แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    พระเครื่องเนื้อดินของคนโบราณอย่างหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงและกิตติศัพท์มานานหลายร้อยปีแล้ว มีอายุการสร้างนานกว่า 400 ปี ได้รับการยอมรับกล่าวขานว่าดีเด่นในทางคงกะพัน กันกระบองมาแต่อดีต ในสมัยก่อนนั้นอาวุธที่ชายไทยใช้ดวลกันพอหอมปากหอมคอ คือไม้ตะพด จะตะพดหัวเงินหรือไม่เลี่ยมเงิน ก็เจ็บและหัวแตกทั้งสิ้น

    พระเครื่องที่เป็นที่ยอมรับและกล่าวขานกันว่าไม่แตก ไม่หัก สำหรับชายไทยมาตั้งแต่ครั้งก่อนคือ พระหลวงพ่อโต บางกะทิง อยุธยา เป็นพระเนื้อดินยุคเก่า ขนาดใหญ่ ที่คนรุ่นเก่ามักแขวนเดี่ยวองค์เดียวโดดๆในคอเสมอ หากใครมีคนเก่าแก่ที่รู้จัก ลองสอบถามดู เขาจะยกนิ้วให้พระหลวงพ่อโต ว่าเหนียวยิ่งนัก ถือเป็นพระกันกระบองเพียงอย่างเดียวของคนไทยยุคก่อน ไม้ตะพดและอีดาบไม่ระคายผิว ตีไม่เจ็บ เขาว่าอย่างนั้น แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมองเห็นคุณค่า ไม่อนุรักษ์เอาไว้ พุทธคุณของพระหลวงพ่อโตคือ คงกะพัน ชาตรีครับ

    ขอบคุณเจ้าของภาพด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Warra

    Warra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +469
    พี่หนุ่มครับ เกี่ยวกับเรื่องของหาย หลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่ อุทัยธานี ท่านขลังมากครับ คนแถบอุทัยและจังหวัดใกล้เคียงมีประสบการณ์มากมายครับ รวมทั้งตัวผมเองด้วยครับ แต่ส่วนใหญ่ เป็นข้าวของครับ ผมไม่รู้ว่าหากเป็นพระเครื่องหาย จะเป็นการสมควรหรือไม่ที่เราจะบนน่ะครับ
    หากไม่สมควร ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  3. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เท่าที่ผมเคยสร้างมาสองครั้ง ทุกครั้งจะต้องถามเจ้าของเหรียญเสมอ เพราะยันต์บางตัวมีครูแรง บางยันต์เป็นยันต์ประจำตัวเฉพาะคน หากไม่ได้เรียนมาจะเอามาใช้ไม่ได้เลยครับ การลงเลขยันต์ก็ต้องตามที่อาจารย์เจ้าของเหรียญกำหนด เพราะเมื่อปลุกเสกเดี่ยว จะต้องมีการกำหนดจิตเรียกอักขระทีละตัว จนสามารถเกิดผลตามพระคาถาที่ย่อลงมาเป็นยันต์ลงไว้ในเหรียญ

    บางคาถาสวดกว่าจะจบเป็นครึ่งชั่วโมง แต่เอามาลงในเหรียญ ย่อเหลือแค่ไม่กี่ตัว การปลุกเสกก็ต้องทำตามพระคาถานั้น และต้องกำหนดจิตตามคาถาให้เกิดพลังจิตตามที่ลงไว้ด้วย บางคาถาย่อลงมาเป็นตัวเลขก็มี ต้องแล้วแต่อาจารย์เจ้าของเหรียญกำหนดครับ แต่หากอาจารย์ไม่รู้จริงก็เสกไม่เข้าอยู่ดี
     
  4. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เคยได้ยินเช่นกันครับ แต่ยังไม่เคยบนบานท่านเลยสักครั้ง
    ผมได้แต่หาตามตลาดพระมานาน จนอ่อนใจแล้วครับ
    ต้องขอบคุณมากครับ ที่มีเจตนาดีและให้คำแนะนำมา แล้วผมจะลองทำดูครับ
     
  5. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ลายนิ้วมือเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
    ผิวหนังบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้าของเราจะมีลักษณะพิเศษ คือ นอกจากจะมีความหนามากกว่าส่วนอื่นแล้ว ก็ยังมีส่วนที่เป็นสัน (Ridge) และส่วนที่เป็นร่อง (Furrow) ซึ่งจะประกอบขึ้นเป็นลวดลายที่ไม่ซ้ำกันเลย ไม่ว่าจะเป็นลายที่บริเวณปลายนิ้ว ฝ่ามือและฝ่าเท้า สันและร่องเหล่านี้จะก่อให้เกิดความฝืด ทำให้เรา
    หยิบจับของได้สะดวกขึ้น

    ประวัติของลายนิ้วมือ
    คนเรารู้จักใช้ลายนิ้วมือให้เป็นประโยชน์กันมานานแล้ว โดยชาวจีนและชาวอัสซีเรียนจะเป็นกลุ่มแรก ที่ใช้รอยพิมพ์ของลายนิ้วมือบนดินเหนียวแทนการเซ็นชื่อในการค้าขาย ลายนิ้วมือถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการระบุตัวอาชญากรครั้งแรก ในแคว้นเบงกอล ประเทศอินเดีย โดยตำรวจชาวอังกฤษชื่อ Sir Edward Richard Henry ในปี พ.ศ. 2445 สหรัฐฯ เริ่มใช้ลายนิ้วมือในการจำแนกตัวบุคคล และในปีต่อมาเรือนจำแห่งรัฐนิวยอร์ก ก็เริ่มการพิสูจน์ยืนยันตัวผู้ต้องขังโดยใช้ลายนิ้วมือ

    การจำแนกลายนิ้วมือ

    ลายนิ้วมือของคนเราสามารถถูกจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ
    ภาพที่2 ลายมัดหวาย(Loop)
    ภาพที่3 ลายก้นหอย(Whorl)
    ภาพที่4 ลายโค้ง(Arch)

    ลายมัดหวายพบ 65% ลายก้นหอยพบ 30 % ลายโค้ง พบ 5%

    ภาพที่5 ลายเส้นพื้นฐานเหล่านี้ยังถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆได้อีกหลายกลุ่ม แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยในการบอกความแตกต่างระหว่างลายนิ้วมือแต่ละ
    ลายก็คือตำหนิที่เกิดจากลักษณะพิเศษของสัน(Ridge) ที่เป็นเส้นนูนของลายนิ้วมือนั่นเอง
    <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]
    [​IMG] 2.jpg
    [​IMG]
    [​IMG] 3.jpg
    [​IMG]
    [​IMG] 4.jpg
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2010
  6. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับลายนิ้วมือ

    เมื่อพูดถึงเรื่องลายนิ้วมือ คนส่วนใหญ่ก็มักนึกถึง FBI ซึ่งก็ไม่น่าจะผิดเพราะนี่คือหน่วยงานระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของลายนิ้วมือหน่วยพิสูจน์ลายนิ้วมือของ FBI ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2467 ปัจจุบันเป็นหน่วยงานที่เก็บรอยพิมพ์ลายนิ้วมือไว้มากที่สุดในโลก จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.
    2514 พบว่า FBI เก็บรอยพิมพ์ลายนิ้วมือไว้บนบัตรถึง 200 ล้านใบซึ่งเป็นของ

    พลเรือนและอาชญากรกว่า 81 ล้านคน
    ในปี 2542 FBI เริ่มใช้ระบบจัดเก็บรอยพิมพ์ลายนิ้วมือเต็มรูปแบบ ด้วยระบบ IAFIS หรือIntegrated Automated Identification System ซึ่งจะช่วยให้การสืบค้นประวัติอาชญากรจากรอยนิ้วมือเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็วและแม่นยำ


    การนำรอยนิ้วมือจากที่เกิดเหตุมาตรวจสอบเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด เป็นการตรวจที่เรียกว่าระบบเปิด (Open system) หรือ แบบ 1:N เป็นการตรวจสอบที่ยากและเสียเวลามากเพราะต้องเปรียบเทียบกับรอยพิมพ์นิ้วมือที่เก็บไว้นับล้าน เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ที่ดีเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้


    หน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรม เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของลายนิ้วมืออยู่ โดยเฉพาะสถาบันนิติเวชวิทยา กองพิสูจน์หลักฐาน และกองทะเบียนประวัติอาชญากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนกรมราชทัณฑ์นั้นเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบลายนิ้วมือของผู้ต้องขังในหลายขั้นตอน เช่น

    - เมื่อรับตัวเข้าเรือนจำ
    - เมื่อย้ายหรือปล่อยตัวออกจากเรือนจำ
    - ก่อนและหลังการประหารชีวิต

    [​IMG]

    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody> <tr> <td valign="top" width="85%" height="100%"> การตรวจรอยพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องขังนั้น ทำได้ไม่ยากเนื่องจากเป็นการตรวจระบบปิด (Closesystem) หรือแบบ 1:1 คือเอาลายนิ้วมือผู้ต้องขังมาเปรียบเทียบกับรอยพิมพ์ที่อยู่ในแฟ้มประวัติผู้ต้องขังที่ต้องการ ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่มาก ซึ่งต่างจากการตรวจเพื่อดูว่าผู้ต้องขังเคยต้องโทษมาก่อนหรือไม่(ในกรณีที่ผู้ต้องขังเปลี่ยนชื่อหรือปกปิดชื่อเดิม) วิธีหลังนี้จะทำได้ยากเพราะต้องเอาลายนิ้วมือของผู้ต้องขังมาเปรียบ
    เทียบกับลายนิ้วมือทั้งหมดที่มีอยู่ในคลังข้อมูล

    อ้อ... เกือบลืมไป.....เนื่องจากลายบนนิ้วมือ ฝ่ามือและฝ่าเท้าของเราไม่เคยซ้ำกัน จึงเป็นที่มาของวิชาดู
    ลายมือ (Palmistry) ซึ่งเป็นศาสตร์ลึกลับที่มีมาหลายพันปีแล้ว หมอดูลายมือบางคนก็เดาแม่น บางคนก็ดูมั่ว
    แต่บางคนก็เก่งจริงๆครับ.....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่.....


    ภาพล่าง
    ด้านซ้ายเส้นวาสนา ยาวจรดเนินเสาร์ ถ้าขยันทำงาน ก็น่าจะได้สองขั้น
    ด้านขวาบน เส้นบนเนินพฤหัสชัดเจน จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อนาคตมีสิทธิ์ได้เป็นถึงผู้บัญชาการฯ
    ด้านขวาล่าง เส้นสมองยาวเหยียด สอบ C5 น่าจะได้อันดับต้นๆ
    </td></tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="smalltext" colspan="2" width="100%"> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    วิธีพิสูจน์ยืนยันตัวผู้ต้องขัง

    ภาพถ่าย การถ่ายรูปเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะใช้ในการพิสูจน์ยืนยันตัวผู้ต้องขัง เรือนจำทุกแห่งจะเก็บภาพถ่ายผู้ต้องขังไว้ในแฟ้มทะเบียนประวัติ ข้อเสียของวิธีนี้คือ เมื่อเวลาผ่านไป (ในกรณีที่ผู้ต้องขังมีโทษสูง) หน้าตาของผู้ต้องขังก็อาจเปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการถ่ายภาพซ้ำ


    ถ้าต้องมีการนำตัวผู้ต้องขังออกนอกเรือนจำ เช่น เมื่อย้ายผู้ต้องขังกลับภูมิลำเนาเดิมหรือส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก เรือนจำอาจต้องถ่ายภาพผู้ต้องขังเก็บไว้ ถ้ามีการหลบหนีเกิดขึ้น ภาพถ่ายล่าสุดที่ถ่ายไว้จะมีประโยชน์มากในการติดตามจับกุมตัว


    รอยพิมพ์ลายนิ้วมือ เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดเพราะลายนิ้วมือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่แรกเกิดไปจนตาย ต่างกันก็ตรงขนาดของลายเท่านั้นการพิมพ์ลายนิ้วมืออาจมีปัญหาบ้างสำหรับผู้พิการที่นิ้วขาดหรือหรือมีนิ้วเกินหรือนิ้วติดกันตั้งแต่กำเนิด ลายนิ้วมืออาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น เกิดแผลเป็นจากการทำงาน หรือนิ้วขาดเพราะอุบัติเหตุ การรับตัวผู้ต้องขังเข้ามา จำคุก หรือปล่อยตัวผู้ต้องขังเมื่อพ้นโทษ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดตัว



    รอยสัก ผู้ต้องขังเป็นกลุ่มที่มีการสักตามส่วนต่างๆของร่างกายมากกว่าประชากรทั่วไป รอยสักเหล่านี้ ลบออกได้ยาก โดยเฉพาะ
    อย่างยิ่งถ้าเป็นรอยสักที่สักด้วยมือ (ไม่ได้ใช้เครื่องสัก) ซึ่งเม็ดสีจะฝังอยู่ ในชั้นผิวหนังด้วยความลึกที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ลบออกได้ยาก ไม่ว่าจะใช้วิธีศัลยกรรมหรือใช้เครื่องเลเซอร์ลบรอยสัก ถึงแม้ว่ารอยสักอาจจะถูกสักให้เหมือนกันได้ ก็มีผู้ต้องขังน้อยรายมากที่จะมีรอยสักเหมือนกันทุกจุด การระบุลักษณะรอยสักลงในทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ก็อาจจะเป็นประโยชน์ได้ ในด้านนิติเวชวิทยา บางครั้ง รอยสักก็มีประโยชน์ในการใช้ประกอบการพิสูจน์ศพหรือยืนยันตัวผู้ต้องหา


    แผลเป็น แผลเป็นไม่มีประโยชน์มากนักในการช่วยพิสูจน์ยืนยันตัวผู้ต้องขังยกเว้นแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้าหรือบนผิวหนังนอกร่มผ้า โดยปกติแล้วแผลเป็นจะมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยเฉพาะในระยะหลังเกิดบาดแผลใหม่ๆ
    นอกจากนี้ปานหรือไฝขนาดใหญ่ ก็ควรถูกบันทึกไว้ในทะเบียนประวัติผู้ต้องขังด้วย


     
  8. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody> <tr> <td valign="top" width="85%" height="100%"> เครื่องสแกนลายนิ้วมือ

    การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทำให้ราคาของเครื่องสแกนลายนิ้วมือมีราคาถูกลงอย่างรวดเร็ว จนสามารถนำมาใช้ในระดับสำนักงานหรือแม้แต่ใช้ส่วนตัว


    การสแกนลายนิ้วมือเก็บไว้ในรูปของภาพดิจิตอลนั้น สามารถทำได้รวดเร็ว สะดวกในการจัดเก็บ และทำให้การตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือของผู้สงสัยเพื่อเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือที่อยู่ในคลังข้อมูลนั้น เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

    เมื่อเครื่องสแกนลายนิ้วมือถูกนำมาใช้ใหม่ๆ การเปรียบเทียบรอยนิ้วมือผู้ต้องสงสัยกับรอยนิ้วมือที่มีอยู่ในแฟ้มข้อมูลหลายแสนหน้านั้น ใช้เวลา 1-2 นาทีเท่านั้น ซึ่งถ้าจะตรวจสอบโดยใช้ตาเปล่าจะใช้เวลาหลายวัน ส่วนเครื่องสแกนลายนิ้วมือในปัจจุบันถูกพัฒนาจนสามารถตรวจสอบลายนิ้วมือหลายล้านลายโดยใช้เวลาเพียง 1 นาทีเช่นกัน

    เครื่องสแกนลายนิ้วมือ ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการตรวจสอบตัวบุคคลก่อนจะเข้าไปในสถานที่ที่เข้มงวดในการรักษาความปลอดภัย การตรวจลายนิ้วมือจะดีกว่าการใช้วิธีตรวจบัตรประจำตัวซึ่งอาจปลอมแปลงกันได้ง่าย


    ปัจจุบัน เครื่องเหล่านี้ถูกผลิตออกมามากมายหลายแบบ และราคาถูกจนสามารถซื้อมาใช้บันทึกเวลาทำงานของพนักงานแทนเครื่องตอกบัตรได้ ส่วนในเรือนจำนั้นเครื่องสแกนลายนิ้วมือจะมีประโยชน์มากในการจัดเก็บและตรวจสอบยืนยันตัวผู้ต้องขังละสามารถนำมาใช้ในการตรวจสอบผู้ผ่านเข้าออกเรือนจำได้ดีและสะดวกกว่าการใช้วิธีอื่น


    รถยนต์บางคันติดตั้งเครื่องตรวจลายนิ้วมือไว้เพื่อตรวจสอบผู้ใช้รถจนแน่ใจว่าเป็นของเจ้าของรถเสียก่อนจึงจะสามารถสตาร์ทรถได้

    เครื่องสแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งอยู่ที่คีย์บอร์ดหรือเมาส์ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาลักลอบใช้เครื่องคอมฯได้ และสะดวกมากเพราะลายนิ้วมือเป็นรหัสผ่านที่บรรดาแฮกเกอร์ต้องยกธงขาวยอมแพ้ และปัญหาการลืมรหัสผ่านก็ไม่มี เครื่องสแกนลายนิ้วมือระดับ Hi-end บางเครื่อง ต่อให้หล่อแบบลายนิ้วมือหรือตัดนิ้วมือเจ้าของรหัสมากดก็ไม่สำเร็จครับ เพราะเขาติดตั้งเครื่องตรวจชีพจรที่ปลายนิ้ว
    หรือ ตรวจปริมาณออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้วไว้ด้วย ซึ่งเจ้าเครื่องตรวจระดับออกซิเจนในเลือดที่ปลายนิ้วนี้ ก็มีใช้อยู่ในโรงพยาบาลทุกแห่ง ราคาเครื่องละไม่กี่หมื่นบาท



    </td></tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="smalltext" colspan="2" width="100%"> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody> <tr> <td valign="top" width="85%" height="100%"> สารพัดวิธีพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล

    หลังจากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ตึก World Trade และที่ Pentagon ในอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน2544 แล้ว สถานที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งสนามบินทั่วโลกก็เริ่มให้ความสนใจกับการตรวจพิสูจน์ตัวบุคคลด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆมากขึ้น ซึ่งนอกจากเครื่องตรวจลายนิ้วมือแล้ว ยังมีเครื่องมือไฮเทคอื่นๆที่จะช่วยในการตรวจยืนยันตัวบุคคลได้อีกหลายวิธี เช่น

    เครื่องตรวจม่านตา (Iris scan)
    ม่านตาของคนเราจะมีลายที่ไม่ซ้ำกันเลย เราจึงสามารถใช้กล้องดิจิตอลถ่ายภาพม่านตาแล้วนำมาใช้ในการตรวจสอบเปรียบเทียบเพื่อยืนยันตัวบุคคลได้ โดยให้ความแม่นยำสูงกว่าเครื่องตรวจลายนิ้วมือ ธนาคาร United of Houston ในสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มทดลองนำเครื่องตรวจม่านตามาใช้กับเครื่อง ATM เป็นแห่งแรกซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่พอใจเพราะไม่ต้องพกบัตร
    สนามบิน Schiphol ในกรุงอัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มนำเครื่องตรวจม่านตามาใช้กับเจ้าหน้าที่สนามบินและผู้โดยสารตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2544 โดยเริ่มใช้กับผู้โดยสารที่เดินทางบ่อยๆก่อน ทำให้ผู้โดยสารเสียเวลากับพิธีการตรวจคนเข้าเมืองน้อยลง
    สนามบิน 8 แห่งในประเทศแคนาดาก็ใช้เครื่องตรวจแบบนี้กับผู้โดยสารระหว่างประเทศเช่นกัน


    เครื่องตรวจจอตา (Retina scan) ด้วยเส้นประสาทและเส้นโลหิตฝอยมากมาย
    จอตาเป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบเส้นโลหิตฝอยเหล่านี้ จะกระจายอยู่ทั่วจอตาและมีทิศทางและลักษณะที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน เพราะฉะนั้น ภาพถ่ายของจอตาจึงนำมาใช้ในการพิสูจน์จำแนกตัวบุคคลได้ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเครื่องตรวจม่านตา

    ข้อดีของเครื่องตรวจจอตาก็คือมันให้ความแม่นยำในการตรวจสูงมาก ข้อมูลจาก ภาพถ่ายของจอตาจะกินเนื้อที่เพียง 96 Bytes จึงใช้เวลาในการตรวจสอบเปรียบเทียบน้อยมากอย่างไรก็ตามข้อเสียของเครื่องตรวจชนิดนี้ก็คือ ราคาแพง ใช้งานยาก เส้นเลือดที่จอตาอาจเปลี่ยน
    แปลงได้จากพยาธิสภาพต่างๆ เช่น การหลุดลอกของจอตา เส้นเลือดฝอยในจอตาแตก ฯลฯ และที่สำคัญก็คือผู้ถูกตรวจไม่ค่อยยอมรับเนื่องจากต้องเอาหน้าไปวางชิดกับเครื่องตรวจจึงระแวงว่าจะเกิดอันตรายกับตา


    เครื่องตรวจใบหน้า (Facial scan)
    เครื่องตรวจใบหน้ามีหลักการทำงานคือสแกนภาพใบหน้าแล้วนำจุดอ้างอิงต่างๆบนใบหน้ามาเปรียบเทียบกัน เช่น ใช้ระยะห่างระหว่าง
    ดวงตา โหนกแก้ม โหนกคิ้ว มุมปาก ฯลฯ ข้อดีก็คือสามารถตรวจได้จากระยะไกล ใช้งานง่าย และมีความถูกต้องแม่นยำพอสมควร
    ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่พรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโกรวมทั้งบ่อนคาสิโนหลายแห่งในสหรัฐใช้เครื่องตรวจใบหน้าเพื่อเปรียบเทียบกับใบหน้าของบุคคลที่อยู่ในบัญชีดำที่ห้ามเข้าเมืองหรือห้ามเข้าบ่อน



    นอกจากนี้ ยังมีเครื่องตรวจอื่นๆที่สามารถใช้ตรวจพิสูจน์ตัวบุคคลได้ เช่น เครื่องตรวจลักษณะของใบห(Ear lobe scan) เครื่องตรวจเสียง (Voice scan) ซึ่งเครื่องทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นก็มีจุดอ่อนที่เหมือนกันหมด นั่นก็คือจำนวนข้อมูลที่มีอยู่ยังมีน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับรอยพิมพ์ลายนิ้วมือซึ่งแต่ละประเทศก็ได้เก็บรวบรวมไว้เป็นจำนวนมากเนื่องจากเก็บมาเป็นระยะเวลานานแล้วนั่นเอง


    </td></tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="smalltext" colspan="2" width="100%"> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]
    [​IMG] 1.gif
    [​IMG]
    [​IMG] 2.jpg
    [​IMG]

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2010
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    การสัก

    เมื่อก่อนนี้ ทาสและอาชญากรจะถูกบังคับให้สักยันต์ทุกคน แต่เดี๋ยวนี้การสักยันต์ในคุกถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบ แต่ก็ยังมีคนลักลอบสักยันต์อยู่เสมอ โดยวัตถุประสงค์ในการสักของผู้ต้องขังนั้น แตกต่างไปจากการสักยันต์ในโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง......

    การสักผิวหนังนั้นมีมานานหลายพันปีแล้วโดยมีจุดประสงค์หลายอย่าง เช่น สักเพราะความเชื่อทางศาสนา สักเพื่อบ่งบอกสถานภาพในสังคมสักเพราะความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์ ฯ แต่สำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำนั้น จุดประสงค์ในการสักยันต์จะไม่เหมือนกับคนทั่วไป ผู้ต้องขังส่วนใหญ่จะสักเพราะ ต้องการระบายความเครียดออกมาในรูปของรอยสัก แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการแสดงอำนาจหรือความก้าวร้าวออกมาเพื่อให้ผู้อื่นเกรงกลัว


    อารมณ์สุนทรีย์ที่แสดงออกมาในรอยสัก

    มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองว่ารอยสักเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง แต่ผู้ต้องขังที่สักยันต์ส่วนใหญ่จะไม่มีอารมณ์ศิลปินแบบนี้ มีแต่อารมณ์ก้าวร้าว รุนแรง และมักจะมีประวัติเคยใช้ยาเสพย์ติดมาแล้ว มีบ่อยครั้งที่ต้องการระบายอารมณ์ออกมาด้วยการสักหรือการกรีดผิวหนังตนเองให้เป็นแผล


    สักเพื่อหาพวก

    แก๊งค์ยากูซ่าในญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของการสักโดยมีจุดประสงค์เพื่อเข้าร่วมแก๊งค์มิจฉาชีพ แต่ ผู้ต้องขังที่สักยันต์เต็มตัวกลับหาสมาชิก มาร่วมแก๊งค์ยาก เพราะกลัวถูกเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์

    นอกจากนี้ นักโทษที่นิยมสักยันต์ เปรอะไปหมดทั้งตัว มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครอยากคบหาสมาคมด้วย มีปัญหาทางจิต เก็บกด ประชดสังคมหรือไม่ก็สักประชดเมียที่ไปมีสามีใหม่


    มีเวลาว่างมากเกินไป

    ในคุกมีมือรับจ้างสัก แบบสมัครเล่นมากมาย สักได้ทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของของคนที่ถูกสัก ในบริเวณที่ไม่ควรสักก็สัก เช่น ที่ใบหน้า หนังตา รวมทั้งที่หน้าท้อง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พวกมืออาชีพไม่นิยมสักกันเพราะหนังท้องจะขยายออกได้ เวลาอ้วนลงพุง ทำให้เห็นรอยสักที่ผิดรูป


    สักเพราะความเชื่อทางไสยศาสตร์ เช่น อยู่ยงคงกระพัน

    เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่.....เกจิอาจารย์สัก (ในคุก) คนหนึ่งกล่าวว่า การสักยันต์ ลายดีๆ เช่น มหาอุตม์ จะทำให้อยู่ยงคงกระพันต่อศาสตราวุธทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น 11 ม.ม. เอ็ม.16 หรือแม้แต่จรวด โทมาฮ็อค ก็ไม่มีทางมาระคายผิวได้ (ยกเว้นเข็มฉีดยา)



    เครื่องมือสักในเรือนจำ

    ในสมัยก่อน การสักยันต์นั้นสามารถทำได้โดยใช้กระดูกสัตว์ ก้างปลา หนามต้นไม้ หรือ วัสดุ อะไรก็ได้ที่มีความแหลมคมพอที่จะแทงเข้าไปในผิวหนังด้วยความลึกประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ส่วนเข็มที่ใช้ สักในเรือนจำนั้น ทำได้ง่ายมาก และตรวจค้นลำบาก เพราะมีขนาดเล็ก


    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody> <tr> <td valign="top" width="85%" height="100%"> ภัยมืดในรอยสัก

    ผู้ต้องขังเป็นกลุ่มประชากรที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและไวรัสเอดส์สูงกว่าประชากร ภายนอกหลายเท่าตัว เชื้อพวกนี้แพร่ทางเลือดและสารน้ำบางอย่างของร่างกาย เพราะฉะนั้น การสักในเรือนจำ

    โดยใช้เข็มร่วมกันจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อพวกนี้มาก

    จากการศึกษาของนายแพทย์ Robert Haley แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Medicine เดือน มีนาคม 2544 พบว่าผู้ที่สักยันต์จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด C มากกว่าผู้ที่ไม่สักถึง 9 เท่า และสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของมะเร็งตับก็คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนั่นเอง แล้วไหนจะมีเรื่องของโรคเอดส์อีก


    แค่คิดจะสักยันต์ในคุกก็สยองแล้วครับ....อย่าเสี่ยงจะดีกว่า !! ร้านรับสักยันต์ที่ดี จะต้องมีวิธีการป้องกัน

    การแพร่เชื้อโรคดังกล่าวให้กับลูกค้า เช่น การใช้เข็มใหม่เอี่ยมชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง น้ำหมึกที่ใช้สักก็ไม่ใช้ปนกันกับคนอื่น หรืออย่างน้อยก็ต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคมาแล้ว ซึ่งวิธีป้องกันทั้งหมดที่พูดมานี้ในคุกหรือในสำนักเกจิอาจารย์ที่มีคนแห่กันไปรับสักกันมากมายรับรองว่าไม่ได้นำมาใช้ แน่นอน โอกาสติดเชื้อก็มีมาก


    ภาพ1 ตับของผู้ที่เสียชีวิตเพราะมะเร็งตับ
    ภาพ2 อาจารย์สักยันต์สมัยใหม่ก็กลัวตายเหมือนกัน จึงต้องใส่ถุงมือป้องกันตัวเอง
    ภาพ3 ผิวหนังอักเสบ เน่าเปื่อยก็พบได้บ่อยๆในคนที่ลักลอบสักในคุก
    ภาพ4 ผู้ต้องขังที่เป็นโรคเอดส์ส่วนใหญ่ชอบสักมาก คนที่เข้าคิวสักต่อจากรายนี้ ก็มีหวังติดเชื้อเอดส์ไปเรียบร้อยแล้ว

    </td></tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="smalltext" colspan="2" width="100%"> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]
    [​IMG] 1.jpg
    [​IMG]
    [​IMG] 2.jpg
    [​IMG]
    [​IMG] 3.jpg
    [​IMG]

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    มองต่างมุม การสักยันต์ไม่มีข้อดีเลย

    ข้อดีก็มีอยู่ครับ ถ้าเอารอยสักไปผนวกกับความเชื่อที่ถูกต้อง ผู้ต้องขังที่สักรูปพระที่หน้าอกเคยกล่าวไว้ว่า ห้อยพระเครื่องอาจทำหายได้ แต่รอยสักรูปพระจะติดตัวเขาอยู่ตลอดไปเป็นเครื่องเตือนสติให้ทำแต่ความดี
    อักษรจีน 4 ตัวที่เห็นในภาพแปลว่า " ตอบแทนชาติด้วยความซื่อสัตย์ "
    เป็นตัวอักษรที่ถูกสักอยู่ที่หลังของ งักฮุย ซึ่งเป็นแม่ทัพของจีนที่นำทัพเข้าต่อต้านกองทัพมองโกลในสมัยราชวงศ์ซ้อง เป็นรอยสักที่มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์ชาติจีน

    เมื่อสมัยที่ไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และทหารเรือจำนวนมากก็ได้สัก
    คำว่า " ร.ศ. ๑๑๒ และตราด " ไว้ที่หน้าอกเพื่อแสดงออกถึงความรักชาติ
    ในทางการแพทย์ บางครั้งการสักก็อาจช่วยลดความรู้สึกเป็นปมด้อยของผู้ป่วยลงได้บ้าง เช่น ในกรณีที่ผ่าตัดเอาเต้านมของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมออกไปและมีการทำศัลยกรรมตกแต่งใส่เต้านมซิลิโคนเข้าไปแทน
    ก็จำเป็นต้องเอาสีชมพูมาสักเป็นรูปหัวนมเพื่อให้ดูคล้ายคลึงกับข้างที่ปกติ

    ในอนาคตอันใกล้ การสักอาจช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ต้องเจ็บตัวเพราะถูกเจาะเลือดบ่อยๆ นักวิจัยของมหาวิทยาลัย Pennstate และ Texas A&M

    กำลังอยู่ในระหว่างการลองสักผิวหนังของหนูทดลองด้วยเม็ดสีที่ทำจาก Poly ethylene glycol ซึ่งเคลือบด้วยโมเลกุลของสารเรืองแสง ระดับน้ำตาลกลูโคสที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้รอยสักเรืองแสงมากหรือน้อยจนเราสามารถตรวจจับได้ ทำให้สามารถบอกถึงระดับน้ำตาลในเลือดได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2010
  11. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody> <tr> <td valign="top" width="85%" height="100%"> การลบรอยสัก
    ในการสักยันต์นั้น เม็ดสีที่อยู่ในน้ำหมึกที่ใช้สัก จะถูกปลายเข็มนำไปฝังไว้ในผิวหนังชั้นหนัง แท้ และจะฝังอยู่ที่บริเวณนี้ตลอดไปจนวันตาย การลบรอยสักทำได้ยากมาก โดยเฉพาะรอยสักที่สักด้วยมือสมัครเล่นในคุก เนื่องจากการสักด้วยมือทำได้ไม่สม่ำเสมอ เม็ดสีจะอยู่ลึกตื้นไม่เท่ากัน (ซึ่งแตกต่างจากการสักด้วยเครื่องสักไฟฟ้า) ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนลบ ก็ลบออกได้ไม่หมด

    การลบรอยสักทำได้หลายวิธี
    1. การขัดผิวหนัง (Dermabrasion)การขัดอาจใช้สารเคมีร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
    ถ้าเป็นรอยสักขนาดเล็กก็อาจไม่ต้องใช้ยาชา รอยสักที่สักลึกเกินไปจะขัดออกได้ยาก ถ้าฝืนขัดออก ผิวหนังก็อาจเป็นรอยด่างได้

    2. การผ่าตัด สามารถผ่าตัดลอกผิวหนังส่วนนั้นออกแล้วเย็บปิด แต่ถ้ารอย
    สักมีขนาดใหญ่ เมื่อตัดออกแล้วก็อาจต้องตัดผิวหนังส่วนอื่นมาปิดแทน ข้อเสียของวิธีการผ่าตัดก็คือทำให้เกิดแผลเป็น และมีค่าใช้จ่ายสูง และรอยสักในบางตำแหน่ง เช่น ที่ใบหน้า ก็ไม่เหมาะสมที่จะใช้วิธีผ่าตัด

    3. การใช้แสงเลเซอร์ เลเซอร์ลบรอยสักมีหลายแบบ แต่ละแบบก็มีความเหมาะสมในการลบสีที่ไม่เหมือนกัน สีน้ำเงินและสีดำจะลบออกได้ง่าย ส่วนสีอ่อน เช่น สีเหลือง สีเขียว จะลบออกได้ยากกว่า เลเซอร์ชนิด QS nd : YAG เป็นชนิดที่นิยมใช้มาก ได้ผลค่อนข้างดีและมีผลข้างเคียงน้อย (แน่นอน...ค่า
    ใช้จ่ายก็ต้องสูงเป็นธรรมดา )

    หลักการลบรอยสักโดยแสงเลเซอร์ก็คือ พลังงานลำแสงจะผ่านผิวหนังเข้าไปทำให้เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้แตกออกเป็นเม็ดสีที่มีขนาดเล็กลง จนเม็ดเลือดขาวและเซลในระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดเม็ดสีที่แตกสลายเหล่านี้ออกจากร่างกายได้


    ภาพ1 รูปตัดแสดงชั้นต่างๆของผิวหนังมนุษย์
    ภาพ2 รอยสักแบบมืออาชีพ ลบออกได้ง่าย เพราะเม็ดสีอยู่ลึกเท่าๆกันหมด
    ภาพ3 รอยสักแบบมือสมัครเล่นในคุก ลบออกยากมาก

    </td></tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="smalltext" colspan="2" width="100%"> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]
    [​IMG] 1.jpg
    [​IMG]
    [​IMG] 2.jpg
    [​IMG]




    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2010
  12. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เรื่องเล่าการเป่ายันต์

    ดิฉันเป็นคนรุ่นใหม่ อายุ ๓๕ ปี แต่เล็กจนโตไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อนเลย วัดวาก็ไม่ได้เข้า เพิ่งมาได้ธรรมะเมื่ออายุ ๓๒ ปี หรือปี ๒๕๔๒ นี่เอง และก็ชอบปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ เมื่อประมาณปี ๒๕๓๘ หรือ ๒๕๓๙ จำไม่ค่อยได้ ดิฉันเดินผ่านแผงขายหนังสือ เห็นหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวถึงคอลัมน์ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ พระปัจเจกโพธิ์โปรดสัตว์” ที่กล่าวถึงอำนาจของ พระคาถาปัจเจกโพธิ์ ที่ทำให้ผู้คนร่ำรวย เห็นรูปขาวดำเล็กๆของ หลวงปู่ปาน โสนันโท อยู่ในเรื่องด้วย ดิฉันอ่านดูแล้วทึ่งในปาฏิหาริย์ แต่ที่สะดุดตา คือ รูปของหลวงปู่ มองแล้วท่านเหมือนมีชีวิต สายตาท่านจ้องมองอย่างเข้มขลัง ทั้งดุและมีเมตตา ซึ่งไม่เคยพบพระที่ดูขลังและดุแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วดิฉันไม่สนใจพระสงฆ์องค์เจ้า จะรู้สึกเฉยๆ กับพระทุกองค์ที่พบเห็น แต่สำหรับหลวงปู่ปานแล้วยิ่งมองก็ยิ่งแปลก ทำให้ดิฉันทิ้งไม่ลง เมื่ออ่านแล้วก็ฉีกคอลัมน์นี้เก็บไว้เฉยๆ บางครั้งก็นำมาสวดพระคาถาปัจเจกโพธิ์บ้าง แต่ก็ไม่จริงจังอะไร เพราะดูแล้วคงปฏิบัติยาก ต้องตักบาตรทุกเช้าห้ามขาด เว้นศีล ข้อ 2 และ ข้อ 5 คือ สุรา การพนันอย่างเด็ดขาด ดูแล้วคงยาก เรื่องตักบาตรทุกวันคงทำไม่ได้แน่ๆ

    ต่อมาปี ๒๕๔๒ ดิฉันตกงาน มีความทุกข์มากจนต้องเข้าหาวัดปฏิบัติธรรม ทุกข์เรื่องหนี้สิน ทำให้นึกถึงหลวงปู่ปานและพระคาถาปัจเจกโพธิ์ของท่าน ดิฉันจึงนำท่านมาขึ้นหิ้งบูชา และตั้งสัจอธิษฐานว่าจะรักษาศีล 2 ข้อดังกล่าวให้บริสุทธิ์ จะไม่ดื่มสุราทั้งหลายอย่างเด็ดขาด การพนันทั้งหลายแม้แต่หวยใต้ดินก็จะเลิกเล่นเด็ดขาด จุดธูปให้สัจจะกับท่านไว้ รวมถึงสวดมนต์ไหว้พระทุกค่ำ-เช้า และนั่งสมาธิด้วย พร้อมทั้งตักบาตรทุกเช้าเป็นประจำ และท่องพระคาถาจนขึ้นใจ

    ต่อมาดิฉันอยากรู้ประวัติท่าน และอยากได้ภาพสีของท่านมาบูชา เพราะที่มีคือ ภาพขาวดำเล็กๆ ซึ่งก็น่าแปลก ไปเดินห้างก็เห็นหนังสือประวัติท่านตั้งเด่นแต่ไกลจากร้านหนังสือ และจะเจอหนังสือของท่านเรื่อยๆมา แม้แต่ โลกทิพย์-โลกลี้ลับ พอได้อ่านก็ทำให้ทราบถึงการปฏิบัติธรรม การธุดงค์ของท่านและสิ่งที่อยากได้มากที่สุดก็คือภาพสีของท่านเพื่อนำมาบูชา ดิฉันก็ได้รับจากผู้ใหญ่ใจบุญท่านหนึ่ง เป็นภาพถ่ายของหลวงปู่สมัยท่านยังมีชีวิต และทำ ยันต์เกราะเพชร ไว้ข้างภาพของท่านด้วย และยังได้เหรียญรูปเหมือนของท่านมาบูชาอีก ดิฉันได้ครบทุกอย่างเกี่ยวกับหลวงปู่ตามที่ใจอยากจะได้ คงเพราะด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง

    คืนหนึ่ง ปลายเดือน ก.พ. ๒๕๔๕ เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ขณะที่หลับอยู่ ก็รู้สึกว่าที่ศีรษะตรงกลางกระหม่อมเย็นชาไปหมด (ดิฉันรู้สึกตัวแต่ลืมตาไม่ขึ้น) จะเย็นวูบๆ เหมือนถูกไฟดูด ความเย็นลงมาเป็นสายๆ จากรูปภาพหลวงปู่ที่บูชาอยู่บนหิ้งพระ คือหิ้งพระติดอยู่เหนือหัวที่ดิฉันนอนอยู่ ดิฉันได้แต่นอนนิ่งๆ และคิดอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา อะไรมาดูดศีรษะเรา ซึ่งเย็นจนศีรษะชาไปหมด ความเย็นก็ลงมาเป็นสายๆ ขาวๆ เหมือนหมอกวนๆ อยู่ที่กระหม่อมอยู่ประมาณ 3-4 นาที ก็หายไป แต่ศีรษะก็ยังเย็นๆ และมึนๆ อยู่ ลืมตาขึ้นได้ก็นอนคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคิดไม่ออก

    ดิฉันคิดอยู่เป็นเดือนว่าความเย็นนั้นคืออะไร แล้ววันหนึ่งก็หยิบหนังสือประวัติหลวงปู่มาอ่านใหม่อีก และก็เจอบทหนึ่งกล่าวถึง “อานุภาพยันต์เกราะเพชร” ที่หลวงปู่เป่ายันต์เกราะเพชรให้ลูกศิษย์เมื่อตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเป่าให้แล้วท่านจะถามแต่ละคนว่ามีอาการยังไง บางคนก็บอกว่าคันยิบๆ ที่ศีรษะ บางคนก็บอกว่าเย็นวูบๆ ที่กลางกระหม่อม ดิฉันเลยหายข้องใจว่าที่แท้ก็คือท่านคงเมตตาดิฉันด้วยการเป่ายันต์เกราะเพชรให้ด้วยตัวท่านเอง ถึงแม้ท่านจะละสังขารไปนานแล้ว แต่ก็ยังเมตตาต่อดิฉันมาก คงด้วยความศรัทธาที่ดิฉันมีต่อท่านอย่างยิ่ง และสำคัญคือปฏิบัติตามคำสั่งสอน สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญตักบาตรทุกวัน จึงเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับดิฉัน

    พระคาถาพระปัจเจกโพธิ์โปรดสัตว์

    (ตั้ง นะโม ๓ จบ) แล้วว่า

    พุทธะ มะอะอุ นะโม พุทธายะ (๓ หน) แล้วต่อด้วยพระคาถาดังนี้

    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วะระทาสา วิระอิตถีโย

    พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สะวาโหม ฯ (ว่า ๙ จบ)

    ให้กระทำทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน และก่อนเข้านอน ให้ระลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ครูผึ้ง หลวงพ่อปานวัดบางนมโค แล้วอธิษฐานขอให้ท่านทั้งหลายที่เอ่ยนามมานี้ ได้มาโปรดในสิ่งที่ตนต้องการ

    หมั่นทำบุญใส่บาตรพระทุกวัน จะทำให้พระคาถานี้เข้มขลัง และศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
     
  13. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ ญาติธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ลูกน้ำเค็ม

    ลูกน้ำเค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,022
    ค่าพลัง:
    +14,548
    ขอตัวพักผ่อนด้วยเช่นกันครับ ราตรีสวัสดิ์ครับทุก ๆ ท่าน
     
  15. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เรื่องเล่า หลวงพ่อเชย สิงห์บุรี

    แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อน ๆ ขณะที่หลวงพ่อเชย แห่งวัดท่าควาย กำลังพายเรือออกบิณฑบาตร เพื่อโปรดสัตว์ พลันท่านก็เอ่ยกับศิษย์ของท่านที่นั่งคัดท้ายเรือว่า

    “เฉยไว้นะอ้ายหนู อย่าตกใจ เดี๋ยวเรือล่ม หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้เฉยไว้”

    “วี๊ด พลั่ก”

    เสียงอะไรอย่างหนึ่งแหวกอากาศดังถนัดหู แล้วของหนัก ๆ ก็ตกลงในเรือของหลวงพ่อเชยดังสนั่น พอควันจาง สิ่งที่ปรากฏอยู่ก็คือ ก้อนเนื้อวัวขนาดใหญ่ ประมาณสามกิโล กองอยู่บนเรือ เสียงหลวงพ่อเชยพึมพำว่า

    “อ้ายพวกนอกศาสนา อ้ายพวกเวร ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ”

    หลวงพ่อเชยเอาฝาบาตรตักน้ำขึ้นมาบริกรรมจนได้ที่ แล้วจึงเอาไปรดราดลงไปบนก้อนเนื้อนั้น พลันก็ปรากฏควันขาวลอยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก้อนเนื้อนั้นพลันเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อเน่า มีหนอนไชอย่างน่าเกลียด แล้วก็กลายเป็นกระดูกผีไปในที่สุด

    “กลับวัดกันเถอะ เอากระดูกนี่ไปบังสุกุล”

    เด็กวัดคนนั้นคือ ปู่พลอย ต.บ้านไร่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งได้พายท้ายเรือให้หลวงพ่อเชย และได้พบกับความประหลาดนั้น ปัจจุบันปู่พลอยหาชีวิตไม่แล้ว

    คืนนั้นเอง หลวงพ่อเชยได้สั่งให้พระเณร และบรรดาญาติโยมที่มาที่วัดว่า “คืนนี้ให้อยู่กันอย่างเงียบ ๆ ในบ้าน ในกุฏิ อะไรแกรกกรากโป๊กเป๊ก อย่าได้ทักทาย คืนนี้หลวงพ่อจะต้องรับมือหมอไสยศาสตร์ นอกศาสนา ที่จะล้างชีวิตของหลวงพ่อ ในฐานะที่ได้ขัดขวาง และถอดถอนคุณไสย์ให้กับผู้เดือดร้อน ทำให้อาชีพของฆาตกรไสยดำต้องกระทบกระเทือน”

    ตกดึก ปู่พลอยยังคงอยู่รับใช้ และนอนกับหลวงพ่อเชย ได้พบกับความประหลาดเป็นครั้งที่สอง เมื่อเสียงลมพายุพัดกระหน่ำกุฏิของหลวงพ่อเชยจนแทบจะพัง ในเสียงพายุนั้น มีเสียงกระพือพั่บ ๆ ของสัตว์ประเภทนกที่ตัวใหญ่มาก วนเวียนอยู่นอกกุฏิของหลวงพ่อเชย ซึ่งนั่งบริกรรมคาถาอยู่ตลอดเวลา ครู่ใหญ่ พายุสงบ หลวงพ่อเชยจึงให้เปิดประตูกุฏิออกไป ที่นอกชานนั้นเอง มีหนังควายตากแห้งผืนใหญ่วางอยู่

    หลวงพ่อเชยหยิบบาตรน้ำมนต์ออกไปข้างนอก พรมน้ำมนต์ลงไปบนแผ่นหนัง ควันกระจายขึ้นจากแผ่นหนัง แล้วค่อย ๆ ม้วนและหดตัวลงตามจังหวะการพรมน้ำมนต์ของหลวงพ่อเชย ในที่สุดก็หดลงเหลือแค่ปลายนิ้วก้อย หลวงพ่อเชยจึงเอาไม้เท้าเขี่ย แล้วกล่าวว่า

    “สำมาอย่างไร สำไปอย่างนั้น”

    จากนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อเชยจึงได้สร้างพระปิดตาขึ้นแจกจ่ายกับลูกศิษย์ลูกหา และผู้เคารพนับถือ เพื่อป้องกันคุณไสย์ และได้รับการยอมรับนับถือว่า พระปิดตาของหลวงพ่อเชยมีส่วนผสมของอิทธิวัตถุ อันสามารถต้านคุณไสย์ได้อย่างวิเศษ แม้ภูติผีปีศาจร้ายก็ไม่กล้ากล้ำกราย

    เรื่องนี้เป็นความเชื่อของชางสิงห์บุรีมานาน ผู้เขียนครั้งหนึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณเชียร ธีรสาส์น ผู้ล่วงลับแล้ว ถึงเรื่องพระปิดตาหลวงพ่อเชย ซึ่งคุณเชียรได้เมตตาถอดพระปิดตาหลวงพ่อเชยในตลับทองให้ผมดูที่ร้านกาแฟออนล็อคหยุ่น เฉลิมกรุง ท่านได้เล่าเรื่องพระปิดตานี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า

    เมื่อผมได้ไปศึกษากรุพระลือโขง หรือเรียกว่า จามเทวีซุ้มเรือนแก้ว ที่ จ.ลำพูน ได้มีโอกาสได้หม้อบรรจุกระดูกที่พบอยู่ พร้อมกับองค์พระมาทำการศึกษา ได้ล้างเศษหม้อใส่กระดูกชิ้นนั้นในโรงแรมที่ผมพัก

    เมื่อล้างแล้วก็รู้สึกขนลุกไปทั่วตัว คล้ายกับกระทบกับความเย็นอย่างรุนแรง แม้จะปลอบใจตัวเองว่า แอร์ของโรงแรมนั้นเปิดมากไป แต่ก็ไม่อาจข่มไว้ได้ เมื่อความหนาวกลายเป็นความร้อน และส่อเค้าว่า ผมกำลังจับไข้ ผมจึงเอาเศษหม้อใส่กระดูกนั้น ยัดลงไปในถังขยะของโรงแรม

    หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ผมก็รู้สึกไม่สบายใจ เหมือนมีอะไรมาคอยบอกว่า ผมได้ไปลบหลู่วิญญาณของเขาอย่างรุนแรง เขาจะต้องเอาเรื่องแบบกัดไม่ปล่อย

    ตั้งแต่ผมกลับมาถึงบ้าน ผมถูกอาถรรพณ์เล่นงานติด ๆ กัน ตั้งแต่การงานไปจนถึงรถยนต์ที่นั่ง ทำให้ผมเริ่มรู้ถึงแรงอาถรรพณ์เป็นลำดับมา แม้จะรู้ได้ แต่ผมก็ไม่อาจแก้ไขได้ เพราะผมไม่ใช่ผู้เรืองวิทยาคม จะได้สู้กับอาถรรพณ์ได้

    ต่อมามีผู้ที่ผมรักเหมือนลูกบุญธรรม มาบอกกับผมถึงเรื่องอาถรรพณ์ และการแก้ว่า

    “คุณแม่ (หมายถึงภรรยาผมซึ่งล่วงลับไปแล้ว) ได้มาบอกกับผมว่า ให้หาพระปิดตาหลวงพ่อเชยไว้ให้คุณพ่อติดตัว เพราะเคราะห์ร้าย วิญญาณร้ายรบกวน”

    ผมฟังแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะผมคิดว่า พระรอด พระซุ้มกอ และพระเครื่องสกุลกำแพงเพชรนั้น มีอานุภาพสูงกว่าพระปิดตาหลวงพ่อเชย ซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อน

    ต่อมาไม่นาน ลูกบุญธรรมของผมก็มาเตือนอีกว่า คุณแม่ไปเข้าฝัน ให้หาพระปิดตาหลวงพ่อเชยให้ผมติดตัว ผมจึงเริ่มรู้สึกว่า ภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วของผม คงเป็นห่วงผม จึงได้เข้าสนามไปหาผู้ที่รู้จักและชำนาญด้านพระปิดตาหลวงพ่อเชย ได้มาองค์หนึ่ง จึงเอามาทำตลับทองแขวนเดี่ยว ปรากฏว่า อาการขนพองสยองเกล้า และการคุกคามทางลับ ของสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องได้รับความเดือดร้อน หายไปอย่างปลิดทิ้ง

    หลวงพ่อเชย วัดท่าควาย เป็นพระสมถะรักสันโดษมักน้อยไม่สนใจในยศถาบรรดาศักดิ์ ชอบเก็บตัวเองในกุฏิเพื่อบำเพ็ญปฏิบัติตลอดเวลา ฉันอาหารวันละมื้อแบบเอกา ท่านมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อช้าง วัดตึก หลวงพ่อคง วัดบางกะพี้ โดยเฉพาะกับหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ สมุทรสาคร ขนาดว่าหลวงพ่อรุ่งยังมาขอพระท่านไปแจกลูกศิษย์ลูกหา จนเป็นปัญหาที่สับสนกันภายหลังว่า เป็นพระใครกันแน่ แต่ต่อมามีผู้รู้เปิดเผย เรื่องนี้จึงยุติ และเล่นหาเป็นหลวงพ่อเชยเพียงสำนักเดียว

    พระปิดตาหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย จัดสร้างประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๐ เศษ ๆ เป็นพระยุคเก่า นิยม อยู่ในชั้นแนวหน้า ประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย สร้างด้วยผงพุทธคุณคลุกรัก และวัสดุอาถรรพณ์มากมาย มีสีดำสนิท และดำอมน้ำตาล ขัดสมาธิเพชร ยกพระกรสองข้างขึ้นปิดพระพักตร์ ปลายพระหัตถ์เสมอไรพระเกศ พระอุทรพลุ้ยเล็กน้อย แบ่งออกเป็นสองพิมพ์ คือ พิมพ์ประกบสองหน้า และพิมพ์หน้าเดียวหลังยันต์ (บางองค์ไม่มียันต์ก็มีพบเหมือนกัน)

    วัดท่าควาย ปัจจุบันเปลี่ยนนามเป็น วัดเสถียรวัฒนะดิษฐ์ เป็นวัดเก่าแก่ย้อนขึ้นไปถึงปลายสมัยอยุธยาก่อนเสียกรุง แต่เดิมมา เป็นที่ที่พ่อค้าวานิชที่ค้าขายทางเกวียน มาจอดพักอยู่ที่ด้านหลังวัด เพราะน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ จึงเรียกติดปากว่า “วัดท่าควาย”

    หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์เชย เป็นเจ้าอาวาสรูปที่สามของวัดท่าควาย (เท่าที่สืบค้นมาได้) เป็นพระผู้เชี่ยวชาญด้านธุดงควัตร และเคยธุดงค์ไปถึงมัณฑเล พม่า และ นครวัต นครธม กัมพูชา เป็นพระเถระที่คงแก่เรียน ได้วิชาอาคมระหว่างเดินธุดงค์เป็นอันมาก โดยเฉพาะการปราบภูติผีปีศาจ และการถอดถอนคุณไสย์ต่าง ๆ ทำให้ท่านมีพวกหมอไสยเวทดำ คอยจ้องทำร้ายท่านอยู่เป็นประจำ แต่ทำอะไรท่านไม่ได้

    ท่านมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ สิริรวมอายุได้ ๕๗ ปี พรรษาที่ ๓๗ หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่านั้น ยกย่องหลวงพ่อเชยว่า เป็นพระที่มีพลังจิตสูง เคยได้แลกเปลี่ยนวิชากับท่านไปหลายอย่าง และยังได้แนะนำให้เสด็จใน กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไปนมัสการและเล่าเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมจากหลวงพ่อเชยหลายแขนงอีกด้วย

    มีเรื่องเล่ากันสืบมาว่า ในการตัดต้นไม้ของชาวบ้านเพื่อให้พ้นทางที่จะปลูกบ้าน เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเลื่อย หรือขวาน ไม่อาจทำให้ต้นไม้ต้นนั้นเกิดรอยแผลขึ้นได้ ฟันลงไปขวานก็เด้ง จึงมีการบนบานศาลกล่าวต่อรุกขเทวดา ผีสางนางไม้ แต่ก็ยังโค่นต้นไม้ไม่ได้อยู่ดี ร้อนถึงต้องปีนขึ้นไปดูบนคาคบไม้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ปรากฏว่าพบพระปิดตาหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย ค้างอยู่ที่คบไม้ จนกระทั่งกร่อน จึงนำลงมา ปรากฏว่าคราวนี้ไม่ต้องออกแรงมาก ต้นไม้ก็ล้มลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง

    คนแถบวัดท่าควายสั่งกันไว้ว่า เมื่อเกิดมีผีเข้าเจ้าสิงผู้ใดก็ตาม ให้เอาพระปิดตาหลวงพ่อเชยลงแช่ในขันน้ำ ทำน้ำมนต์ จะรดไล่ภูติผีปีศาจไปได้เป็นอย่างดี และได้ผลชะงัด แม้แต่คุณไสย์ก็จะไม่กล้ำกรายผู้มีพระหลวงพ่อเชยอยู่ติดตัว ด้วยอำนาจพระเวทอันเข้มขลังของหลวงพ่อเชยนั่นเองเป็นหลักใหญ่
     
  16. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    กุมารทอง หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ

    ลุงอุดม แย้มทองคำ เปิดแผงพระอยู่กระทุ่มแบน ได้ กุมารทองหลวงปู่ใจ มา เป็นรูปหล่อลอยองค์เลี่ยมเอาไว้แล้ว แกตั้งใจจะเอาไว้ปล่อย

    วันแรกแกมาเปิดแผงพระหลังจากได้ กุมารทองหลวงปู่ใจวัดเสด็จ ก็มีหญิงสายวัย 30 ปีกว่า ๆ เป็นคนเร่ขายสลากกินแบ่ง คุยไปคุยมาทราบว่าหญิงสาวอยู่พระประแดง สมุทรปราการ มีอาชีพเร่ขายสลากกินแบ่ง เกิดชอบกุมารทองจึงขอเช่าบูชา ลุงอุดมก็ตัดสินใจให้เช่าไป

    หญิงสาวเอาห้อยคอ แล้วตระเวนขายสลากกินแบ่งไปเรื่อย ๆ ปรากฏว่า วันนั้นขายสลากหมดเลย นับว่าขายดีมาก เพราะตั้งแต่ขายมาไม่เคยขายหมดในวันเดียวเลย จากนั้นเธอก็เดินทางกลับบ้านที่พระประแดง

    คืนนั้นเองกุมารทองก็ปรากฏร่างให้หญิงสาวเห็น พูดแต่คำว่า “กูไม่อยากอยู่…กูไม่อยากอยู่” กุมารทองพูดอยู่แค่นี้เอง หญิงสาวไม่เข้าใจจึงมาหาหมอดูให้ทำนายให้ในวันรุ่งขึ้น หมอดูฟังแล้วจึงบอกหญิงสาวว่า “ต้องเอาไปคืนเจ้าของเขา”

    หลังจากหมอดูทำนายให้แล้ว หญิงสาวก็กลับบ้าน คืนนั้นเอง กุมารทองก็ปรากฎตัวอาละวาด ทำให้เกิดเสียงดัง ช้ง เช้ง ไปทั้งบ้าน จนหญิงสาวนอนไม่หลับ

    เช้าวันใหม่ หญิงสาวรีบออกจากบ้านแต่เช้ามืดมาหาลุงอุดม เอากุมารทองคืนให้แก แล้วเล่าเรื่องให้ฟัง ลุงอุดมรับคืน จากนั้นได้มีคนติดหนี้แกอยู่หลายคนแกเลยอธิษฐานว่า

    “กุมารทองน้อยช่วยไปลากตัวลูกหนี้มาหาด้วยเถิดลูก” ลูกหนี้คนนี้ผิดนัดไปเกือบเดือนแล้ว ไม่ยอมมาเลยพอ จบคำอธิษฐาน สักครึ่งชั่วโมง ก็ปรากฎร่างของลูกหนี้ เอาเงินมาจ่ายจริง ๆ จนได้เงินจากลูกหนี้หมดทุกบาททุกสตางค์

    ต่อมาอีก 3-4 วัน มีชายคนหนึ่งวัย 50 ปี มาดูพระ พอลุงอุดมเผลอก็ขโมยพระที่แผงของแกไป หลังจากที่ชายคนนี้ไปแล้ว ลุงอุดมรู้ทันทีเพราะมีเขาดูอยู่คนเดียว

    อีก 2 วันต่อมา ลุงอุดมเห็นชายคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา จึงเรียกให้จอด เขาจอดรถลงมาหาลุงอุดมจึงถามว่า “ขโมยพระไปหรือเปล่า” “เปล่า…ไม่ได้ขโมย” ชายคนนั้นว่า ลุงอุดมเอา 2 มือกุมกุมารทอง ยกมือไหว้ แล้วพูดขึ้นว่า


    “ถ้าใครเอาไปขอให้กุมารน้อยเล่นงานมัน ขี่รถก็ขอให้ถูกชนแข้งขาหัก โอม! เพี้ยง” ชายคนนั้นยืนหน้าซีดขาสั่นแล้วจากไป พอวันรุ่งขึ้นเท่านั้น ลุงอุดมได้ข่าวชายคนนั้นรถมอเตอร์ไซค์ล้ม แข้งขาถลอกปอกเปิกหมดเลย หักหรือเปล่ายังไม่รู้
     
  17. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    สวัสดีครับ ภูเขาไฟระเบิด กับแผ่นดินไหว เหมือนเป็นเรื่องที่ปกติแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงครับ ที่แรงๆ ก็จะมีประมาณ สองสามปีครั้งครับ โชคดีที่ไม่ได้เกิดหนักๆที่ จาร์กาต้าครับ
     
  18. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    ลึกล้ำมากครับ นับถือ นับถือ
     
  19. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    ก่อนนอนนะครับ กับภาพวาดจากอินโดครับ สบายตานะครับ ไม่รู้ว่าชอบกันไหม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0031.jpg
      IMG_0031.jpg
      ขนาดไฟล์:
      129 KB
      เปิดดู:
      67
  20. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    ขอลองออกความเห็นเรื่องกิจกรรมนะครับ ผมว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควรกว่าจะถึงวันพ่อ เป็นไปได้ไหมครับที่จะเอาของที่มี ออกมาประมูลกัน อาจจะสัปดาห์ละ 5 องค์ เพื่อนๆ คนไหนอยากบูชา ก็ช่วยกันดัน คนที่ประมูล ก็ช่วยทำบุญและได้พระที่ตนต้องการบูชาด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...