พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    โมทนาสาธุ ครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ผมมาแจ้งให้กับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด และ สมาชิกคณะพระวังหน้า ทุกๆท่าน

    พระธาตุ หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า (ส่วนสมอง) ที่ผมได้มอบให้กับทุกๆท่านที่ไปงานและนำผอบไปด้วยนั้น ผมจะมอบอีกครั้งในวันงานใหญ่ปลายปีนี้

    จะเป็นงานใหญ่ของชมรมรักษ์พระวังหน้า คืองานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ , พระธาตุพระอรหันต์

    หากท่านใดที่พลาดจากการไปรับพระธาตุหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า (ส่วนสมอง) ในงานใหญ่ปลายปีนี้ ก็คงไม่ได้รับอีกแน่นอน เพราะผมจะถวายวัดทั้งหมดครับ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะมอบพระธาตุหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า (ส่วนสมอง) ให้ท่านละ 2 องค์เท่านั้นครับ

    แต่หากท่านได้มาร่วมงาน

    1.งานบุญล้างพระและบรรจุพระวังหน้าในกล่องสเตนเลส ในเดือนมิถุนายน 2553
    2.งานประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้า ในเดือนกรกฎาคม 2553
    3.งานประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้า ในเดือนกันยายน 2553
    และ 4.งานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ , พระธาตุพระอรหันต์ ในเดือนพฤศจิกายน 2553

    ครบทั้ง 4 งาน ผมจะมอบพระธาตุหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า (ส่วนสมอง) ให้มากกว่า 2 องค์แน่นอนครับ


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"กินปลาเนื้อเย็น"อาหารอายุวัฒนะจีนพันปีกับ "เมนูเปิบพิสดาร" 20 มื้อ / แม่ช้อยนางรำ
    Travel - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 พฤษภาคม 2553 15:51 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย : แม่ช้อยนางรำ



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> [​IMG]</TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"ปลาโก่ว" มีเฉพาะทะเลสาบเทวดาที่ "คานาสือ" </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"นี่คือ..การเดินทางไปสู่ "ประตูสวรรค์"
    นี่คือ..การเปิบอาหารพิสดารอายุวัฒนะ
    และนี่.. "คานาสือ" อุทยานสวยที่สุดของจีน"

    อีชั้น...กำลังจะเดินทางไป"คานาสือ" ดินแดนขึ้นชื่อที่สวยงามที่สุดในเมืองจีน

    "องค์การสหประชาชาติ" ยกย่องว่าเป็นสถานที่มนุษย์และธรรมชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมาตั้งแต่มีโลก

    ประเทศจีนก็ประกาศว่าเป็นอุทยานธรรมชาติ สวยระดับ5ดาว สวยที่สุดในเมืองจีน

    ใครที่เคยดูหนัง"อวตาร"ก็จงรู้ว่าเถิดว่า นี่คือจินตนาการของ"สปีลเบิร์ก" ฝันเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์

    สร้างสรรเป็นภาพสวย..สวยให้เราได้ชมกัน

    "คานาสือ"...เป็นบริเวณภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี มีลำธาร ทะเลสาป ป่าไม้และบรรยากาศของเมืองโบราณพันปี ของเทือกเขาที่คนจีนเรียกว่า"ภูเขาสวรรค์" (เทียนซาน)



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250> [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เป็นที่คนจีนเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นที่อยู่ของเซียนผู้วิเศษพำนักก่อนที่จะเดินทางขึ้นสู่สวรรค์

    จึงเรียกกันว่า"คานาสือ ประตูสวรรค์"

    และสำหรับนักเดินทางที่เชื่อกันมาเป็นเวลานับพันปีว่า บนภูเขาแห่งนี้มีอาหารอายุวัฒนะที่ผู้ใดได้กินก็จะมีอายุยืน ปราศจากโรคภัย

    "คานาสือ"
    อยู่มณฑลชินเจียง(ชินเกียง)
    ซินเจียง...เป็นมณฑลใหญ่ทางทิศตะวันตกของจีน
    มีเมือง"อูหลู่มูฉี่"เป็นเมืองหลวงเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อย
    จำนวนมากมายถึง 35 เผ่า เป็น
    มณฑลใหญ่ที่สุดของจีน(ใหญ่กว่าประเทศไทย3เท่า)ติดกับ
    มองโกเลีย รัสเซีย อัฟกานิสถานและอินเดีย"คานาสือ"
    เป็นดินแดนที่ได้รับการยกย่องว่า"ดินแดนบริสุทธิ์แห่งสุดท้าย
    ของโลก"

    อีชั้น...ตั้งใจจะเดินทางไป"ซินเจียง"มานานแล้ว สมัยหนึ่ง

    เมื่อสายการบิน"บางกอกแอร์เวย์"เปิดเส้นทางไปเมืองชีอาน

    นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เคยบอกกับอีชั้นว่า

    จะเปิดเส้นทางไปซินเจียง ดินแดนแห่งความฝันของนักเดินทางทั้งหลาย เพราะเป็นเส้นทางที่เรียกว่า"เส้นทางสายไหม" หรือ "ชิลค์โรด"(silk road)



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400> [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"มาร์โคโปโล"....เคยเดินทางจากยุโรปมาเมืองจีนบนเส้นทางสายนั้นและเขียนบันทึกความอัศจรรย์ใจ

    ที่เขาได้พบตลอดเส้นทาง ผู้ใดอ่านก็ต้อง...ตกตะลึงนึกไม่ถึงว่า นี่เป็นความจริง

    แล้วในที่สุด การรอคอยของอีชั้นก็ทำได้สำเร็จ
    ปลายเดือนนี้ (เริ่มตั้งแต่วันพฤหัสที่ 27 พฤษภาคม ไปจนถึงวันพฤหัสที่3มิถุนายน) อีชั้นจะเดินทางไปที่นั่น โดยเรียกเส้นทางนี้ว่า"คานาสือ ประตูสวรรค์"

    "คานาสือ"...คือความฝันบนเส้นทางสายไหม

    นอกจากความสวยงามของธรรมชาติบริสุทธิ์ และวัฒนธรรมของผู้คนเผ่าต่างๆมากมายซึ่งว่าไปแล้วแตกต่างไปจากชาวจีนหรือ "ชาวฮั่น" อย่างจะเอาเปรียบเทียบกันไม่ได้แล้ว

    อีกสิ่งหนึ่งที่ "คานาสือ" มีก็คืออาหารที่เชื่อว่าเป็นอยาอายุวัฒนะ ซึ่งจะมีอยู่บนภูเขาสูงเทียมเมฆและหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี

    อาหารเหล่านี้เป็นอาหารพื้นเมือง ประกอบจากบรรดาปลาแปลก..แปลกในทะเลสาปบนภูเขาและผัก ผลไม้รวมทั้งเห็ดสมุนไพรที่มีมากมาย

    ด้วยแบบฉบับ "ทัวร์เปิบพิสดาร"ที่อีชั้นเน้น อาหารอร่อย ที่พักสะดวกสบายและเดินทางปลอดภัยในราคาไม่แพง การเดินทางครั้งนี้อีชั้นเน้นเมนูอาหารอร่อยแปลก...แปลกถึง 20 มื้อ ให้ได้รับประทานกัน

    ...นี่คือความฝันนานเป็นสิบ....สิบปี ซึ่งตอนนี้จะเป็นความจริงของอีชั้นแล้ว สนใจที่จะเดินทางไปกับอีชั้น มะ...มาเรามาไปด้วยกัน นะ เจ้าค่ะ...พระเดชพระคุณ

    ********************************************************
    ********************************************************

    สอบถามรายละเอียดด่วนที่บริษัท "เอ้าท์ลุค ทราเวิล" โทรศัพท์ 0-2792-9277


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • manager1.jpg
      manager1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.8 KB
      เปิดดู:
      343
    • manager2.jpg
      manager2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.3 KB
      เปิดดู:
      312
    • manager3.jpg
      manager3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32 KB
      เปิดดู:
      367
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมมาแจ้งให้กับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด และ สมาชิกคณะพระวังหน้า ทุกๆท่าน

    พระธาตุ หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า (ส่วนสมอง) ที่ผมได้มอบให้กับทุกๆท่านที่ไปงานและนำผอบไปด้วยนั้น ผมจะมอบอีกครั้งในวันงานใหญ่ปลายปีนี้

    จะเป็นงานใหญ่ของชมรมรักษ์พระวังหน้า คืองานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ , พระธาตุพระอรหันต์

    หากท่านใดที่พลาดจากการไปรับพระธาตุหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า (ส่วนสมอง) ในงานใหญ่ปลายปีนี้ ก็คงไม่ได้รับอีกแน่นอน เพราะผมจะถวายวัดทั้งหมดครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    เมื่อวานนี้ มีท่านที่ไปงาน มีโชคดี

    หลังจากที่ท่านนี้กลับไปบ้าน แล้วโทร.กลับมาหาผม บอกผมว่า หลังจากที่อัญเชิญพระธาตุหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า (ส่วนสมอง) กลับไปที่บ้านแล้ว เขาถูกหวยครับ ได้เงินมาประมาณ 20,000 บาท ขอแสดงความยินดีด้วยครับ


    .
    .

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 21 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 17 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, jirautes, ladycrying, sook1311 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับคุณjirautes เดือนหน้าหากมาได้ ขอเชิญนะครับ ผมจะสอบถามวันที่จะมาสดวกกัน อีกครั้งทาง Email ครับ



    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จดทะเบียนซ้อนโดยสุจริต เรียกสิทธิอะไรคืนได้บ้าง?/มังกรซ่อนกาย
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 พฤษภาคม 2553 17:03 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เนื่องจากการจดทะเบียนสมรสในปัจจุบันสามารถทำได้ทุกอำเภอในต่างจังหวัดและทุกสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร ดังนั้นชายหรือหญิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมีการปกปิดความจริงเกี่ยวกับการที่ตนเองมีคู่สมรสแล้ว

    คือ ได้จดทะเบียนสมรสมาแล้ว แต่มิได้จดทะเบียนหย่ากับคู่สมรสเดิม กลับมาจดทะเบียนสมรสกับคนใหม่ การจดทะเบียนสมรสครั้งหลังนี้ถือได้ว่าเป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อน อันจะมีผลเป็นโมฆะและก่อให้เกิดความเสียหายกับคู่สมรสใหม่ที่ได้ตกลงจดทะเบียนสมรสด้วยโดยสุจริตซึ่งเขาเหล่านั้นจะมีสิทธิเรียกร้องสิ่งใดได้บ้างนั้น มีกรณีตัวอย่างให้พิจารณากันดังนี้

    นายตู่จดทะเบียนสมรสกับนางเต้นในปี 2535 อยู่กินด้วยกัน 2 ปี ที่กรุงเทพมหานคร แต่นางเต้นไม่อาจมีบุตรได้เนื่องจากปัญหาสุขภาพ นายตู่ไม่พอใจกับชีวิตครอบครัวเนื่องจากปัญหาดังกล่าว จึงขอย้ายตัวเองไปเป็นผู้จัดการ ในสำนักงานสาขาจังหวัดขอนแก่นของบริษัทที่ได้ทำงานอยู่เดิม นับแต่นายตู่ย้ายมาทำงานที่จังหวัดขอนแก่น นายตู่ไม่เคยกลับไปหานางเต้น และนางเต้นก็ไม่เคยมาหานายตู่ที่จังหวัดขอนแก่นเลย

    ต่อมาในปี 2542 ซึ่งผ่านมา 5 ปีนับแต่นายตู่ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น นายตู่ได้พบรักกับนางสาวสมหวัง ซึ่งเป็นข้าราชการครูคบหากันมาได้ 2 ปีนายตู่ได้ขอนางสาวสมหวังแต่งงาน โดยนายตู่และนางสาวสมหวังได้ไปตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานแล้ว แพทย์ยืนยันว่าทั้งสองสามารถมีบุตรได้โดยไม่มีปัญหาสุขภาพ นายตู่ดีใจมากจึงไปพบบิดามารดาของนางสาวสมหวังโดยตกลงที่จะซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ราคา 4,000,000 บาท มอบให้เป็นของหมั้นแก่นางสาวสมหวัง และจะให้นางสาวสมหวังลาออกจากการเป็นข้าราชการครูเพื่อเตรียมมีบุตรและเป็นแม่บ้านดูแลครอบครัวหลังแต่งงาน

    นางสาวสมหวังและบิดามารดาตกลงตามนั้น โดยนางสาวสมหวังไม่ทราบเลยว่านายตู่เคยสมรสแล้ว จึงมีการจัดพิธีสมรสระหว่าง นายตู่ และ นางสาวสมหวัง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งก่อนวันแต่งงาน นายตู่ได้ไปจัดการโอนบ้านและที่ดินราคา 4,000,000 บาทให้เป็นของหมั้นแก่นางสาวสมหวัง โดยในวันทำพิธีแต่งงาน นายตู่ได้นำ โฉนดที่ดินดังกล่าว พร้อมทองคำน้ำหนัก 10 บาท มอบให้กับนางสาวสมหวัง และมีการเชิญนายอำเภอมาในงานแต่งงานเพื่อเป็นสักขีพยานและทำการจดทะเบียนสมรสระหว่าง นายตู่ และ นางสาวสมหวัง ภายหลังจากเสร็จพิธีแต่งงานได้ 2 สัปดาห์ นางสมหวัง ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นข้าราชการครูที่เคยได้เงินเดือน เดือนละ 12,000 บาท เพื่อออกมาเตรียมมีบุตรและเป็นแม่บ้านให้นายตู่

    หลังจากนายตู่และนางสมหวังอยู่กินด้วยกันมาได้ 3 เดือน ข่าวการแต่งงานของนายตู่กับนางสมหวังได้ทราบถึงนางเต้น นางเต้นเกิดความไม่พอใจจึงเดินทางไปพบนางสมหวังและเล่าความจริงเกี่ยวกับการเป็นสามีภริยาระหว่างตนกับนายตู่ให้นางสมหวังฟัง โดยนางเต้นให้เหตุผลว่านายตู่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกันกับตนหลายแปลง แต่นายตู่ไม่ยอมแบ่งให้ตนเองจึงไม่ยอมจดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกับตน เพราะกลัวสูญเสียทรัพย์สินดังกล่าว

    ซึ่งนางสมหวังได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นางเต้นได้กล่าวทั้งหมด ปรากฏว่าเป็นความจริงนางสมหวังเสียใจมาก จึงฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างตนเองกับนายตู่ที่เป็นโมฆะและเรียกค่าเสียหายเป็นค่าทดแทนในชื่อเสียง และค่าเสียโอกาสจากการประกอบอาชีพที่ต้องลาออกจากการเป็นข้าราชการครู เป็นค่าทดแทนจำนวน 500,000 บาท และค่าเลี้ยงชีพต่อเดือน เดือนละ 12,000 บาท

    แต่นายตู่ให้การว่าตนเองไม่ได้อยู่กินกับนางเต้นมาเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปีแล้ว จึงเป็นเหตุหย่าขาดจากนางเต้นได้ ตนเองจึงมีสิทธิที่จะแต่งงานใหม่กับนางสมหวังได้ แต่ถ้านางสมหวังจะเพิกถอนการสมรสก็ให้คืนของหมั้นที่เป็นบ้านและที่ดิน ราคา 4,000,000 บาท และทองคำน้ำหนัก 10 บาท ที่ตนได้มอบให้นางสมหวังเป็นของหมั้นทั้งหมดด้วย ส่วนค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพตนไม่ต้องรับผิดชอบเพราะการสมรสเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย กรณีตามปัญหาดังกล่าวศาลจะพิจารณาคดีนี้อย่างไร

    ตามปัญหาแม้นายตู่กับนางเต้นจะมิได้อยู่ด้วยกันและมิได้ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันก็เป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา1516 (4) หรือ (6) ที่คู่สมรสอีกฝ่ายอาจนำมาฟ้องร้องได้เท่านั้น มิได้มีผลต่อความสมบูรณ์ของการสมรสระหว่าง นายตู่ และนางเต้น นางเต้นจึงยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตู่อยู่ตลอดมา

    เมื่อนางสมหวังมาจดทะเบียนสมรสกับนายตู่ขณะที่นายตู่มีนางเต้นเป็นคู่สมรสอยู่ จึงเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขการสมรสใน ป.พ.พ.มาตรา 1452 และเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 และเมื่อขณะที่นางสมหวังจดทะเบียนสมรสกับนายตู่นั้น นางสมหวังไม่ทราบว่านายตู่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางเต้นอยู่แล้ว นางสมหวังจึงเป็นผู้สมรสโดยสุจริต นางสมหวังฟ้องของให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสระหว่างนางสมหวังกับนายตู่เป็นโมฆะ

    ดังนั้นนางสมหวังจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพจากนายตู่ได้ตามป.พ.พ.มาตรา 1499 วรรคสาม และตามป.พ.พ.มาตรา 1499 วรรคสอง การสมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืน มาตรา 1452 (สมรสซ้อน) ซึ่งไม่ทำให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรส ก่อนที่ตนเองจะรู้ถึงเหตุที่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะนั้น (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 3192/2549, 3134/2530)

    สรุปได้ว่านางสมหวังสามารถฟ้องให้การสมรสระหว่างตนเองกับนายตู่เป็นโมฆะได้เพราะตนเองไม่รู้ว่านายตู่มีคู่สมรสอยู่ในขณะที่ตนเองจดทะเบียนสมรสกับนายตู่ จึงถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อนางสมหวังสุจริตในเวลาทำการสมรสกับนายตู่ นางสมหวังจึงไม่เสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรส คือ ของหมั้นที่เป็นบ้านและที่ดิน ราคา 4,000,000 บาทกับทองคำ น้ำหนัก 10 บาท ที่นายตู่มอบให้เป็นของหมั้นในวันแต่งงานนางสมหวังจึงไม่ต้องคืน

    และนางสมหวังยังมีสิทธิเรียกค่าทดแทนในความเสียหายแก่ชื่อเสียงเป็นตัวเงินได้เป็นจำนวนที่สมควรแก่ฐานานุรูป ซึ่งนางสมหวังคิดเป็นเงิน 500,000 บาทนั้น ศาลสามารถกำหนดให้ได้ตามสมควรอันเป็นดุลพินิจของศาล ส่วนค่าเลี้ยงชีพที่เรียกเป็นรายเดือนจำนวน 12,000 บาทต่อเดือนนั้น นางสมหวังก็มีสิทธิเรียกได้เพราะนางสมหวังต้องลาออกจากการเป็นข้าราชการครูที่มีเงินเดือนแน่นอนอันเนื่องมาจากการสมรสกับนายตู่ เพื่อออกมาเป็นแม่บ้าน นายตู่จึงต้องรับผิดชอบค่าเลี้ยงชีพต่อนางสมหวังเป็นรายเดือนด้วย ซึ่งจะเป็นจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับฐานานุรูปของผู้รับและความสามารถของผู้ให้ ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลเช่นกัน

    มังกรซ่อนกาย
    hiddendragon2552@gmail.com
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ใครในบ้านป่วยเบาหวาน รู้ก่อนรู้ทัน ลดเสี่ยงถูกตัดเท้า!
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 พฤษภาคม 2553 08:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจาก http://lisa.burdathailand</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เรื่อง "เท้า" เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้สำหรับใครในบ้านที่ป่วยเป็นเบาหวาน จนมีคำกล่าวว่า "ผู้ป่วยเบาหวานจะต้องรักษาความสะอาดของเท้ายิ่งกว่าใบหน้า" เป็นการสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการดูแลเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย ซึ่งพบว่าร้อยละ 15 ของผู้ป่วยเบาหวานจะเกิดแผลที่เท้า ซึ่งแผลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย บางรายมีอาการติดเชื้อร่วมด้วย เมื่อได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง จะทำให้แผลลุกลามจนต้องถูกตัดเท้า หรือขา ซึ่งพบได้สูงถึง 15-40 เท่าของคนในบ้านที่ไม่เป็นเบาหวาน

    อย่างไรก็ตาม การรักษาแผลที่เท้าด้วยการตัดเท้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ปลอดภัยเสมอไป เพราะผู้ป่วยร้อยละ 3-7 เสียชีวิตจากการผ่าตัด ส่วนผู้ที่ไม่เสียชีวิตจะเกิดปัญหาต่างๆ จากการผ่าตัดถึงร้อยละ 36 ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดแผล จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การป้องกันทำได้ง่าย โดยการดูแลสุขภาพเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ลดหรือขจัดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดแผลให้หมดไป หรือให้เหลือน้อยที่สุด

    ข้อมูลข้างต้น ทีมงาน Life and Family ได้มีโอกาสพาญาติผู้ใหญ่ในบ้านที่ป่วยเป็นเบาหวาน (คุณยายของผู้เขียน) ไปร่วมกิจกรรมเข้าค่ายเบาหวานที่โรงพยาบาลบางพลี จ.สมุทรปราการในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จึงไม่พลาดที่จะนำความรู้ที่ได้จากค่าย มาฝากทุกบ้านที่มีผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งนี้เพื่อให้รู้จักรักษาตัวเองไม่ให้เกิดแผล โดยเฉพาะแผลที่เท้า มีข้อปฏิบัติในการดูแลสุขภาพเท้าของผู้ป่วยเบาหวานดังต่อไปนี้

    รู้ก่อนรู้ทันเรื่อง "เท้า" ลดเสี่ยงตัดขา!

    - เริ่มจากล้างเท้าด้วยน้ำธรรมดา และสบู่อ่อนๆ ทุกวันหลังอาบน้ำ ไม่ควรใช้แปรง หรือขนแข็งขัดเท้า

    - ซับเท้าให้แห้งด้วยผ้าที่สะอาด และนุ่ม เช่น ผ้าขนหนู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณซอกนิ้วเท้า

    - สำรวจเท้าด้วยตนเองทุกวัน ว่ามีอาการบวม ปวด มีแผล รอยช้ำ ผิวเปลี่ยนสี หรือเม็ดพองหรือไม่ โดยตรวจทั่วทั้งฝ่าเท้า ส้นเท้า (ถ้ามองเห็นไม่สะดวกอาจใช้กระจกส่อง) ซอกระหว่างนิ้วเท้า และรอยเล็บเท้า เมื่อพบความปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

    - ถ้าผิวแห้ง อาจทำให้คัน เกิดการเกา รอยแตก และติดเชื้อได้ง่าย วิธีที่ดีที่สุด ให้ทาครีมบางๆ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยเว้นบริเวณซอกนิ้วเท้า เพื่อป้องกันการหมักหมม ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

    - ถ้าผิวหนังชื้น เหงื่อออกง่าย หลังเช็ดเท้าให้แห้งแล้ว ควรใช้แป้งฝุ่นโรย

    - ใส่ถุงเท้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายนุ่ม ไม่ใช่ถุงเท้าไนลอน หรือถุงเท้าที่รัดมาก เปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน และควรใส่ถุงเท้าทุกครั้งที่สวมรองเท้า

    - สวมรองเท้า หรือรองเท้าแตะตลอดเวลา ทั้งใน และนอกบ้าน (รองเท้าเฉพาะสำหรับเดินในบ้าน)

    - สวมรองเท้าที่เหมาะสม เช่น หุ้มส้น ไม่ใส่ส้นสูง โดยดูที่ขนาดพอดี ไม่คับ หรือหลวมเกินไป เมื่อยืนควรมีระยะห่างระหว่างรองเท้า และปลายนิ้วเท้าที่ยาวที่สุดประมาณครึ่งนิ้ว และมีความกว้างที่สุด คือบริเวณปุ่มกระดูกด้านข้างของนิ้วหัวแม่เท้า (โคนของนิ้ว) มีส่วนหัวที่ป้านสูงพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วเท้า และหลังเท้าเสียดสีกับรองเท้า

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.fleetfeetnashville.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นอกจากนี้ วัสดุที่ใช้ทำรองเท้าควรมีลักษณะนิ่ม มีส่วนรองเท้าเป็นแผ่นรองรับแรงกระแทกภายใน เช่น รองเท้ากีฬาจะช่วยลดแรงกดที่ฝ่าเท้าได้ดี ผู้ป่วยเบาหวานบางราย อาจต้องใช้รองเท้าที่มีความลึก และกว้างเป็นพิเศษ เพื่อจะได้ใส่แผ่นซับน้ำหนัก ที่สั่งตัดขึ้นมาให้เหมาะสมกับฝ่าเท้าของผู้ป่วยแต่ละราย

    สำหรับในรายที่ฝ่าเท้าผิดรูปมาก ควรใส่รองเท้าที่ตัดขึ้นโดยเฉพาะ ส่วนรองเท้าชนิดผูกเชือก จะปรับได้ง่าย เวลาขยายเท้า ไม่ควรใส่รองเท้าแตะชนิดมีที่คีบที่ง่ามนิ้วเท้า อย่างไรก็ดี การเลือกซื้อรองเท้า ควรเลือกซื้อในช่วงบ่าย หรือเย็น เพื่อไม่ให้ซื้อรองเท้าที่คับเกินไป และเมื่อใส่รองเท้าคู่ใหม่ ควรใส่เพียงละ 1/2-1 ชม. แล้วเปลี่ยนเป็นคู่เก่าสลับก่อนสัก 3-5 วัน เพื่อป้องกันรองเท้ากัด ที่สำคัญควรสังเกตรอยแตก หรือตุ่มพองก่อนทุกครั้งหลังใส่รองเท้าคู่ใหม่

    - ก่อนใส่รองเท้า ควรตรวจดูก่อนว่า มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในรองเท้าหรือไม่ ถ้ามีให้เอาออก

    - การตัดเล็บ ให้ใช้ที่ตัดเล็บตัดตรงๆ เสมอปลายนิ้ว อย่าตัดเล็บโค้งเข้าจมูกเล็บ หรือตัดลึกมา เพราะจะเกิดแผลได้ง่าย ถ้ามีเล็บขบต้องปรึกษาแพทย์ทันที ขณะเดียวกัน ไม่ควรใช้วัตถุแข็งแคะซอกเล็บ และการตัดเล็บควรทำหลังล้างเท้า หรืออาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บจะอ่อน และตัดง่าย

    - ไม่ควรแช่เท้าก่อนตัดเล็บ เพราะผิวหนังรอบเล็บอาจเปื่อย และเกิดแผลขณะตัด

    - ถ้าสายตามองเห็นไม่ชัด ควรให้ผู้อื่นตัดเล็บให้ เช่น วานให้ลูกหลายช่วยตัด

    - ในการใช้ตะไบเล็บเท้าที่หนาผิดปกติ ให้ตะไบไปทางเดียวกันไม่ควรย้อนไปมา เพื่อป้องกันการเสียดสีผิวหนังรอบเล็บ

    - ถ้ามีผิวหนังที่หนา หรือตาปลา ควรได้รับการตัดให้บางๆ ทุก 6-8 สัปดาห์ โดยแพทย์ผู้ชำนาญ

    สรุปแล้ว ข้อหลักๆ ที่ห้ามปฏิบัติคือ ห้ามแช่เท้าในน้ำร้อนโดยเด็ดขาด ห้ามเอากระเป๋าน้ำร้อนมาวางไว้บนเท้าหรือขา ไม่ควรเดินเท้าเปล่า แม้เมื่ออยู่ในบ้าน ห้ามตัดตาปลา ลอกตาปลา หรือใช้ยาจี้หูดด้วยตนเอง และไม่ควรนั่งไขว่ห้าง อาจทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่สะดวก

    Take Care ตัวเองเมื่อเกิด "แผล" ที่เท้า

    - ถ้าแผลเล็กน้อย เป็นตุ่มพอง หรือแผลถลอก รักษาให้สะอาด แผลสดทำความสะอาดด้วยน้ำต้มสุกที่ทิ้งไว้จนเย็น และสบู่อ่อนๆ จากนั้นซับให้แห้ง ทายาฆ่าเชื้อโรคที่ไม่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ เช่น น้ำยาเบตาดีน ยาเหลือง หรือยาปฏิชีวนะที่เป็นครีมเช็ดจากแผลวนออกมารอบแผล โดยไม่ต้องเช็ดซ้ำที่เดิม หลีกเลี่ยงการใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ปิดแผลด้วยผ้าก็อชสะอาด ตรวจดูแผลทุกวันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ ถ้าแผลไม่ดีขึ้น มีการอักเสบ ปวด บวมแดง จับดูร้อน หรือมีไข้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที

    - ถ้าแผลยังไม่หายดี อย่าเดินไปเดินมา การเดินจะทำให้เท้ารับน้ำหนักตัว ปากแผลก็จะเปิด ทำให้แผลหายช้า ดังนั้นให้นอนพัก หรือนั่งบนเก้าอี้รถเข็น หรือใช้ไม้พยุงตัว อย่ายืน เพราะจะทำให้แผลหายยาก ในกรณีที่ต้องการออกกำลังกาย เลือกชนิดที่ไม่ต้องลงน้ำหนัก แต่เป็นการออกกำลังกายด้วยแขนแทน

    - ถ้าแผลใหญ่ อักเสบมาก ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรก ไม่ควรรักษาเอง

    เห็นได้ว่า คนในบ้านที่ป่วยเป็นเบาหวาน และเกิดแผลที่เท้า สามารถป้องกันได้ โดยการดูแลเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เลือกใส่รองเท้าที่เหมาะสม ควบคุมเบาหวานที่ดี และพบแพทย์เป็นระยะ โดยเฉพาะผู้สูงวัยบางท่าน อาจเดินทางไปหาคุณหมอไม่สะดวก ลูกหลาน คือผู้ช่วยสำคัญในการพาไปพบแพทย์ตามนัด นั่นจะช่วยลดอัตราการตัดเท้าได้ถึงร้อยละ 44-85 เมื่อติดตามผู้ป่วยเป็นระยะเวลา 2-4 ปี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    หา...เกรงว่า หัวใจผมจะวายก่อนได้รับข้อความนะครับพี่

    โมทนาสาธุครับ
     
  10. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    สวัสดีตอนดึกครับ วันนี้ไม่ได้เข้า office และ online เลย เนื่องจากพายุเข้า ไฟดับ ต้นไม้ล้มทับเสาไฟฟ้าไปหลายจุดมากๆ

    สำหรับวันนี้ก่อนเที่ยง ผมได้เตรียมพระบรมฯ พระพุทธเจ้า 8 สัณฐาน พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธาตุพระอัญญาโกณฑัญญะ พระโมคคัลลนะ พระสารีบุตร และพระมหากัสสปะ พร้อมพระพิมพ์อีกราว 100 องค์ รวม 10 ชุด มอบให้พี่เขยอัญเชิญกลับไปยังกรุงเทพฯ เพื่อมอบต่อให้ญาติทาง จ.ร้อยเอ็ด อัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดต่างๆทางภาคอิสาน

    พร้อมกันนี้ก็ได้มอบกล่องสแตนเลสบรรจุพระบูชากับพิมพ์วังหน้า ส่งกลับไปยังกรุงเทพฯ แล้วส่งต่อไปรอผมเดินทางไปถวายเองที่วัดแห่งหนึ่ง(กำลังพิจารณา)ใน จ.ร้อยเอ็ดหรือใกล้เคียง เพื่อบรรจุกรุต่อไป
    - ผมได้ถวายวัดทางภาคเหนือเพื่อบรรจุไป 3 กล่องแล้ว กล่องที่ 4-5 คือชุดล่าสุดที่รับมาเมื่อวานนี้ครับ
    - พระบูชาหลวงปู่พระอุปคุต จะอัญเชิญไปถวายยังวัดถ้ำอินทนิลนะครับ (ทำไมรู้นะว่าผมอยากได้พระบูชาหลวงปู่พระอุปคุตเพิ่มเติม หุหุ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1140501.jpg
      P1140501.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.9 KB
      เปิดดู:
      105
    • P1140502.jpg
      P1140502.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.7 KB
      เปิดดู:
      103
    • P1140503.jpg
      P1140503.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.7 KB
      เปิดดู:
      104
    • P1140504.jpg
      P1140504.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.4 KB
      เปิดดู:
      96
    • P1140505.jpg
      P1140505.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.7 KB
      เปิดดู:
      96
    • P1140506.jpg
      P1140506.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.5 KB
      เปิดดู:
      98
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2010
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    น้องpsombat พี่จะส่งข้อความที่เบื้องบนสั่งมา ให้เรานะครับ

    สำหรับ "เบื้องบน" นั้น พี่เข้าใจว่า น่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กกุสันโธ สั่งมาครับ


    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    พี่จะบอกว่า ขอให้คณะเราทำดีไว้ครับ เบื้องบนท่านรู้ ท่านเห็นว่า คณะเราทำอะไร เพื่ออะไร ดังนั้นต้องทำดีให้มากๆ ใช้สติปัญญาตามแนวทางพุทธ ในการพิจารณาในเรื่องต่างๆให้มากๆ

    ใครทำใครได้ ใครกินใครอิ่ม
    "บุญ" เป็นสิ่งที่เราทำดีแล้ว ไม่มีใครที่สามารถแย่งจากเราไปได้
    เช่นเดียวกัน
    "กรรม" ก็เป็นสิ่งที่เราทำแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถแย่งเราไปได้เช่นกัน

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่ท่านเลือกเองครับ
    หน้าที่ของพี่ คือทำตามที่หลวงปู่ท่านประสงค์

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุข สนุกไฉน
    เจ้ามามือเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไร เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา
    ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
    ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ

    "สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี"

    [​IMG]

    [​IMG]

    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

    "ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่ว ย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
    บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

    "จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่ วยเจ้าไม่ได้....
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เล ยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี
    ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไป แล้วเมื่อ 100 กว่าปี
    อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน น้องchantasakuldecha

    วันนี้ พี่ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กกุสันโธ , พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม โกนาคมน , พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กัสสปะ , พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม มาเพื่อให้เราอัญเชิญไปถวายวัดแล้วนะครับ

    ส่วนจะเป็นของพระองค์ไหน สัณฐานอย่างไร พี่จะโทร.บอกอีกครั้งนะครับ

    มาโมทนาบุญร่วมกันกับคณะกองทุนหาพระถวายวัดครับ

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อปานใช้หนี้สงฆ์

    [​IMG]

    ต่อไปจะมาเล่าเรื่องใช้หนี้สงฆ์ให้ฟัง เรื่องใช้หนี้สงฆ์น่ะสมัยนี้หาฟังกันยากเหลือเกิน พระขนาดไหนก็ตามไม่ค่อยจะมีใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ใครพูดให้ฟังก็ไม่เคยฟัง ได้ฟังอยู่สำนักเดียวคือหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปานนี่พูดทุกปีทำทุกปี พอถึง ๑ ปี



    คือขึ้นต้นปีใหม่ เข้าพรรษาใหม่ ๆ ท่านประกาศขอซื้อของสงฆ์ คำว่าซื้อของสงฆ์นี่ท่านซื้อไม่ไผ่ ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัด ในสมัยนั้นค่าของเงินสูง ท่านขอซื้อปีละ ๑๐๐ บาท ก็ซื้อไม้ทั้งหมด ซื้อผลไม้ทั้งหมด ซื้อดอกไม้ทั้งหมดปีละ ๑๐๐ บาท ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในงานก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ แล้วต่อแต่นั้นไปท่านชวนพระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้เหมือนกัน



    มาว่ากันถึงการซื้อของสงฆ์ก่อน บรรดาลูกหลานทั้งหลาย หาที่ฟังยาก คือว่ามีโอกาสได้ฟังยาก ไอ้เรื่องการซื้อของสงฆ์หรือว่าการชำระหนี้สงฆ์ เวลานี้ฉันกำลังสร้างกุฏิชำระหนี้สงฆ์อยู่ เพราะรื้อกุฏิของสงฆ์ไป ๒ หลัง ฉันสร้างให้หลังเดียว แต่ว่าคุณค่า มีความคงทนดีกว่า การอยู่อาศัยได้สบายกว่า ๒ หลังที่รื้อไปพระอยู่ได้ ๕ องค์ยังลำบากเพราะห้องแคบ ฉันสร้างให้หลังเดียวเป็นกุฏิตึก อยู่ได้ ๖ องค์แบบสบาย ห้องกว้างกว่า แล้วก็มีศาลาดินเป็นเฉลียงข้างหน้า นั่งพักเล่นสบาย แถมส้วมให้อีก ๔ ห้อง บริเวณทั้งหมดเทพื้นคอนกรีตให้พระเดินสบาย ตั้งน้ำประปาเข้าไว้ให้พระใช้สบาย



    แสดงว่าฉันทำมามากกว่าของเก่า ดีกว่าของเก่าเป็นการชำระหนี้ ลูกหลานอาจจะสงสัยว่ากุฏิพระ พระรื้อ ทำไมต้องชำระหนี้ ก็ขอบอกว่า ทรัพย์สินที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่ได้สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะมาถือสิทธิว่าเป็นของฉัน จะเป็นสมภารองค์ไหน สมเด็จองค์ไหน เจ้าคณะองค์ไหน พระสังฆราชองค์ไหนก็ตาม จะมาชี้ว่าสมบัติของสงฆ์ที่เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว นี่ลงนรกหมด ลุงพุฒิไม่ยอมแน่ ใช่ไหมลุงพุฒิ ลุงพุฒิหันมายิ้ม บอกว่า ว่าเสียหลายรายการแล้ว รายการที่มีตำแหน่งใหญ่ ๆ ที่ไม่เคารพสิทธิในสงฆ์นั่นแหละ ว่าเสียหลายรายการแล้ว เอาเสียเยอะ เยอะเพราะเผลอคิดว่าโตแล้วทางนรกจะเว้น เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก ลุงพุฒิน่ะแกชอบกับฉันมาก สมัยเป็นมนุษย์เรียกว่าเป็นเพื่อนกันเลยก็ได้ แล้วเป็นเกี่ยววันพันดองกัน เคยล้อเคยเล่นกัน



    แกยังบอกว่าการเว้นในเรื่องกฎของกรรมนี้ไม่มี ถ้าว่าฉันไม่ดี แกก็เข็นเอาลงนรกเหมือนกัน ยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่า ใช่ นั่นถูกแล้ว เรื่องกฎของกรรมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว กฎของกรรมก็กฎของกรรม


    หลวงพ่อปานซื้อของสงฆ์ เพราะของเหล่านี้มันอยู่ในวัด ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงเราจะคิดกันอย่างเรา ๆ ก็คิดว่าท่านควรมีสิทธิ์ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้ยังไงก็ได้ แต่ทว่าตามพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ์ ของในวัด ถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้ ถึงเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าหากว่าเจ้าของยังบวชอยู่ มีอำนาจให้ใครได้ กินเองได้ ถ้าว่าเขาตาย เขาสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาท กินใช้เองน่ะไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เหมือนของหลวง



    เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์กัน สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติ ว่าเราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่าพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัดก็เถอะ ไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ในวัดจะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้ จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้ หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามาใช้เอามากินเป็นส่วนตัวโดยสงฆ์ไม่ลงมติอนุมัติ อย่างนี้มีโทษขั้นไหนลุงพุฒิ อเวจีมหานรก แกร้องบอกมาว่า อเวจีมหานรก ฟังไว้ให้ดีนะลูกหลานที่รักนะ หลวงพ่อปานซื้อ ซื้อแบบไหน ท่านบอกว่า ต้นไม้ก็ดี ต้นเล็ก ๆ ไม่ใช่โค่นต้นใหญ่ เช่น ไม้ลำหรือว่าหน่อไม้บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นส่วนเล็กส่วนน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม ถ้ามีใครจะเด็ดเอาไปดม เอาไปบูชาพระ จะเอาไปกินเอาหน่อไม้ไปกิน เป็นบางส่วนหรือลำไม้บ้าง มีคนมาลักไม้บ่อย ๆ ที่หลังวัด เขาเคยมาตัดลำไม้บ่อย ๆ สมัยนั้นมีกอไผ่มาก



    ท่านบอกว่าส่วนเล็กน้อยประเภทนี้ฉันของซื้อ ขอซื้อสงฆ์ด้วยจำนวน ๑๐๐ บาท เพื่อเป็นการป้องกันโทษของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง ผลไม้ที่มีอยู่เยอะ ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจ เพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว พอท่านซื้อท่านก็ให้สิทธิ์ ท่านอนุญาต ว่าพวกเธอน่ะ อยากจะฉันมะม่วง อยากจะฉันฝรั่ง อยากจะฉันอะไรก็ตาม นิมนต์ตามสบาย ฉันซื้อแล้ว ฉันซื้อสงฆ์แล้ว นี่ท่านซื้อเพื่อกันพวกฉันนะ กันพวกเด็ก ๆ หรือว่ากันคนอื่นเลว


    เรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถึงวันเข้าพรรษาคนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศแก่คนทุกคนว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหน เรียกว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็มี หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงก็ตาม หรือวัดที่มีพระก็ตาม เราจะไปนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ ๗ มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด แต่ว่าวัดก็เป็นวัดร้าง ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้างแค่นี้นา แค่นี้ตกนรกขุมที่ ๗ ไม่มีเจตนาโกง ซื้อต่อจากคนอื่นเขา แต่เขาก็ไม่ให้อภัย เรื่องนี้เป็นของยากนะ จะถือว่ามันไม่ผิดกฎหมายผิดอะไรฉันไม่รู้หรอก สำนักพญายมเขาไม่เกี่ยวนะ กฎหมายกฎระเบียบอะไรที่ชาวโลกมีกิเลสสร้างขึ้นน่ะ เขาไม่เกี่ยว ท่านก็บอกว่าคนเราทั้งหมดนี่นะจะรู้ได้ยังไง ไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของเอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมันมาจากวัดก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมดแม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษเอาของสงฆ์หนักมาก เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี



    แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไร เท่าไรก็ตามเอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตามหรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตามวัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ คือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลายชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก เพราะว่าเรื่องสงฆ์นี่นะลำบากมาก


    มีเรื่องเล่ามาในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระพุทธ กัสสป น่ากลัวจะไม่ใช่ซี เป็นสมัยพระวิปัสสีทศพลโน่น สมัยพระวิปัสสีนั่นมีพระอยู่ ๔ องค์ เวลานั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา ข้าวที่จะกินเข้าไม่พอ ข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้วก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน คิดในใจว่าถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระ ๔ องค์นั่นตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วตกนรกบริวาร ผ่านมา ๔ ขุม แล้วยมโลกีย์นรกอีก ๑๐ ขุม มาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น ๑๒ ระดับ ระดับที่ ๑ ถึงระดับที่ ๑๑ ไม่มีโอกาสที่จะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ให้ ระดับที่ ๑๒ ที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ตอนนั้นมีโอกาส ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ ๑ ถึง ๑๑ ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ถามท่านว่าเมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไป น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกินวิ่งเข้าไปก็ปรากฏว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ



    พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้วก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าทำบุญกรวดน้ำกันได้ผล เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ก็เดือดร้อน กลางคืนเข้ามาในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมาพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี้ดกร้าด ๆ ตามในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยินพระพุทธเจ้าข้า ก็เล่าความนั้นให้ทราบ



    พระพุทธเจ้าตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมดไปฉันอาหาร ในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จก่อน จะโมทนาพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ ใช้คำว่า อิทัง โน ญาตินัง โหตุ แปลเป็นความว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้ละนะ กรวดน้ำครั้งแรก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อโมทนาแล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตายไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน ก็เดือดร้อน



    ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยว่าจะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าให้หรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวย ผ้าไม่มี พระเจ้าพิมพิสารถามว่า ทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น แต่พอได้เครื่องประดับแล้วเทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็เลยไม่รบกวนอีก นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะ ว่ามีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืมจะมีโทษขนาดไหน


    เอาละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี

    ที่มา http://palungjit.org/threads/หลวงพ่อปานใช้หนี้สงฆ์.239645/<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pan.jpg
      pan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.5 KB
      เปิดดู:
      144
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...