พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แหน่ง, sithiphong, พรสว่าง_2008 </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ดีครับคุณหนุ่ม, คุณพรสว่าง และชมรมรักษ์พระวังหน้าทุกๆท่านครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ศาลสั่งขัง"ซูโม่ตุ๋ย"3เดือนยึดใบขับขี่6เดือน เมาแล้วขับ สารภาพตลอดข้อกล่าวหา ยันมีสติ ไม่ได้เมา

    Matichon Online: ˹ѧʗ;ԁ?쁵Ԫ?͍?䅹젺 ˹ѧʗ;ԁ?줘??? ྗ荤س???ͧ?Ð෈

    ศาลพิพากษาจำคุก "ซูโม่ตุ๋ย" 3 เดือน ปรับ 7,250 พักใบอนุญาตรถยนต์ 6 เดือน โดน 3 กระทง ขับรถขณะเมาสุรา ต่อสู้ขัดขวางและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี วัดปริมาณแอลกอฮอลล์พุ่ง 91 มิลลิกรัมเกินเพียบ สารภาพตลอดข้อหา แต่ยังปากแข็งบอกมีสติ ไม่ได้เมา


    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>ศาลสั่งจำคุก 3 เดือน-ปรับ-พักใบอนุญาตขับขี่ "ซูโม่ตุ๋ย"เมาแล้วขับ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นายอรุณ ภาวิไล อายุ 46 ปี หรือ ซูโม่ตุ๋ย ผู้ผลิตรายการรัฐบาลหุ่น ทางสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที จำเลยในความผิดฐาน ขับรถขณะเมาสุรา เป็นเวลา 2 เดือน ปรับ 5,000 บาท ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานปรับ 250 บาท และฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท รวม 3 กระทงจำคุก 3 เดือน ปรับ 7,250 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ 6 เดือน

    คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวง เป็นโจทก์ ฟ้อง สรุปว่า เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2552 จำเลยขับรถโตโยต้า อัลติส สีดำ หมายเลขทะเบียน ษข–9146 กรุงเทพฯ ไปตามถนนพระราม 9 เมื่อมาถึงด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของ สน.มักกะสัน ซึ่งมี ด.ต.ดำรงค์ อยู่นุช ผู้เสียหายกับพวกตั้งด่านตรวจอยู่ พบจำเลยมีอาการคล้ายคนเมาสุรา จึงขอตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่จำเลยกับฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และพูดจาโวยวายเสียงดัง อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ใช้มือดัน ปัดข้อมือผู้เสียหาย อันเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติน้าที่ ซึ่งจำเลยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย 91 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เหตุเกิดแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ลงโทษดังกล่าว

    ภายหลังนายอรุณ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตนไม่พร้อมที่จะเป่าเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ จนเรื่องบานปลายออกไป ก่อนเกิดเหตุนั้นไปร่วมงานเลี้ยงแต่งงานมา โดยขอยืนยันว่ายังมีสติดี ไม่ได้เมา เพราะปกติตนเป็นคนดื่มสุราเป็นประจำอยู่แล้ว แต่จะดื่มที่ร้านรัฐบาลหุ่น ของตนเอง ย่านถนนวัชรพล ที่เป็นทั้งบ้านและออฟฟิศ หากเมาก็จะนอนหลับที่ร้านเลย และปกติจะไม่ออกไปดื่มออกบ้าน แต่เมื่อคืนนี้เพื่อชวนออกไปดื่มนอกบ้านจึงเกิดเรื่องขึ้น โดยเริ่มดื่มตั้งแต่ 21.00 น. ไปจนถึงประมาณเที่ยงคืน ก่อนจะขับรถไปส่งเพื่อที่ย่านอ่อนนุช ขณะกำลังกลับไปบ้าน ผ่านถนนพระราม 9 จึงถูกจับกุมดังกล่าว

    "อรุณ"ยอมเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ พุ่ง91มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

    พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานจราจร กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์อยู่บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม พบนายอรุณ ภาวิไล หรือ "ซูโม่ ตุ๋ย" ดารานักแสดงชื่อดัง อายุ 46 ปี ขับขี่รถอัลติส มีใบหน้าแดงก่ำคล้ายคนเมาสุรา มีกลิ่นเหล้าคลุ้งและโวยวายไม่ยอมเป่าเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ ว่า แม้นายอรุณจะปฏิเสธไม่ยินยอมเป่าเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ก็ตาม ได้แนะนำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจวัดเมาดำเนินการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งช่างภาพสื่อมวลชนเพื่อเป็นพยานรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน มิฉะนั้นจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเอาอย่าง และป้องกันการถูกฟ้องกลับด้วย ซึ่งในเวลาต่อมานายอรุณ ก็ยินยอมเป่าเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ ซึ่งผลออกมาพบปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 91 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินจากที่กฎหมายกำหนด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ส่วนกรณีที่เคยถูกดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับได้ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมส่งให้ศาลพิจารณาด้วยว่าผู้ต้องหาเคยถูกดำเนินคดีมาแล้วกี่ครั้ง

    "ซูโม่ตุ๋ย"เมาป่วนโรงพัก ถูกตั้ง2ข้อหานัดส่งฟ้องศาล26ส.ค.

    เมื่อเวลา 03.10 น.วันที่ 25 สิงหาคม ร.ต.ท.ธนกร พิมพ์ชัย รอง สว.จร.สน.มักกะสัน พร้อมเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์อยู่บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม ฝั่งตรงข้าม "โนอาร์" อาบอบนวด แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง พบรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีดำ ทะเบียน ษข-9416 กทม. จึงเรียกให้หยุดเพื่อทำการตรวจวัดแอลกอฮอล์ มีนายอรุณเป็นผู้ขับขี่ จึงขอความร่วมมือเป่าเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่นายอรุณกลับแสดงอาการโมโหโวยวายต่อว่าเจ้าหน้าที่ และปัดเครื่องเป่าจนกระเด็น จึงจับกุมตัวมาสอบปากคำที่สน. แต่นายอรุณยังโวยวายใส่เจ้าหน้าที่อยู่ตลอดเวลา พร้อมบอกให้เจ้าหน้าที่ถอดกุญแจมือออก

    "ผมผิดอะไร ผมอายุเท่าไรแล้ว ผมไม่ใช่เด็กนะอายุจะ 50 แล้ว มาเอากุญแจมือออกเร็ว ไม่งั้นเป็นเรื่องแน่ ลูกเมียผมใครจะดูแล พวกคุณมาทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าคุณทำกับผมอย่างนี้ ผมจะเข้าพบคุณสรยุทธ (สุทัศนะจินดา) พิธีกรช่อง 3 เพื่อเล่นงานพวกคุณ"

    เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายอรุณว่าดื่มเหล้ามาหรือไม่ นายอรุณ กล่าวว่า ดื่ม ผมไปกินเลี้ยงมา แล้วก็ขับรถกลับบ้าน ก็มาเจอด่านตรวจ ต่อมา พ.ต.ท.ปกรณ์ ภาวิไล พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.มักกะสัน พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เห็นนายอรุณยังโวยวายไม่หยุด ก็เลยเข้าไปพูดคุย พร้อมกับยอมถอดกุญแจมือให้ และให้นายอรุณเข้าไปสงบสติอารมณ์อยู่ภายในห้องพนักงานสอบสวน เมื่อนายอรุณเห็นว่า พ.ต.ท.ปกรณ์ เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง จึงทำให้อารมณ์เย็นลง และขอร้องผู้สื่อข่าวว่าอย่านำเสนอข่าว เพราะไม่อยากกรณีตัวอย่าง

    ด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า เป็นญาติห่างๆกับนายอรุณ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ส่วนกรณีที่ไม่ยอมเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าตัว ตนก็จะดำเนินคดีไปตามขั้นตอนของกฏหมาย ไม่มีการช่วยเหลือกัน เพียงแต่จะพยายามเกลี้ยกล่อมให้นายอรุณรับสารภาพ และอำนวยความสะดวกให้ในเรื่องของการประกันตัวเท่านั้น โดยจะตั้งหลักทรัพย์ประกันตัวไว้ที่ 20,000 บาท

    ต่อมาเมื่อเวลา 06.00 น.นายอรุณ ได้สงบสติอารมณ์ และยอมเป่าเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ผลปรากฎว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ 91 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่ากฎหมายกำหนด จึงแจ้งข้อหา ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ขับรถขณะมึนเมาสุรา และไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่ ก่อนถูกปรับเงิน 500 บาท ฐานไม่พกใบอนุญาตขับขี่

    นายอรุณ กล่าวยอมรับว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาได้ไปดิ่มสุราสังสรรค์กับพรรคพวกมาจริง ตอนแรกที่ไม่เป่าเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์เพราะเมื่อคืนไม่อยากเป่า แต่สุดท้ายก็ยอมเป่าเพราะทาง พ.ต.อ.ศรัญญู ชำนาญราช ผกก. สน.มักกะสัน เข้ามาเกลี้ยกล่อมขอร้อง

    ด้าน พ.ต.อ.ศรัญญู กล่าวว่า ได้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมขอร้องให้นายอรุณเคารพในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ นายอรุณ จึงยอมเป่า ผลปรากฏว่าปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่ากฎหมายกำหนด จึงสั่งการให้พนักงานสอบสวนส่งฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีปัญหาคนเมาหัวใสไม่ยอมเป่า แต่ปัจจุบันนี้ได้มีการแก้ไขกฏหมาย โดยสามารถดำเนินคดีกับผู้ขับขี่รถขณะมึนเมาแตไม่ยอมเป่าเครื่องวัดแอลกอลฮอล์ โดยจะเพิ่มโทษในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานตามพ.ร.บ.จราจรทางบก


    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพี่สาวของนายอรุณ เดินทางมาประกันตัวในวงเงิน 20,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต เนื่องจากได้ส่งสำนวนฟ้องศาลแล้ว ขณะที่นายอรุณ ก็ไม่มีสีหน้าที่เคร่งเครียดแต่อย่างใด พร้อมกล่าวว่า "ผมไม่ใช่ดาราดัง ไม่ต้องถ่ายภาพทำข่าวผมใหญ่โตหรอก" ก่อนจะถูกควบคุมตัวขึ้นรถไปศาล ในเวลาประมาณ 11.30 น.

    <SCRIPT language=JavaScript>function BackPage() {history.back();}</SCRIPT>---------------------------------------------------

    คนอายุมากดื่มเหล้า-ตัวการก่อมะเร็งช่องปาก

    ˹ѧʗ;ԁ?좨҇ʴ͍?䅹젺 ?ú?ءÊ ʴ?ء?荧==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>สำนักข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษ รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญเตือนการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เพิ่มเสี่ยงมีโอกาสเป็น "มะเร็งช่องปาก" เพิ่มขึ้นในชายและหญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ล่าสุดตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบคนกลุ่มนี้เป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก ปาก ลิ้น และลำคอ เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์

    ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นมา พบว่า คนในวัย 40 ปี ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นเท่าตัว พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่ปากและลำคอ ใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ มะเร็งชนิดนี้คร่าชีวิตประชาชนในอังกฤษปีละ 1,800 ราย และพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 5,000 ราย

    ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งในช่องปากและลำคอ คือ การรับประทานผักและผลไม้น้อยลง และโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ที่ผ่านทางปาก แต่แพทย์ตรวจพบว่า ร้อยละ 75 ของมะเร็งในช่องปาก มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยยาสูบเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด แต่สำหรับคนในวัย 40 ปี ดูเหมือนว่าจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้อัตราการเป็นมะเร็งชนิดนี้เพิ่มขึ้น ได้แก่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    ทั้งนี้ มะเร็งช่องปากรักษาหายได้หากตรวจพบเนิ่นๆ ปัญหาใหญ่คือคนจำนวนมากยังไม่ตระหนักว่า แอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับมะเร็งชนิดนี้ เพราะส่วนใหญ่เชื่อว่าดื่มเหล้ามากๆ จะเป็นโรคเกี่ยวกับตับ จึงถึงเวลาที่ควรต้องเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีมากกว่าการเป็นมะเร็งตับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    10 โรคพระสงฆ์ไทย ชวนคนไทยถวายอาหารดีมีประโยชน์

    ˹ѧʗ;ԁ?쁵Ԫ?҇ѹ : ˹ѧʗ;ԁ?줘??? ྗ荤س???ͧ?Ð෈

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>การทำบุญอย่างหนึ่งของคนไทย คือการถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ จากการค้นคว้าหาข้อมูลของ "เครื่องดื่มเปปทีน" พบว่าปัจจัยที่ถวายสำหรับพระสงฆ์ โดยเฉพาะภัตตาหารนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของพระสงฆ์ จากข้อมูลของโรงพยาบาลสงฆ์พบว่า ในแต่ละปีพระสงฆ์อาพาธและเข้ามารับการรักษาที่ รพ.สงฆ์กว่า 50,000 รูป อย่างในปี 2549 มีมากถึง 71,000 รูป โดยกว่าร้อยละ 50 เป็นพระสงฆ์จากส่วนภูมิภาค <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สำหรับโรคที่พระสงฆ์อาพาธมากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ถุงลมโป่งพอง, โรคกระดูกเสื่อม, ข้อเข่าเสื่อม, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไขมันหลอดเลือดสูง, โรคฟันผุ, โรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อกระจก, เหงือกอักเสบ และโรคท้องเสีย

    โรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์นั้น หลายโรคล้วนแล้วแต่มาจากการถวายภัตตาหารที่พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ถวาย เช่น โรคดันความโลหิตสูง, เบาหวาน, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไขมันหลอดเลือดสูง, โรคฟันผุ, โรคท้องเสีย ซึ่งภัตตาหารที่ถวายเต็มไปด้วยแป้ง น้ำตาล และไขมัน อีกทั้งบรรดาเครื่องดื่มต่างๆ ก็มักจะเป็นจำพวกน้ำหวานเป็นหลัก โรคต่างๆ เหล่านี้จึงเกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

    ด้วยเหตุนี้เอง ทางเครื่องดื่มเปปทีนจึงอยากรณรงค์ให้พุทธศาสนิกชนให้ความสำคัญกับการถวายภัตตาหารต่างๆ ขอให้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ บำรุงสุขภาพ ไม่ใช่เพียงแค่ซื้ออะไรถวายก็ได้ ซึ่งก็ถวายสิ่งที่ดีที่สุดเท่ากับว่าเป็นการทำบุญที่สามารถช่วยให้พระสงฆ์มีสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรงอีกด้วย
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ไว้พบกันวันงานผ้าป่านะครับ

    ผมเองคงนำพระพิมพ์และวัตถุมงคลไปไม่มาก นำไปเฉพาะที่จะให้ร่วมทำบุญบูชาเท่านั้นครับ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ความสุข ๕ ชั้น​

    พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต)

    ?ǒ?آ ?鹦lt;/a>


    ฝึกตนยิ่งขึ้นไป ดำเนินชีวิตให้ถูก ความสุขยิ่งเพิ่มพูน

    เมื่อทำตัวเป็นพระพรหมได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็มาทำชีวิตให้เข้าถึงความสุข ในทีนี้ขอพูดคร่าว ๆ ถึงความสุข ๕ ชั้นขอพูดอย่างย่อ ในเวลาที่เหลืออันจำกัดดังนี้

    ขั้นที่ ๑ คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา ข้อนี้เป็นความสุขสามัญที่ทุกคนในโลกปรารถนากันมาก
    ความสุขประเภทนี้ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เพราะว่าเป็นวัตถุ หรืออามิสภายนอก เมื่อเป็นสิ่งภายนอก อยู่นอกตัว ก็ต้องหา ต้องเอา เพราะฉะนั้นสภาพจิตของคนที่หาความสุขประเภทนี้จึงเต็มไปด้วยความคิดที่จะได้จะเอา แล้วก็ต้องหา และดิ้นรนทะยานไป เมื่อได้มาก ก็มีความสุขมาก แล้วก็เพลิดเพลินไปกับความสุขเหล่านั้น พอได้มาก ๆ เข้า ต่อมาก็นึกว่าตัวเองเก่งมาก ๆ ไป ๆ มา ๆ โดยไม่รู้ตัวก็มีภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ ชีวิตและความสุขของตัวเองต้องไปขึ้นกับวัตถุเหล่านั้น อยู่ลำพังง่าย ๆ อย่างเก่า ไม่สุขเสียแล้ว ตอนที่เกิดมาใหม่ ๆ นี้ ไม่ต้องมีอะไรมากก็พอจะมีความสุขได้ ต่อมามีวัตถุมาก เสพมาก ทีนี้ขาดวัตถุเหล่านั้นไม่ได้เสียแล้ว กลายเป็นว่าสูญเสียอิสรภาพ ชีวิตและความสุขต้องไปขึ้นกับวัตถุภายนอก แต่เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่ง อันนี้เป็นข้อสำคัญที่คนเราหลงลืมไป ทางธรรมจึงเตือนไว้เสมอว่าเรา อย่าสูญเสียอิสรภาพนี้ไป พร้อมทั้งอย่าสูญเสียความสามารถที่จะเป็นสุข
    สิ่งที่คนเราจะพัฒนากันมากก็คือ การพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพมาบำเรอความสุข แม้แต่การศึกษา ทำไปทำมาก็ไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นการพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุข แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ลืมไปคือการพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข หรือแม้แต่ไม่รักษามันไว้เราก็สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข
    อาการของคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข ก็คือยิ่งอยู่ในโลกนานไปก็ยิ่งกลายเป็นคนที่สุขยากขึ้น คนจำนวนมากสมัยนี้มีลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ในโลกนานไป เติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่สุขได้ยากขึ้น ต่างจากคนที่รักษาดุลยภาพของชีวิตไว้ได้ โดยพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขควบคู่ไปด้วย จะเป็นคนที่มีมีลักษณะตรงข้าม คือยิ่งอยู่ในโลกนานไป ก็ยิ่งเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น
    ถ้าเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น ก็ดี ๒ ชั้น คือ เราพัฒนาสองด้านไปพร้อมกัน ทั้งพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขด้วย และพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขด้วย ผลก็คือ เราหาสิ่งมาบำเรอความสุขได้เก่ง ได้มากด้วย และพร้อมกันนั้นเราก็เป็นคนทีสุขได้ง่ายด้วย เราก็เลยสุขซ้อนทวีคูณ
    ส่วนคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข แม้จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขได้มาก แต่ความสุขก็ที่เดิมเรื่อยไป เพราะข้างนอกได้มา ๑ แต่ข้างในก็ลดลงไป ๑ เลยเหลือ 0 ที่เดิม กระบวนการวิ่งหาความสุขจึงดำเนินไปไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความสุขวิ่งหนีเราไปเรื่อย ๆ
    เพราะฉะนั้น จะต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขไว้ด้วยคู่กัน เป็นคนที่สุขได้ง่ายก็เป็นอันว่าสบาย อย่างน้อยก็ฝึกตัวเองไว้ อย่าให้ความสุขต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
    ศีล ๕ เป็นตัวอย่างของวิธีฝึกไม่ให้เราสูญเสียอิสรภาพ โดยไม่เอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุมากเกินไป แปดวันก็รักษาศีล ๘ ครั้งหนึ่ง ลองหัดดูซิว่าให้ความสุขของเราไม่ต้องขึ้นกับการบำรุงบำเรอทางกายด้วยวัตถุ เริ่มด้วยข้อวิกาลโภชนาฯ ไม่ต้องบำเรอลิ้นด้วยอาหารอร่อยอยู่เรื่อย ไม่คอยตามใจลิ้น กินแค่เที่ยง เพียงที่ที่ร่างกายต้องการเพื่อให้มีสุขภาพดี แข็งแรง ตลอดจนข้อ อุจจาสยนะฯ ไม่บำเรอตัวด้วยการนอน ไม่ต้องนอนบนฟูก ลองนอนง่าย ๆ บนพื้น บนเสื่อธรรมดา ลองไม่ดูการบันเทิงซิ ทุก ๘ วัน เอาครั้งเดียว จะเป็นการรักษาอิสรภาพของชีวิตไว้ และฝึกให้เรามีชีวิตอยู่ดีได้โดยไม่ต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
    พอฝึกได้แล้วต่อมาเราจะพูดถึงวัตถุหรือสิ่งบำรุงความสุขเหล่านั้นว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" ต่างจากคนที่ไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ซึ่งจะเอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุ ถ้าไม่มีวัตถุเหล่านั้นเสพแล้วอยู่ไม่ได้ รุรนทุราย ต้องพูดถึงวัตถุหรือสิ่งเสพเหล่านั้นว่า "ต้องมีจึงจะอยู่ได้ ไม่มีอยู่ไม่ได้" คนที่เป็นอย่างนี้จะแย่ ชีวิตนี้สูญเสียอิสรภาพ คนยิ่งอายุมากขึ้นสถานการณ์ก็ไม่แน่นอน ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายเสพความสุขจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ เช่น ลิ้นไม่รับรู้รส กินอาหารก็ไม่อร่อย ถ้าไม่ฝึกไว้ ความสุขของตัว ไปอยู่ที่วัตถุเหล่านั้นเสียหมดแล้ว และตัวก็เสพมันไม่ได้ จิตใจก็ไม่มีความสามารถที่จะมีความสุขด้วยตนเอง ก็จะลำบากมาก ทุกข์มาก เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ฝึกไว้ รักษาศีล ๘ นี้แปดวันครั้งหนึ่ง จะได้ไม่สูญเสียอิสรภาพนี้ไป
    เพราะฉะนั้นเอาคำว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" นี้ไว้ ถามตัวเอง เป็นการตรวจสอบอยู่เสมอว่า เราถึงขั้นนี้หรือยัง หรือต้องมีจึงจะอยู่ได้ ถ้ายังพูดได้ว่า มีก็ดีไม่มีก็ได้ ก็เบาใจได้ว่า เรายังมีอิสรภาพอยู่ ต่อไปถ้าเราฝึกเก่งขึ้นไปอีก อาจจะมาถึงขั้นที่พูดได้ในบางเรื่องว่า "มีก็ได้ ไม่มีก็ดี" ถ้าได้อย่างนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
    คนที่พูดได้อย่างนี้ จะมีความรู้สึกว่าของพวกนี้เกะกะ เราอยู่ของเราง่าย ๆ ดีแล้ว มีก็ได้ไม่มีก็ดี ไม่มีเราก็สบาย ชีวิตเป็นอิสระโปร่งเบาความสุขเริ่มไม่ขึ้นต่อวัตถุอามิสสิ่งเสพภายนอก ความสุขเริ่มไม่ต้องหา
    -ความสุขที่ต้องหา แสดงว่าเราขาด คือยังไม่มีความสุขนั้นเราหาได้ที เสพทีก็มีสุขที แต่ระหว่างนั้นต้องอยู่ด้วยการอ อยู่ด้วยความหวัง บางทีก็ถึงกับทุรนทุราย กระวนกระวาย เพราะฉะนั้น จะต้องทำตัวให้มีความสุขด้วยตนเองสำรองไว้ให้ได้ ด้วยวิธีฝึกรักษาอิสรภาพของชีวิต และรักษาความสามารถที่จะมีความสุขไว้

    ขั้นที่ ๒ พอเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่ง แต่ก่อนนี้ชีวิตเคยต้องได้วัตถุมาเสพต้องได้ ต้องเอา เมื่อได้จึงจะมีความสุข ถ้าคือเสียก็ไม่มีความสุข แต่คราวนี้ คุณธรรมทำให้ใจเราเปลี่ยนไป เหมือนพ่อแม่ที่มีความสุขเมื่อให้แก่ลูก เพราะรักลูก ความรักคือเมตตา ทำให้อยากให้ลูกมีความสุขพอให้แก่ลูกแล้วเห็นลูกมีความสุข ตัวเองก็มีความสุข เมื่อพัฒนาเมตตากรุณาขยายออกไปถึงใคร ให้แก่คนนั้น ก็ทำให้ตัวเองมีความสุขศรัทธาในพระศาสนาในการทำความดี และในการบำเพ็ญประโยชน์เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน เมื่อให้ด้วยศรัทธา ก็มีความสุขจากการให้นั้น ดังนั้นคุณธรรมที่พัฒนาขึ้นมาในใจ เช่น เมตตากรุณา ศรัทธา จึงทำให้เรามีความสุขจากการให้ การให้กลายเป็นความสุข

    ขั้นที่ ๓ ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ ที่ผ่านมานั้นเราอยู่ในโลกของสมมติมาก และบางทีเราก็หลงไปกับความสุขในโลกของสมมตินั้น แล้วก็ถูกสมมติ ล่อหลอกเอา อยู่ด้วยความหวังสุขจากสมมติที่ไม่จริงจังยั่งยืน และพาให้ตัวแปลกแยกจากความจริงของธรรมชาติ และขาดความสุขที่พึงได้จากความเป็นจริงในธรรมชาติเหมือนคนทำสวนที่มีวหวังความสุขจากเงินเดือน เลยมองข้ามผลที่แท้จริงตามธรรมชาติจากการทำงานของตัว คือความเจริญงอกงามของต้นไม้ ทำให้ทำงานด้วยความฝืนใจเป็นทุกข์ ความสุขอยู่ที่การได้เงินเดือนอย่างเดียว ได้แต่รอความสุขที่อยู่ข้างหน้า แต่พอใจมาอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติ อยากเห็นผลที่แท้จริงตามธรรมชาติของการทำงาน ของตน คือ อยากเห็นต้นไม้เจริญงอกงาม หายหลงสมมติ ก็มีความสุขในทำสวน และได้ความสุข จากการชื่นชมความเจริญงอกงามของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น คนที่ปรับชีวิตได้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ จึงสามารถหาความสุขจากการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ได้เสมอ พอปัญญามาบรรจบให้วางใจถูก ชีวิตและความสุขก็ถึงความสมบูรณ์

    ขั้นที่ ๔ ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง คนเรานี้มีความสามารถในการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์ ปรุงแต่งทุกข์ก็ได้ ปรุงแต่งสุขก็ได้ โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือปรุงแต่งความคิดมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ จนมีเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย
    ที่สำคัญก็คือในใจของเราเอง เรามักจะใช้ความสามารถในทางที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง แทนที่จะปรุงแต่งความสุข เรามักจะปรุงแต่งทุกข์ คือเก็บเอาอารมณ์ที่ไม่ดี ที่ขัดใจ ขัดหู ขัดตา เอามาครุ่นคิดให้ไม่สบายใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง โดยเฉพาะคนที่สูงอายุนี่ ต้องระวังมาก ใจคอยจะเก็บอารมณ์ที่กระทบกระเทือน ไม่สบาย แล้วก็มาปรุงแต่ง ให้เกิดความกลุ้มใจ ว้าเหว่ เหงา เรียกใช้ความสามารถไม่เป็น

    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้ความสามารถในการปรุงแต่งแทนที่จะปรุงทุกข์ ก็ปรุงสุข เก็บเอาแต่อารมณ์ที่ดีมาปรุงแต่งใจให้สบาย แม้แต่หายใจ ที่ยังให้ปรุงแต่งความสุขไปด้วย ลองฝึกดูก็ได้เวลาหายใจเข้า ก็ทำใจให้เบิกบาน เวลาหายใจออก ก็ทำใจให้โปร่งเบาทานสอนไว้ว่าสภาพจิต 5 อย่างอย่างนี้ ควรปรุงแต่งให้มีในใจอยู่เสมอ คือ
    1. ๑. ปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกปานใจ
      ๒. ปีติ ความอิ่มใจ
      ๓. ปัสสัทธิ ความสงบเย็น ผ่อนคลายกายใจ ไม่เครียด
      ๔. ความสุข ความโปร่งโล่งใจ คล่องใจ สะดวกใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้น หรือติดขัดคับข้อง และ
      ๕. สมาธิ ภาวะที่จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ ได้ตามาต้องการ ไม่มีอะไรมารล[กวน จิตอยู่ตัวของมัน
    ขอย้ำว่า ๕ ตัวนี่สร้างไว้ประจำใจให้ได้ เป็นสภาพจิตที่ดีมาก ผู้เจริญในธรรมจะมีคุณสมบัติของจิตใจ ๕ ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    1. ตโต ปาโมชฺชพหุโล ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ
    1. แปลว่า ภิกษุปฏิบัติถูกต้องแล้ว มากด้วยปราโมทย์ มีจิตใจร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ จักทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป ท่านพูดไว้ถึงอย่างนี้
    ฉะนั้น ท่านผู้เกษียณอายุนั้น ถึงเวลาแล้ว ควรจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ถือเป็นโอกาสดี มาปรุงแต่งใจ แต่ก่อนนี้ปรุงแต่งแต่ทุกข์ทำให้ใจเครียด ขุ่นมัว เศร้าหมอง ตอนนี้ปรุงแต่งใจให้มีธรรม 5 อย่างนี้ คือ ปราโมทย์ มีความร่าเริงเบิกบานใจ ปีติ ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ ความผ่อนคลาย สงบเย็นกายใจ สุข โล่งโปร่งใจ สมาธิ สงบใจตั้งมั่น ไม่มีอะไรมารบกวน อยู่ตัว สบายเลย ทำใจให้ได้อย่างนี้อยู่เสมอ ท่องไว้เลย 5 ตัวนี้ คือ ปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว ทำไมเราไม่เอามาใช้ นี่แหละความสามารถในการปรุงแต่งจิต เอามาใช้ สบายแน่ และก็เจริญงอกงามในธรรมด้วย
    โดยเฉพาะ ที่นผู้สูงอายุนั้นก็เป็นธรรมดาว่าจะต้องมีเวลาพักและเวลาว่างที่ว่างจากกิจกรรม มากกว่าคนหนุ่มสาวและคนวัยทำงานที่เขายังมีกำลังร่างกายแข็งแรงดี ว่างจากงานเขาก็ไปเล่นไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มาก แต่ท่านที่สูงอายุ นอกจากออกกำลังบริหารร่างกายบ้างแล้ว ก็ต้องการเวลาพักผ่อนมากหน่อย จึงมีเวลาว่าง ซึ่งไม่ควรปล่อยให้กายว่างแต่ใจวุ่น

    เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ว่าง ไม่มีอะไรทำ และก็ยังไม่พักผ่อนนอนหลับ หรือนอนแล้วก่อนจะหลับ ก็พักผ่อนจิตใจให้สบาย ขอเสนอวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า ในเวลาที่ว่างอย่างนั้น ให้สูดลมหายใจเข้าและหายใจออกอย่างสบาย ๆ สม่ำเสมอ ให้ใจอยู่กับลมหายใจที่เข้าและออกนั้น พร้อมกันนั้นก็พูดในใจไปด้วย ตามจังหวะลมหายใจเข้าและออกว่า
    1. จิตใจเบิกบานหายใจเข้า
      จิตใจโล่งเบาหายใจออก
    ในเวลาที่พูดในใจอย่างไร ก็ทำใจให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสำนวนใหม่ก็ได้ว่า
    1. หายใจเข้า สูดเอาความสดชื่น
      หายใจออก ฟอกใจให้สดใส
    ถูกกับตัวแบบไหน ก็เลือกเอาแบบนั้น หายใจพร้อมกับทำใจไปด้วยอย่างนี้ตามแต่จะมีเวลาหรือพอใจ ก็จะได้การพักผ่อนที่เสริมพลังทั้งร่างกายและจิตใจ ชีวิตจะมีความหมาย มีคุณค่า และมีความสุขอยู่เรื่อยไป

    ขั้นที่ ๕ สุดท้าย ความสุขเหนือการปรุงแต่ง คราวนี้ไม่ต้องปรุงแต่ง คืออยู่ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจลงตัวสนิทสบาย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่อย่างผู้เจนจบชีวิต
    สภาพจิตนี้จะเปรียบเทียบได้เหมือนสารถีที่เจนจบการขับรถสารถีผู้ชำนาญในการขับรถนั้น จะขับม้าให้นำรถเข้าถนน และวิ่งด้วยความเร็วพอดี ตอนแรกต้องใช้ความพยายาม ใช้แซ่ ดึงบังเหียนอยู่พักหนึ่ง แต่พอรถม้านั้นวิ่งเข้าที่เข้าทางดี ความเร็วพอดี อยู่ตัวแล้ว สารถีผู้เจนจบ ผู้ชำนาญแล้วนั้น จะนั่งสงบสบายเลย แต่ตลอดเวลานั้นเขามีตลอดเวลานั้นเขาไม่มีความประหวั่น ไม่มีความหวาด จิตเรียบสนิท ไม่เหมือนคนที่ยังไม่ชำนาญ จะขับรถนี่ ใจคอไม่ดี หวาดหวั่น ใจคอยกังวลโน่นนี่ ไม่ลงตัว แต่พอรู้เข้าใจความจริงเจนจบดี ด้วยความรู้นี่แหละ จะปรับความรู้สึกให้ลงตัว เป็นสภาพจิตที่เรียบสงบสบายที่สุด
    คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง จิตเจนจบกับโลกและชีวิต วางจิตลงตัวพอดี ทุกอย่างเข้าที่อยู่ตัวสนิทอย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นจิตอุเบกขา เป็นจิตที่สบาย ไม่มีอะไรกวนเลยเรียบสนิท เป็นตัวของตัวเอง ลงตัว เมื่อทุกสิ่งเข้าที่ของมันแล้ว คนที่จิตลงตัวเช่นนี้ จะมีความสุขอยู่ประจำตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นสุขเต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมที่จะทำเพื่อผู้อื่นได้เต็มที่ เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตนและไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จะมองโลกด้วยปัญญาที่รู้ความจริง และด้วยใจที่กว้างขวางและรู้สึกเกื้อกูล
    คนที่พัฒนาความสุขมาถึงขึ้นสุดท้ายแล้วนี้ เป็นผู้พร้อมที่จะเสวยความสุขทุกอย่างใน ๔ ข้อแรก ไม่เหมือนคนที่ไม่พัฒนา ได้แต่หาความสุขประเภทแรกอย่างเดียว เมื่อหาไม่ได้ก็มีแต่ความทุกข์เต็มที่และในเวลาที่เสพความสุขนั้น จิตใจก็ไม่โปร่งไม่โล่ง มีความหวั่นใจหวาดระแวงขุ่นมัว มีอะไรรบกวนอยู่ในใจ สุขไม่เต็มที่ แต่พอพัฒนาความสุขขึ้นมา ยิ่งพัฒนาถึงขั้นสูงขึ้น ก็มีโอกาสได้รับความสุขเพิ่มขึ้นหลายทาง กลายเป็นว่า ความสุขมีให้เลือกได้มากมาย และจิตใจที่พัฒนาดีแล้ว ช่วยให้เสวยความสุขทุกอย่างได้เต็มที่ โดยที่ในขณะนั้น ๆ ไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นข้องหมองมัว
    เป็นอันว่าธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักความสุขในการดำเนินชีวิตมากยิ่ง ๆขึ้นไป สู่ความเป็นผู้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ จนกระทั่งความสุขเป็นคุณสมบัติของชีวิตอยู่ภายในตัวเองตลอดทุกเวลา ไม่ต้องหาไม่ต้องรออีกต่อไป ความสุข ๕ ขั้นนี้ ความจริงแต่ละข้อต้องอธิบายกันมาก แต่วันนี้พูดไว้พอให้ได้หัวข้อก่อน คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์พอสมควร
    ขออนุโมทนา ท่านผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน ขอตั้งจิตส่งเสริมกำลังใจ ขอให้ทุกคนประสบจตุรพิธพรชัย มีปีติอิ่มใจอย่างน้อยว่า ชีวิตส่วนที่ผ่านมาได้ทำประโยชน์ ได้ทำสิ่งที่มีค่าไปแล้ว ถือว่าได้บรรลุจุดหมายของชีวิตไปแล้วส่วนหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นจึงควรตั้งใจว่า เราจะเดินหน้าต่อไปอีกสู่จุดหมายชีวิตที่ควรจะได้ต่อไป เพราะยังมีสิ่งที่จะทำชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกไม่ใช่แค่นี้ ชีวิตนั้นยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ ที่จะทำให้เต็มเปี่ยมได้ยิ่งกว่านี้ จึงขอให้ทุกท่านเข้าถึงความสมบูรณ์ของชีวิตนั้นสืบต่อไปและขอให้ทุกที่นมีความร่มเย็นเป็นสุขในพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทั่วกันตลอดกาลทุกเมื่อ.

    <SMALL>/คู่มือชีวิต/พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)</SMALL>
    <SMALL></SMALL>
    <SMALL>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    "ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข"
    พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
    "?Ø?ᵨ?㨣˩໧?ʘ?"

    ใช้ความสามารถปรุงแต่งสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ภายนอกแล้วอย่าลืมใช้ความสามารถนั้น ปรุงแต่งสร้างสรรค์ความสุขภายในด้วย
    พระพุทธศาสนาเปิดเผยความจริงว่าความสุขมีมากมาย ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ ทั้งความสุขภายนอกภายใน ทั้งความสุขแบบแบ่งแยกและความสุขแบบประสาน ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไม่อาศัยวัตถุ ทั้งความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับปัญญา ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจม และความสุขแบบโปร่งโล่งผ่องใส
    ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี การที่มนุษย์เจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์นี่แหละแต่กว่าจะออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้ ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างในแล้วจึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม
    ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลาด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์ จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้ ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น
    สัตว์อื่นนั้นไม่รู้จักความทุกข์ความสุขมากเหมือนมนุษย์ มันมีความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางกาย ได้กินอาหาร ได้หลับนอนพักผ่อนหรือต่อสู้หนีภัยอะไร ๆ ก็ตามประสา แต่ความสุขความทุกข์ทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งมันไม่มี เราจะเห็นว่าสัตว์กลุ้มใจไม่เป็น สัตว์มันเครียดไม่เป็น เครียดได้แต่เรื่องที่สืบเนื่องจากทางกาย ไม่เหมือนมนุษย์
    มนุษย์นี้ปรุงแต่งสุขทุกข์ในใจกันมากมายพิสดารปรุงแต่งทุกข์ให้กลุ้มให้กังวลให้เครียดจนกระทั้งเสียจิตไปเลย สัตว์อื่นปรุงแต่งใจให้เป็นบ้าไม่ได้ แต่มนุษย์ปรุงแต่งจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไปก็มี มนุษย์มีความสามารถนี้อยู่มากมายนัก แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ใช้ความสามารถนี้ไปในการปรุงแต่งทุกข์มากกว่าปรุงแต่งสุข มีอะไรมากระทบตากระทบหู ไม่สบายใจนิดหน่อย ก็เก็บเอามาปรุงแต่งต่อเสียยืดยาวใหญ่โต เวลาอยู่ว่าง ๆ แทนที่จะปรุงแต่งสุข ก็ปรุงแต่งทุกข์ เอาเรื่องที่ไม่ดีมาวาดเป็นภาพ ทำให้เกิดความรู้สึกกลุ้มใจกังวล มีความโกรธเคียดแค้นต่าง ๆ ทำให้มีความทุกข์มากมาย แสดงว่ามนุษย์ส่วนมากใช้ความสามารถไม่ถูกทางจึงเป็นโทษแก่ตนเองทีนี้ถ้ามนุษย์ฝึกตัวให้ใช้ความสามารถนั้นให้ถูก เขาก็จะปรุงแต่งความสุขได้มากมายมหาศาล
    ในทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำให้เราปรุงแต่งความสุข
    ท่านสอนวิธีทำใจหรือฝึกจิตฝึกใจ และบอกวิธีใช้ปัญญามากมาย อย่างเช่น การบำเพ็ญสมาธิต่าง ๆ ก็คือวิธีปรุงแต่งจิตใจนั่นเอง แต่เป็นการปรุงแต่งให้เป็นสุข ในการมองโลกแม้แต่สิงเดียวกัน ถ้าเรามองไม่เป็น ก็เป็นเรื่องร้ายเกิดทุกข์ แต่ถ้ามองเป็น ก็กลายเป็นดีเกิดสุขได้
    ขอเล่าเรื่องพระท่านหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนหนังสือที่มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เวลาชั่วโมงว่างไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านจะมองไปที่ท่าพระจันทร์ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาขวักไขว่จำนวนมาก ท่านมองไปมองมาแล้วก็นั่งหัวเราะ อาตมาก็ถามว่าหัวเราะอะไร ไม่เห็นมีอะไร ท่านบอกว่ามองไปเห็นผู้คนเดินไปเดินมา ท่าทาง รูปร่างเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ กัน คนนั้นเดินอย่างนี้ คนนี้เดินอย่างนั้น ดูแล้วขำ ท่านก็เลยหัวเราะ นี่ก็เป็นวิธีมองโลกอย่างหนึ่ง
    บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด นี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไรก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา
    ในชีวิตประจำวัน เมื่อทำงานทำการ เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน เราจะต้องหัดมองให้เป็น อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา
    วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลก ๆ ในวันหนึ่ง ๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้ เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น เป็นประสบการณ์ หลากหลาย เป็นข้อมูลความรู้ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่านี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น โลกเป็นอย่างนี้ เมื่อเราทำใจอย่างนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา ไม่กระทบใจ เราก็สบายใจ แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย.

    <SMALL>คัดตัดตอนมาจากหนังสือ "ทำอย่างไรจะให้งานประสานกับความสุข" โดย พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต)</SMALL>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    มาแจ้งข่าวงานบุญขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    22-7-2552, 10:43 AM #32262

    ผมได้ขอพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จากคุณnongnooo ไว้จำนวน 5 องค์ จากคุณเพชร จำนวน 5 องค์ และผมจะมอบให้จำนวน 10 องค์ เพื่องานผ้าป่าสามัคคีโดยเฉพาะครับ

    รายละเอียดมีดังนี้ครับ

    ข้อที่ 1.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 10 องค์ สำหรับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า(ที่สมัครก่อนวันที่ 20 กรกฎาคม 2552) ให้ร่วมทำบุญ 3,000 บาท(สามพันบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ส่วนสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าที่สมัครหลังจากวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 ให้ร่วมทำบุญ 6,000 บาท(หกพันบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้สมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้าร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น

    หมายเหตุ 1.1 การทำบุญในข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 สามารถจองไว้ก่อนได้ และต้องโอนเงินร่วมทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนหรือภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2552 เท่านั้น

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 1.
    1.คุณpsombat โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    2.คุณchantasakuldecha โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    3.คุณแหน่ง โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    4.คุณพี่เบิ้ม โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    5.คุณมูริญโญ่ โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน .......... บาท วันที่ ..................
    6.คุณMEA โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 25 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    7.คุณพรสว่าง_2008 โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 3,000 บาท วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์
    8.คุณ
    9.คุณ
    10.คุณ
    11.คุณ
    12.คุณ
    13.คุณ

    ข้อที่ 2.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 5 องค์ ให้กับท่านที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาก่อนแล้ว โดยร่วมทำบุญ 20,000 บาท(สองหมื่นบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้ท่านที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาก่อนแล้ว ร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น

    หมายเหตุ 2.1 การทำบุญในข้อที่ 1 และ ข้อที่ 2 สามารถจองไว้ก่อนได้ และต้องโอนเงินร่วมทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนหรือภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2552 เท่านั้น

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 2.
    1.คุณ
    2.คุณ
    3.คุณ
    4.คุณ
    5.คุณ
    6.คุณ
    7.คุณ

    ข้อที่ 3.ขอมอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 5 องค์ ให้กับท่านที่ไม่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาเลย โดยร่วมทำบุญ 2,000,000 บาท(สองล้านบาทถ้วน) มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) จำนวน 1 องค์ ขอสงวนสิทธิ์ให้ท่านไม่ที่เคยร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาเลย ร่วมทำบุญได้ท่านละ 1 องค์เท่านั้น และทำบุญ(โดยโอนเงินร่วมทำบุญและเข้าบัญชีบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ) ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 เท่านั้น

    ปัจจุบัน วันที่ 4 สิงหาคม 2552 ได้หมดเขตการจองและร่วมทำบุญในข้อที่ 3 แล้ว
    หมายเหตุ 3.1 หากการทำบุญในข้อที่ 3 ไม่มีท่านไหนมาร่วมทำบุญภายในกำหนดระยะเวลาที่กำหนด ผมจะยกพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ดังกล่าวไปมอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญในข้อที่ 1. และ ข้อที่ 2 แทน

    หมายเหตุ 3.2 หากการทำบุญในข้อที่ 3 มีท่านที่ทำบุญ 5 ท่าน ซึ่งจำนวนเงินที่ร่วมทำบุญมา เกินกว่ายอดเงินที่ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ผมจะขออนุญาตพระอาจารย์นิล ,พี่แอ๊ว และท่านที่เกี่ยวข้อง นำเงินดังกล่าวทั้งหมดไปทำบุญในสถานที่อื่นๆ ตามที่พระอาจารย์นิล ,พี่แอ๊ว และผมเห็นสมควร

    รายนามผู้จอง ข้อที่ 3.
    1.คุณ - 2.คุณ - 3.คุณ - 4.คุณ - 5.คุณ -

    เนื่องจากในข้อที่ 3 ไม่มีผู้ที่จองและร่วมทำบุญ ผมขอยกยอดจำนวนพระสมเด็จ (กลักไม้ขีด) ไปไว้ที่ ข้อ 1.(จำนวน 3 องค์) และ ข้อ 2.(จำนวน 2 องค์) ครับ

    การจองและการร่วมทำบุญ สามารถจองไว้ก่อนได้ ท่านใดจองก่อน มีสิทธิ์ก่อน และการรับจองต้องโอนเงินร่วมทำบุญตามกำหนดระยะเวลาที่ได้แจ้งไว้แล้ว

    PaLungJit.com

    พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง - PaLungJit.com เธนเธกเธด.68899/page-90#post2317241

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....<!-- google_ad_section_end -->

    ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

    หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

    หมายเหตุ 2 หากท่านที่มีประสงค์จะร่วมทำบุญ แต่ไม่มั่นใจว่า พระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชา เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่แท้หรือไม่เป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องไทย(การซื้อ-ขาย) ก็ไม่ต้องรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไปครับ


    ----------------------------------------------


    หมายเหตุ หากท่านที่มีประสงค์จะร่วมทำบุญ แต่ไม่มั่นใจว่า พระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่แท้หรือไม่เป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องไทย(การซื้อ-ขาย) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป และเป็นพระพิมพ์ที่ไม่สามารถที่จะนำไปซื้อ-ขายในวงการพระเครื่องของเมืองไทยได้

    หมายเหตุ 1 พระวังหน้า ที่ผมนำมามอบให้กับผู้ที่ทำบุญในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่ 1890-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ และผมได้บอกบุญในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้ เป็นพระพิมพ์ที่ไม่สามารถที่จะนำไปซื้อ-ขายในวงการพระเครื่องของเมืองไทยได้

    แต่หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

    ซึ่งเรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

    โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ

    อีกประการหนึ่ง ชมรมรักษ์พระวังหน้า ไม่มีการจัดการประกวดพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลของวังหน้าและวังหลวงทุกประการ เนื่องจากการประกวดพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคล เป็นการทำลายพระพิมพ์และวัตถุมงคล เพราะเทวดาที่ท่านอยู่ในพระพิมพ์หรือวัตถุมงคล ท่านได้ออกไปจากพระพิมพ์และวัตถุมงคลไปจนหมดสิ้น และพลังพุทธคุณและพลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิตก็ไม่มีเช่นกันครับ

    มีได้ก็เสื่อมได้เป็นธรรมดา

    โมทนาสาธุครับ

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....<!-- google_ad_section_end -->

    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    สำหรับงานผ้าป่าในวันที่ 29 นี้ ขอแจ้งเรื่องของการประมูลพระสมเด็จ กลักไม้ขีด


    ผมได้มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ให้พี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกมาว่า พี่จะปิดทองที่องค์พระให้ แล้วให้ผมไปรับพระสมเด็จ องค์นี้ ที่พี่ใหญ่ และให้ผมนำไปมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญในงานผ้าป่านี้ ผมถามพี่ใหญ่ว่า จะให้ผมตั้งราคาเพื่อทำบุญ หรือ ให้ประมูลได้หรือไม่ ผมกลัวเนื่องจากผมเคยโดนดุเรื่องของการประมูลมาแล้ว พี่ใหญ่บอกกับผมว่า สำหรับพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ แล้วแต่ผมว่า จะทำอย่างไร ผมก็เลยบอกว่า งั้นผมขอนำไปประมูลนะครับ

    ผมจะตั้งราคาประมูลในครั้งแรก จำนวน 4,999 บาท ให้เพิ่มในการประมูลครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 บาท

    เตรียมเงินกันไว้นะครับ ไปประมูลพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ และในความเห็นผม ผมเชื่อว่า ต้องเป็นกรณีพิเศษครับ

    พี่แอ๊วแจ้งผมว่า ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ,พี่จิ๋ว และ พี่ใหญ่ มาเป็นประธานในครั้งนี้ และ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ,พี่จิ๋ว และ พี่ใหญ่ ตกลงที่จะมาร่วมงานผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้แล้วครับ

    ส่วนสถานที่ จะเป็นคณะ 7 (วัดพระศรีฯ บางเขน)

    ในงาน มีการถวายภัตตาหารเพล แด่พระภิกษุสงฆ์ ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 - 10.30 น. หลังจากนั้น ผมจะเริ่มการประมูล พระสมเด็จ (กลักไม้ขีด) และให้บูชาพระวังหน้า เงินทุกบาททุกสตางค์ ร่วมทำบุญในผ้าป่าครั้งนี้ โดยทำในนาม " ชมรมรักษ์พระวังหน้า "

    ขอเชิญชวนทุกๆท่าน ไปร่วมงานผ้าป่าในครั้งนี้กันครับ

    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สำหรับพระสมเด็จ กลักไม้ขีด ผมได้นำไปเลี่ยมกรอบสแตนเลส จำนวน 10 องค์ และ พระสมเด็จ กลักไม้ขีด ที่พี่ใหญ่เป็นผู้ที่ปิดทอง(หลังองค์พระ)ให้ ผมก็จะเลี่ยมกรอบสแตนเลสให้ด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  10. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ
     
  11. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ข้อดีของคนเป็นไมเกรน</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดร.คริสโตเฟอร์ ลี แห่งสถาบันวิจัยมะเร็งเฟรด ฮัทชินสัน ในซีแอตเติล

    พบว่าผู้หญิงที่ป่วยเป็นไมเกรนจะ ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า

    “จากการสำรวจกลุ่มผู้หญิงวัยทองจำนวน 3,412 คนในซีแอตเติล โดย 1, 938 คนเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม พบว่าในกลุ่มปกติที่ไม่ได้ป่วยด้วยมะเร็งเต้านม แต่มีประวัติเป็นไมเกรน จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมเพียง 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะทั้งมะเร็งเต้านมและไมเกรนล้วนมีสาเหตุจากฮอร์โมนอีสโตรเจน อีสโตรเจนยิ่งสูงยิ่งเสี่ยงมะเร็งเต้านม แต่ถ้าอีสโตรเจนต่ำจะเสี่ยงไมเกรนแทน จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมคนที่เป็นไมเกรน จึงลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้”


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    นิตยสาร Health & Cuisine
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>เวลาที่ไม่ควรแปรงฟัน

    แม้ว่าการแปรงฟันเป็นประจำจะเป็นสุขนิสัยที่ดีแต่มีบางเวลาที่ไม่ควรแปรงฟันในทันที

    สมาคมทันตกรรมชิคาโก ระบุว่า ไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโซดาหรือกรด เช่น น้ำอัดลม น้ำส้ม เพราะการแปรงฟันขณะที่มีกรดหลงเหลืออยู่ในปากจะยิ่งกระตุ้นให้ฟันผุง่ายยิ่งขึ้น

    วิธีที่ควรทำหลังจากดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ คือ ดื่มน้ำเปล่าหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลภายในปาก หลังจากนั้นค่อยแปรงฟัน วิธีนี้ใช้กับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งมักจะมีน้ำย่อยที่มีสถานะเป็นกรดไหลย้อนมาอยู่ในปากได้ด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    นิตยสารแพรว ฉบับที่ 719
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สำหรับงานผ้าป่าในวันที่ 29 นี้ ขอแจ้งเรื่องของการประมูลพระสมเด็จ กลักไม้ขีด


    ผมได้มอบพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด) ให้พี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกมาว่า พี่จะปิดทองที่องค์พระให้ แล้วให้ผมไปรับพระสมเด็จ องค์นี้ ที่พี่ใหญ่ และให้ผมนำไปมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญในงานผ้าป่านี้ ผมถามพี่ใหญ่ว่า จะให้ผมตั้งราคาเพื่อทำบุญ หรือ ให้ประมูลได้หรือไม่ ผมกลัวเนื่องจากผมเคยโดนดุเรื่องของการประมูลมาแล้ว พี่ใหญ่บอกกับผมว่า สำหรับพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ แล้วแต่ผมว่า จะทำอย่างไร ผมก็เลยบอกว่า งั้นผมขอนำไปประมูลนะครับ

    ผมจะตั้งราคาประมูลในครั้งแรก จำนวน 4,999 บาท ให้เพิ่มในการประมูลครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 บาท

    เตรียมเงินกันไว้นะครับ ไปประมูลพระสมเด็จ(กลักไม้ขีด)องค์นี้ และในความเห็นผม ผมเชื่อว่า ต้องเป็นกรณีพิเศษครับ

    พี่แอ๊วแจ้งผมว่า ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ,พี่จิ๋ว และ พี่ใหญ่ มาเป็นประธานในครั้งนี้ และ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ,พี่จิ๋ว และ พี่ใหญ่ ตกลงที่จะมาร่วมงานผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้แล้วครับ

    ส่วนสถานที่ จะเป็นคณะ 7 (วัดพระศรีฯ บางเขน)

    ในงาน มีการถวายภัตตาหารเพล แด่พระภิกษุสงฆ์ ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 - 10.30 น. หลังจากนั้น ผมจะเริ่มการประมูล พระสมเด็จ (กลักไม้ขีด) และให้บูชาพระวังหน้า เงินทุกบาททุกสตางค์ ร่วมทำบุญในผ้าป่าครั้งนี้ โดยทำในนาม " ชมรมรักษ์พระวังหน้า "

    ขอเชิญชวนทุกๆท่าน ไปร่วมงานผ้าป่าในครั้งนี้กันครับ

    สำหรับพระสมเด็จ กลักไม้ขีด ผมได้นำไปเลี่ยมกรอบสแตนเลส จำนวน 10 องค์ และ พระสมเด็จ กลักไม้ขีด ที่พี่ใหญ่เป็นผู้ที่ปิดทอง(หลังองค์พระ)ให้ ผมก็จะเลี่ยมกรอบสแตนเลสให้ด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.JPG
      1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      38.1 KB
      เปิดดู:
      1,846
    • 2.JPG
      2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      57.3 KB
      เปิดดู:
      1,115
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  15. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ช่วงเย็นโอนเงินร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง 200 บาท เข้าบัญชี 1890-13128-8 ครับ

    ผมขอน้อมอุทิศ กุศลผลบุญ แก่กัลยาณมิตร ทุกท่าน ครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    โมทนาสาธุครับ

    "

    http://www.agalico.com/board/showthr...t=9798&page=20

    "����ѧ˹�� �����ǧ���෾�š�ش��ʡ ��ҵ�ͧ��÷�������....." - ˹�� 133 - �����͡�����

    ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ตารางเวลาปิดปรับปรุง สะพานข้ามแยกทั่วกรุงเทพ

    �����оҹ ���ҧ���һԴ �оҹ�����¡



    [​IMG]


    ตารางเวลาปิดปรับปรุง สะพานข้ามแยกทั่วกรุงเทพ ปิดการจราจรเดินเครื่อง 13 แห่ง (เดลินิวส์)

    โดย : ทีมข่าว กทม.​

    หลังจากสะพานเหล็กหลายแห่งทั่วกรุงเทพมหานครได้เปิดบริการยวดยานพาหนะให้คนกรุงมายาวนาน ย่อมเสื่อมสภาพและผุกร่อนลงไป ในที่สุดก็ถึงเวลาปรับปรุงครั้งใหญ่

    สำหรับสะพานแรกที่จะทำการปิดซ่อมแซม คือ สะพานข้ามแยกรัชโยธิน เริ่มปิดการจราจรวันที่ 1 กันยายน 2552 ใช้เวลาปิด 30 วัน โดยปิดการจราจรด้านละ 15 วัน สำหรับเส้นทางเลี่ยงสะพานข้ามแยกรัชโยธิน ผู้ที่ใช้ถนนรัชดาภิเษกต้องการมุ่งหน้าพระราม 7 ให้เลี้ยวซ้ายที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว เข้าปากทางลาดพร้าว ไปขึ้นสะพานต่างระดับรัชวิภาไปสะพานพระราม 7 ได้ ในทิศทางกลับกันจากพระราม 7 ใช้ต่างระดับรัชวิภาให้ลงที่วิภาวดีแล้วเข้าถนนลาดพร้าวที่ปากทางลาดพร้าว นอกจากนี้ยังมีเส้นทางลัดในซอยใกล้เคียง 3 เส้นทาง ได้แก่


    1. เส้นทางจากซอยพหลโยธิน 33 - รัชดาภิเษก 46

    2. ซอยวิภาวดี 32 - ซอยพหลโยธิน 23

    3. ซอยวิภาวดี 38, 42 ไปออกซอยพหลโยธิน 35 หรือไปออกซอยรัชดาภิเษก 46/1 ได้


    [​IMG]

    [​IMG]


    ตารางแผนปิดการจราจรเพื่อปรับปรุงซ่อมสะพาน 13 แห่ง ประกอบด้วย



    <TABLE style="WIDTH: 515px; HEIGHT: 278px" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=1><TBODY><TR><TD style="COLOR: rgb(0,0,255); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168); TEXT-ALIGN: center">
    สะพาน

    </TD><TD style="COLOR: rgb(0,0,255); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168); TEXT-ALIGN: center">
    ช่วงที่ปิด

    </TD><TD style="COLOR: rgb(0,0,255); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168); TEXT-ALIGN: center">
    ระยะเวลาซ่อม

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1. สะพานข้ามแยกรัชโยธิน​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1-30 ก.ย. 52​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    30 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    2. สะพานข้ามแยกบางพลัด ​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    15 ก.ย. - 15 ธ.ค. 52​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    3. สะพานข้ามแยกพงษ์เพชร​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 ต.ค. - 30 ธ.ค. 52​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    4. สะพานข้ามแยกพระรามที่ 4​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 ต.ค. - 30 ธ.ค. 52​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    5. สะพานข้ามแยกคลองตัน​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 ธ.ค. - 30 พ.ค. 53​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    180 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    6. สะพานข้ามแยกวงศ์สว่าง ​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 ม.ค. - 30 มี.ค. 53​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    7. สะพานข้ามแยกเกษตร​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 เม.ย. - 30 เม.ย. 53​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    30 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    8. สะพานข้ามแยกสามเหลี่ยมดินแดง​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 เม.ย. - 30 เม.ย. 53​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    30 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    9. สะพานข้ามแยกประชานุกูล​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 พ.ค. - 30 ก.ค. 53​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    10. สะพานข้ามแยกท่าพระ​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 พ.ค. - 30 ก.ค. 53​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    11. สะพาน ข้ามแยกพระราม 9-รามคำแหง​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 ต.ค. - 31 ธ.ค. 52​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    12. สะพานพระราม 9-อสมท ​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    1 ต.ค. - 31 ธ.ค. 52​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    90 วัน​

    </TD></TR><TR><TD style="COLOR: rgb(128,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    13. สะพานอโศก-เพชรบุรี (รื้อสร้างใหม่)​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    15 ก.ย. 52 - 15 มิ.ย. 53​

    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,249,168)">
    300 วัน​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อย่างไรก็ตาม สะพานข้ามแยกพระราม 9-รามคำแหง, สะพานพระราม 9-อสมท, สะพานอโศก-เพชรบุรี ทั้ง 3 สะพานแห่งนี้อยู่ใกล้เคียงโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ที่กำลังก่อสร้าง รวมทั้งมีการซ่อมถนน โรคัลโรด กทม. จึงจำเป็นต้องชะลอการปรับปรุงไว้ก่อน รอให้โครงการต่างๆ เสร็จเรียบร้อยค่อยดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เป็นตัวเลือกในการเลี่ยงเส้นทางเมื่อมีการซ่อมสะพาน ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงเดือน ต.ค.

    โดยสะพานพระราม 9-อสมท และพระราม 9-รามคำแหง ทั้ง 3 แห่ง จะใช้เวลาปรับปรุงแห่งละ 90 วัน ส่วนสะพานอโศก-เพชรบุรี ก็ต้องรื้อสร้างใหม่ จะใช้เวลาประมาณ 10 เดือน การทำงานแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

    ส่วนที่ 1 งานตรวจสอบและประเมินสภาพโครงสร้างวัตถุประสงค์ เพื่อรองรับการใช้เส้นทางจราจรให้สอดคล้อง กับปัจจุบัน ได้แก่

    1. ปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้น
    2. น้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้นตามกฎหมายใหม่
    3. ข้อกำหนดการต้านทานแรงแผ่นดินไหว

    ส่วนที่ 2 งานปรับปรุงโครงสร้างสะพาน โดยมี ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ ในส่วนของการจัดการจราจรแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

    1. งานที่ดำเนินการได้ก่อนทำการปรับปรุงโครงสร้างสะพาน และไม่ต้องปิดจราจรหรือปิดจราจรชั่วคราว
    2. งานปรับปรุงโครงสร้างสะพาน ที่ดำเนินการได้โดยต้องทำการปิดจราจร บนสะพาน ทิศทางละ 45 วัน
    3. งานที่ต้องดำเนินการหลัง จากงานปรับปรุงโครงสร้างสะพานแล้ว เสร็จ โดยไม่ต้องปิดจราจรหรือปิดจราจรชั่วคราว

    สิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการภายหลังทำการปรับปรุงโครงสร้างหลัก ได้แก่ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบระบายน้ำบนสะพาน ปรับปรุงพื้นทางเท้าใต้สะพาน และปรับปรุงรั้วตาข่ายเชิงลาด เป็นต้น เสร็จเมื่อไหร่รับรองคนกรุงได้ใช้รถใช้ถนนกันสบายใจเหมือนเดิมแน่นอน


    งบประมาณในการดำเนินงาน

    กทม. แบ่งโครงการปรับปรุงสะพานออกเป็นกลุ่มๆ ได้แก่ กลุ่ม A กลุ่ม B และกลุ่ม C

    โครงการปรับปรุงสะพานเหล็กข้ามแยก กลุ่ม A จะดำเนินการตามสัญญาเลขที่ สนย. 39/2551 ลงวันที่ 23 พ.ค. 2551 งบประมาณการดำเนินการดังต่อไปนี้

    1. สะพานข้ามแยกท่าพระ = 72.35 ล้านบาท
    2. สะพานข้ามแยกบางพลัด = 73.60 ล้านบาท
    3. สะพานข้ามแยกประชานุกูล = 61.75 ล้านบาท
    4. สะพานข้ามแยกวงศ์สว่าง = 77.60 ล้านบาท

    โครงการปรับปรุงสะพานเหล็กข้ามแยก กลุ่ม B จะดำเนินการตามสัญญาเลขที่ สนย. 50/2551 ลงวันที่ 24 ก.ค. 2552 งบประมาณการดำเนินการรายสะพาน

    1. สะพานข้ามแยกรัชโยธิน = 17.98 ล้านบาท
    2. สะพานข้ามแยกเกษตร = 18.06 ล้านบาท
    3. สะพานข้ามแยกพงษ์เพชร = 110.70 ล้านบาท
    4. สะพานข้ามแยกดินแดง = 44.75 ล้านบาท

    โครงการปรับปรุงสะพานเหล็กข้ามแยก กลุ่ม C ตามสัญญาเลขที่ สนย. 45/2551 ลงวันที่ 30 มิ.ย. 2551 งบประมาณการดำเนินการรายสะพาน

    1. สะพานข้ามแยกคลองตัน = 169.83 ล้านบาท
    2. สะพานข้ามแยกพระราม 4 (ไทย-ญี่ปุ่น) = 158.39 ล้านบาท
    3. สะพานข้ามแยกพระราม 9-รามคำแหง = 221.81 ล้านบาท
    4. สะพานข้ามแยกพระราม 9-ดินแดง = 213.79 ล้านบาท
    5. สะพานข้ามแยกอโศก-เพชรบุรี (รื้อถอนพร้อมสร้างใหม่)

    เว็บไซต์ตรวจสอบเส้นทางลัด

    ประชาชนสามารถตรวจสอบเส้นทางหลีกเลี่ยง เส้นทางลัด และติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการปรับปรุงสะพานเหล็กข้ามแยก ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ที่ http://www.bangkok.go.th/ และ http://bkkbridge.homeip.net พร้อมแจ้งปัญหาอุปสรรคการเดินทางจากผลกระทบการจราจรได้ที่สายด่วน กทม.1555



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากจาก
    [​IMG] , กองประชาสัมพันธ์ กทม.
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อัตตประวัติ ๑๐๖ ปี



    หลวงปู่สุภา กันตสีโล



    อริยสงฆ์ห้าแผ่นดิน ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี​



    ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ตำบลฉลอง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต​

    คัดลอกจาก http://www.luangpoosupa.com
    http://www.dharma-gateway.com/monk/m...-supa-hist.htm

    มีผู้กล่าวว่า กว่าจะมีพระอรหันต์ปรากฏในโลกย่อมนานแสนนาน ทั้งเมื่อพระอรหันต์ปรากฏแล้วก็จะมีเพียงผู้คนไม่กี่ร้อยกี่พันคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจในความเป็นพระอรหันต์ และได้รับการโปรดด้วยธรรมะอันลุ่มลึก และพิสดารจนสามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งชีวิตและความเป็นอนิจจัง ด้วยว่าพระอรหันต์ย่อมแสดงกิริยาอาการหรือสื่อความเป็นพระอรหันต์มิได้แต่เพียงน้อยนิด ด้วยสมเด็จพระทศพลญาณทรงปรับโทษสูงถึงอาบัติปาราชิก แม้จะมีภูมิธรรมอันเป็นพระอรหันต์ก็ตามที ดังนั้น แม้จะไม่พบอาจพบพระอรหันต์ได้ในชีวิตนี้ ก็ยังมีพระสุปฏิปันโน อันเป็นเนื้อนาบุญของสัตว์โลก ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนให้ได้บูชาสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก สมเด็จพระญาณไตรโบกนาถบรมศาสดาทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า พระสุปฏิปันโน เปรียบเสมือนนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอินทรีย์สารอันมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ให้รวงข้าวอันเต่งทุกเม็ด ให้ผลแก่ร่างกายมนุษย์และสัตว์เมื่อบริโภค ข้าวเปลือกเปรียบเสมือนทานบารมีที่พุทธศาสนิกชนได้หว่าลงในเนื้อนาบุญของสัตว์โลก คือพระสุปฏิปันโน ย่อมให้ต้นข้าวและรวงข้าวอันมีโภคผลในกรหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้ล่วงลับดับไปจากโลกนี้แล้ว และให้ความอยู่ดีมีสุขแก่ผู้ที่ยังต้องดำรงชีวิตอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยกิเลสและตัณหาอันเชี่ยวกรากเสมือนเรืออันแข็งแรงพาผู้โดยสารข้ามวังวนแห่งกิเลสไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ตามกำลังแห่งศรัทธาปสาทะและความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคล ดังนั้นจะขอนำท่านไปพบกับหลวงพ่อสุภา กันตะสีโล ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี พระสุปฏิปันโนผู้เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาลของโลกอีกองค์หนึ่ง ซึ่งชีวิตท่านอุทิศแล้วแก่พระพุทธศาสนา และอุทิศแก่การโปรดสัตว์ผู้ยาก พ้นแก่วังวนของกิเลสและตัณหา แผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนห้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ สงเคราะห์แก่ทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองดูสัตว์โลกด้วยความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ประเสริฐ มองลึกเข้าไปจากเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับและยศถาบรรดาศักดิ์จอมปลอม ทุกคนจึงได้รับการปฏิบัติจากหลวงพ่อสุภา กันตะสีโลโดยเท่าเทียมทุกวันวาร


    ปฐมบทของหลวงปู่สุภา กันตสีโล

    ครอบครัวของท่านขุนภักดี หรือผู้ใหญ่บ้านพล วงศ์ภาคำ และนางสอ วงศ์ภาคำ เป็นที่เคารพของชาวบ้านคำบ่อ อ.วารินชำราบ จ.สกลนคร ทั้งนี้เพราะท่านผู้ใหญ่พลสร้างแต่ความดี มีน้ำใจและบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรในปกครองอย่างเสมอหน้า ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความเมตตา เมื่อพบผู้กระทำผิดอันพอจะอภัยได้ และกระทำการจับกุมอย่างเด็ดขาดในกรณีที่กฎหมายไม่อาจจะละเว้นหรือตักเตือนได้ ทุกคนจึงพร้อมที่จะร่วมมือกันท่านผู้ใหญ่พลในทุก ๆ ด้าน บ้านคำบ่อจึงอยู่กันอย่างสงบสุขตลอดมา
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๙ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก คุณแม่สอก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่ ๘ ในสกุลวงศ์ภาคำ เป็นเด็กที่มีความอ้วนท้วนสมบูรณ์ หน่วยก้านบอกว่า ต่อไปจะเป็นคนดีของบ้านเมือง และคนดีศรีวงศ์ตระกูล ท่านผู้ใหญ่พล จึงให้นามบุตรชายคนนี้ว่า “สุภา” อันประกอบด้วย “สุ” แปลว่า “ดี” และ “ภา” มาจากส่วนหนึ่งของสกุลว่า “วงศ์ภาคำ” ซึ่งมีความหมายว่า คนดีของตระกูลวงศ์ภาคำ นั่นเอง
    หลวงปู่สุภามีพี่น้องทั้งหมด 8 คน คือ
    1. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    2. นายเสน วงศ์ภาคำ (บวชเป็นพระภิกษุ - มรณภาพ)
    3. นางผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    4. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    5. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    6. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
    7. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    8. นางกา วงศ์ภาคำ (ยังมีชีวิตอยู่)
    หลวงปู่สุภารำลึกความหลังให้กับสานุศิษย์ได้รับรู้ว่า เมื่อท่านยังเป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วนท้วน เจ้าเนื้อ ผิวขาว ซุกซนตามประสาเด็กทั่วไป แต่ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อยู่ในครอบครัว และผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เมื่อวัยของท่านเจริญเติบโตเพียงพอจะเล่าเรียนได้แล้ว ผู้เป็นบิดาของท่านได้พาไปฝากไว้ในวัด ให้ได้เล่าเรียนเขียนอ่านตามสมควรแก่วัย และเวลาหลวงปู่เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มักชอบเล่าเรียนมากว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน
    หลวงปู่สุภายังจำได้แม่นยำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ถึงสิ่งที่ท่านได้ประสบกับสิ่งที่เรียกว่า “การพยากรณ์” จากปากของพระธุดงค์ที่มาปักกลดใต้ต้นตะแบกใหญ่ท้ายหมู่บ้านคำบ่อ เด็กน้อยชื่อสุภา วัยเพียง ๗ ขวบ คลานเข้าไปกราบแทบตักพระธุดงค์ มือของพระธุดงค์ลูบศีรษะของเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู บอกให้ลุกขึ้นนั่งทอดสายตา มองดูรูปร่างของเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นครู่ใหญ่ จึงกล่าวกับเด็กน้อยหรือหลวงปู่สุภาเมื่อตอนอายุได้ ๗ ขวบ ว่า
    “เด็กน้อยเอ๊ย ต่อไปเจ้าจักได้บวชเรียน ถวายตัวในพุทธศาสนา บวชเมื่อใดแล้วจงอย่างลืมไปเสาะหาหลวงพ่อให้จงได้ อย่าลืมนะ พบกันในวาระที่เจ้าได้ครองผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อนี้แหละ”
    หลวงปู่สุภาเมื่อยังเป็นเด็ก ไม่เข้าใจว่านั่นคือคำพยากรณ์ จึงไม่ใส่ใจ แต่ได้จ้องดูหน้าของพระธุดงค์จนจดจำองคาพยพไว้ได้ทั้งหมด ก่อนจะกราบลาออกไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กซุกซนตามปกติ
    วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปอีกสองปีเต็ม หลวงปู่สุภามีอายุได้ ๙ ขวบ จึงขอผู้เป็นบิดาออกบรรพชาเป็นสามเณร ท่านผู้ใหญ่พลไม่ขัดข้อง เพราะเห็นแล้วว่า หลวงปู่สุภาเป็นผู้เอาใจใส่ในการเล่าเรียน แม้จะไม่ได้เรียนทางโลก หากแต่เรียนทางธรรม ย่อมมีความเจริญดุจเดียวกัน จึงนำไปให้พระอาจารย์สวนทำการบรรพชาเป็นสามเณรและสั่งสอนอบรมอยู่หนึ่งปีเต็ม
    วันหนึ่ง พระอาจารย์สวนได้บอกกับหลวงปู่สุภา
    “อย่างเณรมันต้องก้าวหน้ากว่านี้ ฉันจะพาเข้าเมืองอุบลฯ ไปเล่าเรียนต่อให้แตกฉาน อยู่กับฉันมันก็แค่นี้แหละเณร”

    พบพระผู้ให้การพยากรณ์

    พุทธศักราช ๒๔๔๙ หลวงปู่สุภา ได้รับการนำตัวลงมาจากบ้านคำบ่อ มาฝากไว้ในสำนักเรียนของพระมหาหล้า แห่งวัดไพรใหญ่ จ. อุบลราชธานี โดยพระมหาหล้าได้ทดสอบความรู้เบื้องต้น พบว่า หลวงปู่สุภาเมื่อเป็นสมาเณรมีความรู้เบื้องต้นดีมาก เรียนต่อก็ไม่ลำบากยากแก่การอบรม จึงร่วมกับอาจารย์ลุยผู้เป็นฆราวาสเปรียญธรรม อบรมสั่งสอนให้เล่าเรียน “มูลกัจจายน์” ห้าเล่มอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย หลวงปู่เล่าเรียนด้วยความมานะพยายาม จนจบมูลกัจจายน์ในขณะอายุได้ ๑๖ ปีพอดี หลวงปู่สุภาได้กราบเรียนถามพระมหาหล้าผู้เป็นอาจารย์สอนมูลกัจจายน์ว่า หากจะเล่าเรียนต่อไป จะไปทางไหนดี คำตอบของพระมหาหล้าคือ
    “มีอยู่สองทางคือ ไปเรียนบาลี เป็นมหาเปรียญ หรือไปเรียนวิปัสสนากรรมฐาน เป็นพระวิปัสสนาจารย์ เธอใคร่ครวญให้รอบคอบ แล้วจึงตัดสินใจ”
    ระหว่างสองทางเลือกนี้ สามเณรสุภาตัดสินใจระหว่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ ทางเป็นมหาเปรียญ กับการเป็นวิปัสสนาจารย์ผู้คร่ำเคร่งกับการปฏิบัติทางจิตและการแสวงหาความวิเวก ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอันรกเรื้อ ห่างไกลจากความเจริญ ไม่มีพัดเปรียญธรรม ไม่อาจจะสละทางสงฆ์ เทียบวุฒิเข้าทำงานแบบฆราวาสได้เหมือนมหาเปรียญ มโนนึกต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่สุด ฝ่ายวิปัสสนาจารย์ก็ได้รับชัยชนะ
    ในระหว่างที่หลวงปู่สุภาจะก้าวออกนอกวัดไพรใหญ่ เพื่อเข้าสู่เส้นทางของวิปัสสนาจารย์ ก็ให้บังเอิญมีญาติโยมจากท่าอุเทนมาที่วัดไพรใหญ่ ได้มาทำบุญเบี้ยพระที่วัด และได้รู้จักกับสามเณรสุภา ได้เล่าความให้สามเณรฟังถึงพระภิกษุผู้เป็นพระสายวิปัสสนาที่ขณะนี้กำลังสร้างพระธาตุอุเทนว่า เป็นพระผู้มีเมตตาธรรมและมีบารมีธรรมอันน่าเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ นั่นคือสิ่งที่กระตุ้นให้สมเณรสุภา กราบลาพระมหาหล้า ออกเดินทางสู่ท่าอุเทนในทันที เพื่อไปนมัสการพระวิปัสสนาจารย์ ที่ได้รับการบอกเล่าจากญาติโยมชาวท่าอุเทน เมื่อไปถึงท่าอุเทนแล้ว ได้สอบถามเส้นทางไปพระธาตุท่าอุเทน
    ขณะเมื่อไปถึงพระธาตุท่าอุเทน เป็นเวลาที่พระวิปัสสนาจารย์กำลังเทศนาและสอนกรรมฐานแก่ญาติโยมพุทธศาสนิกชน จึงหยุดรออยู่นอกสถานที่สอนกรรมฐาน ครั้นเมื่อผู้คนแยกย้ายกันกลับไปหมด จึงเดินเข้าไปกราบนมัสการตรงหน้าพระวิปัสสนาจารย์ สายตาของพระวิปัสสนาจารย์ประสานกับสายตาของสามเณรน้อยผู้มาใหม่ แล้วเกิดกระแสแห่งความคุ้นเคย เสียงของพระวิปัสสนาจารย์พูดกับสามเณรน้อยขึ้นว่า
    “บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะได้พบกัน เด็กน้อยจำเราได้หรือไม่ เราไม่เคยลืมแววตาคู่นี้เลย”
    ภาพเด็กตัวเล็ก ๆ คลานเข้าไปกราบพระธุดงค์ที่ปักกลดอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ กลับมาปรากฏชัดในมโนภาพของสามเณรน้อย แม้องคาพยพของใบหน้าพระผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า จะผิดไปจากใบหน้าของพระธุดงค์ด้วยความชรา แต่น้ำเสียงและแววตามิเคยเปลี่ยนไปเลย สามเณรน้องจึงเปล่งเสียงออกมาด้วยความดีใจเป็นล้นพ้นว่า
    “ท่านอาจารย์นั่นเอง ที่ใต้ต้นตะแบก จริง ๆ ด้วยขอรับ เป็นท่านอาจารย์จริง ๆ”
    เมื่อหลวงปู่ได้พบกับพระธุดงค์ที่มาปักกลดใต้ต้นตะแบกท้ายหมู่บ้านอีกครั้งตามพยากรณ์แล้ว หลวงปู่เกิดความปีติและยอมรับว่า พระธุดงค์ที่พบตอนอายุ ๗ ขวบนั้น ช่างเป็นพระผู้พยากรณ์เหตุการณ์ได้แม่นยำ ก้มลงกราบอีกครั้ง ท่านพระวิปัสสนาจารย์จึงกล่าวว่า
    “เราชื่อ สีทัตต์ เณรมีนามใดกัน มาจากที่ใด ต้องการอะไรจากเราก็ขอให้บอกมาเถิด”
    หลวงปู่สุภาได้กล่าวตอบด้วยความปีติเป็นล้นพ้นว่า
    “กระผมดั้นด้นมานมัสการพระคุณอาจารย์ก็ด้วยความปรารถนาจะได้รับการอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐานจากพระคุณอาจารย์ตามแบบที่พระคุณอาจารย์ได้รับการถ่ายทอดมา กระผมเรียนมูลกัจจายน์ห้าเล่มสำเร็จแล้วครับ”
    “เณรน้อยเรียนมูลกัจจายน์มาแล้ว ใยไม่เรียนปริยัติธรรมต่อไป ไม่รู้หรือว่า การเรียนพระปริยัติธรรมนั้น เจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม คือ เป็นมหาเปรียญ นักเทศน์ เป็นครูสอนพระปริยัติ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ก้าวหน้าในตำแหน่งการปกครอง ส่วนประโยชน์ทางโลกคือ เมื่อสึกออกไปแล้ว เทียบวุฒิการทำงาน หรือรับราชการได้ตำแหน่งดี เณรน้อยเอาดีทางธรรม ทางปฏิบัติอย่างเดียวไม่เสียดายเวลาที่หมดไปหรือ ถ้าสึกออกไปเป็นฆราวาส ก็ไม่ต้องมาอยู่ในกฎระเบียบ ๒๒๗ ข้อนี้อีกต่อไป คิดให้ดีนะเณร”
    พระอาจารย์สีทัตต์หยั่งเชิงสามเณรน้อยเพื่อค้นหาความตั้งใจ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าดูคนไม่ผิด แต่สามเณรน้อยตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
    “กระผมต้องการเพียงทางเดียว คือปฏิบัติทางจิต หรือ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์มีความหมายมากขึ้น หากกระผมต้องการเป็นมหาเปรียญละก็ ไม่ลงทุนมาเสาะแสวงหาพระคุณอาจารย์ถึงท่าอุเทนนี่หรอกขอรับ ขออย่างเดียว รับกระผมเป็นศิษย์ กระผมจะอยู่ในโอวาทของพระคุณอาจารย์ทุกประการ”
    พระอาจารย์สีทัตต์ทดสอบความอดทนของสมาเณร ตั้งแต่การขบฉัน การทำงานหนักในการก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทน และการทดสอบด้านจิตใจ จนแน่ใจว่า จะทนรับการสอนที่หนักหนาสาหัสในการที่จะเรียนวิปัสสนากรรมาน จึงอบรมกรรมฐานให้แก่สามเณรสุภา เริ่มโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่า “พุทโธ” ตั้งแต่แรก จนไม่ต้องภาวนา จากสมาธิเพียงชั่วแล่น ก็ค่อย ๆ กลายเป็นสมาธิที่ยาวนานและสามารถดำรงสติได้อย่างมั่นคง จึงให้ขึ้นธุดงควัตร ๑๓ ประการจนคล่อง จึงบอกกับสามเณรสุภาว่า
    “ต่อจากนี้ไป เป็นการปฏิบัติจริงในป่าเขาลำเนาไพร อันอุดมไปด้วยสิงสาราสัตว์และภูตพรายทั้งปวง อมนุษย์และพวกหมอผี นักล่าชีวิตมนุษย์ด้วยคุณไสย มนต์ดำ สิ่งที่เรากล่าวมา อบรมมา พึงนำมาใช้ให้ยิ่งยวด เพราะเธอจะต้องพึ่งตนเองมากกว่าพึ่งเราในการเดินทาง”
    ข้ามโขงจากนครพนม ไปสู่พระราชอาณาจักรลาว ผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผจญความยากลำบากมากมาย ทั้งสัตว์ร้าย งูพิษ ต้นไม้พิษ ตลอดจนหมอผีและภูตไพรต่าง ๆ หลายหนที่ต้องฉันใบไม้อ่อน เพราะไม่มีสัปปายะจะให้บิณฑบาต แต่ก็ผ่านมาได้ จนพระอาจารย์สีทัตต์ยอมรับในความอดทนของสามเณรน้อยสุภา
    ถึงจุดที่พระอาจารย์สีทัตต์พามาฝึก คือ “ถ้ำภูควาย” อันเป็นถ้ำเร้นลับ อยู่บนภูเขาที่มีลักษณะปลายยอดสองข้างโค้งเข้าหากัน มองคล้ายกับเขาควาย มีพระภิกษุมาจากสถานที่ต่าง ๆ มาชุมนุมกันเล่าเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์สีทัตต์หลายรูป
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เข้าสู่การเป็นพระภิกษุ

    ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ สามเณรสุภามีอายุครบอุปสมบท พระอาจารย์สีทัตต์ขึงได้จัดเตรียมหารเครื่องบริขารจนครบ และนำสามเณรสุภาข้ามไปยังฝั่งลาว รอนแรมไปจนถึงภูความ ซึ่งพระอาจารย์สีทัตต์ได้อธิษฐานเป็นวิสุงคามสีมา พร้อมด้วยพระวิปัสสนาจารย์ ทำการอุปสมบทสามเณรสุภาในถ้ำนั้น โดยมีพระอาจารย์สีทัตต์เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระวิปัสสนาจารย์ร่วมเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ ศิษย์ในพระวิปัสสนาจารย์ติดตามมาเป็นพระอันดับ ได้รับฉายาว่า “กันตสีโล” นับแต่นั้นมา
    พระอาจารย์สีทัตต์ได้ขอให้พระวิปัสสนาจารย์ที่มาร่วมปฏิบัติสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติทั้งในทางธุดงค์ ไปจนถึงคาถาอาคมป้องกันตัวจากสัตว์ร้าย อสรพิษ ภูตไพรทั้งปวง และเดินทางกลับท่าอุเทนเพื่อเข้าพรรษากาลเป็นปีแรกแห่งการเป็นสมมติสงฆ์ การออกเดินธุดงค์ภายใต้การดูแลของพระอาจารย์สีทัตต์ จึงทำให้หลวงปู่สุภามีความก้าวหน้าในการกำหนดอารมณ์และสติในการเผชิญภัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
    ในการเดินธุดงค์ผจญความยากลำบาก หลวงปู่สุภาทำได้เป็นอย่างดี พระอาจารย์สีทัตต์ผู้เป็นอาจารย์รู้สึกนิยมในความก้าวหน้าของศิษย์เอกผู้นี้เป็นอย่างมาก สี่พรรษาเต็มแห่งการออกธุดงค์ เมื่อจำพรรษา พระอาจารย์สีทัตต์ให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรมด้วยคัมภีร์ปริยัติห้าหมวด ปละเร่งทดสอบอารมณ์กรรมฐานอย่างละเอียด พอขึ้นพรรษาที่ห้า พระอาจารย์สีทัตต์จึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า
    “สมควรแก่เวลาที่เณรน้อยจะต้องออกธุดงค์ด้วยตนเองแล้ว แต่สำหรับก้าวแรกในการธุดงค์ลำพังนี้ เราจะให้พระสองรูป เณรหนึ่งรูป ธุดงค์ไปกับเณรน้อย เณรน้อยจงคุ้มครองป้องกันภัยให้เขา คอยอบรมให้อยู่ในธุดงควัตร เหมือนที่เราเคยได้ทำกับเณรน้อยเมื่อสี่ปีมาแล้ว”
    หลวงปู่สุภาได้ทำหน้าที่ควบคุมพระและเณร ธุดงค์ไปจนถึงภูควายและกลับมาท่าอุเทนอย่างปลอดภัย เป็นการสอบผ่านธุดงควัตรอย่างแท้จริง หลวงปู่สุภาเล่าต่อไปว่า
    “พระอาจารย์สีทัตต์มิได้เป็นพระวิปัสสนาจารย์อย่างเดียว แต่ท่านมีวิชาอาคมหลายแขนง สามารถถอดกายทิพย์ท่องไปในภูมิต่าง ๆ ได้ ซึ่งภาษานกและภาษาสัตว์ในป่า ท่านก็ฟังออก และเคยแสดงให้หลวงปู่สุภาดู และยังได้สอนให้ทำจนถึงแก่นอีกด้วย เรียกว่าสอนแบบไม่ปิดบัง แต่สำหรับภาษาสัตว์ ท่านไม่ขอเรียน”


    คำสั่งพระอาจารย์สีทัตต์

    พุทธศักราช ๒๔๖๓ หลวงปู่สุภาได้ตัดสินใจธุดงค์เดี่ยว จึงมากราบลาพระอาจารย์สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์ พระอาจารย์สีทัตต์ได้สั่งสอนว่า
    “ไปให้ดีเถอะเณรน้อย เดินให้สม่ำเสมอ จิตรู้อารมณ์ อย่าเร็วนัก อย่าช้านัก ให้อยู่ในกลาง ๆ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษย์เป็นคติสอนใจว่า อยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง รู้ไหม หมายความว่าอย่างไร อยากถึงเร็วให้คลาน คือไปแบบไม่รีบร้อนด่วนได้ จะถึงจุดหมายแบบปลอดภัย ให้ลุกลี้ลุกลนเกินไป ก็จะเหมือนคนวิ่งไปด้วยความคะนอง สะดุดล้ม แข้งขาหัก เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องช้าไปอีกนานทีเดียว”
    เมื่อหลวงปู่สุภาพร้อมที่จะเดินทาง พระอาจารย์สีทัตต์ได้กล่าวคล้ายคำสั่งเสียด้วยความห่วงใยว่า
    “เณรน้อยจงไปภูเขาควาย ออกจากภูควายแล้ว ให้ไปท่าเดื่อ จากท่าเดื่อไปหนองคาย ที่นั่นเธอจงสละธุดงควัตร แล้วเร่งเดินทางไปทางเหนือ ที่นั่นเธอจะได้พบพระอาจารย์องค์หนึ่ง มีความเชี่ยวชาญด้านกสิณและวิชชาแปดประการ มีอภิญญาสูงมาก เธอจะได้รับความรู้จากท่านเป็นอันมาก ที่ต้องให้สละธุดงควัตร เพราะท่านเหลือเวลาไม่มากแล้วในการสั่งสอนเณรน้อย หากเดินธุดงค์แบบธรรมดาน่าจะสายเกินไป”
    จากภูควาย หลวงปู่สุภาข้ามมาท่าเดื่อ แล้วอธิษฐานจิตออกจากธุดงควัตรที่ตัวจังหวัดหนองคาย ฝากบริขารธุดงค์ไว้กับพระที่คุ้นเคยในระหว่างธุดงค์ภูควาย และจับรถไฟเข้ามากรุงเทพฯ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการไปสู่ภาคเหนือเพื่อแสวงหาพระอาจารย์ตามคำสั่งของพระอาจารย์สีทัตต์ เหมือนโชคชะตาเป็นใจให้หลวงปู่สุภา เพราะในขณะที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านก็ได้ข่าวพระอาจารย์รูปหนึ่งที่แถววังนางเลิ้ง เขาบอกกันว่า
    “ท่านพระครูวิมลคุณากร หรือหลวงปู่ศุข เกสโร แห่งวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ซึ่งเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเลื่อมใส ถวายตัวเป็นศิษย์ถึงที่วัดทีเดียว”
    หลวงปู่สุภา จึงเดินทางไปวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ด้วยการเดินทางสมัยนั้นยังลำบากและเหน็ดเหนื่อย แต่พอเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง เมื่อพอเข้าเขตวัด หลวงปู่รู้สึกว่าเยือกเย็นและมีอะไรบางอย่างที่บอกว่า ที่นี่แหละคือที่ ๆ พระอาจารย์สีทัตต์กำหนดให้มา


    เบื้องหน้าผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ

    เมื่อหลวงปู่สุภาเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง จึงเดินทางไปกุฏิ พอเห็นกุฏิหลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ขณะล้างเท้า เสียงของหลวงปู่ศุขก็ดังมาจากชั้นบนของกุฏิ
    “มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตากันหน่อย”
    มีแต่เสียงทักทาย แต่ไม่ปรากฏหลวงปู่ศุขที่นอกชาน เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า ... นี่คือพลังปราณของผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดัง ค่อย หรือไกล ใกล้แค่ไหนก็ได้ ขึ้นไปชั้นบนของกุฏิแล้ว ก็เห็นพระภิกษุรูปร่างสันทัด ผอมเกร็ง แต่ผิวพรรณวรรณะผุดผ่อง คล้ายกับทาด้วยขมิ้น ทว่า เมื่อคลานเข้าไปกราบต่อหน้าท่านและลุกขึ้นนั่งพนมมือ ได้สังเกตใกล้ ๆ พบว่า ไม่ใช่ขมิ้น แต่เป็นแสงอะไรบางอย่างที่เรื่อเรืองอยู่บนผิวพรรณของหลวงปู่ศุข ที่ทำให้เกิดความสง่าคล้ายทาขมิ้น หลวงปู่ศุขได้มองมาที่หลวงปู่สุภาและเอ่ยขึ้นว่า
    “นี่เอง เณรที่ท่านสีทัตต์ได้บอกไว้ในฌาน เป็นคุณนี่เอง เณรน้อยต้องการอะไร จะเรียนอะไรก็บอกมาได้ไม่ขัดข้อง ท่านสีทัตต์ฝากมาแล้วนี่”
    คำว่า “ฌาน” คำว่า “ฝากมาแล้วนี่” ทำให้หลวงปู่สุภาประจักษ์ว่า อภิญญาจิต การถอดกายทิพย์ การใช้โทรจิต มีจริง ก่อนที่ท่านจะมานมัสการหลวงปู่ศุข ทางพระอาจารย์สีทัตต์ได้ถอดกายทิพย์มาฝากฝังหลวงปู่สุภากับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง หลวงปู่สุภาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยว่า จะมาเรียนอะไร นอกจากจะกล่าว
    “กระผมขอให้เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์จะเมตตาอบรมสั่งสอนก็แล้วกันขอรับ เห็นว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ก็สั่งสอนให้กระผมก็แล้วกัน”
    เมื่อหลวงปู่ศุขได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะ หึ หึ ด้วยความพอใจ แล้วกล่าวกับหลวงปู่สุภาว่า
    “สมแล้วที่เป็นศิษย์ท่านสีทัตต์ มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัวใช้ได้ หลายรูป มาถึงไม่ดูวาสนาบารมีตนเองว่าจะสามารถรองรับได้หรือไม่ จะเรียนโน่น จะเรียนนี่ สุดท้ายก็กลับไปมือเปล่า เพราะขาดวาสนาบารมี เพราะเมื่อขาดวาสนาบารมีและการเจียมตัวแล้ว อะไรก็ไม่สำเร็จ เอาละ ไปพักผ่อนก่อน ถึงเวลา จะเรียกมาสอบฐานความรู้และประสิทธิประสาทวิชาต่อไป”
    เมื่อถึงเวลา หลวงปู่ศุขก็ได้สอบอารมณ์กรรมฐานและดูพื้นฐานการศึกษาวิชาอาคมของท่าน ที่ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์สีทัตต์ เมื่อทดสอบแล้วเห็นว่าบกพร่องตรงไหน ก็ช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง ปรับระดับการเข้าฌาน การทำกสิณและการเพ่งด้วยกสิณเป็นประการต่าง ๆ หลวงปู่ศุขสอนว่า
    “มีวิชาหลายอย่างที่ปู่สำเร็จ แต่บารมีเณรน้อยนั้นเรียนไม่ได้ โดยเฉพาะวิชชาแปดประการที่เณรน้อยต้องการจะเรียน วาสนาบารมีของเณรน้อยไปไม่ได้ จะให้วิชาสำคัญ คือ การลงนะหน้าทอง และการเสกให้ทองเข้าไปแทรกในอณูภายในร่างกาย เขาเรียกว่า เป่าทองเข้าตัว”


    วิชาเป่าทองเข้าตัว / อภิญญจิตตัวสำคัญ

    หลวงปู่ศุขได้เมตตาอธิบายให้เข้าใจถึงหลักของการเป่าทองเข้าตัวอย่างละเอียด ซึ่งหลวงปู่สุภาได้บันทึกไว้ว่า
    “วิชาเป่าทองเข้าตัว มิใช่เพื่อมหานิยม แต่ยังสามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ทั้งจกคมหอก คมดาบ ปละปืนไฟ ไปจนถึงมีมหาอำนาจแล้วแต่จะประสิทธิ์ประสาทในด้านใด ต้องพิจารณาบุคคลแต่ละบุคคลที่จะลงแผ่นทองหรือเป่าทองให้ ว่าเป็นอย่างไร บารมีพอที่จะรับทองได้กี่แผ่น แต่ละคนล้วนมีข้อปลีกย่อยผิดแผกออกไปแล้วแต่กรณีต้องดูว่าจะลงให้ทางไหน ตามที่กำหนดไว้ในตำรับของครูบาอาจารย์เท่านั้น จะนอกเหนือหรือขาดตกบกพร่องไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว การที่ทองจะแทรกเข้าไปในสู่ทุกอณูไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ต้องมีหัวใจสองอย่างคือ น้ำมันว่าน และเกสร ๑๐๘ ชนิด เคี่ยว ผสมด้วยพระเวทย์อาคมที่ต้องแก่กล้าด้วยพลังอภิญญาเท่านั้น หากทำไม่ถูกต้อง จะไม่สามารถเปิดรูขุมขนของผู้ที่จะเป่าทองเข้าตัวได้ การเป่าก็จะไม่ได้ผลทั้งสิ้น ไม่เกิดพลังใด ๆ เป็นสูญเท่านั้น การจุดเหล็กจาร ที่จุ่มน้ำมันว่านและเกสร ๑๐๘ ชนิด และการเป่าภาวนาเพื่อดันทองเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่จะลง และให้กำหนดให้ผู้รับการลง หรือเป่าทอง กำหนดจิตอธิษฐานเอาเอง การเรียนการสอนทำได้เฉพาะตอนกลางคืนที่เป็นเวลาสงัด เพราะตอนกลางวันไม่สามารถจะเรียนได้ ด้วยมีคนมานมัสการหลวงปู่ศุข ขอโน่นขอนี่ จนท่านไม่มีเวลาจำวัด เรียกว่า หัวบันไดไม่แห้ง แต่หลวงปู่ศุขก็ไม่เคยท้อถอย หรือแสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด

    หมากหินยอดของขลัง

    หลวงปู่สุภามีหน้าที่คอยอุปัฏฐากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าด้วยการตำหมากถวาย ที่หลวงปู่ศุขเคี้ยวหมากติดต่อกัน ไม่ใช่ว่าท่านเคี้ยวหมากจนติด แต่ที่ท่านต้องเคี้ยวติดต่อกัน ก็เพราะ ญาติโยมที่มานั้น จะจ้องขอชานหมากของหลวงปู่ศุขที่เคี้ยวแล้ว เพื่อติดตัว นำไปป้องกันอันตราย เมื่อหลวงปู่ศุขพูดคุยกับญาติโยมไป ท่านก็เคี้ยวหมากไปเรื่อย ๆ พอเขาจะลากลับ ก็จะขอชานหมากของท่าน ท่านก็จะคายชานหมากออกมาที่ฝ่ามือ จัดให้เป็นก้อนกลม ๆ ด้วยการปั้น ชานหมากที่ปั้นแล้วท่านจะเอามาไว้ในฝ่ามือที่พนม หลับตาภาวนาคาถาของท่านครู่ใหญ่ จึงเป่าลมปราณลงไปในฝ่ามือที่แบออกดัง “เพี้ยง” จากนั้นก็ยื่นให้กับญาติโยมที่ขอคนละเม็ด ตอนแรกหลวงปู่สุภาก็คิดว่าเป็นชานหมากเสกธรรมดา แต่มีหลายคนที่รับมาแล้ว ไม่ได้ระวัง เลยหลุดจากมือ ตกลงกระทบพื้นเสียงดัง “แป๊ก” คล้ายกับลูกหิน หรือลูกกระสุนยิงนกที่ปั้นด้วยดินเหนียวตากแห้งตกกระทบพื้น ก็ชานหมากธรรมดาน่ะ นุ่ม แม้ตากแห้งก็ร่วนกรอบ แต่นี่หลวงปู่ศุขเสกแล้วหล่นลงพื้นดัง แป๊ก จึงรู้สึกแปลกใจ เมื่อมีเวลา เลยแอบขอญาติโยมดูด้วย แล้วพิจารณา หลวงปู่สุภาท่านบอกว่า
    “ลูกอมชานหมากที่หลวงปู่ศุขปั้นแล้วเสกเพี้ยง แทนที่จะมีสภาพเป็นชานหมากนุ่ม ๆ กลับเปลี่ยนสภาพเป็นชานหมากที่แข็งมาก บีบดูเหมือนบีบลูกหิน หากไม่ได้ลูบ ก็ต้องบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปแล้ว หลวงปู่ศุขเปลี่ยนสภาพจากชานหมากนุ่ม ๆ ให้เป็นชานหมากหินไปได้ในเวลาเพียงหนึ่งอึดใจเท่านั้น”
    เมื่ออยู่กันสองต่อสอง เวลาเรียน หลวงปู่ศุขก็พูดกับหลวงปู่สุภาว่า เณรน้อยสนใจไม่ใช่หรือ หมากหินน่ะ เห็นไปแอบขอญาติโยมดู พลังจิตของเณรสามารถทำได้นะ แต่ต้องได้รับคำแนะนำอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำได้แล้ว หลักไม่มีอะไรมากหรอก เป็นการใช้อำนาจปฐวีกสิณ เปลี่ยนชานหมากที่เป็นของเหลว หยุ่น ธาตุน้ำ ให้แข็งเป็นหิน เป็นดิน เขาเรียกว่า “เคลื่อนย้ายถ่ายเปลี่ยนธาตุ” โดยหลวงปู่สุภาก็ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงปู่ศุขจนสามารถเสกชานหมากได้ในที่สุด โดยการเจริญสมาธิ เข้าฌานและเข้ากสิณ จนถึงการภาวนา และเปลี่ยนจนชานหมากแปรสภาพไปในที่สุด จนเสกให้หยุ่นเหมือนกับลูกยางก่อน แล้วจึงเร่งพลังขึ้นไปจนถึงที่สุด หลวงปู่สุภาเล่าตอนนี้ว่า
    “เสกได้จริง แต่ไม่เหมือนกับหลวงปู่เสก คือของหลวงปู่ศุขเป็นหินจริง ๆ แต่ของท่านเสกให้แข็งได้แต่ภายนอก แต่ภายในยังไม่แข็ง เรียกว่า บีบแรง ๆ กระแทก ๆ ก็จะแตกเห็นเป็นชานหมากธรรมดาที่แห้ง ไม่แข็งเป็นหินทั้งหมด ด้ยบารมีท่านไม่อาจสู้หลวงปู่ศุขได้ เหมือนคำโบราณ ศิษย์ไม่อาจคิดสู้ครูได้
    หลวงปู่สุภาทำหน้าที่คอยอุปัฏฐากหลวงปู่ศุขจนได้เวลาอันสมควร หลวงปู่ศุขจึงได้เรียกให้หลวงปู่สุภามาพบ และได้บอกว่า เณรน้อยได้เรียนมาพอสมควรแล้ว วิชาที่เรียนไปก็พอจะช่วยเหลือคนได้ เณรน้อยทิ้งธุดงควัตรมานานแล้ว เณรเหมาะกับธุดงค์ เณรชอบของเณรอย่างนั้น ปู่เองก็เคยเป็นนักธุดงค์ แต่เมื่อโยมแม่ขอให้อยู่ใกล้ชิด ก็เลยแขวนกลดแต่นั้นมา เณรน้อยเตรียมตัวให้พร้อม ปู่จะสอนวิชาที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เล่าเรียนมาก่อน และวาสนาบารมีของเณรน้อยเรียนวิชานี้ได้
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สุดยอดเคล็ดวิชา สำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า

    หลังจากที่หลวงปู่ศุขปรารภ ให้หลวงปู่สุภากลับสู่เส้นทางธุดงค์ โดยได้กำหนดวันเดินทางไว้แล้ว แต่ก่อนการเดินทางเพียงสองวัน หลวงปู่ศุขได้ให้หลวงปู่สุภาเตรียมตัวเรียนวิชาที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาที่ท่านบอกว่า หลวงปู่สุภาจะเป็นคนแรกและคนสุดท้าย ด้วยหาผู้มีวาสนาบารมีจะเรียนได้ยากเต็มที ดอกไม้ธูปเทียน หมากพลูบุหรี่ ถูกลูกศิษย์หลวงปู่ศุขเตรียมไว้ให้หลวงปู่สุภาเรียบร้อย เพื่อเป็นเครื่องบูชาครูกับหลวงปู่ศุข หลวงปู่ได้นำไปไว้บนที่บูชาพระ และบอกกับหลวงปู่สุภาให้รอเวลาตอนสงัดคน จะสอนเคล็ดวิชาให้จนหมด พร้อมกับมอบตำราให้ไปติดตัว วิชานี้เรียกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...