ที่นี่มีใครบรรลุธรรมตั้งแต่ขั้นโคตรภูญาณขึ้นไปบ้าง PMมาหน่อยดิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เทพอาถรรพ์, 12 สิงหาคม 2009.

  1. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    คุณเล่าปังมีความรู้ดี
     
  2. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96

    ผมว่าจะตอบกลับไปวันนี้ ที่ผมยังไม่ตอบเพราะ ผมลองตอบแล้วแต่มันตอบไม่ได้ มันขึ้นว่าต้องโพสให้ครบ20ข้อความก่อนจึงจะใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้ อะไรประมาณนี้ล่ะ

    อ้าวดันไปบอกเขาอีก น่าน น่าน โธ่ คุณศรีอารย์
     
  3. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    คุณ Albertalos ยังอยู่มั้ยเอ่ย?

    แล้วนอกจากน้อง Jinny แล้วเนี่ย มีใครที่มีดวงตาเห็นธรรมอีกบ้างล่ะครับที่คุณรู้น่ะ บอกให้ฟังมั่งดิ ผมมันรู้น้อย ช่วยหน่อยนะ คุณAlber ฯ นะครับ นะครับ
     
  4. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    คุณเล่าปังนี่ ถ้าไม่ไช่พระ ก็ต้องเคยเป็นพระหละ
     
  5. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    และก็ขออภัยหลายๆท่านที่เห็นว่ากระทู้นี้มันไร้สาระ ก็น้อมรับครับ

    ว่าแต่ผมได้เห็นแค่เรื่องอัตตาคนเพียงเรื่องเดียว

    สำหรับคำตอบจากผู้มีธรรมผมกลับไม่ได้ยินใครเอ่ยเลยว่าที่แท้จริงเป็นเช่นไร
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ผมชอบ เรียกพี่ท่าน ว่า หลวงพี่เล่าปัง (ในใจน่ะ)
     
  7. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    เห็นผู้อื่นแล้วน้อมมาดูที่เรานะว่ามากน้อยอย่างไร
     
  8. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815


    ช่ายๆๆๆๆๆ ถามแล้วท่านก็เงียบ.......บ่อยๆด้วยอ่ะ........... ฮ่าฮ่าฮ่า
     
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เวลาเราชี้คนอื่นด้วยนิ้วชี้ อีก3นิ้วจะชี้เข้าหาตัวเอง
     
  10. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    ไม่รู้พวกคุณเคยรู้สึกอะไรอย่างเหมือนผมมั้ย

    เวลาคุณดูรายการวาไรตี้อะไรสักอย่าง แล้วพิธีกรอย่างไตรภพ หรือ วิทวัส ฯลฯ สัมภาษณ์คนเก่งสักคน เช่น สัมภาษณ์ภราดร แล้วก็จะถามประมาณว่าความเป็นมาเป็นไป กว่าจะมาวันนี้ อะไรประมาณนี้

    ทีนี้คนดูทางบ้านก็มีทั้งที่ชื่นชมและหมั่นไส้ ซึ่งมันก็เป็นธรรมดา

    ถ้าผมชอบเล่นเทนนิส แน่นนอนล่ะ ผมก็จะอยากรู้เรื่องของภราดรเป็นพิเศษ เช่นเค้าซ้อมยังไง เค้าพัฒนากล้ามเนื้อยังไง เค้ากินอะไร นอนวันละกี่ชั่วโมง ใช้โค้ชที่ไหน แร้กเร็ตยี่ห้ออะไร ฯลฯ

    ทีนี้ถ้ามีคนที่ได้ดวงตาเห็นธรรมสักคนนึง ถ้าถามว่าผมอยากคุยด้วยมั้ย ในฐานะที่ผมเป็นคนนึงทีสนใจเรื่องพุทธศาสนา ผมจะไม่อยากคุยกับเค้าก็แปลกไป

    และแน่นอนก็คงมีคำถามอันมากมายที่อยากจะถาม ก็ไม่เห็นแปลกที่จะถาม

    และก็แน่นอนอีกเช่นกัน ถ้ามีคนมาตอบประมาณว่า มรึงก็ทำดูเองเด่ะ จะได้รู้เอง ปัจจัดตัง หรือยกโน่นนี่มา หรือมาแนวเพี้ยนๆบ้าง ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนเช่นนี้ ก็ไม่แปลก

    และก็ถ้ามีคนยังไม่บรรลุธรรมมาตอบ แต่บอกว่าฟังเขามานะที่ตอบเนี่ยหรือตอบตามความคิดของตน อย่างน้อยผมก็ต้องรู้สึกยินดีที่เขาพยายามตอบ เช่นที่ชมคุณพายุฯ และ K.Kwan หรือ Alberฯ หรือ คุณวิษณุ ฯลฯ ก็ไม่แปลกอีก

    และแน่นอนอีกเช่นกัน คนกลุ่มสุดท้าย ไม่ตอบ แล้ว บอกว่าจขกท.คงจะบ้าบ้างล่ะ ไม่ตอบเพราะคงได้คำตอบว่า "ไม่ครับ" บ้างล่ะ , โดนกระแทกอัตตานิดๆหน่อยๆตามเอาชนะคะคานแก้ต่างบ้างล่ะ ก็คงต้องมีคนกลุ่มนี้อีกเช่นกัน ก็ไม่แปลกอีก
     
  11. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    คุณหม้อฯนี่ช่างหารูปมาได้ดีนะครับ
     
  12. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    อากาศยามเย็นก่อนอาทิตย์จะดับลับขอบฟ้า
    กับอากาศยามเช้าตอนพระอาทิตย์กำลังสลัวๆเริ่มโผล่จากขอบฟ้า

    สิ่งไหนงดงามกว่ากันนะ
     
  13. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    โอ๊ย รู้สึกแบบ เทบอาถันเนี่ย ผมเคยเป็นมาแล้ว เกรียนเทบๆ ก็เคยเป็นมาแล้ว

    บางทีถามอะไรไปงี้ แหมๆ มันมาตอบแบบเท่ๆดูดี แลมีฟามรู้ แต่คนละเรื่องซะงั้น
    ตอบแบบเท่ๆดูดี มีฟามรู้เป็นยังไง ต้องบอกไหม

    เดียวนี้เห็นคนอื่นเกรียนแล้วเห็นตัวเองเมื่อก่อนเลย . . . จิ๊บๆนะ
     
  14. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    งามคนละแบบ
     
  15. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    2ชาติฯ ก็ตอบเท่ห์ดีนะ

    แค่ชื่อก็นำแล้ว
     
  16. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    อ้าวไม่เห็นมีใครตอบเลย มีแต่คุณพายุทะเลทรายคนเดียว... (คิดแล้วเชียว...เลยแว่บมาดูคำตอบ)

    ถามใหม่ก็ได้ค่ะ... ถามว่า ภวังค์จิตในมรรควิถี ต่างจากการเกิดภวังค์ทั่วไปอย่างไรบ้าง ?
    เดี๋ยวไปตั้งกระทู้ใหม่ก็ได้ค่ะ...จะได้ไม่รบกวนเจ้าของกระทู้
    คุณ 2ชาติ บรรลุธรรม ไปช่วยอธิบายหน่อยนะคะ...(ก็บอกให้ไปตั้งกระทู้ใหม่นี่นา)

    ขอเรียนเชิญ อาจารย์เล่าปัง...คุณวิษณุ12 คุณ kengkenny และทุกๆท่าน
     
  17. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ท่านครับแค่สองอย่างนี้เทพบุตรกับเทวดาหากแยกได้ด้วยปัญญาว่า จิตมันยึดมั่นเอง แล้วนั้นก็ยากแล้วครับ อาภัสราพรหม หรือ อรูปพรหมยิ่งยากกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่าครับ ถูกไหมครับ อันนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    สงสัยต้อง อ่านธรรมะของหลวงปู่ดูลย์

    แค่สั่นสะเทือน ก็กะเทือนถึงกันหมด
    ไม่มีอะไร...บังเอิญ

    ตอบแบบเทห์ๆ เป็นการบอกว่า อย่าถามไปมากกว่านี้นะ ;k01
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ขอโทษครับ เทพบุตรกับหนอนครับพิมพ์ผิด แต่คิดว่าท่านก็เข้าใจใช่มัยครับ
     
  20. ลูกหลานปู่

    ลูกหลานปู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +74
    เอาละ ที่คุณเทพอาถรรพ์ ถามมาทั้งหมด เดี่ยวผมจะไขข้องข้องใจให้ทั้งหมดนะ

    เช่นนี้เป็นว่าท่านผู้นี้มั่นใจในปัญญาของตนนัก เราจึงไม่ยั้งมือแล้ว ยังหวังให้ท่านตอบให้ตรงคำถามด้วย เพราะที่ท่านตอบมานั้นก็ไม่ตรงกับที่เราถามสักนิด

    โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง (วลีนี้คุ้นๆนะ)

    คำถาม
    1. เห็นการเกิด-ดับ แล้วได้อะไร?
    2. ดูจิต เห็นจิตแล้วไงล่ะ มันจะเบื่อได้ไง รู้เท่าทันแล้วจะเบื่อๆแล้วไง เบื่อจริงอ่ะ เบื่อแล้วละตัวกูของกูได้งั้นเรอะ
    3. ดูกาย ตามรู้กายรู้ความเคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วไง มันจะคลายกำหนัดเรอะ?
    4. ยังไงล่ะ ละสักกายทิฐิ? ทำ3ข้อข้างต้นเนี่ยนะ?
    5. ที่ว่าคนมีดวงตาเห็นธรรม เห็นนิพพานแวบนึง มันเป็นยังไง? ฝันไปเองเรอะป่าว? แน่ใจนะ? ดูหนังมากหรือป่าว?
    6. ความรู้และปัญญาที่พรั่งพรูขึ้นมาอะไรนั่น มันเป็นไงอ่ะ ใครรู้เล่าให้ฟังหน่อยดิ?
    7. เห็นบางกระทู้เถียงกันเอาเป็นเอาตาย แต่ละคนมันรู้กันจริงเหรอ เห็นมันก็เถียงกันไปเถียงกันมา ยกพระสูตรโน่นนี่ แล้วก็ยอกันไปยอกันมา ท่านทั้งหลายเหล่านั้นถ้าได้อ่านข้อ7นี้ ลองตอบคำถาม6ข้อแรกข้างบนผมที ดูว่าปัญญาท่านแค่ไหน หรือเอาแต่searchพระสูตรในgoogleแล้วก็ copy และก็ paste


    ตอบไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบนะ ที่ว่าจะตอบทุกคำถามก็ถือซะว่าพูดเล่นเรื่อยเปื่อยผมก็ไม่ได้ว่าอะไร<!-- google_ad_section_end -->

    แท้ที่จริงแล้ว ผมก็ไม่รู้รอกนะเพราะผมจะรู้ได้ไง เพราะแม้แต่ธรรมะก็ยังเป็นอนัตตา และที่สำคัญรู้ได้เฉพาะตนด้วย แต่คุณนี่สิ ก็ยิ่งแย่ อาจรู้แต่อุตริ ถาม อาจรู้แต่ก็ลองภูมิ หรืออาจไม่รู้อะไรที่ควรจะรู้เอาเสียเลย เรื่องไม่น่าเถียง เรื่องไม่น่าถาม กลับถามมาได้นะ สงสัยเป็นเรื่องดี เรื่องปกติของนักปฏิบัติ เว้นแต่คุณไม่เคยปฏิบัติเอาเสียเลย เอาแต่ถามเอาแต่ลองคนอื่น เมื่อไหร่จะรู้ได้ละ ...................
    ที่ผมพูดอย่าพึ่งเชื่อนะ เพราะผมไม่ต้องการให้คุณหรือใครๆเชื่อ
    แต่ผมก็มีความคิดเห็นที่ไม่ต่างจากคุณนักรอก ที่ต่างก็เถียงกัน ยกมาอ้างมาอวดกัน อย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเขารู้รอกนะ แต่เขาอยากจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเขารู้ต่างหากละ เพราะที่รู้จริง เขาไม่อวดอ้างกันรอก(ใช่ความคิดคุณคิดแบบนั้น) และที่สำคัญก็ไม่ถามแบบไม่รู้จักกาละเทศะแบบคุณด้วย เพราะมันจะกลายเป็นการสบประมาท ปรามาสคนอื่น แล้ว คำถามของคุณที่ว่ามานั้นนะ โยงไปถึงใครบ้างละ?...........................


    ......เอาเป็นว่าทั้งคุณและผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ .....
    แต่ มีอยู่เรื่องหนึ่งนะ ที่ผมอยากจะให้คุณได้สติยั้งคิด ยั้ง ใจ ชั่งใจดูว่า ที่คุณถามมาทั้งหมดนั้น มันควรถามหรือไม่ เพราะจากคำถามคุณนั้น ค่อนข้างแรงมากนะ แบบสุดโต่งก็ว่าได้ แต่เอาเถอะ ไหนๆก็ถามมาแล้ว ใครปรามาสใคร ใครรูกฏแห่งกรรม ก็ย่อมรู้เองว่า กรรมไม่ปราณีใคร ......
    1. เห็นการเกิด-ดับ แล้วได้อะไร?
    ไม่ได้อะไร นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังไม่คิดอยากได้ด้วย เพราะเห็นแล้วว่าทุกอย่างเกิดดับเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นตัวตน

    เหมือนคุณรู้ว่าถ้าคุณเอามือเอาเขกโต๊ะแล้วเจ็บ(นี่แหละคือรู้ การเกิด การดับ) แล้วคุณจะเอามือเขกโต๊มั๊ย(ไม่ทำใช่มั๊ยถ้ารู้ ก็นั่นนะสิ บ้าแล้วจู่ๆไปทำให้ตัวเองเจ็บ) แต่ถ้าคุณไม่รู้ละคุณย่อมเขกมัน เหมือนการทำบาปแต่คุณคิดว่าดีไปซะงัน
    ที่สำคัญคุณเจ็บเองด้วย ผมไม่ได้เจ็บอะไรด้วยกะคุณเลยแม้แต่น้อย (กรรมใครทำคนนั้นรับ)(นั่นแหละคือการเกิด เพราะอะไร เพราะสร้างเอง เพราะทำเองที่เกิดมาเพื่อใช้กรรม) แล้วอยากเกิดมั๊ยละ ถ้าเกิดมาแล้วมันต้องเจ็บเหมือนเขกโต๊ะ(เริ่มพิจารณาโทษของการเกิด เกิดมาแล้วต้องมีทุกข์ มีเจ็บ มีอกหัก เสียใจ) แน่นอนมันต้องเจ็บ เพราะคุณทำกรรมเองคุณต้องเจ็บเองไม่มีใครช่วยได้(คือเกิด มารับกรรมที่ทำเอง)แล้วอยากก่อกรรมทำไมละ อยากเขกโต๊ทำไมละ?......................
    เมื่อรู้แล้วว่าเขกโต๊ะมันเจ็บ ก็ไม่อยากทำอีกต่อไป เพราะรู้แล้วว่ามันต้องเกิดอาการเจ็บแน่ๆ
    เพราะรู้แล้วว่า มันเป็นธรรมดา ของการเกิด ของการเจ็บ ของการดับสลาย จึงไม่อยากเขกโต๊ะให้เจ็บมืออีกต่อไป (คือเข้าใจการเกิด เข้าใจการดับ นั่นเอง) ดังนั้นจึงไม่ได้อะไร แต่ก็เข้าใจสรรพสิ่งไม่ใช่หรือ ?.........................
    เหมือนความรักของคุณนั่นเหละได้อะไรจากความรักละ บางครังไม่ได้อะไรเหมือนกัน แต่ทำไมคุณจึงไม่ยอมเลิกรักเขา เพราะคุณ รักและเข้าใจเขา แต่สักวันคุณก็เลิกรักเขา แล้วไปหาคนใหม่ที่ดีกว่า ที่พูดมานั่นแหละหมายรวม การเกิด การดับ ครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันด้วย ไม่ใช่มองแคบๆแค่ ว่าพิจารณาเรื่อง ตัวตนเกิดดับอย่างเดียว แต่สุดท้ายก็ได้แค่ความว่างเปล่าไม่ได้อะไรไม่ใช่หรอ เมื่อรู้ว่าว่างเปล่าแล้วจึงไม่ยึดถือ อีกต่อไป
    ไม่เหมือนคุณที่เฝ้าเอาแต่ถาม ลองภูมิคนอื่นอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วผมถามกลับหน่อยสิ ว่าตอนนี้ คุณเกิด มีอารมณ์อยากรู้นี่มันคืออะไร................แล้วคุณพร้อมที่จะทำให้คุณเลิกอยากรู้ได้หรือไม่ แล้วถ้าคุณเลิกอยากรู้แล้วมันคืออะไร............
    ถ้าคุณรู้ไม่ก็แล้วไป แต่ถ้ารู้แล้วตอบได้ คุณไม่เสียเวลามานั่งพิมคำถามให้เมื่อยฟรีๆรอกหรือ
    แต่ก็นั่นแหละ จะดับก่อนเกิดได้อย่างไรกันละ มันต้องเกิดก่อนค่อยดับทีหลัง จริงไหม
    แล้วถ้าจริงคุณได้อะไรละถ้าอย่างนั้น .......................พิจารณาเอาเองเถอะ ด้วยปัญญาของคุณเอง แต่ถ้ายังถามยังเถียงมาสำหรับข้อนี้อีก ก็คงรู้แล้วละนะว่าคุณมีปัญญาแค่ไหน?........................
    2. ดูจิต เห็นจิตแล้วไงล่ะ มันจะเบื่อได้ไง รู้เท่าทันแล้วจะเบื่อๆแล้วไง เบื่อจริงอ่ะ เบื่อแล้วละตัวกูของกูได้งั้นเรอะ
    เบื่อได้ก็ดีไป เบื่อไม่ได้ก็ปล่อยมันไป เมื่อรู้แล้วว่าจิตมันเป็นของมันอย่างนั้น จะไปยึดให้เสียเวลาทำไมละ

    ความจริงแล้วที่ว่าเบื่อ ไม่ได้เบื่อตัวกู ไม่ได้เบื่อจิต ไม่ได้ละตัวกู แค่ละความยึดถือ ว่ากูคือกู จิตนี้คือจิตกู ตัวกูคือตัวกูเท่านั้น เหมือนเราดูหนังเรื่องเดิมๆบ่อยๆเข้าเบื่อมั๊ยละ ไม่ได้เบื่อชื่อหนังใช่มั๊ย(คำว่ากู)
    แต่เบื่อเนื้อหาหนังภายใน(ในร่างกาย)ที่เห็นมากเข้าดูมากเข้าจนไม่อยากดูอีกต่อไป แล้วเมือไหร่ที่เห็นแล้วว่าเนื้อหาไม่น่าดู ก็จะเห็นตัวตนของเราจริงๆว่าชอบหนังเรื่องนี้หรือไม่อย่างไร(เห็นจิต)เมื่อเห็นแล้วก็ปล่อยวาง ไม่อยากยึดถือกาย ยึดถือจิตอีกต่อไป เพียงแค่ประคองจิตไว้ให้รู้เท่าทัน และมีสติรู้อยู่เท่านั้น อย่าลืมว่าหัวเราะชอบใจในหนังก็คือ กิเลส ยินดีในความสุขของการเห็นจิตก็คือกิเลส มันต้องวาง การเห็นจิตจึงไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นแต่ต้องเข้าใจธรรมชาติของจิตด้วย เหมือนจิตที่เห็นจิต กายเห็นกาย จิตเห็นกาย กายเห็นจิตแต่ก่อนอื่นที่จะเห็นนั้นต้องเห็นตัวเอง ต้องเบื่อหน่ายคลายความสงสัยความอยากรู้ให้หมดไป มิเช่นนั้นจะกลายเป็นความเห็นผิดได้ นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว จะเป็นบ้าไปก็ได้นะ คุณลองดูซิ ลองดูได้ .....ไม่ว่ากัน
    3. ดูกาย ตามรู้กายรู้ความเคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วไง มันจะคลายกำหนัดเรอะ?

    คลายยาก โดยเฉพาะความกำหนัดในกามนี่ ตัวเจ้าปัญหา ไม่ใช่แค่ตามดูแล้วจะคลายได้ ต้องพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าแท้ที่จริงแล้ว กายเรากายเขาก็คือ กายศพ เน่าเปื่อยไปเหมือนกัน (ใช้อสุภกรรมฐานเข้าช่วย)แค่ตามดูอย่างเดียวคลายกำหนัดไม่ได้
    แต่การตามดูที่ว่านี่ น่าจะเหมือน ประคองรักษาจิต รักษาใจ ทุกอิริยาบทไม่ให้คิดไม่ดี ไม่ให้ดูในเรื่องไม่ดี อาจละได้ไม่หมดแต่ก็ช่วยได้บ้าง เพราะไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทางไป แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ว่าคงยากแต่อย่างคุณ น่าจะละได้มั่ง ....เก่งอยู่แล้ว
    4. ยังไงล่ะ ละสักกายทิฐิ? ทำ3ข้อข้างต้นเนี่ยนะ?
    ใช่ ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า การปฎิบัติเพื่อบรรลุธรรมมีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องใช้หลักการอย่างเดียว ขอแค่เข้าใจว่าเดินตามมรรคมีองค์แปดใครๆก็เลือกทางที่จะนิพพานได้หมดทั้งนั้น แต่วิธีการที่บอกมานั้นเป็นการ สำรวจกายตัวเอง เห็นกายตนเอง แล้วละวาง นี่แหละคือเคล็ดของสักกายทิฐิ แต่ถ้าทำได้ก็ถือว่าไปได้เร็ว เพราะนั่ง ยืน เดิน นอน ทำได้หมดไม่จำกัดเวลา อย่างคุณ ปัญญามากนี่......คิดหาวิธีที่ดีกว่านี่ได้ละมั่ง
    5. ที่ว่าคนมีดวงตาเห็นธรรม เห็นนิพพานแวบนึง มันเป็นยังไง? ฝันไปเองเรอะป่าว? แน่ใจนะ? ดูหนังมากหรือป่าว?

    ใช่ เห็นด้วยกะคุณ แต่อย่าลืมว่าธรรมมีหลายระดับของขั้นที่ได้ แต่ถ้าหากบอกว่าเห็นนิพพานนี่คงจะไม่ใช่รอกนะ เราเข้าไปอยู่ในวิมารของเขากับเราได้วิมารมาเองมันเย็นต่างกัน เข้าไปแล้วออก จะเหมือนกับได้เอง อยู่เองได้ไงกันละ ข้อนี้ คุณต้องลองดูเองละกัน บอกได้แค่นี้
    6. ความรู้และปัญญาที่พรั่งพรูขึ้นมาอะไรนั่น มันเป็นไงอ่ะ ใครรู้เล่าให้ฟังหน่อยดิ?

    ผมบอกแล้วว่าผมไม่รู้ ข้อนี่คงตอบผู้รู้อย่างท่านไม่ได้ แต่จะขอบอกไว้นะว่า
    มันเกิดขึ้นได้จริง ถ้ามีจิตรวมเป็นสมาธิ แต่ต้องมีปัญญาพิจารณาด้วย ปัญญาอย่างท่านนั้นนะน่าจะรู้ได้ กระมัง

    สำหรับข้อ7ผมเห็นด้วยกะท่าน แต่ถ้าท่านพิจารณาดีแล้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ยังมีกิเลสตัณหาไม่ใช่หรอ ไปยึดอีกทำไมละ คนรู้จริงดูไม่อยากรอก แต่คนที่ดูไม่ออกแม้กระทั่งตัวเอง ไม่มีทางดูคนอื่นออกได้ ผมบอกแค่นี้ โชคดี.......

    กรรมใคร คนนั้นรับละกัน ผมไม่ยุ่งด้วย ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้นะ เพราะไม่อยากให้คนอย่างคุณเชื่ออยู่แล้ว เพราะผมด้อยกว่าคุณมาก ไม่อยากไปเทียบกับคนมีปัญ(หา)เช่นคุณ


     

แชร์หน้านี้

Loading...