ไม่รู้ว่ามีใครเห็น Planet X หรือยัง?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 21.12.2012=11, 17 สิงหาคม 2010.

  1. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ..ดีแล้วครับ ใครมีข้อมูล มาช่วยกัน เพราะ เป็นทางเดียวที่เราจะ ทราบคำตอบที่ถูกต้อง...

    ข้างล่าง ซ้ายมือ เป็น ดาวศุกร์ ถ่ายช่วงเช้า ในเดือน พ.ย. ๒๕๕๒
    http://commons.wikimedia.org/wiki/File:The_Moon_in_Conjunction_with_Venus_and_Jupiter.jpg

    และ ภาพกลาง ถ่ายเมื่อ ช่วงเวลาเช้า ของ พ.ย. ๒๕๕๓.....
    globalastrologyblog.blogspot.com


    ภาพขวามือสุด ถ่ายเมื่อ พ.ย. ๒๕๕๑...chattahbox.com

    <O:p</O:p
    เห็นได้ว่า มีข้อแตกต่างกัน แต่ ก็ อาจเป็นเพราะ ต่างสถานที่ ...ทางที่ดีที่สุดคือ ท่านใด ที่เฝ้าสังเกตดวงดาวนี้ เป็นประจำ ตลอดระยะเวลา หลายๆปี จะ ให้คำตอบที่ดีที่สุด...

    สำหรับ ZETA TALK หากพ้นต้นเดือน ธันวาคม ไปแล้ว..ดาวศุกร์ยังคงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆนั่นแหล่ะครับ ข้อสัณนิฐานของเขาจึงน่าจะ ถูกต้อง...เรื่องนี้ ต้องตัดสินด้วยเวลา....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. cjundee2

    cjundee2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +71
    คุณ Old Man ฯ ถามอีกนิดที่บอกว่าไม่มีทางที่ Cern จะทำได้เพียงเพราะไม่ีมีใครดำเินินการ

    เดินเครื่องนานๆ ใช่ป่าวครับ เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นถ้าผมคิดในมุมร้ายๆ ก็คือ

    ถ้าพวกเขาดันทะลึ่งทำล่ะ คุณว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่มันจะเปลี่ยนให้ดาว planet x เป็นฝาย

    หมุนแกนหนีไปเอง แล้วถ้ามันเป็นไปแบบนั้น มันจะมีโอกาสที่จะเปลี่ยนจากการผลักกันมาเป็นดูด

    เข้าหากันหรือป่าวครับ
     
  3. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ...หากเป็นไปตามที่คิด เช่นนี้...และ คุณหมายถึงการทำหลุมดำ...
    โลกนั่นแหล่ะครับ ที่จะ สลายตัว แต่ PX คงไม่...เพราะ มันจะบิน ผ่านไปก่อนที่จะเข้าระยะวิกฤต ผมใช้คำว่า คงจะ...เพราะ ดิดว่า PX เป็นอะไรบางอย่างที่ พิเศษกว่า ดาวสามัญ เพราะจวบจนบัดนี้ กล้องดูดาวแบบใช้แสงธรรมดา ก็ ยังจับภาพไม่ได้...ซึ่งในระยะแค่ระหว่างโลก และ ดวงอาทิตย์นี้ มัน เหลือที่ จะเชื่อ...

    อย่าลืมว่า zeta talk พูดทุกอย่าง บนพื้นฐานที่ว่า...พลาเน็ต เอ๊กซ์ นั้น มีจริง และ ถ้าหากว่า มันไม่มีจริงล่ะ.(เพราะเราหามันไม่เจอ).. ทุกอย่างคงโอละพ่อน่าดู...

    ..ดังนั้น...ความเห็นและ ข้อมูล ต่างๆ จากท่านที่สนใจ จึงเป็นสิ่งที่ จำเป็น แต่ สำหรับ zeta talk เขาจะยอมรับเฉพาะข้อมูล ที่ ไปในทางเดียวกันเท่านั้น...คือ เชื่อว่า PX นั้น มีจริง ซึ่งแตกต่างกับผม...แม้ว่า ผมจะสังกัด ก๊วนโลกแตก ก็ตาม...ผมยัง รับข้อมูลในทุกด้าน...ยกเว้นก็ต่อเมื่อ ผม มองเห็น PX ด้วยสายตาแล้วเท่านั้น...
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องการชนกันของ px กับโลก ไม่เคยมีประวัติศาสตร์บันทึกไว้ให้เรารู้มีแต่ตำนานเรื่องเล่า
    โปราณของชนชาติโบราณ ไม่รู้จะเชื่อได้ไหม แต่ก็เป็นข้อมูลที่รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม เนาะ
    รู้ไว้ว่าคนโบราณเขามีเรื่องเล่าลือกันมาแบบนี้ก็แล้วกัน
    [​IMG]

    Anunnaki ของชาวสุเมเรียน

    [​IMG] [​IMG]

    พระเจ้าของชาวสุเมเรียน

    มาจากหนังสือ จุดกำเนิดแห่งมนุษยชาติ นิบิรุ Planet X เรียบเรียงจากงานเขียนของ Sitchin
    Chapter Eight: Kingship of Heaven แปลความโดยคุณโซนิค แห่งเว็บ mythland
    The Great Planet
    <B>
    Oh the great planet

    </B>
    As his apprearance, dark red...
    The Heaven he devides in half,
    And stands as Nibiru.
    นี่คือบทนำในจารึกโบราณ (ที่ตามมาด้วยคำพรรณนาอีกยาวยืด แต่ผมไม่ยกมา) ที่กล่าวถึงความผิดปกติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว อุทกภัยและวาตภัยใหญ่โตที่เกิดขึ้นเมื่อดาวเคราะห์นิบิรุปรากฏบนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติดังกล่าวโดยเฉพาะน้ำท่วมและพายุ เป็นปรากฏการณ์ที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันครับ ว่าเมื่อดาวเคราะห์สองดวงโคจรมาใกล้กันมากๆ(แต่ไม่ชนนะ) ผลจากแรงดึงดูดจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น

    [​IMG]
    ดาวน์โหลด (8.42 KB) รูปประกรอบ

    ภาพวาดโบราณที่ขุดพบที่นิปเปอร์ แสดงให้เห็นเกษตรกรกลุ่มหนึ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อสังเกตการขึ้นของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 (ในภาพใช้สัญลักษณ์กางเขน) เอ... ลงแหงนหน้ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแบบนี้เนี่ย เป็นไปได้ไหมว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ หนึ่ง..จะมีขนาดที่ใหญ่เอามากๆ สอง..มีแสงสว่างในตัวเอามากๆ หรือ สาม...ทั้งสองข้อมารวมกัน

    ในบทเอไสยะห์, อาโมส และจ็อบของคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าก็กล่าวถึงดาวดวงนี้ด้วยเช่นกัน ในส่วนของรายละเอียดขอก็บไว้เล่าในเล่มหลังๆละกันนะครับ เพราะเกี่ยวกับเนื้อหาในคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าโดยตรงเลย

    นักวิชาการหลายคนวิเคราะห์ภาพนี้แล้วลงความเห็นว่า น่าจะเป็นภาพการสังเกตดาวหางของคนโบราณมากกว่าการดูดาวเคราะห์ ในขณะที่อีกกลุ่มระบุว่าถ้าเป็นดาวหางสัญลักษณ์ที่ใช้แทนก็น่าจะมีหางสิ เพราะคนโบราณเหล่านี้ก็คุ้นเคยกับดาวหางดีอยู่ เอาเป็นว่าอย่าไปฟังเค้าเถียงกันเลยครับ เรามาสรุปเอาเองดีกว่าว่ามันคือภาพของดาวเคราะห์ที่มีพฤติกรรมคล้ายดาวหาง ต่างหากเล่า ฮา ฮา...

    นอกจากลักษณะของวงโคจรแล้ว MARDUK / NIBIRU ยังมีส่วนที่คล้ายกับดาวหางอีกกล่าวคือ ดาวหางบางดวงที่พวกเรารู้จักเช่น ดาวหางฮัลเลย์นั้นจะปรากฏให้พวกเราเห็นทุกๆ 75 ปี และหายไปอีกเป็นระยะเวลายาวนานจนกว่าจะวนกลับมาอีกครั้ง สำหรับนักดาราศาสตร์ใช่ ว่าพวกเขาจะมีโอกาสพบเห็นดาวหางดวงเดิมซ้ำอีกครั้ง เพราะดาวหางบางดวงสามารถมองเห็นได้เพียงครั้งเดียวในชั่วชีวิตหนึ่งของผู้ สังเกต (เช่น ดาวหางฮัลเลย์) บางดวงหนักไปกว่านั้นเพราะหนึ่งรอบวงโคจรของมันกินเวลานับเป็นพันๆปี

    ตัวอย่างก็คือดาวหาง Kohoutek ที่ถูกค้นพบในปี 1973 ดาวหางดวงนี้โคจรใกล้โลกที่สุดเมื่อปี 1974 ด้วยระยะห่าง 75,000,000 ไมล์ มันหายไปสู่ด้านหลังของดวงอาทิตย์หลัง จากนั้นไม่นานนัก นักดาราศาสตร์ทำนายว่ามนุษยชาติจะเห็นดาวหางดวงนี้อีกครั้งราวๆ 7,500 - 75,000 ปีข้างหน้า เกิดแล้วตายอีกกี่ชาติล่ะครับเนี่ยถึงจะเห็น -_-'

    ดาวน์โหลด (946 Bytes) รูปประกรอบ

    วงโคจรของ Planet X

    แล้ววงโคจรของนิบิรุจะยาวเท่ากับดาวหาง Kohoutek ไหม? คำตอบคือไม่ ส่วนจะยาวเท่าไหร่ยังไม่มีใครกล้ายืนยัน

    จริงๆแล้วนักดาราศาสตร์ปัจจุบันก็ตั้งความหวังเอาไว้เหมือนกันครับว่า น่าจะมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อีกดวง(ที่ไม่ใช่เซดนา)รอการค้นพบของพวกเขาอยู่ สาเหตุที่ทำให้นักดาราศาสตร์พากันคาดการณ์เช่นนั้นก็เพราะ พฤติกรรมอันแสนประหลาดของดาวเคราะห์รอบนอกหลายๆดวง ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังโดนรบกวนจากแรงดึงดูดของเทหวัตถุขนาดใหญ่ ซึ่งเรายังไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรในปัจจุบันนี้

    จารึกเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของชาวสุเมเรียนกล่าว ว่า หนึ่งวงโคจรหรือหนึ่งคาบของดาวดวงนี้กินเวลา 3,600 ปี โดยตัวเลข 3,600 นี้ถูกเขียนเป็นสัญลักษณ์ของวงกลมขนาดใหญ่ วงกลมอันสมบูรณ์แบบที่เรียกกันว่าชาร์ (Shar) ซึ่งตีความได้สามความหมายคือ ดาวเคราะห์/วงโคจร/3600

    บันทึกของนักบวชเบรอสซัสแห่งบาบิโลเนียน ได้กล่าวถึงผู้ปกครองแผ่นดินทั้ง 10 ก่อนยุคน้ำท่วมโลก (สากลเหลือเกินนะครับ ชาติไหนตำนานใดก็ล้วนแล้วแต่มีเรื่องของน้ำท่วมโลกแทบทั้งสิ้น) หรือที่รู้จักกันในนามของ 10 Kings of Chaldeans ที่ นอกจากจะระบุพระนามของกษัตริย์ผู้ปกครองทั้งสิบพระองค์แล้ว ยังมีช่วงปีที่แต่ละพระองค์ขึ้นครองราชย์ก่อนผลัดแผ่นดินอีกด้วย ที่น่าแปลกใจก็คือเวลารวมทั้งหมดจากกษัตริย์องค์แรกจนถึงองค์ที่ 10 กินเวลา 120 ชาร์ หรือ 432,000 ปี

    ส่วนรายนามกษัตริย์สุเมเรียนฉบับหนึ่งกล่าวถึงผู้ปกครองแผ่นดินแห่งราชวงศ์ เทพ ทำการปกครองนครรัฐแรกของโลกคือเอริดู (Eridu) กษัตริย์สองพระองค์มีคำนำหน้านามว่า อา(A) อันหมายถึงแหล่งกำเนิดหรือต้นตระกูล
    <B>
    A.LULIM ปกครองแผ่นดิน 28,800 ปี
    </B>
    A.LAL.GAR ปกครองแผ่นดิน 36,000 ปี
    สองกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน 64,800 ปี
    คนหรือเปล่าครับนั่น! ทำไมถึงได้อายุยืนปานนั้น จากชื่อของเมืองและกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จ จริงอันน่าพิศวง ประการแรกคืออายุขัยของกษัตริย์เหล่านั้น ประการที่สองก็คือช่วงเวลาในแต่ละรัชกาลหารด้วย 3600 ได้อย่างลงตัว



    ดาวน์โหลด (16.65 KB) รูปประกรอบ

    ข้อสังเกตดังกล่าวนำไปสู่บทสรุปบางประการครับ กล่าวคือแต่ละยุคของกษัตริย์เหล่านั้นไปมีส่วนสัมพันธ์กับวงคาบของมหาวงจร ศักดิ์สิทธิ์หรือ Shar อันกินเวลา 3600 ปับนโลก ถ้าสมมติ(สมมตินะครับ เพราะเอกสารโบราณกล่าวไว้เช่นนั้น)ว่ากษัตริย์โบราณยุคก่อนน้ำท่วมโลกเป็น เชื้อสายของ Nefilim (หรือ Anunnaki) ตามที่เอกสารโบราณกล่าวอ้างและเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงที่ 12 จริง มันก็ไม่น่าแปลกที่อายุขัยและช่วงรัชกาลของกษัตริย์โบราณจะใช้หน่วยนับจาก ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 คือรอบละหนึ่งชาร์หรือ 3600 ปี อนึ่ง... ดาวเคราะห์ MARDUK / NIBIRU มักถูกคนโบราณนำมาเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า Winged disc ซึ่งบางครั้งถูกแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาทหรือกางเขน ซึ่งเข้ากับชื่อ Planet of Crossing พอดี๊ พอดี...

    เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว... บางท่านอาจทักท้วงขึ้น

    สมมติว่า Anunnaki หรือ Nefilim เดินทางมายังโลกในฐานะผู้ปกครองแผ่นดินจริง รวมทั้งครองราชย์เป็นระยะเวลา 28,800 หรือ 36,000 ปีจริง อะไรหมายถึงปีที่ว่า ปีของโลกมนุษย์หรือปีของ Planet X?

    เป็นคำถามที่น่าคิดมากครับ ปีในความหมายของพวกเราคือคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบหนึ่งรอบ ซึ่งเราใช้เป็นหน่วยนับอายุขัยของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีฟ้า ดวงนี้ ดังนั้นคำว่าปีของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดๆก็ตาม จึงน่าจะวัดตามคาบเวลาหนึ่งรอบที่ดาวดวงนั้นโคจรรอบดาวแม่ของตนด้วย โอ้โหเฮะ... เวลา 28,800 ปีบนโลกนับว่ายาวนานพออยู่แล้ว ถ้าสองหมื่นกว่าปีที่ว่าเป็นปีของดาวเคราะห์นิบิรุล่ะครับมันจะยาวนานขนาด ไหนสำหรับพวกเรา?

    บังเอิญว่าในจารึกโบราณค่อนข้างชี้ชัดว่าปีในเนื้อความหมายถึงปีของโลก มนุษย์ นั่นหมายถึงบางครั้งการเทียบอายุของ Anunnaki จำเป็นต้องดูบริบทประกอบให้ดีๆว่าจารึกกำลังกล่าวถึงปีบนดาวดวงใดอยู่ อย่าลืมว่า Anunnaki ผู้มีอายุ 10 ปีนิบิรุจะมีอายุถึง 36,000 ปีโลก! ฟังแล้วก็อดนึกถึงเรื่องในพุทธศาสนาไม่ได้ ในข้อที่ว่านอกจากชมพูทวีปอันหมายถึงโลกมนุษย์ของเราแล้ว ในสากลจักรวาลยัง ประกอบด้วยทวีปอื่นๆที่มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่ หนึ่งวันของพวกเขากับหนึ่งวันของเรายาวไม่เท่ากัน ซึ่งก็นับว่าสอดคล้องกับเรื่องราวในจารึกโบราณของตะวันออกกลางอยู่ว่าไหม ครับ?

    นอกจากนั้น วลีที่ว่า พันปีโลกเท่ากับหนึ่งปีสวรรค์ยังเป็นแนวความเชื่อสากลในหลายๆศาสนาอีกด้วย...

    Chapter Eight: Kingship of Heaven

    ข้อสังเกตอีกอย่างจากนักโบราณคดีก็คือ อารยธรรมของมนุษย์ก้าวกระโดดไปในช่วงที่บรรจบกับการมาเยือนของเทพเจ้าตาม จารึกโบราณอย่างน่าพิศวง กล่าวคือ มนุษย์เริ่มเข้าสู่ยุคนิโอธีลิคเมื่อประมาณ 11,000 BC, ยุคเครื่องปั้นดินเผา 7,400 BC และอารยธรรมแบบปุบปับที่โผล่ขึ้นแบบไม่รู้ที่มาของชาวสุเมเรียนเมื่อประมาณ 3,800 BC

    จากข้อนี้แสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้ปกครองจากห้วงอวกาศลงมาเยือนโลก และช่วยเร่งพัฒนาของมนุษยชาติอยู่เป็นช่วงๆ นั่นอาจจะหมายถึงพวกเขาเดินทางไปกลับระหว่างดาวแม่และโลกได้ไม่สะดวกนัก เนื่องจากข้อจำกัดของระยะทาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยคาบเวลาที่ดาวแม่โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดเป็น ช่วงเวลาของการเดินทาง ซึ่งช่วงดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบทุก 3600 ปีเท่านั้น แหม... ยังกะอ่านนิยายวิทยาศาสตร์เลยครับ สารภาพตรงๆว่าผมเองก็ยังไม่ค่อยจะศรัทธาเท่าไหร่ ^^

    ย้อนกลับมากล่าวถึงดาวเคราะห์ปริศนาที่ได้ชื่อว่า Kingship of Heaven กันอีกที คำพรรณนาเกี่ยวกับ MARDUK/NIBIRU ที่ว่าทรงอาภรณ์เป็นรัศมีน่าจะเป็นรายละเอียดของดาวเคราะห์มากกว่าสำนวนกวี พาไป กล่าวคือดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวคงมีแสงสว่างเอามากๆ ควรมีความร้อนอันเกิดจากแกนกลางของตัวมันเอง และมีบรรยากาศหนาแน่นซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่กักความร้อนแล้ว ยังสามารถทำปฏิกิริยากับความร้อนภายในและแผ่รังสีออกสู่ห้วงอวกาศได้



    ดาวน์โหลด (8.68 KB) รูปประกรอบ

    ใน Enuma Elish คุณได้ทราบแล้วถึงการเฉี่ยวชนดาวดวงอื่นๆของ MARDUK/NIBIRU ก่อนที่จะมาชนกับ TIAMAT เข้าโครมเบ้อเริ่ม ตรงนี้แหละครับที่นักคิดนักเขียนหลายๆคนสงสัยกันว่า ปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตอาจจะเริ่มขึ้นตอนนี้เพียงแต่ว่ายังไม่พบ สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม การเฉี่ยวชนที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับดาวดวงต่างๆนั้นมีส่วนเป็นไปได้ อย่าลืมว่าดาวเคราะห์ดวงต่างๆ เช่น ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ยูเรนัส หรือเนปจูนนั้นแม้มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต แต่อย่างน้อยดาวเคราะห์ที่ผมเอ่ยนามมาทั้งหมดก็ล้วนอุดมไปด้วยแร่ธาตุอัน เป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของชีวิต

    ปฏิกิริยาอันเกิดจากการเฉี่ยวชนได้ฟอร์มรูปแบบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ จนกระทั่งเมื่อมาชนเอาจังๆกับดาวเคราะห์เทียแมท จุดอุบัติของสิ่งมีชีวิตโบราณในรูปอินทรีย์สารจึงถือกำเนิดขึ้น เนื่องจากดาวเคราะห์คู่กรณีทั้งสองมีองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ตรงกันคือน้ำ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต(อย่างน้อยก็ในรูปแบบที่พวกเรารู้จัก) โดยเฉพาะเมื่อตำนานโบราณย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับการมีมหาสมุทรและแหล่งน้ำของ ดาวเคราะห์สองดวงนี้

    นี่ไม่ใช่แนวคิดอันเลื่อนลอยนาคุณ แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเองก็ยังยอมรับว่า เป็นไปได้ที่กุญแจสำคัญของการอุบัติสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรานั้นมาจากห้วง อวกาศ เจ้ากุญแจดังกล่าวอาจเป็นก้อนอุกกาบาต ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง หรืออะไรก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่กล้าระบุ ถ้าคุณเคยอ่านแนวคิดของซุปดึกดำบรรพ์ (Primeval soup) คุณจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แถมจะคล้อยตามทฤษฎีนี้เอาได้ง่ายๆด้วยสิครับ ฮา ฮา...

    ดาวน์โหลด (7.71 KB) รูปประกรอบ

    ดาวน์โหลด (8.13 KB)

    ป.ล. ถ้ามีเวลาเดินแผงหนังสือโปรดมองหา เอกภพ สรรพสิ่ง และมนุษยชาติ ที่แปลโดยคุณรอฮีม ปรามาท มาอ่านเสีย ใครที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก็ให้ไปยืมจากห้องสมุด(ผมเชื่อว่ามี) ลองอ่านบทที่ 5 จากธุลีสู่ชีวิต แล้วคุณจะเข้าใจเนื้อหาของ 12th Planet ในบทที่เจ็ดและแปดนี้มากขึ้น

    MARDUK/NIBIRU ทรงโรมรันกับ TIAMAT จนสะท้านทั่วระบบสุริยะ เศษชิ้นส่วนของดวงจันทร์บริวารแห่งเทียแมทกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยบ้าง ดาวหางบ้างอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ กระนั้นก็มีอยู่ไม่น้อยที่สะเก็ดดาวเหล่านั้นถูกแรงดึงดูดของเทียแมทดึงเข้า ถล่มตัวเองในลักษณะของห่าอุกกาบาต

    ...เทหวัตถุนับไม่ถ้วนที่โหมลงมา อาจมีสักชิ้นที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในการสร้างอินทรีย์สารขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยกินเวลานับพันล้านปี

    ในปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่มั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรา เกิดขึ้นได้เพราะวัตถุจากห้วงอวกาศ เพียงแต่ยังไม่มีใครบอกได้เท่านั้นเองว่าวัตถุเจ้ากรรมดังกล่าวเป็นอะไรและ มาจากไหน นี่เป็นคำถามที่ยังค้างคาใจใครหลายๆคนและรอวันให้คำตอบนั้นมาถึงโดยเร็ว

    Enuma Elish: the Epic of Creation ของเมโสโปเตเมียโบราณกลับอธิบายคำตอบส่วนหนึ่ง ซึ่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายได้ ก็นับว่าสมชื่อ Epic of Creation อยู่หรอก จริงไหมครับ :)

    ตำนานดาวนิบิรุมาเยือนโลกเมื่อครั้งอดีตกาล...

    (เป็นเรื่องของตำนาน ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาน)

    [​IMG]

    [​IMG]

    เมื่อกาลครั้งหนึ่งในอดีตประมาณ 500,000 ปี ล่วงมาแล้ว โลกของเราหรืออีกนามหนึ่ง"เทียมัต" เป็นสถานที่ที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ชื่อเทียมัตนี้เป็นชื่อดั้งเดิม ส่วนคำว่าโลกหรือไกอาเป็นชื่อที่เพิ่งใช้เมื่อเร็วๆ นี้

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนเทียมัตไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้ วงโคจรของมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์คือ ณ ตำแหน่งระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ส่วนดาวอังคารนั้นจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะที่ใกล้กว่าปัจจุบันนี้ซึ่งทำให้ดาวอังคารเหมาะที่จะใช้อยู่อาศัยได้เพราะมีอุณหภูมิพอเหมาะและมีน้ำในรูปของของเหลว ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทางนาซาและนักวิทยาศาสตร์ ยกเว้นก็แต่เรื่องวงโคจรที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปไม่ยอมรับเรื่องการวิวัฒนาการโดยสิ่งกระตุ้น

    ในช่วงนั้นเทียมัตอยู่ใกล้กับดาวซิริอุส (หรือโซทิสตามที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกขาน) ระบบสุริยะและระบบดาวซิริอุสนั้นมีความเกี่ยวโยงกันทางด้านแรงโน้มถ่วงซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์ ระบบซิริแอนนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์อคลีออนในกระจุกดาวลูกไก่ (พีลอาดีส) หรือที่จะเรียกขานว่าเขตพีลอาดีส พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะโคจรรอบศูนย์กลางกาแลกซี่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) ในรอบระยะประมาณ 200 ล้านปี และรอบการโคจรของระบบซิริแอนและเขตพีลอาดีสจะมาบรจจบอยู่ในแนวเดียวกับศูนย์กลางกาแลกซี่ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) โปรดเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหนือความคาดหมาย!!!

    วกกลับมาคุยถึงเรื่องประวัติของนิบิรุ และ เทียมัต โลกของเราในช่วงนั้นมีสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปัจจุบันมาก ประชากรมนุษย์ในยุคนั้นตามที่นักโบราณคดีเรียกคือมนุษย์นีแอนเดอทัลจะมีขนดกหนาและสันทัด ล่ำสันกว่าพวกเราในปัจจุบัน พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในโพรงถ้ำเพื่ออาศัยประโยชน์จากความอบอุ่นจากพื้นพิภพ เหล่าชาวพิภพแห่งเทียมัตนี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษจากพีลอาดีสซึ่งข้อเท็จจริงนี้สามารถยืนยันได้จากตำนานและนิทานปรัมปราของหลายชนชาติ เช่นชาวมายาและชาวโพลีนิเชีย แต่ในที่นี้จะขอเว้นที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของชาวพีลอาดีสบนเทียมัตไว้ก่อน

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนระบบสุริยะนั้นมีเสถียรภาพแต่เนื่องด้วยเหตุเหนือความคาดหมาย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งในระบบดาวซิริแอนได้เกิดพลัดออกนอกแนวทางโคจรและมุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะ ซึ่งดาวเคราะห์นี้ได้ถูกจับไว้เป็นบริวารของระบบสุริยะโดยที่มีวงโคจรที่รีคล้ายวงโคจรของดาวหางซึ่งมีคาบการโคจรหนึ่งรอบในเวลา 3,600 ปี และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดในบริเวณกลุ่มเฆมออร์ด โดยที่คาดกันว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดาวเนปจูน ประชากรบนดาวนี้จะมีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่ปกครองโดยชนชั้นปกครองที่เรียกว่า “เนฟิลิม” (ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากพระคริสต์ธรรมคำภีร์) ประชาชนทั่วไปจะเป็นที่รู้จักกันในนาม “อนูนากิ” (Anunaki ตามที่เรียกขานโดยชาวสุเมเรียน) หรือ”อนาคิม” (ในพระคัมภีร์เก่า) ในช่วงนั้นผู้ปกครองสูงสุดคือจักรพรรดิ์ อลาลู และจักรพรรดินี ลิลิตู

    ภายหลังที่ถูกจับเป็นบริวารโดยดวงอาทิตย์ดาวเคราะห์นิบิรุได้เริ่มประสบกับภาวะสภาพอากาศที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย สภาผู้ปกครองทั้งสิบสองนำโดยจักรพรรดิ์อลาลูได้มีการประชุมฉุกเฉินและได้สรุปถึงวิธีป้องกันเพื่อความอยู่รอดของดาวเคราะห์โดยการสร้างโล่ห์ความร้อนที่ทำขึ้นมาจากทองเพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศจากการสูญเสียความร้อนซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตแบบสัตว์เลื้อยคลานที่ต้องขึ้นกับแหล่งความร้อนภายนอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย พวกเขาได้เริ่มทำการสำรวจระบบสุริยะใหม่นี้ทันที กองยานอวกาศได้ถูกส่งไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งเทียมัตเพื่อค้นหาทอง

    ผู้บังคับการมกุฏราชกุมาร อนู พร้อมทั้งราชโอรสทั้งสอง เอนกิ และ เอนลิล และราชธิดา นินคูซัคได้ร่อนลงในบริเวณที่ปัจจุบันคืออ่าวเปอร์เซียและย่างเท้าบนฝั่งในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศคูเวต ในที่สุดก็ได้ก่อตั้งท่าจอดยานอวกาศในบริเวณเมโสโปเตเมียในตำแหน่งที่มีตำนานว่าเป็นสวนอีเดน โดยความช่วยเหลือชาวพื้นเมืองเทียมัตพวกเขาได้พบกับขุมทองบนเทียมัตและสามารถนำทองนี้เป็นสร้างเป็นโลห์กักความร้อนได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีโลห์นี้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีชาวอนูนากิประจำอยู่บนเทียมัตเพื่อทำหน้าที่ขุดทองและส่งทองกลับไปยังนิบิรุอย่างสม่ำเสมอ
    ครั้งนึงอันแสนเนิ่นนานมาแล้วในช่วงที่นิบิรุโคจรรอบบดวงอาทิตย์มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณราวๆ 26,000 ปีของเทียมัตนิบิรุได้โคจรเฉียดเข้าใกล้เทียมัตมากจนก่ออันตรายร้ายแรง หนึ่งในดวงจันทร์บริวารได้พุ่งชนเข้ากับเทียมัตทำให้เกิดมหาสมุทรแปซิฟิค และได้ทำให้ทวีปเลอมูเกิดการเปลี่ยนแปลง

    ลักษณะของประชากรนิริบุจะมีความสูงในราว 10 – 20 ฟุต (3 – 6 เมตร) มีผมดกหลายสี แต่ขนตามตัวจะมีน้อยมากเพศผู้จะมีหนวดเคราบ้าง และส่วนมากจะมีเขาคล้ายเขาแพะบนศีรษะ ส่วนเพศหญิงส่วนมากจะมีปีก พวกเขาจะไม่มีเหงื่อและไม่มีกลิ่นตัวซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ให้ชาวพื้นเมืองเทียมัตทำหน้าที่ขุดทองหรืออยู่ใกล้กับพวกเขาเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกชนพื้นเมืองนี้มีกลิ่นตัวแรง ชาวนิริบุมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละเจ็ดนิ้ว อาหารของพวกเขามักจะเป็นอาหารเหลว และนิยมแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวที่ทำมาจากแผ่นทอง เมื่อเวลาผ่านไปคนงานชาวเหมืองเริ่มกระด้างกระเดื่องจนในที่สุดได้นำไปสู่การปฏิวัติและปฏิเสธการทำเหมือง

    องค์จักรพรรดิ์อนู จึงได้ปรึกษากับราชินีนันคูซัคซึ่งราชินีนี้ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์และพันธุศาสตร์ จักรพรรดิ์ได้ขอร้องให้ราชินีสร้างสิ่งมีมีชีวิตลูกผสมระหว่างชาวนิริบุกับชาวเทียมัต เพื่อทำหน้าที่เป็นแรงงานในเหมืองทอง องค์ราชินีได้ทรงรับหน้าที่ด้วยความรู้สึกท้าท้ายและในที่สุดก็ได้เป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมเพศชายจากไข่ของหญิงเทียมัติกับเชื้ออสุจิของเจ้าชายเอนกิ ราชินีเรียกลูกผสมนี้ว่า “อดามู/ อดัม” ในเบื้องต้นลูกผสมนี้มีแต่เพศชายทั้งสิ้น โดยที่ชาวนิริบุเพศหญิงจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อุ้มท้อง และเป็นที่เรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ว่า “เทพีแห่งการเกิด”

    และทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี นิริบุมีทอง ชาวอนูนากิเป็นอิสระจากการทำเหมือง ส่วนลูกผสมจำลองก็ได้รับการผลิตเพื่อให้เป็นแรงงานเหมืองที่ดีเลิศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังที่เคยเกิดในอดีต บรรดาเทพีแห่งการเกิดเริ่มรู้สึกเหลือทนกับการต้องมาอุ้มท้องพวกอดามู ดังนั้นชาวนิบิรุจึงได้ประท้วงและปฏิเสธที่จะอุ้มท้องอีกต่อไป ครั้งนี้จักรพรรดิ์อนูรับสั่งให้ราชินีเข้าเฝ้าและหลังจากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าให้สร้างลูกผสมที่เป็นเพศหญิง (อีวา/อีฟ) เพื่อให้ทั้งสองเพศได้ผสมพันธุ์กันเองในธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายดาย

    แต่ปรากฏว่าเพศทั้งสองนั้นเป็นหมันเนื่องจากว่าทั้งสองเพศเป็นลูกผสม ดังนั้นจักรพรรดิ์จึงได้มีกระแสรับสั่งให้เลิกกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตนี้เป็นลูกผสม ครั้งนี้ราชนีนินคูซัคได้ขอให้เจ้าชายเอนกิดำเนินการแทน เจ้าชายจึงให้ทั้งอดัมและอีฟกินสารบางอย่างเพื่อกลับกระบวนการที่ทำกับสิ่งมีชีวิต โดยหวังให้สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะลูกผสมน้อยลง สิ่งมีชีวิตทั้งคู่ได้ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานและเริ่มต้นจับคู่ผสมพันธุ์ แต่แล้วพระองค์ก็ได้ทรงทราบว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะกระบวนการนี้ทำให้ไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตนี้ได้ จักรพรรดิ์อนูจึงได้สั่งห้ามอดัมและอีฟเข้าไปในสวนอีเดนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ด้วยเหตุนี้มนุษย์โครมันยองได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้ค่อยๆ ล้มตายลงไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อันเนื่องมาจากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเนื่องจากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น และในที่สุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้สูญพันธุ์จนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงมนุษย์โคมันยองที่ครอบครองเทียมัต

    ในหนังสือเรื่องแผนร้ายสายรุ้ง (The Rainbow Conspiracy) แบรด สไตเกอร์ได้เขียนถึงโครงการทดลองฟิลาเดเฟียที่ซึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลล์ ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ในปีช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2483 พวกมนุษย์ต่างดาวนี้จะมีผิวกายสีเขียว และเพื่อที่จะให้ไม่เป็นที่สังเกตพวกเขาใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้สีกายของพวกเขามีสีอ่อนลง อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกันของรูปวาดเก่าแก่ถึงพระเจ้าในอินเดียที่พระเจ้าที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ มีผิวกายในสีโทนน้ำเงิน ซึ่งหากสังเกตให้ดีพวกกิ่งก่า ตะกวด และจิ้งเหลนจะมีสีผิวในทำนองนี้ ที่มีผิวอ่อนนุ่ม ละเอียดเหมือนไหม

    นอกจากนี้ข่าวที่มีการรายงานทางโทรทัศน์ยังชี้ว่าคณะแพทย์ที่พยายามจะรักษาผู้ป่วยโดยการหาทางรักษาบาดแผลทางผิวหนังของผู้ป่วยพบว่าผิวหนังของงูนี้คล้ายคลึงกับของมนุษย์มาก ที่จริงแล้วผิวหนังที่ใช้ในการรักษาบาดแผลวิธีนี้เป็นหนังงูเลยทีเดียว ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน และกระบวนการย้อนกลับของการทำพันธุวิศวกรรมมนุษย์ ซึ่งกระบวนการย้อนกลับของอดัมและอีฟ ทำให้สิ่งที่สละทิ้งกลับรวมเป็นรูปใหม่กลายเป็นงู และอาจจะอนุมานได้ว่าชาวนิริบุก็อาจจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสีผิวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า หรือจิ้งเหลน โปรดศึกษางานเขียนของ อาร์ เอ บัวเลย์ (R.A. Boulay) ในหนังสือเรื่องเล่าของงูและมังกรบิน (Flying Serpents and Dragons)

    เรื่องที่ต่อจากนั้นเป็นเรื่องที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของเราเอง คือครั้งหนึ่งนิริบุได้เฉียดเข้าใกล้เทียมัตและทำให้เกิดภัยภิบัติทั้งน้ำท่วมและแผ่นดินไหวไปทั่วโลก ซึ่งในครั้งนี้สวนอีเดนและท่าจอดยานอวกาศได้จมไปในน้ำและถูกทำลายไปจนสิ้น เจ้าชายอูตูแห่งเนฟิลิมจึงได้รับบัญชาให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่ในบริเวณแหลมไซนาย และวิถีชีวิตบนเทียมัตก็ดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง แต่ในไม่นานก็ได้เกิดสงครามปิรามิดขึ้น

    พระราชกุมารีเจ้าฟ้าหญิงอินันนาซึ่งเป็นหนึ่งในที่รักยิ่งของจักรพรรดิ์อนูได้รับพระบัญชาให้เป็นผู้ปกครองดูแลบริเวณที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน พระองค์มีพระนามอีกพระนามคือพระลักษมี ซึ่งเป็นพระนามที่ได้รับการสักการะนับถืออยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่พระสวามีคือดยุคดูมูซิ (พระวิษณุหรือเปล่า)ได้มีเรื่องทะเลาะกับบารอนมาดุคจนในที่สุดได้นำไปสู่สงครามปิรามิด ในสงครามชิงอำนาจระหว่างพระราชกุมารีอินันนาและดยุคดูมูซิกับบารอนมาดุคและบารอนเนสศาพานิต ดยุคดูมูซิได้ถูกสังหาร

    ทำให้เจ้าชายอูตู และพระราชกุมารีอินันนาตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่บังควรโดยการทำลายท่าเทียบยานอวกาศที่แหลมไซนายพร้อมทั้งศูนย์วิจัยและผักผ่อนคือเมืองบริวารโซดอมและโกโมราซด้วย (The satellite R&R cities ไม่ทราบว่า R&R แทนอะไรอาจจะเป็น Research and Development หรือ Research and Recreation) ทำให้เหมืองทองในเขตแอฟาริกาใต้เข้าสู่ความวุ่นวายด้วยเมื่อดยุคเนกอลและดัสเชสอีเรสกิกอลเข้าเป็นพันธมิตรกับบารอนมาดุค และทำให้เกิดความวุ่นวายในคณะผู้ปกครองแห่งเนฟิลิม

    จักรพรรดิ์อนูจึงจำต้องโปรดให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่โดยครั้งนี้พระองค์มีพระบัญชาให้เจ้าชายเอนกิและเจ้าหญิงนินกิเป็นผู้ดูแล ทั้งสองพระองค์จึงได้ย้ายสถานที่ไปเป็นบริเวณทะเลสาบติติคาคา (Titicaca Lake) ในเปรู และที่ตรงนี้ก็คือบริเวณที่ราบนาซคาซึ่งมีทองคำจำนวนมหาศาลอยู่ในเทือกเขาแอนดีส ดังนั้นศูนย์การผลิตทองที่แอฟริกาใต้จึงถูกย้ายไปที่ทะเลสาบติติคาคาด้วย

    และนี่ก็เป็นเรื่องในอดีตหลายพันหลายหมื่นปีก่อน ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมชาวนิริบุจึงดูเหมือนจะทิ้งเทียมัตไว้ อาจจะเป็นไปได้ว่าโลห์กักความร้อนนั้นสามารถคงรูปได้อย่างถาวรแล้วทำให้พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทองจากเทียมัตอีกต่อไป ครั้งสุดท้ายที่ดาวเคราะห์พวกเขาเฉียดใกล้เทียมัตคือในปี 687 ก่อนคริสต์กาล แต่แน่นนอนถึงแม้ดาวเคราะห์ของพวกเขาจะมุ่งหน้าไปสู่การหลับไหลที่ยาวนานในกลุ่มเฆมออร์ดพวกเขาจะยังคงการติดต่อกับเทียมัตไว้บ้างบางส่วน อาทิเช่นสิ่งก่อสร้างใต้ดินในเทือกเขาแกรนด์เททอน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ภิภพที่อเมริกาใต้ ในห้องเปล่าที่ซาอุดิอาระเบีย ในภูเขาหิมาลัย หรือแม้แต่ห้องโถงใต้ดินทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิดแห่งอียิปต์ที่ชาวเนฟีลิมสร้างไว้เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศที่แหลมไซนาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันว่ามีไว้เพื่อให้มนุษย์ต่างดาวได้ใช้หรือไม่ ซึ่งเชื่อได้ว่าคำตอบสำหรับทุกปริศนาจะได้รับการเฉลยในอนาคตอันใกล้นี้

    ในขณะนี้คงจะมีคนจำนวนมากถามว่าแล้วดาวเคราะห์นิริบุอยู่ที่ใด แน่นอนมันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในระบบสุริยะเป็นแน่ บางครั้งนักดาราศาสตร์จะบังเอิญไปพบมันแต่อาจะไม่รู้และเรียกมันว่าวัตถุลึกลับ อย่างเช่นกาแลกซี่ขนาดเล็ก บางทีรัฐบาลเองก็สงสัยว่าเจ้าสิ่งนั้นคือนิริบุเองแต่มีความเห็นว่าจำเป็นต้องปิดบังข้อมูลนี้จากการรับรู้ของสาธารณชน ผู้ที่เฝ้าสังเกตท้องฟ้าในสมัยโบราณทั้งในตะวันออกกลาง หรือชาวมายาในเมกซิโกต่างก็ได้พูดถึงการมาของนิริบุในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งมันจะมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ โดยที่ดูเหมือนว่ามันจะจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งจะมีสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดจิ๋ว มีหางยาวคล้ายดาวหาง และมีบริวารโคจรอยู่รอบๆ และจะลอยให้เห็นดังอัญมณีที่ขั้วโลกเหนือของเทียมัตคล้ายกับการมาถึงของยุคแห่งพระเจ้า

    ข้อมูลจาก คุณ fernezzo

    ที่มา บทความ มารู้จักกับความลับของPlanetX กัน (ดาวปริศนาNibiru)และมันเกี่ยวอะไรกับปี2012...<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II.
    ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลนนิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงล่ะ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ… DNA
    [​IMG]
    ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??
    Reference : 212Cafe.com - This forums has been suspended. Abused or terminated our terms & condition.
    UFO ทฤษฎีและปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง | MethaMatrix<!-- google_ad_section_end -->


    เรื่องประหลาดๆของชาวชุเมเรียน _ _'
    ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk

    [​IMG]


    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

    เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?


    [​IMG]


    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย

    [​IMG]



    นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา

    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก

    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น

    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน

    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"

    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย

    [​IMG]


    จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง

    จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่

    คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ

    [​IMG]


    อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา


    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!! จริงเปล่าวะ


    ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน


    แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก

    [​IMG]


    ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย

    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)


    Planet X และพระผู้สร้าง


    เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ

    [​IMG]


    Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์


    ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย

    ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง


    มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า


    หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?

    ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?

    [​IMG]

    Mythland Board :: <!-- google_ad_section_end -->

    มังกรในตำนานของชาวสุเมเรียน


    [​IMG]


    มังกรในตำนานของชนสุเม-เรียนแห่งนครบาบิโลน ซึ่งก่อตั้งขึ้นราว 2,000 ปีก่อน ค.ศ. โดยตำนานเล่าว่า หลังกำเนิดของพิภพ มีมังกรเพศเมียนามว่า ติอาแม็ท (TIAMAT) เป็นเทพีแห่งทะเลนํ้าเค็ม เมื่อนํ้าเค็มของติอาแม็ทผสมผสานกับนํ้าจืดของเทพ อัพสุ (APSU) ก็เกิดการปฏิสนธิของเทพองค์อื่นๆ อีกมากมาย

    ต่อมาอัพสุต้องการชิงอำนาจจากจอมเทพ อีอา (EA) จึงเกิดเทวสงครามขึ้น แรกๆ ทัพของอัพสุกับติอาแม็ททำท่าว่าจะมีชัย แต่แล้วก็เกิดมีวีรเทพซึ่งเป็นโอรสของอีอาพระนามว่า มาร์ดุค (MARDUK) เข้ามาขัดขวางติอาแม็ทอ้าโอษฐ์ เพื่อกลืนกินมาร์ดุค แต่วีรเทพได้สาดมหาพายุเข้าไปในโอษฐ์ของเธอจนหุบไม่ลง แล้วมาร์ดุคก็ใช้แหจับติอาแม็ทไว้ได้ เอาศรเสียบร่างแล้วเอาดาบ ผ่ากายของเธอออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งบังเกิดเป็นหลังคาสวรรค์ อีกซีก หนึ่งเป็นท้องมหาสมุทร นอกจากนี้ มาร์ดุค ยังเอาดาบเสียบลูกตาของติอาแม็ท โลหิตที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นแม่นํ้าสองสาย คือ ไทกริส กับ ยูเฟรติส แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย

    แหล่งอ้างอิง
    http://www.thaigoodview.com/lesson?

    เครดิต http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=454
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ธรรมชาติดวงดาว ****

    ดวงดาวหมุนรอบตัวเอง เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน
    แต่มีพวกดาวหาง จะวิ่งสวนทางชาวบ้าน
    ทำท่าจะชน แต่ไม่ชน ดาวต่างๆ จะหลีกทาง
    หลบกันเอง เป็นธรรมชาติ
    แต่การผ่านสวนกัน ย่อมมีผลตอบแทน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ดาวตก ****

    ฝนดาวตก...คือ ก้อนน้ำแข็งที่ลอยตกลงมาผ่านชั้นบรรยากาศ ลงสู่โลก ....ไม่เป็นอันตราย
    แต่ถ้าเป็น ฝนเหล็ก....จะเป็นอันตรายต่อสัตว์โลก ตกลงมาลุกเป็นเพลิงเผาผลาญ...เกิดขึ้นในช่วงโลกหมดยุครอบเก่า จะขึ้นรอบใหม่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ย้อนกลับไปที่เรื่อง 12th planet อีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องเล่าตำนานโบราณจากจารึกสุเมเรียน
    มาจากหนังสือ จุดกำเนิดแห่งมนุษยชาติ นิบิรุ Planet X เรียบเรียงจากงานเขียนของ Sitchin
    Chapter Seven: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    13-6-2009 20:57

    Enuma Elish

    เรื่องราวทั้งหลายเริ่มต้นจากการพยายามอ่านจารึกของชาวอัคเคเดียนที่มีอายุ ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล จารึกดังกล่าวปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Vorderasiatische Abteilung ในเบอร์ลินตะวันออก (ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนล่ะก็ลองถามหาแคตตาล็อกหมายเลข VA/243 จากภัณฑารักษ์เค้าดูนะครับ นายโซนิคเองคาดว่าคงไม่มีวาสนา) ตัวผนึก(Seal)มีรูปของวัตถุทรงกลม 11 ดวงรายล้อมทรงกลมดวงใหญ่ที่เปล่งรัศมีเจิดจ้า ภาพลักษณะนี้เป็นที่คุ้นตานักโบราณคดีเป็นอย่างดีครับ ว่ามันคือตัวแทนของระบบสุริยะตามความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณ...

    ...ระบบสุริยะที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง

    [​IMG]

    ดาวน์โหลด (24.85 KB)
    Some of The Seven Tablets of Creation
    13-6-2009 20:57



    Some of The Seven Tablets of Creation


    หนังสือชุด 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงมหากาพย์แห่งการสร้าง Enuma Elish ว่ามหากาพย์นี้หาใช่เทพตำนานตามที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเข้าใจไม่ หากแต่เป็นประวัติศาสตร์การ ก่อกำเนิดของโลกราหูใบนี้ซึ่งถูกเล่าเอาไว้ในรูปของเทพตำนาน ผู้ตีความต้องมีความเข้าใจทั้งในด้านโบราณคดีและวิทยาศาสตร์จึงจะจับจุดและ ตีความมันออกมาได้ (จริงไม่จริงพิจารณาเอานะครับ อย่าเผลอเป็นเนื้อชิ้นโตให้ผมตุ๋นเอาล่ะ ^^) มหากาพย์เรื่องนี้ซุกซ่อนความลับของดาวเคราะห์สีฟ้ากับบริวารที่มีนามว่าดวงจันทร์เอา ไว้อย่างมิดชิด ความลับที่กล่าวถึงการชนกันอย่างมโหฬารของดาวเคราะห์สองดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันในนามของโลกหรือ Planet Earth...

    ต่อไปนี้คือเนื้อหาที่ถอดความมาจาก Seven Tablets of Creation ของดินแดนเมโสโปเตเมีย ชื่อของมันได้มาจากคำขึ้นต้นคำแรกของเรื่องคือคำว่า Enuma Elish ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า When in the heights
    When in the heights…heaven had not been named…
    And below, firm ground (Earth) had not been called.
    เรื่องราวต่อจากนั้นของมหากาพย์ได้กล่าวถึงเทพเจ้าแห่ง สวรรค์ผู้ร่วมกันให้กำเนิดเทพองค์อื่นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จำนวนของเทพเจ้าบนท้องฟ้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทพรุ่นเยาว์เหล่านี้สร้างเสียงดังและความโกลาหลอยู่ไม่หยุดหย่อน ยังความรำคาญให้แก่บิดรเทพผู้ให้กำเนิดเป็นยิ่งนัก



    ดาวน์โหลด (11.01 KB)
    13-6-2009 20:57



    เนื้อหาในส่วนนี้กล่าวถึงกำเนิดของระบบสุริยะ ในความว่างเปล่าอันมหาไพศาลของห้วงอวกาศ เทพเจ้า(The Gods - The Planets)ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพเหล่านี้ถูกตั้งชื่อและกำหนดชะตากรรม (Destinies - อาจหมายถึงวงโคจร) ให้ดำรงอยู่เยี่ยงนั้นตลอดกาล น่าประหลาดใจมากครับที่ตำนานของชาวสุเมเรียนดันไปตรงกับข้อเท็จจริงทาง วิทยาศาสตร์ข้อหนึ่ง กล่าวคือในมหากาพย์อิลนูมา เอลลิช ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเทพเจ้า(หรือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ)ออกมาว่า เทพเจ้าถือกำเนิดจากละอองหมอก ซึ่งตรงกับทฤษฎีการกำเนิดดวงดาวที่ว่าดวงดาวในอวกาศเกิดจากการรวมตัวของ กลุ่มก๊าซที่ร้อนจัด ดาวเคราะห์บริวารในระบบใดๆจะมีวงโคจรรอบดาวแม่อยู่เช่นนั้นนิรันดร ซึ่งก็ตรงกันกับข้อความที่ว่าชะตากรรมและตำแหน่งของเทพเจ้าบนสวรรค์จะดำรง อยู่เช่นนั้นโดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

    ผู้มีบทบาทสำคัญในตอนต้นของ The Epic of Creation นี้ประกอบไปด้วย Apsu (ผู้ถือกำเนิดก่อน), MUM.MU (ผู้กำเนิดขึ้น), และ Tiamat (สตรีแห่งชีวิต)

    Apsu หมายถึงดวงอาทิตย์ และใกล้ๆตัวของ Apsu จะมีเทพนาม MUM.MU คอยสนองโองการอยู่ไม่ห่าง นอกจากนั้นยังทรงคอยทำหน้าที่คอยเป็นทูตส่งข่าวจาก Apsu ไปยังเทพองค์อื่นๆ คงพอจะเดาออกนะครับว่า MUM.MU หมายถึงดาวพุทธนั่นเอง ถ้าคุณยังจำเทพนิยายของกรีกและโรมันที่กล่าวถึงบทบาทของเทพ Mercury ได้ คุณก็คงพอจะนึกออกว่าแนวคิดเรื่องความไวและบทบาทของเทพแห่งการสื่อสารของ Mercury นี้ชาวกรีกโบราณเค้ารับการถ่ายทอดมาจากไหน

    ถัดออกไปก็เป็น Tiamat นางเป็นอสูรร้ายในตำนานที่ถูกเทพมาร์ดุค(Marduk)สับร่างกายขาดเป็นชิ้นๆใน เวลาต่อมา นางเป็นดวงดาวที่หายไปากสารบบดาวของชาวสุเมเรียน ถึงกระนั้นบทบาทของ Tiamat ก็นับว่ามีความสำคัญยิ่งครับ เพราะนางเป็นถึง 1 ใน 3 องค์ประกอบหลักของจักรวาล(ตาม ที่มหากาพย์กล่าวเอาไว้) เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของน้ำแห่งชีวิต(ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสรรพชีวิตบนโลก ถือกำเนิดมาจากน้ำ ซึ่งก็ตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ว่าชีวิตถือกำเนิดมาจากท้อง ทะเลอีก) และที่สำคัญคือเป็นต้นกำเนิดของเทพเจ้าคู่หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมา ณ ห้วงอวกาศที่อยู่ระหว่าง Apsu และ Tiamat
    Their waters were mingled together…
    Gods were formed in their midst:
    God "LAH.MU" and God "LAHA.MU" were brought forth,
    By name they were called....
    ชื่อของเทพเจ้าทั้งสองที่กำเนิดขึ้นมานั้นมาจากรากศัพท์คำว่า LHM (ผู้ก่อสงคราม) ถ้าเราพิจารณาดีๆแล้วจะเห็นว่า บทบาทของเทพแห่งสงความของคนโบราณถูกยกให้แก่เทพเจ้าชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ก่อสงครามฝ่ายชายได้แก่พระอังคารหรือ Mars อันนี้คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะแนวคิดเรื่องเทพเจ้าแห่งสงครามองค์นี้ตรง กันในหลายๆวัฒนธรรม ส่วนเทพฝ่ายหญิงนั้นคุณๆคงนึกถึงเทวีพัลลัสอาธีนาของกรีก ซึ่งผิดครับ เทพผู้ก่อสงครามของชาวเมโสโปเตเมียหมายถึงดาวศุกร์ (Venus) ซึ่งรับควบไปสองตำแหน่งคือเป็นทั้งเทวีแห่งความรักและสงคราม

    ในมหากาพย์เรียกเทพเจ้าหรือดวงดาวคู่นี้ว่า LAH.MU และ LAHA.MU อันเป็นชื่อของชายหญิงคู่หนึ่ง และหมายความถึงดาวอังคารและ ดาวศุกร์ตามลำดับ ซึ่งนอกจากจะให้ความหมายตรงตามตำนานเทพปกรณัมแล้ว ยังเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันว่าผู้ชายมาจากดาว อังคาร-ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์อีกด้วย

    สองสามย่อหน้าก่อนผมกล่าวถึงเทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ผู้อยู่ถัดจากดาวอังคารที่ ได้หายไปจากสารบบใช่ไหมครับ มหากาพย์นี้ทำให้เราฉุกคิดถึงข้อสันนิษฐานทางดาราศาสตร์ข้อ หนึ่งที่ว่า เคยมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอยู่ตรงนั้น และจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ดาวดวงนั้นได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆคงเหลือแต่แถบดาวเคราะห์น้อยหรือ Asteriods Belt อยู่บริเวณนั้น ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกันในข้อที่ว่า มหากาพย์โบราณเรื่องนี้ที่ดูเผินๆเหมือนนิทานนั้น กลับมีข้อเท็จจริงตรงกับทฤษฎีทางดาราศาสตร์หลายข้อในปัจจุบันอย่างที่สุด อืมห์... ก็คงจะบังเอิญนั่นแหละครับ เพียงแต่มันบังเอิญบ่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ฮ่า ฮ่า...
    Before they had grown in age,
    And in stature to an appointed size…
    God "AN.SHAR" and God "KI.SHAR" were formed,
    Surpassing them in size.
    As lengthened the days and multiplied the years,
    God "ANU" became their son….of his ancestors, a rival.
    The "AN.SHAR’S" first-born "ANU",
    As his equal and in his image begot "NU.DIM.MUD".
    มหากาพย์บอกกับเราต่อไปว่า ขณะที่ดาวอังคารและดาวศุกร์กำลังก่อตัวเพื่อที่จะเป็นดาวเคราะห์ขนาดจำกัด นั้น มีดาวอีกคู่หนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้น เป็นดาวที่มีความสำคัญทั้งขนาดและศักดิ์ศรีในระบบสุริยะ (และรวมไปถึงความสำคัญในฐานะประมุขแห่งเทพเจ้าในเทพปกรณัมของหลายๆวัฒนธรรม อีกด้วย) ดาวคู่นั้นมีนามว่า AN.SHAR (มกุฏราชกุมาร ผู้มีความสำคัญที่สุดแห่งสรวงสวรรค์) และ KI.SHAR (ผู้เกิดก่อนดินแดนใดๆ) ซึ่งเมื่อดูจากสัญรูปที่ปรากฏในจารึกแล้วเทพเจ้าคู่นี้หมายถึงดาวเสาร์และ ดาวพฤหัสอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

    เมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง เทพเจ้าอีกสามองค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพองค์แรกได้แก่ ANU เทพ ANU นี้มีขนาดเล็กกว่า AN.SHAR และ KI.SHAR แต่มีขนาดใหญ่กว่าเทพองค์แรกคือดาวพุทธ(หรือ MUM.MU) ถัดจากนั้น ANU ได้ให้กำเนิดดาวเคราะห์ซึ่งมีขนาดและรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับตนคือ NU.DIM.MUD หรือ EA/ENKI ที่ผมกล่าวถึงบทบาทของเทพองค์นี้ไปแล้วในบทแรกๆนั่นเอง

    ถ้าให้คุณเดาต่อว่าเทพ ANU กับ ENKI นี่หมายถึงดาวเคราะห์คู่ไหน คุณก็คงบอกผมได้ไม่ยากนะครับว่าคือดาวยูเรนัส (Uranus) กับดาวเนปจูน (Neptune) นั่นเอง (ของกล้วยๆใช่มะ ^^)



    ดาวน์โหลด (33.92 KB)
    13-6-2009 20:57



    แล้วถัดจากนั้นล่ะครับ ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจิ๋วที่เรารู้จักกันในนามของดาวพลูโต (Pluto) มหากาพย์ Enuma Elish ได้กล่าวถึงหรือไม่

    ไม่มีดาวพลูโตครับ... ตรงกับข้อถกเถียงกันในวงการดาราศาสตร์ปัจจุบันว่า ดาวเคราะห์สองดวงอันได้แก่พลูโตและเซดน่านั้นควรหรือไม่ที่จะจัดให้อยู่ใน สารบบดาวเคราะห์ในสุริยะจักรวาลของเรา (อันเนื่องมาจากขนาด พฤติกรรม และนิยามของคำว่าดาวเคราะห์ในทฤษฎีทางดาราศาสตร์นั่นแหละครับ) ถึงกระนั้นมหากาพย์เรื่องนี้ก็ยังมีบทของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งซึ่งมีนามว่า GA.GA ผู้ถือกำเนิดมาจากเทพ AN.SHAR หรือดาวเสาร์

    แผนผังจักรวาลของชาวสุเมเรียนโบราณได้ให้ขนาดและความสำคัญของ GA.GA ให้เทียบชั้นได้กับ MUM.MU หรือดาวพุทธ ซึ่งในทางดาราศาสตร์แล้วดาวทั้งสองดวงนี้มีอะไรที่ออกจะคล้ายๆกันอยู่ แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ว่า ถ้าคนโบราณใช้สัญลักษณ์ของ GA.GA แทนดาวพลูโตจริงๆแล้วล่ะก็ เหตุไฉนพวกเขาจึงเอาตำแหน่งของดาวดวงนี้ไปวางถัดจากดาวเสาร์ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันควรจะอยู่ถัดจากดาวเนปจูนล่ะครับ เป็นไปได้ไหมว่าเทพ GA.GA ของชาวสุเมเรียนมีความหมายแทนดวงจันทร์ดวงใดดวงหนึ่งของดาวเสาร์ ซึ่งจัดว่ามีความสำคัญจนถึงขั้นถูกยกให้เป็นเทพเจ้าในสารบบแห่งสวรรค์ของพวก เขาในทำนองเดียวกับดวงจันทร์ของโลก ที่ถูกนับให้เป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งไปด้วย

    เพื่อกันไม่ให้คุณสับสน เดี๋ยวเราจะมาไล่ลำดับของเทพเจ้าเปรียบเทียบกับลำดับของดาวเคราะห์ในระบบ สุริยะกันใหม่ เทพแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนที่เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้วได้แก่
    Sun-APSU
    Mercury-MUMMU
    Venus-LAHAMU
    Mars-LAHMU
    TIAMAT
    Jupiter-KISHAR
    Saturn-ANSHAR
    Pluto-GAGA
    Uranus-ANU
    Neptune-NUDIMMUD (EA)
    ไล่ดูนะครับว่ายังขาดดาวเคราะห์ดวงไหนในระบบสุริยะไปอีก เท่าที่ดูๆแล้วก็น่าจะครบน่ะนะครับ ปฐมสมาชิกแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนในยุคปฐมกำเนิดก็ดูจะมีเพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับแผนผังระบบสุริยะในปัจจุบันแล้วก็นับว่าเกือบครบ จะขาดไปก็เพียงแต่โลกของเราเท่านั้น...

    เฮ้ย! แล้วโลก(รวมไปถึงดวงจันทร์)ของเราล่ะครับไปอยู่ซะที่ไหน โลกของเราไม่ใช่สมาชิกในช่วงปฐมกำเนิดของระบบสุริยะหรอกรึ?

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    13-6-2009 21:12

    Earth an The Moon

    ตามตำนานของชาวสุเมเรียนกล่าวไว้ว่า โลกและดวงจันทร์อันเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยะ(ตามความเชื่อของพวก เขา)นั้นถูกสร้างขึ้นมาหลังสุดครับ แต่เป็นการสร้างที่ค่อนข้างน่าหวาดเสียวอยู่สักหน่อย คือสร้างการจากชนกันของดาวเคราะห์สองดวง

    ระบบสุริยะในช่วงนั้นขาดความเสถียรเป็นอย่างมาก เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)แต่ละองค์ตกอยู่ในความโกลาหล โดยเฉพาะเมื่อเทพเจ้าองค์ใหม่แห่งระบบปรากฏตัวขึ้น พลังอำนาจและแรงดึงดูดที่กระทำต่อกันของเทพเจ้าในแต่ละวงโคจรจึงเริ่มปั่น ป่วนเกินจะควบคุมได้ ความรุนแรงของเหตุการณ์นี้สร้างความตระหนกให้กับสุริยเทพ Apsu เป็นยิ่งนัก มากไปกว่านั้นบทหนักของการถูกรบกวนจากแรงดึงดูดล้วนไปตกอยู่ที่ Tiamat หนึ่งในเทพผู้สร้างดั้งเดิมทั้งสาม

    เพื่อไม่ให้สถานการณ์ร้ายแรงไปกว่านั้น เหล่าเทพจึงได้เรียกเทพองค์ใหม่มาสร้างความสันติให้บังเกิดแก่ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ผู้มีเทวานุภาพเป็นรองเพียงแต่สุริยเทพ Apsu เทพองค์นี้ก่อตัวขึ้นในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ตามปกติแล้วเทพองค์นี้มีชะตากรรม(หมายถึงวงโคจร)ที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่เมื่อระบบสุริยะเกิดความปั่นป่วนเสียสมดุลย์ เทพองค์นี้จึงถูกแรงดึงดูดดึงเข้ามายังระบบสุริยะ และตามตำนานกล่าวไว้ว่าเทพ(ดาวเคราะห์)ที่ส่งผลในการดึงเทพองค์ใหม่เข้ามา นี้คือดาวเนปจูน (NUDIMMUD) ถ้าคุณได้อ่าน Enuma Elish ฉบับการ์ตูนที่ผมเอาไปโพสต์ไว้ในเว็บบอร์ด คุณก็คงรู้แล้วนะครับว่านามของเทพองค์นี้ก็คือ Marduk หรือ Nibiru นั่นเอง
    In the Chamber of Fates, the place of Destinies…
    A God was engendered…..most able and wisest of the Gods…
    In the heart of the deep…..was "MARDUK" created…
    ด้วยการปรากฏกายจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น Marduk ยังอยู่ในฐานะของเทพที่เพิ่งกำเนิดใหม่ ทรงเพ่นความร้อนแรงจากเปลวไฟและรังสีไปรอบทิศ ตามตำนานกล่าวว่า อาภรณ์อันทรงรัศมีของ Marduk เกิดจากการประทานของเทพทั้งสิบแห่งระบบสุริยะ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าตรงนี้เป็นเรื่องของภาษาพาไปหรือว่าหมายถึงความ ปั่นป่วนของสนามแม่เหล็ก ที่ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้กระทำแก่กันในช่วงเกิดกลียุค แต่ผลสรุปก็คือ Marduk ถูกดึงเข้าสู่แกนกลางของระบบสุริยะอย่างช้าๆ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดหมายปลายทาง



    ดาวน์โหลด (22.02 KB)
    ภาพแสดงการเข้าสู่ระบบสุริยะของ Marduk/Nibiru ... ... ... ... ...
    13-6-2009 21:11



    ภาพแสดงการเข้าสู่ระบบสุริยะของ Marduk/Nibiru


    การเข้าสู่ระบบสุริยะของเทพองค์นี้นับว่าสร้างความครื้นเครงจนสวรรค์แทบถล่ม เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูน(NUDIMMUD) สนามแม่เหล็กระหว่างสองดาวเคราะห์ได้เกิดแรงกระทำระหว่างกันขึ้น ฤทธิ์ของเนปจูนทำให้ร่างของ Marduk ร้าวปูดออกมาแต่ก็ไม่ถึงกับหลุดแยกออกจากร่างกายหลัก แต่พอเฉียดเข้าใกล้ยูเรนัส (เทพบิดร Anu) เท่านั้นแหละครับ แผลที่เดิมที่เกิดก็ฉีกควากออกทันที ผลก็คือส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้ได้หลุดออกทั้งกระบิ และแยกตัวออกเป็นสี่ส่วนโคจรรอบดาวแม่ในลักษณะของดาวบริวารไปเลย

    ตามตำนานกล่าวว่า ANU/Uranus เป็นผู้บันดาลพลังให้กับ Marduk โดยเสกลมทั้งสี่ทิศห่อหุ้มเทพองค์ใหม่เอาไว้ ลมทั้งสี่ต่างพากันหมุนวนเป็นวงโคจรรอบกายของ Marduk อย่างรวดเร็วประหนึ่งวรกายของ Marduk สวมใส่อาภรณ์ที่ถักทอจากพายุหมุนอันบ้าคลั่ง

    เอาล่ะครับ เรามาไล่ลำดับที่ Marduk ทรงโคจรผ่านกันอีกทีหนึ่งดีกว่า เริ่มจาก Neptune/NUDIMMUD จากนั้นก็เป็น ANU/Uranus เป็นลำดับที่สอง มีข้อสังเกตจากตำนานอีกอย่างหนึ่งคือ Marduk ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ไปด้านซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกา หากแต่โคจรหมุนขวาตามเข็มซึ่งนับว่าพิศดารผิดจารีตของดาวเคราะหบริวาร์ทุก ดวง!

    ...อย่างเชื่องช้า Marduk โคจรผ่านสองยักษ์ใหญ่แห่งระบบสุริยะ ANSHAR/Saturn และ KISHAR/Jupiter ตามลำดับ และตรงดิ่งสู่แกนกลางของระบบเข้าไปเรื่อยๆ หากวิถีของเทพองค์นี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วล่ะก็ Marduk จะไปชนกับดาวเคราะห์ Tiamat อย่างไม่ต้องสงสัย



    ดาวน์โหลด (10.28 KB)
    TIAMAT และ KINGU
    13-6-2009 21:11



    TIAMAT และ KINGU


    การมาถึงของ Marduk สร้างความปั่นป่วนให้กับห้วงอวกาศรอบ Tiamat และดาวเคราะห์ชั้นในอีกสามดวงอันได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร แรงกระทำที่เกิดขึ้นรุนแรงราวกับจะฉีกห้วงอวกาศรายรอบออกเป็นชิ้นๆ Tiamat โดนรบกวนอย่างหนักและเริ่มเสียเสถียรภาพราวกับตกอยู่ในวังวนของพายุ

    ตามตำนานแล้ว Tiamat ป้องกันการโจมตีของ Marduk ด้วยการสร้างมอนสเตอร์จากชิ้นส่วนของตนเองจำนวน 11 ตน จากนั้นจึงบัญชาให้มอนสเตอร์เหล่านั้นเข้าโรมรันกับเทพองค์ใหม่ Marduk ระหว่างที่เทพทั้งสองโคจรเข้าใกล้กัน เปลวเพลิงอันโชติช่วงได้ลุกไหม้แผ่รังสีไปรอบอาณาบริเวณ ซึ่งตรงนี้นะครับ หากมองอย่างหนังวิทยาศาสตร์แล้วล่ะก็ มอนสเตอร์ที่ถูกสร้างจากร่างกายของ Tiamat ก็น่าจะหมายถึงดวงจันทร์บริวารหรือไม่ก็ชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ Tiamat ซึ่งแยกตัวออกจากดาวแม่เนื่องจากความรุนแรงของสนามแม่เหล็ก



    ดาวน์โหลด (18.38 KB)
    Tiamat เทวีผู้รับบทมังกรร้ายในเทพนิยายและอีกหลายๆเกมส ...
    13-6-2009 21:11



    Tiamat เทวีผู้รับบทมังกรร้ายในเทพนิยายและอีกหลายๆเกมส์ในยุคนี้


    ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ในบรรดาดวงจันทร์บริวารของ Tiamat นั้นมีอยู่ดวงหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า KINGU ซึ่งเจ้า Kingu นี้ตามตำนานกล่าวว่าเป็นเทพอีกองค์หนึ่งซึ่ง Tiamat ได้สร้างขึ้นจากร่างกายของนางเอง
    She exalted KINGU,
    In their midst, she made him great….
    The High command of the battle,
    She entrusted into his hand….
    ด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลที่ดาวเคราะห์สองดวงกระทำต่อกัน ดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ดวงนี้เลยเคลื่อนตัวเข้าหาดาวเคราะห์ Marduk อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้ ซึ่งนี่เป็นการเปลี่ยนฐานะของ KINGU จากเดิมที่เป็นเพียงดาวเคราะห์บริวารมาเป็น tablet of destinies แน่นอนครับว่าเหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ดวง อื่นๆในระบบ



    ดาวน์โหลด (8.48 KB)
    เทพ Marduk โปรดสังเกตสัญลักษณ์กางเขนของ planet of the Cross ... ... . ...
    13-6-2009 21:11



    เทพ Marduk โปรดสังเกตสัญลักษณ์กางเขนของ planet of the Cross


    เมื่อดาวเคราะห์ดวงใหม่(KINGU)ถือกำเนิดขึ้นในลำดับที่สี่ของระบบ ความเสถียรที่เคยมีอยู่เดิมก็เริ่มปั่นป่วนสิครับ เหล่าเทพเจ้าถกเถียงกันว่าใครกันที่ให้สิทธิ์แก่ TIAMAT ในการถือกำเนิดดาวเคราะห์ดวงใหม่แบบนี้ เทพ Neptune/NIMMUDUD รู้สึกร้อนใจเป็นกำลัง เลยตัดสินใจนำปัญหานี้ไปปรึกษากับ Saturn/ANSHAR รายละเอียดของการหารือนี้ไม่เป็นที่ปรากฏเนื่องจากแผ่นจารึกที่กล่าวถึงตอน นี้ชำรุดครับ เลยได้แต่เดาๆกันไปเองว่าทั้งคู่ปรึกษาอะไรกันบ้าง แต่ผลสรุปของการหารือในครั้งนี้ก็คือจะต้องมีใครทำอะไรซักอย่างกับ KINGU และ TIAMAT ม่ายอย่างนั้นระบบสุริยะมีปัญหาแน่

    ถ้าอ่านแล้วงงก็ทำใจหน่อยนะครับ เพราะบทนี้ผมจะพูดปนๆกันไประหว่างตำนานและการตีความ โดยจะสรุปเอา ไม่เล่าแบบการแปลบรรทัดต่อบรรทัด(ซึ่งแน่นอนว่าให้รายละเอียดที่ครบถ้วน มากกว่า แต่ผมไม่สะดวกเรื่องเวลาที่จะทำแบบนั้น ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ^^)

    ว่าแต่ใครกันล่ะที่จะยอมเผชิญหน้ากับ TIAMAT? แม้แต่บิดรเทพ Uranus/ANU เองก็ยังส่ายหัวไม่เอาด้วย พระองค์ให้เหตุผลว่า TIAMAT น่ะจะเข้าไปพบนางเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไปแล้วกลับไม่ได้นี่สิ...ที่เป็นปัญหา ก็เห็นจะจริงล่ะครับ ขืนพุ่งเข้าไปเป็นมีปัญหากับดวงอาทิตย์แน่ๆ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันล่ะ?

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 14:47

    Earth an The Moon

    เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูนและยูเรนัสไปและเข้าใกล้วงแหวนของ ANSHAR/Saturn (ถึงบอกไงว่ามันเป็นตำนานที่น่าทึ่ง เพราะต่อให้ตัดเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศออกไป คนโบราณเหล่านี้ก็ยังมหัศจรรย์อยู่ดีที่พวกเขารู้ว่าดาวเสาร์มีวงแหวน) ANSHAR/Saturn จึงปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันทีครับว่าจะจัดการกับ TIAMAT ซึ่งกำลังสร้างปัญหานี้อย่างไรดี กุญแจสำคัญของการนี้อยู่ที่ดาวเคราะห์ยักษ์ที่ชื่อ MARDUK/NIBIRU นี่แหละ

    ตามปกติแล้ว MARDUK กับ TIAMAT จะไม่มีวันจ๊ะเอ๋กันได้เลย เนื่องจากวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ของ Marduk นั้นกินรัศมีกว้างมาก กว้างกว่าดาวเคราะห์บริวารดวงใดๆในระบบสุริยะ ทว่าด้วยแผนของ ANSHAR/Saturn วงโคจรของ Marduk เลยเบี่ยงไปจากเดิมเล็กน้อย

    ผมเข้าใจว่าแผนดังกล่าวเป็นเพียงการต่อเติมของคนโบราณครับ เรื่องของเรื่องคือเมื่อสนามแม่เหล็กเกิดผันผวนวงโคจรของ Marduk ก็เลยเบี่ยงไปอย่างที่กล่าวไปแล้ว หลังจากผ่านดาวยูเรนัสกับเนปจูนมาได้ Marduk ก็มาเฉียดยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์(ANSHAR)เข้าให้ ยังผลให้ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ดวงหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง และหลุดออกไปเป็นดาวเคราะห์อิสระอีกดวงคือ Pluto/GAGA ในที่สุด

    ...แต่ตรงนี้ก็มีคนแย้งขึ้นมาเยอะเหมือนกันครับว่า Zecharia Sitchin ให้คำอธิบายการกำเนิดดาวพลูโตแบบตีขลุมเกินไป เพราะในแผนผังระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนโบราณนั้นไม่ได้ระบุถึงดาวพลูโต ณ ตำแหน่งปัจจุบันของมันเลยแม้แต่น้อย...


    เป็นไปได้ไหมว่า ชาวสุเมเรียนโบราณไม่ได้นับพลูโตเป็นดาวเคราะห์อย่างที่พวกเรานับกัน ว่ากันตามตรงนักดาราศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังเถียงกันอยู่เลยครับว่าพลูโต (รวมทั้งน้องใหม่อย่าเซดนา) ควรได้รับการนิยามว่าเป็นดาวเคราะห์หรือไม่ เนื่องจากในตอนค้นพบพลูโตนั้นวงการดาราศาสตร์กระหายอยู่แล้ว ที่จะค้นหาดาวบริวารดวงถัดๆไปของดวงอาทิตย์ อีกทั้งเลข 9 ก็เป้นเลขที่สวยงามตามความเชื่อของมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าพลูโตจะเข้าข่ายของดาวเคราะห์หรือไม่ พลูโตก็ไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธตำแหน่งบริวารหมายเลข 9 ของดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน

    ...และที่ Sitchin ตีความตำนานการกำเนิดของ Pluto ออกมาอย่างนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์(ในสมัยที่เขา เขียนหนังสือเล่มนี้) หรืออีกนัยหนึ่งพยายามหาดาวเคราะห์มาให้ครบ 9 ดวงเท่านั้นเอง แต่นี่เป้นเพียงข้อสันนิษฐานของนายโซนิคเท่านั้นนะครับ เท็จจริงอย่างไรไม่ขอยืนยัน :)



    ดาวน์โหลด (26.71 KB)
    การเผชิญหน้าระหว่าง Marduk กับ Tiamat
    14-6-2009 14:47



    การเผชิญหน้าระหว่าง Marduk กับ Tiamat


    โม้อยู่ตั้งนานมาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ...

    GAGA ชักนำเทพอื่นๆเพื่อกระตุ้นให้ Marduk เบี่ยงวงโคจร เทพทั้งหลายลงมติเห็นชอบและเชียร์ Marduk กันอย่างอื้ออึง เสียงตะโกนร้องดังกึกก้องไปทั่วระบบสุริยะ Marduk ผู้ถูกยกให้เป็นจอมราชันย์องค์ใหม่เริ่มเปลี่ยนเส้นทางเดิมของตน และมุ่งหน้าอย่างฮึกเหิมเพื่อปลิดชีพของ TIAMAT ผู้กำลังสร้างความปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างผนึกกำลังส่งแรงดึงดูดเพื่อกำหนดวงโคจรใหม่ของ Marduk วงโคจรที่จะสร้างความสะเทือนไปทั่วระบบสุริยะ เพราะปลายสุดของการเดินทางนั้นอยู่ที่การโรมรัน(หรืออีกนัยหนึ่งการชน)กับ อสูรร้าย TIAMAT!

    ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงเริ่มปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่กัน แรงดึงดูดอันมหาศาลที่กระทำต่อกันเริ่มแผ่เป็นตาข่ายมหึมา และทั้งคู่ก็เคลื่อนที่เข้าใกล้กันทีละน้อยละน้อย...

    ตำนานกล่าวเอาไว้ว่าอาวุธหลักที่ Marduk ใช้โรมรันกับ TIAMAT คือดาวบริวารของพระองค์อันเป็นสายลมทั้งสี่ที่ได้รับการประทานมาจาก Uranus/ANU คือ ลมใต้ ลมเหนือ ลมตะวันออกและ ลมตะวันตกตามลำดับ (คงหมายถึงชื่อของดวงจันทร์ ไม่ใช่สายลมจริงๆ) แถมตอนที่ Marduk โคจรผ่านยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์และดาวพฤหัสมานั้น Marduk ทรงได้รับอาวุธอันเปนดวงจันทร์เพิ่มมาอีกสามดวง ดวงจันทร์ทั้งสามที่กลายมาเป็นบริวารใหม่ของ Marduk อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดนั้นได้แก่ ลมร้าย ลมหมุน และลมไร้พ่าย(Matchless wind)



    ดาวน์โหลด (18.55 KB)
    14-6-2009 14:47



    เมื่อลมเหนือ(Northwind)ชน TIAMAT เข้า เทหวัตถุ 2 ชนิดก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
    หนึ่งคือโลก อีกหนึ่งคือ Asteroid Belt


    กล่าวโดยสรุป เมื่อระบบสุริยะเกิดไม่เสถียรขึ้นทำให้ดวงอาทิตย์และดาวบริวารทั้งเก้า ต้องเผชิญกับดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่ซึ่งมีวิถีการโคจรคล้ายดาวหาง ดาวดวงนี้มาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมุ่งหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ในตอนแรกดาวดวงนี้นี้โคจรผ่านดาวเนปจูน จากนั้นจึงเป็นดาวยูเรนัส ดาวเสาร์และดาวพฤหัส จากแรงกระทำต่างๆทำให้ดาวยักษ์ดวงนี้มีบริวารเพิ่มขึ้นมาอีก 7 ดวง และอย่างไม่มีทางเลือก ดาวยักษ์ดวงนี้ต้องชนกับดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า TIAMAT ซึ่งบังเอิญมาขวางวงโคจรของมันเข้า

    บังเอิญว่าดาวเคราะห์สองดวงนั้นไม่ได้ชนกันครับ (ถ้าชนจริง ป่านนี้ก็ไม่มีเราแล้วแหละ ^^) แม้ตำนานจะว่าอย่างนั้นแตในความเป็นจริงแล้วดวงจันทร์ของ Marduk ต่างหากครับที่ชน ไม่ใช่ตัวของ Marduk เองอย่างที่ตำนานกล่าวเอาไว้ การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของ Marduk และ TIAMAT ทำให้ตัวเธอปริแตกอย่างน่ากลัว เนื้อเรื่องส่วนนี้กลับมาตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ซึ่งผมจะกล่าวถึงใน ภายหลังครับ

    ตามปกติแล้ววงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์จะมีลักษณะเกือบเป็นวงกลม (ยกเว้นพลูโต) ส่วนวงโคจรของดาวหาง(ซึ่งก็เป็นบริวารของดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน)กับยืดออก ในลักษณะคล้ายวงรี ดาวหางเกือบทั้งหมดมีวงโคจรที่ยาวมากๆ จนหลายครั้งที่ดาวหางเหล่านั้นจะโคจรผ่านจุดที่เราไม่อาจสังเกตเห็นได้นับ ร้อยนับพันปี จนกว่ามันจะโคจรกลับเข้ามาเฉียดโลกอีกครั้ง

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 14:47

    The Comets...


    ดาวน์โหลด (11.88 KB)
    14-6-2009 14:47



    อย่างที่กล่าวไปแล้วนะครับว่าดาวเคราะห์ทุกดวงยกเว้นพลูโตนั้น มีวงโคจรในลักษณะเดียวกันและเกือบอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งสิ้น แต่ดาวหางกลับมีระนาบการโคจรที่แตกต่างกันไปในแต่ละดวง ที่น่าสังเกตก็คือ ในขณะที่ดาวเคราะห์โคจรเป็นวงกลมรอบดวงอาทิตย์ในทิศทวนเข็มนาฬิกา ดาวหางกลับโคจรในทิศทางที่สวนกับดาวเคราะห์ ทั้งที่มันก็โคจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนๆกัน คำถามก็คือทำไม

    นักดาราศาสตร์บางท่านตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีพลังงานบางอย่าง หรืออุบัติกาลอันรุนแรงบางประการที่สร้างดาวหางเหล่านี้ขึ้น และเหวี่ยงมันเข้าสู่วงโคจรอันแปลกประหลาดนี้ เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นกำเนิดของดาวหางบริวารผู้งดงามแห่งระบบสุริยะนั้นคือ Marduk

    มันก็เป็นไปได้เหมือนกันนะครับ เพราะพี่แกโคจรแบบสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ด้วยขนาดอันมหึมาและแรงดึงดูดอันมหาศาล เมื่อผ่านบริเวณใด Marduk กว่ากวาดเทหวัตถุใหญ่น้อยตามรายทางเสียราบเรียบ จนกระทั่งร้าวและแตกออกเมื่อชนกับ TIAMAT เข้า เศษชิ้นส่วนจาก Marduk จึงกลายมาเป็นดาวหาง แรงกระทำของ Marduk ยังคงมีผลกับเศษดาวเหล่านี้ ทำให้วงโคจรของพวกมันแปลกประหลาดไปจากดาวเคราะห์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน นี่แหละครับ

    ตำนานกล่าวต่อไปว่าหลังจากการต่อสู้จบลง Marduk ได้กลายเป็นเทพเหนือเทพ และคงสถิตย์อยู่บนสวรรค์ตราบนานเท่านาน ซึ่งเราพอจะอนุมานได้ว่า Marduk/Nibiru ชนะศึก TIAMAT แต่พ่ายต่อแรงดึงดูดของ APSU หรือดวงอาทิตย์ ทำให้ Marduk ต้องแปรสภาพจากดาวจรมาเป็นบริวารของดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง และยังคงโคจรรอบดวงอาทิตย์มาจนถึงทุกวันนี้

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:08

    ข้อมูลจาก Genesis

    หลังจากปราบ TIAMAT ลงได้ เทพ Marduk ก็ได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์... อวกาศชั้นนอก โคจรรอบ APSU หรือดวงอาทิตย์ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นอุบัติเหตุทางแรงดึงดูดโดยแท้

    หลังจากปรากฏการณ์อันสะเทือนจักรวาลนี้มีอะไรต่อ? ท่านที่คุ้นเคยกับ Epic of Creation ก็คงจะตอบได้นะครับ ว่าเป็นตำนานการสร้างโลกของ Marduk เช่นการสร้างมนุษย์ สัตว์ และสรรพสิ่งตามสไตล์ Mythology โบราณเขาล่ะ ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้หลายคนได้เค้าเงื่อนสำคัญ เพราะถ้าว่าถึงตำนานแห่งการสร้างแล้ว คงไม่มีตำนานไหนตรึงใจและได้รายละเอียดเท่ากับบทบาทการสร้างโลกของพระยะโฮวา ในบท Genesis ของไบเบิล

    ปัจจุบันนักวิชาการหลายคนยอมรับแล้วครับว่า Genesis มีส่วนคล้ายคลึงกับตำนานการสร้างของชาวสุเมเรียนอยู่ไม่น้อย และเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงใครเอามาจากใคร ฮีบรูว์หรือสุเมเรียน เพราะถ้านับอายุแล้วสุเมเรียนเก่ากว่าเห็นๆ ประเด็นนี้เอาไว้ถกกันทีหลังเถิดครับ ทราบกันแต่ว่า หลังจาก Enuma Elish จบลง Genesis ก็เข้ามาสานต่อเรื่องราวได้พอดิบพอดีราวกับเป็นภาคต่อกันยังไงยังงั้นเลย ^^

    ตำนานกล่าวต่อไปว่า ชิ้นส่วนของ TIAMAT ได้กลายมาเป็นโลกที่เราอยู่อาศัยในปัจจุบัน นั่นหมายถึงแรงปะทะระหว่างดาวเคราะห์ทั้งสอง Marduk - TIAMAT (จริงๆแล้วที่ชนคือดวงจันทร์ของ Marduk นามว่า North Wind) ทำให้ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของ TIAMAT ส่วนหนึ่งถูกผลักเข้าไปยังวงโคจรซึ่งไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดโคจรอยู่ในตอนนั้น และในที่สุดก็กลายมาเป็นดาวเคราะห์บิดๆเบี้ยวนามว่าโลกดังปัจจุบัน ดังที่ตำนานว่าไว้ว่า "destined to become the Earth"…



    ดาวน์โหลด (13.39 KB)
    14-6-2009 15:08



    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:08

    กำเนิดของ Asteroid Belt

    การชนของ Marduk ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์อื่นๆอีก ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นรอบที่สองนั้น Marduk เป็นฝ่ายชนเศษส่วนที่เหลือของ TIAMAT ด้วยตนเอง ชิ้นส่วนเหล่านั้นกระจัดกระจายกลายมาเป็นกำไลอันสวยงามแห่งสรวงสวรรค์ กำลังดังกล่าวทำหน้าที่เป็นฉากกั้นกลางระหว่างหมู่เทพเจ้าที่อยู่ชั้นในและ ชั้นนอกของสรวงสวรรค์...

    ...กำไลสวรรค์ตามตำนานจะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ Asteroid Belt หรือกลุ่มดาวเคราะห์น้อยในปัจจุบัน (เคยมีนักวิทยาศาสตร์บางท่านตั้งสมมติฐานว่า ต้นกำเนิดของดาวเคราะห์น้อยเหล่านั้นน่าจะมาจากการระเบิดของดาวเคราะห์บาง ดวง ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อมันเอาไว้สวยหรูว่าเฟอีธอน สมมติฐานดังกล่าวใกล้เคียงกับเรื่องเล่าเก่าเก็บของเมโสโปเตเมียเมื่อเกือบ หมื่นปีก่อนมากๆ รายละเอียดอ่านได้จากลิงค์นี้ครับ http://www.thai.net/myth/mytpln/mytpln_1.htm)

    ไม่ว่าคุณจะเลือกเชื่อนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันหรือตำนานของคนโบราณ (หรือไม่เชื่อฝ่ายใดเลย รับฟังเฉยๆอย่างผม ^^) ข้อสรุปที่พ้องต้องตรงกันก็คือ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่แบ่งดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เราเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นในได้แก่ ดาวพุทธ, ดาวศุกร์, โลกกับดวงจันทร์ และดาวอังคาร ส่วนกลุ่มที่สองเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นนอกซึ่งนับจากดาวพฤหัสเป็นต้นไป ดาวเคราะห์ทั้งสองกลุ่มถูกกั้นด้วยฉากตามธรรมชาติที่ชาวเมโสโปเตเมียโบราณ เรียกว่ากำไลสวรรค์ ในขณะที่พวกเราปัจจุบันรู้จักมันในนามของ Asteroid Belt ครับ :)



    ดาวน์โหลด (19.01 KB)
    กำไลแห่งสวรรค์ Asteroid Belt ที่เป็นเส้นกั้นระหว่างดาวเคร ...
    14-6-2009 15:08



    กำไลแห่งสวรรค์ Asteroid Belt ที่เป็นเส้นกั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในและชั้นนอก


    จากมหากาพย์โบราณนี้ทำให้เราได้แนวทางของปริศนาหลายอย่าง ที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังขบไม่แตก ผมบอกว่าแนวทางนะครับ ไม่ใช่คำตอบ หึ หึ...

    เริ่มจากทฤษฎีที่ว่าเคยมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกัน ดาวเคราะห์ดวงนี้หายไปจากระบบสุริยะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ต่อมาก็เป็นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของดาวเคราะห์พลูโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากแรงดึงดูดของอะไรบางอย่าง (ส่วนจะเป็นอะไรนั้นปัจจุบันเรายังไม่ทราบ ที่แน่ๆไม่ใช่เซดนาครับ) ปริศนาอีกประการคือกำเนิดของแถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt) และข้อสุดท้ายซึ่งเป็นข้อที่เกี่ยวกับพวกเราทุกคนโดยตรง กำเนิดของโลกและดวงจันทร์ :)

    สำหรับบุตรชายคุณนายช่างฝันทั้งหลายคงหาคำตอบได้ไม่ยากจาก Epic of Creation ที่ผมเล่ามา และมากไปกว่านั้น คุณอาจจะได้คำตอบที่ว่าทำไมสันฐานของโลกเราจึงไม่กลมดิกอย่างที่ควรเป็น หากแต่มีทวีปสูงต่ำอยู่ที่ซีกหนึ่ง ส่วนซีกตรงข้าม(มหาสมุทรแปซิฟิก)กลับแหว่งเว้าเป็นหลุมมหึมา คำถามนี้ย้อนให้เรากลับไปพิจารณาถึงตำนานที่เกี่ยวกับน้ำของอสูรร้าย TIAMAT อีกครั้ง อสูรร้ายนางถูกคนโบราณเรียกว่า Watery Monster ครับ ดังนั้นเราไม่ต้องสงสัยอะไรเลยว่าน้ำบนโลกของเรา(ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่แตกออก มาจาก TIAMAT)นั้นมาจากไหน

    นักวิชาการในปัจจุบันมักเรียกโลกของเราว่า Planet Ocean เนื่องจากโลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีมหาสมุทรอันเป็นต้น กำเนิดแห่งชีวิต(เท่าที่ทราบในปัจจุบัน) แต่ก็มีหลายกระแสสันนิษฐานว่าดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ชั้นนอกบางดวง เช่น ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนก็อาจมีมหาสมุทรอยู่ด้วยเช่นกัน ข้อสันนิษฐานนี้คงกระจ่างในเร็ววันนี้แหละครับ ^^

    ย้อนกลับมาที่ไบเบิลกันสักนิด มีศัพท์คำหนึ่งใน Genesis ที่น่าสนใจคือคำว่า Tehom(watery deep) ซึ่งดูแล้วน่าจะแผลงมาากคำว่า TIAMAT ครับ และ Tehom-Raba ในไบเบิลก็แปลว่า Great TIAMAT อีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรใช่ไหมล่ะครับ ถ้าเรายังยึดสมมติฐานเดิมของเราอยู่ว่า เนื้อหาในไบเบิลฉบับ Old testament นั้นส่วนหนึ่งมาจากตำนานของชาวสุเมเรียนโบราณ

    ลองมาดูตรงนี้อีกนิด กับตำนานที่กล่าวถึงรายละเอียดการสร้างโลกของ the Lord เช่น สายลมของพระองค์ที่พัดครอบคลุม Tehom เอาไว้ สายฟ้าของพระองค์ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของจักรวาล (และผ่า TIAMAT ออกเป็นส่วนๆในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียน) สายฟ้านี้ก่อให้เกิดโลกและ Rakia (แปลว่ากำไลที่ถูกสร้างขึ้นจากฆ้อนยักษ์) แถบแห่งสวรรค์... แต่ความหมายของไบเบิลฉบับแปลกลับหมายความถึงท้องฟ้าทั้งหมดครับ ไม่เหมือนฉบับของสุเมเรียนที่ชี้ชัดลงไปเลยว่า แถบแห่งสวรรค์หรือกำไลที่ถุกสร้างขึ้นนั้น อยู่ตรงจุดที่เป็น Asteroid Belt ในปัจจุบัน

    หลังจากที่ลมหนือของ Marduk พัดเอาโลกไปอยู่ในตำแหน่งของมัน โลกก็เริ่มโคจรรอบดวงอาทิตย์ก่อให้เกิดฤดูกาลขึ้น เมื่อแกนของโลกเริ่มหมุนเวลาอันเป็นกลางวันและกลางคืนก็ได้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในตอนนั้นเอง...



    ดาวน์โหลด (27.04 KB)
    ลำดับการสร้างโลกตาม The book of Genesis
    14-6-2009 15:08



    ลำดับการสร้างโลกตาม The book of Genesis


    จารึกเมโสโปเตเมียโบราณกล่าวถึงกิจของ Marduk หลังจากที่สร้างโลกขึ้นมาแล้วว่า พระองค์ทำให้โลกมีเวลากลางวันและกลางคืนตามกฏแห่งธรรมชาติ (เห็นไหมว่าพระเจ้าอย่าง Marduk ไม่ได้ทรงมีอภินิหารเหนือกาลเวลาอันเป็นกฏสากลแห่งจักรวาลเลย) จากนั้นเมฆและน้ำของโลกก็ก่อตัวขึ้นเป็นมหาสมุทร (คนโบราณพวกนี้รู้วัฏจักรของ น้ำ-เมฆ-ฝน ด้วยแฮะ ^^) มหาสมุทรได้แบ่งโลกออกเป็นส่วนและเป็นทวีป...

    เมื่อทวีปผุดตัวขึ้น Marduk ทรงก่อให้เกิดความเย็นอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนและหมอก ฝนตกลงสู่พิภพเบื้องล่างก่อให้เกิดสายธารกัดเซาะตามทวีป ก่อให้เกิดภูเขา แม่น้ำ น้ำพุ และหุบเหว ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้คนโบราณเชื่อว่าเป็นการรังสรรค์ของเทพเจ้าผู้ยิ่ง ใหญ่จากโพ้นอวกาศ Marduk...

    มาถึงตรงนี้ Book of Genesis และ Enuma Elish (รวมถึงตำนานการสร้างโลกในอีกหลายชนชาติ) ก้ได้กล่าวอย่างตรงกันแล้วครับว่า สถานที่ที่ชีวิตบนโลกได้ก่อกำเนิดขึ้นมาก่อนใครเพื่อนนั้นคือมหาสมุทร ตามมาด้วยสิ่งมีชิวิตที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างเป็นกลุ่มก้อน พวกมันอพยพขึ้นมาอยู่บนบก จากนั้นก็เริ่มบิน...

    ชีวิตกลุ่มต่อมาก็คือบรรดาสัตว์กินพืชที่ปัจจุบันเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเรา นอกจากนั้นสัตว์รูปร่างน่าเกลียดเช่นสัตว์มีพิษและอสูรร้ายก็ได้ถือกำเนิด ขึ้น พัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามประสงค์ของ Marduk จนกระทั่งขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างโลกมาถึง กำเนิดของมนุษยชาติ... ซึ่งเป็นตอนท้ายสุดของ Epic of Creation พอดี๊ พอดี...

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:08

    เมื่อดวงจันทร์ถือกำเนิด



    ดาวน์โหลด (5.07 KB)
    Earth and SHES.KI or Tiamat and Kingu
    14-6-2009 15:08



    Earth and SHES.KI or Tiamat and Kingu


    จากนั้นเทพองค์ใหม่ที่โคจรรอบโลกก้ได้กำเนิดขึ้น Marduk ทรงสร้างดวงจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เพื่อให้ดวงจันทร์เป็นเครื่องหมายอันแสดงถึงกลางคืน แหละเป็นสิ่งที่ให้มนุษย์ใช้เป็นตัวนับจำนวนวันในแต่ละเดือน

    จารึกโบราณเรียกดวงจันทร์ว่า SHES.KI เทพผู้พิทักษ์โลก แต่ SHES.KI มาจากไหนล่ะครับในเมื่อ Epic of Creation ที่เราฟังมาเมื่อตอนที่แล้วนั้นไม่ได้กล่าวถึงนามของเทพองค์นี้เลย บทบาทของ SHES.KI มีแต่เพียงว่าคอยวนเวียนเพื่อพิทักษ์องค์เทวีซึ่งน่าจะหมายถึงโลกนั่นแหละ แต่เป็นโลกไหนครับ โลกเมื่อครั้งยังเป็น TIAMAT หรือว่าโลกที่เรียกกันว่า Planet Earth ในปัจจุบัน?

    จาก Enuma Elish มหากาพย์แห่งการสร้างนั้น TIAMAT และ Earth เป็นดาวดวงเดียวกันหากแต่ถูกเรียกต่างชื่อ ต่างเวลา ในเมื่อ TIAMAT กลายมาเป็นโลกปัจจุบันได้ KINGU บริวารดวงสำคัญของ TIAMAT ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์นางจากการราวีของ Marduk ก็ไม่น่าจะไปไหนไกลเสีย

    สรุปง่ายๆถ้า TIAMAT = Earth แล้ว KINGU ก็น่าจะเป็น SHES.KI เทพปริศนาผู้ไร้ชาติกำเนิดใน The Epic of Creation นั่นล่ะครับ

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:18

    Pluto เทพผู้ไม่ปรากฏในสารบบเทพของสุเมเรียน

    ตำนานกล่าวว่า หลังเกิดวิกฤตการณ์เทียแมตและคิงกูแล้ว เทพเจ้ามาร์ดุคได้เดินทางข้ามขอบสวรรค์อีกครั้งเพื่อเยือนดินแดนอันไกลโพ้น ในการเดินทางครั้งนี้เทพมาร์ดุคมีจุดประสงค์เพื่อจัดแจงชะตากรรม (destiny-หมายถึงวงโคจร)ของเทพองค์หนึ่งที่ชื่อ GAGA ให้เรียบร้อย ถ้าลืมไปแล้วผมทวนความจำให้นิดนึงละกันนะครับว่า GAGA ทรงทำหน้าที่เป็นทูตคนสนิทให้กับดาวเสาร์(ANSHAR/Saturn) เทพเจ้าผู้ทรงวงแหวนอันงดงาม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ GAGA คือดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์

    มาร์ดุคจัดแจงให้เทพองค์นี้มีที่สถิตใหม่อันซ่อนเร้น ซึ่งอาจหมายถึงวงโคจรรอบนอกซึ่งไกลกว่าเดิมและยากจะสังเกตเห็น และมาร์ดุคได้เปลี่ยนนามของ GAGA เป็น US.MI (แปลว่าผู้ชี้ทาง) ดาวเคราะห์ดวงที่เก้าตามสารบบดาราศาสตร์ในปัจจุบัน... พลูโต

    แค่เข้าสู่ระบบสุริยะได้รอบเดียวมาร์ดุคนำโลก(อดีตเทียแมต)เข้าสู่วงโคจร ใหม่ที่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากขึ้น ทรงตีกำไลมือแห่งสวรรค์ (หรือ Asteroid Belt นั่นแหละ) ที่กลายเป็นเส้นแบ่งแดนระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอก ทรงแปรสภาพดาวบริวารของเทียแมตเกือบทุกดวงให้เป็นดาวหาง บริวารดวงใหญ่ที่สุดของเทียแมตนามคิงกูกลายเป็นดวงจันทร์เทพพิทักษ์ของโลกไป ชะตากรรมลักษณะคล้ายๆกันเกิดขึ้นกับดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์นาม GAGA ที่ถูกแรงดึงดูดเจ้ากรรมเล่นงานให้กระเด็นจากวงโคจรเดิม กลายเป็นดาวเคราะห์ Pluto และพลานุภาพที่มาร์ดุคทำกับพลูโตยังส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ คือวงโคจรอันแสนประหลาดผิดไปจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆนั่นเอง

    เมื่อตำแหน่งดาวเคราะห์แต่ละดวงในวงโคจรใหม่ลงตัวแล้ว มาร์ดุคได้วางตำแหน่งของตนเองบ้างในฐานะของ Planet of the Cross: Nibiru เดินทางสัญจรไปรอบแอปซู (APSU/Sun) ในฐานะของเทพเจ้าองค์ที่สิบสองของมหาวงจรศักดิ์สิทธิ์

    ...ซึ่งทั้งหมดทั้งเพที่กล่าวมาแล้วนั้นคือที่มาของชื่อ the Twelve Planet หรือ Twelve Celestial bodies ครับ



    ดาวน์โหลด (5.72 KB)
    กึ่งกลางของสรวงสวรรค์และปวงเทพ งั้นก็ดาวพฤหัสน่ะสิ. ...
    14-6-2009 15:18



    กึ่งกลางของสรวงสวรรค์และปวงเทพ งั้นก็ดาวพฤหัสน่ะสิ...


    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:19

    Marduk / Nibiru
    แรกทีเดียวนักสุเมเรียนวิทยาเชื่อกันว่า MARDUK หมายถึงดาวเหนือ (North Star) หรือไม่ก็ดาวฤกษ์ซักดวงที่สว่างเอามากๆที่ชาวสุเมเรียนโบราณสามารถสังเกต เห็นได้ในช่วงฤดูร้อน ทั้งนี้เพราะในตำนานเน้นเหลือเกินว่าวรกายของจอมเทพมาร์ดุคเปล่งแสงเจิดจ้า กลางสรวงสวรรค์ แต่เทพเจ้าองค์นี้จะทรงเป็นดาวเหนือหรือดาวฤกษ์ได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อตำนานระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามาร์ดุคทรงเป็นสมาชิกดวงหนึ่งของระบบ สุริยะด้วย

    อันเนื่องมาจากจารึกบางชิ้นพรรณนาถึง MARDUK ว่าเป็นดาวที่มีขนาดใหญ่โตกว่าดวงอื่นๆ แถมมีแสงสว่างเจิดจ้ากว่าใครเพื่อน ดังนั้นนักโบราณคดีบางคนจึงสงสัยว่า MARDUK ที่ปรากฏในตำนานของบาบิโลเนียน(ที่ถ้าเทียบบทบาทกันฉากต่อฉากแล้ว ก็เทียบได้กับสุริยเทพ Ra ของอียิปต์)อาจหมายถึงดวงอาทิตย์ก็เป็นได้ นักโบราณคดีบางคนมั่นใจจนถึงกับยกข้อความสรรเสริญ MRADUK ในจารึกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ว่า MARDUK ทรง "**censor**ส่องทั่วห้วงสรวงสวรรค์จากเบื้องสูง ทรงรัศมีเจิดจ้าเป็นอาภรณ์ ให้แสงสว่างอันอบอุ่นจรรโลงใจ" ไอ้ข้อความทำนองนี้น่ะมันบทสวดสรรเสริญสุริยะเทพชัดๆ ท่านว่าอย่างอย่างนั้นน่ะนะ...

    ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรครับ ที่หนังสืออารยธรรมบางเล่มที่คุณจับกล่าวถึง MARDUK ในบทบาทของสุริยเทพ บางเล่มเอาไปรวมกับ Shamash ซึ่งเป็นคนละองค์กัน ทำไมถึงว่าอย่างนั้นน่ะหรือครับ ก็บทสรรเสริญเจ้ากรรมที่ยกตัวอย่างมานั้นยังมีข้อความต่ออีกน่ะซีครับว่า MARDUK ทรง"สัญจรไปทั่วดินแดนต่างๆประหนึ่ง SHAMASH"

    SHAMASH หรือ UTU เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ที่ผมเคยเล่าไปในตอนก่อนๆ ยังจำได้ใช่ไหมครับ?

    ดังนั้น ถ้า MARDUK เปรียบประหนึ่งดวงอาทิตย์ทั้งรูปลักษณ์และพฤติกรรม ก็ย่อมหมายความว่าเทพเจ้าองค์นี้เพียงแต่"คล้ายกับ"ดวงอาทิตย์เท่านั้น ไม่ได้ทรงเป็นดวงอาทิตย์เสียเองอย่างที่นักโบราณคดีบางคนเชื่อ และที่พวกเขาเลือกเชื่อหรือเสนอทฤษฎีอย่างนั้นขึ้นมาก็เพราะ MARDUK เป็นตัวแทนของดาวเคราะห์บางดวงที่ไม่มีในสารบบดาวสมัยใหม่ของพวกเรา เรื่องนี้จึงอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่

    นักวิชาการผู้พะอืดพะอมกับทฤษฎี Planet X จึงได้เริ่มมองหาดาวเคราะห์ดวงอื่นที่พอจะเป็นตัวแทนของ MARDUK ได้ (เพราะผลสรุปออกมาแล้วนี่ครับว่าบ่ใช่ดวงอาทิตย์) ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่า แม้จะรับไม่ได้กับเรื่องของดาวเคราะห์อันไม่ปรากฏในสารบบดาราศาสตร์ปัจจุบัน เพียงไรก็ตาม ความรู้ความสามารถของบรรพชนแห่งตะวันออกกลางกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร มองข้ามเสียง่ายๆ เพราะเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าความรู้ของคนโบราณเหล่านี้เที่ยงตรงไม่โมเม ดังนั้นนักวิชาการบางกลุ่มเสนอว่า MARDUK อาจหมายถึงดาวเสาร์ ส่วนอีกกลุ่มคิดว่าเป็นดาวอังคาร

    เป็นตัวเลือกที่ดีครับน่าเสียดายที่ไม่ใช่ เพราะจารึกโบราณระบุตำแหน่งของ MARDUK ว่าอยู่กึ่งกลางของสวรรค์ ตัวเลือกใหม่ของนักวิชาการผู้ไม่เชื่อทฤษฎี Planet X จึงเกิดขึ้น ตัวเลือกดังกล่าวคือดาวพฤหัสยักษ์ใหญ่ของระบบสุริยะ โดยมีสองเหตุผลยกมาสนับสนุนอันได้แก่ ขนาดอันใหญ่โตของ MARDUK ซึ่งสอดคล้องกับขนาดของดาวพฤหัส และอีกเหตุผลคือถ้ามองตามอันดับก่อนหลังของดาวเคราะห์แล้ว ดาวพฤหัสจะอยู่กึ่งกลางไม่ว่าจะมองมาจากดาวพุทธหรือดาวพลูโต ก็นับว่าเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าคิดครับ

    แต่เราต้องไม่ลืมว่า Epic of Creation กล่าวถึงวงโคจรของ MARDUK ที่ผ่านดาวยักษ์สองดวงอย่าง ANSHAR และ KISHAR มาจนถึง TIAMAT ณ จุดที่ตำนานเรียกว่า Planet of the Cross ลงถ้าโคจรผ่าน ANSHAR กับ KISHAR (ดาวเสาร์กับดาวพฤหัส) มาได้ล่ะก็ MARDUK จะหมายถึงดาวเคราะห์สองดวงนี้ได้อย่างไรล่ะครับ จริงไหม?

    สรุปแล้ว MARDUK น่าจะเป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าคือดาวดวงไหน

    ถ้าเราเชื่อตาม Enuma Elish ว่า MARDUK เป็นดาวเคราะห์ยักษ์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์โดยทิศทางในการเข้าต้องผ่านระหว่าง ดาวอังคารกับดาวพฤหัสล่ะก็ ทำไมเราจึงไม่เคยดาวเคราะห์ดวงนี้เลยนับตั้งแต่อารยธรรมโมเดิร์นแมนของพวก เราถือกำเนิดขึ้น ดาว MARDUK ไม่ใช่ดาวเคราะห์ดวงเล็กๆแถมยังสว่างออกปานนั้น ถ้ามันมีอยู่จริงนักดาราศาสตร์ก็น่าจะค้นพบไปนานแล้วสิน่า

    คำตอบอยู่ในจารึกโบราณอีกเช่นกันครับ เนื่องจาก MARDUK มีวิถีการเดินทางที่ยาวไกลมาก ท้าวเธอโคจรผ่านห้วงลึกของอวกาศที่ไม่เคยมีดาวเคราะห์ดวงไหนโคจรไปถึง แถมย้ำอย่างชัดเจนครับว่าวงโคจรของ MARDUK กว้างและไกลกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆในระบบอย่าทาบกันไม่ติด อย่าลืมเสียว่าอารยธรรมโมเดิร์นของพวกเราเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่ถึงหมื่นปี หาก MARDUK ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลาหลายหมื่นปีพวกเราจะไปเห็นได้อย่างไรล่ะ ครับ

    เพื่อให้คุณมองภาพได้ชัดเจนขึ้น ขอให้เปรียบเทียบ MARDUK/NIBIRU กับดาวหางสักดวง แล้วจะเข้าใจเองว่าทำไมตลอดเวลาหลายร้อยปีของมนุษย์ยุคใหม่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้เลย

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:19

    หรือ Marduk / Nibiru จะเป็นดาวหางมิใช่ดาวเคราะห์?

    ที่พูดแบบนี้ก็เพราะพฤติกรรมตลอดจนวงโคจของ MARDUK ที่กล่าวถึงใน Epic of Creation นั้นมีลักษณะคล้ายดาวหางจริงๆครับ ทำไมจึงว่าแบบนั้น? ผมจะแสดงให้เห็นเดี๋ยวนี้แหละครับ ขอให้ทุกคนหยิบกระดาษขึ้นมาสักแผ่นแล้ววาดภาพตามผม โดยอันดับแรกให้กำหนดจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะเป็นดวงอาทิตย์เสียก่อน จากนั้นแทนตำแหน่งดาวเคราะห์แต่ละดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นลักษณะคล้าย วงกลม ทีนี้คุณก็แทนที่ดาวนิบิรุลงไปในที่ว่างระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส วงโคจรของดาวดวงนี้จะมีลักษณะเป็นวงรีทวนเข็มนาฬิกา และคุณจะได้จุดสมมติสำคัญขึ้นมาสองจุดด้วยกันครับ คือจุดที่ดาวดวงนี้อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดและจุดที่อยู่ห่างจากดวง อาทิตย์มากที่สุด ลักษณะดังภาพ



    ดาวน์โหลด (10.35 KB)
    14-6-2009 15:18



    MARDUK เป็นภาษาบาบิโลเนียนส่วน NIBIRU เป็นภาษาสุเมเรียนครับ ที่เค้าเอา MARDUK กับ NIBIRU มาเชื่อมโยงกันก็เพราะชาวบาบิโลเนียนรับสืบทอดความรู้ทางดาราศาสตร์จากชาวสุ เมเรียนเป็นส่วนใหญ่ ในบันทึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ดวงหนึ่งซึ่งเดินทางมา จาก AN.UR (Heaven's base) อันหมายถึงห้วงอวกาศอันไกลโพ้นไปยัง E.NUN (Lordly Abode) ซึ่งหมายถึงดินแดนแถบกำไลสวรรค์

    อันกำไลสวรรค์นี้ท่านที่อ่านบทที่แล้วคงอ๋อกันได้ว่ามันคือ Asteroid Belt ที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส คนโบราณเรียกดาวเคราะห์ดวงนี้ว่า Planet of the Cross โปรดสังเกตว่าสัญลักษณ์ของมันถูกแทนด้วยกางเขนหรือกากบาท อันเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ในหลายๆศาสนาของคนโบราณ ทีนี้เมื่อดูจากภาพจะเห็นว่าตำแหน่งที่ดาวเคราะห์โคจรมาอยู่ในจุดที่ใกล้โลก ที่สุด(Perigee)นั้นเทียบได้กับ E.NUN ส่วนจุดที่ดาวเคราะห์มาร์ดุคโคจรออกห่างโลกมากที่สุด (Apogee) จะเทียบได้กับ AN.UR อย่างพอดิบพอดี และวงโคจรของดาวเคราะห์ก็แทบจะเป็นวงรียาวเหยียด ซึ่งผ่านเข้ามาใกล้โลกในพื้นที่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส ดังภาพ



    ดาวน์โหลด (11.55 KB)
    14-6-2009 15:18



    มากไปกว่านั้น ชาวเมโสโปเตเมียโบราณถือเอาปรากฏการณ์ใหญ่ๆบนท้องฟ้าเป็นลางของการ เปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย บอกเหตุการณ์สำคัญๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(โดยเฉพาะชะตาเมือง) การพบเห็น Nibiru สำหรับคนโบราณก็เข้าข่ายเดียวกันครับ


    สงวนลิขสิทธิ์โดย © Mythland.org All Right Reserved.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  8. cjundee2

    cjundee2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +71
    เครื่อง Cern มันสามารถทำให้เกิดหลุมดำได้จริงหรือครับ ผมไม่รู้จริงๆ อธิบายผมหน่อยนะ เพราะโดยส่วนตัวเชื่อแค่เพียงว่ามันสามารถทำได้เพียงแค่สร้างสนามแม่เหล็กเท่านั้นเอง
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข่าวล่าสุดของ Cern
    http://palungjit.org/threads/“เซิร์น”-สร้าง-“บิ๊กแบงจิ๋ว”-สำเร็จ.267538/
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มีนักดาราศาสตร์สมัยก่อนเมื่อร้อยกว่าปี่ก่อนได้สังเกตว่าการโคจรของ ดาวยูเรนัสมันมีการรบกวนอยู่
    คือวงโครจรไม่ได้ราบเรียบมีช้ามีเร็วสงสัยว่าจะ มีดาวดวงอื่นส่งผลแรงดึงดูดรบกวนวงโคจรอยู่จึงได้
    นำไปสู่การค้นพบดาวเนปจูน ที่ในระยะ 30AU ในปี 1843

    [​IMG]

    แต่มันยังไม่จบเท่านี้เนปจูนก็ดันมีผลเหมือนยูเรนัสเข้าไปอีกคือโคจรไม่ตรง ตามคำนวน มันช้าบ้างเร็ว
    บ้างมันน่าจะมีดาวอะไรอีกดวงที่มีผลต่อการโคจรของเนปจูนด้วย แต่ด้วยเท็กโนโลยีสมัยเมื่อร้อยกว่า
    ปีก่อนมันยังหาดาวดวงนี้นี้ไม่ได้

    จนต่อมาเมื่อปี 1930 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเพียงสิบปีนี้เองที่ได้พบดาวที่ส่งผลต่อวงโคจรของ
    เนปจูนนั่นคือดาวพูลโต

    [​IMG]

    แต่พอเราศึกษาพลูโตมากขึ้นเรื่อยๆก็พบว่าลำพังมวลของดาวพูลโตและดวงจันทร์ชา รอนมันมีมากไม่
    พอและไกลเกินไปที่จะส่งผลต่อเนปจูนดังนั้นจึงน่าจะมีดาว อีกดวงที่ไม่ใช่เพูลโต

    ดังนั้นจึงมีการค้นหาดาวดวงที่ว่านี้ต่อไปและตั้งชื่อว่า Planet X

    จนกระทั่งปี 1983นี้เองที่ทางนาซ่าได้พบวัตถุชิ้นหนึ่งจากภาพอินฟาเรดของดาวเทียม IRAS ดวง
    หนึ่งที่ออกไปถึงขอบนอกของระบบสุริยะมันเป็นภาพลางๆของมวลวัตถุใหญ่มาก ชิ้นหนึ่งซึ่งสอดคลอง
    กับ Planet X ที่กำลังค้นหาอยู่ มันอยู่ที่ระยะทางประมาณ 540AU

    มันคืออะไรหว่า มันเป็นดาวเคราะห์บริวารอีกดวงของดวงอาทิตย์หรือเปล่า หรือเป็นดาวหางขนาดยักษ์
    หรือจะให้สยองขัวญกว่านั้นมันอาจจะเป็นดาวแคระน้ำตาลที่ดันวิ่งหลงเข้ามาใน ระบบสุริยะ

    นี่คือรูปที่ถ่ายจริงที่ได้จากดาวเทียมที่ว่าไว้ว่ามันใหญ่ขนาดไหน


    [​IMG]


    วงโคจรของมันไม่เหมือนกับดาวเคราะห์ที่เกิดพร้อมกับการ สร้างระบบสุริยะที่โคจรในแนวระนาบเดียว
    กันและโคจรในทางเดียวกัน เหตุที่ต้องโคจรแบบนี้เพราะว่ามวลสารที่สร้างระบบสุริยะมันหมุนเป็นก้น
    หอย มวลที่อยู่กลางจะก่อตัวเป็นดวงอาทิตย์และที่อยู่รอบนอกออกไปจะกลายเป็นดาว เคราะห์ดังนั้น
    ระบบการหมุนจึงสอดคล้องกันทั้งหมด


    แต่ดาวหางไม่อยู่ในข่ายนี้เพราะเป็นวัตถุจรที่หลุดเข้ามาในระบบสุริยะ จึงมีทางวิ่งค่อนข้างอิสระ มันจะ
    ใช้วงโคจรแบบพาราโบล่าและทำมุมเท่าไรก็ได้ตามวิถีเดิมของมันที่วิ่ง เข้ามาในระบบสุริยะจะวิ่งสวน
    ทางก็ได้เพราะมันเป็นวัตถุอิสระไม่ได้อยู่ใน ระบบสุริยะแต่ดั้งเดิม


    นี่คือวงโคจรที่คำนวนแล้วของเจ้า planet X ดวงนี้ตามรูปข้างล่าง


    [​IMG]

    จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง

    ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษ น้อย บางส่วนได้เข้ามา
    ในวิถีแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อย โคจรรอบระบบสุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จ
    จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันกลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่ อยู่หลังดาวพลูโตออกไปและเป็นเมฆอ็อต


    ชาวสุเมเรียนได้บันทึกการการชนกันของดวงดาวดวงนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อสาม พันหกร้อยปีก่อนหรือเมื่อมัน
    เข้ามาครั้งที่แล้ว

    ตำแหน่งของชิ้นส่วนของการชนกลายเป็นวงแหวนแอสเตอร์รอยที่คาดกันว่าเป็น การชนระหว่าดวง
    จันทร์ของ Nibiru กับดาวที่เคราะห์ร้ายดวงนั้นที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส

    ขนาดแค่ชนกับดวงจันทร์ของ Nibiru เองยังบรรลัยไปทั้งดวง ถ้าเจอกับมันเต็มๆคงกระจายไปทั้งระบบสุริยะแน่ๆ


    [​IMG]
    แล้วเมื่อครั้งก่อนมันมาแล้วโลกไม่แตกสักหน่อยแล้วจะกลัวมันทำไม

    ก็ที่มันไม่แตกเพราะว่าตำแหน่งของดาวต่างๆในระบบสุริยะมันอยู่อีดด้าน หนึ่งนะซิ มันเลยส่งผลน้อย
    ลง แต่ครั้งนี้มันเข้ามที่ตำแหน่งดาวต่างๆมันอยู่ในด้านที่มันเข้ามาพอดี

    เหมือนมันเล่นรัสเซี่ยนรูเล็ต มันซวยก็โดนจังหวะพอดีที่ตำแหน่งโคจรดันตรงกับที่มันจะวิ่งเข้ามา

    นี่คือปรากฎการณ์ที่สอดคล้องกับการกลับมาแต่ละครั้งของมัน ทุกครั้งที่มันมามันจะสร้างปรากฎการณ์
    ฉิบหายมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ว่าโลกจะ โคจรอยู่ห่างมันมากน้อยแค่ไหน ถ้าโลกไปอยู่อีกด้าน
    ของดวงอาทิตย์ก็โดนน้อย ถ้าอยู่ใกล้หน่อยก็โดนมาก



    [​IMG]











    [​IMG]




    [​IMG]


    ดาวปริศานาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล (นับตามแบบของชาวสุเมเรียน) ถ้า ใครได้พอดูบท
    ความปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบสุรยะจักรวาล
    เรา ดื้อๆ แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้วซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วง
    เดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)
    และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า... สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบาย
    ด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้ แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราะห์ดวงใหม่ ที่อาจสำคัญมากๆๆ
    ทำไมผมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น สิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ.... ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็ค
    ซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว แต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็ค
    ซี่นี้ แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ ถูกครึ่ง
    เดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ มี
    ความเป็นไปได้ที่มันจะโคจรมาทับเส้นเดียวกับวงโคจรของโลกเลยล่ะครับ ซึ่งนั่นก็แปลว่า... มันมีสิทธิชนโลกใด้!!




    เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าถ้าเมื่อก่อนเราส่องดูดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะ เห็นมัน
    แต่ต้องใช้กล้องส่องทางไกลช่วย แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว!! และสำหรับคนที่
    อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ ของโลกนะครับ แนะนำให้ลองใช้
    โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ... แล้ว
    ทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวัตถุในอดีตหละ นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจร
    เข้ามาใกล้ทีนึงแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน หลายหมื่นปีก่อน และหลายพันปีก่อน (ในช่วงพระคริสต์
    นั่นเอง) หากดาวดวงนี้โคจรมาที่ระบบสุริยะของดวงอาทิตย์อีกครั้ง ซึ่งกำลังจะเกิดในอีกไม่กี่ปีข้าง
    หน้านี้ มันจะทำให้เกิดมหันตภัยชนิดโหดสุดยอด เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งมันจะทำ
    ปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนครั้งใหญ่ เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ
    เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่างๆ นาๆ และอื่นๆนับไม่
    ถ้วน!! และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าในปี 2012 เราสามารถจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้
    เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA ยังปิดข่าวอยู่ แต่นักดารา
    ศาสตร์ชั้นนำของประเทศต่างๆออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้ กันอย่างจ้าละหวั่น ข้อมูลที่
    ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และบางแห่งบอกว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่
    ประมาณดาวพฤหัส!!! (ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)

    Data of Nibiru
    คาดหมายว่าเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ ตามการคาดหมายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9(นับตามแบบสากล
    โดยได้ตัดดาวเคราะห์แคระพลูโตออกไป) เนื่องจากนักดาราศาสตร์ได้ศึกษาการโคจรของดาวยูเรนัส
    และพบว่าวงโคจรของ ยูเรนัสมีลักษณะที่ผิดปกติอยู่พอสมควรจึงคาดว่าน่าจะมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่
    ที่สามารถส่งแรงโน้มถ่วงรบกวนการโคจรของยูเรนัส จึงได้มีการพยายามค้นหา และได้พบดาวเนปจูน
    แต่การค้นพบนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายความผิดปกติทั้งของ ยูเรนัสและเนปจูนจึงได้มีการพยายามค้น
    หาเพิ่มเติมและได้พบพลูโต แต่พลูโตเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กมากทำให้ยังไม่สามารถอธิบาย
    ความผิดปกติ ของการโคจรของยูเรนัสและเนปจูนได้จึงได้มีความพยายามที่จะค้นหาดาวเคราะห์ ดวง
    ที่ 9 ของระบบสุริยะอีกครั้ง ความพยายามครั้งนี้ไม่เพียงแต่แค่ค้นหาโดยการสังเกตเทหวัตถุในท้องฟ้า
    เท่า นั้น ยังมีความพยายามในการค้นหาโดยการศึกษาบันทึกโบราณที่อาจจะบันทึกถึง ปรากฏการณ์ที่
    อาจจะสรุปได้ว่ามีการเคยพบเห็นดาวเคราะห์ลึกลับดวงนี้อีกด้วย (Planet X นี้เป็นชื่อที่ผู้คนหลงใหล
    เพราะนัยหนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่ 9 อีกนัยหนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ลึกลับที่ไม่เคยมีใครพบเห็น)

    ขนาด: ใหญ่กว่าโลก 5 เท่า = ประมาณดาวพฤหัสบดี
    มวล: ไม่ทราบ
    บริวาร: ไม่ทราบ
    คาบการโคจร: ประมาณ 3,600 ปี
    วงโคจรคล้ายดาวหาง จุดที่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ในแถบกลุ่มเฆมออร์ด จุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์น่า
    จะเป็นบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวพฤหัสบดี และดาวอังคาร

    จุดกำเนิด: ไม่ใช่สมาชิกดั้งเดิมของระบบสุริยะ แต่ถูกดวงอาทิตย์จับไว้เป็นบริวารเมื่อ 500,000 ปี
    ก่อน คาดว่าน่าจะหลุดมาจากระบบสุริยะของดาวซีรีอุสA

    ลักษณะพิเศษ: เป็นดาวเคราะห์ที่อาจจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นเดียวกับโลก
    ผลกระทบที่มีต่อโลก: ในอดีตมีความเป็นไปได้สูงเคยโคจรเฉียดใกล้โลกทำให้ดวงจันทร์น้อยที่เป็น
    ดาว บริวารชนโลกทำให้เกิดเป็นมหาสมุทรแปซิฟิค ปัจจุบันน่าจะมีวีถีโคจรที่แน่นอนแล้ว คาดว่าไม่ถึง
    กับชนโลกแค่เฉียดๆ แต่จะสร้างหายนะให้โลกอย่างมหาศาล



    [​IMG]

    The Planet X ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามอ่านมากจากข้างบน คงพอจะ
    ทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับ เรื่องราวทั้งหมดของตอน2 เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและ
    นักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับ
    ไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็น
    แหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้
    โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้น
    คว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า

    เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา
    ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่
    พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดย
    เฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดย
    การดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหน
    กันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลย
    ครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

    [​IMG]


    [​IMG]


    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหา
    รอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่
    ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์
    ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ
    เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาว
    พลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ )
    ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุป
    จากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บน
    โลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้
    Sitchin ปักใจขนาดนั้น? หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่อง
    ราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง

    หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็น
    บันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทธรานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มี
    ขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปาก
    ต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึก
    จึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มี
    ทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิด
    ของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็ง
    ทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    The Planet X ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน


    ......... การค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อZecharia Sitchin ซึ่งได้
    ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิ้ล จารึกต่างๆจาก ปาริรัส และโดยเฉพาะ
    อารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก

    ......... Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้า
    อย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุด
    เขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า “เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคย
    ลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิต
    กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์
    ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของ
    ไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม
    หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุ
    เอาไว้อย่างชัดแจ้งว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru ”



    [​IMG]

    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวนไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหา
    รอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่
    ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จารึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์
    ของประเทศเยอรมนี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ
    เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา
    .........ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปี ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียน
    โบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของ
    เขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามา
    จากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?

    .........หลักฐาน Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอา
    ไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้อง
    การถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนา ก็เพราะว่าความเชื่อศรัทธานั้น เป็นสิ่งที่ทำให้
    เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของ
    อินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี
    .........จนกระทั่งมีการคิดค้นตัว หนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความ
    สัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิด
    ของมนุษยชาติได้ โดยไม่ลืม ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้ง
    หลายไม่เคย ที่จะบิดเบือนศรัทธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    .........จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามี อยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้า
    และทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those
    who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมาย
    ถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากกับหลักความเชื่อของยิวและ
    คริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิด
    ขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออก
    มาหนาปึก ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมา

    .........Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้
    ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet -
    Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และ
    วงโคจรที่ กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า
    Nibiru ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk
    .........จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริ สยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่น
    ว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียน
    ว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกใน
    ไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน


    ......... Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไป
    มา ในอวกาศได้ พวกเขาเคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วย
    เทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว

    ทำไมจึงเป็น 12TH Planet?

    .........หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโต ถ้าเรียง
    ลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12
    กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์
    .........เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรก ที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
    และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้าง เพราะพวกเขารู้จักดาว
    เคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อน
    นักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปี

    ภาพจารึกสุเมเรียน
    [​IMG]


    ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัด
    จากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคย
    ส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็น พื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบ
    โผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาว
    เคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่

    .........เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้า
    ของพวกเขาสอนเอาไว้ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็น
    สมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยาย
    คือระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียน ก้าวไกลและน่าพิศวง

    [​IMG]
    ......... 12.Nibiru
    .........: แม้ว่าดาวดาวดวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไป
    จากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งนอกจากจะกว้างกิน
    ระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจร
    เดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง
    ......... ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์
    ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะ
    หมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่าง
    เป็นทางการ ดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นัก
    ดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง


    ......... Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3,600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง คนโบราณ
    ที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ใน
    หลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกัน

    ......... Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3,600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้
    ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3,600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้
    มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar มี
    การจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรม
    นี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์
    และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว

    [​IMG]

    พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากร
    ธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำ
    เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษา
    อุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ใน
    ตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต)
    ......... Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้
    ไหมว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความ
    สำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึง
    มักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่
    Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา


    ......... ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น
    มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวก
    เขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่
    อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มา
    และรูปร่างที่คลับคล้ายกัน ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki

    ......... แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วน
    ใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลว่า จริงๆแล้วลักษณะของ
    พวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ
    Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลก
    เหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ


    ......... เรื่องที่น่าสังเกตอีก เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมี
    การกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียว
    กัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ
    Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life
    ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและ
    ต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนือ เป็นต้นไม้แห่งความรู้ และชีวิต
    อันนี้ก็พบที่โคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี
    มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ทปีกเป็นรูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน
    มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบิน
    วัตุเหล่านี้ถูกเรียกว่า oopart
    [​IMG]

    [​IMG]
    .แม้ว่าชาว อียิปต์ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวกันกับมนุษย์ต่างดาวทางสายเลือดแต่ก็มีบันทึก ไว้ว่า ในสมัย
    ของพระเจ้าฟาโรห์ธุสโมซิทที่ 3 ได้มีการพบเห็นสิ่งที่คล้ายกับ UFO โดยถูกบันทึกลงในกระดาษปาปิ
    รัส เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 3,500 ปีก่อน

    ......." ในปีที่ 22 ในเดือน 3 ของฤดูหนาว ในชั่วโมงที่ 6 ของวันบรรดาพระในราชสำนักได้พบเห็น
    วงล้อไฟผ่านมาทางท้องฟ้า มันไม่มีหัว ลำตัวกว้างและยาว 1 ไม้วัด ( 5 เมตร ) ปากของมันระบาย
    กลิ่นออกมา มันไม่ส่งเสียง และแล้วพระทั้งหลายก็มีจิตใจตื่นตระหนกและงงงวย ต่างพากันนอนเอา
    ท้องราบกับพื้น แล้วรายงานให้ฟาโรห์ทราบ ... หลังจากผ่านไปหลายวันก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มีขนาด
    ใหญ่ขึ้นในท้องฟ้ามากกว่า ที่ผ่านมา มันส่องแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ และขยายไปจนถึงขอบเขต
    ทั้ง 4 ด้านของสวรรค์ วงไฟเหล่านี้ครอบครองอยู่เต็มฟ้า เมื่อไพร่พลของฟาโรห์แหงนมองดูมันทันใด
    นั้น วงไฟก็ลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าทางทิศใต้ ปลาและสัตว์ปีกหรือนกต่างก็ร่วงลงมาจากฟ้า เป็นสิ่ง
    ประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่การก่อตั้งอาณาจักร ฟาโรห์ได้บัญชาให้บันทึกเรื่องทั้งหมดไว้
    ในบันทึกเหตุการณ์ประจำปีของราช สำนักเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่จดจำไปตลอดกาล "



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]




    [​IMG]

    http://hoonsiam.blogspot.com/p/blog-page_6873.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  11. supahron_lee

    supahron_lee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +94
    อนุโมทนา ครับ

    ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากลุงโอลแมนอีกครั้งครับ
     
  12. nongname

    nongname สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    อ่านไปอ่านมาชักงง ก่อนอื่นจะบอกว่าเพิ่งติดตามเรื่อง PX ได้ไม่นาน
    เลยอยากให้แยกแยะให้หน่อยว่าประมาณว่าขี่เกียจอ่านแระ อิอิ
    nibiru กับ planet X คือดาวดวงเดียวกันหรือเปล่า หรือว่าคนล่ะดาวกันขอข้อมูลประกอบด้วยเล็กน้อยนะ่คับ ขอบคุณคร๊าบ......(k)
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตอบคุณ ......(k)<!-- google_ad_section_end -->
    planet X เป็นชื่อดาวปริศนาของนักดาราศาสตร์ที่รอการค้นพบอยู่
    เนื่องจากนักดาราศาสตร์เขาสังเกตุดาวเคราะห์รอบนอกเช่นดาวเนปจูน
    มีวงโคจรแปลกๆเร็วบ้างช้าบ้าง ต่างจากดาวเคราะห์ชั้นใน
    (เขาแยกดาวเคราะห์ชั้นในกะชั้นนอกด้วย asteriod belt ตามรูปแบบนี้)
    [​IMG]

    ทำให้เขาตั้งสมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราะห์ชั้นนอกของระบบสุริยะ ที่เรายังหาไม่พบ
    แต่มันมีอิทธิพลมีแรงดึงดูดกระทำต่อดาวเนปจูน ทำให้วงโคจรมันไม่ปกติ และเนื่องจาก
    พวกเขายังไม่รู้จักดาวดวงนี้เขาเลยตั้งชื่อมันว่า planet X

    ส่วน nibiru เป็นเรื่องเล่าจากจารึกโบราณของชาวสุเมเรียนและบาบิโลเนียน
    มีนักวิจัยทางโบราณคดีเขาแปลจารึกและถอดความมาได้เป็นดาวเคราะห์สีแดง
    ที่มีวงโคจรแบบดาวหาง และมีดวงจันทร์บริวารอีก 7 ดวง จะโผล่มาทุก 3600 ปี
    เขาก็เลยจับแพะชนแกะ ออกมาว่า nibiru นี้ก็อาจจะเป็น planet X ที่นักดาราศาสตร์
    กำลังค้นอยู่ก็ได้ โดยเขาสรุปจารึกโบราณแล้วลองเขียนแผนภาพดูก็ได้ประมาณนี้
    [​IMG]

    แต่บางคนก็ตีความละเอียดลงไปอีกว่า nibiru ตามที่จารึกบอกหมายถึงดวงจันทร์บริวาร
    ของดาวเคราะห์สีแดง planet x เท่านั้น

    ก็อยู่ในขั้น เดา และตั้งสมมุติฐานจากสภาพแวดล้อม และจารึกโบราณกันเท่านั้น
    ยังไม่ได้เป็นการเห็นด้วยพยานวัตถุ รอเวลาที่มันโคจรเข้าระบบสุริยะก่อน
    เห็นด้วยตาตนเองว่ามันมีอยู่จริง ถึงจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริง
    ตอนนี้เป็นแค่เรื่องเขาเล่าว่า กันอยู่ เขารอพิสูจน์ความเป็นจริงกันอยู่น่ะ
    หรือถ้านักดาราศาตร์เขาพบดาวเคราะห์หรือดาวอื่นๆ ที่แสดงอิทธิพลตอบเรื่องดาวเนปจูนได้
    ก็แสดงว่าดาวนั้นคือ planet x เรื่อง nibiru ก็จะยังคงเป็นตำนานปริศนากันต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2010
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่

    เหตุ : ทุกรอบ 13,000 ปี สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก
    และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน


    ผล : ในรอบนี้ โลก และสุริยจักรวาล จะเปลี่ยนเข้าสู่แรงดึงดูดของ
    กาแลคซี่ไตรแองกุลัมทางทิศตะวันออก


    องค์ความรู้ฯ ที่ได้นำเสนอแต่โดยย่อดังต่อไปนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ท่านได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการลาบวชขณะยังรับราชการครู เป็นเวลา 1 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2515 หลังจากลาสิกขาบทแล้ว ได้กลับเข้ารับราชการต่ออีกประมาณ 2 ปี และ ในปี พ.ศ. 2517 ได้ลาออกจากราชการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ตราบจนปัจจุบัน

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ สอนหลักของวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเคลื่อนที่ของจิต ด้วยอุบายหลัก 2 วิธี คือ การเจริญสติ เพื่อฝึกจิตให้เห็น การเกิด – ดับ ของการกระทบที่เกิดขึ้น เป็นปัจจุบันขณะ และ อุบายของการหมุนธรรมจักร เพื่อฝึกจิตไม่ให้ติดในการกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งสองส่วน คือ ที่อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน อีกทั้งยังได้ประยุกต์หลักการเคลื่อนที่ของจิต มาเป็นการเคลื่อนที่ของพลังจิต พลังงาน โดยใช้ศาสตร์พีระมิดของชาวแอตแลนตีส เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้าง ฟื้นฟู บำบัด รักษาร่างกายด้วยตนเอง

    องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ เป็นองค์ความรู้ฯ ที่ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” ฉะนั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล


    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ รู้ถึงเหตุและผล ของแต่ละปรากฏการณ์ หรือ ความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ได้ด้วยการใช้ แรงสืบต่อ หรือ แรงสันตติ สาวหาเหตุและผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย ของสรรพสัตว์ ปรากฏการณ์ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ จักรวาล ฯลฯ ให้เห็นความจริงที่ผูกโยงเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ได้เกิดมาจากการทำงานของสมองและใจ จึงไม่ใช่การพยากรณ์หรือทำนาย แต่เป็นการบอกว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว อะไรจะเกิดตามมาในลำดับต่อไป ตามเงื่อนไขที่ผูกโยงไว้อย่างเป็นเหตุและผล ต่อกัน

    เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราในอนาคตนั้น แท้ที่จริงแล้ว กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะโลกของเราเคยเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ในรอบเวลาประมาณ 26,000 ปี ตามความรู้ที่ได้จากสโตนเฮนจ์ (Stone Henge) ซึ่งบ่งชี้ว่า ทุกๆ 13,000 ปี จะมีการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก สุริยจักรวาล เนื่องจากกาแลคซี่ที่มีอิทธิพลต่อสุริยจักรวาลมีด้วยกันถึง 3 กาแลคซี่ ได้แก่

    1. กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy)มีศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศเหนือ ในปัจจุบัน โลก สุริยจักรวาลตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้

    2. กาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มี ศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศตะวันออก มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก ในอนาคตโลก สุริยจักรวาล จะถูกดึงเข้าสู่แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้ ตามวาระการวนครบรอบอีกครั้ง

    3. กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่มีขนาดใหญ่มาก แผ่อิทธิพลควบคุมทั้ง 2 กาแลคซี่ ไม่ส่งผลกับโลกโดยตรง

    ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า ใน 1 รอบใหญ่ คือประมาณ 26,000 ปี ตามปฏิทินดาราศาสตร์ที่สโตนเฮนจ์ โลก สุริยจักรวาล จะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และสลับไปอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีก 13,000 ปี


    รายละเอียดของสโตนเฮนจ์ จะกล่าวถึงในภายหลัง


    การประสบกับภัยพิบัติอย่างรุนแรง ถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก เช่น อาจจะเปลี่ยนจากภูเขาไปเป็นมหาสมุทร จากป่าฝนไปเป็นทะเลทราย จากเขตร้อนกลายเป็นเขตหนาว ฯลฯ นอกเหนือจากเป็นการทำงานตามวาระของธรรมชาติแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ส่งผลร่วมอย่างร้ายแรง คือ การกระทำของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย

    เมื่อประมาณ 26,000 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงวาระที่โลก สุริยจักรวาล อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่สมบูรณ์ไปด้วยพลังงานที่ดี เช่น กระแสลมปราณ และ มโนธาตุ ส่งผลให้มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เจริญสูงสุดในทุกด้าน แต่จุดเสื่อมย่อมเพาะเชื้อก่อกำเนิดมาจากจุดสูงสุดเสมอ เมื่อรู้มาก เก่งมาก จึงนำไปสู่การผลิตอาวุธสงครามที่ร้ายแรง เรียกว่า “อาวุธเส้นแสง” เมื่อ อาวุธเส้นแสง ถูกนำมาใช้ในสงคราม สิ่งที่เกิดตามมา คือ เกิดแรงอัดกระแทกอย่างมหาศาลลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ กับการโคจรมาเรียงตัวเป็นเส้นตรงของ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ ทางช้างเผือก และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ด้วยขนาดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่ใหญ่กว่า จึงทำให้แกนขั้วโลกจากทิศตะวันออก พลิกเปลี่ยนชี้ไปทางทิศเหนือ มหาอาณาจักรแอตแลนตีส จึงจมลง เปลี่ยนสภาพจากแผ่นดิน กลายเป็นมหาสมุทรในชั่วข้ามคืน เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอย่างมโหฬารไปทั่วทุกส่วนของ โลก ตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วน และพื้นดิน 1 ส่วน มนุษย์เสียชีวิตเหลือคณานับ เป็นการสิ้นสุดของยุคทองแห่งแอตแลนตีส

    ชาวแอตแลนตีสกลุ่มหนึ่ง มี ผู้นำเป็นนักบวชที่มีพลังจิตสูง ได้ลงเรือเดินทางออกจาก มหาอาณาจักร ก่อนจะเกิดเหตุภัยพิบัติล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ขึ้นฝั่งในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ การถ่ายทอดอารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง สัญลักษณ์ สิ่งแรกที่ยิ่งใหญ่แสนมหัศจรรย์ที่นักบวชได้สร้างขึ้นด้วยพลังจิต และอาศัยความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร คือการสร้างสฟิงซ์ (Sphinx) ด้วย เทคนิคการใช้พลังจิต เปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ เป็นรูปสิงโตหมอบ เหยียดขาหน้าทั้งคู่ไปด้านหน้า ลำตัวทอดยาวไปตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงวาระครบ 13,000 ปีอีกครั้ง ณ ที่ตั้งสฟิงซ์แห่งนี้ จะกลายเป็นตำแหน่งของขั้วโลกใหม่ และ ขั้วโลกจะชี้ไปทางทิศตะวันออก อยู่ในอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีกครั้ง นานประมาณ 13,000 ปี

    ชาวแอตแลนตีส มีความชำนาญในการใช้พลังพีระมิดอย่างหลากหลาย และได้ถ่ายทอดสู่ชาวอียิปต์จากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งอีกหลายพันปีต่อมา จึงได้มีมหาพีระมิดเกิดขึ้น

    เชื่อสายแอตแลนตีส รุ่นต่อๆมา มีการย้ายถิ่นฐาน สร้างเมือง สร้างประเทศใหม่ อารยธรรมแอตแลนตีสจึงกระจายออกไปหลายส่วนของโลก ที่รู้จักกันดี คือ ชนเผ่ามายา หรือ มายัน ผลงานชิ้นสำคัญของพวกเขา คือการจัดวางเสาหิน แท่งหิน ขนาดมหึมาเป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง เรียกว่า สโตนเฮนจ์ (Stone Henge) อยู่ที่เมือง ซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีเทคนิคการสร้างเหมือนกับการสร้างสฟิงซ์ คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสงก่อน และเมื่อนำไปจัดวางได้เรียบร้อยแล้ว จึงเปลี่ยนพลังงานแสงคืนกลับเป็นวัตถุอีกครั้ง

    สโตนเฮนจ์ เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ ใช้หลักคำนวณจากการโคจรของกาแลคซี่ ทั้ง 3 ใน 1 รอบ คือ 26,000 ปี โดยสามารถถอดรหัสได้ว่าในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปี จะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ฉะนั้น การสร้างสโตนเฮนจ์ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระของการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดอีกครั้ง

    การเกิดภัยพิบัติในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันและอนาคต ระหว่างกาแลคซี่ทั้ง 3 กับสฟิงซ์ สโตนเฮนจ์ และแกนพลังงานโลก โดยมีทั้งมนุษย์และธรรมชาติเป็นพลังงานขับเคลื่อน

    แกนพลังงานโลก เป็นแกนพลังงานที่ทอดยาวควบคู่ไปกับแกนสสาร ที่ปัจจุบันชี้ไปทางขั้วโลกเหนือและใต้ แกนพลังงานประกอบด้วยพลังงานสำคัญ 3 อย่าง

    1. พลังงานแม่เหล็กโลก หรือ พลังงานแรงดึงดูดจากศูนย์กลางกาแลคซี่ทางช้างเผือก เป็นแรงร้อยรัดที่ดึงโลกให้อยู่กับสุริยจักรวาล และกาแลคซี่ ตามลำดับ เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติที่ร้อนและหนัก มีสีเข้ม คล้ายสีเทา และอยู่นอกสุดของแกนพลังงาน

    2. พลังงานกระแสลมปราณ มีสีออกเหลือง เป็น พลังงานที่โลกเราได้รับมาจากดวงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่ดี มีประโยชน์ เป็นเสมือนภูมิต้านทานร่างกาย ที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน โดยลมหายใจเข้า

    3. พลังงานมโนธาตุ มีสีออกขาว อยู่ชั้นในสุดของแกนพลังงาน เป็นพลังงานดี ช่วยเสริมจิตและใจให้มีคุณธรรม

    เทคโนโลยี ที่เกิดจากการผลิตอุตสาหกรรมหนัก ทำให้เกิดสารตกค้าง CFC หรือ สาร คลอโรฟลูออโรคาร์บอน และยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถทำลายสาร CFC นี้ได้สำเร็จ

    สาร CFC มีคุณสมบัติ “เบา กว่าธาตุอื่นๆทุกชนิด” จึงสามารถแทรกเข้าไปทำลายแกนพลังงานโลก เริ่มขบวนการทำลายมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2540-2544 จนกระทั่งแกนพลังงานโลกตัน ทำให้แรงร้อยรัด หรือพลังงานแม่เหล็กโลก ที่ส่งออกมาจากกาแลคซี่ทุกวินาที ไม่สามารถไหลทะลุผ่านขั้วโลกเหนือ-ใต้ได้ พลังงานจึงแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของโลก ทั้งพื้นน้ำ มหาสมุทร พื้นแผ่นดิน แผ่นหินเปลือกโลก ร่างกายมนุษย์ สัตว์ พืช ฯลฯ

    ความร้อนและหนัก จึงฝังตัวติดแน่น สะสมเป็นเชื้อร้ายแฝงอยู่ และเพิ่มอันตรายมากทวีคูณ เกินกว่าจะพรรณนาได้ กล่าวได้เพียงว่า พลังงานแม่เหล็กโลกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก คือพลังงานสำคัญที่ทำลายมนุษย์ และเปลี่ยนโลกใบนี้ในอนาคต

    มนุษย์คือผู้ปล่อยยักษ์ใจร้ายตนนี้ออกมาเอง ใช่หรือไม่ และหากสมมุติว่า จะเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ไม่เกิดขึ้น มนุษย์ สัตว์ พืช ยังคงถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยพลังงานแม่เหล็กโลก และอาจสิ้นชีวิตลงทั้งหมดภายในไม่เกิน 10-15 ปี

    พลังงานกระแสลมปราณ และ พลังมโนธาตุ ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้ลอยสูงขึ้นๆ ไปอยู่ในบรรยากาศชั้นบนสูงเกินกว่ามนุษย์จะนำเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยลมหายใจ เข้า องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้นำพลังพีระมิดมาใช้อีกครั้ง

    ปัจจัยสำคัญ และ เป็นความเชื่อมโยงอย่างแสนมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ของปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คือการปรากฏของดาวนิบิรุ (Nibiru) เป็นดาวมีสีออกแดง ลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี ประมาณเกือบ 2 เท่า เป็นดาวที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาล มีวงโคจรผ่านทิศตะวันออก

    - ตะวันตก และจะมาเยือน สุริยจักรวาลในทุกๆ 13,000 ปี และ ในรอบนี้
    ดาวนิบิรุ จะมาเรียงตัวอยู่ที่ลำดับหัวแถว ใกล้ๆกับโลก เป็นการเพิ่มแรงดึงดูดให้กับ กาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก จนสามารถดันขั้วโลกเหนือไปเป็นขั้วโลกตะวันออก


    เมื่อรอบ 13,000 ปีที่ผ่านมา ดาวนิบิรุ โคจรมาและได้ไปเรียงตัวอยู่ด้านปลายแถวของ สุริยจักรวาล


    เมื่อ ใกล้ช่วงเวลาของการเกิดภัยพิบัติ เปลี่ยนขั้วโลกใหม่ ดาวนิบิรุ ( ซึ่งขณะนี้ ดาวนิบิรุ ได้เข้ามาเยือนสุริยจักรวาลแล้ว แต่ยังอยู่ไกลมาก ) จะมาอวดสายตาแก่ชาวโลกทางด้านทิศตะวันออก มองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ เป็นดาวสีแดง มองแล้วเหมือนกับว่ามี ดวงอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง หากมนุษย์มองดาวดวงนี้แล้วจะ รู้สึกจิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ดาวนิบิรุจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดาวมฤตยู (แต่ไม่ได้หมายความถึงดาวพลูโตเลย) และ มาตรวัดความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่คั่นกลาง เป็นช่องว่าง เป็นเขตปลอดพลังงาน ทั้งของกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม หาก เมื่อใดพลังงานแม่เหล็กโลก หนาแน่นจนเต็มพิกัด และไม่สามารถทะลุผ่านไปจนสุดขอบทางทิศตะวันออกได้ พลังงานแม่เหล็กโลกจะรีดเป็นเส้นตรง เปลี่ยนเป็นพุ่งทะลุขึ้นไปด้านบน ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปะทะชนกับพลังงานของกาแลคซี่อันโดรเมดา ที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัดกลับเข้าสู่โลก สุริยจักรวาลอีกครั้ง เกิดปรากฏการณ์ “แสงวาบ” ที่ยิ่งใหญ่ เห็นได้ทั่วจักรวาล

    การสั่นไหวอย่างรุนแรง การเคลื่อนที่สับเปลี่ยนแผ่นดิน แผ่นน้ำ เกิดลมพายุ น้ำท่วม การหล่นกระจายของแผ่นฝ้าน้ำแข็งเพดานโลกที่เกิดจากการสะสมของควันน้ำมัน ฯลฯ กระบวน การเปลี่ยนขั้วโลกใหม่นี้ใช้เวลา ประมาณ 3 วัน 3 คืน

    มนุษย์ ประกอบด้วย จิตและกาย หากยังมีความคิดว่า “ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ควรรักษาไว้” จึงควรแสวงหาทางรอด ตามวิถีความเชื่อของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิต ควรเข้าใจให้ชัดเจนว่า พลังงานแม่เหล็กโลกที่ไม่ได้อยู่ในแกนพลังงานโลก เป็นพลังงานกั้นบัง ฉุดรั้ง เป็นเสมือน ตัณหาที่ฉาบทาโลก ส่งผลให้การฝึกจิต ทำได้ยากยิ่งขึ้น หากโลกเราได้แกนพลังงานใหม่เปลี่ยนเป็นขั้วโลกตะวันออกเป็นกาแลคซี่ใหม่ที่ สมบูรณ์ด้วยพลังงานกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ ซึ่งเหมาะแก่การฝึกจิตเป็นอย่างยิ่ง

    ในที่สุด คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ก็สำเร็จตามจิตประสงค์ มหาอาณาจักรแอตแลนตีสที่เคยจมหายไปร่วม 13,000 ปี จะได้มีโอกาสโผล่ขึ้นมาอวดโฉมอีกครั้ง เป็นการปิดฉาก บทบาทของ สฟิงซ์ และสโตนเฮนจ์ อย่างถาวร

    หากท่านใดยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตัดใจไปจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไม่ได้ โปรดอดใจรอไปก่อน อีกเพียง 13,000 ปี เท่านั้น

    สิ่งเตือนใจ อายุขัยของมนุษย์ สัตว์ นั้นแสนจะสั้น มีอายุได้อย่างมากไม่เกิน 100 ปี หากยังดับกิเลสได้ไม่หมดสิ้น ย่อมไปจุติ เวียนว่ายต่างภพ ต่างภูมิ ตามผลของการกระทำที่เคยสร้างไว้ และถ้าหากไม่เคยฝึกจิต คงไม่สามารถรู้ถึงเหตุและผล ของการตกอยู่ในสังสารวัฏ และการวนรอบของปรากฏการณ์ทุกอย่างได้ จึงเชื่อเฉพาะสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจและสมองเท่านั้น เพราะ “จิต” ที่ยังไม่ “หลุดพ้น” ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจ การบงการของ “ใจ” อย่างถอนไม่ขึ้น

    เรียบเรียงโดย
    จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ


    1 ธันวาคม 2553


    เชิญดาวน์โหลดไฟล์ได้ (ไฟล์นี้จะใช้ประกอบในการสัมมนา)

    ติดตามประวัติและผลงานของพระอาจารย์รัตน์ได้ในกระทู้นี้

    เครดิต คุณ Falkman
    <!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ผมอ่านมา แล้วผม ก็นึกว่าได้ ในเกมส์ FF7 ในฉาก ห้องดูดาวของเมือง Cosmo Canyon จะมีดาวดวงสีแดงขนาดใหญ่จะพุ่งมายังโลก ถ้า PX มีจริงก็แสดงว่า เกมส์นี้ไม่ใช่แค่จินตนาการแล้วนะสิครับ แล้วฉากจบ ก็มีพลังของ แอริส ซึ่งเป็น Holy มาช่วยปกป้องจากดาวดวงดังกล่าวด้วย

    ปล.ผมหาคลิปมาให้ดูไม่ได้ link ตายหมดเลย ใน youtube ก็โหลด vdo ไม่ขึ้น

    ถ้าใครหาเจอช่วยนำมาลงให้ด้วยนะครับ
     
  16. supahron_lee

    supahron_lee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +94
    อัพเดตข้อมูลครับ เห็น กระทู้ตกหน้าสอง งานแยะจัดช่วงนี้
    ข้อมูล Copy มาจาก Blog ของคุณจิมมี่ครับ

    Breaking News!!!.......6.9 Quake Hits Japan
    เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.9 ริกเตอร์เขย่าตึกสูงใจกลางกรุงโตเกียวและหมู่เกาะโบนินทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ยังไม่มีรายงานความเสียหายออกมาครับ

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/xv4P-5dSmgg?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/xv4P-5dSmgg?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>


    ทำไมช่วงนี้เนทมันเน่าเช่นนี้
     
  17. mawmee

    mawmee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +622
    วันนี้ก่อน6โมงเช้าเห็นดาวดวงใหญ่มากคิดว่าคงเป็นดาวศุกร์ที่พูดถึงใหญ่กว่าเดิมมากจริงๆค่ะดูเหมือนอยู่ใกล้มากขึ้น
     
  18. supahron_lee

    supahron_lee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +94
    ใครพอทราบข้อมูล ของ ภาพนี้ไหมครับ Download มาจาก กล้อง Ahead Hi1

    ตามช่วงเวลาดังกล่าว มี เหมือนดาว หรืออะไรดวงใหญ่มากครับ เข้ามาในจอตั้งแต่วันที่ 20/12/10 เวลาประมาณ 10.00 มองเห็นชัดสุดในเวลา 13.28 และข้อมูลภาพ ก็ไม่มีอีกเลย จนเวลา 18.08 มีภาพมาอีกครั้ง เหมือนมันกำลังออกจาก เฟรมไปแล้ว

    ใครมีข้อมูลว่ามันคือดาวอะไร หรือ มันคืออะไร รบกวน ผู้รู้แจ้งข้อมูลบ้างครับ พอดีเพิ่งเข้ามาเป็นชาวก๊วน ยังไม่แน่นเรื่องข้อมูล

    หากลุงโอลแมนอยู่ รบกวนหน่อยนะครับ อยากทราบครับว่ามันคืออะไร ขอบคุณล่วงหน้าครับ

    เพิ่มเติมอีกนิดครับ ในช่วงเวลาดังกล่าว Hi2 ภาพโชว์แค่ ครึ่งเดียว ไม่โชว์ อีกครึ่งหนึ่ง ที่ต้องเห็นสิ่งนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2010
  19. supahron_lee

    supahron_lee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +94
    ไปโหลด มาอีกแล้ว เพิ่มเติมให้อีกครับ ตามประสาคน อย่างรู้อยากเห็น
    รอบนี้โหลดมาจาก Behind Hi1 ครับ เห็นชัดมากตั้งแต่ ก่อน 30/11/10 ครับ และเหนชัดสุด เวลา เดียวกันกับ Ahead เลยครับ และหลุดเฟรมออกไปในวันนี้ ที่ 5 เมื่อเช้านี้ครับ

    ใครทราบข้อมูลบ้างครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. supahron_lee

    supahron_lee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +94
    เอ....

    วันหยุดยาว สุดสัปดาห์นี้ สมาชิก หายไปไหนกันหมด หรือไปหาที่ขุดหลุม หาถ้ำ สำหรับทำที่ปลอดภัยกัน

    ใครมีเวลาแยอะๆ อย่าลืมแวะทำบุญกันบ้างนะครับ เมื่อถึงเวลานั้น จะได้ ไม่ต้องมาตัดพ้อตัวเองว่า เหตุใด วันนั้นวันนี้ ถึงไม่ทำบุญสร้างกุศลให้เยอะกว่านี้

    ขออนุโมทนา กับทุกท่านที่ไปสร้างบุญสร้างกุศลกันมาในช่วงวันหบยุดยาวครับ และขอถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ ทุก ๆ พระองค์ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...