เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. preaw3000

    preaw3000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +138
    พี่ชาย มีคนมาถามพี่ชายมากมาย ขอนุญาติถามบ้าง
    ถ้าทำตัวขี้เกียจสันหลังยาว กินๆ นอนๆ เสพกิเลสไปวันๆ มีโอกาสจะเก่งแบบพี่ชายหรือเปล่า
    อิอิ
    .....
    ล้อเล่นนะ ล้อเล่นนะ
    อนุโมทนาทุกคนด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น คุณนีน่า คุณตั๊ม และคุณวันชัย คุณ .... เยอะจัง จำไม่ได้ มีแต่คนดีดีเก่งๆ ทั้งนั้น ส่วนกระผม ขอคลานตามไปเรื่อยๆ นะขอรับ แฮะๆ
    โดยเฉพาะขออนุโมทนากับพี่ชายคนเก่งของผม (หวงนะ เก็บพี่ชายไว้ดูเล่นคนเดียว อิอิ)
     
  2. 0+โจ๊ก+0

    0+โจ๊ก+0 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +68
    รอคำตอบอยู่นะคับป๋ม
     
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบน้องโจ๊ก

    เรื่องทานอาหารเจ...
    ได้บุญครับในการทานเจเพราะมีเจตนาไม่เบียดเบียนสัตว์โลกแต่ถ้าเอามาใช้กับพระภิกษุสงฆ์
    จะไม่เหมาะเพราะเป็นผู้อยู่ง่าย ทานง่าย เลือกไม่ได้ การทานอาหารทุกชนิดในพระภิกษุสงฆ์จะมีข้อวัตรท่านอยู่ในการทาน

    การทานอาหารเจเพื่อสุขภาพของตนเองตรงนี้เจตนาเพื่อสุขภาพของตนในการทานเนื้อสัตว์
    บุญได้น้อยเพราะจิตอันเป็นเหตุกุศลไม่ปรากฏความบริสุทธ์
    ิ์ของใจอย่างแท้จริงครับ

    เพราะผู้ทานเจนั้นขณะนั้นจะมีสติรู้ในความสะอาด
    ความบริสุทธิ์ของจิตที่ไม่ได้เบียดเบียนใคร

    การทานเนื้อจะมีบาปน้อยบาปมากไม่มีบุญปรากฏส่วนการห้ามฉันเนื้อและการฉัน
    อาหารของพระภิกษุท่านฉันเพื่ออยู่เพื่อดำรงค์พรหมจรรย์ฉันแบบมีสติ
    ถ้าขณะขบฉันจิตเพลิดเพลินยินดีในเนื้อนั้นๆย่อมปรากฏอกุศลจิต

    บาปนั้นคือโมหะ โทสะ ราคะ โลภะ
    ในขณะที่เราเห็นชิ้นเนื้อเมื่อไปยึดติดในรูปและมีตัณหาผลักดันพาไป
    ย่อมปรากฏโมหะปรากฏ ย่อมปรากฏโลภะปรากฏ

    ส่วนบุญนั้นเวลาทานเนื้อถ้าทานแบบมีสติ ย่อมไม่ปรากฎโมหะ ตาเห็นชิ้นเนื้อ
    ตักโดยมีสติเห็นแต่เป็นเพียงวัตถุรูป เวลาทานน้ำลายไม่สอ เวลาเห็นน้ำลาย
    ไม่ทะลายออก เมื่อชื้นเนื้อเข้าปากมีรสและกลิ่นปรากฏ

    มีสติรู้รส รู้ความอ่อนนุ่ม เมื่อมีสติย่อมไม่เพลิดเพลินยินดี ไม่ปรุงแต่งชิ้นเนื้อนั้น
    การขบฉันของพระภิกษุจึงเป็นการแสดงการสำรวมของสงฆ์ที่เราจะเห็นได้ชัดมาก
    ที่สุด

    พระภิกษุท่านใดขบฉันแบบไม่มูมมาม ไม่เอ่ยปากชม ไม่จ้องมองชิ้นเนื้อตาเป็นมัน
    การทานด้วยสติจะปรากฏ
    บุญชนิดหนึ่งปรากฏคือ
    ศีล สมาธิ สติ มหากุศลจิต (บุญ)เพราะไม่ปรากฏ โมหะ โทสะ ราคะ โลภะ(บาป)

    บุญกับบาปจึงปรากฏในชั่วขณะหนึ่ง สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มฝึกใหม่ย่อมปรากฏ
    อกุศลคือบาปมากอยู่แต่เมื่อฝึกอบรมมากขึ้นสติย่อมปรากฏมั่นคงมากขึ้น
    เมื่อก้าวเข้าสู่พระอริยบุคคลและก้าวเข้าสู่พระอนาคาสมาธิที่บริบูรณ์มั่นคง

    มากยิ่งขึ้นและเมื่อก้าวเข้าสู่พระอรหันต์แล้วย่อมสักแต่รู้รสไปแล้ว

    การทานเจนั้นจะบอกว่าไม่มีบาปก็ไม่ถูกไม่มีบุญก็ไม่ถูกได้บุญเสมอในขณะทานก็ไม่ถูก
    เพราะในขณะทานย่อมปรากฏทั้งบุญและบาปในขณะทานยกวิถีจิตและการที่
    จิตมีเจตนาในขณะจิตหนึ่งนั้นๆย่อมปรากฏเจตนาอันเป็นกรรมในขฯะนั้นๆ

    บุญบาปอยู่เพียงขณะหนึ่งจิตเพียงแค่นั้นเช่น
    ในขณะทานเจที่เป็นชิ้นเนื้อเจแต่ใจก็ปรุงแต่งว่าเป็นชิ้นเนื้อหมูเพลิดเพลินยินดี
    ในรสว่าเป็นชิ้นเนื้อหมู แม้ในขณะนั้นไม่มีการเบียดเบียนเนื้อในการทาน

    แต่จิตนั้นมันไปแล้ว จิตมันมีโลภะ มีเจตนาแล้ว

    การทานเจนั้นแม้อ้องทานชิ้นเนื้อหมูแต่จิตอ้องไม่ติดในรูปนั้นๆ เนื้อชิ้นนั้นก็ไม่ต่าง
    จากธาตุดินชนิดหนึ่ง

    การทานเจอีกอย่างคือขณะทานนั้นๆ ศีลปรากฏขณะมีสติรู้คือรู้ว่าจิตมันสะอาด
    บริสุทธิ์ เมื่อเราทานด้วยความสำรวม สติย่อมปรากฏ สมาธิย่อมปรากฏ

    ทุกอย่างจึงเริ่มจากเปลือกเข้าหาแก่น...
    คือเริ่มจากการบังคับใจจนใจมันเหนือวัตถุ

    และอาศัยทานในการสละอารมณ์ประกอบด้วยสติ
    เมื่อทานสิ่งใด ต่อให้เป็นชิ้นเนื้อแท้แต่จิตไม่เข้าไปยึดในรูปนั้นๆแล้ว
    เจตนาย่อมไม่ปรากฏคำว่าเจตนาคือจิตต้องการเสพไม่มี

    ส่วนปาฎิหารย์ในการทานนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องสุขภาพและถ้าจิตมีศีลแล้ว
    ย่อมปรากฏอำนาจของจิตที่สะอาดเข้าไปชำระล้างความเศร้าหมองของตน
    เมื่อทานประกอบด้วยสำรวมระวังมีสติจิตย่อมมีสมาธิ

    เมื่อไม่เพลิดเพลินยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ปฎิหารย์ย่อมปรากฏเกิดขึ้น
    นั่นคือคุณธรรมที่เจริญงอกงามขึ้น จิตที่สะอาดสดใสย่อมไปชำระล้าง ทำให้ผ่อนเบาบางลงแต่ก็ไม่ทุกๆคน ไม่เสมอไปแต่โดยมากแล้วดีขึ้น

    เพราะพระอริยเจ้าที่ป่วยหนัก ต้องโทษ ต้องทุกข์ทางกายก็มีมากมายหนีไม่พ้นวิบากกรรม
    แม้พระพุทธองค์ก็ต้องอาพาธด้วยอาหารเป็นพิษปรินิพพานไป

    ส่วนที่ให้ถามเหล่าบ๊อเนี๊ยถ้าเจอท่านจะถามให้นะครับ^^
     
  4. 0+โจ๊ก+0

    0+โจ๊ก+0 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +68
    ขอบคุณน้าอ๋องมากๆครับ ช่วยทำลายความไม่รู้ได้เยอะเลย
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เวลาของนรกและสวรรค์

    สิ่งที่น่าแปลกใจในทุกๆครั้งที่ออกไปได้นั้นก็คือเรื่องเวลาที่คาใจมากที่สุด
    เพราะมิติ ตำแหน่ง จุด ช่องว่าง กาลเวลาในแต่ละมิติมีความแตกต่างกัน
    แต่มีสิ่งที่เหมือนกันทุกภพภูมิก็คือหนึ่งขณะจิต

    เมื่ออ้องอยู่บนโลก โลกแสดง1วินาที
    เมื่ออ้องอยู่มิติอื่นภายในมิตินั้นก็แสดง1วินาที

    ไม่มีคำว่าสโลโมชั่นหรือรีเวิรด์เหมือนหนังที่ทำให้เร็วขึ้นหรือช้าลง

    สิ่งที่เหมือนกันคือหนึ่งขณะจิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็วเป็นเวลามาตรฐาน
    คือหนึ่งขณะที่รู้และยกเอามาเป็นอารมณ์เสมอทุกภพแดน

    ในขณะที่เดินไปในมิติแห่งกาลเวลานั้นๆในแต่ละภพ
    มีช่องว่างที่แสดงตัวกีดกั้นภพเหมือนขอบวงน้ำที่แผ่กระจายออกไป
    ยิ่งแผ่ก็ยิ่งใหญ่แต่ในทางกลับกัน

    ขอบวงน้ำที่หยาบกลับซ่อนความลึกลับซับซ้อนอยู่
    ภายในตรงตำแหน่งเดียวแต่ลุ่มลึกสุดจะหยั่งถึงขุมแห่งอเวจีมหานรก

    สวรรค...
    ์ในแต่ละที่มีขนาดที่กว้างไกลและมีช่วงเวลาที่ยาวนานมีความละเอียด
    แผ่ออก เบาสบาย นิ่มนวลกว้างขวาง อ่อนโยน

    แต่นรกกลับเป็นจุดตำแหน่งที่ลุ่มลึก ดำดิ่ง ซับซ้อนซ่อนเงื่อนปม
    เหมือนดั่งก้อนหินที่เป็นตัวจุดชนวนแห่งภพต่างๆปรากฏ

    หินที่ก้อนใหญ่เกิดมาจากการตกกระทบบนพื้นผิวโลก

    เหมือนดั่งกลับว่าพื้นผิวก็คือโลกแต่โลกในยุคแรกสัตว์ต่างก็ไม่มีสามัญสำนึก
    รู้เพียงแต่การดำรงค์ชีวิตการอยู่รอดอันเป็นเบื้องต้นแห่งอวิชชาทั้งมวล

    สัตว์จึงเบียดเบียนกันและกันและก่อเอาภวตัณหาดำดิ่งลงสู่เบื้องลึกนั่นก็คือสร้าง
    อบายภูมิปรากฏจนลึกสุดแดน

    น้ำก็คือธรรมชาติเมื่อมันถูกแรงดันจนสุดตำแหน่งของมันๆก็จะดันตัวขึ้นมาที่ตำแหน่ง
    ของโลกและปรากฏการณ์กระเพื่อมขยายขอบเขตออกไปเป็นขอบเป็นวงมิติต่างๆ

    หินที่ตกกระทบบนพื้นผิวคือโลก
    หินที่ดันน้ำลงไปจนลุ่มลึกถึงก้นคือนรกอบาย4
    แล้วแรงดันน้ำก็จะดันกลับมาหาแกนกลางคือโลก
    และดันกระเพื่อมตัวออกไปเป็นวงขอบมิติต่างๆคือสวรรค์

    นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของจิตล้วนๆอย่างที่ไม่ต้องมาเอ่ยถึงกัน
    ช่วงระยะเวลาจึงเสมอภาคคือแต่ละขณะก่อให้เกิดภพ
    แต่ละขณะคือกาลเวลาเพียงแต่

    มิติแต่ละที่แตกต่างกันที่ระยะเวลาที่สลายหายไป
    สวรรค์นรกจึงมีเวลาที่แตกต่างดังนี้ที่ว่าแต่สิ่งที่เหมือนกันคือหนึ่งขณะจิตที่ยกอารมณ์เหมือน
    กันทุกภพแดน31ภพ
    แน่นอนมันคือเวลามาตรฐานสากลของจิต


    ในขณะที่อ้องอยู่ในมิติหนึ่งอ้องไม่สามารถทำให้จิตกลับมาสู่กายหยาบได้
    เหมือนดั่งว่าช่วงเวลานั้น
    อ้องได้มาอยู่ในขอบวงอีกมิติหนึ่งมีช่องว่างมิติต่างๆซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้นๆ

    สิ่งที่รู้สึกคือกำลังแห่งการยึดอารมณ์ในมิตินั้นคงอยู่เมื่ออ้องพิจารณาลงแล้ว
    นี่ก็คือจุดตั้งต้นแห่งการยึดอารมณ์ในภวังค์ของชาติอันเรียกว่าองค์รักษาภพ
    นี่ก็เพราะอ้องทำจิตให้เสมอในภพนั้นๆจึงต้องเข้ามาอยู่ในภพนั้น

    คนตายจึงปรากฏคตินิมิต อารมณ์ เป็นตัวจับยึดเพราะยังยึดติดในขันธ์
    ยังไม่สามารถทำลายขันธ์สันดานแห่งตนให้ขาดสิ้นไปเพราะยังมีเยื่อใยกับขันธ์
    ว่ากายเป็นเราจิตเป็นเราอย่างมั่นคง

    การที่เราจะพ้นไปจากชาติ จากขอบวงมิตินั้นๆก็คือหลอมเข้าไปกับมันตาม
    ธรรมชาติที่เป็นจริงเป็นส่วนหนึ่งของมันกลับคืนสู่ธรรมชาติ

    ไม่เป็นทั้งมิติทั้งกาลเวลาทั้งช่องว่างทั้งน้ำทั้งหินแต่หลอมกลมกลืนกับสรรพสิ่ง
    โดยคืนไปให้กับสิ่งที่เริ่มต้นเพราะไม่รู้จึงยึดเอา

    หวนคืนสู่ธรรมชาติที่ไม่มีขันธ์ ไม่มีอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลย กลมกลืนไปกับ
    สรรพสิ่งที่สันติสุขของธรรมชาติ

    ธรรมชาติเค้ามีความสันติสุขอยู่ในธรรมชาติเกิดดับเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ
    ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความมีอยู่ของขันธ์และการไปยึดธรรมชาติว่าเป็นเรา
    ขันธ์จึงเป็นตัวทุกข์
    อุปทานอารมณ์ในขันธ์จึงเป็นเหตุของทุกข์

    ถ้าเราคืนในสิ่งที่ยึดคลายออกจากอุปทานและแรงผลักดันให้กระเพื่อมไปในมิติภพ(ตัณหาทะยานอยาก)
    เมื่อหมดแรงกระเพื่อมย่อมหมดแรงส่ง
    หินและน้ำก็เป็นเรื่องของเค้า
    การสั่นกระเพื่อมก็เป็นเรื่องของเค้าตามธรรมดา

    เข้ามาสู่จุดเหตุและแก่นกลางในความเป็นกลางต่อสรรพสิ่ง
    ด้วยอำนาจของศีล สมาธิ ปัญญาของใจที่เป็นกลางต่อสรรพสิ่ง(สภาวะ)
    เมื่อหมดภพ หมดชาติ หมดกระเพื่อม หมดมิติ หมดช่องว่าง หมดจุด
    หมดตำแหน่งก็หมดจด สะอาดบริสุทธิ์

    เมื่อหินที่ตกกระทบผืนน้ำและส่งแรงดันทั้งใต้น้ำและกระเพื่อม
    บนพื้นผิวน้ำ เพราะมีเหตุของธรรมชาติ
    และเมื่อหลอมกลมกลืน

    สันติสุข ย่อมปรากฏเพราะไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใดในธรรมชาติอีกเพราะหลอมกลมกลืนกันและกันด้วย
    ความอิสรเป็นไทสะอาดหมดจดทั้งไม่ดำดิ่งทั้งไม่กระเพื่อมบนพื้นผิว

    เราไม่พักอยู่(บนโลก)
    เราไม่เพียรอยู่(บนสวรรค์)
    เราจึงก้าวข้ามโอฆะ...หายไปจากกาลเวลาตลอดกาล

    นิพพานไม่มีจุด ตำแหน่ง ไม่มีสถานที่ตั้ง ไม่มีขันธ์(รูปนาม)
    ลอยเท้านกบนอากาศ
    ไฟที่หายไปในอากาศ
    เป็นสิ่งที่ดูเหมือนหายไปแต่แท้จริง
    มันหลอมเข้าเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ

    ตัวของมันจะไม่ปรากฏลอยเท้าให้เห็นอีก
    และตัวของมันจะไม่ปรากฏดวงไฟให้เห็นอีก
    เพราะมันไร้ตัวตนอย่างแท้จริงมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

    มันก็คือธรรมชาติชนิดหนึ่งเพียงนั้น
    แต่พวกเราคือธรรมชาติที่ยึดธรรมชาติ
    สิ่งที่พ้นไปไม่กลับมาคือธรรมชาติอย่างแท้จริง

    ธรรมชาติที่สมบูรณ์ที่สุดที่บรมสุขเพราะขันธ์อันเป็นตัวทุกข์
    มลายหายสิ้นไป

    ธรรมชาติแท้จริงไม่ทุกข์เลย
    แต่ที่ทุกข์เพราะยึดธรรมชาติ

    วันนี้อ้องก็คงจะเปรียบเทียบได้เรื่องเวลาของนรกสวรรค์ได้เพียงนี้
    เพราะพิจารณามาหลายวันจึงพอจะเขียนได้

    ถ้าผิดพลาดอันใดเป็นความเห็นส่วนตัวขอรับผิดเพียงผู้เดียว
    อ้อง(ชัชวาล เพ่งวรรธนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2010
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อุปทานแห่งผัสสะกระทบ

    เสียงน้ำตกส่งเสียงดังสนั่นอยู่ก้องหูในขณะที่กายอ้องเมื่อคืน
    ได้มาปรากฏโลกแห่งจินตนาการของตน
    กายที่เบาปราศจากแรงดึงดูด ไร้น้ำหนักลอยละล่องท่องไปในโลกแห่งมิติภพ

    สวรรค์..
    ทำไมจึงปราศจากผู้คนนี่เป็นตำแหน่งของอ้อง สถานที่ ช่องว่าง กาลเวลา
    ที่อ้องสร้างขึ้นมา

    โลก...
    ที่มีดินน้ำลมไฟ ที่นี่ก็มีแต่ไม่ใช่ธาตุแต่เกิดมาจากใจสร้างเหมือนเราเข้าไปดู
    โรงหนังสามมิติขนาดใหญ่ที่เหมือนจริงแต่สามารถหมุนไปได้รอบทิศ

    หนังอวตาลขาดสิ่งหนึ่งคือมิติของภาพ การมองเห็นของภาพที่ลุ่มลึก ละเอียดไปทุกเฉดสี ทั้งอ่อนนุ่ม อ่อนโยนและใจจะมีแต่ความเบิกบานที่
    ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส

    สิ่งเหล่านี้คือโลกแห่งอุปทานสัญญาที่จิตไปปรุงแต่งทั้งสิ้น
    วันนี้อ้องจะลองของอย่างหนึ่งคือการสัมผัสเหมือนดั่งวิญญาณ

    ทำไมเราจึงสัมผัสแตะต้องมันได้ ทำไมเราเดินทะลุกำแพงได้แต่บางครั้ง
    ทำไมเราจึงเกิดคำว่าประทะกำแพงฝ่าเข้าไปไม่ได้

    อุปทานแห่งสภาวะมันฝังเอาไว้ตรงผัสสะกระทบและความเชื่อมั่น...

    อ้องลอยละล่องท่องไปในโลกที่ตนสร้างขึ้นมาด้วยบุญเก่า...
    แทบไม่ต้องบอกว่าสติปรากฏขึ้นเสมอและบอกตนเองว่าอ้องตื่นอยู่
    และตื่นแบบเชื่อมั่นแถมบอกตนเองและกำลังเผชิญหน้ากับมิติภพ

    ที่ผุดเ้ขามาด้วยกำลังของอัปฌาฌาน
    ความรู้สึกใจฝูผ่องใสเบิกบานปรากฏคือปิติชนิดหนึ่งแต่แปลกปิติชนิดนี้
    ไม่เหือดแห้งหายไปหมุนเวียนวนแต่ใจภายในตลอดเวลาทุกขณะจิต

    เหมือนกำลังเสวยอารมณ์ปิติและสุขชนิดหนึ่งก็ปรากฎทั้งสบายใจอย่างลุ่มลึก
    เป็นสุขที่ไม่เหือดแห้งไม่เหมือนเวลาที่อยู่บนโลกหรือเวลาทำสมาธิ
    ที่เมื่อไม่ใส่ใจ ไม่เกาะกุมมันจะสลายหายไปเองเป็นอนิจจลักษณะของความ
    ไม่เที่ยงแท้ของจิตแต่โลกที่กายบุญแห่งนี้

    จิตมันประกอบไปด้วยกำลังของบุญล้วนๆมันหมุนวนแต่บุญปราศจากอกุศล
    ความอึดอัด ความคับแคบจึงไม่สามารถแทรกเข้ามาได้

    สายลมพัดลู่ไปตามยอดหญ้าสีเขียวอ่อนไปทั่วท้องทุ่งหญ้าที่กวา้างไกลส่องประกาย
    สีเขียวมรกตชนิดละเอียดสะท้อนประกายเหมือนดั่งแก้วพลึกเล็กๆดั่งน้ำค้าง
    ที่ต้องแสงส่องประกายขาวรุ้งเต็มไปทั่ว

    วันนี้กำลังจิตอ้องมีกำลังจึงเห็นละเอียดแต่บางวันจิตไม่มีกำลังสมาธิไม่มีกำลัง
    ก็จะเห็นได้น้อยกว่านี้

    มิติภพซ่อนเหลื่อมไม่แสดงตำแหน่งแห่งหนใดในระบบสุริยะแต่มันซ้อนเหลื่อม
    เข้าไปภายในละเอียดและหยาบปรากฏในสถานที่จุดตำแหน่งแห่งกาลเวลา
    ที่จะเอาคนที่ประกอบไปด้วยมหาภูตรูป4เข้าไปเยือนถึงได้

    เพราะมิติเหล่านี้เป็นจิตสร้างขึ้นมาล้วนๆเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่ละเอียด
    และมีรูปที่ละเอียดที่จติเป็นผู้สร้างด้วยเหตุต้นผลกรรมทั้งดีและชั่ว

    กายเหมือนดั่งสายลมพัดพริ้วปลิวไปเคลื่อนไปสบายๆพร้อมกับจิตที่เต็มไปด้วย
    ปิติสุขในโลกที่สว่างสะอาดสดใส
    เสียงน้ำตกดั่งสนั่นหวั่นไหวเป็นชั้นๆ

    โอ้...นี่มันมีน้ำด้วยเหรอเนี่ยอ้องกำลังสงสัยแถมเป็นน้ำตกอีกด้วย
    ลมเย็นๆพัดเข้ามาพร้อมกับละอองน้ำอ้องพิจารณาเข้าไปรับรู้อุปทานของจิต

    ใครมาบอกอ้องว่าสมาธิไม่มีปัญญาก็ไม่ถูกถ้ามีสติและพิจารณาตามจริงในสิ่ง
    ละเอียดทุกอย่างมันเป็นอุปทานอ้องกำลังทำลายมันและนี่คืออุปทานขันธ์ละเอียด
    ชนิดหนึ่งส่วนชนิดหยาบจะปรากฏได้แค่ที่โลก...

    (ขอส่งงานให้แค่นี้ก่อนนะครับเมื่อคืนเข้าไปนานพอควร)
     
  7. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ธรรมะใดๆพิสูจน์ได้ด้วยการอบรม
    คำสอนใดๆพิสูจน์ได้ด้วยการตื่นรู้และคุณธรรมเจริญงอกงามเป็นลำดับ
    ธรรมะมีทั้งของปลอมและของแท้
    ผู้พิสูจน์คือใจเรา
    พระธรรมเป็นสรณะเป็นที่พึ่งอยู่เสมอ
    เอาตำราวางไว้ในตู้เพื่อไม่ต้องมาเปลืองน้ำลาย
    ทำให้ถึงจิตถึงใจเมื่อนั้นน้ำลายก็ไม่ต้องเปลืองอีก
    เพราะธรรมะแท้จริงนั้นอยู่ที่กายและจิตเมื่อปรากฏสติที่แปลว่า
    ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในธรรม

    เมื่อเราพบสิ่งนี้แม้เพียงเบื้องต้นเราก็สามารถเชื่อมั่นในคำสอนของครูอาจารย์ท่านนั้นๆ
    ได้โดยไม่ต้องไปใส่ใจการโจมตีให้ร้ายอีกต่อไป

    เพราะเราได้ประจักษ์แทงเข้าถึงใจเราเสียแล้วต่อให้ใครมาบอกว่าพระสงฆ์นี้ี้ของปลอม
    คำสอนของพระพุทธองค์นี้ผิดพลาด

    เราก็จะรู้ว่าผิดถูกเรารู้แล้ว นั้นคือไม่มีเลยโลกธรรมผิดถูก ล้วนแต่เป็นสมมุติและวิปลาส
    ทั้งสิ้น ใครจะมาเรียกให้ถอยกลับเราก็จะหันกลับไปเรียกว่า
    ท่านจงงมาเถิดทางนี้ประเสริฐแล้วไม่มีผิดพลาดเราพิสูจน์แล้ว...

    อนุโมทนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง
    ข้าพเจ้าขอพิสูจน์ พิจารณาในธรรมนั้นๆเสียก่อนเยี่ยงบัณฑิต
    ที่มีปัญญาพิจารณาไตร่ตรองในธรรมนั้นๆ...
     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    บ้านที่เข้ามาเป็นหลายร้อยครั้งไม่ต้องบอกตนเองก็รู้ว่าตื่น...

    น้ำใสไหลตามแก่งหินไหลระรินลอยละล่องท่องพลิ้วเป็นระลอก
    คลื่นน้ำใสกระเพื่อมเมื่อกระทบ

    สายลมที่พัดไหลเข้ามาวนรอบกายอย่างอ่อนโยน

    ที่นี่ไม่มีอากาศเป็นเพียงมิติว่างเปล่า…

    แต่จิตที่สะสมเชื้อสะสมวิบาก
    บาปและบุญไปสร้างมิติช่องว่างแห่งกาลเวลา

    ในขณะที่มันสร้างกรรมอันเป็นเหตุและผล
    ความรู้สึกอ้องในขณะที่ตื่นรู้ในสิ่งเหล่านี้คือความเคยชิน…

    ชินจนไม่ต้องเตือนตนเองอีกว่าอ้องกำลังตื่นเพราะเข้ามาเป็นร้อยครั้ง
    มันกลายเป็นบ้านของอ้องไปแล้ว

    บ้านที่กว้างสุดหูสุดตา
    บ้านที่ไม่ต้องมีบ้านแต่โลกมิติภพมันคือบ้านจะอยู่ที่ไหนก็คือบ้านแม้แต่ที่นอนที่นึกไม่ถึง
    (นอนเล่นใต้น้ำตก)

    อ้องเดินลงไปเหยียบดินทรายก้อนหิน ผัสสะที่กระทบมันแสดงความอ่อนเบานุ่ม
    ปราศจากความแข็งหยาบแข็งเหมือนบนโลกมันเหมือนเรากำลังมีแต่ผัสสะที่อ่อนโยนทั้งสิ้น
    หาสิ่งกระด้างไม่ปรากฏเลย

    การที่เป็นคนสองโลกมันทำให้อ้องมีการเปรียบเทียบ
    โลกหยาบและโลกละเอียดได้ง่ายยิ่งกว่าง่าย
    เพราะอ้องกลายเป็นนักโบราณคดีของมิติภพไปเสียแล้ว

    คงเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะถ้ามีคนมาบอกอ้องว่า
    ตายแล้วสูญ
    หรือวิญญาณไม่มีจริง
    นรกสวรรค์ไม่มีจริง

    นั่นก็เพราะคนเหล่านั้นไม่รู้จักการจู่โจมในจุดตำแหน่งที่ควรเข้าถึง

    นักวิทยาศาสตร์จึงต้องหาสูตรทางเคมีหรือเครื่องมือเพื่อเข้าถึง
    การค้นคว้าหาเหตุผล
    ด้วยการพิสูจน์

    อ้องก็เช่นกัน…

    อ้องอาศัยโอกาสที่หาได้ยากยิ่งสำหรับชีวิตมนุษย์คนหนึ่งคือ
    อ้องกำลังค้นคว้ามันเพื่อ
    ให้กลายเป็นตำนานของมนุษย์ชาติครั้งหนึ่ง
    ที่เดินท่องไปในห้วงแห่งมิติกาลเวลา

    ที่ไม่ใช่การแต่งแต้มมาจากจินตนาการ
    สิ่งที่น่าแปลกคือการแต่งกายก่อนที่จะมาแห่งนี้อ้องใส่ชุดนอนแต่ท่ี่แห่งนี้
    อ้องกลับมีเสื้อผ้าที่แปลกแตกต่างในแต่ละครั้งตามจินตนาการที่เราชื่นชอบ
    และวันนี้อ้องกลายเป็นหนุ่มอีกครั้ง…
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2010
  9. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    การรักษากำลังในนิมิตให้คงที่

    จากคนอายุ43กลายเป็นอายุ18
    แถมมีสภาพผิวกายและรูปร่างที่ดูสมส่วนสิ่งนี้มันคืออุปทาน

    สัญญาที่เราจดจำในเวลาที่เราส่องกระจกและจินตนาการ
    เพื่อให้อยากมีอยากเป็นอยู่เสมอ

    ในขณะที่เดินอยู่นั้นสิ่งที่อ้องต้องทำคือปล่อยกายและใจไปสบายๆ
    ไม่เข้าไปกดดัน
    ไปรีบเร่งเพ่งมอง
    ไปอยากรู้อยากเห็นเพราะจะทำให้อำนาจของสมาธิเหือดแห้งลงไป
    อย่างรวดเร็ว โดยสังเหตุที่ความสว่าง ความมัวของภาพและกำลัง

    ความสว่างสดใสอ้องให้คงอยู่เพราะความสว่างและรูปนั้น
    แสดงถึงกำลังของสมาธิ

    อ้องเดินไปพร้อมกับมองดูเท้าในท่าเดินจงกรม
    แบบสำรวมมีสติตื่นรู้เพื่อให้กำลังสมาธิเดินกำลังอย่างต่อเนื่อง

    สิ่งที่รู้คืออ้องสามารถที่จะเดินจงกรมและสร้างสมาธิตนเอง
    ในอีกมิติหนึ่งได้อย่างต่อเนื่องเพื่อ...

    ให้กำลังในการยึดอารมณ์ในภพนี้อยู่ให้นานที่สุดและสติที่ตื่นอย่างแจ่มชัด
    ให้มากที่สุด
    ภาพที่เห็นอยู่ของน้ำตกแต่ละชั้นก่อนที่จะเดินมาถึงริมธารนั้น
    เป็นสิ่งที่ประทับใจแบบลืมไม่ลง

    โลกที่เงียบสงบปราศจากเสียงของสัตว์ต่างๆไม่ได้ทำให้รู้สึกเงียบเหงาอ้างว้าง
    แต่มันสุขใจอย่างประหลาดสงบและสุขอย่างร่มรื่น
     
  10. 0+โจ๊ก+0

    0+โจ๊ก+0 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +68
    น้าอ้องคับ ทุกวันนี้มีลัทธิเทียมเท็จอิงแอบศาสนาปรากฏมากมาย โดยเฉพาะลัทธิของชาวจีนไต้หวัน
    ชาตินี้ถึงผมจะไม่ตกหล่นไปแล้วแต่รู้ตัวกลับออกมาทัน แต่ยังมีคนอีกมากที่หลงไป จะทำอย่างไรดีให้ทุกภพทุกชาติ ไม่หลงไปกับลัทธิเทียมเท็จอิงแอบศาสนาอย่างงี้ ถามว่าลัทธินี้ดีไหม ก็ดี แต่ดียังไม่พ้นโลก แต่อ้างว่าถ้าปฏิบัติตามเขาพ้นโลกแน่ แต่จริงๆก็เป็นได้แค่เทพเซียน ผมกลัวเหลือนเกิณทำอย่างไรให้ทุกภพทุกชาติจนถึงนิพพาน ไม่ตกหล่นไปในลัทธิหรือศาสนาที่ไม่สามารถให้เราพ้นทุกข์ได้จริงคับ จะตั้งจิตอธิฐานอย่างไร ผมดีใจที่เกิดมาเป็นคนพุทธและอยากเป็นคนพุทธที่ได้เจอธรรมแท้อย่างคุณน้าอ้องอะคับต้องตั้งจิตอย่างไรอธิฐานอย่างไร ผมไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน แต่ต้องตายแน่ๆ กลัวว่าตายแล้วไปเกิดในศาสนาลัทธิความเชื่อที่เป็นธรรมะปลอมอะคับ
    0..........................................................................0

    มีคำถามครับน้าอ้อง อันนี้อีกเรื่อง
    1.จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลในโลกธาตุอื่นๆ เหมือนอย่างโลกเรา ที่มีมนุษย์เนี้ย มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นอีกไหม ที่ท่านยังไม่ทรงปรินิพพาน เพราะอ่านพบในพระสูตรมหายานว่า โลกอื่นๆในจักรวาลในกว้างใหญ่ก็มีพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ยกตัวอย่าง สุขาวดีโลกธาตุ ก็คือโลก ที่มีชื่อเรียกว่าสุขาวดี อย่างที่เราเรียกโลกธาตุนี้ว่าโลก แต่นี้แค่สมมุติ แต่ที่อยากรู้จริงๆคือในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ยังมีพระพุทธเจ้าในโลกธาตุอื่นๆที่ยังทรงประชนชีพอยู่ไหม
    2.หากยังมีพระพุทธเจ้าในโลกธาตุอื่นๆในจักรวาลอันกว้างใหญ่ คือในกาแลคซี่อื่นๆอีก เราสามารถตั้งจิตอธิฐาน สร้างกำลังบุญ ศีล สมาธิภาวนา เพื่อเสมอกับโลกธาตุนั้นหรือเกิดให้ไปพบกับพระพุทธเจ้าในโลกธาตุนั้นได้ไหม
    .......ไม่รู้ถามมากจะว่าอะไรรึป่าว....และถามแต่ละอย่างออกแนวมหายานซะด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2010
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อนุโมทนานะครับสำหรับเจตนาที่เป็นกุศล
    จงทำตนให้เป็นผู้รู้ เมื่อเรารู้แจ้ง เราจะทำให้ผู้อื่นได้รู้
    ส่วนการโปรดสัตว์เราต้องดูทิฎฐิมานะของเค้าแต่ละคนหรือท้องถิ่น
    ปัญญาไม่เสมอภาคบัวมีหลายเหล่าต้องใช้อุเบกขานะครับ
    ส่วนจักรวาลแกแลคซี่ไม่ว่าจะมีหมื่นแสนล้านที่ไหนก็ตาม
    มีพระพุทธองค์ที่เดียวแ่น่นอนครับไม่มีหลายองค์หลายที่ครับ^^
     
  12. 0+โจ๊ก+0

    0+โจ๊ก+0 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +68
    สวัสดีคับผมชื่อ มอส นะคับ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยๆๆๆๆๆ
    น้าอ้องครับ ผมมีความสนใจอยากบวชดู เอาเป็นถามรวมๆเกี่ยวกับการบวชเลยดีกว่า จะได้เป็นทานแก่ผู้มีความประสงค์จะบวชด้วย
    1.การบวชกับการเป็นฆราวาสแบบไหนเหมาะสมที่จะทำให้ถึงที่สุดแห่งธรรมภายในชาติเดียวได้ดีกว่ากัน
    2.ผมคงต้องบวชเป็นเณรก่อนเพราะอายุยังไม่ถึงที่จะบวชพระ อยากทราบว่าควรเตรียมตัว เตรียมใจ อย่างไรก่อนบวช
    3.การบวชดียังไงบ้างอะคับ (ยังก็อยากให้จบๆในชาตินี้มากกว่า)
    4.ผมได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ซึ้งเป็นเรื่องยากแสนยาก แล้วการพบพุทธธรรมแท้ในมวลหมู่ลัทธิศาสนาอาจารย์ผู้มีมิจฉาทิจธิมากมาย ไม่รู้ว่าจะเกิณไปรึปล่าวที่ ผมอยากเลือกอาจารย์ แต่หากพบธรรมปลอมอีกมีหวัง คงเหนื่อยอีกหมายชาติ น้าอ้องช่วยแนะนำพระอุปชาจารย์ให้ได้ไหมคับ
    .............................................................................................
    แต่ที่ผมยังไม่กล้าบวช คือ เห็นว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันก่อนแล้วค่อยบวชจะดีกว่า ไม่กล้าทำให้พระศาสนาแปดเปื้อน แล้วหากเป็นฆราวาสบำเพ็ญกับเปงนักบวชอันไหนสามารถบรรลุโสดาบันได้ดีกว่ากันครับ
    ............................................................0-0
    คำถามที่สำคัญที่อยากให้ช่วยตอบคือ แนะนำพระอาจารย์ให้หน่อยคับ
     
  13. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    บวชก็ดีครับเมื่อถึงเวลา...ไม่บวชก็ดีครับเมื่อยังไม่ถึงเวลา


    ....การที่เราจะบรรลุธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับว่าตนนั้นปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้ว...

    เหมือนเช่น รองเท้าที่เราใส่ มันสึกอยูุ่ทุก ๆ วัน ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า วันหนึ่งๆ มันสึกกี่มิล...

    ....การจะเป็นผู้หลุดพ้นนั้น แม้จะอยู่ในสภาวะอันใดนั้น ตนนั้นย่อมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว

    ....การบวชเป็น พระ เป็นแค่สมมุติบัญัติ ที่บัญญัติขึ้นมา ใ้ห้รู้ว่า ที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างนี้ (โกนหัว ห่มเหลือง) เพื่อให้รู้ว่า เรานั้นเป็นผู้เห็นภัยในโลกเหล่านี้ แล้ว พึงจะปฏิบัติตน เพื่อพ้นจากทุกข์เสีย

    เหมือนที่ตำรวจแต่งชุดอย่างนั้น แล้วประดับยศเพื่อบอกฐานะตำแหน่ง ของตนเองเท่านั้นเองครับ


    เรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว จะแต่งอย่างไร จะอยู่ที่ไหน จะเป็นใคร ก็เป็นธรรมชาติอยู่ดี

    การบวชมันก็ดีครับ เมื่อถึงเวลาที่จะบวชจริงๆ

    ...เพียงแค่เราทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ปล่อยกาย ปล่อยใจ ให้เป็นไปในลักษณะที่สมควรถูกต้อง ไม่ลื่นไหลไปกับอารมณ์ที่ชักชวนจิตใจ โดยที่จิตเป็นผู้ดู ไม่ปฎิเสธหรือยอมรับ พลักใสใด ๆ ที่กายรู้สึก ใจรู้สึก นั้นแหละเป็นการปฏิบัติ เพื่อพ้นทุกข์

    ..หึ ๆ การปฏิบัติ ง่ายซะยิ่งกว่าบวชซะอีก ... ^,^

    ค่อยๆ ฝึกดูกาย ดูใจ ไปน่ะครับ

    ผมเอาใจช่วย


    ตั้มครับ ^,^



     
  14. 0+โจ๊ก+0

    0+โจ๊ก+0 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +68
    พิมพ์หลายรอบจางเรา...สุดท้ายไม่รู้จะพิมพ์ไรแก้หลายรอบมาก
    สับสน เอาเปงว่าน้อมรับทุกอย่างละกาน แล้วค่อยพิจารณา ขอบใจนะคับตั้ม
    ........................................................
    วันนี้ไปเดินเล่นในวังมารมา ก็คือกระทู้ที่มีคนปรามาสพระรัตนไตรบ้างละ อ้างตนเปงพระพุทธเจ้าแห่งกาลอนาคตบ้างละ เมื่อดูใจดูจิตแล้ว ดูตุ้มๆต่อมๆดีแท้ โกรธบ้างละ ไม่พอใจบ้างละ แต่ชอบนะทำให้เราได้เรียนรู้กายและใจที่โง่งมไปกับเหตุปัจจัย เป็นทุกข์
    ........................................................
    ผลการปฏิบัติธรรมดูกายดูจิตครั้งที่1 เล่าๆให้ชี้แนะด้วยคับ
    ก็ไม่เพ่งพยายามมากเกิณ ไปเอาสติรู้กายรู้ใจเบาๆ อาจเข้าๆออกๆหลุดๆบ่อยๆ วันแรกหายไปครึ่งวันค่อยมีสติ แต่ดีที่ไม่เพ่งเกร็งเกิณไป เรื่อยๆใจเย็นๆ(หรือเราจะเฉือยชาก็ไม่รู้) ก็เริ้มมีสติกับกายกับใจ เข้าๆออกๆบ้าง แต่เริ้มดีขึ้น นิดหน่อย จาก0%มา1%ละ คงรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างงี้เรื่อยๆละคับ ไม่บังคับ มันดีปะคับ(ความขี้เกียจน้อยลงด้วยงับ ตั้งใจเรียนมากขึ้นนิดหน่อย)
    .........................................................
    จริตหลักๆที่รุ่นแรงในใจ ราคะ กับ โทสะ
    โอกาศเกิดราคะง่ายกว่า โทสะ แต่น่ากลัวทั้งสองอันเยย ต้องมีสติ ต้องมีสติ
    .........................................................
    ถ้าผมตายเนี้ยไปอยู่วิมารน้าอ้องดีไหมน้า อิอิ (ฝึกมรณานุสติแล้ว รู้สึกว่าตายนะตายแน่ แต่ยังไม่พร้อมที่จะตายเลยอ่า บุญ กุศล เผ้าถางกิเลส โอ๊ย นิพพานอีก)
    .........................................................
    ไม่รู้เปลืองกระทู้น้าอ้องไหมคับ แต่ผมไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะคับ หากเปรียบเหมือนบัว คงจะเป็นรากบัวละมั้ง เนื้อนอกแปดเปื้อนด้วยโคลนตม เนื้อในแสวงหาที่สุดแห่งธรรม
    ..........................................................

    ถึงตั้มด้วยความหวังดีที่สุดแห่งใจของมอส
    มอสผ่านทางแห่งศาสนาลัทธิความเชื่อมามากมาย ดุจเดินผ่านพงหนามและใบมีดกรีดแทงจนเลือดโทรมกาย แปดเปื้อนมลทินมามากมาย มอสอาจคิดมากเพราะผ่านอะไรร้ายๆผ่านมารมามาก มารมีวิธีมากมายที่ทำให้เรามีโอกาศพลัดตกจากมรรคคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ สัจจะธรรมที่น้าอ้องได้กล่าวแสดงแล้ว เป็นหนทางพ้นทุกข์ ตั้มจำคำของมอสไว้นะ ถึงมอสจะไม่เคยเจอรู้จักหรือสนิทกับตั้ม แต่จงจดจำคำนี้ไว้ว่า ให้มั่นคงในศรัทธาต่อมรรควิถีแห่งพุทธศาสนาแบบนี้ แบบน้าอ้องปฏิบัตินี้ มอสได้ผ่าน
    ธรรมะปลอมมามากมายแต่เพราะมีกุศลอันดีจึงได้พบธรรมแท้อีกครั้ง มอสกลัวเหลือ เกิณ เพราะมารมีวิธีการมากมาย วันนี้ตั้มอาจมั่นคงในศรัทธา แต่วันหน้าหากมีใครมาพูดหรือทำบางอย่างที่อาจทำให้ตั้มเปลี่ยนไปหรือสั่นคลอนจากมรรควิถีนี้ขอให้คิดถึงคำของมอสนะ มอสมองทุกๆคน สัตว์ พืช ด้วยใจที่เห็นไม่ต่างจากญาติพี่น้องคนรักของมอสหรอก เห็นเธอมีจิตใจมุ่งมั่นดี ไม่อยากให้เธอปลัดพรากจากสัจจะธรรมความจริง พิมพ์อยู่นี้จะน้ำตาไหลไม่รู้เป็นไร มอสขอยืนยันรับรองธรรมะของน้าอ้องคนหนึ่งว่า เป็นธรรมะแท้ มิใช่ของปลอม มอสไม่รู้ว่าทำไมมอสถึงต้องพิมพบอกตั้มตรงนี้ แต่มอสรู้ว่า มีบางสิ่งดลจิตดลใจมอสให้เขียนเตือนตรงนี้ก่อนที่จะสายเกิณไป
    รักและหวังดี.....มอสคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2010
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ครูอาจารย์คือกายเราจิตเรา

    สมัยพุทธกาลที่พระพุทธองค์อยู่...
    ขึ้นชื่อว่ามานะ ทิฎฐินั้นทำลายตนเอง สิ่งนี้ล่ะทำลำลายปัญญาแห่งตน
    แม้พระเทวทัตก็ยังผิดพลาดได้ทั้งๆที่อยู่ใกล้ครูที่ประเสริฐที่สุดในโลก

    พระธรรมเป็นสรณะ เป็นครูเหนือครู แม้พระ้พุทธองค์ก็ทรงน้อมเอาไว้เสมอ

    เมื่อเรามาศึกษาทางธรรมก็ให้เข้าใจในละดับที่พึ่งตนได้หลักธรรมใหญ่ๆ
    ก็คือสติ การรู้สึกตัวกับปัจจุบัน อดีตวางลง อนาคตอย่าไปคิด

    เรามาจากความว่าง จักรวาลเริ่มต้นก็มาจากความว่าง
    พวกเราเป็นเพียงธาตุรู้ชนิดหนึ่งในหนองน้ำร้อนโบราณตั้งต้นที่ปรากฏขึ้นมาใน
    ห้วงของเวลา อวกาศ จุด ตำแหน่ง ในจุลจักรวาลแห่งหนึ่ง ที่หนึ่ง ผุดขึ้นมา
    ด้วยกับของฝากคือไม่รู้จักธรรมชาติ

    ธรรมชาติไม่ได้หลอกใคร แต่เพราะไม่รู้เพื่อหนีทุกข์ในการดำรงค์ชีวิต
    จึงสะสมภวตัณหา ทะยานอยากเพื่อจะหนีทุกข์ จึงสร้างสุขจอมปลอมหลอกตนเองเข้าและกลายเป็นความเชื่อที่มั่นคงว่า

    ขันธ์(รูปนาม)หรือกายเราจิตเรา เป็นของเรา แม้ภายรูปภายนอกก็เป็น ของเค้า
    ของเรา ในเวลาต่อมาช้านานจึงกลายเป็นอาสวะห่อหุ้มจิต

    เหมือนโดนหมักอยู่แต่ในบ่อกิเลส ตัณหา

    สิ่งเหล่านี้หล่ะคือธรรมชาติของจิตในเบื้องต้นคือต้องหลงหมด ต้องถูกอาสวะห่อหุ้มหนีความจริงไม่พ้นเพราะเป็นธรรมชาติของจิต
    ที่ไม่รู้จึงหลง

    ต่อมาแม้เราเดินทางย้อนกาลเวลาไปอดีตในปฐมแห่งพุทธซึ้งคงจะเป็นอจินไตย
    และหากาลเวลาเพื่อย้อนไปได้ยากเย็นยิ่งเพราะำคำว่านานแสนนานคงหาไม่ได้

    แม้เบื้องต้นก็ไม่ปรากฏ แม้เบื้องปลายก็คงไม่มี
    เพราะหลักของธรรมชาติเป็นอินฟินิตี้คือ สะสารพลังงานไม่มีวันดับสูญ

    จิตที่กลายเป็นพุทธะมลายหายสิ้นไปแต่จิตใหม่ก็ก่อเกิดขึ้นอยู่เสมอ
    เหตุที่ทำให้เกิดจิตคือ อดีตกรรม อารมณ์ เจตสิก วัตถุรูป

    สัตว์ในเบื้องต้นจำพวกแบคทีเรียที่พยายามแบ่งเซลสร้างตัวตนใหม่มันมีประจุ
    พลังงานของธรรมชาติที่เหมือนกระแสไฟฟ้าสถิตย์อ่อนๆวิ่งวุ่นวายเพื่อหาทาง
    ที่จะหนีทุกข์ มันพยายามที่จะแบ่งตัว สร้างจากเซลเดียวเป็นสองสามสี่

    จนพัฒนามาเป็นสิ่งมีชีวิตและสร้างสิ่งกระทบทุกจุด
    สิ่งใดที่กระทบกับมัน ผัสสะใดที่กระทบกับมัน
    มันจะสร้างจุด ตำแหน่งของวิญญาณของมัน(วิญญาณอายตนะ)

    ผู้ใดรู้แจ้งซึ้งวิญญาณอายตนะ ย่อมพบสัจจะแสดงตนหยั่งลงสู่ความจริง
    (พระไตรลักษณ์)

    พระพุทธองค์ไม่ได้ค้นพบของวิเศษอันใดแต่ทรงค้นพบทางเดินออก
    ไปจากธรรมชาติที่ผูกมัดติดตรึงกับใจสัตว์

    ต่อจากนี้ไปในอนาคตก็จะมีบุคคลอยู่สองอย่าง
    คือทางเดินเพื่อออกจากธรรมชาติ

    ส่วนอีกคนคือพลังงานธรรมชาติไม่ดับสูญ(ไอน์สไตน์)

    หลักความจริงทั้งสองอย่างไม่ใช่ของวิเศษ มันเป็นหลักของเหตุและผลที่มีอยู่

    สำหรับบุคคลที่ต้องการพ้นจะพบทางออก(พระโพธิสัตว์เจ้า)
    สำหรับบุคคลที่ต้องการได้พลังงานจากธรรมชาติจะพบช่องทาง(นักวิทยาศาสตร์)

    การที่ตั๊ม โจ๊ก เข้ามาสู่เส้นทางธรรมนั้นเป็นสิ่งประเสริฐ อย่างน้อยก็สร้างวาสนา
    ให้แก่ตนเองบ้าง ไม่งั้นตัวตนเราในอนาคตชาติถัดๆไปมันจะด่าว่าเรา

    ว่าสร้างภาระอันหนักอึ้งเอาไว้ให้แก่ตัวตนในอนาคต
    เหมือนดั่งโนบิตะที่พยายามย้อนอดีตไปแก้ไขห้วงเวลาหนึ่งเพื่อเปลี่ยนแปลง
    อนาคตซึ้งจริงๆแล้วเราไม่สามารถแก้ไขอันใดได้

    มีเพียงแต่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

    ศึกษาธรรมมาพอควร พระธรรมก็จะเป็นสรณะให้พึ่งพาหนีไม่พ้นกายเราจิตเราทั้งหมด

    พระพุทธองค์ก็สอนเช่นนี้เราต้องค้นหาเองท่านเพียงแต่ชี้ช่องทางให้
    ไม่ต้องแสวงหาครู ถ้าเราพึ่งตนได้

    ถ้าเราพึ่งตนได้ระดับหนึ่งเราค่อยไปแสวงหาครูเพื่อเป็นมงคลชีวิตที่ดี
    การที่อยู่กับโลกมันหลงกันง่าย ใจมันฮึกเหิมไม่นานก็ฝ่อเพราะโลกแห่งกิเลส
    มันกดดันเรา ใจหนึ่งรักดีแต่ก็ถูกอีกใจหนึ่งดึงเข้าสู่กิเลสอยู่เสมอ

    ครูอาจารย์จึงคือกายเราจิตเราไม่ต้องแสวงหาไกล
    เราจึงควร้มุ่งมั่นเดินทางเพื่อค้นคว้าอบรมตนเพื่อแสวงหาความจริง

    อนุโมทนานะครับตั๊ม โจ๊ก
    พี่อ้อง
     
  16. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"

    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ
    "พระคุณเจ้าธัมมวิตักโกภิกขุ (อดีต)พระยานรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส

    เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ระดับเพชรน้ำหนึ่งในจังหวัดพระนคร
    ท่านเป็นพระธุดงค์ขนานแท้ ที่ไม่เคยออกจากวัดเทพศิรินทร์ไปไหนเลย
    ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ ทำความเพียรของท่านเงียบๆ อยู่องค์เดียวในกุฏิ
    จะออกจากกุฏิเฉพาะในเวลาทำวัตรสวดมนต์เท่านั้น

    และหากผู้ใดประสงค์จะนมัสการท่าน
    ก็ต้องรอพบท่านเวลาลงทำวัตรในพระอุโบสถเท่านั้น
    ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่กับคนใหญ่คนโตระดับนายกรัฐมนตรีที่สั่งประหารใครก็ได้

    ธรรมะที่ท่านแสดงไว้มีไม่มากนัก
    แต่ทุกบท ล้วนคมคายน่าประทับใจอย่างยิ่ง
    สะท้อนถึงความไม่ธรรมดา ในความธรรมดาของท่านอย่างโดดเด่นทีเดียว
    ดังบทที่ยกมากล่าวในวันนี้ที่ว่า
    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"


    หากมองในทางโลก คำสอนนี้คงตรงข้ามกับสำนวนที่ว่า "ปี๊บเปล่าตีดัง"

    แต่ในทางธรรมแล้ว ประโยคนี้มีความสุขุมลุ่มลึกอย่างยิ่ง
    ในแง่ของการเจริญวิปัสสนาแล้ว
    การที่จิตจะเจริญวิปัสสนาในขั้นละเอียดจริงๆ จิตจะต้องรู้อารมณ์ในลักษณะ "สักว่ารู้"
    ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่งไปตามสัญญาอารมณ์ว่า สิ่งที่จิตไปรู้เข้านี้คืออะไร
    เช่นลิ้นกระทบรส ก็รู้รสนั้น อันเป็นสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ
    จิตจะรู้ความเข้มของรสที่เปลี่ยนระดับไป ตั้งแต่มีความเข้มสูง
    จนกระทั่งกลืนอาหารนั้น และรสเดิมนั้นดับหายไป
    ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นนักพากษ์หนัง
    ที่จะเอาบัญญัติเข้าไปกำกับรสนั้น ว่า นี่คือรสเปรี้ยว นี่คือรสหวาน
    จุดที่รู้สภาวะนั้นแหละคือวิปัสสนา ส่วนบัญญัติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นส่วนเกิน

    กระทั่งธัมมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตก็เหมือนกัน
    จิตที่เดินวิปัสสนาละเอียด จะรู้เพียงว่า
    มีสิ่งบางสิ่งปรากฏยิบยับหรือไหวตัวขึ้นมาเท่านั้น
    โดยสังขารขันธ์ไม่ต้องเข้าไปแทรก
    หรือตามอธิบายว่าสิ่งนั้นคือราคะ โทสะ โมหะ หรืออะไร
    ผู้ปฏิบัติรู้สภาวะก็พอแล้ว ส่วนบัญญัติเป็นส่วนเกินในขณะนั้น

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระเถระผู้เพิ่งล่วงลับไปท่านจึงกล่าวว่า
    "วิปัสสนาแท้ๆ นั้น เริ่มตรงที่หมดความคิด"

    ท่านย้ำว่า หลวงตามหาบัวก็กล่าวบ่อยครั้งว่า
    "ปฏิบัติไปแล้วไม่มีอะไรมาก มีแต่ความยิบยับเล็กน้อยเท่านั้น"
    หมายความว่า
    "มีสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แต่จิตไม่ไปสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งนั้นคืออะไร
    จิตรู้เพียงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องดับไปทั้งหมด"

    พวกเราจำนวนมากในที่นี้ ก็เริ่มรู้ด้วยตนเองแล้วว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นมาให้จิตรู้นั้น
    เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป อารมณ์บางอย่าง เรารู้สมมุติว่าคืออะไร
    แต่อารมณ์บางอย่างไหวยิบยับขึ้นมา พอถูกรู้ก็ดับไปแล้ว เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟฉะนั้น

    เพียงฟังคำว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"
    ก็สมควรลงกราบ "ท่านเจ้าคุณนรฯ" ผู้ทรงคุณธรรมที่หาได้ยากยิ่ง

    ธรรมะที่แท้นั้น ท่านผู้ปฏิบัติถูกตรง ย่อมเข้าถึงธรรมอันเดียวกันนั้นเอง ไม่จำกัดว่าสายไหน
    พูดกันเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจกันได้แล้ว

    อนึ่ง "ธรรมที่เหนือคำพูดนั้น ดูดดื่ม ร่มเย็น แช่มชื่น
    และน่าฟังกว่าธรรมที่พูดได้แจ้วๆ อย่างเทียบกันไม่ได้เลย..."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2010
  17. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    อ่านข้อความของมอสแล้ว รู้สึกซาบซึ้งใจน่ะครับ ^^


    ...แต่ก่อนน่ะครับโจ๊ก ตั้มเคยอธิฐานอยากจะมีครูอาจารย์เก่งๆ น่ะ แล้วก็ได้มาเจอกระทู้นี้เข้า ทำให้ตั้มเริ่มสนใจในธรรมมะโดยเริ่มสนใจเพราะคิดว่ามันมีอิทธิฤทธิ์ อยากมีทธิฤทธิ์แบบอาอ้องบ้าง



    พอปฏิบัติมาได้เรื่อยๆ บุญกุศลที่เคยทำมา ก็ดลบันดาลให้ได้พบอาจารย์ดีๆ โดยจากหนังสือบาง ในเว็บบ้าง ที่เรียกว่า วิปัสสนา หนะครับ

    ความเข้าใจแต่ก่อนสำหรับตั้มคือ ธรรมมะนั้นยากเย็นแสนเข็ญนัก แต่พบได้รู้จักวิปัสสนา
    ธรรมมะไม่ได้ยากอะไรเลย ไม่ต้องหาครูอาจารย์ อย่างที่อาอ้องท่านว่า กาย ใจ เรานั้น แหละ คือครูบาอาจารย์

    ถ้าถามว่าพระไตรปิฏกมาจากไหน ก็มาจาก กายเป็นผู้เขียน ใจเป็นผู้สั่งนั่นแหละครับ

    ดูกายใจ ไปเรื่อยๆ แหละ ครับ สักวันนิพพานจะแจ้งเราเอง


    อนุโทนาในความตั้งใจของโจ๊กน่ะครับ ^^

    ตั้มครับ
     
  18. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาด้วยค่ะน้องวันชัย
    อ้างอิงจากหนังสือ"พระกรรมฐานกลางกรุง" ใช่มั้ยคะ
    รู้สึกว่าจับจิตกับคำๆนี้จริงๆ
    บางครั้งบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้
    แต่เป็นภาวะอันละเอียดปราณีตที่แว่บเข้ามา แล้วก็หายไป
    ( อธิบายถูกมั้ยคะ พี่อ้อง )
    สาธุ
    ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยทุกประการค่ะ
    กุ้ง
     
  19. 0+โจ๊ก+0

    0+โจ๊ก+0 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +68
    อนุโมทนาทุกท่านคับ
    ........................
    ขอบคุณน้าอ้องและตั้มคับ
     
  20. โค้วโซ

    โค้วโซ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +12
    ขอแนะนำตัวครับ

    ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวเองก่อนน่ะครับ (หลังจากที่เสียมารยาทแอบอ่านมาซะนาน)

    ผมชื่อ ปอม อายุ 31ปี ถ้างั้นขอเรียก คุณอ้องว่า อาอ้อง นะครับ

    และขอสวัสดี อาอ้อง,คุณตั้ม,คุณกุ้ง,คุณมอส,คุณวันชัย,คุณชัยมงคล,คุณหนุ่ยและเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม

    ผมเข้ามาอ่าน3-4เดือนแล้วครับเกือบจะทุกวันก็ว่าได้ มันทำให้ผมกลับมาปฏิบัติอีกครั้ง ผมเริ่มศึกษาตั้งแต่อายุ 17 ปี

    เพราะว่าต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้าน 3 เดือน ช่วงนั้นปลงครับ เกือบตาย ตอนผ่าตัดเห็นร่างตัวเองนอนอยู่ที่เตียง

    (เห็นตัวเองสีขาวเหมือนหมอกลอยอยู่) หมอก็กำลังผ่าขา รู้สึกกลัวตกใจ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนนางพยาบาลเรียกอ่ะงงๆว่าเราเป็นอะไร

    หลังจากที่หายดีแล้วก็ศึกษาด้วยตัวเองมาตลอด จากหนังสือบ้าง เทปบ้าง ทำๆหยุดๆ ถามว่ากลัวมั๊ย กลัวครับ

    ตอนที่จิตมันตกวูบลงไปเหมือนตกเหวแล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น กับตอนที่ร่างกายมันหายไป เหลือแต่หัว สุดท้ายก็หายไปหมด

    ไม่เหลืออะไรเลย ลมหายใจก็ไม่มี เหลือแต่ตัวผู้รู้ (ไม่รู้ว่าเรียกถูกไหม)มองไปทางไหนก็ขาวไปหมด

    แต่มันก็นานมาแล้วครับ ตอนนี้เริ่มใหม่ ไม่เห็นอะไรเลยตอนนั่งสมาธิมีแต่ตัวผู้รู้ เวทนา ร่างกาย ระหว่างวันก็ทำอย่างที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน

    คือมีสติคอยรู้กาย รู้ใจ ไปเรื่อยๆได้บ้างไม่ได้ ส่วนตอนนอนไม่ค่อยจะได้เรื่องสักเท่าไรอย่างมากก็เป็น ฌาณหลับซะมากกว่า

    แต่ก็ไม่บ่อยหลอกครับสงสัยจะไม่ค่อยถนัด พอแค่นี้ก่อนนะครับรู้สึกว่าจะยาวมากแล้วไม่เคยเขียนในกระทู้ยาวเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

    สุดท้ายนี้อยากจะขอคำแนะนำจาก อาอ้อง และเพื่อนๆทุกๆท่านด้วยครับ(เฮ้อ...ทำไมมันยาวจัง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...