เชิญชวนลูกศิษย์พระราชพรหมยาน ร่วมสืบสานงานก่อสร้าง ที่วัดโพธิ์เมืองปัก

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์ปลายแถว, 22 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    งาน ติดเทพ พนมด้านข้าง (ขวา ) กำลังคืบหน้าไปด้วยดี ครับ
    และ งานขอบด้านล่าง....ที่ติดรูปลอย องคืของ ท่านท้าว มหาราชครับ

    *** เทพพนมไม่พอต้อง ทำเทพพนม เพิ่มเติมครับ***
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    ส่วนงานวัน สงกรานต์ได้
    เพิ่มให้สงน้ำ พระบรม สารี ริกธาตุ ที่พระท่านนำมาให้ครับ
     
  3. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    ต่อไปก็ อัปเดทในส่วน พื้นรอง ระหว่างเทพพนม ที่ติดกระจก ครับ
    สวยไปอีกแบบ แถมประหยัดด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    อัปเดท งานต่อครับ...หลังจากที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็มีวิกิฤต ต่างๆเข้ามาครับ
    แต่คงไม่ถอยครับ....
    ***ส่วนวัตถุมงคลจะ ทยอย มาลงเพิ่มอีกครับ เพราะงานตกแต่งภายในยังไม่เสร็จ***
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    ตอนนี้ใช้เเรงงานเด็กครับ เค้ามาช่วยหักกระจะที่ตัดแล้ว(ปิดเทอม) ครับ

    ส่วนอีกรูปเป็น ยอดฉัตร ที่น้องเดียร์ (ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมงานเริ่มแรก)
    นำมาให้ติด บนยอดมณฑปครับ แต่ต้องวางแผนก่อน เพราะขึ้นยากมาก.....แต่ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    ต่อไปเป็นรูป พระ 28พระองค์ ที่วางแผนว่าจะ มาตกแต่งด้านหลัง พระหลวงพ่อ พลังแผ่นดิน (องค์ใหญ่) ครับ

    **เนื่องจาก ทำแบบ ที่ถูกที่สุด เลยหนักมาก ครับ (น้องเต้ + พี่วุฒิ) เล่นเอาเกือบเดียง...ครับเวลาเท แต่ด้วยพลังศรัทธา ก็ทำได้ดี + สวย และ ถูกด้วย ครับ**
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    วัตถุมงคล ต่ออีกครับ...เพื่อให้งานดำเนินไปได้
    รายการนี้ เป็นโต้ชาตรี (วัดท่าซุง) เข้าพิธีปลุกเสก ปี 34 ครับ +แถมเพชรหน้าทั่งก้อนใหญ่ 1ก้อน ครับ (รอเจ้าของตัวจริง....อยู่ครับ )

    **ให้ร่วมทำบุญ 2500 บาท (โปรดช่วยค่าส่ง 50บาท)
    คุณอาวิเชียร ร่วมทำบุญแล้วครับ

    ( มีดหมอเล่มนี้ หลวงพ่อมหา ถวัลย์ได้ ไปซื้อเพื่อนำเข้าพิธี ตามที่หลวงพ่อบอก ก่อนจัดงานครับ หลังจากนั้นได้นำมาแจก คณะ ผู้ศรัทธาที่วัดโพธิ์เมืองปัก ครับ จึงไม่ได้เขียน อะไรไว้เลย...ลูกศิษย์บางท่านจะทราบดีครับ แต่รับประกัน แท้ ล้านเปอร์เซนต์ครับ...ด้ามนี้ผมใช้ติดตัวอยู่ ...ถ้าเป็นที่อื่น คงไม่กล้ารับประกัน ครับ )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2009
  8. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    ขอจองไว้ก่อนนะครับ
     
  9. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    [​IMG]
     
  10. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    ขอร่วมบุญ 999.99 นะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ST832108.JPG
      ST832108.JPG
      ขนาดไฟล์:
      292.5 KB
      เปิดดู:
      52
  11. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994

    อนูโมทนาบุญด้วยครับ พี่หมอ

    จัดส่งพระให้วันนี้ครับ
     
  12. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    กราบเรียน บรรดาญาติธรรม ทุกๆท่านครับ...
    เนื่องด้วยงานต้องการใช้ทรัพย์ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และ ไม่ติดขัด...ผมจึงจำเป็นต้องเอาพระที่รักอีกองค์ นึงออกมา ให้ท่านที่ศรัทธาได้ ร่วมทำบุญ ด้วยส่วนนึงครับ

    นั่นคือ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลอง มะดัน(วัดอัมพวัน) จ.สุพรรณบุรี ท่านเป็น อาจารย์อีกองค์ของหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ของเราครับ

    ตามประวัติเดิมกล่าวว่า
    วัดคลองมะดัน เป็นวัดโบราณไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้าง อยู่กลางทุ่งนา ในสมัยก่อนมีลำคลองผ่าน หน้าวัดและมีต้นมะดันขึ้นอยู่ชุกชุมมาก ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า วัดคลองมะดัน แม้ว่าภายหลังได้มีการ เปลี่ยนชื่อเป็น วัดอัมพวัน แต่ชาวบ้านและคนใน จ.สุพรรณบุรี ทั่วๆ ไปยังนิยมเรียกชื่อเก่าว่า วัดคลองมะดัน เหมือนเดิม

    หลวงพ่อโหน่ง เกิดปีขาล ตรงกับวันอาทิตย์ พ.ศ. ๒๔๐๙ (บางแห่งว่า พ.ศ. ๒๔๐๘) ณ หมู่บ้านท้ายบ้าน ตำบลต้นตาล อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนฝั่งคลองสองพี่น้อง ฝั่งเดียวกับวัดสองพี่น้อง เป็นบุตรคนที่สอง (บางแห่งว่า เป็นบุตรคนที่ ๔) ของนายโต นางจ้อย โตงาม อาชีพทำนา มีพี่น้องร่วมอุทร ๙ คน อายุได้ ๒๔ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสองพี่น้อง โดยพระอธิการจันทร์ วัดทุ่งคอก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการดิษฐ์ วัดทุ่งคอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ กับพระอธิการสุด วัดท่าจัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌายะว่า อินฺทสุวณฺโณ

    เมื่อหลวงพ่อโหน่งอุปสมบทแล้วเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปหาพระน้าชาย ซึ่งมีสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณเปรียญ ๙ ประโยค เพื่อศึกษาธรรมวินัย หลวงพ่อโหน่งสังเกตเห็นเจ้าคุณมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ จึงเอ่ยปากถามว่า ท่านละกิเลสหมดแล้วหรือ ท่านเจ้าคุณบอกให้หลวงพ่อโหน่งเข้าไปดูในกุฏิว่ามีอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งไปเห็นโต๊ะหมู่บูชาทำด้วยมุก โต๊ะหมู่ทอง งาช้าง และสิ่งของมีค่าอีกมากมาย เมื่อออกมาจากกุฏิ หลวงพ่อโหน่งกราบลาท่านเจ้าคุณน้าชายกลับมาจำพรรษายังวัดสองพี่น้องตามเดิม แล้วเดินทางไปจำพรรษาที่วัดทุ่งคอกเพื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระอธิการจันทร์ อุปัชฌาย์ของท่าน

    หลวงพ่อโหน่งศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อจันทร์ได้ ๒ พรรษา เดินทางมาศึกษาต่อวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จนกระทั่งมีความรู้แตกฉานเป็นที่ไว้วางใจแก่หลวงพ่อเนียมได้ เมื่อตอนหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยามาเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อเนียมพูดกับหลวงพ่อปานว่า “เวลาข้าตายแล้ว เอ็งสงสัยอะไรก็ให้ไปถามโหน่งเขานะ โหน่งเขาแทนข้าได้”

    นอกจากนี้ยังมีหลักฐานปรากฏว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ หลวงพ่อโหน่ง อายุ ๔๑ ปี จำพรรษาอยู่ ที่วัดสองพี่น้อง พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด) วัดปากนํ้า ได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้องและ พระสงฆ์ที่มีส่วนร่วมในการอุปสมบทในครั้งนั้นคือ หลวงพ่อโหน่ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และต่อมาหลวงพ่อสดก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อโหน่งเช่นกัน นอกจากหลวงพ่อสดแล้ว ศิษย์ของท่านยังมี หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น) วัดโพธิ์ หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก

    เมื่อหลวงพ่อโหน่งกลับไปจำพรรษาที่วัดสองพี่น้องตามเดิม จิตใจวาบหวิวชอบกล จึงเดินทางไปหาหลวงพ่อเนียมอีก ยังไม่ทันที่หลวงพ่อโหน่งจะว่าอะไร หลวงพ่อเนียมพูดขึ้นก่อนว่า “ฮื้อ! ทำไปเองนี่นา ไม่มีอะไรหร๊อก กลับไปเถอะ” หลวงพ่อโหน่งรู้สึกสบายใจขึ้น และก็มิได้เป็นอะไรอีกเลย

    เมื่อมาจำพรรษาที่วัดคลองมะดัน ท่านฉันอาหารเจ ก่อนออกบิณฑบาต นมัสการต้นโพธิ์ทุกเช้า เมื่อบิณฑบาตกลับมาใส่บาตรถวายสังฆทาน ท่านเอามารดามาอยู่ที่วัดด้วย ปรนนิบัติจนกระทั่งถึงแก่กรรม เคร่งครัดในการอบรมสั่งสอนพระเณรและลูกศิษย์วัด ไม่รับเงิน เจริญวิปัสสนากรรมในป่าช้าเป็นประจำ ถือสันโดษ ไม่สะสมทรัพย์สินมีค่าเลยแม้แต่น้อย สร้างสาธารณูปการสงฆ์เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก

    จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้ฌานของหลวงพ่อแก่กล้า สามารถทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ พระทำผิดวินัย ท่านสามารถรู้ได้โดยไม่ต้องเห็น พระที่ไปรุกขมูลทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็รู้ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยไปหาหลวงพ่อโหน่งที่วัดคลองมะดันโดยไม่บอกเล่าเก้าสิบ หลวงพ่อโหน่งสั่งลูกศิษย์เตรียมจัดที่จัดทางไว้ ว่าวันนี้จะมีพระผู้ใหญ่มาหา

    มีเรื่องเล่าว่า ใครนิมนต์ท่านไปไหนมาไหน ท่านต้องถามพระประจำตัวในกุฏิท่านก่อนเสมอ ถ้าพระท่านบอกไปได้ ท่านก็ไป ถ้าพระท่านบอกไม่ให้ไป ท่านก็ไม่ไป

    แม้กระทั่งการสร้างพระประธานองค์ย่อม ท่านก็ถามพระว่า สร้างได้ไหม พระบอกว่าสร้างได้ ท่านก็สร้างตามนั้น แต่ท่านไม่ทราบว่าจะหาช่างปั้นช่างหล่อที่ไหน พระก็บอกให้เดินไปทางโน้นทางนี้ ท่านก็เดินตามนั้น พบช่างมาช่วยปั้นและหล่อตามที่พระบอก

    เมื่อหล่อเสร็จช่างก็หายตัวไปเฉยๆ โดยไม่บอกกล่าว

    ท่านก็ตกใจว่า อ้าว....เงินค่าจ้างยังไม่ได้จ่าย เป็นการเบียดเบียนเขา จึงเดินย้อนไปตามทางเดิมถึงจุดที่พบช่าง ก็บอกลักษณะหน้าตาถามชาวบ้าน ชาวบ้านบอกไม่รู้จัก คงเป็นคนถิ่นอื่น เมื่อกลับกุฏิก็ถามพระว่า จะไปตามช่างได้ที่ไหน

    พระบอกไม่ต้องไปตาม เพราะช่างคนนี้ไม่ธรรมดา เป็น ช่างเทวดา มาช่วย เมื่อหมดหน้าที่ท่านก็ไปตามเรื่องของท่าน ไม่ต้องไปตามหรอก ถึงตามก็ไม่เจอ

    หลวงพ่อโหน่ง เป็นศิษย์รุ่นพี่ของ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ร่วมอาจารย์เดียวกันคือ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย

    ก่อนหลวงพ่อเนียมมรณภาพ ท่านได้สั่งเสียกับหลวงพ่อปานว่า ถ้าข้าตาย มีอะไรขัดข้องก็ให้ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง นะ

    เมื่อหลวงพ่อเนียมมรณภาพ แล้วราวหนึ่งปี หลวงพ่อปานก็ธุดงค์มาหาหลวงพ่อโหน่งที่วัดคลองมะดัน มาถึงวัดตอนบ่ายวันหนึ่ง ท่านก็นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ คิดว่าหลวงพ่อโหน่งคงจำวัด

    แต่หลวงพ่อโหน่งรู้ด้วยญาณของท่าน จึงเปิดหน้าต่างออกมา เห็นหลวงพ่อปานนั่งรออยู่ จึงว่า อ้อ มาถึงแล้วเรอะ ฉันรออยู่แต่เช้าเชียว คืนนั้น หลวงพ่อปานต่อวิชากับหลวงพ่อโหน่งในโบสถ์ ทั้งหลวงพ่อโหน่งกับหลวงพ่อปานเข้าสมาบัติเต็มอัตรา ไม่ถึงครึ่งคืนทุกอย่างก็จบสิ้นกระบวนความ

    เมื่อตอนหลวงพ่อโหน่งมรณภาพ ปี 2477 หลวงพ่อปานไปสร้างวัดอยู่ลพบุรีทราบข่าว ได้สั่งกรรมการวัดคลองมะดันว่า อย่าเพิ่งเผาศพหลวงพ่อโหน่ง ถ้าร่างไม่เน่า ให้รอท่านก่อน

    ปรากฏว่าร่างหลวงพ่อโหน่งไม่เน่า แต่กรรมการวัดก็รีบเผาเสีย หลวงพ่อปานมาถึงก็เทศนากรรมการวัดเสียกัณฑ์ใหญ่ว่า พวกแกอยู่กับพระอรหันต์ทุกวี่วัน ช่างไม่รู้บ้างเลย ท่านอธิษฐานทิ้งตัวไว้นะ

    ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพ เมื่อปี 2481 ท่านก็อธิษฐานทิ้งตัวไม่เน่าอีกเหมือนกัน

    สรุปแล้ว ตั้งแต่พระอาจารย์ใหญ่คือ หลวงพ่อเนียม ลงมาจนถึง หลวงพ่อโหน่ง และ หลวงพ่อปาน เมื่อมรณภาพแล้ว ร่างกายไม่เน่าทุกองค์ โดยไม่ต้องฉีดยาอย่างปัจจุบัน

    หลวงพ่อเริ่มสร้างวัตถุมงคลตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครนึกออก แต่มีพระดินเผาอยู่องค์หนึ่ง จารึกด้านหลังว่า พ.ศ. ๒๔๖๑ ก็น่าจะสันนิษฐานว่า พระที่ท่านสร้างนั้น คงจะเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๑ เป็นต้นไป เพราะไม่ปรากฏ พ.ศ. ที่เก่ากว่านั้นเลย ท่านทำมาเรื่อยจนถึง พ.ศ.2470 กว่า จึงยุติ พระที่ท่านสร้างขึ้นมีหลายสิบพิมพ์ เป็นพิมพ์ใหม่ที่ท่านและลูกศิษย์คิดค้นขึ้นเองก็มี ที่ถอดพิมพ์จากพระเก่าก็มาก ท่านและประชาชนพิมพ์พระเสร็จเก็บไว้ในตุ่มน้ำ ในถัง ในปีบ ในลังไม้ เป็นระยะเวลา ๑๐ กว่าปี คาดว่าเกินกว่า ๘๔,๐๐๐ องค์ พิมพ์อาจมากเป็นร้อยพิมพ์

    บางตำราว่า เวลาพุทธาภิเษกของท่านแปลก คือทำพิธีตอนเผาไฟ ไม่ใช่เผาแล้วทำ พระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงสมัยนั้นมาประกอบพิธีกันมากหลาย หลวงพ่อปานก็มาร่วมในพิธีพุทธาภิเษกด้วย

    แต่บางตำราก็ว่า การปลุกเสกพระของหลวงพ่อโหน่งนั้นท่านปลุกเสกเดี่ยวเพียงองค์เดียวเท่านั้น และท่านจะปลุกเสกตลอดไตรมาสในช่วงเข้าพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็จะมีการฉลองสมโภชพระที่สร้างใหม่ โดยอาราธนาพระสงฆ์ ในวัดคลองมะดันมาสวดพระพุทธมนต์ ส่วนตัวท่านเป็นประธานพิธี พอเสร็จพิธีในการสวดพุทธมนต์แล้ว ท่านจะขึ้นธรรมาสน์เทศนาสั่งสอนผู้คนที่มารับแจกพระจากมือท่าน

    ในการสร้างพระเครื่องบางครั้งถ้ามีฤกษ์ดิถีที่ดี ท่านก็จะนิมนต์พระอาจารย์แก่กล้าธรรมทั้งหลาย รวมทั้ง หลวงพ่อปาน มาร่วมปลุกเสกพระที่ท่านสร้างเป็นครั้งคราวด้วย

    ลักษณะเนื้อพระมีทั้งละเอียดและหยาบ เนื้อละเอียดบางองค์เหมือนพระทุ่งเศรษฐี จังหวัดกำแพงเพชร สีดง สีหม้อใหม่ แดงปนน้ำตาล สีแดงนวล สีดำปนเทา เฉพาะสีดำปนเทามีจำนวนน้อย ในเนื้อดินมักมีแก้วแกลบ (แร่ยิบซั่ม) ฝังอยู่ ลักษณะเป็นเส้นขาวทึบคล้ายกระดูกหรือแป้งฝังอยู่ในเนื้อพระ อาจจะมีบ้างแต่น้อยมาก แร่ทรายเงินทรายทองก็มี ด้านหลังบางองค์จารึกอักขระขอม บางทีก็ พ.ศ. การสร้าง ภาษาจีนก็มีจารึก

    พระพิมพ์ต่างๆ ของท่านมีอาทิ พิมพ์ซุ้มกอ พิมพ์ลีลา พิมพ์พระสมเด็จสามชั้นและฐานคู่ พิมพ์จันทร์ลอย พิมพ์ปรุหนัง พิมพ์ท่ากระดาน พิมพ์พระชินราช พิมพ์งบน้ำอ้อย พิมพ์กลีบบัว พิมพ์พระตรีกาย พิมพ์โมคคัลลาน์สารีบุตร พิมพ์พระเจ้าห้าพระองค์ พิมพ์พระปิดตา พิมพ์นาคปรก พิมพ์ปางไสยาสน์ พิมพ์กำแพงศอก ฯลฯ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ พิมพ์ซุ้มกอ ซึ่งออกเป็นพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ ค่านิยมก็แตกต่าง กันไปตามสภาพ

    นอกจากนี้ พระพิมพ์ขุนแผนหน้าค่าย ก็ได้รับความนิยมเช่นกันแบ่งออกเป็น ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์ฐานมีบัว และพิมพ์ฐานไม่มีบัว

    ส่วนพระพิมพ์อื่นๆ ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ พระลีลาหรือพระกำแพงนิ้ว พระสมเด็จฐานคู่ และอีกหลายๆ พิมพ์ที่ไม่ได้เอ่ยนามไว้ ณ ที่นี้ ต่างได้รับความนิยมทุกๆ พิมพ์ตามสภาพความงามของพระองค์นั้นๆ

    พระเครื่องที่ท่านสร้างขึ้นและเสกแล้ว ท่านจะเก็บไว้ในโอ่ง ท่านจะหยิบใส่พานตั้งตรงหน้าท่านจำนวนหนึ่ง เพื่อแจกแก่ญาติโยมไปเรื่อยๆ เมื่อข่าวหลวงพ่อโหน่งสร้างพระและแจกพระแพร่กระจาย ออกไปมีประชาชนทั้งใกล้ และไกลมารับแจกพระจากท่านเป็นจำนวนมาก ทุกๆ วัน หลวงพ่อโหน่งต้องเพิ่มกิจวัตร ในการแจกพระเป็นเวลานาน

    นอกจากนี้แล้ว หลวงพ่อโหน่งยังได้นำพระอีกส่วนหนึ่ง ไปบรรจุไว้ที่ปูชนียสถาน หลายแห่งภาย ในวัดคลองมะดัน และที่วัดทุ่งคอกด้วย ส่วนที่เหลือก็แจกให้แก่ผู้ที่มาขอตลอดอายุขัยของท่าน

    เมื่อหลวงพ่อโหน่งมรณภาพแล้ว พระก็ยังเหลืออยู่ อาจารย์ฉวย ปัญญารตนะ เจ้าอาวาส รูปต่อมาก็ได้ทำตามเจตนารมณ์ ของหลวงพ่อโหน่งทุกประการ คือ แจกพระหลวงพ่อโหน่งให้แก่ผู้ที่มาทำบุญเรื่อย มาจนอาจารย์ฉวยมรณภาพลง พระที่แจกก็ยังไม่หมด

    อาจารย์หนำ ยะสะสี เจ้าอาวาสรูปต่อมา ก็ได้แจกพระหลวงพ่อโหน่ง ตามเจ้าอาวาสรูปก่อน พระหลวงพ่อโหน่ง จึงได้หมดไปในที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระหลวงพ่อโหน่งสร้างไว้หลายพิมพ์และมีจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครทราบจำนวนที่แท้จริงว่าสร้างมากเท่าไร จะรู้เพียงว่าสร้างด้วยเนื้อดินเผาทั้งหมด

    นอกจากพระเครื่องชนิดเล็กๆ สำหรับห้อยคอติดตัวแล้ว หลวงพ่อโหน่ง ยังได้สร้างพระขนาดใหญ่เพื่อเอาไว้บูชาตั้ง ไว้ในบ้านอีกด้วย เช่น พระกำแพงศอกเนื้อดินเผาและพิมพ์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งพระรูปเหมือนหลวงพ่อโหน่ง แบบลอยองค์แบบพระบูชา เนื้อทำด้วยปูน เป็นต้น โดยท่านจะเขียนคำอวยพรไว้ด้านหลังองค์พระเป็นภาษาไทยไว้ด้วย

    ส่วนการสร้างพระของบรรดาศิษย์และผู้ใกล้ชิดสร้างขึ้นไว้เป็น สมบัติส่วนตัวโดยเฉพาะโดยได้ขออนุญาตให้หลวงพ่อโหน่ง ปลุกเสกให้ แต่มีจำนวนน้อยมากยากที่จะเสาะหาในปัจจุบัน เนื่องจากพระหลวงพ่อโหน่งมีของเทียมมาก เช่าหาโปรดจงระวัง

    หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๒๕ ธ.ค. ๒๔๗๗ อายุ ๖๙ ปี พรรษา ๔๖ โดยท่านมรณภาพในปางไสยาสน์แบบอาจารย์ของท่านคือ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย

    หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน หรือ วัดอัมพวัน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่มีวิชาพุทธาคมอันเข้มขลังอยู่ระดับแนวหน้าของประเทศไทย กล่าวกันว่า พระเครื่องของหลวงพ่อโหน่งมีพุทธคุณเด่นทางเมตตา มหานิยมมากและแคล้วคลาด จากอันตราย เป็นเลิศ จึงเป็นที่เสาะหาของบรรดานักสะสม เพื่อเอาไว้ใช้ติดตัวเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ มาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน นับว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษท่านหนึ่งของประเทศไทย

    **พระพิมพ์ ซุ้มกอใหญ่ ตื้นครับ ให้ร่วมทำบุญ
    ปิดรายการนี้ก่อนน่ะครับขอแขวนบูชาท่านก่อน เพราะคอโล่งๆๆมันแปลกครับ**
    แถมตลับเงินให้ 1 ใบ และ รับประกันแท้ ตลอดชีพครับ....กำลังรอท่านเจ้าของตัวจริงอยู่...ครับ
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 194.jpg
      194.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.7 KB
      เปิดดู:
      129
    • r194_2.jpg
      r194_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.6 KB
      เปิดดู:
      94
    • Poo nong.JPG
      Poo nong.JPG
      ขนาดไฟล์:
      89.9 KB
      เปิดดู:
      87
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2009
  13. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    รายการ ที่2 องค์นี้ท่านก็เป็น อาจารย์ ของหลวงพ่อ พระราชพรมยาน ของเราอีกองค์ และ เป็น อาจารย์ ของหลวงพ่อโหน่งและหลวงพ่อปาน อีกด้วยครับ

    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี (พิมพ์สมเด็จ...ถึงจะไม่ใช่พิมพ์หลัก แต่เป็นพระที่ท่าน ปลุกเสกก็ คุ้มแล้วครับ...สนใจ โทราสอบ ถามได้ ไม่แพงครับ ให้ร่วมทำบุญ

    ตามประวัติเดิม
    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย บ้านสามหมื่น อ. บางปลาม้า จ. สุพรรณบุรี เป็นชื่อที่ชาวสุพรรณทั้งที่อยู่ในวงการพระเครื่องและไม่ใช่ ต่างรู้จักท่านดี เป็นที่นับถือโดยทั่วไป ลือกระฉ่อนในด้านปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าสืบต่อกันมาอย่างน่าระทึกใจ
    หลวงพ่อเนียมมีอายุยืนยาวถึง ๔ รัชกาล เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ ในรัชกาลที่ ๓ ของกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นชาวบ้านซ่อง ต. มดแดง อ. ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มารดาเป็นชาวป่าพฤกษ์ ต. ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ธรรมเนียมไทยฝ่ายชาย ที่เข้าสู่งานมงคลสมรสแล้วจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ดังนั้นบิดาของหลวงพ่อเนียมจึงมาอยู่กับมารดาของท่านที่บ้านป่าพฤกษ์ ต.ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นชาติภูมิของท่าน หลวงพ่อเนียม มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันหลายคน ตัวท่านเป็นบุตรคนที่สอง ส่วนน้อง ๆ มีอีกกี่คนไม่สามารถสืบทราบได้
    การศึกษาสมัยนั้นไม่มีโรงเรียน เหมือนปัจจุบัน หลวงพ่อเนียมจึงมีชีวิตคลุกคลีอยู่กับวัด เรียนอักขระขอมและภาษาบาลีจากวัดข้างเคียงที่ให้กำเนิดท่าน เมื่ออายุครบบวชทำการอุปสมบทในบวรพุทธศาสนา วัดใกล้บ้านท่านนั่นแหละ คาดว่าคงเป็นวัดป่าพฤกษ์ หรือไม่ก็วัดตะค่า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓
    เมื่ออุปสมบทถือเพศบรรพชิตแล้ว ท่านได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยและมูลกัจจายน์ในจังหวัดพระนครหรือธนบุรี สืบทราบไม่แน่ชัด มีบางท่านว่าอยู่วัดพระพิเรนทร์ บางท่านว่าอยู่วัดโพธิ์, วัดระฆัง,วัดทองธรรมชาติ ธนบุรี ไม่เป็นที่ยุติ สรุปความว่าท่านไปอยู่วัดในจังหวัดพระนครและธนบุรี ซึ่งอาจจะอยู่วัดในจังหวัดดังได้กล่าวมาแล้วก็ได้
    ขณะที่ท่านศึกษาทางด้านธรรมะอยู่นั้นท่านมีความสนใจในทางวิปัสสนาธุระและทางไสยศาสตร์คาถาอาคมด้วย หากท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆัง ท่านอาจจะเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีก็ได้ เพราะสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) มีอายุถึง พ.ศ.๒๔๑๕ ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อเนียมอุปสมบทในราว พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓ ถ้าท่านมาอยู่ วัดระฆังแน่เหลือเกิน ท่านจะต้องเป็นลูกศิษย์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) อย่างไม่มีปัญหาซึ่งบางทีหลวงพ่อเนียมอาจจะได้ศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์และวิปัสสนาธุระ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ก็อาจจะเป็นได้
    คุณทองหยด จิตตวีระ อดีต รมต. ว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยเล่าว่า หลวงพ่อเนียมส่งบิดาของคุณทองหยดให้ไปเรียนหนังสืออยู่ที่วัดระฆัง สันนิษฐานว่า หลวงพ่อเนียมน่าจะมีความสัมพันธ์กับวัดระฆังมาก่อน จึงส่งบิดาของคุณทองหยดไปเรียนหนังสือที่วัดระฆัง ในช่วงที่หลวงพ่อเนียมไปอยู่กรุงเทพฯ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหลวงพ่อเนียมไปอยู่วัดระฆังจริงก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ สมเด็จพระพุทฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ก็เป็นได้
    รูปร่างของหลวงพ่อเนียมสันทัด ผิวขาวไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไปนัก ใบหน้ามีเสน่ห์ในขณะที่เรียนวิชาทางไสยศาสตร์อยู่นั้น ท่านได้เคยทดลองวิชาเมตตามหานิยมที่ได้ เล่าเรียนมาครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งท่านไปบิณฑบาตที่บ้านพระยาผู้หนึ่ง บังเอิญวันนั้นลูกสาวพระยาผู้นั้นเป็นผู้ใส่บาตร ท่านคิดในใจว่าวันนี้ อาตมาจะ ขอทดลองวิชาที่ได้อุตส่าห์เล่าเรียนมาว่าจะเป็นจริงเพียงไร
    ขณะที่ลูกสาวพระยาเอาทัพพีตักข้าวใส่บาตรของท่านนั้น ท่านบริกรรมพร้อมกับใช้ฝาบาตรกดทับทัพพีของสีกาสาวลูกพระยาผู้นั้นไว้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วปล่อยปรากฏว่าตอนเย็นวันนั้น พระยาผู้บิดาสีกาสาวผู้นั้นให้คนมานิมนต์ท่านไปพบที่บ้าน พอท่านทราบเรื่อง ใจไม่ดีคิดว่าคงมีเรื่องเสียแล้ว คาถาอาคมที่เรียนมานั้นคงไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นแน่ นึกตำหนิตนเองว่าไม่ควรจะทดลองเลย จะไม่ไปหรือก็ไม่ได้เพราะรับนิมนต์ไว้แล้ว เป็นไงเป็นกัน
    แต่เหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่ท่านได้คิดไว้ พระยาผู้นั้นให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี จากการรับนิมนต์ครั้งนั้นจนกลายเป็นที่คุ้นเคยกันในตอนต่อๆ มา ท่านไปมาหาสู่ที่บ้านพระยาผู้นั้นอยู่เป็นเนืองนิจ จนเป็นที่สนิทสนมกันมาก
    วันหนึ่งพระยาผู้นั้นเอ่ยปากยกลูกสาวให้ท่าน ท่านตกใจมากเพราะไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ท่านจึงต้องรีบปฏิเสธอย่างสุภาพว่า ท่านยังรักที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไป โดยจะไม่ขอลาสิกขาบท จากนั้นท่านพยายามทำตนให้ห่างไว้เพื่อความสัมพันธ์จะได้ค่อยๆ จางหายไป จะอย่างไรก็ดีเมื่อท่านกลับมาจำพรรษาที่วัดในจังหวัดสุพรรณแล้ว ท่านยังลงไปเยี่ยมพระยาผู้นั้นอยู่เสมอ ๆ
    ท่านกลับมาอยู่สุพรรณอายุในราว ๔๐ ปี ในราวพ.ศ.๒๔๑๒ อยู่ในกรุงเทพฯ-ธนบุรี เกือบ ๒๐ ปี นับว่านานโขอยู่ ในการกลับมาตอนต้น ท่านไม่ได้มาอยู่วัดที่ท่านอุปสมบทเลยขึ้นมาอยู่ที่วัดรอเจริญ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี อยู่ได้ไม่นานเกิดขัดคอกับเจ้าอาวาส ท่านจึงคิดจะไปจำพรรษาที่วัดป่าพฤกษ์ใกล้บ้านเกิดของท่านดีกว่า
    ขณะนั้นวัดน้อย ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี ซึ่งอยู่เหนือวัดรอเจริญไปไม่ไกลนัก เป็นวัดมีสภาพร้าง สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ยังคงเหลืออยู่เพียงวิหารเก่าคร่ำคร่าเท่านั้น ชาวบ้านมีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซม ให้พ้นสภาพวัดร้างขึ้นมาใหม่ จึงให้นายมวนและชาวบ้านแถบนั้นจะหาปัจจัยสร้างหอฉันให้ หลวงพ่อเนียมไม่ขัดศรัทธา ตกลงใจมาอยู่วัดน้อยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอสรุปได้ว่าวัดน้อย ได้พ้นสภาพจากการเป็นวัดร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๑๒ เป็นต้นมาเช่นกัน
    นายมวนและชาวบ้านช่วยกันสร้างหอฉันเสาไม้แก่นพื้นไม้สัก หลังคามุงกระเบื้องให้หนึ่งหลัง หลวงพ่อเนียมได้มาจำพรรษาอยู่วัดน้อย ค่อยๆ บูรณะซ่อมแซมโน่นนิดนี่หน่อยเรื่อยมา ในขณะนั้นมีผัวเมียคู่หนึ่งชื่อ "ปาน" ทั้งคู่ มีเรืออยู่ลำหนึ่งเที่ยวเร่ขายพลูไปยังที่ต่างๆ ผัวปานเมียปานคู่นี้แวะมาสนทนากับหลวงพ่อเนียมเป็นประจำ พูดถึงความเป็นจริงว่าการค้าขายพลูลำบากลำบนมาก บางคราวขายหมดพอดีมีกำไรเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆ ขายไม่หมดเก็บเอาไว้พลูเน่าต้องขาดทุน แต่ก็จำต้องทนทำ จะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นก็ไม่ได้ เพราะไม่สันทัดและไม่มีทุนรอนที่จะทำด้วย
    จากการมาคุยและมาทำบุญที่วัดน้อยบ่อยๆ หลวงพ่อเนียมเห็นว่าสองผัวเมียชื่อเดียวกันนี้ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทำให้ฐานะกระเตื้องขึ้นแต่ใจบุญสุนทาน
    วันหนึ่งสองผัวเมียมาสนทนากับท่าน ท่านจึงบอกให้ไปแทงหวยที่กรุงเทพฯ สองผัวเมียเมื่อมีโอกาสล่องเรือไปกรุงเทพฯ แทงหวยตามที่หลวงพ่อบอกให้แทงทันที ในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่แล้วสอง ผัวปาน เมียปาน ก็มีความดีใจเป็นล้นพ้น ถูกหวยจริงๆ ได้เงินเป็นจำนวนมาก ทั้งสองผัวเมียเมื่อรับเงินแล้ว รีบมานมัสการหลวงพ่อเนียมทันที พร้อมกับถวายเงินสร้างกุฏิให้วัดน้อยหนึ่งหลัง กุฏินั้นยังคงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนเรือค้าขายพลูลำนั้นถวายให้กับวัดน้อยด้วยเช่นกัน เปลี่ยนอาชีพไปค้าขายทางอื่นเพราะมีทุนรอนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว
    วัดน้อยค่อยๆ มีสภาพดีขึ้นเป็นลำดับ มีพระเณรมาจำพรรษามากขึ้นทั้งใกล้และไกล เช่นจากอำเภออู่ทอง เป็นต้น อำเภออู่ทองสมัยโน้นไกลแสนไกล เป็นอำเภออยู่ป่าสูง การคมนาคมไม่มี นอกจากจะเดินทางด้วยเท้าหรือม้าผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะและย่างเข้าป่าสูง ต้องใช้เวลาเดินไม่น้อยกว่าหนึ่งวันเต็มๆ หรือกว่านั้น การที่มีพระจากท้องที่ไกลๆ มาจำพรรษาด้วยย่อมเป็นการแสดงว่าหลวงพ่อเนียมต้องมีอะไรดี
    ลุงคำ (หลานนายมวน) เล่าว่าเพราะหลวงพ่อเนียมเป็นบุคคลที่มีน้ำใจเมตตากรุณา แต่เคร่งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย บางท่านที่สนใจศึกษาทางด้านวิปัสนาธุระ หลวงพ่อก็ช่วยให้การศึกษาเต็มที่ โดยไม่มีการหวงแหน พระเณรมีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี นอกจากนั้นหลวงพ่อเนียมยังมีชื่อเสียงในทางรักษาโรคต่างๆ ได้อีก เช่น โรคพิษสุนัขบ้า บางทีถึงกับจับเอาสุนัข บ้ามาขังไว้ ทำการรักษาสุนัขตัวนั้นจนหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกและมหัศจรรย์ นอกนั้นการรักษาวัณโรค อหิวาตกโรค ฝีดาษ ไข้ทรพิษ ก็รักษาให้หายได้เช่นกัน โดยเฉพาะวัณโรคนั้นได้ผลดีมาก
    หลวงพ่อเนียมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าได้ดั่งตาทิพย์ ครั้งหนึ่งมีภิกษุจากวัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จำนวน ๔ รูปไปหาหลวงพ่อที่วัดน้อยเพื่อขอฤกษ์ลาสิกขาบท ขณะนั้นหลวงพ่อเนียมกำลังคุมลูกศิษย์วัดทำความสะอาดบริเวณวัดอยู่ พอเห็นหน้าภิกษุทั้งสี่ หลวงพ่อร้องทักขึ้นก่อนว่า จะมาขอฤกษ์ลาสิกขาบทใช่ไหมล่ะ ภิกษุทั้งสี่ตอบว่าใช่ ท่านให้ฤกษ์ไปสามรูป อีกรูปหนึ่งท่านท้วงว่าอย่าเพิ่งเลย ชะตากำลังไม่ใคร่ดี แล้วท่านก็ไม่ให้ฤกษ์ แต่ภิกษุนั้นหายอมฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียมไม่ทนไม่ไหว จีวรร้อนเป็นไฟ เพื่อนพระสึกไปหมดแล้วตนเองก็จะรู้สึกว้าเหว่ ตัดสินใจลาสิกขาบทโดยไม่ฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียม เมื่อออกจากวัดกลับมาหาบิดามารดาที่บ้าน ค่ำวันนั้นเองขณะที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนบ้าน ปรากฏว่ามีคนร้ายแอบเอาปืนยิงเข้าไปในกลุ่มสนทนา กระสุนถูกศีรษะทิดสึกใหม่คนนั้นตายคาที่
    วันหนึ่งหลวงพ่อเนียมเอ่ยปากขอสำรับเพลจากชาวบ้านแถบนั้นจำนวน ๕๐ สำรับโดยไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรที่ไหน เพียงแต่ท่านพูดแล้วอมยิ้มน้อยๆ ว่าถึงคราวแล้วรู้เอง ครั้นใกล้จะถึงเวลาเพล สำรับที่ขอชาวบ้านไว้ก็ค่อยๆ ทยอยมาสู่วัดครบตามจำนวนที่ขอไว้อย่างพร้อมเพรียง แต่ชาวบ้านมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ ใครจะมาจากไหนหรือไม่เห็นมีวี่แวว
    แต่พอกลองเพลดังลั่นขึ้นเท่านั้น ท่านอาจารย์ปาน วัดบางเหี้ย ซึ่งขณะนั้นก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เหมือนกัน พาภิกษุมารวม ๕๐ รูป เดินทางมานมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ พอเดินทางมาถึงหน้าวัดน้อย ปรากฏว่าเกิดพายุขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นที่ผิดปกติ ท่านอาจารย์วัดบางเหี้ยจึง พูดกับพระที่มาด้วยกันแล้ว
    "เอ เห็นจะต้องแวะที่วัดนี้เสียแล้ว เจ้าของท้องที่เขาเชิญให้แวะ ไม่ควรขัดศรัทธา"
    จึงสั่งให้เรือจอดที่ท่าวัดน้อยแล้วพาภิกษุทั้งหมดขึ้นไปบนวัด ก็ได้รับการต้อนรับจากหลวงพ่อเนียมด้วยการถวายเพลแก่อาจารย์วัดบางเหี้ยและภิกษุทุกรูป
    ในงานทำบุญคล้ายวันเกิดของท่าน ชาวบ้านจัดงานใหญ่โต มีแสดงพระธรรมเทศนาแจง ๕๐๐ พร้อมด้วยมหรสพสมโภชหลายอย่างร้านค้าขายตั้งเต็มลานวัด คาดว่างานแซยิดของท่านคงจัดขึ้นในราว พ.ศ. ๒๔๔๕ เพราะผู้เล่าเรื่องนี้คือ ลุงเปล่ง สุพรรณโรจน์ เล่าขณะที่ลุงเปล่ามีอายุ ๘๔ ปี บอกว่าปีนั้นลุงเปล่งมีอายุเพียง ๑๘ ขวบ ดังนั้น พ.ศ. ทำบุญงานแซยิดของท่านประมาณ พ.ศ.๒๔๔๕
    ค่ำวันนั้น ปรากฏว่าเมฆดำทมึนมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ฝนตั้งเค้า พายุพัดตึงบอกลักษณะว่าฝนจะตกลงมาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นฝนยังได้ลงเม็ดมาปรอยๆ บ้างแล้ว ร้านค้าขายต่างกุลีกุจอเก็บข้าวของเตรียมหนีฝน กันจ้าละหวั่น วุ่นวายไปทั่วทั้งลานวัด คนที่มาเที่ยวต่างก็หลบฝนเข้าไปในใต้ถุนกุฏิ และที่หอฉันเต็มไปหมด
    ในขณะที่กำลังอลหม่านกันนั้นเอง หลวงพ่อเนียมเดินลงมาจากุฏิร้องบอกว่า
    "ไม่ต้องเก็บไม่ต้องเลิก มหรสพเล่นต่อไป ของขายต่อไป ที่นี่ไม่มีฝน ฝนไม่ตกที่นี่"
    แล้วท่านเดินไปหยุดที่หน้ากุฏิของท่าน มองขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้า แล้วเดินไปเดินมา จริงเหมือนดังคำประกาศิต ฝนตั้งเค้าและท่าจะตกลงมาอย่างหนักนั้นหาได้ตกลงมาภายใน บริเวณวัดไม่มีเพียงละอองฝนปรอยๆ เท่านั้น แต่เมื่อมองออกไปนอกวัดจะเห็นฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ทั้งตกอยู่นานอักโขอยู่ พองานเลิกทุกคนต้องเดินลุยน้ำขนาดครึ่งหน้าแข้ง
    การถ่ายรูปหลวงพ่อเนียมเล่ากันว่าถ่ายไม่ติด ครั้งหนึ่งมีช่างแผนที่มาทำการออกโฉนดที่ดินที่จังหวัดสุพรรณบุรี พระประมาณฯ เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยฝรั่งสองคนเป็นผู้ช่วย ทราบเสียงเล่าลือว่าการถ่ายรูป หลวงพ่อเนียมนั้นถ่ายไม่ติด พระประมาณฯ กับฝรั่งนั้นต้องการพิสูจน์ความจริง ตามเสียงที่เล่าลือกันจะเป็นความจริงเพียงใด จึงไปที่วัดน้อยแล้วนิมนต์พระทั้งวัดมานั่งถ่ายรูปพร้อมด้วยหลวงพ่อเนียม เมื่อเอาฟิล์มไปล้างปรากฏว่าไม่มีรูปหลวงพ่อเนียมอยู่ในกลุ่มนั้นจริงๆ พระประมาณฯ กลับมาทดลองถ่ายอีกโดยขอให้หลวงพ่อเนียมเดินไปที่โอ่งน้ำมนต์ ถ่ายขณะที่หลวงพ่อกำลังเดินไปและขณะอยู่ที่โอ่งกำลังทำน้ำมนต์ ก็ไม่ติดอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
    น้ำมนต์ของท่านไม่เฉพาะแต่น้ำมนต์ในโอ่งเท่านั้น ที่ท่าวัดของท่านก็เป็นน้ำมนต์เช่นเดียวกัน ครั้งหนึ่งมีจีนคนหนึ่งชื่อ "โต้ผ่วย" อยู่แถววัดโพธิ์คอย ซึ่งไม่ไกลจากวัดน้อยเท่าใดนัก มาขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อเนียม ท่านบอกเจ๊กโต้ผ่วยให้ไปตักเอาเองซิ อยู่ที่ท่าน้ำนั่นไงเล่า
    เจ๊กโต้ผ่วยไปตักน้ำมาแล้วเอามาให้ท่านหลวงพ่อบอกให้จุดธูป พอจุดเสร็จท่านบอกกับเจ๊กโต้ผ่วยว่าเสร็จแล้ว เจ๊กโต้ผ่วยมองหน้าหลวงพ่อเนียมเป็นเชิงสงสัย และนึกฉุนตะหงิดๆ ขึ้นมาในใจ อะไรกัน ไม่เห็นหลวงพ่อท่านบริกรรมคาถาเลยแม้แต่คำเดียว จะเป็นน้ำมนต์ได้อย่างไร แต่จะไม่เอาไปก็ไม่ใช้ที่ จึงเอาไปอย่างไม่เต็มใจ
    เมื่อออกไปนอกวัด เจ๊กโต้ผ่วยรำพึงขึ้นอย่างแค้นใจ "เอาไปทังลายล้ำท่าเท้ๆ " ว่าแล้วก็คว่ำขวดโหลใบที่ใส่น้ำมนต์มา แปลกอะไรเช่นนั้น! น้ำมนต์ในขวดโหลหาได้ไหลออกมาไม่! บังเอิญพลัดหลุดมือแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำมนต์ในขวดโหลแทนที่จะเป็นน้ำเหลว กลับกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง!! เจ๊กโต้ผ่วยตกใจรีบตาสีตาเหลือกเก็บก้อนน้ำแข็งนั้นใส่ภาชนะอื่นทันที นึกแปลกในใจว่าทำไมน้ำนั้นจึงแข็งได้ พอนึกถึงอภินิหารของหลวงพ่อเนียมเข้า ก็ยกภาชนะนั้นขึ้นทูนหัวพร้อมกับกล่าวขออภัยในใจ ที่หมิ่นหลวงพ่อและเอาก้อนน้ำแข็งน้ำมนต์นั้นไปเก็บไว้จนละลาย
    เจ้านายถึงจะมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตสักเพียงใดก็ตาม ถ้าจะไปขออาบน้ำมนต์ ท่านจะบอกให้ไปอาบที่ท่าวัดเหมือนกันทุกๆ คน ครั้งหนึ่งพระยาศิริชัยบุรินทร์ (ทองสุก) ปลัดเทศาภิบาลมณฑลนครไชยศรี มาตรวจราชการที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อเนียม ท่านจึงอยากจะมาขอพรและขอให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ให้ ดังนั้นตอนเย็นวันหนึ่งพระยาศิริชัยบุรินทร์ว่างงานจึงไปหาหลวงพ่อเนียม ให้ข้าราชการผู้หนึ่งเข้าไปพบหลวงพ่อบอกถึงความประสงค์ว่าจะขออาบน้ำมนต์ หลวงพ่อเนียมบอกไปอาบที่ท่าวัดก็ได้ เป็นน้ำมนต์เหมือนกัน เมื่อโดนเข้าอีไม้นั้น ในฐานะนักปกครองผู้มีจิตวิทยาสูง จึงจำต้องแสดงออกซึ่งความเคารพคำของหลวงพ่ออย่างจริงใจ เดินตามชาวบ้านลงไปอาบน้ำ (น้ำมนต์) ที่ท่าวัดด้วยอาการไม่ขวยเขินหรือกระดากอาย แต่ประการใด เมื่อท่านกลับไปนครปฐมเล่าให้ข้าราชการด้วยกัน ฟังว่ารู้สึกเหนียมเหมือนกันที่ตนเป็นผู้ใหญ่แต่ต้องไป อาบน้ำปะปนกับชาวบ้านแต่หลังจากนั้นไม่นานนักท่านได้เลื่อนเป็นเทศาภิบาลและย้ายไปอยู่มณฑลนครสวรรค์อย่างคาดไม่ถึง
    พระเณรที่ประพฤติผิดวินัย ท่านทราบเองโดยไม่มีใครบอกท่าน ต่อมาท่านเห็นว่าไม่ดี จึงเรียกพระเณรที่ทำผิดพระวินัยให้พยายามทำตนให้ประพฤติชอบ ทำให้พระและเณรทั้งวัดไม่กล้าประพฤติไม่ดีต่อไปอีก แม้แต่ลับหลัง
    หลวงพ่อเป็น ผู้ที่มีความ เมตตา ต่อสัตว์เลี้ยง ท่านเลี้ยงแมว, สุนัข, ไก่, แม้กระทั่งงูเห่าก็เลี้ยงไว้ ในกุฏิของท่านจึงเต็มไปแล้วมูลสัตว์ต่างๆ งูเห่ามีอยู่สองตัว ตัวใหญ่หายไปนานแล้ว แต่ก่อนมันจะหายไปมันมาลาท่านด้วยการชูหัวแผ่แม่เบี้ยคำนับอยู่ ๓ ครั้ง ตั้งแต่นั้นมันก็หายไป ส่วนตัวเล็กหายไปหลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้ว
    กิจวัตรประจำวันของท่านระหว่างเข้าพรรษา ท่านจะตื่นแต่เช้ามืดยังไม่ทันมีแสงเงินแสงทอง ครองจีวรแล้วปลงอาบัติเพื่อความบริสุทธิ์ของวันต่อไปทุกๆ เช้ามือ เสร็จแล้วนั่งสนทนากับภิกษุในวัดเป็นการอบรมไปในตัวพอได้อรุณจึงออกไปบิณฑบาต ต่อมาในระยะหลังๆ ท่านไม่ค่อยได้ออกไปบิณฑบาตเพราะชราภาพมากแล้ว ในขณะที่ท่านไปส้วมจะมีขันน้ำและข้าวสารไปด้วย โปรยข้าวสารไปตลอดทางจนถึงส้วมเพื่อให้ไก่กิน ออกจากส้วมกลับมาตามทางเดินโปรยข้าวสารที่เหลือให้ไก่กินจนหมด
    อาหารที่ท่านชอบเป็นพิเศษ คือ เปลือกแตงโมต้มปลาเจ่าแล้วในน้ำตาล ปกติการปรุงรสค่อนข้าวหวานแระเปรี้ยวเป็นส่วนมาก เช่นขนมจีนท่านชอบใส่น้ำเชื่อมลงไปด้วย
    ตอนบ่ายท่านจะลงไป รับแขกที่กุฏิเล็กซึ่งทานสร้างขึ้นเพื่อนั่งวิปัสสนา ตอนเย็นเป็นธุระในเรื่องสัตว์เลี้ยง ตอนค่ำทำวัตรเสร็จแล้วนั่งสนทนากับพระลูกวัดจนกระทั่ง เวลาสามทุ่มจึงเข้าจำวัดหลวงพ่อเนียม สร้างพระเครื่องไว้หลายพิมพ์ด้วยกัน มีผู้เล่าว่าตอนต้นท่านสร้างพระเครื่องดินเผา แต่เนื้อที่เผาไม่แกร่งพอ ท่านจึงไม่แจกให้แก่ผู้ใดเลยแม้แต่องค์เดียว ในวงการพระเครื่องจึงไม่รู้จักพระเครื่อง เนื้อดินเผาของท่าน ส่วนมากเท่าที่รู้จักกันคือพระเนื้อชินตะกั่วผสมปรอท ท่านสร้างไว้หลายพิมพ์โดยเอาพระเก่าๆ มาทำแม่พิมพ์ เท่าที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ
    ๑. พระงบน้ำอ้อย ๒.พระพิมพ์ลำพูน เกศยาว ๓.พระพิมพ์ลำพูน เศียรโล้น ๔.พระปรุหนัง ต่อมาปรากฏว่าพบพิมพ์พระเจ้าห้าพระองค์เพิ่มขึ้นอีก บางท่านว่าพระปิดตาก็มี แต่ทว่ามีจำนวนน้อย แทบจะไม่มีใครรู้จักเลย และ ยังมีพิมพ์ เลียนแบบ พระขุนแผน พระมเหศวร พระพิมพ์สมเด็จ อีกด้วย
    การทำปรอทให้แข็งในสมัยโน้นไม่ใช่ของง่ายนัก ว่ากันว่าต้องใช้คาถาอาคม ทั้งต้องทำในฤดูฝนฤดูเดียวเท่านั้น เพราะพืชบางอย่าง เช่น ใบแตงหนู ซึ่งขึ้นในท้องนา จะขึ้นในฤดูฝน ส่วนผสมต่างๆ มีใบสลอด, ข้าวสุกหลวงพ่อท่านเอาของสามอย่างมาโขลกปนกันเพื่อไล่ขี้ปรอทออกให้หมด ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปรอทขาวที่สุด การโขลกจะต้องโขลกและกวนอยู่ถึง ๗ วัน จึงจะเข้ากัน พอครบ ๗ วันเอาไปตากแดดเสร็จแล้วนำเอาไปกวนต่อจนเข้ากันดี จึงทำการแยกชั่งเป็นส่วนๆ ส่วนละหนึ่งบาทต่อจากนั้นเอาไปใส่ครกหิน เติมกำมะถันและจุนสีโขลกตำให้เข้ากัน โดยใช้เวลาทำตอนกลางคืนเท่านั้น ทำเช่นนั้นอยู่ ๓ คืนจึงเอาปรอทใส่ลงไปในกระปุกเหล้าเกาเหลียง ผสมกับตะกั่วเอาเข้าไฟสุมอยู่ถึง ๗ วัน บางครั้งอุณหภูมิ สูงจัด กระปุกเหล้าเกาเหลียงแตกเสียหายก็มี การสุมไฟสุมเฉพาะเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนทำพิธีปลุกเสกด้วยคาถาอาคม พอครบ ๗ ไฟเทลงในแม่พิมพ์จึงจะได้พระตามที่ต้องการ
    [​IMG]หลวงพ่อเนียมมรณภาพเมื่ออายุ ๘๐ ปี โดยมรณภาพในลักษณะเหมือนพระปางไสยาสน์ นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกของเมืองไทยที่มีการมรณภาพเช่นนี้ ผู้เขียนไปวัดน้อย สอบถามผู้ใกล้ชิดแล้วบวกลบคูณหารดู ปรากฏว่าตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๒ ประมาณ ๙๕ ปีมาแล้ว หลังจากการฌาปนกิจเสร็จแล้วชาวบ้านแย่งกันเก็บอัฐิของท่านเอาไปไว้บูชากันอย่างอลหม่าน
    ในด้านพระพุทธคุณพระเครื่องของหลวงพ่อเนียม มีปรากฏการณ์หลายรายด้วยกันอย่างน่าระทึกใจ เช่น รถคว่ำมีพระหลวงพ่อเนียมไม่เป็นไร นี้แหละครับพระพุทธคุณของพระหลวงพ่อวัดน้อย อันเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เลื่องลือซึ่งเป็นที่รู้จักกันของชาวสุพรรณเป็นอย่างดีมานานแล้ว

    *** สนใจโทร หรือ PM ถามได้ครับ ให้ร่วมทำบุญ ของดีๆราคาไม่แพงครับ***

    คุณ พฤศ์กฤต ร่วมทำบุญแล้วครับ
    อนุโมทนาบุญด้วย ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 175.jpg
      175.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.8 KB
      เปิดดู:
      89
    • r175_1.jpg
      r175_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.5 KB
      เปิดดู:
      66
    • r175_2.jpg
      r175_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.2 KB
      เปิดดู:
      60
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  14. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    รายการที่พิเศษ 3 เป็นเครื่องรางเก่าเก็บ
    ซึ่งเคย ลงให้ชม ในเวปพลังจิตนี้แล้วครั้งนึงซึง มีผู้ให้ความสนใจ โทรสอบถามอย่าง มากครับ

    ลงมาอ่านประวัติท่านก่อน น่ะครับ หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง จ.พิจิตร ครับ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=showMessage vAlign=top align=left>พ่อพิธเป็นคนที่มีนัยตาดุมาก ตอนท่านมีชีวิตชาวบ้านเรียกท่านว่า
    "หลวงพ่อพิธ ตาเสือ" พอท่านมรณะภาพแล้วปรากฏว่า ดวงตาท่านของท่านไม่ไหม้ไปพร้อมกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของท่าน ท่านจึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "หลวงพ่อพิธ ตาไฟ" และดวงตาคู่นั้นของท่านถูกนำมาใส่ไว้ที่รูปเหมือนที่ตั้งอยู่วัดฆะมังจนทุกวันนี้ครับ
    ประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อพิธ เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๕ มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ ท่านเป็นหลานแท้ ๆ ของ หลวงพ่อเงิน จึงได้วิชาอาคมจากหลวงพ่อเงินมาเต็มที่ ในสมัยหนุ่มๆ เมื่อได้บวชเรียนแล้วได้ไปศึกษาพุทธาคม จากแหล่งอื่นอีก โดยเคยอยู่ที่วัดหัวดง วัดบางคลาน วัดวังปราบ วัดบางไผ่ วัดดงป่าคำ วัดสามขา (เป็นวัดที่ท่านทำตะกรุดให้ผู้มีศรัทธาได้ทำบุญช่วยวัด) ต่อมาก็ย้ายมาอยู่ที่วัดใหญ่ (วัดมหาธาตุ พิษณุโลก) หลังจากนั้นก็กลับไปอยู่ที่ จ.พิจิตรและมรณภาพที่วัดฆะมัง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๘



    วันนี้ขอแนะนำตะกรุดที่มีผู้สนใจเช่าหากันมากที่สุดสำนักหนึ่ง "ตะกรุดคู่ชีวิตของ หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง จังหวัดพิจิตร" ตะกรุดที่มีอานุภาพด้านคงกระพันอยู่สูงมาก ตะกรุดหลวงพ่อพิธ เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยม ในหมู่ลูกศิษย์อย่างมาก คือระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๐ - ๒๔๘๕ ในครั้งนั้นตะกรุดหลวงพ่อพิธ ออกให้เช่าบูชาเพื่อทำบุญสร้างพระอุโบสถที่วัดสามขา ถึงดอกละ ๑๐ บาท เชื่อว่า ราคาตะกรุดหลวงพ่อพิธจะสูงที่สุดในช่วงเวลานั้น โดยที่รูปหล่อหลวงพ่อเงิน(วัดบางคลาน)ราคาในท้องถิ่นไม่เกิน ๑๐ บาทแน่ มีแต่ราคาในกรุงเทพฯ ที่พ่อค้าคนจีนในสำเพ็งซื้อเท่านั้นที่ให้ราคาพระหลวงพ่อเงินถึงองค์ละ ๑๐ บาท เพราะพ่อค้าไม่มีเวลาเดินทางไปพิจิตรได้ เมื่อต้องการก็สั่งให้ผู้อื่นไปเอา และให้ค่าตอบแทนองค์ละ ๑๐ บาท แต่ตะกรุดหลวงพ่อพิธระยะนั้นในท้องถิ่นราคา ๑๐ บาท นับว่าราคาสูงมาก ผู้ไม่ศรัทธาจริง ๆ คงไม่มีใครแสวงหา
    เรื่องตะกรุดหลวงพ่อพิธ นั้นเป็นเรื่องยืดยาวประวัติด้านคงกระพันมีมาก เชื่อถือได้แน่นอน ท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ได้วิชาทำตะกรุดมาจากท่าน มีหลักฐานไว้แน่ชัด มีเอกสารเป็นหลักฐานยืนยันว่า ยันต์นี้ หลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง เรียนมาจากหลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง ซึ่งท่านเรียนสืบมาจากมาจากหลวงพ่อเงินวัดบางคลานอีกที
    ตะกรุดของท่านสังเกตได้ง่าย ๆ คือ
    ๑. ตะกั่วที่ใช้จารเป็นตะกั่วน้ำนม (เนื้ออ่อน)
    ๒. ส่วนใหญ่มีอั่วทองเหลืองเป็นแกนกลาง
    ๓. ยันต์ที่ใช้จารเป็นยันต์คู่ชีวิต หรือยันต์อะสิสัตติ เป็นหลัก


    ส่วนยันต์ของท่าน ได้นำมาลงพิจารณาประกอบแล้ว ตะกรุดของท่านจะจารทั้ง ๒ ด้าน มีการสร้างอย่างประณีต โดยยันต์ต่าง ๆ ที่ปรากฏ ส่วนใหญ่เป็นยันต์ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานที่ท่านใช้ลงตะกรุดของท่าน และตะกรุดหลวงพ่อเงินก็มีหลายแบบ ซึ่งจะได้กล่าวแยกไว้ต่างหากโดยเฉพาะ
    ประสบการณ์ตะกรุดหลวงพ่อพิธ มีอานุภาพด้านคงกระพันสูงมาก มีผู้เล่าว่ามีผู้ใช้หลายรายโดนทั้งปืนทั้งมีดไม่เคยระคายผิว ชาวบ้านบางคนถูกแทงจนเสื้อขาดแต่ก็ไม่เข้ามีเพียงรอยยางบอนเท่านั้น พวกเศรษฐีที่มีเงินทุ่มเงินซื้อตะกรุดดอกนั้น ให้ราคาเป็นหลักหมื่น ก็จึงขายไป เพราะทนเงินง้างไม่ไหวเหมือนกัน เเต่เหนืออื่นใดนั้นเป็นสิ่งยืนยันถึงความเชื่อถือของคนพิจิตรที่มีต่อวัตถุมงคลของท่านหลวงพ่อพิธ โดยเฉพาะตระกรุดโทนที่ลงยันต์อะสิสัตติ ธนูเจวะ ฯ นี้ ซึ่งเป็นยันต์ที่มีมาแต่โบราณกาล เกจิอาจารย์รุ่นเก่าทั้งภาคกลางและภาคเหนือใช้กันมาก หลวงพ่อดัง ๆ เช่น หลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า หลวงพ่อเรือง วัดบ้านดง หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อน้อย วัดป่ายางนอก ฯลฯ ซึ่งเกจิอาจารย์ที่กล่าวถึงมีอายุอยู่ในศตวรรษก่อนทั้งนั้น จากหลักฐานที่ได้ศึกษามานาน แต่ละท่านก็ใช้ยันต์นี้ลงตะกรุดบางดอกของท่านเช่นเดียวกัน กรณีที่เป็นตะกรุดดอกสำคัญ
    <TABLE class=mainTable cellSpacing=1 cellPadding=3 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=showMessage vAlign=top align=left>ยันต์อสิสัตติหรือพระเจ้าห้ามอาวุธที่มีสมญาว่า "ตะกรุดคู่ชีวิต" นี้ดีอย่างไร?
    ในสมัยก่อนเราเรียกยันต์นี้ว่า ยันต์คู่ชีวิต คือ มีอยู่แล้วชีวิตอยู่คง เป็นยันต์ที่ได้ใช้กันมานาน ตั้งแต่สมัยอยุธยายังรุ่งโรจน์ เป็นยันต์ ๆ หนึ่งในตำราพิชัยสงครามได้ระบุไว้ เป็นยันต์ชั้นสูงหาค่าประมาณมิได้
    จากตำราสมุดข่อยของ หลวงพ่อเรือง วัดบ้านดง อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เขียนไว้ว่า "ยันต์นี้ลงกะตุด (ตะกรุด) ไม่ต้องเสกยิงเอาเถิด" เพียงเท่านี้ จะเห็นว่ายันต์นี้มีอานุภาพคงกระพันเพียงใด และมีความขลังเพียงใด?
    คาถาที่ลงในตาราทั้ง ๔ มุมเขียนไว้ว่า
    อะสิสัตติธะนูเจวะ
    สัพเพเตอาวุธานิจะ
    ภัคคะภัคคาวิจุณณานิ
    โลมังมาเมนะผุสสันติ
    เป็นคาถาตอนพระพุทธเจ้าถูกนายขมังธนูที่พระเจ้าอชาติศัตรูส่งมารอบยิงแต่ด้วยพุทธบารมีปรากฏว่านายขมังธนูไม่สามารถง้างธนูยิงได้ จนได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและยอมรับพระไตรสรณาคมในที่สุด สำหรับการลงอักขระในพระคาถาหมวดนี้มีการลงอักขระแบบลงสลับไปมาในช่องต่าง ๆ ไม่ได้เรียงกันอย่างการอ่านธรรมดา เรียกว่าเป็นกลบทนั่นเอง คาถานี้ใช้เป็นคาถาหลักในการปลุกเสกตะกรุด ทั้งการอาราธนาใช้บูชา




    </TD></TR><TR><TD class=type colSpan=2 height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>





    </TD></TR><TR><TD class=type colSpan=2 height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • r21_1.jpg
      r21_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.4 KB
      เปิดดู:
      119
    • r21_2.jpg
      r21_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.8 KB
      เปิดดู:
      154
    • r21_3.jpg
      r21_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42 KB
      เปิดดู:
      110
    • 21.jpg
      21.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.7 KB
      เปิดดู:
      113
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2009
  15. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    ลงภาพให้เห็น ของดีๆแบบละเอียดๆ เลยครับ....รับประกัน เก๊ ไม่ แท้ ...คืนเต็มๆ ครับ

    ให้ร่วมทำบุญ 16,000 บาท (ราคานี้ที่ศูยน์ ใหญ่ คงยากครับ เพราะ สภาพ สวยมาก )

    ***ผมหวังว่า วัตถุมงคล เหล่านี้ จะมีท่านผู้เป็นเจ้าของตัวจริง มาร่วม ทำบุญด้วย น่ะครับ***
    อนุโมทนาบุญด้วย ทุกประการ
    ศิษย์ปลายแถว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • r21_4.jpg
      r21_4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42 KB
      เปิดดู:
      57
    • r21_5.jpg
      r21_5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.3 KB
      เปิดดู:
      62
    • r21_6.jpg
      r21_6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.8 KB
      เปิดดู:
      62
    • r21_8.jpg
      r21_8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.8 KB
      เปิดดู:
      53
    • r21_11.jpg
      r21_11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.4 KB
      เปิดดู:
      91
    • ansPic-41173-1[1].jpg
      ansPic-41173-1[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.6 KB
      เปิดดู:
      56
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2009
  16. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    เชิญ ทุกๆท่านน่ะครับ มาช่วยกันสร้าง พระมหามลฑป ที่หลวงพ่อได้ ร่วมสร้าง ไว้ น่ะครับ....ตอนนี้ผมอยากให้งานได้ดำเนินต่อไป อย่างไม่ติดขัด (เพราะเมื่อช่วงที่เศรษฐกิจ ทำท่าไม่ดี ก็ สะดุด ไปช่วงนึง...ตอนนี้พอสะสาง เรื่องงานแล้วก็ มางานที่ คั่งค้างให้แล้วเสร็จครับ...)

    รายการที่ 4 ครับ เหรียญของขวัญวันเกิด รุ่น 2 สภาพ สวยครับ
    ให้ร่วมทำบุญ 2000 บาท (โปรดช่วยค่าส่ง 50บาท)

    พี่พัฒนา ร่วมทำบุญแล้วครับ

    อานุภาพ
    ๑. ป้องกันอันตราย
    ๒. ผู้ทำคุณไสยมาจะย้อนกลับไปหาเจ้าของ
    ๓. ศัตรูทำอันตรายยาก
    ๔. เมื่อปลุกเสมอ อย่าแช่งคนอื่น เพราะจะเป็นไปตามนั้น
    ๕. ทำน้ำมนต์ กินคลอดบุตรง่าย และรักษาโรค
    ๖. ติดตัวไว้จะไม่มีอันตรายจากยาพิษ เมื่อบังเอิญกินยาพิษเข้าไป จะมีอาการมึนงงราว 1 ชั่วโมง แล้วจะหายไปเอง
    ๗. เมตตามหานิยม
    ๘. กันรังสีต่างๆ
    ๙. กันโรคระบาด ถ้ามีโรคระบาดเกิดขึ้นให้ใส่บาตรอุทิศกุศลให้ท่านท้าวมหาชมภู แล้วจะพ้นภัย
    เหรียญนี้ ๑ องค์คุ้มกันได้ทั้งบ้าน
    วิธีทำน้ำมนต์ ให้เอาเหรียญวางใกล้ขันน้ำ แล้วอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา มีหลวงพ่อปานวัดบางนมโคและหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด แล้วอธิฐานตามต้องการเสร็จแล้วเอาพระจุ่มน้ำแล้วเอาขึ้น

    ***เหรียญนี้ ต้องบอกตามตรงว่า ผมมี ประสบการณ์ ตรงมาแล้ว คือเรื่อง แตนต่อยแต่ไม่เป็นไร ครับซึ่งเคยลงในเวปพลังจิต..เรื่องประสบการณ์ มาแล้ว ***
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2009
  17. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    รายการพิเศษ ที่5 ครับ มีดหมอวัดโขงขาว เล่มนี้เป็นเล่มเดียว และ สุดท้ายของผมแล้วครับ....

    ตามประวัติหลวงพ่อปลุกเสก ให้หลายวาระ พร้อมทั้ง ครูบาอาจารย์ ทางเหนือ อีกด้วยเช่น หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ษาพัตนาครับ

    ***ให้ร่วมทำบุญ 1000 บาท โปรด ช่วยค่าส่ง 50บาท ด้วยน่ะครับ ***
    (เล่มนี้ใช้รูปแทนน่ะครับ...เล่มจริงสวยเหมือนกัน แถมใบ คาถาการใช้งานจากวัดด้วย ครับ)

    พี่พัฒนาร่วมทำบุญแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2009
  18. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    รายการพิเศษ ที่6 ครับ สมเด็จองค์ปฐม รุ่น2 (เลี่ยมเงิน ยกซุ้มอย่างดีครับ...มีอยู่องค์เดียวครับ)

    ***รายการนี้ของดให้ร่วมทำบุญ ก่อนน่ะครับ ***

    ปล.พระ หลวงปู่ปาน ด้านขวาไม่เกี่ยวน่ะครับ พอดีรูป ภาพ ติดมา(ยังไม่ออกให้ทำบุญ จ๊ะ)


    สมเด็จองค์ปฐมรุ่น.2 วัดท่าซุง สร้างกรกฎาคม 2535 หลวงพ่อท่านเล่าว่า สมเด็จองค์ปฐมท่านลงมาพุทธาภิเษก พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ลงมาหมดทั้งพระนิพพาน ถึงเวลาพุทธาภิเษกด้านลาภ พระพุทธเจ้าด้านลาภมากที่สุดคือพระพุทธกัสสป พระพุทธทีปังกรท่านมาด้านหน้า ท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่าพระสีวลีพระอรหันต์ที่มีลาภมากยังไปไกลมากมองไม่เห็นเลยตลาดอุทัยธานีไปอีก หมายถึงท่านใดมีลาภมากก็จะอยู่ด้านหน้า ซึ่งวัดกับตลาดอุทัยห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตร ตอนปลุกเสกอยู่ๆไฟฟ้าในวิหารร้อยเมตรก็เกิดไฟดับชั่วอึดใจ หลวงพ่อท่านพูดว่าช่วงนั้นกำลังปลุกเสก ท่องคาถาเรื่องการพลางตัวให้ศัตรูมองไม่เห็น.... ปัจจุบันถือว่าหายากแล้วครับ สร้างเพียง 10000 องค์เศษเท่านั้น


    รายการนี้ บอกตรงๆว่าไม่ค่อยอยาก ออกเลย...ปรึกษาพี่กระพี้(พี่แก้ว) แล้วก็บอกให้เก็บไว้ก่อน แต่ด้วยงานที่ ต้องใช้ตังค์ และ ที่สำคัญ สต๊อกผมก็ ไม่ค่อยเยอะ เท่าไหร่ครับ ก็เลยจำเป็นต้องลง ให้ท่านผู้มีศรัทธา มาช่วยกัน


    อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วย น่ะครับ
    ศิษย์ปลายแถว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2009
  19. ศิษย์ปลายแถว

    ศิษย์ปลายแถว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    6,114
    ค่าพลัง:
    +25,994
    ***ยังมีวัตถุ มงคล หลวงพ่อ และ พระสุปฎิปัญโน ในสายหลวงพ่ออีก หลายๆ องค์ ที่ จะไปค้นมาให้ร่วมทำบุญอีก ครับ เช่น ครูบาพรหมจักร รักษา / ครูบาชัยวงศ์ษาพัฒนา / ครูบาชุ่ม โดยเฉพาะ ตะกรุดหนังลูกควายเผือก ตายพราก ครับ...เป็นของดีๆ ที่พลาดไม่ได้ แต่ขอเวลาถ่ายรูป ก่อนน่ะครับ ***

    ปล.ด้วย ภาวะเศรษฐกิจ แบบ นี้มีโปรแกมให้ ผ่อนได้น่ะครับ ติดต่อ ต่อรอง ได้ทาง โทรศัพท์ และ PM...

    อนุโมทนาบุญด้วยทุกๆประการ
    ศิษย์ปลายแถว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2009
  20. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    2 วันทำการนะครับ6/05/09
    7/05 =1วัน
    8/05 9/05 10/05 หยุด
    11/05 =2วันทำการครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...