พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>คาดแนวโน้มบาทแข็งค่าแตะ 33 หาก ศก.ปลายปี 52 ฟื้นตัว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 กรกฎาคม 2552 10:25 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>กสิกรฯ คาดเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าถึง 33 บาท ภายในปลายปีนี้ หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวตามคาด พร้อมยอมรับค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย ชี้ ปัจจัยหนุนจากการแข็งค่าของเงินหยวน และเงินสกุลหลักในภูมิภาค

    บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า เงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆ แต่เงินบาทจะมีอัตราการแข็งค่าที่มากกว่าสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียโดยเปรียบเทียบ โดยเงินบาทซึ่งแข็งค่าขึ้นประมาณ ร้อยละ 2.3 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 นับเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากสุดเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชีย รองจากเงินรูเปียห์อินโดนีเซีย ที่แข็งค่าร้อยละ 6.4

    สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในกรณีฐาน ซึ่งสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยและเศรษฐกิจโลก มีสัญญาณเชิงบวกออกมามากขึ้น น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนกระแสการกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพื่อแสวงหาแหล่งลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า ประกอบกับแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจเอเชีย รวมทั้งเศรษฐกิจไทย ก็อาจทำให้เงินบาทมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นได้ตามกระแสความแข็งแกร่งของเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ

    นอกจากนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียโดยรวม ที่อาจทยอยเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจมาพร้อมๆ กับแนวโน้มขาขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในช่วงปลายปี 2552 ซึ่งก็อาจทำให้มีความเป็นได้ว่า ธนาคารกลางประเทศในเอเชีย นำโดย ธนาคารกลางจีน จะเป็นธนาคารกลางแห่งแรกๆ ที่ต้องดำเนินการคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งกระแสการคาดการณ์ต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจเกิดขึ้นก่อนทางฝั่งเศรษฐกิจแกนหลักของโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ จี3 ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น โดยภายใต้กรณีฐาน

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงินบาทอาจปรับตัวโน้มไปในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆ โดยที่เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ และหากแรงหนุนยังคงมีความต่อเนื่อง เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นไปที่ระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ในช่วงปลายปี 2552

    แต่สำหรับกรณีเลวร้าย ยังคงมีความเป็นไปได้ว่า สัญญาณเชิงบวกของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่ปรากฏขึ้นนั้น อาจไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะผ่านพ้นจุดเลวร้ายที่สุดของวิกฤตมาแล้วก็ตาม อาจทำให้เศรษฐกิจอื่นๆ ในเอเชีย รวมทั้งไทย ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการฟื้นตัว ซึ่งภายใต้สถานการณ์นี้ ค่าเงินเอเชียบางสกุล ซึ่งอาจหมายความรวมถึงค่าเงินบาท อาจไม่สามารถขยับแข็งค่าได้มากนักเนื่องจากความอ่อนแอของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยสำหรับในกรณีเลวร้ายนี้ ก็มีโอกาสที่เงินบาทจะปรับตัวในกรอบที่อ่อนค่ากว่าระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์

    ดังนั้น สัญญาณเชิงบวกของเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป ยังคงต้องถูกประเมินอย่างรอบคอบ เนื่องจากเครื่องชี้เศรษฐกิจเหล่านั้น ไม่เพียงจะบ่งชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการและลักษณะของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่ยังคงสะท้อนถึงแนวโน้มกระแสการไหลเวียนเงินลงทุนในตลาดเงิน-ตลาดทุนโลก ซึ่งก็อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน ดังนั้น เสถียรภาพและศักยภาพในการแข่งขันของค่าเงินบาท ก็อาจเป็นประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากความแข็งแกร่งของพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย ที่อาจทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายของวิกฤตในรอบนี้ไปแล้ว


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พุทธันดร [​IMG]
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พุทธันดร [​IMG]
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    วันนี้ ผมและผบทบ.ผมได้ร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคี ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง จำนวน 200 บาท

    โมทนาสาธุครับ
     
  3. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    เมื่อเช้า

    ผมร่วมกับผู้บริหารและพนักงานได้ถวายเทียนเข้าพรรษา และปัจจัยต่างๆ ที่วัดในอำเภอบางปะอิน จำนวน 2 วัด เมื่อถวายเทียนวัดสุดท้าย ท่านเจ้าอาวาส ได้กล่าวถึง เรื่อง เวรกรรม ที่มีอยู่จริง ท่านเล่าว่าเมื่อก่อนตอนที่ท่านเป็นเด็กนักเรียนท่านได้ทำบาป ไว้มาก และท่านกำลังชดใช้อยู่ในขณะนี้ (มีหลายอย่างที่ท่านเล่า) ไว้มีโอกาสจะเล่าให้ทุกท่านชมรมรักษ์พระวังหน้า ที่สนใจฟัง ท่านยังฝากบอกทุกคน เรื่องบาป บุญ มีจริง ให้เร่งทำความดี
     
  4. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    โมทนาสาธุ ครับ

    พรุ่งนี้ผมและครอบครัวว่าจะร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคี ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง อีกครับ

    และจะทำเรื่อยๆๆๆๆไป ทุกครั้งที่มีโอกาสครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน

    เนื่องจากเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้พระภิกษุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีอาหารได้ฉัน หรือเครื่องใช้ต่างๆ

    วันพรุ่งนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา ผมขอเชิญชวนทุกๆท่าน ไปร่วมงานบุญที่วัดพระราม 9 หรือ วัดราชาธิวาส เพราะทั้งสองวัด จะเป็นวัดที่เป็นหน่วยงานกลางในการช่วยเหลือพระภิกษุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

    หรือ ลองโทร.สอบถามที่เบอร์ 0-2668-7988 (ผมได้มาจากรายการ(น่าจะเป็นรายการร่วมมือร่วมใจ) สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย) ครับ

    .
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เมื่อวานผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวและทำบุญที่วัดกลางคลองข่อย อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เป็นวัดที่ไปไม่ยากแต่จากถนนใหญ่เพชรเกษม ประมาณ 20 กม.จาก บิ๊กซีราชบุรี บรรยากาศโดยรอบดีมากครับ วัดอยู่ติดริมแม่น้ำแม่กลองงดงามมากครับ ผมเลยหามาฝากตามนี้ครับ
    <TABLE id=table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=780 background=images/bg.jpg height=450><TABLE width=743 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=table2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=740 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top height=470><TABLE class=MsoNormalTable id=table8 style="WIDTH: 100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=580 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top bgColor=#d9f2ff>วัดกลางคลองข่อย

    </TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top>[​IMG]วัดกลางคลองข่อย ก่อสร้างในสมัยรัชกาลใดไม่มีผู้ใดทราบ สันนิษฐานว่าอาจจะสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เพราะจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโส เดิมวัดนี้หันหน้าไปทางแม่น้ำเพราะการเดินทางจะใช้แม่น้ำเป็นหลัก ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๐ ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง แต่เป็นวัดที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี ได้เคยธุดงค์มาบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน และจัดสร้างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้น ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูน สูง ๑๖ ศอก ๑ องค์ วัดกลางได้รับการพัฒนาและบูรณะมาโดยตลอด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ เขตวิสุงคาสีมา กว้าง ๑๑.๙๐ เมตร ยาว ๒๖.๘๐ เมตร การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาส เท่าที่ทราบนาม คือ รูปที่ ๑ พระเดช รูปที่ ๒พระเอี่ยม รูปที่ ๓พระโชติ รูปที่ ๔ พระนวม รูปที่ ๕ พระนวม รูปที่ ๖ พระอวน รูปที่ ๗ พระอธิการพวน รูปที่ ๙ พระครูสถิตสมณวัตร พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๕๔๖ รูปที่ ๙ พระครูสังฆรักษ์สุเทพ สุเทโว พ.ศ. ๒๕๔๖ ถึงปัจจุบัน

    ณ วัดแห่งนี้สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้สร้างพระพุทธรูปยืน บางอุ้มบาตร ซึ่งมีปรากฏไว้ในบันทึกสมัยรัตนโกสินทร์ว่า ในช่วง พ.ศ. ๒๓๗๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตอนปลาย สมเด็จฯ ท่านได้เสด็จโดยเรือมาทางน้ำจนถึงบริเวณบางแขยงอันเป็นที่ตั้งของวัดกลาง ซึ่งสมัยนั้นมีอธิการอวนดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส สมเด็จฯท่านได้เสด็จจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้และได้สร้างพระพุทธรูปขึ้น โดยหันหน้าสู่แม่น้ำให้เหล่าเทพเทวาและมนุษย์สักการะประจำทางด้านทิศตะวันตก การก่อสร้างพระพุทธรูปครั้งนี้ท่านได้อธิฐานจิตนั่งทำสมาธิพิจารณาสถานที่ก่อสร้างพระประจำทิศ ณ ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ (ปัจจุบันต้นโพธิ์ยังอยู่และเล่าลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก) ในขั้นตอนการสร้างพระพุทธรูปสันนิษฐานว่าท่านคงสร้างเป็นปางไสยาสน์ (พระนอน) มากกว่าเพราะ ในวิหารหลังพระพุทธรูปยืนซึ่งปัจจุบันรื้อทิ้งไปหมดแล้ว และกำลังบูรณะก่อสร้างใหม่ ภายในวิหารมีภาพพระพุทธรูปนอนเป็นหลักฐาน แต่เนื่องจากบริเวณเนื้อที่ก่อสร้างไม่เพียงพอ จึงเปลี่ยนมาเป็นการสร้างพระยืนแทน เพราะมีรอยแนวการเรียงอิฐอยู่ ประกอบสมัยนั้นวัดเป็นป่ารกชัฏ ไม่มีคนช่วยถากถาง ท่านจึงได้เอาเงินโปรยหว่านไปทั่วบริเวณป่า พอชาวบ้านรู้ว่ามีพระเอาเงินมาหว่านในป่าก็เลยพากันมาถางป่าเพื่อหาเงิน จึงทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นที่โล่งเตียนจนได้สร้างพระพุทธรูปยืนสำเร็จ ว่ากันว่าเป็นเงินตราเก่าๆด้วย และในตอนที่จะสร้างพระนี้ ท่านต้องการไม้ไผ่ เผอิญมีผู้ล่องแพไม้ไผ่มาทางนั้น ท่านไม่มีเงิน จึงไปที่ต้นโพธิ์บริเวณนั้น ก็ได้เงินมาซื้อไม้ไผ่ตามประสงค์ ส่วนต้นโพธิ์นั้นในปัจจุบันนี้ยังมีปรากฏอยู่

    กล่าวถึงพระพุทธรูปยืน ที่สมเด็จฯท่านได้สร้างไว้ แกนกลางขององค์พระมีเสาไม้ตะเคียนทั้งต้น จำนวน๔ ต้น เป็นแกนกลางอยู่ภายใน แล้วก็ทำการก่ออิฐถือปูน แต่สมเด็จโตท่านได้สร้างไม่เสร็จ สร้างได้เหียงแค่คอท่านนั้น แต่ให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างต่อกันเอง กาลเวลาผ่านไป พระโตนี้ชำรุดหักพัง (พระเศียรแตกร้าว พระกรทั้งสองข้างหัก) พระอาจารย์อวน พฺรหฺมสโร วัดมหาธาตุกรุงเทพฯ ซึ่งมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในถิ่นนั้น ย้ายมาอยู่วัดกลาง ได้เป็นประธานจัดการบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๔๗๔ จนกระทั่งการบูรณะครั้งสุดท้ายเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๑๖

    จากคำบอกเล่าของครูสังฆรักษ์สุเทพ สุเทโว เจ้าอาวาสวัดกลางคลองข่อย ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรที่สมเด็จโตท่านได้สร้างไว้ ไว้ดังนี้

    เมื่อสมัยก่อนแม่น้ำแม่กลองที่อยู่ด้านหน้าวัดเป็นเส้นทางสัญจรที่สำคัญ โดยเฉพาะเป็นเส้นทางเดินเรือสำเภาของชาวจีน ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งเรือสำเภาของชาวจีนล่องมาถึงที่หน้าวัด เกิดติดอะไรก็หาได้ทราบไม่ จะเป็นทรายหรือสันดรก็หาได้ทราบไม่ เอาเรือมาฉุดลากก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ออกไปได้ ในขณะนั้นตรงหน้าวัดมีกอไผ่ขึ้นอยู่หนามาก ประกอบกับช่วงนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้กอไผ่เอนไปมาจนกระทั่งเห็นใบหน้าของพระพุทธรูปยืนอย่างชัดเจน เจ้าของเรือจึงยกมือไหว้กราบขอบารมีท่านให้เรือสามารถแล่นออกไปได้ แล้วจะจุดประทัดถวาย หลังจากนั้นเรือก็สามารถเลื่อนออกไปได้เองราวกับปาฏิหาริย์ โดยไม่มีการใช้เรือฉุดลากทั้งสิ้น พ่อค้าชาวจีนคนนั้นจึงได้จุดประทัดถวายท่าน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเรือทุกลำที่แล่นผ่านมายังหน้าวัดกลางคลองข่อยแห่งนี้จึงต้องจุดประทัดถวายทุกลำ ดังนั้นเสียงประทัดที่จุดถวายพระพุทธรูปยืนจึงได้ ยินเกือบทั้งวัน

    นอกจากนี้ก็ยังมีพวกพ่อค้ามาบนขอลูก ซึ่งเมื่อกลับไปแล้วก็ได้ลูกดังประสงค์ มีอยู่ครอบครัวหนึ่งมาบนขอลูกกับองค์หลวงพ่อ ได้ลูกสาว ๔-๕ คน แล้วครอบครัวนั้นก็มาทำการอาบน้ำให้กับองค์หลวงพ่อพระยืนองค์นี้ จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ครอบครัวนี้ก็ยังมาทำบุญกับทางวัดและกับหลวงพ่อโตอย่างไม่ขาดสาย แต่ให้ลูกสาวมาแทน เนื่องจากว่ามารดามีอายุมากเดินทางมาไม่สะดวก

    ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้คนให้ความเคารพเดินทางมาสักการบูชา เนื่องจากในความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อ เวลาจะมาบนอะไรท่านก็มักจะจุดประทัดถวาย หรือ หากครอบครัวใดมีฐานะก็จะบนเป็นภาพยนตร์โดยเฉพาะ ภาพยนตร์อินเดียจะได้ตามความตั้งใจปรารถนาดีนักแล

    [​IMG]ภายในศาลาการเปรียญในปัจจุบันนี้ยังมีโบราณวัตถุที่มีความสำคัญอีก ๒ สิ่งคือ รูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มีอยู่ด้วยกัน ๒ องค์ องค์ใหญ่หล่อด้วยเนื้อทองเหลืองหน้าตักกว้างประมาณ ๑ เมตร และรูปหล่อองค์เล็กของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ หล่อจากดินเจ็ดป่าช้า หน้าตักกว้างประมาณ ๕๐ ซ.ม. รูปหล่อทั้งสององค์หล่อที่วัด แต่องค์เล็กหล่อก่อนแล้วจึงหล่อองค์ใหญ่ตามมา เป็นรูปหล่อโบราณ

    นอกจากนี้ทางวัดยังได้กำลังจัดสร้างพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี โดยสร้างตรงบริเวณที่เป็นพระอุโบสถเก่า ภายนอกได้นำอิฐจากโบสถ์เก่ามาประดับไว้ทางด้านนอกของตัวพิพิธภัณฑ์ อิฐ ที่นำมาสร้างเป็นพระอุโบสถนั้นเป็นอิฐที่สมเด็จท่านสั่งเตาเผามาเองซึ่งอยู่ บริเวณต้นโพธิ์ในปัจจุบัน ส่วนภายในเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสมัยใหม่

    การเดินทาง
    การเดินทางมายังวัดกลางคลองข่อยนี้ ใช้ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข ๔ ) ไปทางจังหวัดราชบุรี เมื่อถึงสี่แยกที่จะเข้าตัวเมืองราชบุรี ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๐๙๐ ไปทางบ้านเจ็ดเสมียน ระยะทางประมาณ ๑๐ ก.ม. ถึงสามแยกเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังบ้านเจ็ดเสมียน ประมาณ ๓ ก.ม. เมื่อถึงตัวบ้านเจ็ดเสมียนแล้วก็ข้ามทางรถไฟ เลี้ยวขวาตรงหน้าวัดเจ็ดเสมียน ไปตามทางหลวง ๓๓๐๘ ระยะทาง ๗ ก.ม. วัดจะอยู่ทางด้านซ้ายมือติดกับแม่น้ำแม่กลอง


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>ขอบคุณข้อมูลจาก องค์การบริหารส่วนตำบลคลองข่อย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=780 background=images/bottom.jpg height=33></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตามรอยสมเด็จโต4
    ��������������4 �ҡ���͡ ����๪��� oknation.net


    สวัสดีครับชาว Blog ทุกท่าน เรามาตามรอยสมเด็จกันต่อดีกว่าครับ

    7. วัดกลางคลองข่อย

    วัดกลางคลองข่อย ตั้งอยู่เลขที่ ๘๒ หมู่ ๔ ตำบลคลองข่อย อำเภอโพธาราม

    [​IMG]

    จังหวัดราชบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๑๑ ไร่ อาณาเขต ทิศเหนือ ทิศใต้และทางทิศตะวันออก จดทางสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตกจดแม่น้ำแม่กลอง อาคารเสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถ กว้าง ๑๑.๙๐ เมตร ยาว ๒๖.๓๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ศาลาการเปรียญกว้าง ๑๔ เมตร ยาว ๒๘ เมตร เป็นอาคารคอนกรีต กุฏิสงฆ์ จำนวน ๑ หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ วิหารกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๒.๔๐ เมตร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ศาลาบำเพ็ญกุศล จำนวน ๑ หลัง สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ปูชนียวัตถุ มีพระประธานประจำอุโบสถ และพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร โดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๙๐

    วัดกลางคลองข่อยนี้ ก่อสร้างในสมัยรัชกาลใดไม่มีผู้ใดทราบ สันนิษฐานว่าอาจจะสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เพราะจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโส เดิมวัดนี้หันหน้าไปทางแม่น้ำเพราะการเดินทางจะใช้แม่น้ำเป็นหลัก ตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๐ ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง แต่เป็นวัดที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี ได้เคยธุดงค์มาบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน และจัดสร้างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้น ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูน สูง ๑๖ ศอก ๑ องค์ วัดกลางได้รับการพัฒนาและบูรณะมาโดยตลอด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ เขตวิสุงคาสีมา กว้าง ๑๑.๙๐ เมตร ยาว ๒๖.๘๐ เมตร การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาส เท่าที่ทราบนาม คือ รูปที่ ๑ พระเดช รูปที่ ๒พระเอี่ยม รูปที่ ๓พระโชติ รูปที่ ๔ พระนวม รูปที่ ๕ พระนวม รูปที่ ๖ พระอวน รูปที่ ๗ พระอธิการพวน รูปที่ ๙ พระครูสถิตสมณวัตร พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๕๔๖ รูปที่ ๙ พระครูสังฆรักษ์สุเทพ สุเทโว พ.ศ. ๒๕๔๖ ถึงปัจจุบัน

    ณ วัดแห่งนี้สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้สร้างพระพุทธรูปยืน บางอุ้มบาตร ซึ่งมีปรากฏไว้ในบันทึกสมัยรัตนโกสินทร์ว่า ในช่วง พ.ศ. ๒๓๗๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตอนปลาย สมเด็จฯ ท่านได้เสด็จโดยเรือมาทางน้ำจนถึงบริเวณบางแขยงอันเป็นที่ตั้งของวัดกลาง ซึ่งสมัยนั้นมีอธิการอวนดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส สมเด็จฯท่านได้เสด็จจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้และได้สร้างพระพุทธรูปขึ้น โดยหันหน้าสู่แม่น้ำให้เหล่าเทพเทวาและมนุษย์สักการะประจำทางด้านทิศตะวันตก การก่อสร้างพระพุทธรูปครั้งนี้ท่านได้อธิฐานจิตนั่งทำสมาธิพิจารณาสถานที่ก่อสร้างพระประจำทิศ ณ ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ (ปัจจุบันต้นโพธิ์ยังอยู่และเล่าลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก) ในขั้นตอนการสร้างพระพุทธรูปสันนิษฐานว่าท่านคงสร้างเป็นปางไสยาสน์ (พระนอน) มากกว่าเพราะ ในวิหารหลังพระพุทธรูปยืนซึ่งปัจจุบันรื้อทิ้งไปหมดแล้ว และกำลังบูรณะก่อสร้างใหม่ ภายในวิหารมีภาพพระพุทธรูปนอนเป็นหลักฐาน แต่เนื่องจากบริเวณเนื้อที่ก่อสร้างไม่เพียงพอ จึงเปลี่ยนมาเป็นการสร้างพระยืนแทน เพราะมีรอยแนวการเรียงอิฐอยู่ ประกอบสมัยนั้นวัดเป็นป่ารกชัฏ ไม่มีคนช่วยถากถาง ท่านจึงได้เอาเงินโปรยหว่านไปทั่วบริเวณป่า พอชาวบ้านรู้ว่ามีพระเอาเงินมาหว่านในป่าก็เลยพากันมาถางป่าเพื่อหาเงิน จึงทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นที่โล่งเตียนจนได้สร้างพระพุทธรูปยืนสำเร็จ ว่ากันว่าเป็นเงินตราเก่าๆด้วย และในตอนที่จะสร้างพระนี้ ท่านต้องการไม้ไผ่ เผอิญมีผู้ล่องแพไม้ไผ่มาทางนั้น ท่านไม่มีเงิน จึงไปที่ต้นโพธิ์บริเวณนั้น ก็ได้เงินมาซื้อไม้ไผ่ตามประสงค์ ส่วนต้นโพธิ์นั้นในปัจจุบันนี้ยังมีปรากฏอยู่


    [​IMG][​IMG]



    กล่าวถึงพระพุทธรูปยืน ที่สมเด็จฯท่านได้สร้างไว้ แกนกลางขององค์พระมีเสาไม้ตะเคียนทั้งต้น จำนวน๔ ต้น เป็นแกนกลางอยู่ภายใน แล้วก็ทำการก่ออิฐถือปูน แต่สมเด็จโตท่านได้สร้างไม่เสร็จ สร้างได้เหียงแค่คอท่านนั้น แต่ให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างต่อกันเอง กาลเวลาผ่านไป พระโตนี้ชำรุดหักพัง (พระเศียรแตกร้าว พระกรทั้งสองข้างหัก) พระอาจารย์อวน พฺรหฺมสโร วัดมหาธาตุกรุงเทพฯ ซึ่งมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในถิ่นนั้น ย้ายมาอยู่วัดกลาง ได้เป็นประธานจัดการบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๔๗๔ จนกระทั่งการบูรณะครั้งสุดท้ายเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๑๖








    ภาพถ่ายเก่าก่อนมีการบูรณะ หลวงพ่อโต วัดกลางคลองข่อย ถ่ายเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓​


    จากคำบอกเล่าของครูสังฆรักษ์สุเทพ สุเทโว เจ้าอาวาสวัดกลางคลองข่อย ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรที่สมเด็จโตท่านได้สร้างไว้ ไว้ดังนี้

    เมื่อสมัยก่อนแม่น้ำแม่กลองที่อยู่ด้านหน้าวัดเป็นเส้นทางสัญจรที่สำคัญ โดยเฉพาะเป็นเส้นทางเดินเรือสำเภาของชาวจีน ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งเรือสำเภาของชาวจีนล่องมาถึงที่หน้าวัด เกิดติดอะไรก็หาได้ทราบไม่ จะเป็นทรายหรือสันดรก็หาได้ทราบไม่ เอาเรือมาฉุดลากก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ออกไปได้ ในขณะนั้นตรงหน้าวัดมีกอไผ่ขึ้นอยู่หนามาก ประกอบกับช่วงนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้กอไผ่เอนไปมาจนกระทั่งเห็นใบหน้าของพระพุทธรูปยืนอย่างชัดเจน เจ้าของเรือจึงยกมือไหว้กราบขอบารมีท่านให้เรือสามารถแล่นออกไปได้ แล้วจะจุดประทัดถวาย หลังจากนั้นเรือก็สามารถเลื่อนออกไปได้เองราวกับปาฏิหาริย์ โดยไม่มีการใช้เรือฉุดลากทั้งสิ้น พ่อค้าชาวจีนคนนั้นจึงได้จุดประทัดถวายท่าน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเรือทุกลำที่แล่นผ่านมายังหน้าวัดกลางคลองข่อยแห่งนี้จึงต้องจุดประทัดถวายทุกลำ ดังนั้นเสียงประทัดที่จุดถวายพระพุทธรูปยืนจึงได้ ยินเกือบทั้งวัน

    นอกจากนี้ก็ยังมีพวกพ่อค้ามาบนขอลูก ซึ่งเมื่อกลับไปแล้วก็ได้ลูกดังประสงค์ มีอยู่ครอบครัวหนึ่งมาบนขอลูกกับองค์หลวงพ่อ ได้ลูกสาว ๔-๕ คน แล้วครอบครัวนั้นก็มาทำการอาบน้ำให้กับองค์หลวงพ่อพระยืนองค์นี้ จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ครอบครัวนี้ก็ยังมาทำบุญกับทางวัดและกับหลวงพ่อโตอย่างไม่ขาดสาย แต่ให้ลูกสาวมาแทน เนื่องจากว่ามารดามีอายุมากเดินทางมาไม่สะดวก

    ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้คนให้ความเคารพเดินทางมาสักการบูชา เนื่องจากในความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อ เวลาจะมาบนอะไรท่านก็มักจะจุดประทัดถวาย หรือ หากครอบครัวใดมีฐานะก็จะบนเป็นภาพยนตร์โดยเฉพาะ ภาพยนตร์อินเดียจะได้ตามความตั้งใจปรารถนาดีนักแล

    ภายในศาลาการเปรียญในปัจจุบันนี้ยังมีโบราณวัตถุที่มีความสำคัญอีก ๒ สิ่งคือ รูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มีอยู่ด้วยกัน ๒ องค์ องค์ใหญ่หล่อด้วยเนื้อทองเหลืองหน้าตักกว้างประมาณ ๑ เมตร และรูปหล่อองค์เล็กของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ หล่อจากดินเจ็ดป่าช้า หน้าตักกว้างประมาณ ๕๐ ซ.ม. รูปหล่อทั้งสององค์หล่อที่วัด แต่องค์เล็กหล่อก่อนแล้วจึงหล่อองค์ใหญ่ตามมา เป็นรูปหล่อโบราณ

    นอกจากนี้ทางวัดยังได้กำลังจัดสร้างพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี โดยสร้างตรงบริเวณที่เป็นพระอุโบสถเก่า ภายนอกได้นำอิฐจากโบสถ์เก่ามาประดับไว้ทางด้านนอกของตัวพิพิธภัณฑ์ อิฐที่นำมาสร้างเป็นพระอุโบสถนั้นเป็นอิฐที่สมเด็จท่านสั่งเตาเผามาเองซึ่งอยู่บริเวณต้นโพธิ์ในปัจจุบัน ส่วนภายในเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสมัยใหม่





    การเดินทาง

    การเดินทางมายังวัดกลางคลองข่อยนี้ ใช้ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข ๔ ) ไปทางจังหวัดราชบุรี เมื่อถึงสี่แยกที่จะเข้าตัวเมืองราชบุรี ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๐๙๐ ไปทางบ้านเจ็ดเสมียน ระยะทางประมาณ ๑๐ ก.ม. ถึงสามแยกเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังบ้านเจ็ดเสมียน ประมาณ ๓ ก.ม. เมื่อถึงตัวบ้านเจ็ดเสมียนแล้วก็ข้ามทางรถไฟ เลี้ยวขวาตรงหน้าวัดเจ็ดเสมียน ไปตามทางหลวง ๓๓๐๘ ระยะทาง ๗ ก.ม. วัดจะอยู่ทางด้านซ้ายมือติดกับแม่น้ำแม่กลอง
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำวัคซีนสู้หวัดลอตแรก3ล้านโด๊ส

    http://www.dailynews.co.th/newstartp...contentID=6314

    อภ.มั่นใจทันใช้ตุลา

    "สธ."เร่งทำความสะอาดห้องนักข่าวหลัง"หวัดพันธุ์ใหม่"ลาม"สามี-ลูก"นักข่าวช่อง 3 ลูกชายช่างภาพทีวี ติดเชื้อด้วย เผยพบผู้ติดเชื้ออีก 83 ราย ทำยอดพุ่งทะลุ 1,556 ราย นอน รพ. 24 ราย ส่วนที่เหลือหายเป็นปกติแล้ว “นายกฯ” ระบุวัคซีน 6 แสนชุด ถึงไทย ก.ย.-ต.ค.นี้ ด้าน “อภ.”คาด ผลิตวัคซีนหวัดสายพันธุ์ใหม่ได้ 2.5-2.8 ล้านโด๊ส ขณะที่ ศรีราชา พบผู้ติดเชื้ออีก 4 ราย เป็น นศ.ม.เกษตร-หมอ-เด็ก 6 ขวบ

    จากกรณีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิด เอ (เอช 1 เอ็น 1) แพร่ระบาดไปทุกทวีปทั่วโลก จนมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วกว่า 75,000 รายใน 120 ประเทศ เสียชีวิต 320 ศพ โดยองค์การอนามัยโลก (ฮู) ต้องประกาศยกระดับการเตือนภัยการแพร่ระบาดขึ้นสู่ระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 41 ปี ขณะที่ส่วนประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุข ประกาศขึ้นทะเบียนผู้ป่วยทั่วประเทศแล้วถึง 1,473 ราย โดยล่าสุดมีผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศสังเวยชีวิตไปแล้ว 5 ราย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

    ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 2 ก.ค. นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ในวันนี้ได้รับรายงานผู้ป่วยยืนยันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด เอ (เอช 1 เอ็น 1) ว่า เพิ่มอีก 83 ราย ในจำนวนนี้เป็นนักเรียน 68 ราย ผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ และอยู่ระหว่างการสอบสวนรายละเอียด 14 ราย รวมผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ฯ สะสมจำนวน 1,556 ราย มีผู้เสียชีวิต 5 รายเท่าเดิม ขณะนี้ยังรักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 24 ราย ส่วนที่เหลือหายเป็นปกติแล้ว

    นายมานิต กล่าวต่อว่า หลังจากที่มีผู้เสียชีวิต 5 ราย กระทรวงสาธารณสุขได้ประชุม ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปรับแผนบางส่วน โดยจะให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ที่มีผู้ป่วยมาก จัดทีมแพทย์รักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ และไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลด้วย รวมทั้งให้จัดทำช่องทางบริการพิเศษ เพื่อแยกจากผู้ป่วยรายอื่น ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ในช่วงแรกจะดำเนินการในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขกว่า 800 แห่งก่อน และจะขยายไปโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศต่อไป

    ด้าน นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข นักวิชาการแจ้งว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุใหม่ทั่วโลกจะยังระบาดไปอีกเป็นปีจึงจะสงบลงเนื่องจากครบรอบปีของการระบาด ส่วนประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุขจะยังรายงานยอดผู้ติดเชื้อไปเรื่อย ๆ

    ต่อมาเวลา 13.00 น. นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข ได้เดินทางไปยังสถาบันโรคทรวงอก เพื่อเยี่ยมอาการ นางนพขวัญ นาคนวล อายุ 40 ปี ผู้สื่อข่าวทีวีช่อง 3 ประจำกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ผอ. สถาบันโรคทรวงอก ให้การต้อนรับ โดยนายมานิตได้สวมชุดและใส่หน้ากากเข้าไปเยี่ยมในห้องผู้ป่วย ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ผู้สื่อข่าวรายนี้แข็งแรงดี มีอาการปกติแล้ว แต่เนื่องจากมีโรคประจำตัว คือ หอบ หืด ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป

    นางนพขวัญ กล่าวว่า อาการตอนนี้ไม่มีไข้แล้ว แต่ยังมีอาการไอ หอบเหนื่อย และมีเสมหะอยู่ กินยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์มา 3 วันแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ได้กลัวโรคนี้ เพราะอยู่ใน โรงพยาบาลและอยู่ในมือแพทย์ และได้รับการดูแลอย่างดี แต่ถ้าอยู่บ้านคงจะกลัวมากกว่าเพราะเป็นโรคหืดหอบด้วย โดยล่าสุดนอกจากสามีอายุ 41 ปี ที่มีอาการไข้ ไอ แล้ว ล่าสุด บุตรชายอายุ 13 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ได้มีอาการไข้ ไอ จาม เช่นเดียวกัน โดยครูได้นำขึ้นรถโรงเรียนเพื่อนำมาส่งที่สถาบันโรคทรวงอก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สามีของตนได้มาอยู่รวมที่ห้องเดียวกันแล้ว คาดว่าเมื่อบุตรชายมาถึงคงจะมาพักรักษาตัวที่ห้องเดียวกัน ทั้งนี้บุตรชายของตนอายุ 13 ปี สูงประมาณ 165 ซม. หนักประมาณ 68 กก. ค่อนข้างอ้วน ดังนั้นก็คงอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน

    สำหรับการเปิดเผยตัวว่าป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในครั้งนี้คิดว่าเป็นวิทยาทานแก่คนอื่น ๆ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจต้องปกปิด เพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์ แก่คนอื่น จะได้รู้จักวิธีป้องกันตัวเองไม่ให้ติด เชื้อ และเมื่อติดเชื้อแล้ว จะได้รู้จักวิธีการป้อง กันไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่คนอื่น อีกทั้งตนคิดว่าโรคนี้ไม่น่ากลัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ ทั้งนี้ตนมองว่า ผู้สื่อข่าวก็เป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน เพราะต้องไปทำข่าวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้ติดเชื้อ อย่างตนไม่ทราบว่าไปติดมาจากไหน โดยได้ลงไปทำสกู๊ปข่าวที่โรงเรียนที่มีผู้ติดเชื้อ ก็ไม่แน่ใจว่าติดเชื้อมาจากที่นั่นหรือไม่

    ขณะที่ช่างภาพทีวีช่องหนึ่ง เปิดเผยว่า ตามที่บุตรชายของตนรักษาตัวอยู่ที่สถาบันสุขภาพ เด็กแห่งชาติมหาราชินี โดยไปพบแพทย์ และนอนพักรักษาตัวอยู่ในเบื้องต้นแพทย์บอกว่าเป็นแค่หวัดธรรมดา จึงไม่ได้ให้ยาต้านไวรัส แต่เนื่องจากเด็กมีไข้สูง จึงได้มีการเก็บตัวอย่างไปตรวจซ้ำ ล่าสุดได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และเพิ่งจะได้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ นอกจากนี้ยังพบว่า มีอาการปอดอักเสบอีกด้วย

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงบ่ายวันเดียวกัน พนักงานทำความสะอาดของกระทรวงสาธารณสุขได้เข้ามาทำความสะอาดในห้องผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงสาธารณสุข โดยเช็ดถูพื้น อุปกรณ์ ต่าง ๆ ภายในห้อง เนื่องจากก่อนที่ผู้สื่อข่าวหญิงทีวีช่อง 3 จะป่วยได้เข้ามาทำข่าวและคลุกคลีอยู่ในห้องดังกล่าว

    ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ตัวเลขที่ เราติดตามอยู่จะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ส่วนวัคซีน ขณะนี้มีการดำเนินการในการจอง และคิดว่าจะเริ่มเข้ามาในระหว่างเดือน ก.ย.หรือ ต.ค.นี้ ซึ่งตามหลักสากลก็จะมีไว้ ประมาณร้อยละ 1 หรือประมาณ 6 แสนกว่า ชุด แต่เราจองไว้มากกว่านั้น ทั้งนี้ไม่น่ามีปัญหา การเข้าถึงยา อย่างไรก็ตาม ตนสั่งการให้ รมว. สาธารณสุข เตรียมแนวทางการจัดสรรเรื่องวัคซีนไว้แล้ว โดยต้องจัดสรรให้กลุ่มที่มีความจำเป็น พิเศษก่อน เช่น บุคลากรด้านสาธารณสุขที่ต้องไปสัมผัสกับคนจำนวนมากเป็นต้น

    ส่วน นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผอ.องค์ การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ทาง อภ. ได้รับนโยบายจาก รมว.สาธารณสุขให้เร่งดำเนินการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ หลังจากที่ได้ลงนามสัญญารับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากทางองค์การอนามัยโลก ซึ่งที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้ทุมงบประมาณ 1,400 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนขนาดใหญ่ และขณะนี้ทาง อภ.จะเริ่มทดลองผลิตวัคซีนต้นแบบที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จ.นคร ปฐม โดยในวันนี้ ทางคณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมระบบและโรงงานผลิตตามมาตรฐานจีเอ็มพี ที่ จ.นคร ปฐม ก่อนที่ไวรัสต้นแบบจากประเทศรัสเซียจะมาถึงไทยในวันที่ 12 ก.ค. นี้

    “หากไม่ติดขัดอะไร วัคซีนจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.-พ.ย. ปีนี้ และสามารถผลิตนำไปใช้กับผู้ป่วยได้ทันที แต่ทั้งนี้เพื่อให้จำนวนวัคซีนผลิตเพียงพอกับประชาชน ผู้บริหารกำลังประชุมเพื่อหาสถานที่อื่น ๆ เพื่อใช้ในการผลิตวัคซีนเพิ่ม นอกจากที่มหาวิทยาลัยศิลปากรที่สามารถผลิตได้เพียง 2.5-2.8 ล้านโด๊สต่อเดือน เพียงพอกับประชาชน 2 ล้านคน หากมีสถานที่อื่นช่วยผลิตคาดว่าจะสามารถผลิตได้ถึง 3 เท่า”

    ขณะที่บรรยากาศความเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่างจังหวัดหลายแห่งมีการตื่นตัวเร่งประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อลดการแพร่ระบาดโรค

    ส่วน จ.พระนครศรีอยุธยา พ.อ.อ.สุวัฒน์ สรรพโกศลกุล รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีอยุธยาพร้อมด้วย นางรัตนา เดชพันธุ์ หัวหน้างานป้องกันและควบคุมติดต่อกองสาธารณ สุขและสิ่งแวดล้อม นำเจ้าหน้าที่ของเทศบาลลงพื้นที่ทำความสะอาดโรงเรียนประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา ตามโครงการรณรงค์ป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในสถานศึกษา

    ด้าน รศ.ชัยวัฒน์ ชัยกุล รองอธิการ บดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เปิดเผยว่า มีนิสิตของมหาวิทยาลัยล้มป่วยเป็นโรค ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะพาณิชยนาวี ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแหลมฉบังอินเตอร์เนชั่นแนล เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ล่าสุดวันนี้ (2 ก.ค.) มีอาการดีขึ้น แพทย์อนุญาต ให้รับตัวกลับไปพักที่บ้านแล้ว โดยล่าสุดยังพบว่ามีนิสิตหญิง คณะทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เช่นกัน ขณะ นี้ถูกส่งไปรักษาตัวที่ห้องเก็บกักตัวดูอาการโรงพยาบาล พญาไท ศรีราชา

    ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีทันตแพทย์คนหนึ่งของ รพ.สมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โดยก่อนหน้านี้ได้ไปตรวจรักษาฟันคนไข้ที่ จ.นครสวรรค์ ก่อนกลับมาล้มป่วย นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีก 1 ราย เป็นเด็กหญิงวัย 6 ขวบ ซึ่งยังอยู่ในการเฝ้าระวังของแพทย์อย่างใกล้ชิด

    ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงปักกิ่งประเทศจีนว่า สำนักข่าวซินหัวสื่อมวลชนของทางรัฐบาลจีนแจ้งผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นรายแรกของประเทศจีน เป็นหญิงวัย 34 ปี พบเสียชีวิตเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่หอผู้ป่วยโรงพยาบาลประชา ชนหมายเลข 1 เมืองหางโจวมณฑลเจ้อเจียง ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วประเทศอยู่ที่ 867 ราย และที่ประเทศปารากวัยก็มีรายงานพบผู้ป่วยเสียชีวิตรายแรกเช่นกัน เป็นชายวัย 60 ปี แต่ทั่วประเทศมีผู้ป่วยติดเชื้อกว่า 100 ราย รวมถึงเกาะกวมดินแดนของสหรัฐในเขตมหาสมุทรแปซิฟิกก็พบผู้ป่วยติดเชื้อรายแรกเช่นกัน

    ขณะเดียวกันที่ประเทศออสเตรเลีย พบผู้ป่วยเสียชีวิตรายที่ 10 เป็นชายวัย 45 ปี เสียชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์ เวลส์ และมีผู้ป่วยติดเชื้อทั่วประเทศกว่า 4,568 ราย ด้านนิวซีแลนด์ก็มีผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 114 ราย รวมเป็น 825 รายแล้วในขณะนี้ ขณะที่อาร์เจนตินามีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 17 ศพ รวมเป็นทั้งหมด 43 ศพแล้ว ถือว่ารุนแรงที่สุดในซีกโลกใต้ แต่ผู้ป่วยติดเชื้อทั่วโลกตามรายงาน ขององค์การอนามัยโลก (ฮู) นั้น มีจำนวนกว่า 79,339 รายแล้ว และเสียชีวิตไปอย่างน้อย 337 ศพแล้ว

    ที่ รพ.ธนบุรี 1 เวลา 18.00 น. นายวิทยา รมว.สาธารณสุขเดินทางมาเยี่ยมผู้ป่วยที่ติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และเข้ารักษาตัวเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว มี นพ.ประสิทธิ เจียรกุล ผอ.ฝ่ายแพทย์ และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ โดยนายวิทยา กล่าวว่า หลังจากที่วันนี้ได้มาดูอาการล่าสุดของผู้ป่วยและได้พูดคุยกับทีมแพทย์แล้ว ปรากฏว่ามีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะเกือบเป็นปกติ คาดว่าอีกไม่เกิน 2 วัน น่าจะกลับบ้านได้ ส่วนในเรื่องสถานการณ์นั้นอยากให้ประชาชนต้องทำความเข้าใจว่าเกี่ยวกับไข้หวัดนี้ว่าคืออะไร และต้องตื่นตัวในการระวังป้องกันตนเองได้แล้ว

    นายวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงขาขึ้นของการแพร่ระบาด เนื่องจากอยู่ในช่วงหน้าฝน ด้วย ส่วนในเรื่องวัคซีน ถ้าเราผลิตเองไม่ได้ก็จะซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งจะได้ในช่วงเดือน ต.ค. นี้ ราคาประมาณ 300 บาทต่อหนึ่งเข็ม แต่ยังอยู่ในการควบคุม นอกจากนี้ยังขอเตือนไปทุกโรงพยาบาลว่าถ้ามีการแอบอ้างว่ามีวัคซีนป้องกันไข้หวัดชนิดนี้เพื่อการโฆษณา จะเอาผิดให้ถึงที่สุดฐานหลอกลวงประชาชน.

    บอร์ดอกาลิโก > อิ่มกาย อิ่มใจ > ศาสตร์สุขภาพแห่งการบำบัด
    มารู้จัก “ไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1” หรือ “เชื้อไวรัสไข้หวัดหมู”

     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หากจะไปทำบุญโดยการปล่อยเต่า ให้ศึกษาก่อนนะครับว่า เต่าที่ท่านจะไปปล่อยเป็นเต่าประเภทไหน ปกติที่รู้กันก็คือ เต่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แต่ยังมีเต่าบางประเภทที่เป็นเต่าบกโดยแท้ๆ ที่สำคัญต้องดูว่า สถานที่ๆเราจะไปปล่อยเต่า เป็นอย่างไร


    เต่า

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    เต่า - วิกิพีเดีย


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->เต่า
    ?

    [​IMG]

    การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[แสดง]
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY></TBODY></TABLE>​
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=80 bgColor=#f3f3f4>อาณาจักร</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>Animalia</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=80 bgColor=#f3f3f4>ไฟลัม</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>Chordata</TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=80 bgColor=#f3f3f4>ชั้น</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>Sauropsida</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top noWrap width=80 bgColor=#f3f3f4>อันดับ</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 3px; PADDING-BOTTOM: 0.4em; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 0.4em; TEXT-ALIGN: left" vAlign=top bgColor=#f9f9f9>Testudines

    <SMALL>Linnaeus, 1758</SMALL>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY></TBODY></TABLE>​

    ข้อมูลทั่วไป[แสดง]
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: auto; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 100%; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=246><TBODY></TBODY></TABLE>​

    ประมาณ 300 ชนิด ใน 14 วงศ์[แสดง]
    ประมาณ 300 ชนิด ใน 14 วงศ์

    ถิ่นอาศัย[แสดง]

    [​IMG]
    ตารางแสดงการกระจายพันธุ์ของสายพันธุ์เต่าทั่วโลก (สีน้ำเงิน = เต่าทะเล, สีดำ = เต่าบก)

    Suborders[แสดง]





    Pleurodira




    เต่า (อังกฤษ: Turtle) คือ สัตว์จำพวกหนึ่งในอันดับ (Order) Chelonia จัดอยู่ในจำพวกสัตว์เลือดเย็น และเป็น สัตว์เลื้อยคลานด้วย ซึ่งเต่านั้นถือเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยเต่าจะมีกระดูกที่แข็งคลุมบริเวณหลังที่เรียกว่า "กระดอง" ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะสามารถหดหัว ขา และหางเข้าในกระดองเพื่อป้องกันตัวได้ แต่เต่าบางชนิดก็ไม่อาจจะทำได้
    โดยมากแล้ว เต่า เป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ได้ช้า อาศัยและใช้ช่วงชีวิตหนึ่งอยู่ในน้ำ ซึ่งมีอาศัยทั้งน้ำจืด และทะเล แต่เต่าบางชนิดก็ไม่ต้องอาศัยน้ำเลย เรียกว่า "เต่าบก" ซึ่งเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เต่ายักษ์อัลดาบร้า (Geochelone gigantica) ที่อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะในทวีปแอฟริกา ในขณะที่เต่าน้ำ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เต่าอัลลิเกเตอร์ (Macrochelys temminckii) อาศัยอยู่ตามหนองน้ำในทวีปอเมริกาเหนือ

    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    [แก้] เต่าทะเล

    เป็นเต่าจำพวกหนึ่งที่ทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ในทะเลเพียงอย่างเดียว จะขึ้นมาบนบกก็เพียงแค่วางไข่เท่านั้น โดยที่เท้าทั้งสี่ข้างพัฒนาให้เป็นอวัยวะคล้ายครีบ ซึ่งเต่าทะเลทั่วโลกปัจจุบันมีทั้งหมด 8 ชนิด (Species) ใน 2 วงศ์ (Family) 5 สกุล (Genus) ได้แก่ เต่ากระ (Eretmochelys imbricata) , เต่าตนุ (Chelonia mydas) , เต่าตนุหลังแบน (Natator depressus) , เต่ามะเฟือง (Dermochelys coriacea) , เต่าหัวค้อน (Caretta caretta) , เต่าหญ้า (Lepidochelys olivacea) , เต่าหญ้าแอตแลนติก (Lepidochelys kempii) โดยที่เต่ามะเฟืองเป็นเต่าทะเลและเป็นเต่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

    [แก้] อาหารของเต่า

    เต่า กินอาหารได้ทั้ง พืช และสัตว์ โดยเต่าบางชนิดก็จะกินแต่เฉพาะสัตว์ เช่น เต่าอัลลิเกเตอร์, เต่าสเน็ปปิ้ง (Chelydra serpentina) , เต่าปูลู (Platysternon megacephalum) เป็นต้น

    [แก้] ตะพาบ

    ตะพาบ หรือ ตะพาบน้ำ (ภาษาอังกฤษ Soft-shelled turtle) เป็นเต่าจำพวกหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Trionychidae ลักษณะโดยทั่วไปมีลำตัวแบน จมูกแหลม กระดองอ่อนนิ่ม มีกระดองหลังค่อนบ้างเรียบแบน กระดองมีลักษณะเป็นหนังที่ค่อนข้างแข็งเฉพาะในส่วนกลางกระดอง แต่บริเวณขอบจะมีลักษณะนิ่มแผ่นกระดองจะปราศจากแผ่นแข็งหรือรอยต่อ ซึ่งแตกต่างจากกระดองของเต่าอย่างสิ้นเชิง กระดองส่วนท้องหุ้มด้วยผิวหนังเรียบ มีส่วนที่เป็นกระดูกน้อยมาก กระดองจะมีรูปร่างกลมเมื่อ ยังมีขนาดเล็ก และจะรีขึ้นเล็กน้อยเมื่อโตเต็มวัยตั้งแต่คอส่วนบนไปจรดขอบกระดองจะมีตุ่มแข็งเล็ก ๆ ขึ้นอยู่ ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ คอเรียวยาวและสามารถเอี้ยวกลับมาด้านข้าง ๆ ได้ มีจมูกค่อนข้างยาวแต่มีขนาดเล็กและส่วนปลายจมูกอ่อน ตามีขนาดเล็กโปนออกมาจากส่วนหัวอย่างเห็นได้ชัด มีฟัน ขากรรไกรแข็งแรงและคม มีหนังหุ้มกระดูกคล้ายริมฝีปาก ขาทั้งสี่แผ่กว้างที่นิ้วจะมีพังพืดเชือมติดต่อกันแบบใบพายอย่างสมบูรณ์ มีเล็บเพียง 3 นิ้ว และมีหางสั้น
    มักอาศัยอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก โดยตะพาบสามารถกบดานอยู่ใต้น้ำได้นานกว่าเต่า แม้จะหายใจด้วยปอด แต่เมื่ออยู่ในน้ำ ตะพาบจะใช้อวัยวะพิเศษช่วยหายใจเหมือนปลา เรียกว่า rasculavpharyngcal capacity ตะพาบชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสวยที่สุดในโลกคือ ตะพาบม่านลายไทย (Chitra chitra) <SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> ที่พบในแหล่งน้ำพรมแดนไทยกับพม่า แต่ก็มีเต่าอยู่ชนิดหนึ่งที่ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่แบ่งแยกชัดเจนว่าเป็นเต่าหรือตะพาบ คือ เต่าจมูกหมู หรือที่เรียกกันในวงการปลาสวยงามว่า เต่าบิน (Carettochelys insculpta) พบที่ทวีปออสเตรเลียตอนเหนือ ปาปัวนิวกินี
    ตะพาบโดยมากแล้วจะมีนิสัยดุกว่าเต่า เป็นสัตว์ที่ชอบกินเนื้อมากกว่ากินพืช ในประเทศไทยพบได้ในหนองน้ำและแหล่งน้ำจืดทั่วประเทศ ภาษาอีสานเรียกว่า กริว, ปลาฝา หรือ จมูกหลอด เป็นต้น

    [แก้] เต่ากับมนุษย์

    โดยปกติแล้ว มนุษย์จะไม่ใช้เนื้อเต่าหรือไข่เต่าเป็นอาหาร แต่ก็มีบางพื้นที่หรือคนบางกลุ่มที่นิยมบริโภคเนื้อเต่าหรือเนื้อตะพาบ โดยเชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงกำลัง เช่น ตะพาบน้ำตุ๋นยาจีน เป็นต้น โดยความเชื่อทั่วไปแล้ว เต่า ถือเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน คนไทยจึงมีความเชื่อว่าหากได้ปล่อยเต่าจะเป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เชื่อต่ออายุให้ยืนยาว ดังนั้น จึงมักเห็นเต่าหรือตะพาบตามแหล่งน้ำในวัดบางแห่งเสมอ ๆ ในประเทศจีน หลักฐานทางโบราณคดี พบว่า สมัยราชวงศ์เซี่ยและราชวงศ์ซาง กระดองเต่า ถูกใช้เป็นเครื่องทำนายทางโหราศาสตร์ ในทางไสยศาสตร์ของไทย มีการใช้เต่าเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ยันต์เต่าเลือน เป็นต้น
    เต่า ในทางภาษาศาสตร์ของไทย ยังใช้เป็นพยัญชนะลำดับที่ ๒๑ โดยมักใช้เป็นตัวสะกด คือ ต.เต่า โดยเป็นตัวอักษรเสียงกลาง นอกจากนี้แล้ว เต่า ยังเป็นตัวแทนของความเชื่องช้า โง่งม จึงมีสำนวนทางภาษาในนัยเช่นนี้ เช่น โง่เง่าเต่าตุ่น เป็นต้น

    [แก้] เต่าที่พบในประเทศไทย

    (เฉพาะเต่าบกและเต่าน้ำจืด)
    [แก้] ตะพาบที่พบในประเทศไทย

    [แก้] อ้างอิง

    1. ^ Chitra ตะพาบม่านลาย​

    [แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

    [​IMG]


    คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับ:
    เต่า

    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 1157/1000000Post-expand include size: 13528/2048000 bytesTemplate argument size: 2035/2048000 bytesExpensive parser function count: 1/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:46568-0!1!0!!th!2 and timestamp 20090707014111 -->ดึงข้อมูลจาก "เต่า - วิกิพีเดีย".
    หมวดหมู่: สัตว์ | สัตว์มีแกนสันหลัง | สัตว์เลื้อยคลาน | เต่า
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำบุญปล่อยเต่าได้บาปผิดกม. อส.แฉเต่าบกจมน้ำตายเพียบ
    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������



    นายสุเทพ บุญประคอง ผู้อำนวยการสำนักสัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อส.) กล่าวว่า ช่วงใกล้เทศกาลทำบุญอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประชาชนจะไปทำบุญกันมากตามประเพณี หนึ่งในวิธีทำบุญนั้นคือ การปล่อยนกปล่อยปลา และปล่อยเต่า แต่หลายคนยังไม่ทราบว่านกและเต่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง การครอบครองของคนขายนั้นเป็นการทำผิดกฎหมาย เช่นไปจับนกมาจากป่า ให้คนนำไปปล่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั้นเต่าที่ขายกันอยู่ตามหน้าวัดต่างๆ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองทั้งสิ้น ทั้งเต่าบกและเต่าน้ำ

    "ปัญหาของเต่าบกที่พบนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ประชาชนยังเข้าใจผิดโดยการเอาเต่าบกไปปล่อยในน้ำ ทำให้เต่าเหล่านั้นจมน้ำตายไปจำนวนมาก จนขณะนี้เราพบประชากรเต่าบกซึ่งเป็นสัตว์ป่าน้อยมาก สาเหตุสำคัญคือ ถูกลักลอบจับออกมาขายเพื่อให้คนซื้อไปปล่อย และคนซื้อไม่ทราบว่าเป็นเต่าบกแต่เอาไปปล่อยในน้ำจนมันจมน้ำตาย" นายสุเทพกล่าว และว่า ได้ให้วัดที่มีเต่ามาแจ้งขึ้นทะเบียนว่ามีเต่าหรือสัตว์เลี้ยงชนิดใดอยู่บ้าง

    นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์ประจำสำนักพระราชวัง กล่าวว่า ข้อสังเกตว่าเป็นเต่าบกคือ ตรงบริเวณก้นจะมีเดือยแหลมอยู่จำนวนมาก และมีเดือยอยู่ 1 คู่ที่ใหญ่มาก มีประโยชน์คือ เมื่อเต่าเดินขึ้นที่สูงชันก็จะใช้ค้ำยัน เพื่อไม่ให้ตัวกลิ้งลงมา เพราะอาศัยอยู่ตามที่ราบสูงในป่า หากนำไปปล่อยในน้ำก็จะจมน้ำตายทันทีเพราะว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนเต่าที่ปล่อยในน้ำฝ่าตีนจะมีพังผืดเพื่อพุ้ยน้ำ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันอาสาฬหบูชา

    �ѹ�����˺٪� ���� 15 ��� ���͹ 8 �����˺٪�


    [​IMG]


    ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8 ​

    วันอาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

    ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ ​

    สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ


    [​IMG] 1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ​

    [​IMG]การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค ​

    [​IMG] การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค ​

    ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่


    [​IMG]1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง ​

    [​IMG]2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม ​

    [​IMG]3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต ​

    [​IMG]4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต ​

    [​IMG]5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต ​

    [​IMG]6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี ​

    [​IMG]7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด ​

    [​IMG]8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน ​

    [​IMG] 2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่


    [​IMG] 1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด ​

    [​IMG] 2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ ​

    [​IMG] 3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา ​

    [​IMG] 4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น ​

    ส่วนพิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้...


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    - dhammathai.org
    - คลังปัญญาไทย
    - thaigoodview.com
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผู้พิพากษาโวยกรุงศรีโขกดอก-ค่าปรับสูงลิ่ว

    http://www.posttoday.com/finance.php?id=55772

    ผู้พิพากษาโดนดี ธนาคารกรุงศรีเรียกเก็บค่าทวงหนี้โหด แนะรื้อสัญญาไม่เป็นธรรม

    นายพิชัย นิลทองคำ หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ใช้บริการสินเชื่อ “สไมล์ แคช” ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งที่ผ่านมาได้ชำระเงินเกินมาตลอด แต่ล่าสุดมีเหตุส่งเงินช้าเพียง 1 วัน กลับมีเจ้าหน้าที่ โทร.มาทวงหนึ่งครั้ง ต่อมาก็ถูกเรียกเก็บค่าติดตามทวงถาม 250 บาท ซึ่งเห็นว่าไม่ยุติธรรม

    [​IMG]

    นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเงินกู้อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ควรจะต้องมาดูแลเรื่องนี้

    “กำหนดชำระวันที่ 1 แต่วันที่ 2 มีพนักงานโทร.มาทวงให้ชำระเงินต้น 3% พร้อมดอกเบี้ยค่าผิดนัดชำระและค่าทวงถาม 250 บาท ถ้าคนกู้วงเงิน 5 หมื่นบาท ก็เรียก ค่าทวง 250 บาท กู้เงินเป็นแสนเป็นล้านบาทค่าทวงถามก็ 250 บาท ไม่ยุติธรรม” นายพิชัย กล่าว

    ทั้งนี้ หากกู้เงิน 5 หมื่น-1 แสนบาท แต่ส่งเงินช้าจะถูกคิดค่าทวงถามปีละ 2,500-2,750 บาท บวกดอกเบี้ยผิดนัดชำระอีกปีละ 24% เท่ากับจะต้องถูกคิดดอกเบี้ย 624% ซึ่งดอกเบี้ยสูงกว่าเงินกู้นอกระบบ

    นอกจากนี้ ล่าสุดธนาคารส่งจดหมายขอเปลี่ยนแปลงสัญญาเงินกู้ และเปลี่ยนวิธีหักหนี้เงินกู้ใหม่ โดยให้มีผลวันที่ 1 มิ.ย. 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งจะหักค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่า 8 รายการ ในที่สุดจะเหลือต้นชำระไม่กี่บาท เช่น เมื่อชำระเงินจำนวนหนึ่งจะต้องถูกหักค่าธรรมเนียม ค่าปรับอื่น ดอกเบี้ย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจนถึงวันคำนวณดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในใบแจ้งหนี้สำหรับเงินกู้แบบมีกำหนดชำระคืนขั้นต่ำ เป็นต้น

    นายพิชัย กล่าวว่า วิธีการของธนาคารเป็นการคิดซับซ้อนมาก แม้ว่าในสัญญาจะมีระบุว่าธนาคารสามารถจะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้ตามความเหมาะสม แต่ในหลักกฎหมายถ้าคู่สัญญาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มีสิทธิที่จะคัดค้านได้
    หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 กล่าวว่า แม้ว่าธปท. จะกำหนดเปิดกว้างว่าให้ธนาคารคิดค่าติดตามทวงหนี้ได้ตามความเป็นจริง แต่ในแง่กฎหมายการทวงติดตามหนี้จะต้องมีการส่งจดหมายเตือน (โนติส) ถึงจะคิดค่าใช้จ่ายได้ และสคบ. ออกประกาศให้ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นธุรกิจควบคุมสัญญา แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าธนาคารมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาภายหลัง
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>โรครูมาตอยด์ มหันตภัยที่ไม่ควรมองข้าม


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    รายงานโดย :อนุสรา ทองอุไร:

    ��ʵ� ������ - �ſ������ - �ä���ҵ�´� ��ѹ���·���������ͧ����

    “แนวโน้มโรครูมาตอยด์มีเพิ่มมากขึ้น เพราะคนรู้จักมากขึ้น ขณะอดีตที่ผ่านมาคนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้



    [​IMG]

    เพราะส่วนใหญ่คิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับข้อหรือกระดูก ซึ่งโรคนี้หากรักษาตั้งแต่เริ่มต้นหรือระยะแรกๆ สามารถรักษาหรือควบคุมได้ 60-85% แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้หลังจากเป็นไปมากแล้ว ทำให้โอกาสหายขาดไม่เกิน 10% โรคนี้ถือว่าเป็นเพชฆาตเงียบที่ทรมานผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง”

    คำกล่าวข้างต้นของ พญ.รัตนวดี ณ นคร นายกสมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นต่อโรคร้ายรูมาตอยด์ที่คืบคลานเป็นภัยฉกาจต่อชีวิตผู้คนอย่างที่คาดไม่ถึง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โรครูมาตอยด์สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการ แต่จากการประมาณการของผลสำรวจขั้นพื้นฐานในหัวข้อสำรวจธรรมดาพบว่า ทุกๆ 1,000 คน จะพบผู้เป็นโรครูมาตอยด์ 2-3 คน ตัวเลขเบื้องต้นทั้งประเทศอยู่ที่ 2 แสนคน และโรคนี้สามารถเป็นได้กับทุกกลุ่มอายุตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา แต่พบมากที่สุดในผู้ป่วยวัยกลางคน ที่มีอายุระหว่าง 30-40 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 80-90% เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนสำคัญ อันเป็นปัจจัยต่อความเสี่ยงของการเป็นโรคดังกล่าวมากกว่า ส่วนสาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่จากการศึกษาพบว่าโรคนี้มีส่วนเกี่ยวกับการติดเชื้อและมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม

    โรครูมาตอยด์คืออะไร? โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่มีลักษณะเด่นคือ มีการเจริญของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่นๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น ถึงแม้โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด แต่จะมีกลุ่มโรคข้ออักเสบเรื้อรังอื่นๆ อีกมาก ที่คล้ายโรครูมาตอยด์ได้ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจจากแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เนื่องจากการรักษาจะแตกต่างกันออกไป

    อาการของโรค
    การอักเสบของโรครูมาตอยด์เริ่มที่เยื่อหุ้มข้อ เป็นได้ทุกข้อที่มีเยื่อหุ้มข้อ พบบ่อยที่สุดที่ข้อมือ นอกจากนั้นคือ ข้อนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า ข้อศอก ข้อไหล่ ข้อขากรรไกร ข้อกระดูกสันหลังกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ มักมีการอักเสบพร้อมกันทั้งสองข้าง การอักเสบเป็นไปอย่างช้าๆ ระยะแรกอาจมีข้อติดขัดเวลาตื่นนอน เคลื่อนไหวข้อหลายๆ ครั้งแล้วดีขึ้น ต่อมาข้อจะบวม ปวด เหยียดงอได้ไม่เต็มที่ อาจมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด จำนวนข้อที่มีการอักเสบจะมากขึ้นเรื่อยๆ และรุนแรงขึ้น การติดขัดของข้อในตอนเช้าอาจนานเป็นชั่วโมง ผู้ป่วยมักมีอาการดีขึ้นบ้างเมื่อได้รับยาแก้อักเสบของข้อหรือยาจำพวกสเตียรอยด์ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่อง หรือไม่ได้รับยาที่สามารถหยุดกลไกการเกิดโรค เยื่อหุ้มข้อที่อักเสบอยู่นานๆ หนาตัวขึ้นและแพร่ไปที่กระดูกอ่อนและกระดูกแข็งทำให้กระดูกถูกทำลาย มีการอักเสบของพังผืดที่หุ้มข้อ และเส้นเอ็นที่ยึดบริเวณข้อ ทำให้มีข้อเคลื่อนข้อหลุด เกิดการผิดรูปของข้อ นั่นคือเกิดความพิการของข้อ ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติเคลื่อนไหวช่วยตัวเองไม่ได้ กล้ามเนื้อลีบและไม่มีแรงเพราะไม่ถูกใช้งาน ความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคในผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน โรคสามารถสงบได้เอง แต่จะมีความพิการเหลืออยู่

    วิธีการรักษา

    [​IMG]

    1.การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี ยาเหล่านี้ได้แก่ ยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ผู้ป่วยแต่ละรายจะตอบสนองต่อยาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบไตได้ ในรายที่เป็นรุนแรงมีอาการมากและข้อถูกทำลายมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่ายาระดับที่ 2 ซึ่งได้แก่ ยาต้านมาลาเรีย ยาทองคำ ยาเมทโธเทรกเซท ยาซัลฟาซาลาซีน เป็นต้น

    ยาเหล่านี้ไม่มีฤทธิ์ในการระงับการเจ็บปวด แต่จะช่วยระงับการลุกลามของโรคได้ แต่เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจึงควรใช้ในรายที่มีอาการรุนแรงและใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อนึ่ง ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นยาที่มีผู้นำเอามาใช้ในการรักษาโรครูมาตอยด์เป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากยานี้มีคุณสมบัติในการระงับการอักเสบของข้อได้ แต่จากการศึกษาในระยะหลังๆ พบว่า ยาชนิดนี้ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงการดำเนินของโรค และในขณะเดียวกันเมื่อใช้ยานี้ไปนานๆ ผู้ป่วยจะติดยาและไม่สามารถเลิกยาได้ พร้อมทั้งเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาชนิดนี้มากมาย เช่น อ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อกระจก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกระดูกผุ เป็นต้น จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งในการนำยานี้มาใช้รักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ ยกเว้นในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยยาชนิดอื่นและควรดูแลควบคุมด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

    2.การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย มีส่วนสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ การพักผ่อนจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แต่การพักที่นานเกินไปจะทำให้ข้อฝืดขัด ดังนั้นการพักผ่อนจะต้องสมดุลกับการบริหารร่างกาย การบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่ติดขัด และช่วยให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้

    3.การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยควรเรียนรู้และหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่อาจส่งเสริมให้ข้อถูกทำลายเร็วขึ้น เช่น การนั่งพับเข่าในกรณีที่มีข้อเข่าอักเสบ หรือการบิดข้อมือในกรณีที่มีข้อมืออักเสบ การรู้จักใช้อุปกรณ์บางอย่าง เช่น ไม้เท้า เครื่องช่วยเดิน จะช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวคล่องขึ้นและหลีกเลี่ยงแรงที่กระทำต่อข้อได้

    4.การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว หรือกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เอ็นขาด เป็นต้น การผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อจะช่วยให้ข้อทำงานได้ดีขึ้น
    ปัจจุบันมีความพยายามจากหลายหน่วยงานร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ป่วย ด้วยการสร้างชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ เพื่อมุ่งหวังเป็นศูนย์กลางให้กับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และรวมไปถึงแพทย์ที่ดูแลโรคนี้ด้วย เพื่อให้รับทราบว่าผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยต้องดูแลตนเองอย่างไร เพราะโรคนี้อาจไม่ถึงชีวิต แต่สร้างความทรมานอย่างใหญ่หลวง และที่สำคัญการตรวจรักษาของโรคนี้ จำเป็นต้องใช้แพทย์เฉพาะทาง

    กินอยู่อย่างไรเมื่อมีโรครูมาตอยด์

    [​IMG]

    เลือกกินอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน บทความจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ อเมริกา กล่าวว่า ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์บางคนเป็นโรคขาดอาหาร เนื่องจากไซโตไคน์บางตัวที่ร่างกายผลิตเมื่อมีการอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดอัตราเผาผลาญที่สูงขึ้น เกิดอาการน้ำหนักลดในผู้ป่วย
    นอกจากนี้ พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะขาดกรดโฟลิก วิตามินซี ดี บี6 บี12 วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และเซลีเนียม ผู้ป่วยที่อยู่บ้านคนเดียวอาจไม่ไปตลาดบ่อยๆ ประกอบอาหารน้อยลงเนื่องจากข้อติดขัด จึงอาจจะกินอาหารน้อยลงและขาดแร่ธาตุอาหารได้ ดังนั้นจะต้องดูแลผู้ป่วยกรณีนี้เป็นประการแรก กินแคลเซียมและวิตามินดีเพิ่มเติม รับแดดอ่อนยามเช้าสัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนในวันหน้า

    เลิกกินอาหารที่ก่อให้เกิดอาการ ผู้ป่วยบางคนการกินอาหารบางชนิด เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลี เนื้อสัตว์ หรือเนื้อสัตว์ปรุงสำเร็จ เช่น ไส้กรอก พืชตระกูลมะเขือ (มะเขือเทศ มันฝรั่ง และมะเขือทุกชนิด) ทำให้อาการของโรคกำเริบ ให้ลองหยุดอาหารแต่ละชนิดดังกล่าว 2 สัปดาห์ สังเกตอาการ และกลับมากินอาหารต้องสงสัยนั้นใหม่ ถ้าอาการโรครูมาตอยด์กำเริบก็ให้หยุดอาหารนั้นๆ ไปเลย แล้วหันมากินเนื้อปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 นักวิจัยแนะนำอาหารดังกล่าวต่อผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์ แต่ไม่แนะนำการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีน้ำมันโอเมกา-3 เพราะปริมาณกรดไขมันที่มากเกินจะมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดในผู้ป่วยได้

    ดื่มน้ำต้มกระชายหรือกระชายดิบ รากกระชาย 5 แง่ง (มีเหง้าด้วยก็ได้) ทุบพอแตกใส่ในกาน้ำ เติมน้ำครึ่งลิตร ตั้งไฟจนน้ำเดือดยกลง ดื่มน้ำต้มกระชายแทนน้ำดื่มจนหมดกา เติมน้ำใส่กาอีกครึ่งลิตรต้มจนเดือดเช่นเดิม เมื่อน้ำต้มจืดไม่มีรสให้เปลี่ยนรากกระชาย ใช้วันละ 2 ชุดก็พอ แต่งรสได้ด้วยหญ้าหวานหรือน้ำผึ้งเล็กน้อย หรือกินกระชายดิบขนาดเท่า 2 ข้อนิ้วก้อย วันละ 3 เวลาก่อนอาหารโดยการเคี้ยวกลืน จะไม่เห็นผลในวันแรกอย่าเพิ่งหยุดกิน กระชายมีสารต้านอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระมาก ช่วยการไหลเวียนเลือดที่ดี เป็นยาอายุวัฒนะในตำรายาไทยหลายขนานอีกด้วย

    กินขมิ้นชัน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแนะนำกินสารเคอร์คูมิน 400 มก. วันละ 3 ครั้ง หรือกินขิงสดวันละ 10 กรัม ทุกวันแทน รับการนวดแผนไทยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ออกกำลังกายด้วยไท้เก๊กหรือโยคะ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง พบว่า การรำไท้เก๊กเป็นวิธีออกกำลังกายแบบยืดหยุ่นและเพิ่มสมรรถภาพการเคลื่อนไหวที่ดีมาก ได้ประโยชน์ด้านการผ่อนคลายอารมณ์ด้วย ผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์สูงอายุรายงานว่า อาการปวดข้อลดลงหลังการออกกำลังกายด้วยการรำไท้เก๊ก ทั้งนี้สารเอนดอร์ฟินที่หลั่งหลังการออกกำลังกายก็ช่วยลดอาการปวดได้เช่นกัน
    โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และไขข้อ ท่าโยคะต่างๆ ทำให้ข้อต่อแข็งแรงขึ้นและสามารถถูกใช้งานได้อย่างต่อเนื่องลดอาการข้อติด ช่วยควบคุมระดับกรดยูริกในร่างกาย ถ้าฝึกโยคะเป็นประจำจะทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ดี ซึ่งจะช่วยลดภาระของข้อเข่าในผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์ด้วย

    [​IMG]

    คำแนะนำสำหรับการดูแลตัวเอง
    - ผู้ป่วยต้องเข้าใจลักษณะตัวโรค
    - ผู้ป่วยควรทำใจให้สบาย พบว่าความเครียดและการทำงานตรากตรำจะทำให้ควบคุมอาการของโรคได้ไม่ดีนัก หรือโรคไม่สงบ
    - การเกร็งกล้ามเนื้อระยะเวลานานๆ สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แนะนำให้บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อที่มีอาการอักเสบ การเคลื่อนไหวข้อในระดับเหมาะสมจะช่วยลดอาการปวดและอาการอักเสบได้
    - อาหาร สามารถรับประทานได้ทุกอย่าง แต่ต้องเป็นอาหารที่สะอาด
    - หลีกเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์
    - หลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเอง ที่อาจทำให้เกิดผลเสียต่อข้อของผู้ป่วย รู้ข้อมูลและลงมือปฏิบัติอย่างถูกต้องโรคภัยก็ไม่ค่อยมาเยือน ขอให้สุขภาพดีถ้วนหน้าค่ะ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เสขิยวัตร


    ทางธรรม ทางโลก


    <O:p
    <TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px solid">ภูมิบ้านภูมิเมือง<O:p</O:p


    เนติ โชติช่วงนิธิ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></B>




    </O:p15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันอาสาฬหบูชา ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 7กรกฎาคม
    <O:p</O:p
    ตามประวัติทางพุทธศาสนาได้กล่าวถึงอาสาฬหบูชา เป็นวันที่มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ครบเป็นองค์รัตนตรัยครั้งแรกในโลก ซึ่งพระสงฆ์องค์แรกคือพระอัญญาโกณฑัญญะ และปฐมเทศนาที่ทรงแสดงคือธรรมจักกัปปวัตนสูตร หมายถึงพระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไป นั่นคือธรรมะของพระพุทธองค์เหมือนวงล้อธรรม ที่ได้เริ่มเคลื่อนแล้วจากจุดเริ่มต้นในวันนี้
    <O:p</O:p
    หน่วยงานรัฐหรือราชการคือกรมการศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ส่งเสริมเผยแพร่งานพระพุทธศาสนาก็เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมทำกิจกรรม ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม เวียนเทียน
    <O:p</O:p
    ถัดวันรุ่งขึ้น ก็เข้าแรม 1 ค่ำ เป็นวันเข้าพรรษา ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 8 กรกฎาคม เป็นวันเริ่มต้นที่พระ ภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่กับที่วัด ไม่เที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ เป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี (8 ก.ค.-3ต.ค.) กิจกรรมงานบุญก็ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา หล่อเทียน แห่เทียนเข้าวัดหรือนำไปถวายวัด ไม่ใช่แห่เทียนรอบวัดหรือแห่อยู่นอกวัด แล้วไปตั้งประกวดโชว์กันที่สวนสาธารณะอย่างที่ทำกันทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    เรื่องแห่เทียนออกนอกวัดนี้ กรมการศาสนาก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ก็ดี ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจพิธีของการหล่อเทียน แห่เทียนให้ประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยให้ทำกันเพี้ยนๆ ที่สุดแล้วจะหาแก่นของหล่อเทียนพรรษาไม่เจอ
    <O:p</O:p
    พูดถึงเข้าพรรษาแล้ว ขอหยิบงานเขียน ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านว่าเรื่อง บวช และหลังบวช มาให้อ่านกัน ว่าเมื่อกุลบุตรหรือผู้ชายคนไทยเมื่ออายุครบ 20 ถือธรรมเนียมเข้าบวช ในระหว่างพรรษาไปอยู่กันในวัดเข้าไปอยู่ในสังคมสงฆ์
    <O:p</O:p
    ในสังคมไทยสมัยก่อนถือว่า การเข้าบวชนี้เป็นการทำให้คนเป็นคน ที่เขาเรียกว่า คนสุก ได้รับการศึกษาอบรมแล้วด้วยดี เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไปได้
    <O:p</O:p
    เมื่อสึกออกมาแล้ว เทียบกับเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะต้องให้เกียรติเท่ากับผู้ที่ได้รับปริญญา เพราะคนที่สึกจากพระแล้ว เขาเรียกว่า บัณฑิต ย่อลงมาเป็น ทิด ภาษาไทยไม่ชอบหลายพยางค์ก็เรียกว่า พี่ทิดบ้าง พ่อทิดบ้าง จนไปถึงอ้ายทิดสุดแล้วแต่ แต่ก็ยังเป็นบัณฑิตอยู่นั่นเองเป็นการยกย่อง
    <O:p</O:p
    แม้แต่คนที่บวชแล้ว ไปเกิดผิดวินัยขั้นปาราชิกขาดจากสงฆ์ ต้องสึกออกมา คนไทยก็ยกย่องเรียกว่า สมี หรือท่านสมี เป็นที่นับน่าถือตา
    <O:p</O:p
    คำว่าสมีนั้น มาจากภาษาเขมรว่า สมีร สมีรแปลว่า เสมียน นั่นเอง ในภาษาไทยคือเป็นคนที่รู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ เขาเรียกว่าท่านสมี ในข้อนี้ก็เป็นเรื่องแปลก อังกฤษเรียกพระว่าเสมียนเหมือนกัน คือเรียกว่า parish แปลว่า เสมียน ซึ่งหมายถึงคนเขียนหนังสือ โปรดสังเกตไว้ด้วยนี่พูดขึ้นมาเพราะเห็นว่ามันแปลกดี
    <O:p</O:p
    ในสมัยก่อนสังคมยกย่องคนที่บวชเรียนแล้วมาก จะทำอะไรก็มีผู้นับน่าถือตา ขอลูกสาวใครก็รีบยกให้ไม่ขัดข้อง จะหาการหางานที่ไหนได้โดยสะดวก สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าบรมโกศลงมาทางราชการถือเคร่งครัดว่า คนที่จะเข้ารับราชการได้นั้นจะต้องบวชมาก่อน ถ้าคนที่ยังไม่ได้บวชเขาไม่รับเข้าทำราชการ จะต่อเนื่องลงมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 ต้องการคนที่บวชเรียนแล้วเข้ามารับราชการ เพราะเป็นผู้ที่รู้หนังสือดี มีสติปัญญา เรียกได้ว่าเป็นคนที่ได้ศึกษาเล่าเรียนแล้ว
    <O:p</O:p
    อิทธิพลของการบวชในระหว่างพรรษานี้ เรียกได้ว่ามีอยู่มากในชีวิตของคนไทย ประการแรก ในทางใจคนที่บวชเรียนมาแล้วก็ย่อมจะต้องเป็นผู้มีศีลธรรม มีความสงบ มีความเที่ยงธรรมในใจ และมีเมตตากรุณาต่อสัตว์ ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
    <O:p</O:p
    และในทางใจนั้น การอบรมทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าไปบวช ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่ยึดอะไรมากนัก ไม่ว่าจะเป็นในทางใดๆ ทั้งสิ้น คนปัจจุบันดูลักษณะนี้อาจจะเห็นเป็นทางเสียก็ได้ แต่ว่าคนไทยก็อยู่ด้วยกันเป็นสุขเป็นเวลาช้านาน เพราะเรื่องไม่ยึดอะไรมากนัก มีทุกข์ก็สามารถที่จะปลอบทุกข์ของตนเองได้ หรือมีวิธีทำให้ทุกข์คลายได้ เมื่อมีสุขก็ไม่ประมาท นี่เป็นทรรศนะของศาสนาพุทธ ซึ่งได้รับมา
    <O:p</O:p
    ใน ประการที่สอง ทางความเป็นอยู่ และมารยาทของคนไทยนั้น พูดไปแล้วเป็นมารยาทของสงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ทั้งนั้น เพราะว่านอกจากศีลปาติโมกข์คือศีล 227 ข้อของพระแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติหมวดเสขิยวัตร ซึ่งพระท่านเรียกว่า ศีลนอกปาติโมกข์ไว้อีกเป็นอันมาก เหล่านี้เป็นมารยาทของพระ
    <O:p</O:p
    ท่านสอนวิธีนั่ง วิธีลุก วิธีเดิน จะพูดจากับผู้ใหญ่หรือคนที่อ่อนวัยกว่าตน ตลอดจนพิธีรับประทานอาหาร ไม่ให้กินมูมมาม ไม่ให้เคี้ยวจั๊บๆ ไม่ให้พูดในขณะข้าวเต็มปาก ไม่ให้เปิบเกิน 1 องคุลี เปิบข้าวไม่ให้เอามือตักแล้วป้ายเข้าไปที่ปากอะไรอย่างนั้น นี่อยู่ในเสขิยวัตรทั้งสิ้น ซึ่งก็กลายมาเป็นมารยาทของคนไทยตลอดมาจนทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    นอกจากนั้นในหมวดเสขิยวัตร ยังสอนเรื่องการรักษาความสะอาดของร่างกาย ของบ้านช่อง เป็นต้นว่า ห้ามพระทิ้งของขยะมูลฝอยจากหน้าต่างกุฏิ นี่ก็ห้ามไว้เป็นอาบัติแล้ว แล้วก็ห้ามเข้าไปนั่งเอาหลังพิงฝาผนังใด แม้จะในโบสถ์หรือวิหารที่ใดก็ตาม ที่มีภาพจิตรกรรมเขียนอยู่ เหล่านี้เป็นเรื่องของให้รู้จักความเป็นอยู่อย่างดี ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนไทยโดยทั่วไป
    <O:p</O:p
    ประการสาม น่าจะมี แต่จะมีหรือไม่ผมก็ไม่ทราบ สงสัยจะไม่มีคือในทางการเมือง ก็น่าจะมีคนที่เข้าไปบวชเรียนในพระพุทธศาสนา จะได้รู้จักวิธีทำสังฆกรรม ทำอุโบสถ ลงอุโบสถหรืออุปสมบทกรรม
    <O:p</O:p
    ผมมีความเห็นว่า เมื่อได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้ว น่าจะเป็นประชาธิปไตย เพราะเหตุว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติให้สงฆ์มีการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยตลอด อย่างที่ได้ชี้ให้เห็นในพิธีบวชนาคต้องมีผู้เสนอญัตติต่อสงฆ์ สงฆ์มีสิทธิค้านได้ที่จะไม่รับคนนั้นเข้าบวช
    <O:p</O:p
    ในพิธีทอดกฐินก็เช่นเดียวกัน เมื่อชาวบ้านเอาผ้ากฐินไปถวายแล้ว เพราะเป็นการถวายต่อสงฆ์ จะต้องมีผู้เสนอญัตติสงฆ์ว่า สงฆ์องค์ใดควรจะได้ครองผ้ากฐินนั้น และเมื่อตรวจญัตติหรือเสนอญัตติแล้วก็เปิดโอกาสให้สงฆ์ทุกองค์ ซึ่งรวมอยู่ในคณะสงฆ์คัดค้านได้ ถ้าเห็นว่าไม่สมควร และเคยมีมาแล้วในประวัติศาสตร์ของพระศาสนาในเมืองไทยที่ท่านคัดค้านกัน
    <O:p</O:p
    ปกติก็เสนอญัตติให้สมภารเป็นผู้รับกฐิน แต่เคยมีพระลูกวัดคัดค้านมาหลายวัด เพราะเห็นสมภารปฏิบัติไม่ดี ไม่ชอบ การที่เข้าไปอยู่ในสงฆ์นั้น น่าจะทำให้คนรู้จักวิถีทางของประชาธิปไตยดีขึ้น แต่ว่าจะรู้จัก ไม่รู้จัก ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
    <O:p</O:p
    ที่นี้เราออกจากวัดเสียที สึกออกมาแล้วก็แต่งงาน มีเหย้ามีเรือนเป็นฆราวาส เมื่อสึกแล้วก็ต้องถือว่าพ้นเพศพรหมจรรย์ เข้าสู่สภาพครองเรือน
    <O:p</O:p
    ผู้อยู่ในเพศพรหมจรรย์และที่เป็น พี่ทิด พ่อทิด และอ้ายทิด หรือวัยเกินบวชไปแล้ว แต่ไม่เคยบวชได้อ่านแล้วก็ลองเอาไปคิดเล่นๆ หรือจริงกันดู <O:p</O:p
     
  18. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    คุณ hongsanartได้ฝากเงินให้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง1,000 บาท
    และได้ถวายเงินให้พระอาจารย์นิลไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 04/07/52เรียบร้อยแล้วค่ะ
    กราบอนุโมทนากับคุณhongsanartและทุกท่านที่ได้ร่วมบุญในครั้งนี้ด้วยนะคะ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยอดเหยื่อมรณะเพิ่ม ตายแล้ว 9 ราย

    http://hilight.kapook.com/view/38939



    [​IMG]


    ยอดเหยื่อมรณะเพิ่ม ตายแล้ว 9 ราย (เดลินิวส์)

    วันนี้ (7 กรกฎาคม) นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนได้รับรายงานจากห้องปฏิบัติการ พบผู้ป่วยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเอ ( เอช 1 เอ็น 1) ว่าขณะนี้มีเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย รายแรกเป็นชาย อายุ 58 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม โดยพบภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จำเป็นต้องล้างไตอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากมีโรคประจำตัว

    ส่วนรายต่อมา เป็นเด็กหญิง อายุ 8 ขวบ เสียชีวิตที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากพบเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวมาแล้ว 3- 4 ปี ที่ผ่านมาต้องใช้วิธีรักษาแบบเคมีบำบัด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พบว่ามีผู้ที่เสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดดังกล่าวแล้วรวม 9 ราย

    ขณะที่ยอดผู้ป่วยสะสมในประเทศรวม 2,428 ราย รักษาหายแล้ว 2,381 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนรวม 40 ราย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...