พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    แนะกิน--- ฟ้ า ท ะ ล า ย โ จ ร ----ทุกวันเป็น วั ค ซี น ป้ อ ง กั น โ ร ค ห วั ด ... <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=333 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=333>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>นักวิชาการ แนะกิน “ฟ้าทะลายโจร-ขิง” รักษาหวัดใหญ่ 2009 ส่วน “กระเทียม-กระเทียมดอง” กินทุกวันเหมือนวัคซีนป้องกันโรค พร้อมเตือนห้ามกินฟ้าทะลายโจรรักษาหวัดติดต่อกันเกิน 7 วัน พร้อมชูเมนู “แกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ยำปลาทู” สู้หวัด

    วันที่ 15 กรกฎาคม ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร โรงพยาบาลอภัยภูเบศร กล่าวว่า สมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยสร้างภูมิต้านทานในการป้องกันและรักษาไข้หวัด ใหญ่มีหลายชนิด แต่ที่จะแนะนำ 3 ชนิด คือ 1 ฟ้าทะลายโจร มีฤทธิ์ในการรักษา เมื่อมีอาการและสร้างภูมิต้านทานของร่างกายในการป้องกันโรค 2 ขิง มีฤทธิ์อุ่นสอดคล้องกับการรักษาโรคหวัด ลดจำนวนไวรัสในร่างกาย และ 3 กระเทียม หรือกระเทียมดอง ถ้าไม่อยากเป็นหวัดให้ทานทุกวัน โดยประสิทธิภาพของกระเทียมเหมือนกับวัคซีนป้องกันโรค

    ภญ.สุภาภรณ์ กล่าวว่า จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการป้องกันโรคหวัดได้ โดยได้ศึกษาเด็กนักเรียน 100 คนให้ทานยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรวันละ 1 เม็ดติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่าเด็กนักเรียนที่ทานเป็นหวัดน้อยกว่าเด็กนักเรียนที่ไม่ทาน 2 เท่า อีกทั้งยังลดเวลาการลางาน ลดอาการปวดเมื่อย ไอจามได้ด้วย อีกทั้งยังพบว่า ยังมีฤทธิ์ในการทำให้เชื้อไวรัสมีความสามารถเกาะผนังเซลล์ของมนุษย์ได้ลดลง ด้วย

    “นอก จากนี้ ในประเทศจีนและอินเดียได้นำขิงไปทดลองก็พบว่าได้ประสิทธิภาพเช่นเดียวกันกับ ฟ้าทะลายโจร โดยในอินเดียได้สกัดสารสำคัญของ ขิง กระเทียม กะเพราทำยาป้องกันหวัดด้วย และยังมีสมุนไพรอีกมากที่มีสาระสำคัญฤทธิ์เหมือนยารักษาโรคไข้หวัดใหญ่โอเซล ทามิเวียร์ด้วย เช่น กระเจี๊ยบ ขมิ้นอ้อย มะระ ฟักข้าว ฯลฯ”ภญ.สุภาภรณ์ กล่าว

    ภญ.อัญชลี จูฑะพุทธิ รองผู้อำนวยสถาบันการแพทย์ไทย กล่าวว่า การทานฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาโรคหวัดควรทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน ทานครั้งละไม่เกิน 1.5 กรัมต่อครั้ง วันละไม่เกิน 6 กรัม ถ้าแคปซูลที่มีปริมาณ 500 มิลลิกรัม ก็ทานครั้งละไม่เกิน 3 แคปซูล แต่หากทานติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้มีผลข้างเคียง คือ มือเท้าชา อ่อนแรงบ้าง

    “หาก รู้สึกว่าเริ่มมีอาการไม่สบาย เป็นไข้หวัด ให้ทานแคปซูลสมุนไพรฟ้าทะลายโจรทันที แต่ไม่ควรทานติดต่อกันนาน แต่หากเป็นเพื่อการป้องกันโรคไข้หวัดแนะนำให้ทานในรูปแบบของชาฟ้าทะลายโจรจะ เหมาะสมกว่า เพราะสาระสำคัญของสมุนไพรจะน้อยลง และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงด้วย”ภญ.อัญชลีกล่าว

    ภญ.อัญชลี กล่าวต่อว่า จากการที่ประเทศไต้หวันศึกษาวิจัยประสิทธิภาพของฟ้าทะลายโจรพบว่า ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบของเซลล์หลอดลมจากการจับตัวของไวรัสไข้ หวัดใหญ่สายพันธุ์เอช 1 เอ็น 1 สายพันธุ์ที่พบก่อนหน้านี้ซึ่งใกล้เคียงกับสายพันธุ์ 2009 ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าสมุนไพรอื่นๆ

    ด้าน นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สมุนไพรที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคไข้หวัดมีหลายชนิด ได้แก่ กระเทียม หอมแดง หอมใหญ่ ขิง ข่า ตะไคร้ กะเพรา ฯลฯ โดยเมนูที่แนะนำให้ทานในช่วงเวลานี้ ได้แก่ แกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ยำปลาทู เพราะมีสมุนไพร ขิง หัวหอมมาก นอกจากนี้ยังมีน้ำพริกกินกับผักต่างๆ อาทิ คาวตองผักพื้นบ้านของภาคเหนือ และอีสาน

    “ผลไม้ทุกชนิดที่มีรสเปรี้ยว อาทิ ส้ม มะขามป้อม ฝรั่ง ฯลฯ น้ำสมุนไพรทั้ง น้ำฝรั่ง น้ำขิง น้ำมะขาม น้ำตะไคร้ ชาเห็ดหลินจือ เบญจขันธ์ ฯลฯ ซึ่งบางรายป่วยดื่มน้ำขิงแก่ โดยนำขิงแก่ไปต้มกับน้ำดื่มประมาณ 1-2 วันก็หาย ไม่ต้องไปโรงพยาบาล หรือหากมีไข้ในช่วง 1-2 วันแรกให้ทานสมุนไพรดูแลอาการก่อนไปโรงพยาบาลอาทิ ฟ้าทะลายโจร จันทลีลา แก้ปวดเมื่อย ยาเขียวหอม หากไอ ยาอมมะขามป้อม มะแว้ง”นพ.นรา กล่าว

    คัดจาก ผู้จัดการออนไลน์ 16 ก.ค.2552
    www.herbalone.net - 
     
  2. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ข้อควรระวัง ฟ้าทะลายโจรอาจไม่ดีนักกับผู้ที่มีความดันต่ำ ศึกษาผลข้างเคียงก่อนใช้ยานะคะ และใช้ได้ดีมากกับอาการร้อนใน

    ตอนที่ตัวเองป่วยเริ่มมีอาการหวัด ใช้ ยาเขียว 7 เม็ด ฟ้าทะลายโจร 2 เม็ด
    เพียง2ครั้งอาการก็ดีขึ้นมาก

    ตอนที่คนรอบตัวป่วย ใช้ จันทลีลา 3 เม็ด ยาเขียว 7 เม็ด อาการก็ดีขึ้นมากจนเกือบปกติ

    มีอะไรก็มาบอกกัน สมุนไพรไทยมห้ศจรรย์จริงๆ ศึกษาจากผู้รู้แล้วลองใช้ดูนะคะ

    ขอให้รอดพ้นจากโรคหวัด2009ในครั้งนี้ทุกท่านค่ะ
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สมุนไพรของไทยเราหลายตัวต่างชาติที่เขานำไปวิจัยด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย พบว่ามีสรรพคุณหลายอย่าง อย่างเช่น "เปล้าน้อย"นี่เกือบจะถูกนำไปจดลิขสิทธิ์เป็นของเขาไปแล้ว(เหมือนอย่างกรณีนวดแผนไทยถูกตั้งเป็นชื่อฤาษีดัดตนเป็นต้น) เป็นยาที่ช่วยเรื่องการอักเสบของกระเพาะอาหาร

    จันทลีลา คือเป็นสมุนไพรแก้อาการปวดหัว มีส่วนผสมของรากปลาไหลเผือก และลูกบอระเพ็ด รวมกันเรียกจันทลีลาครับ...


    เปล้าน้อยไทยในมือญี่ปุ่น

    โดย ฝ่ายข้อมูล ไบโอไทย (4 พ.ค. 46, 10:11 น.)

    เปล้าน้อย คือกรณีตัวอย่างคลาสสิคที่มักเป็นตัวอย่างแรกๆเพื่ออธิบายถึงกรณีโจรสลัดชีวภาพในประเทศไทย แม้บัดนี้ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง
    กรณีที่สังคมต้องสูญเสียผลประโยชน์อันเกิดขึ้นจากระบบสิทธิบัตร คนส่วนใหญ่ยังคงนึกถึงกรณีเปล้าน้อยได้เสมอ

    ความเป็นมา
    เปล้าน้อย(Croton sublyratus)เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทย มีลักษณะเป็นไม้พุ่มไม่สูงมากนัก พบขึ้นกระจายทั่วไป
    ในประเทศไทย มีการระบุไว้ในสมุดข่อยโบราณว่าเปล้าทั้งสอง(คนโบราณมักจะเรียกควบกันว่าเปล้าน้อยและเปล้าใหญ่)
    มีสรรพคุณโดยใช้ใบในการบำรุงธาตุ ใช้ดอกแก้พยาธิ ลูกดองสุรากินขับโลหิตระดูในเรือนไฟ เปลือกและกะพี้ช่วยย่อยอาหาร แก้เลือดร้อน แก่นขับเลือดหนองให้ตกและขับไส้เดือน รากขับผายลม

    ในระหว่างปี พ.ศ. 2513-2517เปล้าน้อยมีรายชื่ออยู่ในรายงานการร่วมมือศึกษาวิจัยในโครงการช่วยเหลือของญี่ปุ่น
    ที่ให้แก่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อาจเป็นไปได้ว่าภาคเอกชนของญี่ปุ่นได้รับข้อมูล
    เกี่ยวกับประโยชน์ของเปล้าน้อยอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ก่อนหน้าปี 2517 เป็นต้นไป และทำให้บริษัทซังเกียว
    เห็นศักยภาพที่จะสกัดเปล้าน้อยเป็นยา

    อย่างไรก็ตาม ในงานเขียนของ นายชนะ พรหมเดช(ชนะ พรหมเดช 2538) เรื่อง " เปล้าน้อยกับศาสตราจารย์ ดร. เต็ม
    สมิตินันทน์ กลับให้ข้อมูลว่าความสนใจในเรื่องเปล้าน้อยนั้นเริ่มต้นจากฝ่ายญี่ปุ่นเองโดย "…เริ่มจากการที่นักวิจัยญี่ปุ่น
    ประจำบริษัทซังเกียว (ดร. โอกิโซและคณะ)ได้สังเคราะห์สารเคมีชนิดหนึ่ง (C20 H34 O2) ขึ้นในปี 2508 ซึ่งมีคุณสมบัต
    ิในการรักษาโรคกระเพาะ แต่ปรากฎวาสารดังกล่าวมีผลข้างเคียงมากเกินกว่าที่จะใช้ผลิตยา

    นายอนันต์ เหล่าพาณิชย์ ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซังเกียวในประเทศไทยได้แนะนำให้สกัดตัวยาดังกล่าวจากพืชสมุนไพร และได้จัดส่งสมุนไพรแห้งชนิดต่างๆ ไปให้ที่ญี่ปุ่น เพื่อดูว่าจะมีตัวยาดังกล่าวอยู่ในพืชชนิดใด จนกระทั่งค้นพบว่า
    ในตัวอย่างที่ 684 มีสารดังกล่าวเมื่อตรวจโดยใช้วิธี thin chromatography ตัวอย่างที่ 684 คือสมุนไพรของไทย
    ที่เรียกว่า เปล้าน้อย…" การค้นหาแหล่งผลิตของเปล้าน้อยในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2516 โดยที่นายอนันต์
    นำคณะวิจัยญี่ปุ่นเข้าพบเลขานุการกรมป่าไม้ และเริ่มค้นหาแหล่งธรรมชาติของพืชชนิดนี้ หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จ
    จากการติดตามจากร้านขายยาที่ได้ตัวอย่างที่ใช้วิเคราะห์ และค้นคว้าตามภาควิชาพฤกษศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ
    นายจำลอง เพ็งคล้าย ผู้เชี่ยวชาญพฤษศาสตร์ป่าไม้ กรมป่าไม้ ได้แนะนำให้ไปค้นตรวจสอบประวัติ ณ หอพรรณไม้
    กรมป่าไม้ พบว่ามีพรรณไม้พวก เปล้าน้อย แต่เป็นชนิด Croton Joufra ต่อจากนั้นนายอนันต์, ดร.อากิระ, นายอิวาโอะ มิกุริยา(ผู้ช่วยของดร.อากิระ) และนายชนะ พรหมเดช นักพฤกษศาสตร์ ได้ร่วมกันสำรวจพรรณไม้เปล้าน้อยตามภาคต่างๆ
    ในประเทศไทย จนกระทั่งได้พบ "เปล้าน้อย"(Croton sublyratus)ในที่สุด โดยพบขึ้นอยู่ริมทางถนนในท้องที่ตำบล
    โนนห้อม จังหวัดปราจีนบุรี ต่อจากนั้นพรรณไม้ชนิดนี้ก็ถูกค้นพบอีกในบริเวณตำบลห้วยยาง และตำบลห้วยทรายจังหวัด
    ประจวบคีรีขันธ์

    หลังจากนั้น ดร.อากิระ จึงได้จัดทำแปลงทดลองในพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ขึ้นในทั้งสองจังหวัด เพื่อศึกษาอย่างใกล้ชิด
    และวิจัยหาส่วนของเปล้าน้อยที่ให้สารออกฤทธิ์สูงสุด ผลการวิจัยสรุปว่าส่วนที่เป็นใบให้ตัวยาสูงกว่าส่วนที่เป็น ลำต้น,
    กิ่งก้าน และราก อีกทั้งยังพบว่าต้นเปล้าน้อยที่ปลูกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นั้นให้ตัวยาสูงกว่าที่ปลูกที่จังหวัดปราจีนบุรี
    ซึ่งสารสกัดดังกล่าวมีชื่อย่อว่า CS 684 ซึ่งมีฤทธิ์ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

    ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 เอกสารการค้นคว้าทางวิชาการของห้องวิจัยกลาง บริษัท ซังเกียว จำกัด (Sankyo Co.,Ltd.) ระบุว่า "งานค้นคว้าของเราคือการค้นหาสารที่ใช้รักษาแผลในกะเพาะอาหาร จากพืชสมุนไพร เราพบว่า สารสกัดที่ได้จากเปล้าน้อย
    ในเมืองไทย มีผลในการรักษาแผลเรื้อรังในหนู ที่เกิดจากการใช้สารรีเซอร์ปีนกระตุ้นให้เกิดแผล ..." และในปี 2526 ญี่ปุ่นได้นำสารดังกล่าวไปจดทะเบียนกับองค์การอนามัยโลก(The World Health Organization =WHO) ภายใต้ชื่อ
    "เปลาโนทอล(Plaunotol)"

    การลงทุนในประเทศไทย
    ปีเดียวกับที่บริษัทซังเกียวได้จดทะเบียนยาเปลาโนทอลต่อองค์การอนามัยโลก บริษัทนี้ได้ร่วมมือกับนายอนันต์ เหล่าพาณิชย์
    จัดตั้งบริษัทไทยซังเกียวขึ้น มีเงินลงทุนประมาณ 250-300 ล้านบาท โดยกู้เงินเพื่อการลงทุนจากบริษัทซังเกียวประเทศ
    ญี่ปุ่น เป็นหลัก ในปี 2528 บริษัทซังเกียวได้รับอนุญาตจากองค์การบริหารยาของญี่ปุ่นให้ผลิตยาจากเปล้าน้อยนี้ออก
    จำหน่าย โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า "เคลเน็กซ์" (Kelnac) ใช้รักษาแผลในกระเพาะและลำไส้ ในปี 2529 บริษัทได้สร้าง
    โรงงานอบใบเปล้าน้อย ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อใช้อบใบแห้งที่มีผลผลิตประมาณ 1,700 ตันต่อปี จากพื้นที่ปลูก
    ประมาณ 7,000 ไร่ โดยมีเงินลงทุนสำหรับ "ค่าใช้จ่ายในการซื้อที่ดิน เครื่องจักร ยานพาหนะ อุปกรณ์ในการเพาะปลูก
    แปลงเพาะชำ โรงงานอบแห้ง โรงงานอัดแท่ง เป็นเงิน 58 ล้านบาท" ต่อมาได้สร้างโรงงานสกัดสาร "เปลาโนทอล" โดย
    ใช้สารทำละลาย เป็นเงิน 120 ล้านบาท รวมทั้งสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพทางพืช เพื่อศึกษาขยายพันธ
    โดยวิธีเพาะเนื้อเยื่อแทนการใช้พันธุ์เดิมจากป่า ซึ่งให้ผลผลิตซึ่งมีตัวยาต่ำ

    ปัจจุบันบริษัท ไทยซังเกียว จำกัด ดำเนินกิจการผลิตสารสกัดจากเปล้าน้อย เพื่อส่งออกให้แก่บริษัท ซังเกียว ที่ญี่ปุ่นนำไป
    ผลิตยา Kelnac การผลิตของบริษัทเริ่มจากการปลูกต้นเปล้าน้อยในที่ดินของบริษัทฯ เก็บใบสดมาตากและอบแห้ง แล้วสกัดตัวยาจากใบแห้งโดยใช้สารทำละลาย บริษัทไม่เปิดเผยข้อมูลด้านปริมาณการผลิต แต่ประมาณว่าจะผลิตได้
    ประมาณ 1,700 ตันใบแห้งจากพื้นที่ประมาณ 7,000 ไร่ มีการจ้างคนงานเพื่อการปลูกและเก็บใบยาประมาณ 1,000 คน บริษัทไม่ได้ซื้อใบเปล้าน้อยจากชาวบ้านโดยตรงเนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ ทั้งนี้สารสกัดที่ได้ขายให้กับ
    บริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยตกลงทำการซื้อขายกันล่วงหน้าเป็น ปีๆ โดยบริษัทแม่จะนำสารสกัดที่ได้ไปผลิตเป็นยา
    เคลเน็กซ์

    ตลาดของยา Kelnac อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ในประเทศไทยมียาชนิดนี้ผ่านทางบริษัทขายยาของนายอนันต์
    เหล่าพาณิชย์ เท่านั้น เนื่องจากบริษัทแม่ไม่มีนโยบายที่จะขายยานี้ในประเทศไทย จากรายงานของ
    โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง เมื่อปี 2528 ราคาของเคลเน็กซ์ขายในราคาเม็ดละ 30 บาท


    ข้อวิจารณ์ต่องานศึกษาเรื่อง"เปล้าน้อย กรณีศึกษาเรื่องการเข้าถึงและการแบ่งปันผมประโยชน์
    จากทรัพยากรชีวภาพ" งานวิจัยของเลอสรรและคณะเรื่อง "รายงานโครงการศึกษากฏหมายที่เกี่ยวข้อง
    ในการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน : การเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการแบ่งปัน
    ผลประโยชน์"


    โดยรวมเป็นงานศึกษาเพื่อนำเสนอแนวทางนโยบายและกฏหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรชีวภาพที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม
    รายงานการศึกษาในบทที่สี่ เรื่อง "เปล้าน้อย กรณีศึกษาเรื่องการเข้าถึงและการแบ่งปันผมประโยชน์
    จากทรัพยากรชีวภาพ" ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นงานศึกษาที่รอบด้านครอบคลุมเพียงพอที่จะสรุปได้ว่า
    "เมื่อพิจารณาในเชิงเศรษฐศาสตร์เป็นหลักพบว่า ในด้านธุรกิจ การผลิตเปล้าน้อยเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูง
    และเมื่อพิจารณาในเชิงเศรษฐศาสตร์เห็นได้ว่า มูลค่าเพิ่มต่อไร่จากกิจกรรมดังกล่าวสูงกว่าการใช้พื้นที่อย่างที่เคยเป็นอยู่
    คือการปลูกสับปะรดหรือปลูกอ้อยโรงงาน ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าการพัฒนาเปล้าน้อยที่เป็นมานี้ เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย
    ในเชิงเศรษฐศาสตร์ แต่ไม่มีการแบ่งปันผลประโยชน์กลับมายังชุมชน" (บทสรุปสำหรับผู้บริหาร )

    ในรายงานฉบับดังกล่าวได้จำแนกให้เห็นรายละเอียดผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับดังต่อไปนี้
    " ผลตอบแทนที่ประเทศไทยได้จากการพัฒนาเปล้าน้อยโดยบริษัทไทยซังเกียวจำกัด มีมูลค่าปีละประมาณ 160 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากการใช้พื้นที่ผลิตสัปปะรดกระป๋องประมาณ 64 ล้านบาท โดยที่เป็นค่าตอบแทนแรงงาน ค่าเสื่อมราคา และกำไรและภาษี"

    รายงานดังกล่าวยังอ้างอีกว่า "ข้อวิจารณ์ที่ว่าประเทศไม่ได้อะไรเลยจากการพัฒนาเปล้าน้อยเป็นการวิจารณ์
    ที่ไม่มีการนำผลประโยชน์ทางอ้อมมาคิด เช่นการที่ประเทศไทยได้มูลค่าเพิ่มจากการผลิตสารดังกล่าวเป็นสินค้าส่งออก ประเทศไทยจึงได้ประโยชน์อย่างน้อย 3 ประการ คือ (1) รายได้ของผู้ที่ทำงานกับบริษัท (2) กำไรของบริษัท ซึ่งส่วนหนึ่งได้ถ่ายโอนให้แก่รัฐในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนที่เหลือก็เป็นส่วนแบ่งของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นฝ่ายไทย 51%
    (3) เงินตราต่างประเทศที่ได้จากการส่งออกสารสกัดจากเปล้าน้อย " "มูลค่าเพิ่มจากการใช้ที่ดินปลูกและแปรรูปเปล้าน้อยมีค่า
    ถึงมากกว่าสองหมื่นบาทต่อไร่ ส่วนมูลค่าเพิ่มต่อไร่
    ที่ได้จากการปลูกและแปรรูปสับปะรดมีค่าน้อยกว่าคือ 13,688 บาท ส่วนมูลค่าเพิ่มจากการปลูกและแปรรูปอ้อยนั้น
    มีค่าเพียง 5,024 บาท ดังนั้นการใช้ที่ดินเพื่อการปลูกเปล้าน้อยและการแปรรูปอย่างที่ทำอยู่จึงให้ผลตอบแทนสูงกว่า
    การใช้ที่ดินเพื่อการปลูกอ้อยหรือสับปะรดอย่างที่ทำอยู่ก่อน"

    งานศึกษาชิ้นนี้ยังอ้างอีกว่า " การที่บริษัทซังเกียวได้รับสิทธิบัตรในกรรมวิธี 1 กรรมวิธีในการสกัดตัวยาเปลาโนทอล
    ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้เปล้าน้อยเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้มีการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเปล้าน้อย
    ต่อไป ดังมีตัวอย่างที่เห็นได้ 2 กรณีด้วยกัน คือ กรณีที่ 1 การวิจัยเรื่อง กรรมวิธีสกัดและแยกสารเปลาโนทอลให้บริสุทธิ์ ซึ่งดำเนินการโดยรองศาสตราจารย์นลิน นิลอุบล และคณะ จากสถาบันเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ โดยที่ดำเนินการในช่วง พ.ศ. 2521-2532 และได้รับรางวัลจากสภาวิจัยแห่งชาติในปี พ.ศ. 2537 ปัจจุบันกระบวนการนี้
    ได้รับสิทธิบัตรที่ประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา มีการตกลงทำสัญญากับภาคเอกชนในประเทศที่จะร่วมกันพัฒนา
    ตั้งแต่วัตถุดิบขึ้นมา กรณีที่ 2 มีการวิจัยโดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยได้ค้นพบกระบวนการ
    ผลิตสารเปลาโนทอลโดยใช้เอนไซม์ มีการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรผลการค้นพบนี้ ในปี 2541

    จากตัวอย่างดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเปล้าน้อยยังสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยอิสระจากเจ้าของสิทธิบัตรเดิม แต่หากจะมีการนำกระบวนการเหล่านี้ไปผลิตสารเปลาโนทอลจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นที่บริษัท ซังเกียว ได้ขอรับสิทธิบัตรในสารเปลาโนทอลไว้ จะต้องมีข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญากับบริษัทซังเกียว ยกเว้นการจำหน่ายในประเทศ
    ซึ่งไม่ให้การคุ้มครองสารเปลาโนทอล เช่นประเทศไทย

    อย่างไรก็ตามผลเสียประการสำคัญที่เลอสรร และคณะเห็นก็คือ ข้อสังเกตเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของ
    เปล้าน้อย ระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายญี่ปุ่น จำเป็นต้องศึกษาจากข้อมูลเชิงปริยาย แต่จากข้อมูลที่ได้ เงินลงทุนเป็นเงินกู้
    จากญี่ปุ่น ไม่ใช่เงินที่ได้จากการระดมทุนภายในประเทศ เทคโนโลยีที่ใช้ส่วนหนึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อการผลิตในประเทศไทย เช่น การคัดเลือกพันธุ์ที่มีสารตัวยาสูง ไปจนถึงการสกัดสารตัวยาขั้นต้น หากนักวิจัยของรัฐ ได้มีโอกาสร่วมอยู่ในโครงการดังกล่าว
    ก็อาจถือได้ว่ามีการถ่ายทอดเทคโนโลยีขึ้นบ้างในส่วนที่ไม่ใช่หัวใจของกระบวนการผลิตสารเปลาโนทอล แต่ในสภาพจริง
    มีนักวิจัยไทยทำงานให้บริษัทอยู่จำนวนไม่มาก และ ไม่มีการถ่ายทอดออกมานอกบริษัท และหากพิจารณาว่า
    การพัฒนาขั้นต่อไปของยานี้กระทำที่ญี่ปุ่น ก็ยิ่งไม่มีโอกาสในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี

    กล่าวโดยรวม งานวิจัยของเลอสรรดูเหมือนเป็นงานเขียนแรกๆของชาวไทยที่มองกรณีเรื่องเปล้าน้อยในแง่บวกมาก
    กว่าแง่ลบ และมีความโน้มเอียงที่จะมองว่าทัศนคติในแง่ลบต่อการผลิตเปล้าน้อยของบริษัทไทยซังเกียวนั้นเกิดขึ้นจาก " .การมีข้อมูลไม่ครบถ้วน และทางผู้ประกอบการเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูล แต่ใช้วิธีเพิกเฉยต่อคำวิจารณ์
    จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าประเทศไทยไม่สนับสนุนการที่จะสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศในการศึกษาวิจัย
    เพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ "

    นี่เป็นทัศนคติของนักวิชาการเศรษฐศาสตร์กระแสหลักส่วนใหญ่โดยแท้ที่มองว่าการลงทุนจากต่างประเทศและ
    ความร่วมมือในการวิจัยกับต่างประเทศนำมาซึ่งผลประโยชน์ต่อประเทศมากกว่าผลในแง่ลบ แม้งานวิจัยย่อย
    ที่ว่าด้วยเปล้าน้อยจะอ้างว่าเป็น "รายงานทางเศรษฐศาสตร์เป็นหลัก" แต่ในรายงานส่วนดังกล่าว ยังได้สะท้อนให้เห็นแง่มุม
    ทัศนคติและวิธีการมองที่โน้มเอียงบางประการดังต่อไปนี้

    1) งานศึกษานี้ได้ใช้ข้อมูลที่เป็นงานเขียนของ ชนะ พรหมเดช ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี 2538 เป็นหลักโดยมิได้ตรวจสอบกับ
    ข้อมูลอื่นๆ นักวิจัยเชื่อข้อมูลที่ได้มาจากฝ่ายญี่ปุ่นเป็นหลักเกี่ยวกับแรงจูงใจในการค้นหาเปล้าน้อยว่าเกิดขึ้นจากความต้องการ
    เทียบเคียงกับข้อมูลการค้นพบทางเคมีของนักวิจัยของบริษัทซังเกียวจากญี่ปุ่นเป็นสาเหตุสำคัญ และนำไปสู่การสรุปผลว่า
    การศึกษาเรื่องเปล้าน้อยมิได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยแต่ประการใด ทั้งๆที่ผู้เล่าเรื่องคนดังกล่าว เป็นผู้ที่มีส่วนได้เสีย
    กับบริษัทไทยซังเกียวในฐานะที่เป็นหนึ่งในทีมสำรวจเรื่องเปล้าน้อยในช่วงเวลาดังกล่าว และปัจจุบันเขายังคงได้รับ
    ค่าตอบแทนเป็นรายเดือนจากบริษัทซังเกียว ประเทศญี่ปุ่น ข้อเขียนและข้อมูลในเอกสารดังกล่าวควรจะถูกตรวจสอบ
    ก่อน มากกว่าจะถูกใช้เป็นเอกสารอ้างอิงที่ปราศจากการตรวจสอบใดๆดังที่เป็นอยู่

    เลอสรรและคณะ ได้ใช้ข้อมูลจากเอกสารตำรายาที่มีการตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องเปล้าน้อย และสรุปว่าคุณสมบัติ
    การรักษาโรคกระเพาะอาหารไม่มีอยู่ในสารบบภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของไทย นี่เป็นการตีความจากความเข้าใจ
    ของผู้วิจัยที่ไม่ได้เข้าใจเรื่องภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของไทยทั้งนี้เนื่องจากตำรายาแผนโบราณมิได้ใช้คำว่าโรค
    กระเพาะอาหารตรงๆแต่จะใช้คำอื่นๆที่หมายความรวมถึงโรคกระเพาะอาหาร

    อย่างไรก็ตาม การส่งตัวอย่างสมุนไพรไทยหลายร้อยชนิดของนายอนันต์ เหล่าวาณิชย์เพื่อให้ซังเกียวตรวจสอบ
    ที่ประเทศญี่ปุ่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ได้ใช้ความรู้จากความรู้พื้นบ้าน เนื่องจากหากบริษัทต้องการตรวจสอบพืช
    ที่มีคุณสมบัติเคมีดังที่บริษัทต้องการจริงโดยไม่อาศัยฐานความรู้จากหมอพื้นบ้านเลย ญี่ปุ่นอาจต้องการตัวอย่าง
    ในการตรวจสอบเป็นหมื่นชนิดจึงจะมีโอกาสพบพืชที่ตนเองต้องการ

    2) การสรุปว่า "การพัฒนาเปล้าน้อยที่เป็นมานี้ เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในเชิงเศรษฐศาสตร์" ของคณะ ชี้ให้เห็นว่าผู้วิจัยได้ข้อสรุปดังกล่าวจากการใช้แง่มุมทางเศรษฐศาสตร์ในแง่มุมแคบๆ กล่าวคือได้ใช้ข้อมูลการวิเคราะห
    ์เปรียบเทียบระหว่างการปลูกเปล้าน้อยกับการปลูกพืชเช่นสับปะรดและอ้อยโรงงาน และมองสิ่งที่สังคมไทยได้รับ
    จากรายได้จากการจ้างงาน ผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย การเสียภาษี และเฉพาะเงินตราจากการส่งออกสารสกัด เป็นหลัก

    นี่เป็นตัวอย่างจากการใช้เศรษฐศาสตร์ในแง่มุมแคบๆซึ่งในที่สุดแล้วเป็นการสนับสนุนต่อระบบเศรษฐกิจกระแสหลัก
    ของไทยที่เน้นการลงทุนจากต่างชาติ และพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ แท้ที่จริงแล้ว เราอาจสามารถใช้เศรษฐศาสตร์
    มาพิจารณาปัญหาเรื่องเปล้าน้อยในเชิงรุกได้ ยกตัวอย่างเช่นการศึกษาเปรียบเทียบรายได้จากสังคมไทย
    ควรจะได้รับในกรณีการตั้งบริษัทไทยซังเกียวกับในกรณีที่เราสามารถพัฒนาพัฒนายาแผนปัจจุบันจากเปล้าน้อยได้เอง
    โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทซังเกียวจากประเทศญี่ปุ่นน เป็นต้น

    3) การที่เลอสรรและคณะสรุปว่า " การที่บริษัทซังเกียวได้รับสิทธิบัตรในกรรมวิธี 1 กรรมวิธีในการสกัดตัวยาเปลาโนทอล
    ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้เปล้าน้อยเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้มีการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเปล้าน้อย
    ต่อไป " เป็นข้อสรุปที่ไม่ถูกต้องเนื่องจาก

    ประการแรกองค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิชาการที่สนใจเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเปล้าน้อยมิได้สนใจประเด็นว่า
    การได้รับสิทธิบัตรในกรรมวิธีการสกัดเป็นอุปสรรคต่อการใช้เปล้าน้อยเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน แต่เห็นว่า
    การที่บริษัทดังกล่าวได้สิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิต และสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ในตัวสารเปลาโนทอล ซึ่งมีที่มาจากพันธุกรรม
    และภูมิปัญญาของไทยนั้นเป็นการขโมยภูมิปัญญาพื้นบ้านและเป็นการปิดกั้นการวิจัยและพัฒนาของไทย แท้ที่จริงแล้วกระแสเรียกร้องในกรณีเปล้าน้อยดังกล่าวนี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่ประสานกับเสียงเรียกร้องในสิทธิของชุมชน
    ท้องถิ่นทั่วโลกที่ทำให้มีข้อตกลงระหว่างประเทศได้บรรจุหลักการเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม
    เกิดขึ้นทั้งในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและเวทีอื่นๆ

    ประการที่สอง การที่เลอสรรและคณะเห็นว่า การให้สิทธิบัตรแก่บริษัทซังเกียวเป็นการกระตุ้นการวิจัยเรื่องเปล้าน้อย
    ในประเทศไทยก็ไม่เป็นความจริง การวิจัยเรื่องเปล้าน้อยมิได้เกิดขึ้นเนื่องจากการนำเอากรรมวิธีของบริษัทซังเกียว
    ที่จดสิทธิบัตรเอาไว้มาพัฒนา แต่เป็นการใช้กรรมวิธีอื่นๆในการสกัด การให้สิทธิบัตรทั้งกรรมวิธีการผลิตและผลิตภัณฑ์ต่างหาก
    ที่ที่ปิดกั้นมิให้นักวิจัยไทยสามารถพัฒนากรรมวิธีและผลิตภัณฑ์ที่เขาจดสิทธิบัตรเอาไว้

    คำกล่าวที่ว่าการให้สิทธิบัตรแก่บริษัทซังเกียวเป็นการกระตุ้นการวิจัยเรื่องเปล้าน้อยในประเทศไทย ไม่แตกต่างใดๆจาก
    คำพูดที่ว่า "ยอมเสียดินแดนบางส่วนของชาติเพื่อรวมใจคนในชาติให้ปกป้องดินแดนส่วนที่เหลือ" นั่นเอง

    แท้ที่จริงแล้วการที่กฏหมายสิทธิบัตรในอดีตของไทยห้ามมิให้มีการจดสิทธิบัตรในผลิตภัณฑ์ยา และห้ามการจดสิทธิบัตร
    ในสารสกัดจากพืชต่างหาก ที่ทำให้นักวิจัยไทยสามารถใช้กรรมวิธีอื่นๆมาผลิตเปลาโนทอลเพื่อใช้ในประเทศไทยได้ เนื่องจากซังเกียวไม่สามารถจดสิทธิบัตรสารเปลาโนทอลในประเทศไทย

    ถึงกระนั้นก็ตามเราก็ไม่อาจผลิตสารเปลาโนทอลในประเทศซึ่งบริษัทญี่ปุ่นไปจดสิทธิบัตรสารเปลาโนทอลไว้แล้ว
    ในทางกลับกัน เราอาจกล่าวได้ว่ากระแสการปกป้องทรัพยากรและภูมิปัญญาของชาติจากการกระทำ
    ของต่างชาติต่างหากที่ปลุกกระตุ้นให้เกิดการวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรมากขึ้น ในหลายกรณีการต่อต้านระบบสิทธิบัตร
    ที่ผลักดันโดยประเทศอุตสาหกรรม เช่น การต่อต้านสิทธิบัตรยา การต่อต้านสิทธิบัตรในผลิตภัณฑ์ยา การต่อต้านสิทธิบัตร
    ในสิ่งมีชีวิต เป็นต้น ที่ทำให้เรามีช่องว่างในทางกฏหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีของเราได้บ้าง
     
  4. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,438
    ผมถูกแค่ 3 ตัวหลังเองครับ (769 816) ถ้าหาที่ซื้อ(ใต้ดิน)ที่แม่สะเรียงได้ โดนเต็มๆครับ :)
     
  5. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,438
    ครับผม...ผมเอง งานนี้ก็จะให้เพื่อนช่วยขับรถมาส่งครับ เขาเป็นคนดีและเก่งมากๆ สมัยบวชเรียนด้วยกัน (ราว 5-6 ปี) เขาเองเป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก ตอนนี้เป็นผู้บริหาร บ.ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง กะลังดูว่าจะถามถึงความเหมาะสมอยู่เหมือนกันครับ ซึ่งก็อาจจะให้แวะเข้ามาไหว้พระอาจารย์ อาจารย์ปู่ และคุณหนุ่ม พอเราเริ่มประชุมก็จะให้เขาออกไปก่อนประมาณนี้ครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เหอๆๆ ผมก็ไม่เฉียดเหมือนกัน 851 72 27 คิคิคิ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ถ้าไม่มีโชค ยังไงก็ไม่ถูกครับ

    ประสบการณ์ส่วนตัวผมเต็มๆ และประสบการณ์ที่พี่ใหญ่เล่าให้ฟังครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ต้องลองถามดูก่อนครับว่า สนใจจะศึกษาเรื่องของพระวังหน้าหรือไม่ หากไม่มีการปรามาส ก็ร่วมรับฟังกันก็ได้ครับ ไม่มีปัญหา

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  10. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    คุณ สิทธิพงศ์
    ผมมีพระพิมพ์อยู่จำนวนหนึ่งอยากจะนำไปให้ ทาง ท่านอาจารย์ ประถม และ กลุ่มสมาชิกเรา ได้ช่วยกันพิจารณา จะได้ไหมครับ.
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ psombat [​IMG]
    ครับผม...ผมเอง งานนี้ก็จะให้เพื่อนช่วยขับรถมาส่งครับ เขาเป็นคนดีและเก่งมากๆ สมัยบวชเรียนด้วยกัน (ราว 5-6 ปี) เขาเองเป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก ตอนนี้เป็นผู้บริหาร บ.ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง กะลังดูว่าจะถามถึงความเหมาะสมอยู่เหมือนกันครับ ซึ่งก็อาจจะให้แวะเข้ามาไหว้พระอาจารย์ อาจารย์ปู่ และคุณหนุ่ม พอเราเริ่มประชุมก็จะให้เขาออกไปก่อนประมาณนี้ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เอ่อ ผมอ่านไม่ละเอียด มาอ่านอีกรอบ ต๊กกะใจครับ

    มาไหว้หลวงปู่ดีครับ มาไหว้ท่านอาจารย์ประถมดีครับ

    เอ่อ ไม่ต้องไหว้ผมครับ ผมยังอ่อนอาวุโสอยู่ครับ ยังไม่แก่ หน้าผมยังอ่อนอยู่เลยครับ อิอิ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ถ้าได้เห็นหน้ากัน หน้าผมเทียบกับหน้าคุณเพชร หรือคุณnongnooo ผมว่า หน้าผมยังอ่อนอาวุโสกว่าทั้งสองท่านอีก คิคิคิ

    ;ปรบมือ (good)
    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ระวัง!! โจรปล้นรถยนต์หัวหมอ กับวิธีปล้นแบบใหม่

    ภัยใกล้ตัว เตือนภัย โจรปล้นรถยนต์หัวหมอ กับวิธีปล้นแบบใหม่


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ข้อมูลจาก Forward Mail

    เรื่องที่เรานำมาฝากวันนี้ เป็นภัยใหม่เอี่ยมที่ทางตำรวจเตือนมา เพราะเคยมีผู้เคราะห์ร้าย ตกเป็นเหยื่อโจรปล้นรถยนต์หัวหมอเหล่านี้มาแล้ว...

    เรื่องมีอยู่ว่า... ลองนึกภาพตามดู ท่านกำลังเดินมาในลานจอดรถ เปิดประตูรถและเข้าไปในรถ ท่านล็อคประตู แล้วสตาร์ทรถยนต์ และเข้าเกียร์เพื่อถอยรถ ขณะนั้นท่านมองที่กระจกส่องหลังที่อยู่หน้าคนขับ เพื่อมองทางที่จะถอย ทันใดนั้นก็เห็นว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่กลางกระจกรถด้านหลัง ท่านก็ต้องเปลี่ยนเกียร์มาที่ตำแหน่งเพื่อจอดรถ แล้วเปิดประตูออกจากรถเพื่อจะลงไปเอากระดาษที่ติดอยู่ออก เพราะทำให้การมองเห็นไม่ดี ขณะที่เดินถึงด้านหลังของรถ จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ กระโดดเข้าไปในรถและขับรถออกไป ขณะที่เครื่องยนต์กำลังติดอยู่ (เจ้าของรถที่เป็นผู้หญิงจะมีกระเป๋าถือวางอยู่ในรถด้วย) รถที่ออก ก็จะพุ่งออกไปด้วยความเร็ว ท่านต้องหลีกเพราะกลัวถูกชน

    โปรดระวัง!! โจรปล้นรถยนต์บางรายเริ่มใช้วิธีนี้แล้ว

    วิธีที่ดีและปลอดภัย คือ ท่านขับรถออกไปเลย ปล่อยให้กระดาษติดอยู่ที่กระจกแบบนั้นแหละ นึกไว้เลยว่า... เราโดนโจรเล่นงานแล้ว หลังจากที่ออกรถไปจากลานจอดรถที่น่าสงสัยนั้นได้ ท่านค่อยเอากระดาษที่ติดอยู่ออกทีหลัง

    เรียกได้ว่าเป็น "ภัยใกล้ตัว" ที่น่ากลัวมากๆ ควรบอกต่อไปให้กับคนที่คุณรัก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ในกระเป๋าถือมีบัตรประชาชน และแน่นอนถ้าตกอยู่ในมือของมิจฉาชีพย่อมไม่ดีแน่...
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    จับหมอเก๊ แชทลวงทั้งเงิน - ทั้งตัว แฉล่าเหยื่อผ่านคิวคิว

    ᪷?ԇ?ԇ ˅͡৔??ר͠ŨҊش˹ب?18 ⴹ?ѺᅩǦlt;/a>


    [​IMG]


    จับหมอเก๊ แชทลวงทั้งเงิน - ทั้งตัว แฉล่าเหยื่อผ่านคิวคิว กล่อมพาเข้าโรงแรม เสร็จแล้วยืมเงิน - เผ่น (ข่าวสด)

    จับหนุ่ม 18 มงกุฎอ้างเป็นหมอหลอกล่าเหยื่อสาวทางอินเตอร์เน็ต ผ่านโปรแกรมแชท "คิวคิว" อาละวาดในแถบอีสาน ใช้วิธีพูดคุยจนเหยื่อตายใจยอมออกมาพบ พาไปกินอาหารอย่างดีก่อนจบที่โรงแรม สักพักเริ่มลายออกอ้างเงินขาดมือขอยืมทรัพย์สินไปจำนำ พอได้จนพอใจก็เผ่นหนีปิดมือถือ มีเหยื่อถูกหลอก 2 รายซ้อน ก่อนตำรวจตามรวบได้เพราะเหยื่อรายหนึ่งไปเจออยู่ในร้านอาหารโดยบังเอิญ สารภาพก่อเหตุมาหลายครั้ง และจะย้ายไปตามจังหวัดต่างๆ โดยไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง​

    จิ้งจอกสังคมหลอกล่าเหยื่อสาวทางเน็ตจนมุม เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พล.ต.ต.รณพงษ์ ทราบแก้ว ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ แถลงข่าวจับกุมนายศศิพงศ์ หรืออาร์ท อนุรุด อายุ 26 ปี บ้านเดิมอยู่เลขที่ 52 หมู่ 4 ต.กลางเวียง อ.เวียงสา จ.น่าน ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ หลังได้รับแจ้งจาก น.ส.เอ๋ (นามสมมติ) และน.ส.บี (นามสมมติ) ว่าถูกนายศศิพงศ์ อ้างตัวเป็นแพทย์และนักศึกษาแพทย์หลอกเอาทรัพย์สินไปจำนวนมาก

    นางสาวเอ๋ ให้การว่า รู้จักกับคนร้ายผ่านทางอินเตอร์เน็ตโปรแกรมพูดคุยหรือแชท "คิวคิว" นายศศิพงศ์อ้างว่าเป็นแพทย์ประจำอยู่โรงพยาบาล อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมาและแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กันจนสนิทสนม กระทั่งวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายศศิพงศ์ ได้นัดหมายพาน.ส.เอ๋ ไปกินอาหารและสุราในตัวเมืองสุรินทร์ ก่อนชักชวนเข้าพักในโรงแรม ต่อมาก็เริ่มแผนการหลอกขอยืมทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ สร้อยคอทองคำ และรถจักรยานยนต์ ไปจำนำ โดยอ้างว่าเงินขาดมือ หากเงินเดือนออกเมื่อไหร่จะไปไถ่ถอนของมาคืนให้ แต่เมื่อได้ทรัพย์สินไปแล้ว นายศศิพงศ์ก็หายเงียบไปสุดท้ายถึงขั้นปิดโทรศัพท์มือถือเมื่อฝ่ายหญิงติดต่อมา น.ส.เอ๋จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความกับตำรวจ​

    หลังจากนั้น นายศศิพงศ์ยังไปหลอกน.ส.บี ซึ่งรับราชการอยู่ในพื้นที่ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ โดยอ้างตัวเองเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ ใช้วิธีการเดียวกันจนเหยื่อหลงเชื่อสูญทรัพย์สินไปจำนวนมาก และเมื่อไม่สามารถติดต่อนายศศิพงศ์ได้ จึงเข้าแจ้งความในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์​

    พ.ต.ต.สุรัตน์ คลายแก้ว สว.สส.สภ.เมืองสุรินทร์ ออกติดตามหาเบาะแสนายศศิพงศ์ กระทั่งได้รับแจ้งจากน.ส.บีว่า พบนายศศิพงศ์ อยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งใน ต.กระจง อ.ขุขันธ์ จึงประสานกับท้องที่ ยกกำลังไปจับกุม คุมตัวมาสอบสวน นายศศิพงศ์ให้การสารภาพว่า ก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาหลายราย เฉพาะใน จ.สุรินทร์ ลงมือมาแล้ว 4 ครั้ง หลังลงมือได้ระยะหนึ่งก็จะออกไปหาเหยื่อที่จังหวัดอื่นส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน โดยนายศศิพงศ์ไม่มีงานการเป็นหลักแหล่ง แต่อาศัยการล่อหลอกเหยื่อสาวๆ ทางอินเทอร์เน็ต หาเงินใช้จ่ายเท่านั้น

     
  16. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    ถ้าได้เห็นหน้ากัน หน้าผมเทียบกับหน้าคุณเพชร หรือคุณnongnooo ผมว่า หน้าผมยังอ่อนอาวุโสกว่าทั้งสองท่านอีก คิคิคิ

    ผมชักยังไงๆอยู่ครับ ( หน้า 80 อายุ 52 ) พูดไม่ออกเหมือนกันครับ
    แต่ยังไงๆก็ดูแก่กว่าคุณเพชร หรือคุณnongnooo แน่ๆเลยครับ(ping)
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    หุ..หุ.. เขาหนุ่มเสมอ แต่อีก ๕ ปี เขาจะเป็นแบบนี้ อิ..อิ...

    [​IMG]

    รูปที่ 1 ภาพตัวอย่างโปรแกรม “กระจกวิเศษ” ของบริษัทแอคเซ็นเจอร์เทคโนโลยีแสดงให้เห็นว่าถ้ายังคงสูบบุหรี่และมีพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพต่อไป ในอนาคตอีกเพียง 5 ปีข้างหน้าจะมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เหอๆๆๆ ต้องไปเห็นเองครับ พูดเดี๋ยวจะหาว่าโม้ อิอิ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หน้ากากอนามัย ใส่ให้เป็น

    หน้ากากอนามัย ผ้าปิดปาก วิธีทำหน้ากากอนามัย



    [​IMG]


    [​IMG]

    หน้ากากอนามัย ใส่ให้เป็น เทรนด์กิ๊บเก๋...ป้องกันโรค (เดลินิวส์)

    ฮัดเช้ยยยย...!! ช่วงนี้ จะไอจามตามพื้นที่สาธารณะ ต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนอยู่เสมอ เพราะหน้าฝนนี้ นอกจากจะเสี่ยงเป็นไข้หวัดธรรมดาแล้ว ยังต้องเผชิญกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทั่วโลก

    ยิ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศเพิ่มขึ้น หลายคนยิ่งหวาดกลัว แม้ผู้รู้หลายท่านออกมาชี้แจงว่า สามารถหายเองได้เหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่ใครๆ ก็ไม่อยากให้โรคภัยไข้เจ็บมากล้ำกราย หน้ากากอนามัยจึงเสมือน "เกราะป้องกันโรค" ซึ่งกำลัง "ฮอตฮิต" ขณะเดียวกัน หากมีไว้ใช้งาน แต่ไม่รู้วิธีใช้อย่างถูกสุขลักษณะ "หน้ากากอนามัย" อาจกลายเป็น "หน้ากากสะสมเชื้อโรคร้าย" ก็เป็นได้

    นพ.สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เล่าถึงการใช้หน้ากากอนามัยให้ "กิ๊บเก๋" และป้องกันอย่างถูกต้องว่า ความจริงการใช้หน้ากากอนามัย มีไว้ให้ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด และ ผู้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจใช้ เพราะหากผู้ป่วยไอจามในที่ชุมชน จะทำให้ผู้อื่นติดได้ ซึ่งจากผลวิจัย พบว่า ผู้ป่วยไอ 1 ครั้ง สามารถแพร่เชื้อได้ไกลถึง 1 เมตร

    "วิวัฒนาการของหน้ากากอนามัยเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อ 90 ปีก่อน เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน ส่วนในไทย สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้รับสั่งให้นำมาใช้ทางการแพทย์ ปี พ.ศ. 2463"

    ส่วนการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ผู้ป่วยควรสวมใส่หน้ากากป้องกัน เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้รับเชื้อ เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม ที่ผู้ป่วยทุกคนควรให้ความสำคัญ ซึ่งหน้ากากอนามัยที่นิยมใช้ มี 2 ประเภท คือ


    [​IMG]


    1.หน้ากาก ผ่าตัด ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด ป้องกันเชื้อโรคได้ 5 ไมครอน หรือป้องกันได้ ร้อยละ 80 มีอายุการใช้งานประมาณ 3 วัน หากเกิดการฉีกขาด และมีรอยเปื้อน ควรทิ้งทันที การสวมใส่ต้องนำด้านที่มีสีเข้มออกทางข้างนอก หรือสังเกตจากรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง ซึ่งหากใส่ผิดรอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับ ทำให้หายใจลำบาก

    2. หน้ากาก N95 ป้องกันเชื้อโรคได้ 0.3 ไมครอน กรองได้ละเอียดกว่าชนิดแรก หน้ากากมีแบบชนิดที่มีวาล์ว เพื่อให้หายใจได้สะดวก ส่วนชนิดที่ไม่มีวาล์วได้รับความนิยม เพราะราคาถูก แต่มีข้อเสียอยู่ที่หากใส่ไปนานๆ ทำให้หายใจลำบาก จึงไม่ควรให้เด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใส่ เพราะอาจทำให้เด็กเสียชีวิต ขณะเดียวกันหากชำรุดหรือเห็นสภาพไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ ควรทิ้งทันที

    "ก่อนใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง ต้องล้างมือให้สะอาดก่อน และเมื่อทำการสวมใส่ ควรหลีกเลี่ยงให้มือไปสัมผัสกับเนื้อผ้าบริเวณด้านในที่แนบกับจมูกและปาก เพราะในมืออาจมีเชื้อโรคทำให้เข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้น การสวมหน้ากากแบบผ่าตัด ต้องจับสายด้านข้างดึงแล้วร้อยกับหู ส่วนแบบ N95 ควรจับบริเวณด้านนอก เพื่อประคอง และดึงสายสวม"


    [​IMG]

    นอกจากนี้ การสวมใส่อย่างถูกวิธี เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ใช้หน้ากากอนามัยควรให้ความใส่ใจ โดย นพ.สมชัย กล่าวว่า ควรใส่ให้ผ้าปิดตั้งแต่จมูกจนถึงคาง เพื่อป้องกันเชื้อร้ายที่แฝงตัวมากับอากาศเข้าสู่ร่างกาย ขณะเดียวกัน หลายคนอาจเกรงกลัวจนต้องดึงสายรัดให้แน่นมากที่สุดนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี เพราะทำให้หายใจไม่สะดวก ในความเป็นจริงผู้ใส่ควรดัดเหล็กที่เป็นโครงให้เข้ากับดั้งจมูกให้แนบสนิท เนื่องจากเป็นจุดเสี่ยง ที่เชื้อโรคจะเข้าสู่จมูกได้ง่าย ขณะเดียวกัน เมื่อใส่หน้ากากอนามัยแล้ว ไม่ควรล้วง หรือเกาบริเวณที่ผ้าปิดอยู่ จะทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับมือเข้าไปภายใต้หน้ากากอนามัยได้

    อย่างไรก็ตาม จากความต้องการของประชาชนในการเลือกซื้อหน้ากากอนามัยที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้หน้ากากผ่าตัดจาก ราคาไม่เกินแผ่นละ 5 บาท ถีบตัวสูงขึ้น อยู่ที่แผ่นละเกือบ 20 บาท ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอซื้อมาใช้ได้ทุกวัน นพ.สมชัย แนะนำว่า การประดิษฐ์หน้ากาก อนามัยผ้าขึ้นมาเอง ก็สามารถช่วยป้องกันได้ 80% โดยใช้วัสดุเช่น ผ้าสาลู ผ้าฝ้าย ผ้ายืด ผ้าอ้อมเด็ก ผ้าถุง เป็นต้น ทำให้ประหยัดเงินได้อย่างมากเพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อบ่อยๆ หน้ากากที่ผลิตเองสามารถนำมาซักใช้ใหม่ได้

    โดยการประดิษฐ์หน้ากากอนามัยขึ้นใช้งาน เหมาะกับเด็กๆ ที่ชอบลายการ์ตูนสวยงาม สามารถนำผ้าลวดลายต่างๆ มาใช้ในการทำ หรือเพนท์รูปภาพเล็กน้อย เพราะหากใช้สีระบาย จนทึบไปหมดจะทำให้เด็กหายใจไม่สะดวก ขณะเดียวกันอาจนำสติกเกอร์มาตกแต่งได้เช่นกัน


    [​IMG]


    "ประเทศญี่ปุ่นเมื่อผู้ป่วยรู้ว่าไม่สบายเขาจะใส่หน้ากากอนามัยทุกช่วงเวลา เพื่อไม่ให้ไปติดผู้อื่น ส่วนในสหรัฐอเมริกาวัฒนธรรมด้านสุขอนามัยจะชอบล้างมือบ่อยมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อยากให้คนไทยนำมาปฏิบัติจนเป็นวัฒนธรรมด้านสุขอนามัยอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต"

    นพ.สมชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า การดูแลร่างกายให้แข็งแรงเป็นภูมิต้านทานที่ดีที่สุด ควรหลีกเลี่ยงไปในสถานที่ชุมชนหากมีอาการเป็นไข้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และรีบไปพบแพทย์ ส่วนเด็กๆ หากไม่มีหน้ากากอนามัย ไม่ควรพาไปในที่ชุมชน เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดโรคได้

    ไม่แน่อนาคตหน้ากากอนามัยในไทย อาจเป็นมากกว่า "เกราะป้องกัน" เพราะไม่ว่าใครก็สามารถทำหน้ากากอนามัยขึ้นมาตอบสนองจินตนาการของตัวเองได้


    [​IMG]


    ขั้นตอนการทำหน้ากากอนามัย

    1. นำผ้าที่เตรียมไว้มาพับครึ่งตามความยาวผ้าแล้วพับจับจีบทวิช 1 นิ้ว ตรงกลางผ้ากลัดด้วยหมุด หรือ เนาตรึงไว้ และ ทำอีกชิ้นเช่นเดียวกัน

    2. นำผ้าที่พับไว้มาวาง โดยหันด้านนอกขึ้น และนำยางยืดมาวางที่มุมผ้าด้านกว้างข้างบน และข้างล่าง ด้านละ 1 เส้น กลัดเข็มหมุด หรือ เนาตรึงไว้

    3. นำผ้าที่พับไว้อีกชั้นมาวางซ้อนกับผ้าชิ้นแรกที่ตรึงยางยืดไว้ โดยหันผ้าด้านนอกชนกัน แล้วเย็บจักร หรือ ด้นถอยหลังรอบผ้าสี่เหลี่ยม ให้ห่างจากริมผ้า ด้านละครึ่งเซนติเมตร โดยเว้นช่องว่างไว้กลับตะเข็บ ประมาณ 1 นิ้ว

    4. ขลิบผ้าตรงมุมทั้ง 4 มุม ให้ใกล้กับรอยเย็บ เพื่อเวลากลับตะเข็บจะได้เรียบร้อยสวยงาม

    5. สอยปิดช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย



    [​IMG]


    [​IMG]





    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    โดย ศราวุธ ดีหมื่นไวย์
    - กระทรวงสาธารณสุข


    สามารถติดตามข่าวสารเรื่องของไข้หวัด 2009 ได้ที่ สุขภาพ สมุนไพร อาหารเพื่อสุขภาพ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เผยโฉมครั้งแรก!! เชื้อเป็นไวรัสหวัดมรณะ ก่อนถูกส่งไปทำวัคซีน
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 กรกฎาคม 2552 16:38 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา “เชื้อไวรัสเป็น” ของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่จะใช้ทำวัคซีน ได้เดินทางมาถึงประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่จากองค์การอนามัยโลก นำส่งด้วยตนเอง และขณะนี้เชื้อไวรัสดังกล่าวได้ถูกนำส่งไปเก็บไว้ที่ฝ่ายชีววัตถุองค์การเภสัชกรรม เพื่อปรับอุณหภูมิ รวมทั้งเพื่อตรวจสอบคุณภาพ และผ่านการลงทะเบียนเพื่อเตรียมเข้าสู่ระบบการผลิตที่โรงงานผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่นำร่อง ก่อนที่จะส่งมอบให้กับทางโรคงานวัคซีนต้นแบบในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

    นายสิทธิ ถิระภาคภูมิอนันต์ ผู้อำนวยการกองผลิตวัคซีนจากไวรัส โรงงานต้นแบบนำร่องทดลองวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า หลังจากเชื้อไวรัสตั้งต้นสำหรับผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จากประเทศรัสเซีย ถึงประเทศไทย พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันคุณภาพองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้เก็บรักษาและดูแลเชื้อตั้งต้นดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยเชื้อที่มาเป็นลักษณะเชื้อแห้ง เพื่อนำมาผสมน้ำในสัดส่วนที่กำหนด เก็บไว้ในกล่องปิดสนิท ที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส เพื่อนำไปเพาะต่อในไข่ที่นำเข้ามาจากประเทศเยอรมนี

    ขณะที่ไข่ถูกเก็บไว้ที่โรงงานต้นแบบนำร่องทดลองวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ รอให้ไข่พร้อมใช้งาน คือ ให้ไข่ฟักตัวก่อน จากนั้นจะนำเชื้อไวรัสตั้งต้นไป เพราะเชื้อในไข่ภายในห้อง BSL-3 ห้องที่เตรียมไว้สำหรับเพาะเชื้อ ซึ่งห้องจะถูกควบคุมความปลอดภัยสำหรับเชื้อตั้งต้นและผู้ปฏิบัติงาน โดยระหว่างรอให้ไข่พร้อม คาดว่าจะใช้เวลาจากนี้ไปประมาณ 10 วัน

    หน้าตาของ “เชื้อไวรัสเป็น” ดังกล่าวเป็นเช่นไรและมีวิธีการจัดเก็บที่ปลอดภัยเพียงใด โปรดชม...


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...