ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

เตือนชาวประมงอ่าวไทยรีบกลับเข้าฝั่ง พรุ่งนี้คลื่นลมแรง​

​

สงขลา 24 ต.ค.- อุตุฯ เตือนชาวประมงในอ่าวไทย ให้รีบนำเรือกลับเข้าฝั่ง เพราะตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะมีคลื่นลมแรง

นายมานะ ศรีพิทักษ์ ประธานสมาคมประมงแห่งประเทศไทย เร่งประสานไปยังผู้ประกอบการประมงในภาคใต้ฝั่งตะวันออก ให้รีบนำเรือประมงทุกประเภทที่ทำการประมงทั้งในและนอกน่านน้ำอ่าวไทย กลับเข้าฝั่งเพื่อความปลอดภัย หลังศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก ประกาศเตือนตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คลื่นลมในอ่าวไทย มีกำลังแรง คลื่นสูง 2-3 เมตร

นอกจากนี้ ยังมีการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย 8 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งในระยะนี้ด้วย

ขณะที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา เร่งผลิตน้ำดื่มสะอาด ที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสี UV เตรียมพร้อมเพื่อนำไปแจกจ่ายหากเกิดภัยพิบัติฉุกเฉิน พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็วช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ตำบลป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ล่าสุด ระดับน้ำเริ่มลดลง แต่ยังมีน้ำท่วมขังหลายจุดในพื้นที่ลุ่ม ทางเทศบาลต้องเพิ่มกระสอบทราย ขณะที่นายกเทศบาลตำบลป่าซาง ได้ประสานเจ้าหน้าที่อ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง ในพื้นที่อำเภอแม่ทา ให้ปิดการระบายน้ำ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และหากไม่ฝนตกเพิ่ม น่าจะกลับสู่ภาวะปกติในวันนี้.-สำนักข่าวไทย

2008-10-24 10:03:45

ที่มา http://news.mcot.net

 

อนุมัติงบ 15 ล้านบาท เร่งบูรณะพระธาตุลำปางหลวง​

​

ลำปาง 23 ต.ค.- นายจตุรพร เทียมทินกฤต นักโบราณคดี 6 สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน (รับผิดชอบดูแลโบราณสถาน 4 จังหวัด คือ ลำปาง น่าน แพร่ และพะเยา) เปิดเผยว่า หลังจากกรมศิลปากรประชุมคณะกรรมการวัดพระธาตุลำปางหลวง และชาวชุมชน ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง เรียบร้อยแล้ว เพื่อวางแผนบูรณะพระธาตุฯ ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,329 ปี

เนื่องจากพบว่ามีสภาพชำรุดหลายจุด และที่ผ่านมายังไม่เคยตรวจสอบอย่างละเอียดถึงโครงสร้างความแข็งแรงขององค์พระธาตุ ซึ่งขณะนี้กรมศิลปากรอนุมัติงบประมาณบูรณะแล้ว 15 ล้านบาท ให้สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน เป็นผู้ดำเนินการ สำหรับแผนดำเนินการวางไว้ 6 ขั้นตอน เช่น การตรวจสอบรอบองค์อย่างละเอียดก่อนบูรณะ เน้นรูปแบบและใช้วัสดุให้คงเดิมมากที่สุด รวมถึงให้ชุมชนตั้งตัวแทนเข้ามาร่วมควบคุมดูแลงานบูรณะ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในต้นปีหน้า เพราะต้องวางแนวทางการทำงานอย่างรัดกุมและการจัดวัสดุให้พร้อม. - สำนักข่าวไทย

2008-10-23 17:20:54

พระสงฆ์พิจิตรทำพิธีปริวาสกรรมเจริญพุทธมนต์คืนสันติสุขให้ประเทศ​

​

พิจิตร 24 ต.ค.-คณะสงฆ์จังหวัดพิจิตรและหลายจังหวัดทั่วประเทศ ทำพิธีปริวาสกรรมเจริญพระพุทธมนต์คืนสันติสุขให้กับประเทศชาติ

พระครูพิลาสธรรมกิจ เจ้าอาวาสวัดคลองคู้ ต.ท่าหลวง อ.เมืองพิจิตร พร้อมพระภิกษุสงฆ์สามเณรกว่า 50 รูป พุทธศาสนิกชนเขตจังหวัดพิจิตรและใกล้เคียง เข้าร่วมพิธีปริวาสกรรมเจริญพระพุทธมนต์เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข อาศัยพระพุทธมนต์ให้เกิดความสุข 3 ประการ คือ สันติสุข สงบสุข และร่มเย็นเป็นสุข เพื่อให้ทุกฝ่ายตั้งสติและแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ คณะสงฆ์ที่เข้าร่วมพิธียังได้เจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนพรรษาครบ 81 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ สำหรับการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสันติสุขของประเทศชาติจะปฏิบัติตลอด 10 วัน 10 คืน.-สำนักข่าวไทย

2008-10-24 04:10:38

ปรับขยายขาเทียมช้างโม่ชะใหม่วันนี้​

​

ลำปาง 24 ต.ค.- นายสัตวแพทย์ปรีชา พวงคำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลช้าง มูลนิธิเพื่อนช้าง จ.ลำปาง เปิดเผยว่า พังโม่ชะ อายุ 2 ปี 9 เดือน ที่เหยียบกับระเบิด ทำให้ขาขวาหน้าขาดไป และมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จึงเร่งทำขาเทียมให้ช้าง

แต่ปรากฏว่า ขณะใส่ไปได้ระยะหนึ่ง ขาเทียมเริ่มคับแน่น เพราะช้างมีร่างกายโตขึ้นมาก จึงต้องถอดออก เพราะหากยังใส่ต่อไปจะทำให้บีบรัดขาช้าง ประกอบกับพังโม่ชะ ชอบนอนเล่นบนกองทราย ทำให้ทรายเข้าไปในขาเทียม และเกิดเสียดสีกับขาบริเวณด้านหลังที่ใส่ขาเทียม จนเกิดบาดแผลกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร มากว่า 1 สัปดาห์ แต่แพทย์โรงพยาบาลช้างดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บาดแผลพังโม่ชะ แห้งสนิท และไม่มีหนองแล้ว

ล่าสุด มูลนิธิขาเทียมฯ ประสานมายังโรงพยาบาลช้าง ว่า คณะแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ จะเดินทางมาปรับขนาดและตกแต่งขาเทียมให้พังโม่ชะ ในวันนี้ (24 ต.ค.) เพื่อให้ช้างเดินได้สะดวกขึ้น.-สำนักข่าวไทย

2008-10-24 10:16:30

พบอีกแห่งฟอสซิลไดโนเสาร์แนวเขาภูพาน​

​

กาฬสินธุ์ 23 ต.ค.- ทีมสำรวจกรมธรณีวิทยาพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์และสัตว์โบราณกลางเขาภูน้อยแนวเทือกเขาภูพาน จ.กาฬสินธุ์ ด้านผู้ว่าฯ สั่งอำเภอคำม่วง จัดกำลังเฝ้าพื้นที่กันบุคคลลักลอบเข้าขุด

นายเดชา ตันติยวรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ชุดสำรวจและขุดค้นของกรมธรณีวิทยาพบซากฟอสซิลกว่า 100 ชิ้น ไดโนเสาร์ทั้งพันธุ์กินพืชและกินสัตว์บนภูน้อย บ้านห้วยสมอทบ ต.ดิ่นจี่ อ.คำม่วง แนวเทือกเขาภูพาน นอกจากนี้ ยังพบฟันของสัตว์น้ำและสัตว์เลื้อยคลานโบราณ คาดว่ามีอายุกว่า 150 ล้านปี อยู่ในหมวดหินภูกระดึง อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและทีมสำรวจจะขนย้ายซากฟอสซิลไปยังพิพิธภัณฑ์สิรินธร อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ได้กำชับให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดิ่นจี่ และอำเภอคำม่วง จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าดูแลบริเวณดังกล่าวไว้ตลอด 24 ชั่วโมง และทำแนวเขตป้องกันซากดึกดำบรรพ์ เพื่อป้องกันการลักลอบขุดค้น และห้ามเคลื่อนย้ายซากฟอสซิลออกจากพื้นที่ หากพบว่ามีผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.2551 ระวางโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ. - สำนักข่าวไทย

2008-10-23 17:41:12

ที่มา http://news.mcot.net/local/

 

*** พุทธศาสนา ****

เป็นเรื่องของ... การกระทำต่อวิญญาณ เพื่อหลุดพ้นทุกข์
ถ้า ศาสนาอยู่ในจิตใจ....ก็ไม่มีใครทำลายศาสนาได้



*** ผู้ทำได้คงต้องมา ****

สมัยก่อน...ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้ความพยายามค้นหาธรรม ค้นหาสัจจะธรรม ค้นหาคำสอนเอง
โลกุตตระธรรม....ปรากฏเป็นอะไรก็ได้ เป็นคนแก่ ซากศพ เป็นเสียงนกร้อง หรือจะเป็นอะไรก็ได้
เพื่อนำพาให้ผู้นั้นบรรลุ...สัจจะธรรม แก่นสารความจริง
แต่ทุกวันนี้....สัจจะธรรม สัจจะคำสอนพระพุทธเจ้าได้หมดไป
พระธรรม ... ต้องมาปรากฏเป็นมนุษย์ เพื่อตามหาผู้ทำได้ ให้มาทำต่อ
จึงส่งมอบหลักสัจจะธรรม... ปักเป็นหลักโลกุตตระ ทิ้งไว้ให้
สัจจะ คำสอนพระพุทธเจ้า...หมดไปหลังพระพุทธเจ้านิพพานไปสี่ร้อยปี
เป็นเพราะ รักความสบาย...ทำให้ไม่พยายาม ลด ตัดกิเลสนิสัย
จากที่พระพุทธเจ้า....เคยเสด็จหนีจากวังไปอยู่ป่า
เพื่อให้หลุดพ้น...จากความคิดอารมณ์ที่ติดหลงในวัตถุที่ให้ความสบายทางกาย
โบสถ์...สมัยพระพุทธเจ้าไม่มี เพราะมุ่งหลุดพ้น จึงต้องตัดทุกอย่าง หันมาพึ่งตนเอง
แต่พอสี่ร้อยปี หลังพระพุทธเจ้านิพพาน....พราหมณ์นำโบสถ์จากพราหมณ์มาสร้างในศาสนาพุทธ
พระสงฆ์ หลังจากนั้น...เริ่มอยู่สบายในโบสถ์ในวัด ไม่หวนกลับไปป่าเช่นพระพุทธเจ้า
สุดท้าย...สัจจะปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนมาก็หมดไปในที่สุด
แล้ว....ศีลของพราหมณ์จึงเข้ามา




ข้อเสียอย่างหนึ่งของคนเรา
คือ การไม่ยอมรับความจริงเพื่อแก้ไขปรับปรุง แต่กลัวการเสียหน้ามากกว่า

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

อย่ามาพล่ามแบบไร้สมองให้มาก ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกรึครับ ว่าทำไมต้องมีวัดมีโบสถ์และมันก็มีอยู่นานตั้งแต่พุทธกาลแล้ว จะให้ที่ไหนเป็นที่สอนรองรับคน ที่ไหนไว้ให้คนรู้ว่าเป็นจุดให้ถวายอาหารพระ หรือท่านหาว่าท่านอนาถบิณฑิกทำผิดที่สร้างวัดเวฬุวัน หรือที่เขาทำเจดีย์ไว้บูชาพระบรมสารีริกธาตุมันผิดมาก= =* ไม่งั้นเขาไม่มีศึกษาแบบปริยัติในวัดเพื่อปูฐานความรู้หรอก ถ้าทุกคนมันฝึกฝ่ายปฏิบัติได้หมด มันก็ไม่ต้องมีศาสนา ไม่มีคนเลวหรอก พระอริยเจ้าแทบทุกองค์ก็ต้องมีพื้นฐานก่อนมาเน้นปฏิบัติ แต่ถามว่าท่านพระพุทธองค์มีอาจารย์ไหม ก็มีท่านฤาษีตั้งสองท่าน ก่อนท่านแตกฉานหมดแล้วมาต่อยอดจนค้นพบสิ่งที่สูงกว่า เหมือนเรียนภาษาหรือวิชาอื่นเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ พูดใช้สมองบ้าง ทุกอย่างที่คนโบราณท่านคิดล้วนมีมูลเหตุแต่แค่คนลืมและใช้มันผิดๆเท่านั้น ดั่งที่พระพุทธองค์อุปมาว่า "ศึกษาธรรมผิดเหมือนจับงูที่หางให้มันกลับมาแว้งเราได้" ถ้ายิ่งศึกษาผิดแล้วเอาความรู้ผิดๆ มาสอนคนท่านก็ยิ่งบาปนะท่านเพราะเราทำให้เขาเขว ระวังสอนผิดระวังข้างหน้าได้นรกไม่พอแล้วชาติหน้าจะได้ผู้ชี้แนะหรือครูไม่ดีนะครับ ท่านไหนว่าผมผิดเชิญแก้และชี้แนะได้

 

*** เผื่อใจกว้าง ****

ถ้าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้ เป็นความจริง
ก็ถือว่าข้าพเจ้าทำถูกแล้ว ที่นำความจริงมากล่าว
ถ้าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวนี้ ไม่เป็นความจริง
ข้าพเจ้าก็ต้องรับผลการกระทำนี้ ตามสัจจะธรรม
คือ ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

ผมเองก็แต่แนะนำให้ความเห็นท่านในระดับที่ผมทำได้ ขออภัยด้วยผมมันพวกเลือดขึ้นหน้าหรืออารมณ์ร้อนโดยเฉพาะมาเกี่ยวกับศาสนาที่ผมเคารพนับถือหรือใครก็ตามที่ผมนับ ท่านมั่นใจในคำพูดของท่านก็ดีผมชอบคนที่มั่นใจในตัวเองสูง ผมก็ให้พรขอท่านล่ะกัน ขอให้ท่านเจริญในธรรมและขอให้ท่านช่วยเผยแพร่ความรู้และธรรมะถูกต้องตรงตามท่านพระพุทธองค์เพื่อช่วยรื้อคนเวไนยสัตว์ด้วยล่ะกัน ตัวผมภูมิธรรมไม่ค่อยมีผมเลยมาเน้นพวกพื้นฐานก่อนและคอยเตือนแบบแรงๆให้เขาคิดหน่อย

 

วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6539 ข่าวสดรายวัน


ตะลึงพุทธรูปน้ำตาไหล-หลังไฟไหม้วิหาร

เชื่อ-เศร้า เผาวัดป่า เชียงใหม่



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
น้ำตาพระ- ส่วนหนึ่งของพระพุทธรูป ในวิหารวัดป่าธรรมรักษา อ.ไชยปราการ จ.เชียง ใหม่ มีคราบคล้ายรอยน้ำตาปรากฏขึ้น หลังจากวิหารของวัดถูกเพลิงไหม้เสียหาย ชาวบ้านเชื่อว่าพระพุทธรูปร้องไห้เพราะเสียใจที่เกิดเพลิงไหม้

</TD></TR></TBODY></TABLE>ชาวบ้านสลดพระพุทธรูปร้องไห้ หลังไฟไหม้วิหาร ชาวบ้านไชยปราการ เชียงใหม่ ตะลึงพระพุทธรูปวัดป่าธรรมรักษา มีคราบคล้ายน้ำตาไหลออกมา หลังจากวิหารของวัดถูกเพลิงเผาวอด หลังเกิดเหตุนำพระมาทำความสะอาด พบรอยคล้ายคราบน้ำตาบริเวณเนตรพระ เชื่อพระพุทธรูปเสียใจที่เกิดเหตุ เจ้าอาวาสวอนผู้มีจิตศรัทธาบริจาคช่วยบูรณะวิหาร เพราะทั้งวัดและฆราวาสล้วนยากจน

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านอ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ว่าที่วัดปางมะขามป้อม หรือวัดป่าธรรมรักษา ต.ศรีดงเย็น มีพระพุทธรูปร้องไห้น้ำตาไหลเป็นคราบ จึงไปตรวจสอบ เมื่อไปถึง พบกับพระบุญส่ง ฐิติญาโณ เจ้าอาวาส นำชาวบ้านช่วยกันทำความสะอาด และช่วยกันขัดคราบน้ำตาของพระพุทธรูป ในวิหารที่ถูกไฟไหม้

พระบุญส่งกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่วิหารของวัดเกิดเพลิงไหม้จากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ส่วนที่ไฟไหม้หนักคือหลังคาและผนังวิหารด้านที่ประดิษฐานพระพุทธรูป จนพระพุทธรูปทั้งหมดได้รับความเสียหาย ก่อนชาวบ้านจะมาช่วยกันดับไว้ไม่ลุกลามจนวอดทั้งหลัง หลังจากดับไฟแล้ว ชาวบ้านพากันมาช่วยเก็บข้าวของออกแล้วนำองค์พระพุทธรูปออกมาเพื่อทำความสะอาด ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่มีคราบน้ำไหลจากตา เหมือนน้ำตาของคนที่ร้องไห้ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเศร้าสลดใจอย่างมาก และเชื่อกันว่าสาเหตุที่พระพุทธรูปน้ำตาไหล เพราะท่านเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องวิหารไว้ได้

พระบุญส่งกล่าวว่า สำหรับพระทุกองค์ในวิหารดังกล่าว ชาวบ้านนำมาถวายเมื่อก่อสร้างวิหารแล้วเสร็จเมื่อปี 2548 ใช้เป็นที่ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาของวัดเรื่อยมา ตอนนี้ประชาชนและพระสงฆ์ขาดที่ปฏิบัติธรรม ชาวบ้านต่างเศร้าเสียใจที่เกิดเหตุ เพราะมีปัญหาเรื่องเงินที่จะนำมาซ่อมแซมวิหาร เนื่องจากต่างเป็นคนยากจน ส่วนทางวัดก็ไม่มีเงิน

"ขอวอนพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธาต้องการบูรณะวิหาร และสร้างที่ประดิษฐานให้แก่องค์พระพุทธรูป ติดต่อมาได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าอาวาส หมายเลข 08-5635-8159 หรือของผู้ใหญ่บ้าน หมายเลข 08-9266-5677 หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน สาขาไชยปราการ เลขที่บัญชี 05-3419-20-020122 เพราะทุกวันนี้ เมื่อเห็นคราบน้ำตาจากพระพุทธรูปแล้ว รู้สึกสลดใจมาก" พระบุญส่ง กล่าว

(กรอบบ่าย)

[FONT=Tahoma,]หน้า 1[/FONT]

ตะลึง!แมงกิ่งไม้บอร์เนียว ตัวยาวเฟื้อยเท่าแขนมนุษย์



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>ดร.จอร์จ เบกคาโลนี นักกีฏวิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของอังกฤษ นำแมลงกิ่งไม้ "ชานส์ เมกะสติ๊ก" มาให้ชม โดยแมลงตัวนี้เป็นแมลงที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก คือ 22 นิ้ว หรือเกือบเท่ากับแขนมนุษย์

มีผู้สะสมแมลงตัวนี้ไว้ในคอลเล็กชั่นแมลงเกือบ 10 ปี โดยพบที่ป่าบนเกาะบอร์เนียว จนกระทั่งดาตุ๊กชานชิวหลุน ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านแมลงมาเห็นเข้า จึงคิดว่า น่าจะเป็นแมลงกิ่งไม้สายพันธุ์ใหม่ มันยังยาวกว่าแมลงกิ่งไม้ที่พบเมื่อราว 100 ปีก่อน ถึงครึ่งนิ้ว

ดร.เบกคาโลนี กล่าวว่า "เรายังไม่ทราบว่ามันมีลักษณะทางชีวภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร มันน่าจะอยู่บนเขาสูงๆ บนเกาะบอร์เนียว ทำให้พบเห็นยาก น่าเศร้าที่เหล่าแมลงสูญพันธุ์ไปพร้อมๆ กับการรุกป่า มันหายไปก่อนที่เราจะพบและเรียนรู้เรื่องของมันเสียอีก" - เดลี่เมล์

[FONT=Tahoma,]หน้า 28[/FONT]

วิกฤตเงินปลุกเวที"อาเซม" วาระผู้นำ"เอเชีย"ถก"ยุโรป"

คอลัมน์ สกู๊ปพิเศษ



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>งานประชุมบนเวทีนานาชาติครั้งแรกของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทยในวันที่ 24-25 ต.ค. ที่กรุงปักกิ่ง คือการประชุมที่มีชื่อย่อว่า "อาเซม"

เป็นการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-ยุโรป ริเริ่มโดยฝรั่งเศสและสิงคโปร์ จากการเปิดโต๊ะคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ

จัดประชุมครั้งแรกปี 2539 ที่กรุงเทพมหานคร

เวทีนี้ปลอดมหาอำนาจ "สหรัฐอเมริกา" เพราะเป็นการผนึกทีมที่ถ่วงดุลกับอเมริกาโดยเฉพาะ

อาเซมจัดประชุมกันทุกๆ 2 ปี โดยผลัดกันระหว่างชาติเอเชียและยุโรป

ปัจจุบันเวทีอาเซม มีสมาชิก 43 ประเทศ รวมกันแล้วครองสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ จีดีพีของโลก ร้อยละ 60

กลุ่มประเทศที่อยู่ในสังกัดอาเซม มีทั้ง สหภาพยุโรป หรือ อียู 27 ประเทศ กลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ และชาติเอเชียอื่นๆ อีก 6 ประเทศ

เจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซมครั้งที่ 7 ล่าสุดนี้ ได้แก่ จีน มหาอำนาจเศรษฐกิจเอเชียที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

เป็นงานใหญ่ที่สุดของจีนนับจากมหกรรมโอลิมปิก เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา และ นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า รับหน้าที่โต้โผใหญ่

ส่วนหัวหน้าฝ่ายยุโรปที่ยกทีมมาคือ นายนิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในฐานะประธานอียู

ซาร์โกซี "ชง" เรื่องวิกฤตการเงินโลกที่สองทวีปต่างสั่นสะเทือนจากการล้มครืนของสถาบันการเงินหลายแห่งในอเมริกา เป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมครั้งนี้

หลังจากที่หารือกับ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในสัปดาห์ก่อนและได้ข้อสรุปว่า จะต้องมีการ "ยกเครื่อง" ระบบการเงินของโลกขึ้นใหม่ เพราะของที่ใช้อยู่มีมาตั้งแต่ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

ตอนนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า "เก่าเกินไป" เต็มไปด้วยจุดบกพร่องและก่อหายนะใหญ่หลวง

สิ่งที่บุชย้ำก็คือ ความสำคัญในการรักษารากฐานของทุนนิยมประชาธิปไตย ตลาดเสรี กิจการเสรี และการค้าเสรี

ก่อนจะถึงการประชุมสุดยอดวิกฤตการเงินโลกที่จะจัดขึ้นที่สหรัฐในสัปดาห์หน้า ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจึงต้องการแรงสนับสนุนจากชาติเอเชียในการก่อร่างสร้างระบบการเงินใหม่นี้เป็นอย่างยิ่ง

"เราต้องการทำให้มหาอำนาจเอเชียเชื่อมั่นที่จะร่วมมือกันสร้างระบบการเงินขึ้นมาใหม่" นายซาร์โกซี กล่าว

มหาอำนาจที่นายซาร์โกซีให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือจีนและอินเดีย ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง

นายเซอร์เก้ อับบู เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำจีน กล่าวว่า เอเชียและยุโรปต่างเผชิญปัญหานี้ร่วมกัน ไม่มากก็น้อย

"เราต่างเป็นผู้นำเข้าสินค้า เป็นผู้บริโภคพลังงาน ปัญหาความยุ่งยากต่างๆ ที่เกิดจากวิกฤตทางการเงิน ต่างต้องการทางแก้ไขที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และเราต่างวิตกกับภาวะโลกร้อนและการครอบครองอาวุธทำลายล้าง" นายเซอร์เก้ กล่าว

สำหรับจีน ในฐานะเจ้าภาพมีท่าทีจะร่วมมือกับมหาอำนาจยุโรปเพื่อให้โลกพ้นจากภาวะอลหม่าน ทางการเงินในตอนนี้

นอกจากเรื่องวิกฤตการเงินแล้ว จะมีหัวข้อสำคัญอื่นๆ รองลงมา ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงทางอากาศ การพัฒนาอย่างยั่งยืน และความมั่นคงทางอาหารโลก

ส่วนผู้นำชาติต่างๆ อาจจับเข่าคุยกันนอกรอบในวาระที่มาพบปะกันในเวทีนี้

เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อาจหารือกันเรื่องปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ หรือไทยและกัมพูชา คุยกันเรื่องเหตุการณ์พิพาทพื้นที่ชายแดนรอบปราสาทเขาพระวิหาร เป็นต้น

[FONT=Tahoma,]หน้า 7[/FONT]
หุ้นร่วงระนาวผวาศก.ถดถอย



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
เครียด- โบรกเกอร์บราซิลต่อรองราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เซาเปาโลอย่างดุดัน หลังจากดัชนีซื้อขายของบราซิลดิ่งลงไปกว่า 10% จนต้องพักการซื้อขาย เมื่อ 23 ต.ค. ซึ่งตลอดปีนี้ตลาดหุ้นบราซิลดิ่งลงไปแล้ว 45% (เอเอฟพี)

</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อวันที่ 23 ต.ค. บีบีซีรายงานว่า สถานการณ์ซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปเข้าสู่ภาวะปั่นป่วนอีกครั้ง หลังจากเกิดกระแสหวาดผวาในกลุ่มนักลงทุนว่า เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว และจะส่งผลต่อสถานะการเงินของกิจการต่างๆ ทำให้กำไรหดหาย อาจต้องปลดพนักงานรวมถึงตัดการใช้จ่ายด้านการบริโภค ทั้งนี้ภาวะซื้อขายในยุโรปที่ตลาดหลักๆ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ดิ่งลงทันทีที่เปิดตลาด หลังจากในเอเชีย เกาหลีใต้นำทีมดิ่งมากที่สุด 7.4% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี ค่าเงินวอนดิ่งลง 5% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอล ลาร์ฮ่องกงดิ่ง 4.6% เท่ากับฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่นดิ่งลง 2.46% ไต้หวันดิ่ง 2.72% จีนดิ่ง 1.07% ออสเตรเลียดิ่ง 4.4% และนิวซีแลนด์ 3.18%

[FONT=Tahoma,]หน้า 7[/FONT]





ผงะยาฆ่าแมลงโผล่บะหมี่นิชชิน



เอเอฟพีรายงานวันที่ 23 ต.ค. ว่า สังคมชาวญี่ปุ่นตกใจกับข่าวชวนหวาดผวาเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารอีกครั้ง เมื่อหญิงชาวญี่ปุ่นวัย 67 ปีล้มป่วยด้วยอาการอาเจียนอย่างหนัก หลังกินบะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อนิชชิน ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบสารที่ใช้ในยาฆ่าแมลง

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเมืองฟูจิซาว่า ชานกรุงโตเกียว แจ้งว่า หญิงสูงอายุรายนี้อาเจียนอย่างหนักและลิ้นชา หลังจากกินบะหมี่ยี่ห้อนิชชินเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว ส่วนสามีของหญิงรายนี้วัย 75 ปี กินบะหมี่น้อย จึงไม่มีอาการใดๆ ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบะหมี่ดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นพบสารพาราดิคลอโรเบนซีน สารเคมีสำหรับกำจัดแมลง โดยไม่พบรอยเจาะหรือผิดปกติใดๆ ในถ้วยที่บรรจุ ส่วนทางบริษัทนิชชินไม่ได้เปิดแถลงข่าวในทันที โดยขอเวลาตรวจสอบก่อน

บะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อนิชชินสร้างชื่อและก่อร่างสร้างตัวในยุคที่ญี่ปุ่นฟื้นฟูประเทศจากความเสียหายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ผู้คนมุ่งทำงานหนัก จนไม่มีเวลาทำกับข้าว การกินบะหมี่สำเร็จรูปรองรับวิถีชีวิตประจำวันที่เร่งรีบได้ดี และราคาถูก ทำให้กิจการของนิชชินและอุตสาหกรรมบะหมี่สำเร็จรูปเติบโตอย่างรวดเร็ว มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม บะหมี่นิชชินกลายเป็นสินค้าบริโภคล่าสุดที่เกิดปัญหาในญี่ปุ่น หลังจากสินค้าอาหารที่นำเข้าจากจีนเกิดปัญหาปนเปื้อนสารพิษ ไม่ว่า ถั่วแช่แข็งที่พบยาฆ่าแมลง เกี๊ยวแช่แข็งจากจีน และพิซซ่าที่ใช้นมผงจากจีนปนเปื้อนเมลามีน เป็นต้น

วันเดียวกัน เอพีรายงานว่า ทางการจีนแถลงยอดตัวเลขเด็กที่ล้มป่วยเพราะกินนมปนเปื้อนสารเมลามีนที่ใช้ในการผลิตพลาสติก ว่า ยังรักษาอาการอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า 3,600 ราย ส่วนเด็กที่หายดีจากอาการนิ่วในไตและไตวาย ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วมี 46,717 ราย ยอดเสียชีวิตเท่าเดิมที่ 4 ราย เสียชีวิตช่วงเดือน พ.ค.ถึงส.ค.ที่ผ่านมา

ปัญหาเมลามีนปนเปื้อนในนมผง รวมถึงความปลอดภัยในอาหาร ทำให้จีนอับอายไปทั่วโลก ล่าสุด สมาชิกสภาของจีนเปิดอภิปรายถึงการออกกฎหมายและมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้

หน้า 7
ตัดไฟบีบคิงเนปาลจ่ายบิล



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>เอพีรายงานว่า เมื่อ 23 ต.ค. การไฟฟ้าประเทศเนปาลส่งใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าถึงอดีตสมเด็จพระราชาธิบดีคยาเนนทราและอดีตพระบรมวงศานุวงศ์ ว่า ให้จ่ายค่าไฟฟ้าภายในกำหนด 15 วัน ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดไฟฟ้าตามสถานที่พำนัก

ในใบแจ้งหนี้ของบริษัทการไฟฟ้าเนปาล มีพระราชวังและบังกะโลแห่งต่างๆ รวม 22 แห่งของอดีตประมุขและญาติที่ยังไม่ได้จ่ายค่าไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2550 นับจากมีกลุ่มประชาชนประท้วงต่อต้านราชวงศ์จนถึงช่วงที่ประเทศเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐในเดือนพ.ค. มียอดใช้เงิน 38 ล้านบาท แต่ทางบริษัทไม่ได้เปิดเผยว่า อดีตประมุขเนปาลติดค้างค่าไฟอยู่จำนวนเท่าใด

ในช่วงที่เนปาลล้มราชวงศ์ไปแล้วนั้น ได้ยึดพระราชวังไป 7 แห่ง รวมถึงวังนารายันฮิติ ใจกลางกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวง ที่องค์คยาเนนทราเดินทางออกมาในเดือนมิ.ย. แต่อดีตประมุขและญาติยังมีวังและสถานที่ตากอากาศในเมืองหลวงและนอกเมืองอีกหลายแห่งที่ยังติดค้างค่าไฟ ซึ่งทางบริษัทการไฟฟ้ายื่นคำขาดว่า หากไม่มาจ่ายเงินตามกำหนดจะตัดไฟไม่ให้ใช้

[FONT=Tahoma,]หน้า 7[/FONT]
รับมือคนตกงาน

คอลัมน์ เศรษฐกิจพาที

ถุงแดง



จากวิกฤตการเงินสหรัฐที่ลามไปทั่วโลก ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะส่งผลให้ตกงานเพิ่มขึ้น

ข้อมูลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) หน่วยงานด้านการดูแลแรงงานขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า จำนวนผู้ว่างงานทั่วโลกในปี"52 จะเพิ่มขึ้นจนทะลุ 210 ล้านคน

เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษนับตั้งแต่มีการบันทึกอัตราการว่างงานในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ขณะที่นายฮวน โซมาเวีย เลขาธิการไอแอลโอ คาดการณ์ว่าระหว่างเดือนม.ค.51-ธ.ค.52 ปริมาณคนว่างงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20 ล้านคน

โดยเฉพาะเมืองนิวยอร์ก ซึ่งเป็นที่ตั้งของวอลล์สตรีต ศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก คาดว่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า บริษัทต่างๆ จะปลดพนักงานประมาณ 165,00 ตำแหน่ง สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า และในจำนวนนี้คาดว่าจะเป็นผู้ว่างงานที่ทำงานในสถาบันการเงินโดยตรงถึง 35,000 คน

ส่วนประเทศไทยแม้ว่าสถาบันการเงินยังแข็งแกร่ง แต่ภาคธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก และธุรกิจเอสเอ็มอี อาจปลดคนงานได้

นายภักดิ์ ทองส้ม รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ในปี"52 ธุรกิจเอสเอ็มอีในไทยอาจปิดกิจการไม่ต่ำกว่า 60,000 ราย จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ขายของลำบาก

รัฐบาลคงต้องตั้งรับให้ดี ไม่งั้นคงได้เห็นโจร ขโมย เต็มบ้านเต็มเมืองแน่

หน้า 8
หวั่นประชาชนช็อกน้ำมันขึ้นพรวด3-4บ. พลังงานสั่งรีดต๋งตุนกองทุน-รออุ้มภาษีแทนปีหน้า



น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปจัดทำตัวเลขการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่ภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.52 หลังสิ้นสุด 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นห่วงว่าหากภาษีปรับเพิ่มขึ้นทันที 3-4 บาท/ลิตร จะทำให้ประชาชนช็อก และจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า ค่าโดยสาร และค่าบริการ

สำหรับแนวทางเบื้องต้นที่มองไว้คือหลังสิ้นสุด 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาลในวันที่ 31 ม.ค.52 จะไม่ขึ้นราคาน้ำมันทันที 3-4 บาท/ลิตร แต่จะใช้วิธีทยอยปรับขึ้นเป็นแบบขั้นบันได เดือนละ 1 บาท เป็นเวลา 3 เดือนตั้งแต่เดือนก.พ.52 มี.ค.52 และเม.ย.52 คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งเงินตรงนี้จะพยายามเรียกเก็บจากผู้ใช้น้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันขาลง เพื่อไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน และขณะนี้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงมาก เพราะราคาน้ำมันปรับลดเร็วมาก จึงเป็นโอกาสที่จะเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนจะเก็บในอัตราใดกับน้ำมันตัวไหนบ้างนั้น คงต้องหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในวันที่ 24 ต.ค.ก่อน

ทั้งนี้การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคงจะไม่ใช้วิธีขยายเพดานเก็บเงินเข้ากองทุนที่กำหนดไว้ 4 บาท/ลิตร เพราะขณะนี้มีเพียงเบนซิน 95 และเบนซิน 91 เท่านั้นที่เก็บเต็มเพดาน แต่จะเรียกเก็บในส่วนของแก๊สโซฮอล์ และดีเซลเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 1.35 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 0.85 บาทต่อลิตร อี 20 อยู่ที่ 0.30 บาทต่อลิตร ดีเซลอยู่ที่ 1.20 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลบี 5 กองทุนน้ำมันเชื้อพลิงยังต้องจ่ายเงินอุดหนุนให้ 0.20 บาทต่อลิตร

รายงานข่าวจาก สนพ.เปิดเผยว่า การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคงเรียกเก็บได้ไม่ยาก เพราะมีน้ำมันหลายตัวที่ยังเก็บไม่เต็มเพดาน และยังมีเงินอีก 3,300 ล้านบาทที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยภาษีให้กับผู้ค้าน้ำมันในช่วงที่ปรับลดภาษี ซึ่งเงินดังกล่าวจะมีการเรียกเก็บคืนในช่วงที่ภาษีปรับขึ้น อย่างไรก็ตามการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนจะต้องเร่งดำเนินการ เพราะราคาน้ำมันช่วงนี้อยู่ในช่วงขาลง แต่พอเข้าสู่เดือนพ.ย.-ธ.ค.น้ำมันจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้น การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนจะดำเนินการลำบาก

ทั้งนี้เมื่อเดือนก.ย.คนไทยใช้น้ำมันทั้งดีเซลและเบนซินรวมกัน 60 ล้านลิตร เมื่อหักเบนซินที่เก็บเงินเต็มเพดาน 8.5 ล้านลิตรออกไป ยังเหลือน้ำมันที่สามารถเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนได้อีก 51.5 ล้านลิตร หากเรียกเก็บอีก 1 บาท/ลิตรคาดว่าจะได้เงินเพิ่มอีกเดือนละประมาณ 1,500 ล้านบาท หากเก็บ 3 เดือนตั้งแต่พ.ย.-ม.ค.จะได้ 4,500 ล้านบาท น่าจะเพียงพอที่จะสำรองไว้ทยอยจ่ายภาษีให้ประชาชน

สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ยังมีฐานะเป็นบวก 2,800 ล้านบาท โดยมีเงินสดสุทธิ 11,242 ล้านบาท มีหนี้สิน 8,439 ล้านบาท หนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องจ่าย อาทิ จ่ายชดเชยให้กับพลังงานทดแทนคือแก๊สโซฮอล์ บี 5 อีก 3,700 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยราคาจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต 3,366 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานยูโร 4 ที่ 431 ล้านบาท หนี้ชดเชยแอลพีจี 291 ล้านบาท หนี้ชดเชยบี 100 ที่ 52 ล้านบาท

หน้า 8

 

ที่จริงไม่เกี่ยวกับภัยพิบัติดอก แต่เป็นเรื่องหลักฐานของไดโนเสาร์
เคยไปเที่ยวแถวจ.กาฬสินธุ์ นานนนน....หลายปีแล้ว
อำเภออะไรก็จำไม่ได้แล้ว มีชาวบ้านพาไปดูรอยเท้าของสัตว์ใหญ่
2-3 รอย รอยนี้ปรากฎอยู่บนผิวพื้นดินใต้ลำธาร ช่วงที่ไปเที่ยว
เป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำจึงค่อนข้างเหลือน้อย เพียงไหลริน ๆ เท่านั้น
จึงสามารถเห็นรอยเหล่านั้นได้ ค่อนข้างชัดเจน ชาวบ้านบอกว่า
เป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งดูแล้วมีลักษณะเหมือนจริง ๆ แต่ทางราชการ
ยังไม่มีใครทราบหรือมาสำรวจอะไรเลย ที่จริงหลักฐานทางประวัติศาสตร์
อื่น ๆ ของประเทศไทยยังมีอีกมาก แต่ขาดความเอาใจใส่จากทางราชการ
น่าเสียดายยยย.....น่าเสียดาย

 

ทองแท่งขาดตลาด งดขายเสาร์-อาทิตย์ เริ่มพรุ่งนี้​

​

กทม. 24 ต.ค. - สมาคมค้าทองคำ ประกาศงดซื้อขายทองคำแท่งเสาร์-อาทิตย์นี้ หลังทองคำแท่งขาดตลาด

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ ยอมรับว่า ปัญหาปริมาณทองคำแท่งในตลาดมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ขณะที่ทองคำที่ซื้อจากตลาดโลกราคาอ้างอิงไม่แน่นอน สมาชิกของสมาคมโดยเฉพาะร้านใหญ่ ขณะนี้ปริมาณทองคำแท่งขาดตลาดอย่างหนัก จึงหยุดซื้อ-ขายทองคำแท่งในวันเสาร์-อาทิตย์ แต่วันจันทร์-ศุกร์ ยังมีซื้อขายเช่นเดิม ส่วนการจำกัดปริมาณการซื้อนั้น ขึ้นอยู่กับสต๊อกของแต่ละร้าน ซึ่งอาจจะมีบางร้านจำกัดการซื้อขาย

ส่วนทองรูปพรรณยังซื้อขายตามปกติ สำหรับสถานการณ์ยังตอบไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนผู้ที่มีใบสั่งซื้อยังคงมีการซื้อขายตามปกติ คาดว่าสถานการณ์ทองคำแท่งขาดตลาดประมาณ 2 สัปดาห์ สถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ. -สำนักข่าวไทย

2008-10-24 15:01:22

ที่มา http://news.mcot.net

 

เมื่อวานนี้ วันปิยะมหาราช ได้พาภรรยากับลูกชายไปไหว้พระที่จ.อยุธยา สังเกตุเห็นวัดใหญ่ชัยมงคล มีอาการเอียงอย่างมาก เปรียบเทียบกับที่จำได้เมื่อก่อนหน้านี้ เห็นแล้วรู้สึกน่ากลัว ดูเหมือนว่าหลายๆเจดีย์ในตัวจังหวัดก็มีอาการเอียงมากแบบผิดสังเกตุ (ของตัวผมเอง) ไม่รู้ว่าคนเมืองอยุธยามองเห็นเจดีย์ทุกวัน ซึ่งค่อยๆเอียงทีละนิดๆๆๆ จึงไม่รู้สึกหรือเปล่า

ไม่ทราบว่าท่านอื่นๆ มีใครรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า

 

​

การบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์ประธาน


เนื่องจากกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดใหญ่ชัยมงคลเป็นโบราณสถานของชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ภาค ๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นต้นมา เมื่อพระครูภาวนารังสี (เปลื้อง เริงเชียร) เจ้าอาวาสวัดเมื่อครั้งเป็นพระครูภาวนาพิริยคุณและพระภิกษุอื่นเข้าไปจำพรรษาในวัดใหญ่ชัยมงคล ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๙ - ๒๕๐๐ นั้น ได้เริ่มการบูรณะปฏิสังขรณ์วัด โดยเฉพาะองค์เจดีย์ประธาน และได้ประสานให้กรมศิลปากรดำเนินการต่อมา ซึ่งประสบปัญหาและอุปสรรคอย่างยิ่ง เนื่องจากมีข่าวลือว่ามีการลักขุดหาสมบัติในองค์เจดีย์ประธาน ได้พระพุทธรูปทองคำจากใต้ฐานกลางองค์เจดีย์แล้วเปิดขุดจากกลางองค์เจดีย์บนชั้นฐานทักษิณกับเปิดเจาะส่วนฐานล่างสุดด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมุ่งตรงไปยังกลางเจดีย์

ในระหว่างดำเนินการขุดค้นตรวจสอบองค์เจดีย์เพื่อเสริมความมั่นคงนั้น นายภิรมย์ จีนะเจริญ เจ้าหน้าที่บริหารงานโบราณคดี ๘ หัวหน้างานโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ กองโบราณคดี๑ ขณะที่รับราชการอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้สำรวจพบว่าได้พบการปิดบังความจริงในส่วนผนังฐานส่วนล่าง ด้านทิศตะวันออกและตะวันตก มีการเอาอิฐก่อปิดไว้ซึ่งสภาพผิดไปจากผนังก่ออิฐส่วนอื่น ๆ ได้ทำการตรวจสอบปรากฏว่า เมื่อทุบผนังนั้นออกพบเป็นช่องทางสำหรับการเข้าไปยังกลางองค์พระเจดีย์ได้

แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ และควรค่าแก่การศึกษาสำหรับองค์พระเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล ก็คือ เมื่อได้มีการตรวจสอบจากส่วนกลางองค์พระเจดีย์ลงไปพบว่าตรงกลางองค์พระเจดีย์นั้นได้มีการลักลอบขุดไปแล้วและได้นำเอาเศษอิฐหักกากปูนที่ขุดขึ้นมานั้นกลบลงไปตามเดิม ระหว่างที่นำเอาเศษอิฐหัก กากปูนขึ้นมานั้น ปรากฏว่าได้พบร่องรอยของพระเจดีย์เก่าแก่หลงเหลืออยู่ให้เห็นตั้งแต่ส่วนยอดลงไปจนถึงส่วนฐาน ร่องรอยดังกล่าวนั้นเป็นลักษณะของการลักขุดผ่ากลางองค์พระเจดีย์องค์เล็กนั้นเลย เมื่อมีการเปิดร่องรอยของการทับถมของเศษอิฐฯ ดังกล่าวไปเรื่อยๆ จนถึงระดับพื้นดินส่วนฐานขององค์พระเจดีย์ประธานก็ได้พบอุปกรณ์การลักลอบขุดหลงเหลืออยู่ อาทิ ท่อนไม้ไผ่ที่ทำไว้สำหรับปีนขึ้นลง เทียนไข และที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือได้พบกรุหินชนวน ขนาดประมาณ ๑.๐๐ ม. x ๑.๐๐ ม. สูง ๑.๐๐ เมตร ฝากรุแตกเป็นช่อง แต่คนไม่สามารถลงไปได้ ได้ตรวจดูแล้วไม่พบศิลปวัตถุใดๆ ในกรุดังกล่าว คงพบแต่หัวกะโหลกลิง ๑ หัว อยู่ในกรุนั้น

ขณะที่ดำเนินการขุดค้นตรวจสอบนี้ ได้มีกลุ่มคนในวัดใหญ่ชัยมงคล พยายามขัดขวางการทำงานของกรมศิลปากรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและกรมศิลปากรจึงมีมติร่วมกันเห็นชอบให้ยุติการขุดค้น แล้วจึงอัดฉีดน้ำปูนพร้อมทั้งเทคอนกรีตเสริมเหล็กกลบหลุมเพื่อมิให้มีการขุดค้นอีกต่อไป

ในการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ประธาน กรมศิลปากรได้เริ่มดำเนินการ ดังนี้ ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ กองโบราณคดี กรมศิลปากร เริ่มบูรณะองค์เจดีย์ประธานในส่วนที่แตกร้าวรอบองค์และยอดเจดีย์ รวมทั้งก่ออิฐอุดรอยตรงบัลลังก์แปดเหลี่ยมเหนือองค์ระฆัง ที่คนร้ายลักลอบขุดเจาะไว้เป็นโพรงกว้างทำให้เจดีย์เอียงทรุดไปทางตะวันตก นอกจากนี้ยังบูรณะเจดีย์ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ๑ องค์ เสามุมฐานเจดีย์ซึ่งตั้งรับฐานเจดีย์ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฐานเจดียใหญ่ชั้นสองด้านทิศตะวันออก ฐานชั้นแรกด้านทิศตะวันตกฐานชั้นแรกและะชั้นสองด้านทิศใต้

ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ดำเนินการป้องกันการทรุดเอียงขององค์เจดีย์และการพังทลายบริเวณองค์ระฆังด้วยการผูกลวดสลิงจำนวน ๘ เส้น ตรงบัลลังก์บนยึดตรึงไว้กับฐานรากคอนกรีตด้านทิศตะวันออก เพื่อปะทังมิให้ส่วนยอดของเจดีย์เอียงไปทางทิศตะวันตก และวางแผนเสริมความแข็งแรงทางโครงสร้าง โดยจะเจาะอัดฉีดซีเมนต์ผสมทรายเสริมเหล็กบริเวณรอยร้าวด้านทิศตะวันตกแล้วเทคอนกรีตเสริมเหล็กเชื่อมรอยร้าว หากแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำโครงการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ชัยมงคล ตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ

ซึ่งต่อมาคณะกรรมการฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานของกรมศิลปากรและกำหนดแผนดำเนินงานใหม่โดยร่างโครงการแผนแม่บท วางเป้าหมายการดำเนินงานออกเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มวิศวกรรม กลุ่มสถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อม กลุ่มโบราณคดีและกลุ่มประชาสัมพันธ์และบันทึกเหตุการณ์ แล้วให้ระงับการทำแผงคอนกรีตเสริมเหล็กตรงรอยร้าวด้านทิศตะว้นตกและการเจาะรูอัดฉีดน้ำปูนซีเมนต์และเสริมเหล็ก กับทั้งว่าจ้างบริษัทผู้ชำนาญงานการเจาระสำรวจดินเพื่อสำรวจคุณภาพของดินและโครงสร้างเดิมของฐานรากองค์เจดีย์จำนวน ๖ จุด ประกอบการพิจารณาหาแนวทางและวิธีการดำเนินการต่อไป

ผลการสำรวจทางด้านวิศวกรรม

ผลการตรวจสอบคุณภาพดิน ได้ค่าความสามารถรับน้ำหนักของพื้นดิน ๒๙.๓๐ ตันต่อตารางเมตร มีส่วนความปลอดภัยเพียง ๑.๑๙ ซึ่งนับว่าน้อยมาก

ผลการสำรวจโครงสร้างองค์เจดีย์ประธาน พบว่า องค์เจดีย์มีปริมาตร ๑๕,๖๔๐ ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นน้ำหนัก ๒๘,๑๕๔ ตัน ทำให้กิดแรงอัดบนดินประมาณ ๒๔.๓๖ ตันต่อตารางเมตร ถ้าคิดแรงลมที่ปะทะองค์เจดีย์ในอัตรา ๑๕๐ กิโลกรัมต่อตารางเมตรด้วย ก็จะทำให้เกิดแรงอัดบนพื้นดินเพิ่มขึ้นเป้น ๒๔.๗๖ ตันต่อตารางเมตร

ส่วนการทรุดตัวขององค์เจดีย์นั้น ผลการตรวจสอบปรากฏว่าเอียงจากแนวดิ่งไปทางทิศตะวันตก ๓.๗๒ เมตร หรือร้อยละ ๖ ของความสูง ลักษณะการทรุดเกิดจากน้ำหนักขององค์เจดีย์กดลงบนพื้นดินซึ่งเป็น Silty Clay มีทรายละเอียดปน สลับกับชั้นทรายปนดิน ทำให้เม็ดทรายแตก ดินยุบตัวและน้ำในดินที่มีอยู่มากในระดับ ๘ - ๑๐ เมตร ถูกบีบดันออกไป ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นและมีการทรุดตัวประมาณ ๒๕ เซนติเมตรทางทิศตะวันตก

การบูรณะทางด้านวิศวกรรม ได้ดำเนินการดังนี้คือ อัดปูนทรายในชั้นทรายใต้ฐาน องค์เจดีย์ให้แน่น เพื่อให้ดินสามารถรับน้ำหนักได้เพิ่มขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น ใช้แถบเหล็กไร้สนิมรัดองค์เจดีย์เป็นระยะๆ เพื่อป้องกันมิให้ส่วนต่างๆ ขององค์เจดีย์เลื่อนตัวแยกหลุดออกจากกันและซ่อมรอย ร้าวรอบองค์เจดีย์และพื้น เพื่อให้น้ำซึมลงไป ทำให้เกิดการผุกร่อนในตัวองค์เจดีย์และในดินใต้ฐานอันจะทำให้เกิดการทรุดตัวขึ้นได้

สรุป

จากปัญหาอุปสรรคและความจำเป็นเร่งด่วนในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ชัยมงคล จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ว่าไม่สามารถศึกษาค้นพบร่องรอยได้ว่ามีเจดีย์องค์เดิมหรือไม่ ซึ่งหากค้นพบก็อาจจะสรุปได้ว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ครอบเจดีย์องค์เล็ก ตามข้อสันนิษฐานเบื้องต้น

ปัจจุบันโบราณสถานในวัดใหญ่ชัยมงคล เป็นที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้เข้าชมเป็นจำนวนมาก หากแต่ยังคงมีสิ่งก่อสร้างและการบูรณะปฏิสังขรณ์อีกหลายอย่างที่จะต้องแก้ไข เช่น การบูรณะเสริมความมั่นคงแข็งแรงของเจดีย์รายบางองค์ที่แต่งเติมผิดไปจากของเดิม การประดับตกแต่งวิหารหลวงหรือศาลาดิน โดยใช้เสาวิหารเป็นฐานที่ตั้งกระถางไม้ประดับ

ดังนั้นการพัฒนาวัดใหญ่ชัยมงคลต่อไป จึงสมควรจะต้องมีการหารือและพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบเสียก่อนดำเนินการ และขณะนี้ทางวัดโดยคณะกรรมการดำเนินงานสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสวนสาธารณะขึ้นที่วัดใหญ่ชัยมงคลนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติของพระองค์ ในวโรกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พุทธศักราช ๒๕๓๕ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเททองและวางศิลาฤกษ์พระบรมราชานุสาวรีย์ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕

ที่มา http://bosab.blog.mthai.com/

 

เตือนภาคใต้ระวังดินถล่ม​

 

หมอนิดพยากรณ์ดวงเมือง
เดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2551​

​

ต่อไปนี้เราท่านทั้งหลายมาอ่านการ “พยากรณ์ดวงเดือน” (แบบโจ๊กเละๆ) และขอให้คิดว่า วันนี้ผมมาเขียนหนังสือ “ขายหัวเราะ” สักครั้ง อ่านแล้วอย่าไปเครียดนะครับ...เพราะผมก็ได้วงเล็บเอาไว้แล้วว่า (โจ๊กเละๆ) โจ๊กคือโจ๊ก ถ้าไม่เละ ก็คงจะเป็น...ข้าวตัง...ใช่ไหมครับ...มาดูเรื่องเศรษฐกิจกันก่อนดีกว่า...ว่าในเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน นี้ มีอาชีพอะไรขายดีเป็นพิเศษ...ไม้อัด...ครับจะขายดีมากและดอกไม้ก็จะเป็นสินค้าที่มาแรงเช่นกัน...เพราะจะเป็นของที่คู่กับไม้อัดที่ประกอบเสร็จอย่างสวยงาม ถนนจะโล่งรถจะบางตาไม่ติด...แต่ไม่ใช่เพราะฝีมือของผู้ว่า ก.ท.ม. นะครับอย่าเข้าใจผิด...เพราะรถราจะบางตาไม่กี่วันเท่านั้น...ผู้คนจะพลุกพล่านแต่ ไม่ใช่ตามห้างสรรพสินค้าหรือตามโรงภาพยนตร์...ถ้าไม่เดือน ตุลาคม...ก็เป็นเดือน...พฤศจิกายน...นี้
<O</O
พ่อค้านักธุรกิจต่างๆ คงจะเงียบเหงาซบเซาเพราะพิษเศรษฐกิจ บวกกับพิษการเมืองในขณะนี้...แต่อาชีพที่จะสวนกระแสในยามนี้คือสินค้าที่... “ผู้ซื้อไม่ได้ใช้...ผู้ใช้ไม่ได้ซื้อ” หากใครจะรีบเปลี่ยนอาชีพเพื่อ “ทำเงิน” ในช่วงระยะเวลาสั้นๆนี้ ก็ลองพิจารณาดู...อาชีพที่ว่านี้คือ “โลง” นั่นเอง...ขำไว้...ขำไว้...เพราะนี่เป็นเรื่อง “โจ๊ก” อย่าไปเครียด...เพราะทุกคนต้องใช้กันทั้งนั้นจะช้าหรือเร็วเท่านั้น
<O</O
ดอกไม้ จะขายดีเช่นกัน เพราะจะมีการนำไปตบแต่งให้ดูสวยงามเหมือน...พวงหรีด...ที่ต้องคู่กับไม้อัดที่ประกอบเสร็จแล้วดูสวยงาม...ตามด้วย...ดอกไม้จันทน์...ก็เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งเช่นกัน...หัวเราะไว้...หัวเราะไว้...อย่าคิดมาก...ผู้คนจะพลุกพล่านเป็นพิเศษจนชุลมุนคงจะเป็นที่โรงพยาบาลหลายแห่ง...อาจจะมีญาติพี่น้องไปทำงานอยู่ที่นั้นมั๊ง...และสุดท้ายก็จะไปงานวัดหลายวัด (คนไทยคงจะใจบุญ) เพราะเป็นเมืองพุทธ...ส่วนที่ว่ารถจะโล่ง...รถราไม่ติด...คงจะเป็นเพราะมีบริษัท, ห้างร้านต่างๆหลายแห่ง “หยุด” หรือ “ปิดชั่วคราว” เพื่อให้พนักงาน, หรือลูกจ้าง...หรือแม้แต่เจ้าของบริษัท ห้างร้านต่างๆไปพักผ่อนเพื่อรับ “ลมหนาว” ชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้...รถของหน่วยงาน ...รถของราชการสำคัญ!? วิ่งโดยสะดวก...เพราะเป็น...รถด่วนพิเศษ...? แต่ไม่ใช่รถไฟด่วนพิเศษนะครับ...โปรดฟังอีกครั้ง...ที่ท่านได้อ่านมาแล้วนี้เป็นเรื่อง...โจ๊กเละๆ ...ทั้งนั้น...ไม่ใส่สี...และไม่ใส่ไข่...อย่างแน่นอน
<O</O
ที่ผ่านมาผมได้แต่เขียนบทความหนักๆ ทำให้ท่านเครียดมาหลายตอนแล้ว...บางครั้งก็ทำให้หลายท่านตื่นเต้นตกใจเช่น...เตรียมตุนเสบียงอาหาร...เติมน้ำมันให้เต็ม...วันนี้ ผมจึงเขียนเรื่อง “โจ๊กเละๆ มาให้ท่านอ่านเพื่อคลายเครียด...อย่าไปคิดว่าเป็น... “เรื่องจริง” ! เพราะดี๋ยวท่านจะเอาไป...ฝันเป็นจริง...! ก็จะมาด่าผม...ผมคิดว่าคนที่มีความสุขที่สุดไม่ทุกข์ไม่ร้อนคือ “คนบ้า” และผมก็เป็น “คนบ้า” คนหนึ่งของคุณ เพราะฉะนั้นอย่าถือสา “คนบ้า” คนนี้เลยนะครับ...

ผมไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ...สำนวนต่างๆจึงไม่เป็น...สับปะรด...แต่เหมือน...บักนัด...เท่านั้น...บางคนนึกว่าผมเป็นเวียดนาม (ยวน) ไม่ใช่ครับ ผมเป็น ลูกจีนที่รัก “พ่อ” มาก...เหมือนท่านทั้งหลาย และหลังจากที่ผมเขียนบทความวันนี้แล้ว ผมจะไม่เขียนอะไรเพิ่มเติมอีกตลอดเดือน...ตุลาคม นี้ นอกจากจะนำเมลที่ผู้อ่านได้เมลเข้ามาจำนวนมาก มาตอบเท่านั้น หากมีเวลาและโอกาส...และผมขอความกรุณาจากทุกๆท่าน...โปรดอย่าโทรมาถามผมเรื่องการเมือง เลยครับ เพียงแค่ผมเขียนบทความต่างๆ ผมก็กลายเป็น “คนบ้า” ไปแล้ว อย่าถึงกับให้ผมต้องเข้า...ศรีธัญญา..เลย<O

ด้วยความเคารพ<O</O
จาก หมอนิด (กิจจา ทวีกุลกิจ)<O</O
22 ตุลาคม 2551

ที่มา http://www.mornid.com/home.php</O

 

_Hi__ กระผมขอประท้วงครับ ท่านประธานที่เคารพ

สมาชิกสภาเราหายเงียบไปหลายท่านเลย คุณ Kananun, Falkman และอีกหลายๆท่าน

ตกหล่นตามงานกฐินไหนไม่รู้

pig_cryy

ขอท่านประธานโปรดวินิจฉัย ด้วยขอรับ

 

"25 ต.ค. 2551อำเภอเมืองกระบี่ ฟ้ามืดคลื้ม ฝนตกทั้งวัน"

 

เป็นอย่างไรหล่ะท่าน ที่บอกว่าจะเกิดสตอมเซิร์จในประเทศไทย เดือน สค. กย. ตค. ปี 2551

เหลืออีกเพียงไม่กี่วัน คำทำนายเหล่านี้จะเป็นม๋าหัวเน่า นะครับพี่น้อง

ปล. เดี๋ยวมีต่อ เรื่องหิมะตกในเมืองไทย รอวันเวลาพิสูจน์ก็แล้วกันว่า จะเชื่อหมอดูหมอเด้า ก็เว้ากันไป .. หรือจะเชื่อหล่อลากดิน ที่ค้านมาเป็นปีๆแล้วว่า .. ไม่มีภัยอะไรมาทำร้ายเราหรอก ... นี่ผมไม่ได้พูดเล่นๆนะ มีพระฯ อยู่กับผมด้วยนะเอ้อ ..... คอนเฟิร์ม

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=767 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center width=780>

​

</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=720 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=435 border=0><TBODY><TR><TD class=thaisannormal width=111></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
รายการ จุดเปลี่ยน สัปดาห์หน้า ในวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน ช่อง 9
ตอน ภัยพิบัติและคำทำนาย มีสัมภาษณ์ท่านดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

 

พระใหญ่ลงอเวจี
(พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)​

ภาพพระเทวทัตถูกธรณีสูบลงอเวจีมหานรก​

หลังจากฉันฟื้นจากตายได้ไม่ครบ ๑ ปีดี พระที่ท่านยายกับท่านแม่ชอบนิมนต์มาเทศน์ และเป็นพระองค์เดียวกันกับที่ท่านหาว่าฉันมีอารมณ์ใกล้บ้า เพราะชอบเอาเรื่องของคนตกนรกมาเล่าให้ท่านยายฟังเกือบทุกวัน ​

ทั้งนี้เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรก และเขาทำอะไรมาจึงลงนรก เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องนรกนี่เอง ฉันก็เลยต้องลงนรกเป็นประจำวัน เวลาไปนรกฉันไปไหนไม่ได้ นอกจากยืนอยู่ที่ยอดเขาที่ตาลุงแกสั่งว่าห้ามเข้า ​

ความจริงมีสิทธิ์จะไปได้ แต่ทว่าตอนนั้นฉันเป็นเด็กไม่รู้เรื่องธัมมะธัมโมอะไรกับเขาเลย ปกติก็เป็นคนเคารพในคำสั่งของท่านยายและท่านแม่เคร่งครัดอยู่แล้ว เรื่องคำสั่งไม่เคยละเมิด เว้นไว้แต่เป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เลยไม่ถูกลงโทษเพราะขัดคำสั่ง แม้อยู่โรงเรียนเรื่องขัดคำสั่งไม่เคยถูกลงโทษเลย เมื่อไปเมืองนรกก็เลยไม่กล้าขัดคำสั่งตาลุง แต่ก็ทำให้ตาลุงคนนั้นลำบากไม่น้อย เพราะถ้าฉันเกิดสงสัยไม่เข้าใจอะไร ฉันก็นึกถึงตาลุงคนนั้น เมื่อนึกถึงแก ๆ ก็มาหาทันที ถามอะไรแกก็บอกให้ฟังละเอียดตามที่ต้องการรู้ ​

เมื่อฉันได้ยินข่าวว่าท่านเจ้าคุณที่คุณยายนับถือมาตาย ท่านเจ้าคุณองค์นี้ฉันไม่ไหว้และไม่ยอมประเคนของ ด้วยเกลียดท่านที่ท่านหาว่าเรื่องนรกที่ฉันเล่าให้ท่านยายฟังเป็นเรื่องโกหกพกลม ตัวท่านเองท่านพูดว่า บวชมา ๓๐ ปีเศษแล้ว ไม่เคยเห็นนรกสักนิด ฉันเลยเกลียดท่าน ด้วยคิดว่าพระแบบนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน เป็นความคิดของเด็กโง่ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรม เลยไม่ยอมเคารพ แม้แต่นิ้ว ๑๐ นิ้ว ก็เสียดายเวลาที่จะยกมือไหว้ท่าน ​

เมื่อท่านมา ท่านยายให้ประเคนของก็ไม่ยอมประเคน โดยเรียนท่านยายต่อหน้าท่านว่า พระที่มีความสามารถไม่เท่าเด็กไม่อยากให้อะไร ท่านโกรธมาก เพราะท่านเป็นเจ้าคุณ วัดอยู่ฝั่งพระนคร ท่านมีศักดิ์ใหญ่ แต่ท่านจะทำอะไรฉันได้ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านยายไม่กล้าขัดใจฉัน ​

เมื่อทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณตาย ท่านยายไปเยี่ยมศพท่าน ไม่ได้ชวนฉันไป ถ้าชวนฉันก็ไม่ไปเพราะเกลียดมาก เมื่อท่านอยากไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ ฉันว่างเพราะไม่มีคนสั่งงาน ฉันไปนั่งเล่นที่ชานบ้าน บ้านอยู่ริมน้ำ มีต้นจากที่ปลายสะพาน ๑ ต้น ฉันไปนั่งในต้นจาก เอากระดานพาดทางจาก ด้วยจากต้นนั้นท่านยายปลูกไว้นาน ต้นใหญ่มาก เมื่อลมพัดเย็นสบายใจก็เลยคิดว่าท่านเจ้าคุณท่านตายแล้วท่านจะไปทางไหน จะไปถามตาลุงดู ​

จึงนึกถึงพระรูปสวยองค์ที่เคยมาหาฉัน พอภาวนาว่าพุทโธ ๓ คำ ท่านก็มาหา ท่านยิ้ม ก็กราบเรียนท่านว่าผมอยากไปดูนรก ท่านยิ้มอีกครั้ง ฉันก็ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาลูกที่เคยไป เมื่อไปถึงก็นึกถึงตาลุงๆก็มาหา แกถามว่าหลานต้องการพบทำไม บอกแกว่าได้ข่าวว่าพระตาย ๑ องค์ มีชื่อว่า.... เขามีชื่อว่าอะไรจะบอกชาวบ้านทำไม ไม่บอกให้รู้แต่บอกให้ตาลุงรู้ เมื่อตาลุงทราบแล้วก็บอกว่าเขาตัดสินแล้ว ขณะนี้อยู่ในอเวจี ​

ถามแกอีกว่าพระตกนรกด้วยหรือ แกตอบว่า พระตกนรกเป็นประจำ เพราะพระบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระก็ต้องตกนรก ถามแกว่า พระเทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก แกตอบว่า ก็พระดีแต่สอนชาวบ้าน ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา บอกให้คนอื่นทำดี แต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมด และมีโทษหนักมาก ฉันอยากเห็นท่านเจ้าคุณ ก็บอกตาลุงว่าผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ แกก็บอกว่าได้ แล้วก็ร่ายเวท แกยกมือขึ้นเท่านั้นเองแล้วก็ปรากฏว่าภาพอเวจีมาปรากฏใกล้ตัวฉัน ฉันเห็นท่านเจ้าคุณฉันก็จำได้ ภาพของท่านที่ปรากฏมีดังนี้​

๑. ยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบนปักติดอยู่ที่มือทั้ง ๒ ข้าง ปลายด้ามหอกติดเพดาน หัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น​

๒. หอกปักด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลาย และด้าม ตรึงติดกำแพงเรื่องหอกเว้นพรรณนา เป็นอันว่าปักยึดจนขยับเขยื้อนไม่ไหว ถามท่านลุงว่า ท่านเจ้าคุณมีโทษอะไร มีหอกปักตรึงแล้วมีเปลวไฟละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุมพุ่งมาเผาตลอดเวลา ตาลุงบอกว่าลุงจะไม่บอก จะให้ท่านบอกเอง ​

แล้วตาลุงก็บอกให้แกขึ้นมาหา พอตาลุงเรียก ปรากฏว่าเครื่องพันธนาการหลุดหมด ไฟดับ ท่านเดินขึ้นมา ท่านเห็นฉันเข้า ท่านกล่าวขออภัย ท่านลุงบอกว่าการขออภัยขณะนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะโทษที่เหยียดหยามผู้ทรงฌาน ถูกตัดสินแล้ว ฉันถามท่านลุงว่าใครเป็นผู้ทรงฌาน ท่านลุงบอกว่าเธอนั่นแหละเป็นผู้ทรงฌาน คำนี้ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันคิดว่าเมื่อฉันจะมาฉันเดินไปที่ชานบ้านไปที่สะพานติดกับชาน ฉันเอาสะพาน พาดก้านจาก เพราะเหตุนี้กระมังที่เขาเรียกว่าผู้ทรงฌาน แต่ฉันก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้กับตาลุง ตาลุงบอกให้ท่านเจ้าคุณนรกบอกเรื่องที่ตนทำผิดเมื่อตายแล้วลงอเวจี ท่านเจ้าคุณบรรยายให้ฟังดังนี้​

๑. เมื่อบวชแล้วไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สมถะ วิปัสสนา ไม่เคยสนใจ ผิดความหมายของพระ ด้วยพระเป็นสรณะที่พึ่งระดับ ๑ ใน ๓ ระดับ เมื่อทำตนไม่สมควร จัดเป็นความผิด คือ เป็นคนลวงโลกหลอกลวง ชาวบ้านว่าเป็นพระ เอาเปรียบชาวบ้าน​

๒. ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้วไม่ยอมประพฤติตามธรรม มุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน เป็นทางนำทรัพย์สินให้เกิดแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์นั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณะประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา เอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ให้กู้ อันเป็นวิสัยของฆารวาส พระท่านห้ามไม่ให้ทำ แต่ฝืนทำ​

๓. เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศคิดว่าตัววิเศษ แม้แต่ผู้ทรงฌานแกพูดแล้วแกชี้มาที่ฉัน ก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยาม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง​

๔. ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ สมัยนั้นพระราชาคณะ ไม่มีสะพรั่งเหมือนดอกเห็ดอย่างสมัยนี้ ใครเป็นพระครูหรือเจ้าคุณ ศักดิ์ศรีท่านใหญ่น่าดู เจ้าคุณหายากเหมือนหาหัวอุตพิด และมีพิษมาก ฃเพราะจะไปที่ไหนต้องต้อนรับกันอย่างเจ้า (เจ้าไม่มีศาล) เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจก็ต้องใหญ่ ครองความเป็นใหญ่ไว้มาก ลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งก็ต้องเสียเงินตามอัตราของตะกร้าใหญ่ ต้องนิมนต์เทศน์ติดเงินก้อนใหญ่ๆ เวลามาขอยศขอตำแหน่งก็ต้องหาพานมาประเคนมีแบงค์ใบใหญ่ๆ ท่านก็เลยกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ มีลูกหนี้ใหญ่ ๆ คือมีเงินให้กู้มาก ๆ มีทองจำนำเส้นใหญ่ๆ มีกระเป๋าใส่เงินใบใหญ่ ๆ แล้วก็เลยตกนรกขุมใหญ่ มีความทุกข์ทรมานใหญ่ รวมความแล้วท่านเป็นพระใหญ่ หลอกลวงใหญ่ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตกนรกขุมใหญ่ สมกับวาสนาบารมีใหญ่​

ได้ถามท่านว่า ขณะนี้มีทรัพย์สินอะไรที่พอจะเป็นเครื่องยืนยันความใหญ่ของท่านบ้าง ท่านตอบว่า ตามที่คณะกรรมการสำรวจสิ่งของที่ได้แล้วขณะนี้ มีเงินสดอยู่ ๗๓,๐๓๒.๗๕ บาท ทองคำที่รับจำนวนไว้ ๓๕ บาท ทองคำที่ซื้อไว้เองเพื่อเตรียมหมั้นแม่สาวน้อยเจ้าของร้านขายของมีค่ามีน้ำหนัก ๕๐ บาท ของที่คณะกรรมการตรวจพบไม่ได้ คือ เงินที่ชาวบ้านกู้ไปอีก ๔ หมื่นบาทเศษ อันนี้ไม่มีหลักฐาน ถามท่านว่าของที่ว่ามีขณะนี้อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าคณะกรรมการควบคุมไว้ ถามท่านอีกว่าวันนี้คุณยายไปเยี่ยมศพท่าน คุณยายจะทราบเรื่องนี้ไหม ท่านตอบว่าทราบ เพราะกรรมการเขาเขียนทรัพย์สินที่ค้นได้ใส่แผ่นกระดาษประกาศไว้ ดีใจที่ได้หลักฐานมายืนยันกับท่านยาย​

๕. ที่ท่านว่าเป็นกรรมหนักในฐานะที่ท่านเป็นพระปลอม คือ บวชแต่ตัว และมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิตั้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดีที่เป็นอริยเจ้ามาไหว้ท่าน ท่านก็เลยทำใหญ่ในฐานะเป็นเจ้าคุณ กรรมนี้อีกข้อหนึ่งที่ชวนท่านลงอเวจี
เมื่อได้เรื่องแล้วก็ดีใจมาก ลาตาลุงกลับ ท่านเจ้าคุณก็ลงนรกไปตามตำแหน่งใหญ่ของท่าน เมื่อคุณยายกลับก็เอาเรื่องทรัพย์สินของท่านเจ้าคุณออกบรรยาย คุณยายตกใจมาก ถามว่า พ่อเล็กรู้มาได้อย่างไร เรียนท่านว่าเมื่อคุณยายไปฝั่งโน้น ฝั่งพระนคร ชาวธนบุรีเรียกว่าฝั่งโน้น สมัยนั้นจากตลิ่งชันก็ไปลำบาก ต้องมีเรือยนต์หรือไปเรือโดยสาร ที่บ้านไม่มีเรือยนต์ก็ต้องอาศัยเรือโดยสารขนาดเล็กของพระยาภิรมย์ภักดี ออกเป็นเวลา วันหนึ่งเรือออกไม่เกิน ​

๕ เที่ยว การที่จะแอบอ่านป้ายเอามาเบ่งนั้นไม่มีทางทำได้แน่ เมื่อคุณยายท่านฟังแล้วท่านจึงแปลกใจถามว่าทราบมาได้อย่างไร จึงเรียนท่านว่า เมื่อคุณยายไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ ผมก็ไปสืบทางเมืองนรก พบท่านเจ้าคุณลงอเวจี ท่านลุงเรียกมาให้เล่าความประพฤติเมื่อท่านมีชีวิต ท่านเจ้าคุณบอกให้ฟัง ผมจึงทราบ เมื่อพูดจบท่านยายก็เรียกน้าสมใจที่ไปด้วยให้เอากระดาษที่จดทรัพย์สินท่านเจ้าคุณที่คณะกรรมการเขียนประกาศไว้ น้าสมใจอ่านให้ท่านฟัง เมื่ออ่านแล้วน้าสมใจก็บอกว่าตรงกันทุกอย่าง ท่านยายถึงกับเปล่งอุทานว่าไม่น่าเลย พระใหญ่พระโตทำไมเลวทรามอย่างนี้ พ่อเล็กไม่เคารพนั้นถูกแล้ว ยายเองเสียอีกยังโง่กว่าพ่อเล็ก​

นี่เป็นมุมหนึ่งของนรกที่ใคร ๆ ก็สามารถเห็นได้บวชเพื่อความเป็นพระ แต่ถ้าท่านบวชกันเพื่อแสวงหาความรู้มาเป็นอาชีพ หรือเพื่อยศศักดิ์ เพื่อลาภผล เพื่อเป็นเหยื่อล่อสตรีที่เห็นว่าดีว่างาม ท่านไปตามท่านเจ้าคุณองค์นี้ ถ้าบวชแล้วปฏิบัติตามคำปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อวันบวชว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะ มัง ภันเต" เขียนตัวหนังสืออาจพลาดจังหวะบ้างก็ช่างมัน แปลความว่า ท่านทั้งหลาย ข้าฯ ขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นอันว่าท่านที่บวชเพื่อเข้าถึงพระนิพพานทุกองค์ เรื่องเห็นนรกสวรรค์เป็นเรื่องกล้วย ๆ ไม่มีอะไรหนักเลย ถ้าทำไม่เห็นก็จงทำตามแบบเจ้าเล็กเด็กอายุ ๑๒ ปี เอาแบบฉบับของเจ้าเด็กคนนี้เป็นครู มันก็คงไม่ยากอะไรเลย คุณยายหลังจากทราบเกียรติความดีเด่นระดับอเวจีของท่านเจ้าคุณแล้ว ต่อนั้นมาท่านพยายามหาแต่พระที่ควรบูชาเท่านั้น คนที่เป็นนักดูพระก็คือเจ้าเล็กคนเดนตายนั่นเอง เมื่อท่านยายปรึกษาจะหาพระมาเทศน์ เจ้าเล็กก็ต้องไปหาตาลุง ตาลุงก็ชี้พระพอที่จะพบได้ในสมัยนั้น อยู่ไม่ไกลเกินไป ก็คือ​

๑. ท่านพระครูพิทักษ์สุวรรณบรรพต คณะ ๑๑ วัดสระเกศ จ.พระนคร
๒. ท่านอาจารย์พริ้ง วัดมะกอก จ.พระนคร
๓. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ จ.ธนบุรี
๔. หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
๕. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
๖. หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
๗. หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
๘. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี​

แกบอกว่ามีอีกมาก เป็นพระอริยะก็มี เป็นพระโพธิสัตว์ก็มี ที่บอกมาแล้วนั้นมีทั้งพระอริยะและพระโพธิสัตว์ ทำบุญด้วยผลมากกว่าการลงทุน ท่านยายเคยรู้จักหลวงพ่อปานมาก่อน เมื่อเห็นหลวงพ่อปานติดอยู่ในบัญชีพระดีก็เลยไม่ไปไหน เกาะหลวงพ่อปานแจ คือ ยึดความรู้ที่หลวงพ่อปานสอนแบบง่าย ๆ ท่านภาวนาคำว่าพุทโธจนท่านสิ้นลมปราณ คือ พอขาดเสียง ท่านก็หมดลมพอดี ตอนจะตายถามท่านว่าคุณยายเห็นอะไร ท่านตอบว่าเห็นพระพุทธ ถามท่านว่าสวยไหมครับ ท่านบอกว่าสวยมาก และท่านก็บอกว่าพระท่านสวยมากขึ้นทุกที ​

ในที่สุดหลวงพ่อองค์ยิ้มท่านก็มา ท่านใกล้จะสิ้นลมปราณเต็มที แต่ท่านสติดีมาก ท่านยิ้มทั้ง ๆ ที่ปากก็ว่าพุทโธ ท่านบอกว่า พ่อเล็ก หลวงพ่อองค์ยิ้มของหลานมาหายายแล้ว ถามว่าคุณยายอยากไปไหนครับ คุณยายบอกท่าน ท่านพาไปได้ ท่านยายบอกว่ายายไม่อยากเกิด ยายเบื่อเกิด ถามว่าท่านว่าอย่างไร ท่านยายบอกว่า ท่านยิ้มแล้วบอกว่าจะเอาไปพักในที่ไม่ต้องกลับมาเกิด ต่อไปจะสบายมาก ท่านยายเรียก พ่อเล็กจุดธูปให้ยาย ๕ ดอก เอาดอกบัวมา ๕ ดอก จุดเทียนด้วย ยายจะเอาไปไหว้พระจุฬามณี ยายเห็นบ้านยายแล้ว พระท่านชี้ให้ดู เมื่อจุดธูปเสร็จบอกท่านให้ทราบ ท่านบอกว่า ท่านขอลาทุกคน อะไรที่ล่วงเกินกันขอให้ต่างอภัยกัน แล้วท่านก็ว่าพุทโธ ๆ ๆ จนท่านสิ้นลมปราณ เมื่อคุณยายตายก็เลยถือโอกาสไปหาท่านลุง เมื่อพบแล้วถามท่านว่าคุณยายไปอยู่ที่ไหน ท่านลุงบอกว่าอยู่ดาวดึงส์ ถามว่าท่านยายจะมาเกิดอีกไหม ท่านลุงบอกว่า บารมีเขาดี เขาจะนิพพานบนสวรรค์ ฉันฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลยว่านิพพานเป็นอย่างไร ​

คัดลอกมาจากหนังสือ ประวัติหลวงปู่ปาน หน้าที่ 17-19​

<!-- / message --><!-- edit note -->
ที่มา http://palungjit.org/showthread.php?t=105167

​

หมายเหตุ

ที่ผมจำเป็นต้องนำเรื่อง"พระใหญ่ลงอเวจี" นี้มาโพสไว้ในกระทู้นี้ก็เพื่อจะเตือนสติให้ผู้ที่ชอบใช้ "วจีกรรม" ทำร้ายจิตใจของผู้อื่นอยู่เป็นอาจิณกรรม จะได้รู้ว่า จะต้องรับผลแห่งการใช้คำพูด ทิ่มแทงจิตใจของคนอื่นนั้น จะต้องได้รับผลกรรมอย่างไรบ้าง เนื่องด้วยคำทำนายส่วนใหญ่ในกระทู้นี้ เป็นคำบอกเตือนมาจากพระอริยเจ้าผู้ทรงศีลทรงธรรมอันบริสุทธิ์ และจาก "ผู้ทรงฌาน" ทั้งที่เป็นพระและฆราวาสอีกหลายท่านด้วยกัน

การแสดงความคิดเห็นที่ "ไม่เห็นด้วย" ด้วยถ้อยคำที่สุภาพนั้นไม่ผิด แต่การเลือกใช้ถ้อยคำที่ เสียดสี กระทบกระแทก แดกดัน เยาะเย้ย ถากถาง ประชดประชัน อาฆาตมาดร้าย ให้ผู้ฟังเกิดความเจ็บช้ำน้ำใจนั้น เป็นการล่วงละเมิดในกรรมบถ 10 ด้านวจีกรรม เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามผู้ทรงฌาน และพระอริยสงฆ์อีกหลายองค์ด้วย

เพราะฉะนั้นท่านที่ตั้งใจ กดปุ่มอนุโมทนา (ร่วมยินดีในการกระทำ) ให้กับคำพูดที่เหยียดหยามผู้ทรงฌานเหล่านั้น ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมนั้นร่วมกันไปด้วย ผมจึงจำเป็นต้องนำเรื่องพระใหญ่ลงอเวจีนี้ มาโพสเอาไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ไม่ให้ผู้ใดทำตามและไม่ให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่างครับ

**********************************************​