอีกครั้งนะคะ...

    .......................................................................

    ๑. ขอให้ทุกคนจับลมสบายตามวิธีที่แต่ละคนถนัด

    ๒. จับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกให้ได้สว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้... แล้วอธิษฐานขอให้พระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาสถิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธรูปในจิตของเรา...
    ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ... พร้อมกับน้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว... เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา... มีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด... พร้อมๆ กัน

    ๓. จากนั้นอธิษฐานต่อไปว่า ขอให้องค์พระพิชิตมารทรงเมตตามาเป็นประธาน และเป็นพยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิษฐานดังต่อไปนี้...

    แล้วน้อมนึกถึงศีลที่คุณเองถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็ตาม... โดยน้อมนึกว่า...
    "ณ ขณะนี้ ศีล ๕ (๘) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการ... ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)"

    ๔. กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า...
    "- ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
    ก้มลงกราบพระบาทพระองค์ท่านอีกครั้ง

    ๕. เสร็จแล้วจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึก... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นแต่สภาวะที่เป็นอากาศที่เวิ้งว้าง ว่างเปล่า เป็นที่ที่โล่งขาว ว่างเปล่าไปหมด แล้วกำหนดจิตอธิษฐานว่า...
    "ความเวิ้งว้างว่างเปล่านี้ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือ ยึดติดกับความว่างเปล่านี้" เสร็จแล้วทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๖. เสร็จแล้วจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกอีกครั้ง... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าจิตของเราลอยอยู่ในจักรวาลที่มีดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมาย แล้วดึงภาพของดาวโลกเข้ามาใกล้ๆ ให้เห็นตึกรามบ้านช่อง วัตถุสิ่งของต่างๆ... แล้วนึกให้เห็นว่าทั้งดวงจิตของเรา ดาวเคราะห์น้อยใหญ่นั้น และวัตถุธาตุทั้งหลาย สลายตัวลงเป็นฝุ่นผง จนมลายหายไปในที่สุด... จนเหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าของจักรวาลที่ขาวโพลนไปหมด โดยหาขอบจักรวาลไม่ได้... แล้วกำหนดจิตว่า...
    "วัตถุธาตุทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งดวงจิตของเราเองล้วนไม่เที่ยงแท้แท้แน่นอน... หาสาระใดๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือวัตถุธาตุทั้งหลายเหล่านี้เป็นสาระแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น" ทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๗. กลับมาจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึก... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าอายตนะทั้ง 6 นั้นล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน... ไม่ว่าจะเป็นตาที่เห็นรูป จมูกที่ได้กลิ่น หูที่ได้ยินเสียง ลิ้นที่รับรสอาหาร กายที่รับสัมผัสต่างๆ และใจที่ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งทั้งปวง... แล้วนึกให้สัมผัสอันเกิดจากอายตนะทั้ง 6 นั้นสลายตัวไปเหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า... แล้วกำหนดจิตว่า...
    "อายตนะทั้ง 6 ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เปลี่ยนแปล รวนเรไปมา หาสาระแก่นสารใดๆ ไม่ได้สักอย่าง ข้าพเจ้าไม่ขอยึดถือ ยึดติดกับสิ่งทั้งปวงที่เกิดจากอายตนะทั้ง 6 นี้อีกต่อไป" ทรงอารมณ์นี้ไว้สักพัก...

    ๘. จับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายพรึกอีกครั้ง... แล้วเพิกภาพพระนั้นออกเสีย... ให้เห็นว่าสัญญาความจำได้หมายรู้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอาฆาตแค้นพยาบาท ชิงชัง ความหวาดระแวง หวาดกลัวสิ่งต่างๆ ความทุกข์ และความสุขต่างๆ ที่เป็นสัญญาความจำทั้งในอดีตชาติ ตั้งแต่ปฐมชาติ มาจนกระทั่งในชาติปัจจุบันนี้... ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์กาย ทุกข์ใจ เป็นสิ่งที่หาประโยชน์ใดๆ ไม่ได้... แล้วนึกให้สัญญาความจำทั้งหลายทั้งมวลนั้นสลายตัวไปไม่เหลืออะไรติดค้างอยู่ในดวงจิตอีกเลย มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น... กำหนดจิตอธิษฐานว่า...
    "ข้าพเจ้าขอน้อมจิตสลายสัญญาความจำได้หมายรู้ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปฐมชาติมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ความอาฆาตแค้นพยาบาท ชิงชัง ความหวาดระแวง หวาดกลัวสิ่งต่างๆ ความทุกข์ และความสุขต่างๆ ที่เป็นสัญญาความจำทั้งหลายทั้งมวลนั้น... สัญญาความจำเหล่านั้นล้วนหาสาระแก่นสารใดๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ขอยึด ขอติดอีกต่อไปนับแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน" แล้วประคองจิตนั้นไว้สักพัก...

    ๙. อธิษฐานต่อว่า... "ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาการเวียนว่ายตายเกิดใดๆ อีกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในอบายภูมิก็ดี มนุษย์ภูมิก็ดี เทวภูมิ รูปพรหมภูมิ หรืออรูปพรหมภูมิก็ดี... ทุกภพภูมินั้นมีทั้งความทุกข์และความสุข... ถึงจะมีความสุข แต่ก็เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หมดบุญหมดวาสนาเมื่อใดก็ต้องลงมาพบกับความทุกข์โศกอีกไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นตายจากชาตินี้ ภพนี้เมื่อใด ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าพุ่งตรงสู่พระนิพพาน เพื่อจะได้กราบพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บนพระนิพพานนั้นในทันทีด้วยเถิด" ทรงอารมณ์นี้ไว้จนกว่าจะพอใจ ตอนนี้อารมณ์ใจของท่านจะสว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ไร้ความทุกข์ ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น...

    ให้ท่านอธิษฐานกำกับอีกครั้งว่า...
    "ขอให้ข้าพเจ้าประสบพบ และเข้าถึงซึ่งอารมณ์จิตนี้ได้ทุกที่ทุกสถาน ทุกกาลเวลา ทั้งยามหลับ ยามตื่น ทั้งยามที่รู้สึก และไม่รู้สึกตัว ตามแต่ที่ข้าพเจ้าปรารถนา นับแต่บัดเดี๋ยวนี้ไปตราบจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"

    ๑๐. จากบนพระนิพพานนั้น... ให้น้อมนึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้วให้มารวมตัวกันที่ดวงจิต (นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรดังนี้...
    "- ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต... ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย... ขอให้ทุกๆ ท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน...
    (ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญ ความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเราแผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา)
    - และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ"

    ๑๑. ขอให้ทุกคนประคองจิตจับภาพพระด้วยใจที่เบาสบาย โล่งโปร่งต่อไป... หลังจากนั้นให้น้อมนึก อโหสิกรรม - ให้อภัย -ให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินทุกๆ ท่านมา อธิษฐานว่า...
    "- นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะมีแต่จิตใจที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความดีงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย... ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใด และขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ เป็นสัมมาทิฐิ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"



    ๑๒. ท้ายที่สุดให้คุณน้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ ความชุ่มชื่นใจ... ความรักที่บริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน... ความสุขที่สุดที่เมื่อเรานึกถึงครั้งใดก็ตามจะสามารถเรียกรอยยิ้มให้เราได้ ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้ยิ้มไปกับเราด้วย ทำให้โลกนี้สว่างไสวมีแต่ความเบิกบาน ... ความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้ว อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลาย พรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของคุณให้มารวมตัวกัน (นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว) พร้อมกับอธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า...
    "- บุญ คือ ความสุขที่ปรากฏ ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย ความสุข ส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมีองค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราช และท่านพญายมราชเป็นที่สุด...
    - ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ และขอได้โปรดมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ...
    (น้อมนึกให้เห็นว่าในมือคุณมีดอกบัวแก้วสว่างไสวแพรวพราว ซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของคุณมารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้วน้อมถวายแด่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน) พร้อมกับอธิษฐานต่อว่า...
    - และข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศความสุข ส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทานนี้ ให้แก่เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้... ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี... ขอให้ทุกๆ ท่านจงมาร่วมกันอนุโมทนาและรับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน... ขอให้ทุกๆ ท่าน เป็นสัมมาทิฐิ ประสบแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน ได้สัมผัสและมีพระนิพพานอันเป็นบรมสุขเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ"

    แล้วน้อมนึกให้เห็น หรือให้รู้สึกว่าตัวของเราเองสว่างไสวมีแสงรัศมีสีทองเป็นประกาย อันเป็นรัศมีแห่งความรัก ความสุข ความเมตตา ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบวันสิ้น ไม่มีประมาณ... นึกให้แสงแห่งความเมตตานี้ค่อยๆ แผ่ปกคลุมอาณาบริเวณที่เราอยู่ให้สว่างไสวเรืองรอง เมื่อจิตของสรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัสกับรัศมีนี้ก็ขอให้มีความสุข ความสงบ ความชุ่มเย็นไปด้วย จิตเรายิ่งเปล่งรัศมีมากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความชุ่มเย็นมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น... ขยายอาณาเขตของการแผ่รัศมีสีทองเป็นประกายระยิบระยับนี้ให้ค่อยๆ ขยายวงกว้างออกเรื่อยๆ ให้ปกคลุมไปทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้โดยไม่มีประมาณ ไม่มีขอบ ไม่มีที่สุด... เมื่อจิตเรายิ่งแผ่รัศมีออกไปได้กว้างไกลและครอบคลุมมากเท่าไหร่ จิตของเราก็จะยิ่งอิ่มเอิบ แย้มยิ้มมากเท่านั้น...
    ยิ่งให้มากเท่าไหร่ จิตเราก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนจะปิตินี้เอาไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจิตจะพอใจ...

    เสร็จแล้วให้น้อมนึกเอาอทิสมานกายของเราเองไปกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่าน และถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ 3 ครั้ง พร้อมภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ...


    ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้... ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ทุกๆ ท่านมีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภัยทาน มีความสุขทั้งทางโลก ทางธรรม เป็นสัมมาทิฐิ... มีดวงตาเห็นธรรม... เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป... เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน... และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ต่อด้วยเรื่อง... ปากท้อง... ของพวกเรากันบ้างนะคะ...

    ...........................................................

    คาถาเงินล้าน


    ตั้ง นะโม ๓ จบ

    สัมปะจิตฉามิ
    นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ .....(คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม ..........................(คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม .......................................(คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ ........................................................................(คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม ..............................................(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ .......................................................................(คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา

    ...............................................................................

    พระคาถาเงินล้านบทนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) ได้โปรดเมตตานำมามอบให้ลูกหลานได้ใช้สวด... เพื่อให้มีการเงินที่คล่องตัวขึ้น...

    เท่าที่เห็น รู้สึกจะมีอยู่หลายเวอร์ชั่น... ซึ่งจะต่างกันก็แค่ บางบทมี สัมปะจิตฉามินำ บางบทไม่มี... เป็นต้น...

    ที่ธรขอนำกลับมาให้ทบทวนกันนั้น...

    เนื่องจากเมื่อเดือนที่แล้ว... น้องชายธรได้ค่าขนมจากคุณแม่จำนวนหนึ่ง... ในการรับ - จ่าย ทุกครั้ง ทุกเดือน... เขาจะจดไว้อย่างเรียบร้อย... สม่ำเสมอค่ะ...

    ตรงช่อง... เงินคงเหลือ... มีเงินเหลืออยู่ 400 กว่าบาท... (ขอย้ำ... สี่ร้อยกว่าบาท) .... แต่เมื่อเขานับเงินคงเหลือจริง... มันมี 10,400 กว่าบาทค่ะ (หนึ่งหมื่นสี่ร้อยกว่าบาท)...

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับเขา... ธรเองก็เคยเกิดค่ะ (เพียงแต่ไม่ขยันแบบเขา... ^__^)

    ..................................................................................

    ส่วนสาเหตุที่เงิน... (ขอใช้คำว่า) งอก ... ออกมาได้นั้น... เพราะเขาสวดพระคาถาเงินล้านเวอร์ชั่นข้างบนนั่นแหละค่ะ...

    เช้า ๗ จบ... เย็น ๗ จบ... ทุกวัน...

    และเคล็ดการสวด คือ
    - ในขณะที่กำลังสวดอยู่นั้น... ให้นึกถึงพระตลอดเวลา... อย่านึกถึงว่าเราจะได้อะไร ให้นึกถึงภาพพระอย่างเดียว

    - ถ้าเช้าสวดเจ็ดจบ เย็นต้องสวดเป็นจำนวนเท่ากัน...
    ( น้องเขาไปอ่านเจอมาค่ะ... หลวงพ่อท่านบอกว่า... คนที่สวดแค่ จบเดียว สามจบน่ะ ยังขี้เกียจเกินไป )... ดังนั้น ถ้าจะให้ได้ผล... ควรสวดครั้งละ ๗ จบ ๙ จบ หรือมากกว่านั้นค่ะ... และต้องสวดอย่างสม่ำเสมอ ทั้ง เช้า - เย็น...

    - ถ้ามีโอกาส... ก็หมั่นสร้างทานบารมีบ้างค่ะ... ( อย่าคิดแต่จะเอาเพียงอย่างเดียว รู้จักการให้ การเสียสละบ้างค่ะ )

    .......................................................................................

    เอาเคล็ดมาบอกกันขนาดนี้แล้ว.... ไม่คิดอยากเพิ่มปริมาณปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในกระเป๋ากันดูบ้างหรือคะ...

    ใครทำแล้วได้ผลอย่างไร... มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังบ้างนะคะ...
     
  12. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อีกเรื่องค่ะ... (เกือบลืมแน่ะ)...

    เมื่อวานนี้... หาโอกาสไปทำบุญที่วัดท่าซุงมาค่ะ...

    ได้ถวายมหาสังฆทาน ๒ ชุดใหญ่พิเศษ... และได้สร้างพระสะเดาะเคราะห์เผื่อชาวพลังจิตทุกท่านด้วยค่ะ... โมทนาบุญกันด้วยนะคะ...
     
  13. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    อนุโมทนาทุกประการค่ะพี่ธร ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องอรูปฌาณมาสอนค่ะ พอดีปฏิบัติไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ค่ะ สำหรับเรื่องคาถาเงินล้าน ปูก็ทำอยู่ค่ะ คือสวดไปทำงานไปรู้สึกจิตใจเบาสบายชุ่มเย็นค่ะ สำหรับเรื่องผลพลอยได้เกี่ยวกับปัจจัย มีบ้างค่ะ แต่ส่วนมากคนเขาจะฝากปัจจัยทำบุญกับงานในกลุ่มค่ะ
     
  14. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้ขอนำ เคล็ด ไม่ลับมาเพิ่มเติมค่ะ...

    น้องชายบอกว่า นอกจากที่เล่าให้ฟังไปกันก่อนหน้านี้แล้ว... สิ่งที่เขาปฏิบัติเป็นประจำมีดังนี้ค่ะ (เขาอ่านเจอจากหนังสือหลายๆ เล่มของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านน่ะค่ะ... เล่มนั้นนิด เล่มนี้หน่อย... แล้วนำมาปฏิบัติรวมกัน)...

    - ทุกครั้งที่มีรายรับเกิดขึ้น... ได้รับเงิน ไม่ว่าจะมาก หรือน้อยก็ตาม... เขาจะนำเงินทั้งหมดนั้นนึกน้อมถวายพระพุทธเจ้าท่านบนพระนิพพาน... (ท่านที่ยังทำแบบนั้นไม่ได้... ขอให้ คิด นึก ว่าตัวเองกำลังถวายเงินนั้นต่อหน้าพระท่าน พระพุทธรูปที่บ้านก็ได้นะคะ)

    - ก่อนที่จะสวดพระคาถา (ที่ผ่านมาเขาสวดครั้งละ ๗ จบ... แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนแล้วค่ะ... กลายเป็นสวดครั้งละ ๙ จบ แทน... ^__^) ตามจำนวนที่ตั้งใจไว้... เขาจะนึกถึงพระรัตนตรัยก่อน... ตามด้วยการแผ่เมตตาอัปมาณฌาน (ตามที่อาจารย์คณานันท์สอนเลยค่ะ)... แล้วจึงสวดคาถาเงินล้าน ๙ จบ

    - ตอนเช้า ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์พกที่กางเกง... เขาจะนำขึ้นมาจบ นึกถึงพระท่าน ว่าคาถาเงินล้านอีก ๑ จบ...

    - ตอนเย็น ก่อนที่จะวางกระเป๋ากลับลงที่... นำขึ้นมาจบ นึกถึงพระ และสวดพระคาถาเงินล้านอีก ๑ จบ...

    - อาจารย์คณานันท์เคยแนะนำเพิ่มเติมเอาไว้อีกดังนี้ค่ะ...
    "...ทุกครั้งที่ใช้จ่ายเงิน ให้นึกแผ่เมตตา และนึกว่าขอให้เงินนี้จงใช้เพื่อการยังประโยชน์ เพื่อสงเคราะห์ ช่วยเหลือ นำมาซึ่งความสุขกาย สุขใจ ของทุกๆ ชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งของ สินค้าที่เรากำลังจ่ายเงินซื้ออยู่นั้น... ด้วยเทิด..."

    ขอน้อมกราบใต้เบื้องพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทุกๆ ท่าน อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมามีองค์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และองค์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นที่สุด... อีกทั้งขอน้อมกราบขอบพระคุณอาจารย์คณานันท์...

    ที่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน ได้สู้อุตส่าห์ฝึกฝนตนเองด้วยความยากลำบากแสนสาหัสมานับภพนับชาติไม่ถ้วน... เพียงเพื่อจะนำพระธรรมอันประเสริฐมาช่วยสงเคราะห์หมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย...

    ให้มีความสุขกาย สุขใจ มีความคล่องตัว มีความเจริญในทุกด้านของชีวิตในทางโลก... มีความเจริญในทางธรรม เพื่อการเข้าถึงซึ่งการพ้นทุกข์เข้าสู่แดนแก้วประกายพรึกพระนิพพานในที่สุด...

    ...................................................................

    ก็หวังว่า... สิ่งที่นำมาบอกเล่าให้ทราบกันนี้จะยังประโยชน์ให้ทุกๆ ท่าน บรรเทาทุกข์ภัยอันเกิดจากการขาดสภาพคล่องในการใช้จ่ายเงินทองในชีวิตประจำวันลงไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย...

    นอกจากพระ ครูบาอาจารย์ท่านจะพยายามช่วยเหลือลูกหลานอย่างถึงที่สุดแล้ว... ก็ขอให้พวกเราพยายามช่วยตัวเองกันให้มากๆ ด้วยนะคะ...

    - ขยันสวดพระคาถา (อ้อ! ลืมบอกไป... พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกด้วยนะคะว่า... พระคาถาบทนี้เมื่อสวดจนใจสบาย สวดบ่อยๆ แล้ว... สามารถทำให้เกิดทิพยจักขุในท่านที่มีบุญวาสนาบารมีที่จะพึงมีพึงได้ได้ด้วยนะคะ)

    - เมื่อมีเงิน มีความคล่องตัวในการจับจ่ายใช้สอยแล้ว... ขอให้รู้จักประหยัด รู้จักความพอเพียง รู้จักเก็บออม รู้จักการเผื่อแผ่ให้ทานโดยต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง... อย่าสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย อย่าวัตถุนิยม อย่าเห่อแฟชั่นของแบรนด์เนมที่เกินกว่าฐานะ เกินกว่าความจำเป็นของตัวเอง...

    มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท...

    อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์...

    มีน้อย ใช้น้อย ค่อยบรรจง...

    อย่าจ่ายลง ให้มาก จะยากนาน...



     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    วันนี้ได้รับพระคาถา - คำอธิษฐาน จากคุณแอน (MBNY) ซึ่งเห็นว่ามีประโยชน์มากค่ะสำหรับพวกเราทุกๆ คน... จึงขออนุญาตคุณแอนนำมาลงไว้เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานนะคะ...

    กราบขอบพระคุณ และกราบโมทนากับคุณแอนด้วยค่ะ...



    [​IMG][​IMG]



    การถอนคำอธิษฐาน ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ และการตั้งอธิษฐานสัมมาทิฎฐิ

    สาธุชนผู้ต้องการถอนคำอธิษฐาน คำปฏิญาณ คำสาบาน หรือที่สาปแช่งทั้งคนอื่นและตนเอง อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความวุ่นวายในชีวิตความรัก การศึกษา หน้าที่การงาน ครอบครัว ขัดขวางความเจริญ ขัดขวางมรรคผลนิพพาน พึงชำระร่างกายของตนให้สะอาด ชำระวาจา (กาย) ด้วยการสมาทานศีล ชำระจิตด้วยการเจริญภาวนา ตั้งใจให้เป็นสมาธิ


    คำถอนคำอธิษฐานที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ


    ตั้งนะโม 3 จบ

    อิมัง สัจจะ วาจัง ปัจจุทธรามิ

    ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน คำสาบาน คำปฏิญาณที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ ที่ข้าพเจ้าตั้งขึ้นถึงพร้อมแล้วด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน ด้วยราคะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยมานะ ด้วยมิจฉาทิฎฐิ เป็นไปเพื่อความพยาบาทเบียดเบียน ทั้งตนเองและผู้อื่นเป็นครั้งที่ 1


    ทุติยัมปิ อิมัง สัจจะ วาจัง ปัจจุทธรามิ

    ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน คำสาบาน คำปฏิญาณที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ สร้างกรรม สร้างเวร ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่ประกอบด้วยวินัย ไม่ประกอบด้วยกุศล ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยบารมี ไม่ประกอบด้วยความดีทั้งปวง ที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานไว้ สาปไว้ แช่งไว้ทำลายตนเองและผู้อื่นเป็นครั้งที่ 2


    ตติยัมปิ อิมัง สัจจะ วาจัง ปัจจุทธรามิ

    ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน คำสาบาน คำปฏิญาณที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ อธิษฐานไว้ทำลายตนเอง ทำลายผู้อื่น ทำลายบัณฑิตทั้งหลาย ทำลายผู้รู้ทั้งหลาย ทำลายครูบาอาจารย์ ทำลายผู้มีพระคุณ ขอถอนเป็นครั้งที่ 3

    ข้าพเจ้าขออ้างคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆเจ้า พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระเพลิง พระพาย เทวดาทั้งหลาย นาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ทั้งหลาย ในไตรโลกภูมิ ขอมาเป็นประมุขประธานเป็นสักขีพยาน ว่าข้าพเจ้าทั้งหลาย ถอนคำสาบานเหล่านี้ ถอนคำสาปนั้น ถอนคำแช่งเหล่านั้น ร้อยหน พันหน หมื่นหน ล้านหน โกฏิหน ณ กาลบัดนี้เทอญ


    คำอธิษฐานสัมมาทิฎฐิ

    อิมัง สัจจะวาจัง อธิฐามิ

    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปฏิญาณตนขอรับเอาสัมมาทิฎฐิ พ่อดี แม่ดี ลูกดี หลานดี ญาติดี มิตรสหายดี ผัวดี เมียดี อยู่ทิศไหน ประเทศใด เชื้อชาติอันใด ผิวพรรณอันใด จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเป็นครั้งที่ 1

    ทุติยัมปิ อิมัง สัจจะวาจัง อธิฐามิ

    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปฏิญาณตนขอรับเอาสัมมาทิฎฐิ เจ้านายดี ผู้บังคับบัญชาดี ลูกน้องดี ครูบาอาจารย์ดี มิตรสหายดี คนรับใช้ดี อยู่ทิศไหน ประเทศใด เชื้อชาติอันใด ผิวพรรณอันใด จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเป็นครั้งที่ 2


    ตติยัมปิ อิมัง สัจจะวาจัง อธิฐามิ

    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปฏิญาณตนขอรับเอาสัมมาทิฎฐิ เกิดชาติหนึ่งภพใด ขอให้พบพระรัตนตรัย โชคดีทั้งหลาย ผลดีทั้งหลาย สิ่งดีทั้งหลาย จงเกิดมีแก่ข้าพเจ้า เมื่อเข้าพเจ้ายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงสมบัติทั้งสามประการ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์

    ขอให้ข้าพเจ้ามีความบริสุทธิ์ มีศีลธรรมประจำกายใจ ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงสวรรค์สมบัติ มีตามมาเป็นทิพย์ ด้วยอุปโภค ด้วยบริโภค มีทาสบริวารญาติสนิทมิตรสหายไม่คิดคดทรยศ ใส่ร้ายป้ายสี สร้างความดีสามัคคีต่อกัน ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงนิพพานสมบัติ ด้วยการดับทุกข์ ดับเครื่องเสียดแทงทุกเมื่อเทอญ

    <!-- / message -->
    ที่มา http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=1806
     
  16. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    อีกคนหนึ่งที่ธรอยากจะขอกราบร่วมโมทนาบุญด้วย... คือน้องเจน (sawiiika) ค่ะ...

    กราบโมทนาบุญด้วยจ้ะเจนที่มีความเพียร ความวิริยะ... นำคำสอนของอาจารย์คณานันท์ในกระทู้วิชชานี้มาเรียบเรียง จัดหมวดหมู่ใหม่ ทำให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย มีการเน้น การย้ำให้เห็นสาระสำคัญได้เด่นชัดขึ้น แถมมีภาพที่สวยงาม เป็นอนุสติสำหรับผู้ที่ตามอ่านทั้งหลายได้เป็นอย่างดีเลยจ้ะ...

    ขอบพระคุณมากนะจ้ะ...
     
  17. malee123

    malee123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2008
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +2,843
    + + + + + + + + + + +

    ขอขอบคุณและโมทนาสำหรับคำสอนดี ๆ ที่เป็นสัมมาทิฎฐิ

    ขอให้คุณ chdhorn เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นค่ะ
     
  18. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ;aa51
    ขอบพระคุณมากมากค่ะพี่ พี่ ขอบพระคุณที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แนะนำ สั่งสอน
    ตักเตือน ว่ากล่าว มาตรอดเพื่อให้นู๋ได้เติบโตขึ้น ได้เป็นแสงสว่างที่จะไปจุดต่อ กับผู้คนอีกมากมาย
    เชกเช่นเดียวกับที่พี่ ๆได้มอบแสงสว่าง แสงแห่งธรรม แก่นู๋ค่ะ นู๋เคย จมอยู่ในความมืดมิดอยู่กับ
    เรื่องราว แห่ง ความสลดหดหู่ มามาก มันเหมือนอยู่ในกลางป่าทืบ มองไม่เห็นแส่งสว่างใด ๆที่จะช่วย
    ให้หลุดพ้น จากความมืดมิดนั้น เจอผู้คนมากมาย ที่ผ่านเข้ามา และ ผ่านไป .. แต่ก็ไม่ได้ช่วย
    ให้นู๋ได้พบเจอแสงสว่างที่จะฉุดนู๋ขึ้น จากความมือมิดนั้นได้มีแต่ต้องจม อยู่กับ " ความไม่รู้ " .วันแล้ว
    วันเล่า ยังดีอยู่ที่นู๋มีจิดฝักใฝ่ในธรรม เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จึงได้มาพบเจอกัลยานิมิตรผู้ฝักใฝ่ในธรรม<O:p</O:p
    เป็นอย่างมากมีทั้งเป็น ผู้ที่เป็น มิจฉาทิฐิ และ สัมมาทิฐิจนนู๋แยกไม่ออกว่า ใคร มิจฉาฯ ใคร สัมมาฯ

    <O:p</O:p
    ถ้าพี่ พี่ ไม่ช่วยกัน บอกไว้ก่อน นู๋อาจจะจม ไปลึกกว่านี้ก็เป็นได้จม กับความคิดที่ว่า <O:p</O:p
    เราทำความดีอยู่น่ะ แต่ หารู้ไม่ว่า นั้น คือ ความดีที่เป็น มิจฉาทิฐิ ที่ซ่อนเงื้อน ซับซ้อนสร้างพันธ<O:p</O:p
    ก่อภพ ก่อ ชาติ ไม่จบไม่เสร็จ อยู่กับ ความไม่รู้ นั่นละค่ะ จริง ๆ นู๋ไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา

    [​IMG]


    " แต่ ขอให้มันผ่านไป และ จบเพียงเท่านี้ ค่ะ<O:p</O:p
    บันนี้ ขอตั้งจิตเป็น สัมมาทิฐิ ตราบจนเข้าถึงซึ้งพระนิพพาน <O:p</O:p
    มีพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐม เป็น พระบิดา ค่ะ "

    <O:p</O:p
    ณ บัดนี้ เป็นวาระที่ นู๋ก็ได้ รับพระเมตตาจากพระองค์ ท่านอันหาที่สุดที่ประมาณ มิได้แล้ว<O:p</O:p
    นู๋จึง ปิติ อิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้ ปฎิบัติบูชา ตอบแทนพระคูณท่านค่ะ ที่ได้ ถวายดอกบัวแก้ว แด่ท่าน<O:p</O:p
    ในทุก ๆ ครั้งที่กระทำความดี ในทุก ๆ ขณะจิต อันเป็นกุศล ในทุก ๆ ครั้งที่ได้ ศึกษาพระธรรม<O:p</O:p
    คำสั่งสอนของพระองค์ท่าน ในทุก ๆ ครั้งที่ได้นำคำสอนของพระองค์ท่านมา พิจราณาซ้ำ แล้ว<O:p</O:p
    ซ้ำอีกอาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ลืมบ้าง แต่นู๋ ก็จะพยายามทำค่ะ พยายามปฎิบัติให้ได้ค่ะ<O:p</O:p
    แล้วยิ่งได้รับความเมตตาอย่างเปลี่ยมล้นมากมาย จาก พี่เล็ก ด้วยแล้วจึงเป็นบุญมากมายยิ่งนัก<O:p</O:p
    ที่ ได้รับโอกาศในการนำ วิชชาที่พี่เล็ก สอน ลงกระทู้วิชชานี้มารวบรวมใหม่อีกครั้ง ในทุก ๆ ครั้งที่<O:p</O:p
    รวบรวม คือ ทุกครั้งที่นู๋ได้ซึ้มซับ ความรู้ วิชชาที่พระพุทธองค์ทรงสอนพี่เล็ก เวลาที่หมดไปส่วนมาก<O:p</O:p
    ของนู๋ ก็หมดไปกับ การปฎิบัติธรรม การเรียนรู้ธรรม และ การพยายามที่จะเข้าใจในธรรมและ ที่ <O:p</O:p
    สำคัญที่สุด คือ การได้เผยแพรพระธรรม คำสั่งสอน ของพระพุทธองค์

    จนทำให้ชีวิต ปรกติ ของนู๋ คือ การพยายามที่จะปฎิบัติธรรม
    ให้เป็นปรกติ ไม่ว่าที่ไน๋ ไม่ว่า เมื่อไร และ ไม่ว่าอย่างไร ค่ะ

    [​IMG]
    <O:p</O:p


    กราบขอบพระคุณ ในพระเมตตา ที่ทุก ๆ ท่านให้มอบให้อีกครั้งค่ะ สิ่งที่นู๋ทำได้ ใน ตอนนี้ คือ <O:p</O:p
    ปฎิบัติบูชา ตอบแทนพระคุณท่าน และ ทำงานดั่งความประสงค์ที่ท่านต้องการให้ทำ เพื่อ เมตตา<O:p</O:p
    สงเคราะห์ โปรดมวลมนุษย์ และ สรรพสัตว์ให้เข้าถึงความดี มี ความสุข ค่ะ

    <O:p</O:p" บุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลที่บังเกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพเจ้านับตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และ ที่ข้าพเจ้าจะ<O:p</O:p
    บำเพ็ญต่อไป ตราบจนเข้าถึงพระนิพพาน ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลนั้นแด่ <O:p</O:p
    พระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และ พระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    ที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคต พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ ทุก ๆพระองค์ <O:p</O:p
    พระอริยสังฆ์ ทุก ๆ พระองค์ ทั้งอดีตปัจจุบัน และ ที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคต เทพพรหม เทวา <O:p</O:p
    พระแม่ธรณี พญายมราช พระมหากบัตริย์ทุก ๆ พระองค์ คุณครูบาอาจารย์ ทุกๆ พระองค์ <O:p</O:p
    คุณ บิดามารดา ผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่าน ขอให้ท่านได้โปรดเมตตา อนุโมทนาบุญทั้งหมด<O:p</O:p
    ทั้งมวลนี้ กับข้าพเจ้า ในทุก ๆ ครั้ง ตราบจนข้าพเจ้าเข้าถึงซึ้งพระนิพพาน ด้วยเทอญ "<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดประทานพรอันประเสร็จแก่ข้าพเจ้า<O:p</O:p
    ให้ข้าพเจ้าปฎิบัติธรรมได้เป็น ปรกติ ราบรื่น สมบูรณ์ เต็มพร้อม
    ในการบำเพ็ญ บารมีทั้ง 30 ทัศ ได้อย่างยิ่งยวด ค่ะ



    [music]http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2EA704P0&Autoplay=0">
    name="scale" value="noscale" /><EMBED src="<a href=" type="text/html; charset=iso-8859-1" target="_blank" jiggPlayer.swf?Autoplay='0&songID=V2EA704P0"' www.ijigg.com http:>http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?Autoplay=0&songID=V2EA704P0" width="315" height="80" scale="noscale" wmode="transparent"></EMBED>[/music]</P>
     
  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอนำคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้ศึกษากันค่ะ... กราบขอบพระคุณคุณchingchamp ด้วยนะคะที่นำไปลงรวมไว้ในหมวดคำสอนของหลวงพ่อท่าน...

    กราบโมทนาบุญด้วยค่ะ...

     
  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอต่อด้วยสังโยชน์ ๑๐ ตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านค่ะ...


    สังโยชน์ 10

    1) นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิด ตามแบบเข้าใจเอาเอง

    2) สำหรับญาติโยมพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติพระกรรมฐาน จะได้ทราบอารมณ์ของจิตว่าท่านทั้งหลายทำเวลานี้ถึงไหนแล้ว ความจริงก่อนที่จะบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองท่านทรงยืนยัน ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นภาระของท่าน แต่ว่าบุคคลใดเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้ท่านทรงยืนยัน อันนี้จำเป็น
    แต่ว่าส่วนใหญ่พระสาวกก็จะไม่ยืนยัน คือ ว่าจะแนะนำให้เข้าใจเอง ฉะนั้นสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน อาตมาก็ขอนำ สังโยชน์ 10 มาเป็นเครื่องวัดกำลังใจ

    สังโยชน์ 10 ประการ 3 ข้อ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันหรือสกิทาคามี คือ
    - สักกายทิฏฐิ สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะ เป็นตัวตัดกิเลสทั้งหมด แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์นี่ตามฐานะ ถ้าฆราวาสก็คือศีล 5 คือ ศีล 5 เป็นสำคัญ ยังไม่ถือศีล 8 ถ้าถือศีล 8 เป็นพระอนาคามี คือว่าถ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์แน่นอน แล้วก็ใช้ได้ สักกายทิฏฐิ ถ้าญาติโยมมีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต หมายความว่าพยายามหลบความชั่ว คือบาปไว้เสมอ

    - วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

    - สีลัพพตปรามาส รักษาศีล 5 เคร่งครัด แล้วก็ขอแถมอีกนิด

    - อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตทรงตัวอย่างนี้ได้จริง ขอให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกผู้นั้นว่า พระโสดาบัน หรือ สกิทาคามี วัดใจเอาเองก็แล้วกันนะ

    3) สังโยชน์ทั้ง 10 ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตตผล เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ 10 ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้จะได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี่แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้

    4) เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติตัวสำคัญ นั่นคือ จะต้องมีความรู้สึกว่า
    - สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราจะไม่มีการติดอกติดใจอยู่ในร่างกายของเรา และร่างกายของบุคคลอื่น เราถือเสมือนว่าร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ๆ หรือ บ้านเช่าที่เราใช้อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น

    - วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาพิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เสมอ

    - สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ลูบคลำศีล

    - กามฉันทะ เป็นฉันทะ เป็นภัยสำหรับเรา เราพยายามหาทางทำลายกามฉันทะให้พินาศไปจากจิต

    - เราจะตัดปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของจิต ด้วยอำนาจความโกรธ ความพยาบาทให้สิ้นไป

    - เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันติดอยู่เฉพาะในรูปฌาน

    - เราจะต้องไม่ติดอยู่เฉพาะในอรูปฌาน ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่าง มันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้มันบกพร่อง ถ้ามีปัญญาเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก และก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าร่างกายของตน ร่างกายของสัตว์ ที่เรียกว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้ พิจารณาใน กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐาน หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัว หรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ อย่าไปติดในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก
    แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่ง คือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์อะไร จึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าเราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขาคิดอาฆาตมาดร้ายเขา เพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ถ้าใครเขาจะว่าอะไร มันก็ไม่หนัก ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาและสรรเสริญเป็นของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลว มันก็ไม่ดีไปตามคำที่เขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดี เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด

    - มานะ เราจะตัดมานะความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาให้หมดไป นึกไว้เสมอนะ อย่าลืมไม่ได้ และก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า การที่เราจะยึดถือตัวตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งขัน หรือถ่อมเกินไป ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสบาย จะเสมอหรือไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะต่ำกว่าฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า ฉันเป็นมิตรที่ดีของท่าน เท่านี้พอ

    - อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว

    - อวิชชา ใช้ปัญญาจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชาตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝัน ท้อแท้อยู่ในความคิดว่า
    ถ้าเราเป็นพระอนาคามีเราก็มีความสบาย ไม่ควรจะมีความทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ทำสำเร็จกิจ เราก็จะต้องทำต่อไป ไหน ๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไปให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต

    5) อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุด หรือโดยตรงนั้นคือ สังโยชน์ 10 ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถตัดสังโยชน์ได้แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลาจำกัดก็แย่ บางท่านที่มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้ได้กำไรมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...