พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คิดถึงท่านโดจิมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เจอกันแล้วขอหอมแก้มด้วยน๊ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เทิด “ในหลวง” ครูแห่งแผ่นดิน “ดร.สุเมธ” แนะแม่พิมพ์ยึดแนวพระราชดำริสอนศิษย์
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 มิถุนายน 2553 14:12 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> “ดร.สุเมธ” เทิด “ในหลวง” ครูแห่งแผ่นดิน ทรงสอนความรู้นอกตำรา ใกล้ชิดธรรมชาติ รู้จักชีวิต ฝากครูถอดบทเรียนจากแนวพระราชดำริสอนศิษย์ เผยแม้ประทับ รพ.ศิริราช แต่ยังทรงงานหนักทุกวัน ติงคนไทยปากบอกรัก ศรัทธา แต่ไม่นำคำสอนมาปฏิบัติ วอน “กตัญญู” ตอบแทนแผ่นดิน


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=266 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=266>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วันนี้ (4 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.15 น.ที่อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดบรรยายพิเศษเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนาคนไทยที่สมบูรณ์แบบ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในปีที่ 60 แห่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และสืบสานปณิธานด้านการศึกษา โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายพิเศษเรื่อง “ความเป็นครูในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน ซึ่งเท่าที่ตนได้ถวายงานมากว่า 30 ปีพระองค์ทรงสอนให้รู้จักและใกล้ชิดกับดิน น้ำ ลม ไฟ และชีวิต ถือเป็นบทเรียนที่ไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งใดจะสอนได้ครบ เป็นสิ่งที่อยู่นอกตำราและอยู่นอกห้องเรียนทั้งสิ้น พระองค์จะทรงทำให้ดูก่อนในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ โครงการ โดยผ่านการทดลองภายในวังเพื่อให้เป็นที่พอใจก่อนจึงจะนำมาแสดงให้ดู พระองค์ทรงเป็นครูที่พยายามจูงใจผู้เรียนให้มาสนใจเองโดยไม่ใช้วิธีการบังคับ และเมื่อพระองค์ทรงสอนอะไรแม้จะสอนเพียงแค่เรื่องเดียว แต่คำอธิบายที่ได้รับกลับออกมาถึง 10 อย่าง ซึ่งพระองค์ทรงหวังให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทุกแง่มุม

    “หลายปีที่ผ่านมาจากที่พระองค์ทรงติดตามสภาพภูมิอากาศทำให้ทรงทราบว่า น้ำเหนือกำลังจะไหลท่วมมายัง กทม.ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีหน่วยงานใดที่รับทราบถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น ถึงแม้ว้าพระองค์ทรงรู้แต่ก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งการตรงไปยังส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทันที ดังนั้น จึงทรงใช้อุบายโดยเรียกผู้เกี่ยวข้องมาประชุม พร้อมทั้งออกอากาศเป็นข่าวทางโทรทัศน์ ซึ่งพระองค์จะทรงถาม และเสนอแนวทางแก้ปัญหาโดยเป็นการสอนทางอ้อมให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่าอันตรายกำลังจะมาถึงซึ่งทุกฝ่ายก็รับที่จะไปปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม ขณะที่พระองค์ทรงประทับอยู่ที่ รพ.ศิริราช แต่พระองค์ได้ทรงติดตามงานในทุกเรื่อง และทุกด้านทุกวัน ซึ่งครั้งใดที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯลงพื้นที่ก็จะนำผลกลับมาถวายรายงานต่อพระองค์ โดยจะทรงมีรับสั่งแนะนำตลอด ส่วนงานอื่นๆ ก็จะใช้ไอทีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการติดตามงาน และเรียกข้อมูลมาดูได้ตลอดเวลา” ดร.สุเมธ กล่าว

    ดร.สุเมธ กล่าวต่อว่า ขณะนี้คนไทยเป็นทาสคำว่าสากลจนลืมคำว่า ภูมิปัญญาของไทย ซึ่งพระองค์ทรงสอนอยู่เสมอว่า การจะไปทำโครงการหรือกิจกรรมในพื้นที่ใด ควรให้ความเคารพกับคำว่าภูมิสังคม โดยต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติของสถานที่นั้นๆ รวมทั้งต้องรู้จักเคารพผู้คน ดูความต้องการ และความพร้อมของคนในพื้นที่นั้นๆ ไม่ใช่ยัดเยียดโครงการต่างๆ ให้หรือบังคับให้ทำเหมือนกันทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาพระองค์เคยมีพระราชกระแสรับสั่งที่เกี่ยวกับครูว่า ประเทศชาติจะเจริญหรือเสื่อมลงนั้นขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนเป็นสำคัญ

    ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่า พระองค์ทรงทำโครงการต่างๆ ขึ้นมามากมาย แต่น่าเสียดายที่คนไทยมองแค่จำนวนโครงการที่มีมากกว่า 3 พันโครงการ ซึ่งหากหยุดสนใจเรื่องจำนวน และหันมาศึกษาลักษณะโครงการที่พระองค์ทรงทำขึ้น ว่าทำเพื่ออะไร เกิดประโยชน์กับประเทศชาติอย่างไรจะดีกว่า ซึ่งครูในปัจจุบันสามารถนำแนวทางโครงการตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่างๆ มาถอดเป็นบทเรียนเพื่อใช้ได้แทบทุกวิชา นอกจากนี้ ยังรู้สึกเสียดายที่คนไทยชอบเห็นพระองค์ ชอบชื่นชม และศรัทธาในพระองค์ แต่ทุกคนกลับไม่เคยมอง และไม่เคยฟังพระองค์เลย ซึ่งหากถามว่าพระองค์ทรงสอนอะไรบ้างก็ไม่มีใครตอบได้ ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสทุกวันที่ 4 ธ.ค.ที่ทุกคนต่างตั้งรอฟังพระราชดำรัสจากพระองค์ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นมา 1 สัปดาห์ หากย้อนถามกลับไปว่าพระองค์ทรงรับสั่งเรื่องอะไรบ้าง กลับไม่มีใครตอบได้ ถ้ามีก็ถือว่าน้อยมาก

    ดร.สุเมธ กล่าวด้วยว่า ขอฝากประโยคที่ตนได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันแรกที่เข้าถวายงาน โดยพระองค์มีพระราชดำรัสว่า “ขอขอบใจที่จะมาช่วยงานฉัน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ามาช่วยงานฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น” ดังนั้น ในฐานะที่เป็นพสกนิกรชาวไทย จึงขอให้ทุกคนทำประโยชน์ร่วมกับพระองค์ เพื่อความสุขของประเทศชาติที่จะมีร่วมกัน นอกจากนี้ตนขอฝากให้ทุกคนให้ความสำคัญกับคำว่า กตัญญู ให้มาก โดยเบื้องต้นต้องกตัญญูต่อแผ่นดิน เพราะหากไม่มีแผ่นดิน ก็อยู่ไม่ได้ จึงต้องกตัญญูต่อประเทศชาติ รักประเทศชาติ อย่าทำลาย พยายามช่วยกันรักษา สงวน ส่งเสริม และพัฒนาประเทศให้อยู่ในสภาพที่ดีต่อไป

    “ปัจจุบันคนไทยไม่รักษาบ้านเมือง เช่น โค่นต้นไม้ใหญ่ คำนึงแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ซึ่งสุดท้ายจะถูกกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง ดังนั้นกตัญญูจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากทุกคนขาดสิ่งนี้ ประเทศชาติก็คงอยู่ไม่ได้ เราจึงต้องช่วยกันทำ” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าว</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันสิ่งแวดล้อมโลก กับ วิกฤติน้ำแล้ง - ขาดแคลนอาหาร

    http://hilight.kapook.com/view/49297


    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2252168419307880";/* 468x60, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 6/3/10 */google_ad_slot = "8942115715";google_ad_width = 468;google_ad_height = 60;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>
    [​IMG]
    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    วันสิ่งแวดล้อมโลก (5 มิ.ย.) นักวิชาการแห่เตือน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม น้ำแล้ง ขาดแคลนอาหารการกิน

    เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ศ.ดร.วิสุทธิ์ ใบไม้ ผอ.โครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (Biodiversity Research and Training Program) ออกมากล่าวถึงสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้ว่า สิ่งแวดล้อมในประเทศไทยน่าเป็นห่วง เพราะยังบริหารจัดการได้ไม่ดีพอ ยิ่งหากเทียบกับสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอย่างประเทศไทย แต่กลับจัดการได้ดีกว่า อีกทั้งการขยายถนนที่เขาใหญ่ ก็แสดงให้เห็นว่าวิธีคิดของคนไทยยังขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

    ด้าน ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ รองผอ.สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัญหาเรื่องโลกร้อนคือวิกฤติใหญ่ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทั้งเรื่องการเกษตร รวมไปถึงอาหารการกิน ยกตัวอย่างเช่น ฝนตกล่าช้า ทำให้อาหารออกผลผลิตผิดฤดู เป็นต้น ซึ่งน้ำก็ขาดแคลน จำเป็นต้องหาวิธีลดการใช้น้ำ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

    สำหรับนาย บัวคำศรี ผู้ประสานงานรณรงค์ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้ำว่า ทุกคนจะต้องช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมในทุกวัน ไม่ใช่เพียงแค่วันที่ 5 มิ.ย. เท่านั้น อีกทั้งกระทรวงทัพยากรธรรมชาติก็ได้ใช้งบอย่างมากในการจัดนิทรรศการเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ส่งผลในระยะยาว จึงควรไปทำความเข้าใจกับภาครัฐมากกว่าให้ตระหนักถึงเรื่องนี้มากกว่านี้ เพราะประชาชนคงเข้าใจดีแล้ว

    นอกจากนี้ประเด็นสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่น่าเป็นห่วง ก็ยังมีอยู่อย่างน้อย 5 อย่างด้วยกันคือ

    1. มลพิษ เช่น น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ที่ทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติเสื่อมโทรม และการใช้เชื้อเพลิงจนทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก เป็นต้นส

    2. ขยะ ขยะหลายชนิดเป็นขยะที่ย่อยยาก อีกทั้งประชากรที่มากขึ้น ก็ทำให้เกิดขยะมากขึ้น จนเกิดผลกระทบ

    3. การทำลายป่า เพราะป่าคือต้นน้ำ และเป็นทรัพยากรที่จำเป็นต่อมนุษย์

    4. ดินเสื่อม ที่เกิดจากการใช้สารเคมีลงบนหน้าดิน จนทำให้ดินเสื่อม และทำให้การเกษตรเป็นไปได้อย่างไม่มีคุณภาพ

    5. ความหลากหลายทางชีวภาพ มนุษย์ทำลายความหลากหลายชีวภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ซึ่งล้วนเป็นความต้องการในระยะสั้น ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง

    ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จะจัดกิจกรรมรณรงค์ที่อิมแพค เมืองทองธานี วันที่ 4-5 มิ.ย.นี้ เพื่อให้ประชาชนเกิดจิตสำนึกถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

    สำหรับ วันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 40 ปีก่อน หรือเมื่อปี พ.ศ. 2515 โดยองค์กรสหประชาชาติ (UN) ที่กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงการอนุรักษ์ไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อม สำหรับประเด็นที่รณรงค์วันนี้ยูเอ็นรณรงค์ภายใต้แนวคิด ความหลากหลายทางชีวภาพ กู้วิกฤตชีวิตโลก (Many Species One Planet One Future)



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ไทยรัฐ
    [​IMG]
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    5 มิถุนายน วันสิ่งแวดล้อมโลก



    5 มิถุนายน
    วันสิ่งแวดล้อมโลก

    http://hilight.kapook.com/view/24504

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2252168419307880";/* 468x60, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 6/3/10 */google_ad_slot = "8942115715";google_ad_width = 468;google_ad_height = 60;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>
    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    ในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปีนั้น เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งเป็นวันที่เราควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อสภาพแวดล้อมของเราที่ย่ำแย่ลงทุกวัน สังเกตได้จากปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งหิมะขั้วโลกเหนือละลาย น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรืออากาศร้อนขึ้น ซึ่งผลเหล่านี้ล้วนมาจากการมนุษย์ที่เป็นคนทำลายธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อมดีๆ นั่นเอง ทำให้หน่วยงานของโลกจัดตั้งวันสิ่งแวดล้อมโลกขึ้น

    สำหรับจุดเริ่มต้นของวันสิ่งแวดล้อมโลก หรือ World Environment Day นั้นจัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดความตื่นตัวในด้านวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมขึ้นทั่วโลก จึงมีมติให้จัดประชุมใหญ่ที่กรุงสตอกโฮลม์ ระหว่างวันที่ 5-16 มิถุนายน พ.ศ. 2515 ที่มีรัฐบาลของสวีเดนเป็นเจ้าภาพ โดยเรียกการประชุมนี้ว่า "การประชุมสหประชาชาติเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์" หรือ "UN Conference on the Human Environment" ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 1,200 คน จาก 113 ประเทศ รวมถึงมีผู้สังเกตการณ์อีกกว่า 1,500 คน จากหน่วยงานของรัฐ องค์การสหประชาชาติ และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ

    ทั้งนี้เพื่อร่วมกันหาหนทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ประเทศต่างๆ กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งผลจากการประชุมครั้งนั้นได้มีข้อตกลงร่วมกันหลายอย่าง เช่น การจัดตั้งโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP: United Nations Environment Programme) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา และรัฐบาลประเทศต่างๆ ก็ได้รับข้อตกลงจากการประชุมคราวนั้น ไปจัดตั้งหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในประเทศของตน ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงจุดเริ่มต้นของการร่วมมือ จากหลากหลายชาติในด้านสิ่งแวดล้อม องค์การสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก

    [​IMG]


    ซึ่งโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติมีหน้าที่ติดตาม และประเมินผลการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางที่ดี และเพื่อให้เป้าหมายบรรลุผลจึงได้กำหนดวิธีการไว้ดังนี้

    [​IMG]สร้างความตื่นตัวในการเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม และให้การศึกษากับประชาชนและนักศึกษาทั่วไป

    [​IMG]ให้การสนับสนุนทางวิชาการ และเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

    [​IMG]เสริมสร้างให้สถาบันและคนในสถาบันตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม

    [​IMG]

    นอกจากนั้น ยังมีข้อตกลงจากการประชุมให้มาดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในประเทศของตน ซึ่งประเทศไทยก็ได้ตราพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2518 และได้ก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 อันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการดำเนินงาน ด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย โดยต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็น 3 หน่วยงาน คือ


    [​IMG]1.กรมควบคุมมลพิษ

    [​IMG]2 กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

    [​IMG]3.สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม

    และในส่วนของสถาบันการศึกษาก็ได้มีการจัดสอนหลักสูตรด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในหลายๆ มหาวิทยาลัย ซึ่งนับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสื่อมวลชนก็ได้ส่งเสริมให้เกิดการตื่นตัวในปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งวันสิ่งแวดล้อมโลกในแต่ละปีก็จะมีหัวข้อที่ต่างกันออกไป

    [​IMG]พ.ศ. 2528 เยาวชน ประชากร และสิ่งแวดล้อม (Youth, Population and Environment)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2529 ต้นไม้เพื่อสันติภาพ (A Tree for Peace)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2530 (Public Participation,Environment Protection and Sustainable Development)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2531 การมีส่วนร่วมของประชาชน การปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน (When people put the environment first,development will last)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2532 ภาวะโลกร้อน (Global Warming,Global Warming)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2533 เด็ก และสิ่งแวดล้อม (Children and the Environment (Our Children,Their Earth))

    [​IMG]
    พ.ศ. 2534 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change : Need for Global Partnership)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2535 (Only One Earth : Care and Share)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2536 (Poverty and the Environment : Breaking the Vicious Circle)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2537 โลกใบเดียว ครอบครัวเดียวกัน (One Earth, One Family)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2538 ประชาชน เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมโลก (We The Peoples,United for the Global Environment)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2539 รักโลก : ดูแลถิ่นฐานบ้านเรา (Our Earth, Our Habitat,Our Home)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2540 เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนบนผืนโลก (For Life one Earth)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2541 เศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงชีวิตยั่งยืน (For Life on Earth "Save our Seas")

    [​IMG]
    พ.ศ. 2542 รักโลก รักอนาคต รักษ์สิ่งแวดล้อม ("Our Earth,Our Future...Just Save It")

    [​IMG]
    พ.ศ. 2543 ปี 2000 สหัสวรรษแห่งชีวิตสิ่งแวดล้อม : ร่วมคิด ร่วมทำ เพื่อโลก เพื่อเรา (2000 The Environment Millennium :Time to Act)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2544 เชื่อมโยงโลกกว้าง ร่วมสร้างสานสายใยชีวิต (CONNECT with the World Wide Web of Life)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2545 ให้โอกาสโลกฟื้น คืนความสดใสให้ชีวิต (Give Earth a Chance)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2546 รักษ์น้ำเพื่อสรรพชีวิต ก่อนวิกฤตจะมาเยือน (Water - Two Billion People are Dying for it!)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2547 ร่วมพิทักษ์ ร่วมรักษ์ทะเลไทย (Wanted! Sea and Oceans - Dead or Live?)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2548 เมืองเขียวสดใส ร่วมใจวางแผนเพื่อโลก (GREEN CITIES PLAN FOR THE PLANET!)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2549 เพิ่มความชุ่มชื้น คืนสู่ธรรมชาติ (DON T DESERT DRYLANDS!)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2550 ลดโลกร้อน ด้วยชีวิตพอเพียง (MELTING ICE-A HOT TOPIC)

    [​IMG]
    พ.ศ. 2551 ลดวิกฤติโลกร้อน : เปลี่ยนพฤติกรรม ปรับแนวคิด สู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Co2 Kick the Habit ! Towards a Low Carbon Economy)

    [​IMG]พ.ศ. 2552 คุณคือพลัง ช่วยหยุดยั้งภาวะโลกร้อน (Your Planet Needs You - Unite to Combat Climate Change)

    [​IMG]พ.ศ. 2553 ความหลากหลายทางชีวภาพ กู้วิกฤติชีวิตโลก (Many Species One Planet One Future)


    โลกร้อน เกิดภัยพิบัติมากมาย ดังนั้นถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจะร่วมช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมกันแบบจริง ๆ จัง ๆ เพื่อเก็บมันเอาไว้ให้ลูกหลานของเราได้เห็น

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คลังปัญญาไทย
    [​IMG]
    - deqp.go.th
    - lib.ru.ac.th
    - phsmun.go.th
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระธรรมทูต

    คอลัมน์ หน้าต่างศาสนา

    ปราณสุวีร์ อาวอร่ามรัศมิ์ กองพุทธสารนิเทศ สำนักงานพระพุทธศาสนแห่งชาติ



    ภาระหน้าที่ด้านหนึ่งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) คือสนับสนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องพูดถึงกลไกขับเคลื่อนสำคัญคือ "พระธรรมทูต"

    มีผู้อธิบายถึงความเป็นมาของพระธรรมทูต ว่าเมื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธศาสนา ก็จะทราบได้ว่าบุคคลผู้ทำหน้าที่ประกาศพระพุทธศาสนา มีอยู่ 2 ประเภท คือ ผู้ที่แสดงธรรมอยู่เป็นประจำสำนัก ประเภทหนึ่ง และท่านผู้ที่เดินทางไปหาผู้ที่ควรได้รับฟังพระธรรม บุคคลประเภทแรกเรียกว่า "พระธรรมกถึก" บุคคลประเภทหลังเรียกว่า "พระธรรมทูต"

    อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พระธรรมกถึก รอให้คนเดินมาหาธรรม พระธรรมทูตเร่งให้ธรรมเดินไปหาคน ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้ง 2 ประเภทนี้ ย่อมมีความสำคัญและมีความจำเป็นเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่ามีงานหนักคนละด้าน คนละคราวเท่านั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว พระธรรมกถึกในยามปกติ และอาสาสมัครทำงานพระธรรมทูตในคราวจำเป็น เมื่อหมดความจำเป็นแล้ว พระธรรมทูตก็ทำหน้าที่พระธรรมกถึก ดังนั้น ผู้ประกาศพระพุทธศาสนาทั้ง 2 ประเภท จึงรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และอาจเป็นบุคคลเดียวกันได้

    งานพระธรรมทูตในครั้งพุทธกาล เป็นงานที่ทำด้วยพุทธวิธีอันควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็จะทรงเริ่มงานประกาศพระพุทธศาสนาในดินแดนประเทศมคธ ซึ่งเต็มไปด้วยลัทธิศาสนาอื่น พระองค์ได้ทรงใช้เวลาตลอดหน้าฝนพรรษาแรกหลังจากตรัสรู้ธรรม รวบรวมพระสาวกได้ 60 รูป ทรงอบรมคุณธรรมแก่ท่านเหล่านั้น อย่างเพียงพอที่จะแยกย้ายออกไปประกาศพระพุทธศาสนา

    พอหมดหน้าฝน ดินฟ้าอากาศแห้ง ก็ได้ทรงเรียกพระสาวกเหล่านั้นมาประชุมกัน แล้วรับสั่งให้ท่านเหล่านั้นแยกย้ายกันไปประกาศพระพุทธศาสนาในภูมิภาคต่างๆ ของมคธประเทศ การประชุมครั้งนี้นับว่าเป็นการประชุมปฐมนิเทศสำหรับ "พระธรรมทูตรุ่นแรก" ในพระพุทธศาสนา

    งานพระธรรมทูตหลังพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วบุคคลผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาประเภทพระธรรมทูตก็ยังมีความจำเป็น และดูเหมือนจะจำเป็นมากยิ่งขึ้นด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ

    หนึ่ง เมื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังประเทศที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงให้พระพุทธศาสนา

    สอง ได้มีคนแอบแฝงปลอมบวชในพระพุทธศาสนามากแล้วประพฤติเสื่อมเสีย ทำให้พุทธศาสนิกชนคลายความเลื่อมใสในพระสงฆ์พุทธสาวกที่แท้จริง เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

    และสาม ได้เกิดมีศาสนาต่างๆ ขึ้นในโลกอีกหลายศาสนา ซึ่งแต่ละศาสนาเพียรพยายามที่จะชักจูงผู้นับถือศาสนาอื่นมาเข้าศาสนาของตน ด้วยวิธีอันแยบยลต่างๆ กัน ด้วยเหตุ 3 ประการนี้ งานพระธรรมทูตจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งนัก ในการทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
    ˹ѧ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รู้ทันรับศึกบอลโลก ก่อนลูกตกเป็นทาส 'พนันบอล'
    Life & Family - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 มิถุนายน 2553 13:53 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>นพ.วศิน บำรุงชีพ" จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุรา และยาเสพติด </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปฏิเสธได้ยากว่า กระแสบอลโลกที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น คนทั่วโลกรวมไปถึงคนไทย ต่างเกาะติดกระแสกันอย่างคึกคัก เช่นกันกับความตื่นตัว และความห่วงใยของคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ที่หวั่นเกรงว่าลูกหลาน หรือคนใกล้ชิดจะเกาะติดกระแสนี้ในทางที่ผิด จนเป็น "โรคติดพนันบอล" ก่อให้เกิดหนี้สิน และปัญหาอาชญากรรมหลายหลากรูปแบบตามมา รวมไปถึงพฤติกรรมลักขโมย ค้ายาเสพติด ค้าประเวณี การทำร้ายตัวเอง และฆ่าตัวตายในที่สุด

    ประเด็นนี้ ถือเป็นเรื่องน่าห่วงไม่น้อย โดย "นพ.วศิน บำรุงชีพ" จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุรา และยาเสพติด โรงพยาบาลมนารมย์ ได้ให้ความรู้ว่า การพนันบอล เป็นพฤติกรรมการติดพนันอย่างหนึ่ง ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า Pathological Gambling ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งที่ผิด หรือส่งผลร้ายต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น การเงิน การเรียน สุขภาพ หรือสังคมของตัวเอง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะไม่ทำ คล้ายกับการติดสารเสพติด ทำให้มีจิตใจจดจ่ออยู่กับการพนันตลอดเวลา ไม่สามารถคิด หรือทำอย่างอื่นได้ มีแต่ความโหยหาที่อยากจะเล่น ยากที่จะควบคุม ในที่สุดก็จะเล่นการพนันต่อโดยไม่มีการยั้งคิด

    ด้านการติดการพนันบอลของลูกวัยรุ่น นพ.วศิน ระบุว่า มี 2 สาเหตุใหญ่ คือ เกิดมาจากตัวของลูกวัยรุ่นเอง เนื่องจากเป็นวัยที่จะมีปัญหาในการควบคุมตัวเอง (Self Control) เพราะโดยปกติแล้ว คนเราต้องมีการควบคุมตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงิน การใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้อินเทอร์เน็ต และการใช้เวลาไปกับความบันเทิงเริงใจ หรือกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์

    แต่ลูกวัยรุ่นส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีปัญหาในเรื่องของการควบคุมตัวเองอย่างมาก โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมกับวัยของตน สาเหตุประการที่สองคือ กระแสสังคมและการโฆษณา วัยรุ่นมักจะหลงใหลไปกับคำโฆษณาชวนเชื่อได้ง่าย โดยเฉพาะขณะนี้มีกระแสของการแข่งกีฬาฟุตบอลโลก โฆษณาจะชักชวนให้ร่วมชมการแข่งขัน แต่การชักชวนไม่ได้มุ่งไปในเรื่องของการเล่นกีฬาสักเท่าไหร่ แต่จะมุ่งไปในทางที่ชักชวนเล่นการพนันมากกว่าการออกกำลังกาย

    8 แนวทาง กันลูกออกจาก "พนันบอล"

    สำหรับแนวทางในการป้องกันลูกหลานจากการติดพนันบอล จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุราและยาเสพติดรายนี้ แนะนำว่าต้องให้ความรู้ และเตือนให้เด็กรู้จักป้องกันตนเอง ดังนี้

    1. ตัวลูกวัยรุ่นเองจะต้องพยายามควบคุมตัวเอง และครองตนให้ดี ซึ่งหากชอบกีฬาก็ควรศึกษาเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอล ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ เกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้จากการชมกีฬาที่แท้จริง

    2. ต้องศึกษาเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้หลงกลของเกมการตลาดและคำโฆษณาชวนเชื่อ

    3. ต้องรู้จักพิจารณาไตร่ตรองว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของการพนันนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลร้ายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 4. หากมีใครชักชวนหรือท้าทาย เราต้องกล้าที่จะปฏิเสธ ไม่หลงไปเป็นเหยื่อของพวกที่มาชักชวน

    5. ต้องเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ไม่เห็นแก่เงิน

    6. อย่าใช้ข้ออ้างกับตัวเองว่าแค่พนันเล่นๆ เท่านั้น เพราะมันจะเกิดเป็นพฤติกรรมที่เคยชิน ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการทำซ้ำ

    7. หากเจอผู้ที่ตกอยู่ในภาวะติดการพนันไปแล้ว ให้บอกพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดของเพื่อน และพยายามดึงเขาออกมาจากพฤติกรรมนั้น

    8. หากพบว่าตนเองเข้าข่ายติดพนันบอล ก็ต้องกล้าหาญยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และบอกคนใกล้ชิดให้ช่วยเหลือ


    ส่วนในกรณีที่พบว่าลูกหลานมีพฤติกรรมติดพนันบอลแล้ว จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุราและยาเสพติด ได้ให้แนวทางในการช่วยเหลือก่อนจะสายเกินไปว่า อันดับแรกต้องสื่อสารให้เขาตระหนักรู้ว่าตัวเองมีความผิดปกติ และมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาและพบแพทย์ก่อนจะมีปัญหาร้ายแรง ขณะเดียวกันก็ควรจะต้องให้การดูแลด้านจิตใจและสังคมให้เขาเป็นพิเศษ โดยหากิจกรรมช่วยให้เขาได้ระบายความเครียด ความก้าวร้าวในตัวเองออกไป ซึ่งวิธีที่ดีและได้ผลก็คือ การให้เล่นกีฬา เพื่อให้เขาได้ออกกำลังกายมากๆ รวมถึงการจัดตารางเวลาการตื่นนอน การดูทีวีอย่างเหมาะสม ไม่ให้ถือเงินโดยตรง ซึ่งพ่อแม่ครูต้องให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือ โดยจะต้องติดตามผล ว่าเขามีปัญหาทางด้านอารมณ์ไหม ในรายที่ไม่ได้เล่นการพนัน แล้วมีอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว ซึมเศร้า ต้องรีบปรึกษาแพทย์

    อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องป้องกันโอกาสเสี่ยงไว้ก่อน ซึ่งครอบครัว ครูอาจารย์ คนรอบข้างก็ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของลูกหลานและลูกศิษย์ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า การเรียนเสียไปไหม แยกตัวออกไปจากกลุ่มหรือเปล่า หรือมีพฤติกรรมหมกมุ่นอยู่กับอะไรหรือเปล่า และตักเตือนให้เขารู้จักเตือนตัวเองและควบคุมตัวเอง ในการเสพสื่อที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันมีสิ่งต่างๆ มากมายที่จะเข้ามายั่วยุและในทางชวนเชื่อ สามารถครอบงำกลุ่มเด็กและวัยรุ่นได้ง่าย เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่เท่าทันสื่อ วิจารณญาณยังไม่ค่อยดี มีการป้องกันตัวเองได้น้อย มีวิธีการปฏิเสธผู้อื่นได้น้อย มีความอยากรู้อยากลองค่อนข้างมาก

    เพราะฉะนั้นคนรอบข้างต้องช่วยกันระมัดระวัง ตลอดจนสื่อ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับสื่อ ก็ควรพูดถึงการเล่นกีฬาฟุตบอลอย่างสร้างสรรค์ เลือกส่งเสริมในด้านของการเล่นกีฬาเพื่อจะเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียง การเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ การเล่นกีฬาเพื่อฝึกฝนการมีวินัยในตัวเองและการเคารพในผู้อื่น มากกว่าที่จะนำเสนอในเชิงการพนันว่าทีมใครจะชนะทีมใดจะแพ้ เพื่อให้คนหันมาเล่นกีฬาเพิ่มมากขึ้น

    ผู้ปกครองและครูที่สังเกตเห็นบุตรหลานหรือนักเรียน มีพฤติกรรมหงุดหงิด ก้าวร้าว ซึมเศร้า หมกมุ่นอยู่กับการชมฟุตบอลโลกที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจเข้าข่ายติดพนันบอลได้ สามารถขอรายละเอียดเกี่ยวกับ การช่วยเหลือ ป้องกัน และแก้ไข ได้ที่ www.manarom.com หรือโทรศัพท์ปรึกษาที่หมายเลข 02-725-9595

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แก้วขนเหล็ก

    คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง

    โดย ราม วัชรประดิษฐ์


    [​IMG]

    สมัยเด็กๆ มีหนังผีเรื่องหนึ่งทำเอาผู้ชมขนหัวลุกกันเป็นแถวๆ แล้วต่อมามีการสร้างใหม่ แต่ดูไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนเดิม ชื่อเรื่อง "แก้วขนเหล็ก"ดังนั้น ชื่อของแก้วชนิดนี้จึงมักพัวๆ พันๆ อยู่กับเรื่องผีสาง ซึ่งโดยทั่วไปไม่ค่อยจะรู้ด้วยซ้ำว่า แก้วขนเหล็ก คืออะไร

    จริงๆ แล้ว ในบ้านเรามีแก้วมณีที่เกิดจากธรรมชาติมากมาย โดยเชื่อว่าแก้วแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติพิเศษและมี เทวาอารักษ์คอยคุ้มครอง ถึงขนาดมีการรจนาบรรดา แก้วมณีต่างๆ ขึ้นเป็น "นวรัตน์" หรือ "นพรัตน์" คือ แก้ววิเศษ 9 ประการ ได้แก่ "เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุศราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์" นอกจากนี้ ทางภาคเหนือยังมีแก้วมณีมีค่าอีกหลายชนิด มักนิยมนำมาทำพระพุทธรูป พระเครื่อง หรือเครื่องประดับ เช่น บุษย์น้ำทอง (สีเหลืองใส) เพชรน้ำต้น (จุ้ยเจียสีขาวใส) บุษย์น้ำแดง (สีเขียวอ่อน) เป็นต้น

    ส่วน "แก้วขนเหล็ก" จัดเป็นรัตนมณีประเภทหนึ่ง มีลักษณะคล้ายโป่งข่าม เกิดขึ้นจากธรรมชาติ "โป่งข่าม" เป็นหินแก้วที่มีความใสอยู่ในตัว มีสภาพเหมือน Rock Crystal ซึ่ง Crystal เป็นภาษากรีกโบราณ แปลว่า ก้อนน้ำแข็งที่ถูกประดิษฐ์โดยเทพเจ้า ภายในจะมีสายแร่ประกอบเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ พบมากทางภาคเหนือ มีหลายชนิด ที่ขึ้นชื่อก็มี แก้วพิรุณแสนห่า เป็นสีขาวใส ภายในมีสายแร่เหมือนสายฝนตก แก้วนางขวัญหรือแก้วจอมขวัญ มีสีม่วงดอกตะแบก ค่อนข้างใสมองเห็นเส้นสายเป็นริ้วภายใน คนโบราณนิยมถวายเป็นพุทธบูชา แก้วหมอกมุงเมือง มีสีขาว ภายในมีลักษณะเหมือนหมอกหรือเป็นสายใสๆ แผ่กระจายคล้ายเส้นในก้อนน้ำแข็ง นอกจากนี้ยังมี แก้วกาบ ที่ใสมองเห็นกาบสีขาวอยู่ภายใน

    "แก้วขนเหล็ก" นั้น เป็นหินแก้วประเภทหนึ่ง ที่คัมภีร์โบราณเรียกรวมอยู่ในกลุ่มแก้วสหชาติ บ้างเรียกแก้วสามกษัตริย์ หรือแก้วสุวรรณสาม เนื่องจากภายในมีสายแร่หลากสีประกอบรวมกัน ซึ่งจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะ คือ เมื่อมองลงไปในเนื้อที่ขาวใส จะเห็นเส้นสายเล็กๆ คล้ายกับเข็มหรือเส้นผม พุ่งสวนกันไปมา และเป็นที่น่าแปลกใจว่าเส้นที่ปรากฏภายในของแต่ละเม็ดจะมีสีสันแตกต่างกันไป

    แต่มักจะมีสีใครสีมันไม่มีการสลับสี เช่น บางเม็ดอาจเป็นสีดำ คนโบราณเรียก "แก้วขนเหล็ก" เนื่องจากเหมือนมีเส้นของเหล็กที่เล็กเรียวคล้ายเส้นผมหรือเส้นขน บางเม็ดมีเส้นสีทอง จะเรียกว่า "เส้นไหมทอง" เพราะดูเหมือนเส้นไหมวิ่งภายในเนื้อแก้ว มีความงดงามมาก สีเงิน เรียก "ไหมเงิน" สีฟ้า เรียก "ไหมฟ้า" ถ้าเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลก็จะเรียกว่า "ไหมนาค" หรืออาจจะพบสีอื่นๆ อีก เข้าใจว่าเป็นสายแร่ที่วิ่งอยู่ภายในเนื้อหินแก้ว สายแร่ที่ปรากฏมีลักษณะคล้ายใยนำแสง ที่คนโบราณเชื่อว่าสามารถสื่อนำความศักดิ์สิทธิ์ให้แพร่กระจายไปรอบๆ ได้ มีผู้วิเคราะห์ว่าอาจเป็น สายแร่รูไทล์ (Rutile) หรือ สายแร่ธาตุไททาเนียม (Titanium) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีค่ามาก

    นอกจากจะมีสีขาวใสแล้ว แก้วขนเหล็กบางชนิดยังมีสีขาวขุ่นคล้ายๆ มีหมอกหรือน้ำนมผสมอยู่ภายในเนื้อ แต่ก็ยังสามารถเห็นสายแร่วิ่งเป็นริ้วๆ หรือแผ่กระจายอยู่ภายใน แก้วชนิดนี้โบราณาจารย์เรียกว่า "แก้วขนเหล็กตัน"

    คนสมัยโบราณมีความเชื่อว่า แก้วขนเหล็กเป็นวัตถุธาตุที่หายาก ประกอบด้วยคุณวิเศษและเทวาอารักษ์ประจำแก้ว ดังนั้น จึงนิยมนำมาทำเครื่องรางของขลัง ประกอบทำอัญมณีเครื่องประดับพกติดตัว หรือถึงขนาดฝังเข้าไปในร่างกาย เนื่องจากแก้วดังกล่าวมีความงดงามในความขาวใสและขาวขุ่น นอกเหนือจากสายแร่ที่มีสีสันต่างๆ วิ่งอยู่ภายใน

    ในตำราโบราณกล่าวว่า แก้วขนเหล็กใสเป็นแก้วตัวผู้ ส่วนแก้วขนเหล็กตันที่มีสีขาวขุ่นเป็นแก้วตัวเมีย เมื่อนำมารวมกันจะส่งประสิทธิภาพ เกื้อหนุนจุนเจือเกิดเป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ ทำให้ผู้พกพาติดตัวเกิดความเจริญ รอดพ้นภัยพิบัติ อีกทั้งป้องกันคุณไสย ภูตผีปีศาจต่างๆ อย่างดีเยี่ยม ในปัจจุบันนิยมเสาะแสวงหามาคุ้มครองป้องกันตัวอย่างมากครับผม

    ที่มา ข่าวสดออนไลน์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bud05060653p1.jpg
      bud05060653p1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.1 KB
      เปิดดู:
      3,845
    • k.JPG
      k.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6.4 KB
      เปิดดู:
      241
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2010
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การใช้รถป้ายแดงให้ถูกวิธี

    ใครเพิ่งถอยรถป้ายแดงออกมาใหม่ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการใช้รถป้ายแดงอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้สึกหรอมาบอก

    - รันอินยืดอายุการใช้งาน เพื่อให้ทุกชิ้นส่วนมีการสึกหรอน้อยที่สุด และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนาน ในช่วง 5,000 กิโลเมตรแรก ควรขับด้วยความระมัดระวัง โดยใช้รอบเครื่องยนต์ในแต่ละเกียร์ไม่เกิน 2,500-3,000 รอบ/นาที การรันอินเครื่องยนต์ไม่มีระยะทางกำหนดตายตัว โดยจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อเครื่องยนต์ไม่กินน้ำมันเครื่อง (ไม่เกิน 10,000-15,000 กิโลเมตร)

    - หลีกเลี่ยงการเหยียบคันเร่งหลังการสตาร์ท หรือเบิ้ลเครื่องยนต์ เพื่อให้ถึงอุณหภูมิทำงาน เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

    - ผ้าเบรกก็ควรมีรันอิน ไม่ควรเบรกกะทันหันหรือรุนแรงในช่วง 200-300 กิโลเมตรแรก

    - กลิ่นใหม่...อันตรายแฝง กลิ่นเหล่านี้มาจากพลาสติกและกาวที่ใช้ในการประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในรถ ที่อาจทำให้เกิดอาการตาอักเสบ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และคลื่นไส้ได้ ซึ่งไอพิษจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเมื่อถูกความร้อน เช่น การจอดรถยนต์ตากแดด วิธีกำจัดกลิ่นใหม่ คือการใช้ผ้าชุบน้ำผสมสบู่อ่อน ๆ เช็ดทุกส่วนภายในรถ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเปล่าทำความสะอาดอีกครั้ง นอกจากนั้น ควรจอดรถยนต์โดยเปิดกระจกและประตูทุกบานเพื่อให้มีการระบายอากาศ และกำจัดกลิ่นเหล่านี้ให้หมดไป

    - ตรวจสภาพตามอายุการใช้งาน ควรเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสภาพตามระยะทางที่กำหนด อีกทั้งควรศึกษาคู่มือประจำรถยนต์ให้ละเอียด เพื่อทราบถึงการดูแลรักษาที่ถูกต้อง รวมถึงข้อมูลและรายละเอียดของรถยนต์คันด้วย

    รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้รถป้ายแดงให้ถูกวิธีกันดูได้

    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > การใช้รถป้ายแดงให้ถูกวิธี
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ‘ซาลาเปารสขิง’
    เดลินิวส์ออนไลน์

    เมนูสุขภาพ...มัดใจลูกค้า

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ‘ซาลาเปา” เป็นของกินที่มีการทำขายอยู่ทั่วไป มีไส้ต่าง ๆ ให้ลูกค้าเลือกตามความพอใจ ราคาไม่สูง แต่สำหรับการทำขายก็ถือว่ามีการแข่งขันกันสูงพอสมควร ดังนั้น คนทำซาลาเปาขายจึงต้องมีการสร้างจุดขายเพื่อดึงให้ลูกค้าสนใจ และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอข้อมูล “ซาลาเปารสขิง” ซึ่งก็น่าสนใจ...

    อ้อ-สันศนีย์ จันทร์จันทร์ นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 4 สาขาวิชา อาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เป็นเจ้าของไอเดีย “ซาลาเปารสขิง” โดยมี ผศ.สุชาดา งามประภาวัฒน์ เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำ เจ้าของ ไอเดียเล่าว่า ซาลาเปารสขิงถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” อีกชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องทานอาหารระหว่างเดินทาง โดยสรรพคุณของขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการเมารถเมาเรือได้ มีสรรพคุณดีกว่ายาแก้เมาเสียอีก

    สรรพคุณของขิงที่มีรสหวาน เผ็ดร้อน ช่วยขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด โดยขิงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายรูปแบบทั้งของคาว ของหวาน หรือทานสด ๆ เป็นเครื่องเคียง รวมถึงแปรรูปเป็นขิงผง ขิงดอง และน้ำขิงได้อีกด้วย ส่วนซาลาเปาเป็นอาหารที่นิยมรับประทานรองท้องไม่ให้หิว นอกจากนี้ยังเป็นอาหารว่างที่กระตุ้นให้อยากรับประทานอาหารประเภทอื่นได้อีกด้วย ซึ่งซาลาเปาก็มีทั้งไส้หวาน ไส้เค็ม มีทั้งไส้หมูสับ ไส้หมูแดง ไส้ครีม ไส้ถั่วดำ และก็ทำให้มีรสขิงได้ด้วย

    การทำซาลาเปา อุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ อาทิ หม้อนึ่งซาลาเปาหรือซึ้งนึ่ง, เครื่องนวดแป้ง, เตาแก๊ส, ถาดอะลูมิเนียม, ไม้นวดแป้ง และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ด

    สำหรับวัตถุดิบ-ส่วนผสมสำหรับทำ “ซาลาเปารสขิง” แยกเป็น... ส่วนผสมที่ 1 ประกอบด้วย แป้งสาลีตราบัว 120 กรัม, ยีสต์ 1 1/2 ช้อนชา, น้ำเปล่า 3 1/2 ช้อนโต๊ะ และส่วนผสมที่ 2 ประกอบด้วย แป้งสาลี 75 กรัม, ผงฟู 1 ช้อนชา, น้ำตาลทราย 35 กรัม, เนยขาว 20 กรัม, เกลือ 1/4 ช้อนชา และ น้ำขิง 2 ช้อนโต๊ะ

    ขั้นตอนการทำ “ซาลาเปารสขิง” เริ่มจากทำส่วนผสมที่ 1 นำแป้งสาลีผสมกับยีสต์ในกะละมัง คลุกเคล้าให้เข้ากัน ก่อนจะใส่น้ำสะอาดตามลงไป ทำการนวดพอเข้ากัน ตั้งพักไว้ให้แป้งขึ้นเป็นเท่าตัว

    ต่อไปเป็นการเตรียมส่วนผสมที่ 2 นำแป้งสาลีเทใส่ลงในกะละมัง ตามด้วยผงฟู น้ำขิง และน้ำสะอาด คลุกเคล้าพอเข้ากัน จากนั้นก็นำแป้งส่วนผสมที่ 1 ที่ทำไว้ มาผสมเข้ากับส่วนผสมที่ 2 นวดพอเข้ากัน แล้วจึงใส่เนยขาวเป็นขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นก็นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนแป้งเนียน แล้วพักไว้ 10 นาทีให้แป้งได้ที่

    ระหว่างนี้ก็ทำ ไส้ไก่ผัดขิง โดยส่วนผสมก็มี... เนื้อไก่ 100 กรัม, ขิงอ่อน 25 กรัม, เห็ดหูหนู 50 กรัม, หอมหัวใหญ่ 50 กรัม, ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันพืช

    สำหรับขั้นตอนการทำไส้ไก่ผัดขิง เริ่มจากทำการล้างเนื้อไก่ ขิงอ่อน เห็ดหูหนู และหอมหัวใหญ่ ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ แล้วทำการหั่นส่วนผสมทั้งหมดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ จากนั้นนำกระทะตั้งไฟ พอร้อนใส่น้ำมันพืชลงไปเพียงเล็กน้อย ใส่หอมหัวใหญ่และขิงอ่อนลงไปผัดให้หอม แล้วจึงใส่เนื้อไก่ตามลงไปผัดให้สุก ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสและน้ำตาลทราย จากนั้นจึงใส่เห็ดหูหนูตามลงผัด 4-5 ที พอแห้ง ชิมรสให้กลมกล่อม

    รสได้ที่แล้วก็ยกลงจากเตา ตั้งพักไว้ให้เย็นเตรียมไว้

    ขั้นต่อไปนำแป้งที่เตรียมไว้มาตัดแบ่งเป็นก้อน ๆ ปั้นเป็นก้อนกลม ก้อนละ 20 กรัม (ส่วนผสมตามที่แนะนำทำซาลาเปาได้ประมาณ 18 ลูก) พักไว้ 10 นาที เพื่อให้แป้งขึ้น ก่อนจะทำการห่อไส้ด้วยการใช้ไม้คลึงมารีดแป้งกลับไปกลับมาให้เป็นแผ่นกลม ตักไส้ใส่ลงตรงกลางแป้ง ค่อย ๆ จีบเป็นกลีบก่อนจะหุ้มปิดเพื่อความสวยงาม นำผ้าขาวบางชุบน้ำบิดให้แห้งคลุมปิดไว้ ก่อนจะนำไปนึ่งในน้ำเดือดราว 10 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย

    อ้อ-สันศนีย์ บอกด้วยว่า “ซาลาเปารสขิง” สามารถเก็บไว้ได้นานราว 2 เดือน ในช่องแช่แข็ง เมื่อจะรับประทานก็นำออกมาเข้าไมโครเวฟ ซึ่งซาลาเปารสขิงนี้จะมีทั้งกลิ่นและรสของขิง เป็นรสชาติที่ลงตัว

    “ซาลาเปารสขิง” เป็นผลงานของนักศึกษา แต่ก็สามารถนำไปพลิกแพลงต่อยอดทางการค้า เป็น “ช่องทางทำกิน” ได้ โดยคำนวณตั้งราคาขายให้มีกำไรประมาณ 40% หลังหักทุนวัตถุดิบ ซึ่งหากใครสนใจ ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ก็ลองติดต่อไปที่ ผศ.สุชาดา มทร.ธัญบุรี โทร. 08-9526-7598.

    เชาวลี ชุมขำ : รายงาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • c1.jpg
      c1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.8 KB
      เปิดดู:
      250
    • c2.jpg
      c2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.6 KB
      เปิดดู:
      160
    • c220.jpg
      c220.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.4 KB
      เปิดดู:
      156
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2010
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เก็บเงิน "1 ถุง 1 บาท" มาตรการลดใช้ถุงพลาสติก ที่คนกรุงยังคิดหนัก
    Science - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 มิถุนายน 2553 12:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นายพจน์ เขียวชะอุ่ม</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นางรัชนี เอมะรุจิ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ถุงพลาสติกที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์มานานหลายสิบปี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ใช้ถุงผ้าช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้ แต่ไม่ใช่ใช้ถุงผ้าใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง (ภาพประกอบจาก www.independent.co.uk)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ครบกำหนดไปหมาดๆ สำหรับโครงการรณรงค์ "45 วัน ลดใช้ถุงพลาสติก ลกโลกร้อน" ที่หลายคนมองว่าเป็นเพียงกระแสวูบหนึ่ง ส่วนในกรุงเทพมหานคร มีมาตรการต่อยอดร่วมกับห้างร้านต่างๆ ด้วยการเก็บเงิน 1 บาท ต่อ 1 ถุงพลาสติก แต่ยังมีประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วย ว่าวิธีการนี้จะให้ผลสำเร็จจริง

    หลังจากนำร่องโครงการลดการใช้ถุงพลาสติกด้วยนโยบายไม่เอาถุงได้รับส่วนลด 1 บาทต่อ 1 ถุง ที่ตลาดนัดจตุจักรมาได้ระยะหนึ่งแล้ว กรุงเทพมหานครก็สานต่อโครงการด้วยมาตรการใหม่ต่อทันที ด้วยการร่วมกับบริษัทห้างร้านต่างๆ ในกรุงเทพฯ กว่าสิบบริษัท ให้ลูกค้าที่รับถุงพลาสติกต้องจ่ายเงิน 1 บาทต่อ 1 ถุง โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย. นี้เป็นต้นไป โดยมีบริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพียงบริษัทเดียว ที่เริ่มโครงการนี้ก่อนตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา

    หลายคนเห็นด้วยว่า น่าจะเป็นวิธีที่ช่วยลดขยะพลาสติกได้ แต่บางคนก็ไม่มั่นใจว่ามาตรการนี้จะได้ผลเพราะขัดกับพฤติกรรมของคนไทย และบางคนมองว่าผู้บริโภคเสียเปรียบ แต่ห้างร้านเหล่านั้นได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องไม่ว่าลูกค้าจะรับถุงพลาสติกหรือไม่ และที่แย่กว่านั้นคือมีคนกรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการเก็บเงินค่าถุงพลาสติกถุงละ 1 บาท

    "ผมว่าโครงการรณรงค์ให้ลดใช้ถุงพลาสติกถูกต้องแล้ว แต่ยังเหมือนเป็นแค่กระแส ยังขาดผู้นำที่ดี ต้องสร้างแรงกระตุ้นให้มากกว่านี้ ต้องมีผู้นำกระแส อาจเป็นรัฐมนตรี ผู้บริหาร หรือศิลปินดารานักร้องในการพกถุงส่วนตัวไว้ใส่ของแทนถุงพลาสติก เชื่อว่าเมื่อเกิดกระแสโดยบุคคลเหล่านี้วัยรุ่นไทยตามกระแสอยู่แล้ว ส่วนการเก็บเงินค่าถุงพลาสติก ผมว่าควรใช้มาตรการให้ส่วนลดสำหรับผู้ที่ไม่รับถุงพลาสติกน่าจะได้ผลมากกว่าเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ต้องการที่จะเสียเงินเพิ่มอยู่แล้ว" ความเห็นของพจน์ เขียวชะอุ่ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมคิด 99 จำกัด ผู้ผลิตกระเป๋าจากขยะพลาสติก

    ส่วนพีรยา ศรีสนั่น พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง บอกกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า ไม่ค่อยเห็นด้วยกับมาตรการเก็บเงินค่าถุงพลาสติกเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และเฉพาะห้างร้านบางแห่ง แต่ควรทำให้เหมือนกันพร้อมกันทั่วประเทศไปเลย ไม่อย่างนั้นจะมีช่องว่าง ผู้บริโภคยังมีทางเลือกที่จะซื้อของในห้างหรือร้านค้าที่ไม่เสียเงินค่าถุงพลาสติก

    พีรยาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ในหลายๆ เมืองของอังกฤษช่วงหนึ่ง ชาวอังกฤษแทบทุกคน จะต้องพกถุงผ้าหรือถุงพลาสติกติดตัวกันไว้อยู่ตลอดเวลา เพราะเวลาซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตจะไม่มีถุงให้ และพนักงานแคชเชียร์ก็ไม่สนใจว่าลูกค้าจะเอาสินค้ากลับไปได้อย่างไร หากไม่เตรียมถุงมาเอง ส่วนใครต้องการถุงจะต้องจ่ายเพิ่มในราคาถุงละประมาณ 5 เพนนี และร้านซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งจะมีกล่องรับบริจาคถุงพลาสติกที่ใช้แล้วแต่ยังสภาพดีอยู่ ไว้ให้สำหรับคนที่ต้องการใช้ถุงพลาสติกในกรณีที่ไม่ได้เตรียมถุงมาเอง

    ส่วนธนัชพร กังสังข์ นักเรียนไทยอีกคนหนึ่งในอังกฤษ บอกว่า ไปอยู่ลอนดอนช่วงแรกๆ ก็ต้องมหัศจรรย์ใจมาก ที่พบว่าทุกคนในอังกฤษจะพกถุงเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่นิยมพกถุงเล็กๆ ที่พกสะดวกและคลี่ขยายให้ใหญ่ขึ้นได้ เขาปฏิบัติกันเหมือนเป็นวัฒนธรรมกันแล้ว ห้างสรรพสินค้าและร้านซูเปอร์ต่างๆ ส่วนมากในลอนดอนจะไม่มีบริการให้ถุงพลาสติก ส่วนร้านเสื้อผ้าต่างๆ ส่วนใหญ่จะใช้ถุงกระดาษแทนถุงพลาสติก

    อีกทั้ง คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็จะปฏิเสธไม่รับถุงพลาสติกเมื่อซื้อของจากร้านค้าทั่วๆ ไป แต่ในเมืองไทยแม้คนส่วนใหญ่จะนิยมใช้ถุงผ้า แต่ก็เอาไว้ใส่สินค้าที่ใส่ถุงพลาสหลายๆ ถุงรวมกันอีกทีหนึ่งมากกว่า

    ด้านอรไท (สงวนนามสกุล) อดีตนักเรียนไทยในออสเตรีย ให้ข้อมูลว่าห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เกตในกรุงเวียนนา จะไม่มีบริการให้ถุงพลาสติกเลยเช่นกัน แต่จะมีขายในราคาขั้นต่ำประมาณ 1.5-2 ยูโร เป็นถุงพลาสติกขนาดใหญ่ เนื้อหนา เหนียว ใช้ซ้ำได้หลายสิบครั้ง ใส่ของหนักได้หลายกิโลกรัม

    "เว้นแต่ร้านค้าในตลาดสดที่ยังใส่ถุงพลาสติกให้ลูกค้า แต่คนออสเตรียส่วนใหญ่แล้วจะหิ้วถุงผ้า ตะกร้าหรือนำกระเป๋าที่มีล้อลากติดตัวไปซื้อของด้วยเสมอ และไม่นิยมใส่ถุงพลาสติกกันอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องขยะพลาสติก ซึ่งกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานานกว่า 10 ปี แต่ในไทยร้านสะดวกซื้อหลายแห่งยังพยายามยัดเยียดถุงพลาสติกให้ลูกค้า แม้เราจะบอกปฏิเสธไม่เอาถุงแล้วก็ตาม จนหลายๆ ครั้งต้องรีบหยิบใส่ถุงผ้าที่เราเตรียมมาก่อนที่พนักงานจะใส่ถุงพลาสติกให้" เธอเล่า

    อรไทเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยที่ประเทศไทยจะรณรงค์ให้ลดใช้ถุงพลาสติกโดยการเก็บสตางค์เพิ่มถุงละ 1 บาท แต่มีข้อเสนอแนะให้ใช้มาตรการเหมือนกับออสเตรีย คืองดให้ถุง และผลิตถุงพลาสติกคุณภาพดี ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ขายไปในราคาถูกที่ผู้บริโภคซื้อได้โดยไม่ต้องคิดมาก ในกรณีที่ลืมพกถุงไปเอง

    ส่วนถุงผ้าที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เกตต่างๆ ใบละร้อยกว่าบาทหรือหลายร้อย ก็ควรปรับราคาให้ถูกลงกว่านี้และเหมาะกับพื้นฐานรายได้ของคนไทย เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนอยากมีส่วนร่วมลดใช้ถุงพลาสติกให้มากกว่านี้

    นี่เป็นข้อมูลและความเห็นส่วนหนึ่งของคนไทยที่เคยอยู่อาศัยในประเทศที่ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง

    ยังมีอีกหลายเมืองและหลายประเทศที่รณรงค์และร่วมมือกันไม่ใช้ถุงมานานแล้ว เช่น ไอร์แลนด์เป็น ผู้นำประเทศยุโรป จัดเก็บภาษีถุงพลาสติกตั้งแต่ปี 2543 ในเยอรมนีมีการเก็บเงินค่าถุงพลาสติกเฉพาะในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ยังให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้าใหญ่

    ส่วนมลรัฐซานฟรานซินโก เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ ที่ห้ามใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่ปี 2550 ส่วน เช่นเดียวกับแอฟริกาใต้ รวันดา และบังกลาเทศที่ห้ามใช้ถุงพลาสติกมานานหลายปีแล้ว

    ส่วนที่ประเทศจีนออกกฎระเบียบห้ามผลิตและใช้ถุงพลาสติกที่บางกว่า 0.025 มิลลิเมตร และลูกค้าต้องจ่ายเงินเพิ่มหากต้องการใช้ถุงพลาสติกในห้างร้านต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2551 ที่สิงคโปร์มีการรณรงค์ให้วันพุธแรกของเดือนเป็นวันพกถุงผ้าไปช้อปปิ้ง และเก็บเงินค่าถุงพลาสติกราว 2.50 บาทต่อใบ ส่วนที่ไต้หวันและฮ่องกงก็มีมาตรการไม่ให้ถุงพลาสติกฟรีแก่ลูกค้าในร้านค้าทุกประเทศเช่นกัน

    นางรัชนี เอมะรุจิ รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ว่าวิถีชีวิตของคนเมืองและชนบทในการจับจ่ายซื้อของต้องเกี่ยวข้องกับถุงพลาสติกด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการรณรงค์ให้ลดใช้ถุงพลาสติกเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ไม่ยากเพียงแค่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย

    ส่วนโครงการ 45 วัน ลดใช้ถุงพลาสติก ลกโลกร้อน ในปีแรกสามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้ราว 4 ล้านใบ ส่วนในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 2 คาดว่าจะสามารถลดได้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านใบ และน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าปีก่อนเพราะมีพันธมิตรเข้าร่วมโครงการมากขึ้น โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่นำร่องโครงการไม่เอา 1 ถุง ลด 1 บาท (No Bag No Baht) ที่ตลาดนัดจตุจักร และยังมีองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง นำนโยบายนี้ไปใช้ในระดับท้องถิ่นด้วยเช่นกัน

    รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวต่อว่า การรณรงค์ให้ลดใช้ถุงพลาสติกนั้นฟังดูเหมือนทำได้ง่าย แต่ยากในทางปฏิบัติ แม้หลายห้างฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับโครงการเก็บ 1 บาทต่อ 1 ถุง เนื่องจากเป็นการช่วยลดต้นทุนของห้างเอง แต่อาจส่งผลกระทบต่อการบริการของห้าง

    เพราะการให้ถุงพลาสติกถือเป็นบริการอย่างหนึ่ง และคนไทยถูกบ่มเพาะการให้และรับถุงจนเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว หากเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการให้และรับถุงพลาสติกได้จะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้หลายทอด ซึ่งทางห้างเองก็อาจกำหนดมาตรการอื่นๆ เข้ามาช่วยเสริมด้วย เช่น การลดราคาให้ผู้ที่ไม่รับถุง เป็นต้น

    มาตรการเก็บ 1 บาทต่อ 1 ถุง จะให้ผลช่วยลดขยะพลาสติกและได้รับการยอมรับจากประชาชนคนกรุงเทพฯ มากน้อยแค่ไหน เราคงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่เชื่อแน่ว่าคงช่วยกระตุ้นให้คนไทยบางส่วนต้องพกถุงผ้าติดตัวไปช้อปปิ้งกันเพิ่มมากขึ้นแน่นอน.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>1 บาทต่อ 1 ถุงที่ขอเพิ่ม</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>กทม.ลดขยะปรับโฉมเมืองท่องเที่ยวปลุกกระแส 'กรุงเทพฯ ยิ้มสดใส ไร้ถุงพลาสติก'</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>กทม.รณรงค์ใช้ถุงผ้าในห้าง ขณะที่ ทส.ตั้งเป้าลด 8 ล้านใบ</TD></TR><TR vAlign=baseline><TD align=middle width=21 height=19>[​IMG]</TD><TD align=left height=19>“เทสโก้ โลตัส” เปิดตัว “กรีนแบ็ก กรีนพ้อยท์” นำถุงผ้ามาใส่สินค้า</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>1 บาทต่อ 1 ถุงที่ขอเพิ่ม
    Science - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 มิถุนายน 2553 03:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=182 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=182>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับกรุงเทพมหานครได้ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ลดการใช้ถุงพลาสติก โดยได้ขอความร่วมมือจากห้างสรรพสินค้า รณรงค์ให้ประชาชนใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ระหว่าง 22 เม.ย. - 5 มิ.ย.

    อีกทั้งในวันที่ 5 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก จะเชิญชวนให้ทุกคนพร้อมใจกัน “ปฏิเสธถุงพลาสติก” (No Plastic Bag Day) เพื่อยุติการใช้ถุงพลาสติก

    หลังจากนี้ คือตั้งแต่ 6 มิ.ย.จะให้ห้างสรรพสินค้าเก็บเงิน 1 ถุง 1 บาท กับผู้ที่ต้องการถุงเพิ่ม ส่วนเงินที่ได้ให้ห้างร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ นำไปแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

    ถุงพลาสติกที่ใช้กันในแต่ละวันเมื่อกลายเป็นขยะรวมกันได้มากถึง 2,000 ตัน/วัน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร (ภาพประกอบจาก ABC.net.au)




    อ่านเพิ่มเติม

    - "วันสิ่งแวดล้อมโลก" ตื่นตัว ตระหนัก แต่ยังไม่มากพอ

    - 5 มิ.ย. "วันสิงแวดล้อมโลก" ชูอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

    - 5 ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่น่าห่วง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 105 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 103 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, พรสว่าง_2008+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับน้องพรสว่าง_2008

    ดึกแล้ว ยังไม่พักผ่อนหรือครับ

    หรือว่า อยู่เวร อิอิ

    .
     
  13. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    _/|\_

    หวัด D ครับพี่ เมื่อคืนอยู่เวรครับ เข้า web แป๊ปเดียวก็ออกมา ไม่ทันสังเกตครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เผยเด็กไทยเกือบ 100% ดื่มน้ำอัดลม-น้ำหวาน-ขนมถุง เสี่ยงเป็นเบาหวาน-ความดัน
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000078522
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 มิถุนายน 2553 07:52 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สธ.เผยผลสำรวจสุขภาพวะเด็กไทย 6-15 ปี ร้อยละ 97.54 นิยมดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน กินอาหารขบเคี้ยว เสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิต ย้ำชัดปี 54 ตั้งเป้าผลักดันเด็กเกิดพฤติกรรมตามสุขบัญญัติให้ร้อยละ 65

    นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงผลการสำรวจสุขภาวะเด็กไทยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ในงานแถลงข่าววันสุขบัญัติแห่งชาติ ว่า เด็กไทยอายุ 6-15 ปี ส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกาย เช่น พบว่านิยมดื่มน้ำอัดลม น้ำหวานสูงถึงร้อยละ 97.54 ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก ในขณะเดียวกัน ก็นิยมรับประทานขนมกรุบกรอบสูงถึงร้อยละ 97.6 ซึ่งพฤติกรรมการบริโภคลักษณะนี้ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วน นำไปสู่การเป็นโรคเรื้อรังต่อไปในอนาคตได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หลอดเลือด ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2554 จะต้องทำให้เด็กมีพฤติกรรมการบริโภคหรือมีพฤติกรรมตามแนวสุขบัญญัติ กำหนดไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ซึ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น มีหลายประการ อาทิ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ภูมิต้านทานโรค ช่วยให้เด็กไม่เจ็บป่วยได้ง่าย จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเรียน จะช่วยให้เด็กเยาวชนมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ และช่วยให้เด็กอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข

    นายจุรินทร์ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กไทยมีพฤติกรรมตามสุขบัญญัติมากขึ้น ในวันที่ 10 มิถุนายน 2553 ที่จะถึงนี้ สธ.จะจัดงานสุขบัญญัติแห่งชาติ ประจำปี 2553 ที่ห้องโถงใต้อาคาร 3 ชั้น 1 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น.ภายใต้แนวคิดว่า เด็กยุคใหม่ใส่ใจสุขบัญญัติ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนไว้ 4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1.ยุทธศาสตร์ที่เน้นการส่งเสริมและการสร้างองค์ความรู้และการพัฒนาพฤติกรรมด้านสุขภาพ 2.ยุทธศาสตร์ในการสร้างโอกาสและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ การเข้าถึงในเรื่องการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ 3.ยุทธศาสตร์การสร้างลักษณะนิสัยให้นำไปสู่แนวปฏิบัติที่ถูกต้องตามสุขบัญญัติ และ 4.ยุทธศาสตร์การพัฒนาและผลักดันนโยบายเพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายต่อไป

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 12 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ku_math_thai, Phocharoen+</TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับคุณ Phocharoen

    ขอให้หายเร็วๆนะครับ สำหรับกระดูกแตก

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระมาลัย

    ที่มา http://palungjit.org/threads/พระมาลัย.35571/

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 1
    พระมาลัยเทวะเถระโปรดยมโลก
    ซึ่งพระยายมและนายนิริยะบาลไต่สวนผู้ตาย
    เปิดบัญชีดู ถ้าทำบุญส่งสวรรค์ ทำบาปส่งนรก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 2
    โปรดนรกปาณาติบาต
    คือผู้ขาดเมตตา กระทำปาณาติบาต
    ฆ่าสัตว์ผู้มีคุณโดยตรงหรือโดยอ้อมเป็นต้น ให้เสวยกรรม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 3
    โปรดนรกอทินนาทาน
    คือผู้โลภประพฤติอทินนาทาน เช่นลัก ขโมยของพระสงฆ์
    หรือฉ้อโกงและทำลายทรัพย์สินผู้มีคุณเป็นต้น</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 4
    โปรดนรกกาเม
    คือบุพพกรรมสัตว์ที่กระทำกาเมสุมิจฉาจารไว้
    ย่อมเสวยผลกุศลกรรมนั้นตามโทษ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระมาลัย

    ที่มา พระมาลัย


    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 5
    โปรดนรกมุสาวาท
    คือเหล่าสัตว์นรกที่มักกล่าวเท็จ หลอกลวง
    และด่าว่าบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์เป็นต้น</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 6
    โปรดนรกสุรา
    คือพวกสัตว์นรกที่เสพย์สุราเป็นอาจิณ ดื่มแล้วด่าว่า
    บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องคเจ้า ทำร้ายฆ่าฟันเป็นต้น</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 7
    สัตว์นรกสั่งพระมาลัย
    เพื่อจดจำความทุกข์ทรมานของตน
    นำไปบอกแก่ญาติให้ทำบุญแล้วกวาดน้ำ อุทิศกุศลส่งไปให้ด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 8
    กะทาชายถวายดอกบัว 8 ดอกงามโสภา
    ปรารถนาพ้นความเข็ญใจ พระมาลัยเทวะเถระจึงนำไปบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 9
    พระมาลัยเทวะเถระโปรดสวรรค์
    จดจำวิมานเทพบุตร เทพธิดา เมื่อเป็นมนุษย์รักษาศีล
    สร้างพระไตรปิฎก โบสถ์ วิหารเป็นต้น</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระมาลัย

    ที่มา พระมาลัย

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 10

    พระมาลัยบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี
    สนทนากับพระอินทร์ และพระศรีอารย์
    ถึงกุศลของเทพยดา ตลอดถึงศาสนาพระศรีอารย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 11

    ยุคมิคสัญญี
    ก่อนศาสนาพระศรีอารย์ มนุษย์จะไร้ศีลธรรม
    มุ่งประหัสประหารกันไม่เลือกหน้า จะรอดตายแต่ผู้จำศีลภาวนา​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 12

    เกิดต้นกัลปพฤกษ์
    ในศาสนาพระศรีอารย์ ผู้ใส่บาตร ถวายไตรจีวร
    สร้างพระพุทธรูป ทอดกฐินเป็นต้น จะไปเกิดนึกอะไรก็สอยเอาได้​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 13

    คนเกิดในศาสนาพระศรีอารย์
    คนกตัญญูให้ทาน รักษาศีล บวชพระเณร
    สร้างศาลากุฎีเป็นต้น จะได้ไปเกิดเป็นสุขยิ่ง​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE borderColor=#dddddd cellSpacing=6 cellPadding=1 bgColor=#ffffff border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff bgColor=#f7f7f7 height=270>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR><TR><TD align=middle>
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=80 cellSpacing=2 width="100%" border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff align=middle bgColor=#f7f7f7>ภาพที่ 14

    พระมาลัยแจ้งข่าวนรกสวรรค์
    ที่ท่านพบเห็นและรับสั่งมาแก่บรรดาญาติ
    ให้ละบาป ตั้งใจทำบุญแผ่บุศลส่งไปให้​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณที่มา http://www.dhammajak.net/cartoon/vcd.2/

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีทำน้ำพุทธมนต์ รักษาโรคทุกชนิด โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง

    ที่มา dhammapratarnporn.com - adultportal Resources and Information. This website is for sale!



    วิธีทำน้ำพุทธมนต์ รักษาโรคทุกชนิด



    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง อุทัยธานี



    เอาน้ำสะอาดใส่ในบาตรหรือในถัง เอาจิตเพ่งดูน้ำ นึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมพระอริยสงฆ์ สวดมนต์ อิติปิโสทั้ง 3 ห้อง เพ่งจิตลงในน้ำ อธิษฐานขอน้ำพุทธมนต์นี้ เป็นกระแสน้ำ ซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย กำจัดโรคร้ายภัยอันตรายของคนสัตว์ให้หายเกลี้ยง
    ทุกโรคทุกชนิด โดยไม่ต้องใช้ยาอื่น โดยฉับพลันทันใด เอามือวนรอบขอบถ้วยน้ำแล้วเพ่งจิตลงน้ำอธิษฐานซ้ำ
    ด้วยเดชเดชะของพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ สรรพโรคา สรรพภยันตรายา ปิวินาสเมตุ ขอพ้นกัมมะถัมมา พุทธฤทธิ ธัมมฤทธิ สังฆฤทธิ อิติปิโสจะเตนะโม ขอน้ำพุทธมนต์นี้จงซาบซ่านเข้าไปในทั่วร่างกาย กำจัดโรคร้ายภัยอันตรายให้หายทุกโรคทุกชนิดโดยไม่ต้องใช้ยา แล้วให้คนไข้ดื่ม อาบ น้ำพุทธมนต์นั้น

    พระคาถาหยุดฝน

    สวด ชุมนุมเทวดาก่อน ว่าพระคาถาหยุดฝน อาโปธาตุ ปฐวีธาตุ (108 จบ)
    สวด ชุมนุมเทวดาก่อน พระคาถาขอฝนขอลม อาโปธาตุ วาโยธาตุ (108 จบ)
    สวด ชุมนุมเทวดาก่อน พระคาถาหยุดลมพายุ วาโยธาตุ ปฐวีธาตุ (108 จบ)
    พระคาถาดับไฟ ระโชหะระนัง ระชังหะระติ (108จบ)
    พระคาถาป้องกันไฟ พุทธะสังมิ (108 จบ)


    วิธีทำน้ำพุทธมนต์ด้วยพระพุทธรูปบูชา

    จัดเครื่องสักการะบูชาเท่าที่หาได้ ไหว้พระด้วย นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ นำพระพุทธรูปใส่ไว้ในมือ ตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าพระพุทธเจ้า
    ขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายสืบๆกันมา มีองค์หลวงปู่ปานและองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด ตลอดถึง พระพรหมและเทพเทวดาทั้งหมด ขอพระพุทธรูปนี้(หรือวัตถุมงคลใดๆก็ตามที่มี เอ่ยชื่อตามวัตถุมงคลที่ขอท่านช่วยทำน้ำพุทธมนต์เพื่อรักษาโรค) ได้โปรดสงเคราะห์ทำน้ำนี้ให้เป็นน้ำพุทธมนต์ เป็นน้ำยาทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ ได้ดื่มกินและอาบ ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย กำจัดโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดให้หมดไปทันทีทันใดด้วยเทอญ แล้วนำพระพุทธรูปหรือวัตถุมงคลแช่ลงในน้ำรอ 5 นาที แล้วกราบ 3 ครั้ง นำน้ำพุทธมนต์ให้คนป่วยดื่มแล้วลูบศีรษะ แขน ทั่วทั้งตัวผู้ป่วย สวดพระคาถา พระพุทธเจ้า 16 พระองค์กำกับไปด้วย ว่า นะมะนะอะ นอกอนะอะ กอนอนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ แล้วเป่าหัวคนป่วยด้วยพระคาถาขับผีว่า นะโมพุทธายะ หรือ คัจฉะ ปาปิมะ ถ้าเป็นผ้ายันต์ให้นำผ้ายันต์โบกเหนือขันน้ำ 3 ครั้งไม่ต้องแช่น้ำ
    ทางสายเอก

    รวบรวมโดยเกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ
    วิธีปรับปรุงจิตใจเพื่อให้หมดทุกข์ตลอดกาล
    1. มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่เคารพรักทางใจ
    2. หมั่นรำลึกนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก
    3. มีศีล 5 ครบ มีกุศลกรรมบท 10 มิให้ขาดหาย
    4. ตายชาตินี้ มีที่ไปเป็นจุดมุ่งหมายของจิต คือ พระนิพพาน
    5. การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สำคัญยิ่งในการระงับความวิตกกังวล ระงับการฟุ้งซ่านของจิต ระงับทุกขเวทนา เวลาป่วยไข้เจ็บปวดไม่สบาย จิตใจฉลาดสามารถคิดพิจารณาปัญหาธรรมะมี ปัญญามีวิปัสสนาญาณ แจ่มใสตัดกิเลสได้ง่ายดายและรวดเร็ว พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์ ทุก ๆ พระองค์ ท่านก็ยังทรงสมถะภาวนากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
    เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ภิกษุทั้งหลาย ตัวเราจิตเรานี้ เป็นทางเอก เป็นทางของบุคคลคนเดียว คือ ตัวเรานี้แต่ผู้เดียวที่จะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยตัวของเราเอง จิตเราไม่ไปข้องเกี่ยวกับร่างกาย กับเวทนาอารมณ์สุข ๆ ทุกข์ๆ อารมณ์จิตของขันธ์ 5 ร่างกาย ปล่อยมันไปตามเรื่องของกาย เวทนา จิต ธรรมารมณ์ทางโลกทั้งหลาย จิตไม่สนใจร่างกาย ไม่สนใจความรู้สึกสุขทุกข์ทั้งหลายใดๆในโลก ทั้งหมด จิตเราก็จะได้ชื่อว่าจิตเป็นเอก เป็นหนึ่ง เป็นทางสายเอก ที่ถึงความบริสุทธิ์สะอาดสดใส คือมีจิตเป็นผู้รู้ ฉลาด ผู้ตื่นจากความหลงใหลในขันธ์ 5 หรือร่างกาย มีจิตสุขสดชื่นเบิกบานเป็นจิตที่มีพระนิพพานอยู่ในใจ พบพระนิพพานได้ง่ายๆ ในจิตเราที่เป็นทางสายเอกนี้
    <!-- google_ad_section_end -->


     

แชร์หน้านี้

Loading...