เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ยังไม่ใช่หรอก คุณนัท คุณนัทลองมองให้ลึกกว่านี้อีกหน่อย ไปจนถึงตัวที่ว่า ความเข้าใจ การเห็น นั้นปรากฎที่ใด

    มองให้ออกว่าสิ่ง ที่ปรากฎขึ้น นั้นไม่ใช่ เรา แต่เป็นสิ่งที่ปรากฎขึ้น เอาตรงนี้ให้เคลียร์นะ

    ไม่เกี่ยวกับ ผู้รู้ เช่น เมื่อเข้าใจอะไรสักอย่าง ให้มองเห็นว่า ความเข้าใจนั้นเกิดได้ และ ดับได้ แยกออกจากตัวเรา นั้นแหละตัววิญญาณ
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็ผมไม่อยากอธิบายอะไรมาก ก็แล้วแต่ เหตุปัจจัยและวาสนาของแต่ละคน

    ขอตัวไปพักผ่อน ก่อน ส่วน ของหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านก็อธิบายดีอยู่แล้ว แต่ คนเรามีสมมติ ที่ปิดบัง ก็จะเห็น แตกต่างกันไป ตามแต่บุคคลนั้นจะเปิดเท่าไร

    เพราะวิญญาณ การรับรู้นั้น ต่างกัน ดังจะเห็นได้จากข้อความที่เคยโต้แย้งกันมา
     
  3. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ตรงนี้เคลียร์แล้วคับ...

    เห็นด้วย อีกเช่นกัน ไม่ยึดติด กับ ผู้รู้...เห็น อนิจจัง แม้แต่กิเลส ก็ไม่เที่ยง มันเกิด เด๋วมันก็ดับ...ผู้ปฏิบัติไหม่ ไม่เข้าใจ กฏไตรลักษณ์..ก็พยายามจะดับกิเลส...ฆ่ากิเลส..เหนื่อยคับ..จิตเหมือนน้ำ.เมื่อมีกิเลสจรมาก็ กระเพื่อม..ถ้าเข้าใจกฏไตรลักษณ์.. ก็นั่งมองดูห่างๆ ไม่เข้าไปแตะน้ำ...น้ำนั้นก็จะเรียบสงบลงอย่างรวดเร็ว ตามธรรมชาติ ของมัน..
    ...แต่ผู้ปฏิบัติไหม่ พยายามจะฆ่า กิเลส ดับกิเลส..คือพยายามทำให้น้ำเรียบ ปราศจากคลื่น...โดยการโดดลงไปในน้ำ...และพยายามทำให้น้ำเรียบโดยยืนในน้ำ..ทำอย่างไรก็ไม่เรียบได้..
    เหมือนหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ...
    ...ยิ่งถ้าเข้าใจ สภาวะที่ สติมาปัญญาเกิด ...ตัด กิเลส ฉับ ดับไปต่อหน้า...ก็จะเข้าใจที่ผม ผมกล่าวมา อ่ะคับ

    สาธุ...คับ
     
  4. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุ ..อนุโมทนาคับ...
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456


    อันนั้นไม่ทราบได้ แต่ที่ผมยกขึ้นมาก็เฉพาะกรณีของผม โดยผมใช้ประเด็น
    ที่ว่า ปรารภแล้วที่จะไม่ปราวณาตัวเป็นศิษย์ เพราะท่านไม่เข้าใจ อุบายธรรม
    ที่มาจากคำว่า ดูเฉยๆ ที่พระท่านใช้โดยตลอด ซึ่งเมื่อไม่เข้าใจอุบายธรรม
    แล้วก็ควรงดการสอนว่า อุบายธรรมนั้นผิด แต่เขาไม่เลิก ทั้งๆที่ผมขยายผลไป
    สู่การเลิกปราวณาตัวเป็นศิษย์ ก็ยังฟังความไม่เข้าใจ ต้องการจะสอนท่าเดียว
    จึงเป็นเรื่องที่แปลก จึงได้ยกคำนั้นมาเป็นประเด็นสำแดง

    หลวงพ่อท่านมีกิจนิมนต์ในกรุงเทพมากขึ้นแล้ว โดยตอนนี้ได้ขยายผล
    เข้าสู่กลุ่ม เยาวชนที่กำลังเรียนมัธยม สังเกตุจากไปเทศน์ที่โรงเรียนกวด
    วิชาที่มีเด็ก ม.1 สอบเทียบเข้ามหาลัยได้เป็น อาจารย์สอน(ตอนนี้เขา
    อายุพอประมาณแล้ว แต่เท่าไหร่ไม่ทราบ) หลังจากที่ได้สอน Dr.ทาง
    นิวเคลียร์ฟิสิกส์ และวิศวกรมากมาย(โดยเฉพาะการไฟฟ้า)

    ดังนั้น ขอให้เช็คข่าวในเว็บทางการของพระท่าน คือ www.wimutti.net
    ไว้เสมอๆ เพราะมีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือ มีกิจนิมนต์ที่ไหนก็จะมีการแจ้งใน
    นั้น

    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธศาสนากำลังกลับมาเฝื้องฟูจริง โดยจากดูสังคม
    บุคคลรอบตัวผมที่อยู่สูงกว่า ตอนนี้ได้หันกลับมาค้นคว้าประวัติพระ อันเป็น
    นิมิตหมายที่ดีว่าบุคคลชั้นสูงจะเข้าหาธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะกกลุ่มแพทย์
    หรือ ระดับปัญญาชนชนืดหัวกระทิ แต่ก็ชี้ได้อีกอย่างว่า สำหรับบุคคลธรรมดา
    อย่างเราๆท่านๆ ต้องรีบขวนขวายหาเวลาสักครั้งไปหาท่าน ก่อนที่เขาถึงได้
    ยากไปเรื่อยๆ
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    นั่งอ่านไป ดูไป ถามท่านขันธ์หน่อยครับ ว่า ทำไม มหาสติเกิด(เพิ่มรอบ) แต่กลับเป็นสมถะ และ การดูเฉยๆ ที่คุณนิวรณ์พยายามชี้ ....ท่านขันธ์ อธิบาย..การดูเฉยๆรู้เฉยๆได้ไหมครับ หรือ คำว่าดูเฉยๆรู้เฉยๆของท่านขันธ์เป็นเช่นไรครับ......
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สติ คือ เจตสิก หรือ จิตที่ทำหน้าที่ ระลึกรู้(การมีอยู่ของกาย การมีอยู่ของใจ)

    ส่วน ตัวรู้ ของพระป่า คือ เอโกธิภาวะ การตั้งมั่นของจิตที่จะระลึกรู้ เกิดขึ้น
    ขณะมีอัปปนาสมาธิ กล่าวคือ จิตมีเจตสิกอัปปนาสมาธิอย่างหนึ่ง แล้วจิต
    จึงมีเอโกธิภาวะอีกอย่างหนึ่ง ทำให้จิตมี สติ พร้อมที่จะระลึกในการมีอยู่
    ของกาย มีอยู่ของใจได้อย่างต่อเนื่อง ทรงตัว เช่น ถ้ามาพิจารณากายก็
    จะเห็นกายเป็นธาตุ4 ทันที เป็นต้น
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้สอนให้ถอยออกมาดู การถอยออกมาดูนั้นเป็นจังหวะที่
    หยุดทำสมาธิตามรูปแบบ(ฌาณ)ไปแล้ว จึงให้ดูยินดียินร้าย เพราะคนที่ทำฌาณ
    คือบุคคลประเภทตัณหาจริต พระท่านจึงสอนให้ดูตรงนั้น (วิปัสสนาพึ่งเริ่มสำหรับ
    นักทำฌาณ)

    ส่วนการทำวิปัสสนาญาณ การระลึกรู้วิญญาณ(ไหว ยิบๆ วับๆ) ให้ยกขึ้นเป็นเพียง
    ของถูกรู้ถูกดูอีก ดูไปเรื่อยๆ โดยไม่เข้าไปแนบ ไปจ้องการกระพริบอย่างจงใจ(มีเจตนาเจือ)
    ก็จะเห็นสภาวะธรรมที่อยู่เหนือกว่าการเห็น วิญญาณ ซึ่งก็คือการไปเห็นสัญญา
    อีกชั้นหนึ่งซึ่งเป็นสัญญาชนิดที่ไม่ใช่แบบสมมติบัญญติของภูมิมนุษย์ เมื่อเห็น
    สัญญาขันธ์ที่สูงกว่าภูมมนุษย์จะหมายรู้แล้วก็ยกเป็นของถูกรู้ถูกดูต่อไปอีก ดูเฉยๆ
    ก็จะเห็นสภาวะธรรมที่สูงกว่าสัญญาที่พ้นภูมิมนุษย์ ตรงนี้ก็จะเข้ามาสู่การเห็นรูป
    ปรมัตถ์ตามความเป็นจริงโดยพ้นสัญญาขันธ์ทั้งปวง สัญญาขันธ์ทั้งปวงจะเกิดขึ้น
    แต่ใจไม่ปรุง เพราะเป็นอุเบกขาต่อสัญญาเหล่านั้นแล้ว เรียกอีกอย่างว่า สังขารุเบกขาญาณ
    มีขันติที่ช่วยทำหน้าที่อนุโลมการรู้

    ภาวนามาได้ถึงตรงนี้ ก็จะถึงส่วนที่เป็น เครื่องฉายหนัง ที่หลวงพ่อพูดถึง ก็ต้องดู
    กันต่อไป ให้เห็นเป็นของถูกรู้ถูกดูต่อไป เครื่องฉายหนังก็จะพรากออกจากจิตไป

    รอบแรกจะพรากออกไป แล้วกลับเข้ามาฉายหนังใหม่ จิตจมโลก(ติดขันธ์)ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2009
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เอาไว้อีกหน่อยก็รู้เอง ตอบไป มันก็เหมือนว่า ทำไมตรงนั้นต้องเป็นแบบนั้น ทำไมตรงนี้ต้องเป็นแบบนี้

    พูดเกริ่นๆ ให้ฟัง มีอยู่ 2 เหตุผล คือ

    1 วิปัสสนา หมายความว่า พิจารณาตามความเป็นจริง
    2 สมถะ หมายถึง การจรดจ่ออยู่ การเพ่งอยู่

    ก็พูดไปแล้วว่า การนั่งรู้ดูเฉย มันเป็นส่วนแคบๆ มาก คนไม่รู้จริงก็ยังจะเถียงไปเรื่อยๆ

    ก็แสดงให้เห็นแล้วนี่ ว่า การนั่งรู้ดูเฉย นั้นมันระงับ สติ อารมณ์และกิเลสไม่ได้เลย

    แสดงอาการดุจดังคนฝัน ไปเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที

    จุดยืน และ ประเด็น ไม่มี
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182

    ก็นี่ไง ว่าทำไมผมจึงต้องออกมาพูด พออธิบายให้ฟัง คนไม่รู้ก็อ้างหลวงพ่อบ้าง อะไรบ้างไปเรื่อยตามความคิดตน
    แล้วพอผมอธิบาย กลับกลายเป็นว่า ไม่ต้องมาสอน
    พอเถียงไม่ออกกลับลบข้อความตน
    พออโหสิให้ บอกว่าไม่ได้ขอ ให้อนุโมทนา แล้วจะไปอนุโมทนาอย่างไร

    ที่บอกว่าอโหสิให้เพราะสงสาร ในความฟุ้งซ่านของใครสักคน ผมก็พูดไป เผื่อมันจะคิดอะไรได้ มันก็คิดไม่ได้ ยังยืนกราน ก็ ถ้าวิธีการของตนเองดี ก็พูดไป แต่อย่าไปลบธรรมคนอื่น โดยอ้างว่า มันไม่ใช่แบบนั้นมันไม่ใช่แบบนี้ ก็นี่แหละ คือการยึด



    นี่ผมพูดประเด็นเดิมมาตลอด ฟังรู้เรื่องบ้างหรือเปล่า
    ถ้าผมพูดบ้างว่า หลวงตาบอกว่า อย่าไปรู้่ดูเฉย มันโง่ มันติด แบบนี้จะฟังไหม

    กิเลสเขามีให้ฟาดฟัน ให้ต่อสู้กับกิเลส นี่มานั่งรู้ดูเฉย

    พูดง่ายๆ คือ จับธรรมมายำกัน
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถูกแล้ว ที่ดูเฉยๆ นั้น มันระงับ อารมณ์และกิเลสไม่ได้ ทั้งนี้เพราะ พระท่าน
    ชี้ว่า ธรรมชาติของจิตตามความเป็นจริงก็คือ การสัดส่ายของจิต(มันระงับ
    อารมณ์และกิเลสไม่ได้ ) ส่วนจิตที่ไม่เป็นตามความเป็นจริงก็คือ จิตที่ถูก
    จับขังด้วยการเพ่ง จ้อง จมแช่ (อัตกลิมัตถานุโยค) หรือ หรือจิตที่ถูกสลัด
    อารมณ์ออกด้วยการจงใจทวน จับแล้วโยนทิ้ง เพื่อให้จิตมันว่างๆ ( กามสุขัล
    กิลมัตถานุโยค)

    การภาวนาของพระท่านไม่ได้สุดโต่งไปในทางสองข้างนั้น ไม่เพียร(เพ่ง)
    และไม่พัก(จับโยน) จึงลอยอยู่(ตั้งมั่นรู้ สัมมาสมาธิ) ข้ามโอฆะได้ดังนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2009
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็ ถ้ามันอยู่ตรงกลางได้ตลอด แล้วพระพุทธองค์จะสอนให้ ทำกุศลให้มาก ละอกุศลทั้งปวง แล้วทำจิตให้ผ่องใส ทำไม

    แต่เพราะคนมีความไม่รู้ ไอ้ที่ว่า ตรงกลาง จริงๆ ที่บอกว่าไม่ต้องใช้ธรรมอะไร มันก็ยังไม่กลาง ก็เคยชี้ให้ดูว่า ถ้ากลางจริงมันก็ไม่ต้องไปดูมันสิ นี่ยังดู แล้วไปนั่งดูทำไม
    แสดงว่า จิตนี้มันก็ยังมีอกุศลอยู่มาก

    ก็เคยบอกว่า ปัญญา นั้นมันต้องขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง คือ ตระหนักได้ว่า นี่ เรานั่งดูอะไรอยู่ทำไม มันมีตัวตนหรือ ถ้าว่างจริง มันก็ไม่ดูอะไร ก็มันวางไปแล้ว

    และ การที่ให้เราดู ให้เราสังเกตุ ก็เพื่อ แยกได้ระหว่าง ทุกข์กิเลส และ ธรรม

    แต่การที่เอาแต่นั่งรู้ดูเฉย แล้วบอกว่า นั่นคือ มัชฌิมาปฏิปทา นั่นก็ผิดแล้ว เพราะองค์ธรรมไม่สมบูรณ์เลย มันดูได้ละเอียดแค่ไหนเชียว

    ตามธรรมดา คนเรา ดูก็ได้แต่สภาวะที่ตนมีอยู่เป็นอยู่ ก็อุตส่าห์เปรียบเทียบว่า คนตกน้ำ แล้วรู้ตัวว่า ตกน้ำ มันจะขึ้นจากน้ำอย่างไร

    นี่อธิบายจนครบแล้ว แล้วผมก็ไม่ได้สอนคุณนิวรณ์ คนเดียว ก็อุตส่าห์พูดไป แต่ต้องออกมาพูด เพราะมันกำลังทำให้คน ที่เขาปฏิบัติ นั้น ไปนั่งรู้ดูเฉยอย่างเดียวหมด เนืองจาก องค์ธรรมของคนที่มาอธิบายนี้ยังไม่ดีพอ

    ผมก็ไปอ่าน หนังสือหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านก็เขียนดีจริงๆ ธรรมต่างๆ ก็ครบถ้วน แต่ทำไมคนที่อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ กลับออกมาพูดธรรม แค่หยิบมือ แล้วหมายจะให้คลุมทั้งหมดหละ
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    1 วิปัสสนา หมายความว่า พิจารณาตามความเป็นจริง
    ท่านขันธ์ ต้องเข้าใจ ว่าพิจารณาตามความเป็นจริงให้ดีนะครับ แปลผิดเมื่อไรหลงทางเมื่อนั้น

    2 สมถะ หมายถึง การจรดจ่ออยู่ การเพ่งอยู่

    การจรดจ่ออยู่ การเพ่งอยู่ มันเป็นการทำ จงใจทำ ตั้งใจทำ
    แต่หมวด มหาสติ เป็นเอง ไม่ได้ตั้งใจทำ ไม่เพ่งใจทำ
    ท่านขันธ์ หลงทางอยู่หรือป่าว
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คนที่จับกิเลสโยนได้ จิตมีนยินดี ยินร้ายเกิดขึ้น ได้ระลึกรู้หรือเปล่า

    คุณ นัท ยังกล่าวว่า ให้ดู ยินดี ยินร้าย ที่มันเกิดขึ้น ได้ระลึกรู้ เพื่อ
    สังสมการระลึกรู้ไว้หรือเปล่า ถ้าสั่งสมการระลึกรู้ ยินดี ยินร้าย ใน
    การจับโยนกิเลส ฝาดฟันกิเลสไว้เนืองๆ ก็จะทุกข์จนเข็ด แล้ว สติ
    จึงเกิดขึ้นอีกตอนนั้น ตอนที่เหนื่อย พระท่านก็ชี้ทางสำหรับสมถะยานิก
    ไว้อย่างนี้ ก็ทำไปนะครับ ไม่ได้เสียหายอะไร สำคัญที่ ต้องระลึกรู้
    การยินดี ยินร้าย ไม่เป็นกลางต่อการปรุงแต่งสังขาร(ไม่เกิดสังขารุเบกขาญา)
    จนกว่าจะเหนื่อยเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้วปล่อยมัน เป็นกลางต่อการดูมัน
    เกิด(เกิดสังขารุเบกขาญาณ )

    ......
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    กิเลสเขามีให้ฟาดฟัน ให้ต่อสู้กับกิเลส นี่มานั่งรู้ดูเฉย

    พูดง่ายๆ คือ จับธรรมมายำกัน

    การรู้ดูเฉย เป็นกระบวนการที่ฆ่ากิเลส อย่างแท้จริง
    ตราบใดที่ การพิจารณาในการคิด อยู่นั้น เป็นสมถะ เป็นการทำ ไม่อาจเห็นไตรลักษณ์ ของ จิตได้ การจะเห็นไตรลักษณ์ของจิต คือ รู้ดูเฉย
    จิต จะสละกิเลสเองได้ จิตก็ต้องรู้เอง เห็นเอง ...
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    หากปรับระดับ การเห็นทางปฏิบัตืมาสู่ ขั้นที่อยู่กลางไม่ได้ ก็อย่าพึ่ง
    ไปลากเอา การปฏิบัติขั้นต้น มาพูด มันจะทำให้สับสน คิดว่า เราไม่
    พูดเรื่อง การทำกุศลกรรมบท 10

    คุณต้องปรับระดับการพูดให้มาอยู่ในระดับทิฏฐืเดียวกัน อย่าสลับไปสลับ
    มาระหว่าง คนที่ไม่รู้ธรรมเลย กับ คนที่ปฏิบัติแล้ว

    คนที่ยังไม่รู้ธรรมเลยนั้น ก็ต้องสอนเรื่อง กุศลกรรมบท 10

    คนที่รู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติมาพอควรแล้ว ก็ให้พูดสิ่งที่สูงกว่าได้ ส่วนกุศลกรรมบท 10
    ก็ละไว้ โดยถือว่า ทุกๆท่าน ล้วนใฝ่ดีกันอยู่แล้ว อย่าได้อคติคิดว่า ไม่มีใครใฝ่ดีใน
    ที่แห่งนี้<!-- / message -->
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็นั่นนะสิ คุณ พิจารณาตามความเป็นจริงให้ดีหรือยัง และ เข้าใจว่าอย่างไร

    ส่วนไอ้อาการหลงของผม คุณ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าผมจะหลง ก็ให้มันแสดงความเพี้ยนออกมา อันเป็นโทษต่อบุคคลอื่นก่อน แบบนั้นค่อยห่วง

    สำหรับคุณ นัท
    สมัยก่อน ผมเคยพูดคำนี้ แต่นั่นมันนานมาแล้ว คนที่พูดแบบนี้คือ ผู้มีโมหะ

    คนเขา มีความเพียรพยายาม จะละกิเลส หรือดับกิเลส มันก็ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นคุณธรรม

    แต่ คนมีกิเลส มีมานะ ก็มักจะเห็นวิธีการของตนดีเลิศสุด และ มองเห็นว่า ที่ผ่านมานั้นมันเยิ่นเย้อ

    ก็เปรียบได้กับว่า คนหนึ่งคน ถางทาง มาจนถึงปลางทาง แล้ว ไปต่อว่าคนอื่นว่า จะถางทางมาทำไม เดินมาตรงนี้เลยง่ายกว่า การถางทางมันเยิ่นเย้อ

    แต่ลืมมองไปว่า ก็ตนเองก็เคยถางทางมาสาระพัด
    ลืมมองไปว่า ที่ตนเองบอกให้เขาเดินมาง่ายๆ นั้น ตนเองละกิเลสได้หรือยัง
    แล้วจะไปห้ามคนอื่นเขาไ่ม่ให้ถางทาง อันเป็นสมบัติ ที่ติดจิตของเขาทำไม


    ก็ หลวงพ่อชาท่านก็ว่า ให้ระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็น นิสัย นี่แหละ องค์ธรรมที่ปลูกฝัง คือ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ละอกุศลทั้งปวง

    มองให้กว้างขึ้นแล้วจะเห็น

    ถ้ายังมองเฉพาะการปฏิบัติ แคบๆ ก็เรียกว่า ยังติด

    สรุป ยังติดกันอยู่มาก จริงๆ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    โอ้ โมหะ จริงๆ ก็ตามแต่จะปฏิบัติเถิด

    ก็ อุตส่าห์ยก เหตุผล ยกพระสูตรมาให้ ดูแล้ว ก็ยังจะเชื่อแบบนั้นก็ทำไปสิ

    ผมไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรอยู่แล้ว ก็บอกแล้วว่า แค่สงสารธรรมที่ถูกย่ำยี ด้วย คนที่อ้่างว่าเป็นคนพุทธ

     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    นี่โง่แล้วอวดฉลาดแล้ว แบบนี้ ตีความไปจนถึง ว่า "อย่าได้อคติคิดว่า ไม่มีใครใฝ่ดีใน
    ที่แห่งนี้"

    ธรรมของพระพุทธองค์ ใช้ได้ไปจนถึง พระอรหัตตมรรค เลย อย่าไปมองว่าเป็น คุณธรรมเบื้องต้น

    ก็ผมจึงนั่งบอกอยู่นี่ไง ว่า ทัศนะแบบนี้มัน ติดกิเลส มันเลยมองธรรมเป็นเรื่องขวางไปหมด

    ก็สรุปนะ ผมไม่อยากจะสนทนาด้วยมาก ปล่อยไปตามยถากรรม

    ถ้าคนที่ ออกมา พูด ออกมาเถียงนี้ มีทุกข์ น้อยมากๆ แล้วค่อยออกมาเถียง
    แต่ถ้า ยังมีทุกข์มากอยู่ ก็อย่ามาเถียงส่งเดชเลย เพราะว่า ตัวเองยังฝึกตนไม่ดีพอก็อย่าสอนคนอื่น
     
  20. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    ตอบกันช้าๆหน่อย ตามอยู่ เวลาน้อย หุๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...