พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองก็กำลังจะจัดชุดให้ร่วมทำบุญครับ

    โดยองค์หลักจะเป็นพระกริ่งปวเรศ เนื้อสเตอร์ริงซิลเวอร์
    และ พิมพ์เป็นที่รักของสามโลก (เป็นเนื้อที่มีท่านที่ได้ไปน้อยท่านมาก) และมีผู้รู้น้อยมากเช่นกัน

    พิมพ์เป็นที่รักของสามโลก เนื้อดังกล่าวนี้ หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าท่านมีพระเมตตาบอกกับพี่ใหญ่ ซึ่งผมอยู่ในเหตุวันนั้นด้วย

    ชุดที่จะให้ร่วมทำบุญ ผมให้ร่วมทำบุญชุดละ 50,000 บาท ผมจะจัดทั้งหมด 10 ชุดครับ

    สำหรับท่านใดที่จองและโอนเงินทำบุญก่อน มีสิทธิ์ได้ก่อนครับ


    รายละเอียดผมจะมาแจ้งอีกครั้งครับ

    หลังจากวันงานผ้าป่ามหากุศล พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งแล้ว ในส่วนพิมพ์เป็นที่รักของสามโลก(เนื้อดังกล่าว มีทั้งหมด 3 เนื้อ) ผมจะให้บุคคลภายนอกชมรมพระวังหน้าร่วมทำบุญองค์ละ 10,000 บาท ส่วนสมาชิกชมรมพระวังหน้า ผมจะให้ร่วมทำบุญไม่น้อยกว่าองค์ละ 3,000 บาท แน่นอนครับ

    ส่วนเนื้ออื่นๆนอกจากนั้น สู้เนื้อทั้ง 3 เนื้อนี้ไม่ได้ครับ


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมยังมีพิมพ์ปิลันทร์ซุ้มประตู ที่ได้นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง พร้อมกับพระพิมพ์เป็นที่รักของสามโลก ( 3 เนื้อ) ด้วยเช่นกันครับ

    ดังนั้น พลังอิทธิคุณของพิมพ์ปิลันทร์ซุ้มประตู ในชุดนี้ เหมือนกับพระพิมพ์เป็นที่รักของสามโลก ( 3 เนื้อ)ครับ




    .



    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศมหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ทรงเป็นพระอนุชาของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 4 ทรงได้รับพระบวรราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) หรือที่ออกพระนามกันว่า "วังหน้า" มีพระเกียรติยศเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 เมื่อทรงมีพระชนมพรรษาได้ 43 พรรษา มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สม เด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศ รังสรรค์ มหรรต วรรคโชไชย มโหฬารคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ บวรจักรพรรดิราช บวรนาถบพิตร พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว


    พระราชประวัติ
    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 4 กันยายนพ.ศ. 2351 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 50 ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นโอรสองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี หรือเป็นที่รู้จักอย่างดีคือ เจ้าฟ้าน้อย พระองค์ทรงเป็นพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    [แก้] ขณะยังทรงพระเยาว์

    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า เจ้าฟ้าน้อย เป็น พระราชโอรสลำดับที่ 50 และเป็นพระราชกุมารลำดับที่ 27 ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 กับ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 ประสูติที่พระราชวังเดิม คลองบางกอกใหญ่และมีคุณหญิงนก ไม่ทราบนามสกุล เป็นพระพี่เลี้ยงในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว <sup class="reference" id="cite_ref-0">[1]</sup>
    เมื่อมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้เข้ารับราชการในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ปรากฏว่ามีความชอบในราชการ และทรงได้รับการแต่งตั้งให้ทรงกรมเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 (พระชนมายุ 24 พรรษา)
    นับย้อนไปในอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี สืบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นั้น พระเจ้าแผ่นดินมักจะทรงสถาปนาให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ที่เกิดจากพระอัครมเหสี เป็นพระมหาอุปราช ซึ่งจะทรงดำรงตำแหน่งเป็น พระเจ้าแผ่นดินต่อจากพระองค์ แต่บางรัชกาลก็ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอที่มีความชอบต่อแผ่นดินขึ้นเป็น พระมหาอุปราช (เรียกในราชการว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า) และตามหลักฐานเท่าที่มีปรากฏใน พระราชพงศาวดารของไทยเรา การที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งพระอนุชาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง นั้น มีเฉพาะ สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถเท่า นั้น ก่อนที่จะมาถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา พระเจ้าน้องยาเธอไว้ในตำแหน่งพระมหาอุปราช และให้มีพระราชอิสริยยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดินนั้น มีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่สำคัญเป็นเพราะพระปรีชาสามารถในหลาย ๆ ด้านของพระมหาอุปราชพระองค์นี้ที่ได้เป็นกำลังสำคัญของชาติ
    ตั้งแต่เมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกฝรั่งชาว ตะวันตก และพร้อมกับเป็น พระกำลังที่สำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ทรงเข้าร่วมการเจรจาทำสัญญาทางพระ ราชไมตรีกับต่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาเบาริง ซึ่งเป็นสนธิสัญญา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังกับราชทูตประเทศอังกฤษ พระเกียรติยศชื่อเสียง ในด้านความรอบรู้ของใต้ฝ่าละอองธุลี พระบาทในภาษา หลายภาษา และในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นสูงหลายวิชา ซึ่งทรงรอบรู้ผิดไปจากคนในหมู่ชาติตะวันออกมาก ซึ่งก็ได้แพร่สะพัดถึงสหรัฐอเมริกา ด้วยทรงทราบชื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทุกคนด้วย
    [แก้] พระราชอัชฌาสัยและพระปรีชาสามารถ


    พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว


    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชอัธยาศัยต่างจากพระเชษฐามาก เพราะฝ่ายแรกชอบสนุกเฮฮา ไม่มีพิธีรีตองอะไร ส่วนฝ่ายหลังค่อนข้างเงียบขรึม ฉะนั้นจึงมักโปรดในสิ่งที่ไม่ค่อยจะตรงกันนัก แต่ถ้าเป็นความสนิทสนมส่วนพระองค์แล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทำอะไรก็มักนึกถึงพระราชอนุชาอยู่เสมอ เช่น คราวหนึ่งเสด็จขึ้นไปปิดทองพระพุทธรูปใหญ่วัดพนัญเชิง ก็ทรงปิดเฉพาะพระพักตร์ เว้นพระศอไว้พระราชทาน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงปิดต่อ นอกจากนี้ทั้ง 2 พระองค์ ก็ทรงล้อเลียนกันอย่างไม่ถือพระองค์ และส่วนมากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ จะเป็นฝ่ายเย้าแหย่มากกว่า
    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงพระปรีชาสามารถมาก ทรงรอบรู้งานใน ด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น งานด้านกองทัพบก กองทัพเรือ ด้านต่างประเทศ วิชาช่างจักรกล และวิชาการปืนใหญ่ ทรงรอบรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีจนสามารถที่จะทรงเขียนโต้ตอบจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ กับ เซอร์ จอห์น เบาริง ราชทูตอังกฤษ ที่เดินทางมาเจริญพระราชไมตรีกับประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) ซึ่งข้อความในสนธิสัญญานั้น ถ้าเอ่ยถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ จะมีคำกำกับว่า The First King ส่วนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ จะมีคำกำกับว่า The Second King สำหรับในภาษาไทยนั้น ตามสนธิสัญญา ทางไมตรีกับประเทศอังกฤษ ในบทภาค ภาษาไทยจะแปลคำว่า The First King ว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์เอก ส่วนคำว่า The Second King นั้นจะแปลว่า พระเจ้าประเทศสยามพระองค์ที่ 2 พระบาทสมเด็จประปิ่นเกล้า ฯ มีพระนามปรากฏอยู่ในประกาศในอารัมภบทให้ดำเนินการเจรจาทำสนธิสัญญาฉบับนี้ ด้วย ในฐานะพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 คู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พระองค์มีสายพระเนตรที่กว้างไกล ในด้านการ ต่างประเทศ ทรงรอบรู้ข่าวสารในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นอย่างดี ทรงทราบพระราชหฤทัยดีว่า ถ้าหากทรง ดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวแล้วไซร้ ไทยเราจะเสียประโยชน์ ส่วนบรรดาฝรั่งที่รู้จักมักคุ้นกับวังหน้ามักจะยกย่องชมเชยว่า ทรงเป็นสุภาพบุรุษเพราะพระองค์มีพระนิสัยสุภาพ โดยเฉพาะกับพระราชชนนี กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ด้วยแล้ว ทรงแสดงความเคารพเกรงกลัวเป็นอันมาก
    นอกจากนี้ทรงโปรดการท่องเที่ยวไปตามหัวบ้านหัวเมือง ทั้งเหนือและใต้ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะมีพระอาการประชวรกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ จึงต้องเสด็จไปเที่ยวรักษาพระองค์ตามหัวเมือง อยู่เนือง ๆ กล่าวกันว่า มักเสด็จไปประทับตามถิ่น ที่มีบ้านลาว เสด็จไปประทับที่บ้านสัมปะทวน แขวงนครไชยศรีบ้าง ทางเมืองพนัสนิคมบ้าง แต่เสด็จไปประทับที่ตำหนัก บ้านสีทา จังหวัดสระบุรีเสีย โดยมาก แต่แท้ที่จริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ได้เคยเสด็จไปเที่ยวประพาสตามหัวเมือง ต่างๆ มาตั้งแต่ครั้งยังดำรงพระยศเป็น เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิสเรศรังสรรค์แล้ว เพราะทรงประจักษ์แจ้งแก่พระปรีชาญาณว่า การเสด็จประพาสหัวเมืองเป็นประโยชน์แก่ราชการบ้านเมือง ด้วยสามารถทรงทราบทุกข์สุขของไพร่ฟ้าประชาชนได้เป็น อย่างดีซึ่งดีกว่ารายงานในกระดาษมากนัก
    [แก้] สวรรคต

    หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว 10 ปี พระองค์ก็เริ่มทรงพระประชวรบ่อยครั้ง หาสมุฏฐานของพระโรคไม่ได้ เสด็จสู่สวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 2 แรม 6 ค่ำ เวลาเช้าย่ำรุ่ง ตรงกับ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408 พระชนมพรรษา 58 พรรษา ทรงอยู่ในอุปราชาภิเษกสมบัติทั้งสิ้น 15 พรรษา
    [แก้] พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ กับการทหารเรือ

    [​IMG]
    พระบวรราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า กรุงเทพมหานคร


    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงใฝ่พระราชหฤทัยในวิชาการด้านจักรกลมาก และเพราะเหตุที่พระองค์โปรดการทหาร จึงทรงสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นพิเศษ เท่าที่ค้นพบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ นั้น ก็มักจะ ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร และเป็นเครื่องแบบทหารเรือด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีการบันทึกพระราชประวัติ ในส่วนที่ทรงสร้างหรือวางแผนงานเกี่ยวกับ กิจการทหารใด ๆ ไว้บ้างเลย แม้ในพระราชพงศาวดาร หรือในจดหมายเหตุต่าง ๆ ก็ ไม่มีการบันทึกผลงานพระราชประวัติใน ส่วนนี้ไว้เลย และแม้พระองค์เองก็ไม่โปรดการบันทึก ไม่มีพระราชหัตถเลขา หรือมีแต่ไม่มีใครเอาใจใส่ทอดทิ้ง หรือทำลายก็ ไม่อาจทราบได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีงานเด่น ที่มีหลักฐานทั้งของฝรั่ง และไทย กล่าวไว้ แม้จะน้อยนิดแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการริเริ่มที่ ล้ำหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน
    ผลงานนั้นคือการทหารเรือ การทหารเรือ ของไทยเรานั้น เริ่มมีเค้าเปลี่ยนจากสมัยโบราณเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 และผู้ที่เป็นกำลังสำคัญ ในกิจการด้านทหารเรือในสมัยนั้น คือ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และ จมื่นไวยวรนาถ (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)) ด้วยทั้ง 2 ท่านนี้มีความรู้ในวิชาการต่อเรือในสมัยนั้น เป็นอย่างดี จึงได้รับหน้าที่ปกครอง บังคับบัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น
    ต่อมาได้แบ่งหน้าที่กันโดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงบังคับบัญชาทหารเรือ วังหน้า ส่วนทหารเรือบ้านสมเด็จอยู่ในปกครองบังคับบัญชาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรี สุริยวงศ์ ในยามปกติทั้ง 2 ฝ่าย นี้ ไม่ขึ้นแก่กันแต่ขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงฝึกฝนทหารของพระองค์ โดยใช้ทั้งความรู้และความสามารถ และ ยังทรงมุ่งพระราชหฤทัยในเรื่องการค้าขายให้มีกำไร สู่แผ่นดินด้วยมิใช่สร้าง แต่เรือรบเพราะได้ทรงสร้างเรือเดินทะเล เพื่อการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้พระองค์ได้ทรงนำเอาวิทยาการ สมัยใหม่ของยุโรป มาใช้ฝึกทหารให้มีสมรรถภาพเป็นอย่างดี ทรงให้ร้อยเอก น็อกส์ (Thomas George Knox) เป็นครูฝึกทหารวังหน้า ทำให้ทหารไทยได้รับวิทยาการอันทันสมัยตามแบบ ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป

    การฝึกหัดใช้คำบอกทหารเป็น ภาษาอังกฤษทั้งหมดเริ่มมีเรือรบกลไฟเป็นครั้งแรก ชื่อเรืออาสาวดีรส3 และเรือยงยศอโยชฌิยา4 (หรือยงยศอโยธยา) ซึ่งเมื่อครั้งเรือยงยศอโยชฌิยา ได้เดินทางไปราชการที่สิงคโปร์ ก็ได้รับคำชมเชยจากต่างประเทศเป็นอันมาก ว่าพระองค์มี พระปรีชาสามารถทรงต่อเรือได้ และการเดินทางในครั้งนั้นเท่ากับเป็นการไปอวดธงไทยในต่างประเทศ ธงไทยได้ถูกชัก ขึ้นคู่กับธงอังกฤษ ที่ฟอร์ทแคนนิ่งด้วย และแม้พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ก็ทรงโปรด ฯ ให้เป็นทหารเรือเช่นกัน ประวัติของเรือที่พระองค์ทรงมีใช้ในสมัยนั้น ตามที่พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ ได้รายงานเล่าไว้ในหนังสือ ประวัติทหารเรือไทย มีดังนี้
    1. เรือพุทธอำนาจ (Fairy) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2379 เป็นเรือชนิดบาร์ก (Barque) ขนาด 200 ตัน มีอาวุธปืนใหญ่ 10 กระบอก เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. 2384 ไปราชการทัพรบกับญวน ใช้เป็นเรือพระที่นั่งของแม่ทัพ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เมื่อครั้งทรงเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ยกกองทัพไปรบกับญวน ตีเมืองบันทายมาศ (ฮาเตียน)
    2. เรือราชฤทธิ์ (Sir Walter Scott) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2379 เป็นเรือแบบเดียวกันกับพุทธอำนาจ เมื่อ พ.ศ. 2384 ไปราชการทัพรบกับญวน
    3. เรืออุดมเดช (Lion) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2384 เป็นเรือชนิดบาร์ก (Bark) ขนาด 300 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. 2384 ได้ใช้ไปราชการทัพรบกับญวน พ.ศ. 2387 ได้นำสมณทูตไปลังกา
    4. เรือเวทชงัด (Tiger) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2386 เป็นเรือชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด 200 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ
    5. เรือพุทธสิงหาศน์ (Cruizer) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2398 เป็นเรือชนิดชิพ ขนาด 400 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ
    6. เรือมงคลราชปักษี (Falcon) ซื้อเมื่อ พ.ศ. 2400 เดิมเป็นเรือของชาวอเมริกัน ชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด 100 ตัน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงซื้อมา แล้วดัดแปลงใช้เป็นเรือรบ เรือพระที่นั่งของพระองค์
    เกียรติ ประวัติของการทหารเรือไทยสมควรจะต้องยกถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้า อยู่หัว เพราะพระองค์เป็น ผู้ที่ทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการทหารเรือในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อปรากฏว่ามีเรือรบต่างประเทศเข้ามาเยี่ยม ประเทศไทยคราวใดพระองค์ก็มักหาโอกาสเสด็จไปเยี่ยมเยียนเรือรบเหล่านั้นเสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบว่าเรือรบต่าง ประเทศเขาตกแต่งและจัดระเบียบเรือกันอย่างไร แล้วนำมาเป็นแบบอย่างให้กับเรือรบของไทยในเวลาต่อมา
    จากพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำในเรื่องเรือสมัยใหม่ ซึ่งผู้คนในสมัยนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าเหล็กจะลอยน้ำได้แต่พระองค์ได้ทรง แสดงพระปรีชาสามารถให้ปรากฏ ทรงต่อเรือรบ กลไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน ทรงแตกฉานเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษจนสามารถติดต่อ กับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดีพระสหาย และพระอาจารย์ เป็นชาว อเมริกันเสียเป็นส่วนมากทรงหมกมุ่นกับกิจการทหารเรือมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงเป็น ผู้บัญชาการ ทหารเรือ พระองค์แรก และควรถวายพระนามว่า ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า สมควรได้รับการถวายพระเกียรติยศขั้นสูงสุด จากชาวกองทัพเรือ ตั้งแต่นี้และตลอดไป
    [แก้] พระโอรส-ธิดา

    [แก้] ประสูติก่อนบวรราชาภิเษก

    [​IMG]
    พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ์


    [​IMG]
    พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์


    [​IMG]
    พระเจ้าราชวงศ์เธอ กรมหมื่นวรวัฒน์สุภากร


    [​IMG]
    พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภัควดี


    [​IMG]
    พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพิมพับสรสร้อย


    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2378) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2380) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามาลัย สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3
    • พระองค์เจ้าชายยอดยิ่งยศ บวรราโชรสรัตนราชกุมาร (พ.ศ. 2381-2428) ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาเอม ทรงบวรราชาภิเษกเป็น กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เมื่อ พ.ศ. 2408
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2381) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากุหลาบ
    • พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา (พ.ศ. 2381-2438) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามาลัย
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2381) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตาด
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2382) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาใย
    • พระองค์เจ้าหญิงบุปผา (พ.ศ. 2382) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2382) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบาง
    • พระองค์เจ้าชายสุธารส (พ.ศ. 2383-2436) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากุหลาบ ทรงเป็นต้นสกุล สุธารส
    • พระองค์เจ้าหญิงสุดาสวรรค์ (พ.ศ. 2383-2455) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามาลัย
    • พระองค์เจ้าชายวรรัตน์ (พ.ศ. 2384-2449) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเกด ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ เมื่อ พ.ศ 2424 ในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นต้นสกุล วรรัตน์
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2384) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบัว
    • พระองค์เจ้าหญิงตลับ (พ.ศ. 2384) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าชายปรีดา (พ.ศ. 2385) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2387) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบาง
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2387) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพื่อน
    • พระองค์เจ้าชายภาณุมาศ (พ.ศ. 2388-2431) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอี่ยม ทรงเป็นต้นสกุล ภาณุมาศ
    • พระองค์เจ้าชายหัสดินทร์ (พ.ศ. 2388-2429) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหนู ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์ เมื่อ พ.ศ. 2424 ในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นต้นสกุล หัสดินทร
    • พระองค์เจ้าชายเนาวรัตน์ลล (พ.ศ. 2388-2433) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นสถิตย์ธำรงศักดิ เมื่อ พ.ศ. 2424 ในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นต้นสกุล นวรัตน์
    • พระองค์เจ้าชายเบญจางค์ (พ.ศ. 2388-2419) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพื่อน
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2390) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาด๊า
    • พระองค์เจ้าชายยุคนธร (พ.ศ. 2391) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแย้ม สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นต้นสกุล ยุคนธรานนท์
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2391) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าหญิงราษี (พ.ศ. 2391-2442) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเยียง
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2392) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอี่ยม
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2392) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาด๊า
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2392) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเท้ย
    • พระองค์เจ้าชายกระจ่าง (พ.ศ. 2392) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพื่อน สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5
    • พระองค์เจ้าหญิงวงจันทร์ (พ.ศ. 2393-2459) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม
    • พระองค์เจ้าชายวัชรินทร์ (พ.ศ. 2393) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตาด
    • พระองค์เจ้าหญิงจำเริญ (พ.ศ. 2393-2450) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าหญิงถนอม (พ.ศ. 2393-2428) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพัน
    [แก้] ประสูติเมื่อบวรราชาภิเษกแล้ว

    • พระองค์เจ้าชายโตสินี (พ.ศ. 2394-2458) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ ทรงเป็นต้นสกุล โตษะณีย์
    • พระองค์เจ้าชายเฉลิมลักษณวงศ์ (พ.ศ. 2396-2456) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาขลิบ ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นวรวัฒน์สุภากร เมื่อ พ.ศ. 2446
    • พระองค์เจ้าชายนันทวัน (พ.ศ. 2396-2434) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหนู ทรงเป็นต้นสกุล นันทวัน
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2396) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจัน
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2396) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2397) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพลับ
    • พระองค์เจ้าชายวัฒนา (พ.ศ. 2397) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาลำภู
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2397) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าหญิงภัควดี (พ.ศ. 2398) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพลอย สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2483 ในรัชกาลที่ 8
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2398) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาช้อย
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2398) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าหญิงวรภักตร์ (พ.ศ. 2398-2427) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาส่วน
    • พระองค์เจ้าหญิงวิลัยทรงกัลยา (พ.ศ. 2398) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาขลิบ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5
    • พระองค์เจ้าหญิงเฉิดโฉม (พ.ศ. 2399-2489) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสีดา
    • พระองค์เจ้าหญิงประโลมโลก (พ.ศ. 2399-243) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแก้ว
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2399) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพลับ
    • พระองค์เจ้าชายพรหเมศ (พ.ศ. 2399-2434) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพรหมา ทรงเป็นต้นสกุล พรหเมศ
    • พระองค์เจ้าหญิงโศกส่าง (พ.ศ. 2399) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหงส์
    • พระองค์เจ้าหญิงพิมพับสรสร้อย (พ.ศ. 2399-2468) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาวันดี
    • พระองค์เจ้าชายจรูญโรจน์เรืองศรี (พ.ศ. 2399-2451) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาช้อย ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ เมื่อ พ.ศ. 2439 ในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นต้นสกุล จรูญโรจน์
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2400) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าชายสนั่น (พ.ศ. 2400) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอ่อน ทรงเป็นต้นสกุล สายสนั่น
    • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. 2400) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาช้อย
    • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. 2401) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสายบัว
    • พระองค์เจ้าหญิงสอางองค์ (พ.ศ. 2403-2465) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาวันดี
    [แก้] อ้างอิง

    1. ^ อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นายวีระ ปัทมาคม
    [แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

    (6 กันยายน พ.ศ. 238128 สิงหาคม พ.ศ. 2428) พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ หรือ พระองค์เจ้ายอดยิ่งประยุรยศบวรราโชรสรัตนราชกุมาร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาเอม
    บางตำรากล่าวว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ ทรงพระนามว่า พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน ตามชื่อของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนแรก จอร์จ วอชิงตัน (พ.ศ. 2275 - 2342) <sup class="reference" id="cite_ref-1">[2]</sup>

    การแต่งตั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เพราะในขณะนั้นพระราชโอรสพระองค์โต คือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ยังทรงพระเยาว์เพียง 12 พรรษา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งถูกสงสัยมาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระ ชนม์ว่าคิดจะชิงราชสมบัติจึงได้เสนอให้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง เป็น กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เมื่อ พ.ศ. 2410 แต่ไม่ได้ตั้งให้เป็นวังหน้า
    ก่อนหน้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต 1 วัน ได้มีการประชุมพระญาติวงศ์และขุนนาง ที่ประชุมอันมีสมเด็จเจ้าพระยามหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นประธาน ตกลงที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลตามคำเสนอ ของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นมติเอกฉันท์ของที่ประชุม เพราะพระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ทรงคัดค้านว่า การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น ตามโบราณราชประเพณีเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของที่ประชุม ซึ่งทำความไม่พอใจให้แก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ท่านจึงได้ย้อนถามว่า "ที่ไม่ยอมนั้น อยากจะเป็นเองหรือ" กรมขุนวรจักรธรานุภาพ จึงตอบว่า "ถ้าจะให้ยอมก็ต้องยอม" จึงเป็นอันว่าที่ประชุมเห็นสมควรที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 พระราชพิธีราชาภิเษก พระองค์เจ้ายอดยิ่งบวรยศ เป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าองค์สุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์<sup class="reference" id="cite_ref-2">[3]</sup>
    [แก้] กรณีวิกฤตการณ์วังหน้า


    <dl><dd>ดูบทความหลักที่ วิกฤตการณ์วังหน้า
    </dd></dl>เนื่อง จากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สนับสนุนให้ได้เป็นแต่งตั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ จึงทรงเกรงพระทัยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นอันมาก
    ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2417-2418 ทรงริเริ่มปฏิรูปปรับปรุงการปกครองประเทศให้ทันสมัย โดย โยงอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ (Auditing Office ปัจจุบันคือ กระทรวงการคลัง) เพื่อรวมรวมการเก็บภาษีมาอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งกระทบกระเทือนต่อการเก็บรายได้ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้านายและขุนนางเก่าแก่เป็นอันมาก โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเดิมมีรายได้แผ่นดินถึง 1 ใน 3 มีทหารในสังกัดถึง 2000 นาย และมีข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก และเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มีการสะสมอาวุธ มีความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้า จนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งเรียกเหตุการณ์ขัดแย้งนี้ว่า วิกฤตการณ์วังหน้า <sup class="reference" id="cite_ref-3">[4]</sup><sup class="reference" id="cite_ref-4">[5]</sup>
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และเข้าไปคบค้าสนิทสนมกับนายโทมัส น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยาม ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสองส่วนคือ ทางเหนือถึงเชียงใหม่ ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าครอง ทางใต้ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้วจะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น
    เหตุการณ์บาดหมางเกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่ง เกิดระเบิดขึ้นที่ตึกดินในวังหลวง ไฟไหม้ลุกลามไปถึงพระบรมมหาราชวัง ทางวังหลวงเข้าใจว่าวังหน้าเป็นผู้วางระเบิด และไม่ส่งคนมาช่วยดับไฟ ส่วนกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ก็เสด็จหลบหนีไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษไม่ยอมเสด็จออกมา เหตุการณ์ตึงเครียดนี้กินเวลาถึงสองสัปดาห์ จนกระทั่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เดินทางกลับจากราชบุรี เข้ามาไกล่เกลี่ย โดยฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสถือว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการเมืองภายในของสยาม และไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นเจ้านายที่มีความสามารถหลายด้าน ด้านนาฏกรรม ทรงพระปรีชา เล่นหุ่นไทย หุ่นจีน เชิดหนัง และงิ้ว ด้านการช่าง ทรงชำนาญเครื่องจักรกล ทรงต่อเรือกำปั่น ทรงทำแผนที่แบบสากล ทรงสนพระทัยในแร่ธาตุ ถึงกับทรงสร้างโรงถลุงแร่ไว้ในพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อ พ.ศ. 2426 ทรงได้รับประกาศนียบัตรจากฝรั่งเศส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาช่าง <sup class="reference" id="cite_ref-5">[6]</sup>
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคตเมื่อวันศุกร์ เดือน 9 แรม 3 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1247 (28 สิงหาคม พ.ศ. 2428) พระชนมายุ 48 พรรษา พระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2429 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลว่างลง จนถึงปีจอ พ.ศ. 2429 จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นมกุฎราชกุมาร และยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช ตั้งแต่นั้นมา
    [แก้] พระโอรส-พระธิดา

    [แก้] ประสูติก่อนอุปราชาภิเษก

    • พระองค์เจ้าชายแฝด (ไม่มีพระนาม) (พ.ศ. 2400) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมหลวงปริก เจษฎางกูร
    • พระองค์เจ้าหญิงปฐมพิสมัย (พ.ศ. 2405-2421) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากรุด
    [แก้] ประสูติเมื่ออุปราชาภิเษกแล้ว

    • พระองค์เจ้าชายวิไลวรวิลาศ (พ.ศ. 2411 - 2471) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเข็ม ทรงเป็นต้นสกุล วิไลยวงศ์
    • พระองค์เจ้าชายกาญจโนภาสรัศมี (พ.ศ. 2412-2463) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาปริกเล็ก ณ นคร ทรงได้รับสถาปนาเป็น กรมหมื่นชาญไชญบวรยศ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นต้นสกุล กาญจนะวิชัย
    • พระองค์เจ้าชาย (ไม่มีพระนาม) (พ.ศ. 2413) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเวก
    • พระองค์เจ้าชาย (ไม่มีพระนาม) (พ.ศ. 2413) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาละม้าย
    • พระองค์เจ้าหญิงภัทราวดีศรีราชธิดา (พ.ศ. 2414-2442) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเลี่ยมเล็ก
    • พระองค์เจ้าชายกัลยาณประวัติ (พ.ศ. 2414-2470) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเลี่ยมใหญ่ ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นกวีสุพจน์ปรีชา เมื่อ พ.ศ. 2456 ในรัชกาลที่ 6 ทรงเป็นต้นสกุล กัลยาณะวงศ์
    • พระองค์เจ้าหญิงธิดาจำรัสแสงศรี (พ.ศ. 2414-2440) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเขียวใหญ่
    • พระองค์เจ้าหญิงฉายรัศมีหิรัญพรรณ (พ.ศ. 2414-2471) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาปุ้ย
    • พระองค์เจ้าหญิง (ไม่มีพระนาม) (พ.ศ. 2515) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเวก
    • พระองค์เจ้าหญิงกลิ่นแก่นจันทนารัตน์ (พ.ศ. 2415-2418) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจั่น
    • พระองค์เจ้าชายสุทัศนนิภาธร (พ.ศ. 2415-2461) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมหลวงนวม ปาลกะวงศ์ ทรงเป็นต้นสกุล สุทัศนีย์
    • พระองค์เจ้าชายวรวุฒิอาภรณ์ (พ.ศ. 2416-2458) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาป้อม ทรงเป็นต้นสกุล วรวุฒิ
    • พระองค์เจ้าชายโอภาสไพศาลรัศมี (พ.ศ. 2416) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
    • พระองค์เจ้าชาย (ไม่มีพระนาม) (พ.ศ. 2416) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอิน
    • พระองค์เจ้าหญิงอัปสรศรีราชกานดา (พ.ศ. 2416-2460) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาต่วน
    • พระองค์เจ้าชายรุจาวรฉวี (พ.ศ. 2417) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสมบุญ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 8 ทรงเป็นต้นสกุล รุจจวิชัย
    • พระองค์เจ้าหญิงเทวีวิไลยวรรณ (พ.ศ. 2418) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสุ่นใหญ่ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 8
    • พระองค์เจ้าชายวิบูลยพรรณรังษี (พ.ศ. 2419-2451) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเขียวเล็ก ทรงเป็นต้นสกุล วิบูลยพรรณ
    • พระองค์เจ้าชายรัชนีแจ่มจรัส (พ.ศ. 2419-2456) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเลี่ยมเล็ก ทรงได้รับสถาปนาเป็น กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2456 ในรัชกาลที่ 6 ทรงเป็นต้นสกุล รัชนี
    • พระองค์เจ้าชายไชยรัตนวโรภาส (พ.ศ. 2419-2440) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาปริกใหญ่
    • พระองค์เจ้าหญิงวิมลมาศมาลี (พ.ศ. 2419-2464) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจั่น
    • พระองค์เจ้าหญิงสุนทรีนาฎ (พ.ศ. 2423-2513:90 ปี) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสุ่นเล็ก
    • พระองค์เจ้าหญิงประสาทสมร (พ.ศ. 2425-2456) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดายิ้ม
    • พระองค์เจ้าชายบวรวิสุทธิ์ (พ.ศ. 2426-2453) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสอาด ทรงเป็นต้นสกุล วิสุทธิ
    • พระองค์เจ้าหญิงกมุทมาลี (พ.ศ. 2427-2454) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เชื้อ อิศรางกูร
    • พระองค์เจ้าหญิงศรีสุดสวาดิ (พ.ศ. 2427-2489) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแข
    [แก้] อ้างอิง

    1. ^ ศุภวัฒย์ เกษมศรี, พลตรี หม่อมราชวงศ์, และรัชนี ทรัพย์วิจิตร.พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์บรรณกิจ, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2549. 360 หน้า. ISBN 974-221-818-8
    2. ^ http://www.vcharkarn.com/include/art...le.php?Aid=211
    3. ^ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 เล่ม 2. พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2504.
    4. ^ Untitled Document การแก้ไขวิกฤตชาติ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าหัว
    5. ^ XREA.COM รัชกาลที่ 5 กับการเสด็จอินเดีย พ.ศ. 2414 และความเข้าใจต่อการปฏิรูปแห่งรัชสมัย
    6. ^ http://www.thairath.co.th//thairath1...pr/17_4_48.php
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ - วิกิพีเดีย

    .

    กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มิได้ทิวงคตตามประวัติศาสตร์ในปี 2428

    แต่หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ท่านได้นำกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ออกป่า และกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ได้ผนวชเป็นพระภิกษุ (อยู่ในคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) โดยเป็นครูฝึกของคณะ หากมีพระภิกษุหรือบุคคล ศึกษากับคณะหลวงปู่ฯ ทางหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญจะเป็นผู้ที่สอนให้ และหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร จะมาเป็นผู้ที่ทดสอบว่า ผ่านในขั้นนั้นหรือไม่)

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    กระผม ขอลองตอบข้อที่2นะครับพี่เพชรผิดถูกประการใดถือว่าน้องขอร่วมสนุกนะครับ ป้ายฉลองพระองค์ ตรงป้ายสถิตย์ดวงพระวิญญาณตรงกลางเป็นของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนด้านซ้ายมือเป็นของพระบาทสมเด็จพระพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และ ส่วนด้านขวามือเป็นของ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชชนนี
    ส่วน ด้านซ้ายและขาวต่างกันอย่างไร ขอตอบว่าต่างกันตรงสัญลักษญ์ของป้ายครับ ด้านซ้ายมือเป็นรูปสิงโต ส่วนด้านขวามือเป็นรูปพญาครุฑจับพญานาคด้านล่างเป็นสิงห์รึกิเลนไม่แน่ใจ ครับ
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    [​IMG]

    ตู้กลางมี ๓ ป้าย ส่วนตู้ทองมีตู้ซ้าย กับตู้ขวา คำถามถามว่า ตู้ซ้ายคืออะไร ตู้ขวาคือตู้อะไร ไม่ต้องอธิบายความแตกต่างก็ได้ครับ ถือว่า รู้ว่าตู้ซ้ายคืออะไร ตู้ขวาคืออะไรก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้วครับ...

    คำถามไม่ได้ถามป้ายซ้าย หรือป้ายขวา..ลองตอบอีกครั้งนะครับ แล้วอย่าลืมตอบคำถามของพี่หนุ่ม กับพี่กูรูน้องนู๋ด้วยนะครับ..
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    ภาย หลังจากการสวรรคคตของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทรงสร้างตู้ทองเรียงกัน3ตู้ เพื่อประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ส่วนตู้ด้านข้างนั้นประดิษฐานพระอัฐิของพระสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    s6..s6...ค้นได้ดีจริง...:cool: ตู้ซ้าย ของพระองค์ใด ตู้ขวาของพระองค์ใด ชัดๆ...
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    จากหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มนี้ ทำให้เราได้ทราบว่า ทำไมถนนเจริญกรุงถึงได้ให้ไปเลี้ยวตรงเชิงสะพานเหล็ก(สะพานดำรงสถิติในปัจจุบัน) ดังนั้น ด้วยหนังสือที่ได้รับมาอย่างจำกัดเพียง ๒ เล่ม จึงต้องคัดเลือกเพื่อนๆชาวพระวังหน้าที่เหมาะสมสมควรจะได้รับหนังสือเล่มนี้ ไปเพื่อใช้ค้นคว้าสืบทอดเรื่องราวของวังหน้าด้วยคำถามทั้ง ๓ ข้อนี้
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    ด้าน ซ้ายมือเป็นของพระบาทสมเด็จพระพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และ ส่วนด้านขวามือเป็นของ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชชนนี ถ้าเกิดผิดอีกก็ขอรบกวนให้พี่ท่านอื่นตอบบ้างนะครับ หุหุหุ
    </td> </tr> </tbody></table>


    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    ประวัติของเรือที่พระองค์ทรงมีใช้ในสมัยนั้น ตามที่พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ ได้รายงานเล่าไว้ในหนังสือ ประวัติทหารเรือไทย มีดังนี้
    • เรือพุทธอำนาจ (Fairy) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2379 เป็นเรือชนิดบาร์ก (Barque) ขนาด 200 ตัน มีอาวุธปืนใหญ่ 10 กระบอก เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. 2384 ไปราชการทัพรบกับญวน ใช้เป็นเรือพระที่นั่งของแม่ทัพ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เมื่อครั้งทรงเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ยกกองทัพไปรบกับญวน ตีเมืองบันทายมาศ (ฮาเตียน)
    • เรือราชฤทธิ์ (Sir Walter Scott) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2379 เป็นเรือแบบเดียวกันกับพุทธอำนาจ เมื่อ พ.ศ. 2384 ไปราชการทัพรบกับญวน
    • เรืออุดมเดช (Lion) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2384 เป็นเรือชนิดบาร์ก (Bark) ขนาด 300 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. 2384 ได้ใช้ไปราชการทัพรบกับญวน พ.ศ. 2387 ได้นำสมณทูตไปลังกา
    • เรือเวทชงัด (Tiger) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2386 เป็นเรือชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด 200 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ
    • เรือพุทธสิงหาศน์ (Cruizer) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2398 เป็นเรือชนิดชิพ ขนาด 400 ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ
    • เรือมงคลราชปักษี (Falcon) ซื้อเมื่อ พ.ศ. 2400 เดิมเป็นเรือของชาวอเมริกัน ชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด 100 ตัน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงซื้อมา แล้วดัดแปลงใช้เป็นเรือรบ เรือพระที่นั่งของพระองค์
    เกียรติ ประวัติของการทหารเรือไทยสมควรจะต้องยกถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้า อยู่หัว เพราะพระองค์เป็น ผู้ที่ทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการทหารเรือในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อปรากฏว่ามีเรือรบต่างประเทศเข้ามาเยี่ยม ประเทศไทยคราวใดพระองค์ก็มักหาโอกาสเสด็จไปเยี่ยมเยียนเรือรบเหล่านั้นเสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบว่าเรือรบต่าง ประเทศเขาตกแต่งและจัดระเบียบเรือกันอย่างไร แล้วนำมาเป็นแบบอย่างให้กับเรือรบของไทยในเวลาต่อมา

    จาก พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำในเรื่องเรือสมัยใหม่ ซึ่งผู้คนในสมัยนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าเหล็กจะลอยน้ำได้แต่พระองค์ได้ทรง แสดงพระปรีชาสามารถให้ปรากฏ ทรงต่อเรือรบ กลไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน ทรงแตกฉานเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษจนสามารถติดต่อ กับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดีพระสหาย และพระอาจารย์ เป็นชาว อเมริกันเสียเป็นส่วนมากทรงหมกมุ่นกับกิจการทหารเรือมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงเป็น ผู้บัญชาการ ทหารเรือ พระองค์แรก และควรถวายพระนามว่า ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า สมควรได้รับการถวายพระเกียรติยศขั้นสูงสุด จากชาวกองทัพเรือ ตั้งแต่นี้และตลอดไป

    ขอตอบเรือลำที่6 ครับ เรือมงคลราชปักษี
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ IT Man [​IMG]
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
    ๑) ชื่อเรือพระที่นั่งของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ได้รับการสถาปนาเป็นวังหน้าแล้ว ชื่อว่าอะไร และบอกชื่อเดิมพร้อมประวัติการได้มาด้วย
    ๒) ในห้องป้ายฉลองพระองค์ ตรงป้ายสถิตดวงพระวิญญาณมีตู้ทองด้านซ้าย และด้านขวา ถามว่า คืออะไร ด้านซ้าย และด้านขวามือของเราต่างกันอย่างไร (ดูภาพประกอบ)
    ๓) ให้เขียนประวัติโดยย่อของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าและกรมพระราชวังบวรวิชัย ชาญ (อย่่างน้อย 5 บรรทัด) , เครื่องดนตรีที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าทรงโปรดปรานคือ เครื่องดนตรีชื่ออะไร
    และ สิ่งที่ตั้งใจทำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า และ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (สิ่งที่ตั้งใจทำ เป็นการกระทำครับ ไม่ใช่การทำบุญด้วยเงิน เช่น ขอถือศีล 5 เป็นระยะเวลา 3 เดือน เป็นต้น)
    ******************
    ถามแบบมวยหมู่ก็ขออนุญาตช่วยปฐมตอบแบบมวยหมู่ละกันครับ
    ลอกมาจาก internet ดังนี้ ...

    1.1) เรือมงคลราชปักษี (Falcon)
    1.2) ซื้อเมื่อ พ.ศ. 2400 เดิมเป็นเรือของชาวอเมริกัน ชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด 100 ตัน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงซื้อมา แล้วดัดแปลงใช้เป็นเรือรบ เรือพระที่นั่งของพระองค์
    [​IMG]
    2.1) ซ้าย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    2.2) ขวา สมเด็จพระสรีสุริเยนทรา บรมราชชนนี

    3.1) พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศมหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระอนุชาของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงได้รับพระบวรราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) หรือที่ออกพระนามกันว่า "วังหน้า" มีพระเกียรติยศเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 เมื่อทรงมีพระชนมพรรษาได้ 43 พรรษา มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศ รังสรรค์ มหรรต วรรคโชไชย มโหฬารคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ บวรจักรพรรดิราช บวรนาถบพิตร พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    3.2) กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (6 กันยายน พ.ศ. 2381 — 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428) พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ หรือ พระองค์เจ้ายอดยิ่งประยุรยศบวรราโชรสรัตนราชกุมาร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาเอม - บางตำรากล่าวว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ ทรงพระนามว่า พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน ตามชื่อของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนแรก จอร์จ วอชิงตัน (พ.ศ. 2275 - 2342)
    การแต่งตั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
    เมื่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรง ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เพราะในขณะนั้นพระราชโอรสพระองค์โต คือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ยังทรงพระเยาว์เพียง 12 พรรษา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งถูกสงสัยมาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระ ชนม์ว่าคิดจะชิงราชสมบัติจึงได้เสนอให้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง เป็น กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เมื่อ พ.ศ. 2410 แต่ไม่ได้ตั้งให้เป็นวังหน้า
    3.3) แคน
    3.4) ทำความดีไม่มีที่สิ้นสุด


    ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ... มติชน หรือ DL PDF file และ พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ เป็นต้น

    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯทรงเป็นผู้ใฝ่รู้ โดยเฉพาะในเรื่องของชาวตะวันตกตั้งแต่ครั้งทรงเป็นเจ้าฟ้าน้อย การศึกษาของพระองค์มุ่งไปในแนวทางเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรง มีพระราชประสงค์ เข้าใจได้จากพระราชดำรัสสุดท้ายก่อนเสด็จสวรรคต เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรหนักแต่ยังทรงดำรงพระสติอยู่ ได้มีกระแสพระราชดำรัสแสดงความที่ทรงห่วงใยบ้านเมืองไว้ว่า “...การต่อไปภายหน้า...การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่งให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่ดีควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว...”
    __________________
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    พี่สมบัติตอบได้ครบถ้วนทุกข้อแล้ว หุหุหุ
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    ผม ชอบแบบเดี่ยวๆครับพี่สมบัติเลยมาเป็นข้อๆ แล้วนานๆถึงจะนึกตอบได้ด้วยจิคับเพราะความรู้ยังน้อยนักครับ ขอบพระคุณพี่สมบัติที่ช่วยไขคำถามให้น้องได้พอกระจ่างได้บ้างครับผม
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม [​IMG]
    อีก อย่างกระผมขอขอบพระคุณพี่ๆผู้ตั้งคำถามทั้ง3ท่านนะครับ ทำให้กระผมได้ค้นคว้าได้อ่านในสิ่งที่ไม่เคยรับรู้รับทราบมาก่อน ขอขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่เสียสละแรงกายแรงใจเดินไปหาข้อมูลรวมถึงมุมในการ ถ่ายภาพดีๆมาให้คนไกลแบบผมได้รับทราบ งานนี้มีแต่ได้กับได้คุ้มแล้วครับ หุหุหุ
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คำถามของคุณเพชร ถามตู้ทองคำด้านข้าง ไม่ใช่พระป้ายครับ

    ส่วนคำถามพี่ เรื่องของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ตอบในลักษณะองค์ความรู้ของประวัติศาสตร์ และ องค์ความรู้ตามแบบฉบับชาววังหน้าครับ


    .
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    ก็ ได้ทวนคำถามที่เข้าใจคลาดเคลื่อนกันไปแล้ว และขอบคุณคุณหนุ่มมาชี้ประเด็นซ้ำอีกครั้ง อยากให้ลองพิจารณานะครับ หากพระป้ายทั้ง ๓ ตรงตู้ทองตู้กลาง หากพระป้ายกลางนั้นเป็นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจริงๆ ทำไมพระป้ายของพระองค์ท่านถึงได้สูงใหญ่กว่าพระราชบิดา และพระราชมารดาของพระองค์ท่าน หรือสูงใหญ่กว่าพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ

    พิจารณาแล้วจะเห็นความไม่เหมาะสมหลายอย่าง...

    คำถามข้อนี้น่าจะง่ายที่สุด คำถามที่ยากที่สุดน่าจะเป็นของคุณน้องนู๋ ต้องคิด ๒ ชั้น ชั้นแรกต้องทราบก่อนว่าพระองค์ท่านได้รับพระบวรราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวัง บวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) หรือ"วังหน้า"เมื่อปีพ.ศ.ใดก่อน จากนั้นจึงจะไปเทียบปีที่ได้เรือพระที่นั่งลำนั้นมา และประวัติการได้มา...ยากครับ...s6..s6...

    ทั้ง ๒ ท่าน และท่านอื่นๆก็พยายามนะครับ....
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ IT Man [​IMG]
    อ่า .. พอจะทราบคำตอบแล้วครับ แต่ถือว่าตอบผิดละกันครับพี่ ให้เพื่อนๆท่านอื่นๆตอบมั่งนะ หุหุ :)
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil [​IMG]
    สวัสดีทุกท่านครับ nongnooo, sittiporn.s, sithiphong

    หุหุ คำถามชิงรางวัลยากมากครับ Google + WiKi สงสัยจะเอาไม่อยู่ครับ :p
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ถ้าคำถามของผม แน่นอนครับ

    บางคำถาม ตอบตามประวัติศาสตร์ ก็ผิดแน่นอน เพราะว่า สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นจริง แตกต่างจากตัวอักษรในหนังสือประวัติศาสตร์ครับ


    .
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ IT Man [​IMG]
    แสดงว่า ... อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลครูฝึกอีกพระองค์ ... หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ แล้ว...ว่างั้น? :)
    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรื่อง หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ที่พระองค์ท่านเป็นครูฝึกของคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) ได้เปิดเผยมาก่อนหน้านี้นานแล้ว ในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ครับ


    .
    </td> </tr> </tbody></table>




    [​IMG]

    หนังสือเล่มนี้ (2เล่ม) คุณเพชรแจ้งผมว่า ให้มอบให้ักับน้องปฐม และ น้องสมบัติ ผมจะดำเนินการส่งให้ครับ

    [​IMG]

    ส่วนปฎิทิน คุณเพชรมอบให้ผมครับ ขอบคุณมากครับ

    ขอแสดงความยินดีกับน้องปฐม และ้น้องสมบัติด้วยครับ

    .


     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    สำหรับท่านใดที่ไม่เชื่อ
    ขอให้วางอุเบกขาครับ


    .
     
  7. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอขอบพระคุณพี่ๆทั้ง 3 ท่านนะครับที่เมตตาให้ได้รับความรู้เรื่อยมา และขอขอบพระคุณสำหรับหนังสืออันทรงคุณค่านะครับ อ่านแล้วผมเชื่อว่าจะได้รับรู้รับทราบในสิ่งที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อนอย่างแน่นอน ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับพี่ๆทั้ง3 ท่าน
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มาเฉลยส่วนของผมดีกว่า

    ๒) ในห้องป้ายฉลองพระองค์ ตรงป้ายสถิตดวงพระวิญญาณมีตู้ทองด้านซ้าย และด้านขวา ถามว่า คืออะไร ด้านซ้าย และด้านขวามือของเราต่างกันอย่างไร (ดูภาพประกอบ)
    [​IMG]

    หมายถึงตู้ทองซ้าย ขวา ไม่ได้หมายถึงป้ายซ้าย-ขวาแต่อย่างใด
    ตู้ซ้าย-ที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

    ตู้ขวา-ที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชชนนี

    ภาพด้านล่างนี้ไม่ถูกต้องครับ เนื่องจากป้ายกลางเป็นของบรรพบุรุษ ป้ายซ้ายจึงจะเป็นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้สังเกตภาษาจีน มีคำว่า "เจิ้ง เจิ้ง" อยู่

    ปัจจุบันนี้พระบรมอัฐิของทั้ง ๒ พระองค์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในตู้ทองซ้าย และขวาได้อัญเชิญไปประดิษฐานในพระบรมมหาราชวังแล้วครับ


    [​IMG]

    คำตอบข้อที่ 2 รอคุณน้องนู๋หน่อยนะครับ...

    การร่วมสนุกตอบคำถามวังหน้ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้เพื่อนๆชาวพระวังหน้า ได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของวังหน้าในอดีตซึ่งไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะพระพิมพ์แต่เพียงอย่างเดียว บางครั้งก็ไปได้ข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่สิ่งที่เราสนใจศึกษาทางอ้อม เช่นหนังสือ "พระบวรราชานุสรณ์" เมื่อได้ศึกษาวิธีคิดของพระองค์ท่านผ่านพระราชกรณียกิจต่างๆ ก็จะเห็นถึงความลึกซึ้งของแผนงานต่างๆ แม้พระพิมพ์ฝีพระหัตถ์จะไม่มีบันทึกไว้ ณ ที่ใด เราท่านก็อาจจะได้พิจารณาเห็นศิลปะชั้นสูงที่คนทั่วไปไม่สามารถจินตนาการรังสรรค์งานศิลปะแบบนี้ได้ แม้ปัจจุบันก็ตามทีก็ยังไม่เห็นรูปแบบของพระพิมพ์ที่จัดวางองค์ประกอบต่างๆได้ในลักษณะนี้...

    ก็ขอแสดงความยินดีกับน้อง psombat และน้องปฐมด้วยครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2011
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระวิหาร ตึงเครียด ทหาร 2 ฝ่ายเตรียมพร้อม
    25 มค. 2554 16:42 น.




    <DD>สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หลังการเรียกร้องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยให้กองทัพกัมพูชา ที่ประจำอยู่พื้นที่ปราสาทพระวิหารและในวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ทำลายป้ายที่เขียนเป็นภาษาเขมรว่า “ กองทัพไทยรุกรานดินแดนกัมพูชา” ออกไป แต่ทางฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว ทำให้สถานการณ์ชายแดนบริเวณดังกล่าวตึงเครียดขึ้นมาทันที


    <DD>แหล่งข่าวตามแนวชายแดน เปิดเผยว่า นสพ.เกาะสันติภาพ ของกัมพูชา ระบุว่า ตามรายงานจากเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่พื้นที่ปราสาทพระวิหาร ทราบว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ส่งผลให้ทุกหน่วยงานที่ประจำอยู่ในส่วนหน้าทั้งหมดเพิ่มความระมัดระวังอย่างสูง เพราะกัมพูชาได้ตอบปฏิเสธทุกข้อเรียกร้องของไทย


    <DD>เจ้าหน้าที่ทหารของกัมพูชา เปิดเผยอีกว่า ได้รับหนังสือเรียกร้องจากฝ่ายไทย แต่เราไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของพวกเขาได้ และขณะนี้กองทัพกัมพูชาได้เตรียมความพร้อม หากเกิดความตึงเครียดจากข้อเรียกร้องดังกล่าว เราพร้อมจะปกป้องอธิปไตยกัมพูชาและไม่ยอมรับว่าดินแดน 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย


    <DD>นอกจากนี้ยังมีประเด็นใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร หลังจากที่สภาพภูมิอากาศลดลงเหลือ 13 องศาเซลเซียส มีการตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่กัมพูชาเราได้มีการระมัดระวังเป็นพิเศษ กองทัพฝ่ายไทยก็มีการเคลื่อนไหวกำลังอย่างผิดปกติเช่นเดียวกัน นสพ.เกาะสันติภาพ รายงาน


    <DD>ขณะที่ความเคลื่อนไหวของกองกำลังฝ่ายไทยจากการตรวจสอบแหล่งข่าวสายทหาร ทราบว่า จากการตรวจจับความเคลื่อนไหวของกองกำลังกัมพูชาพบว่ามีการเสริมกำลังเข้ามาประชิดชายแดนอย่างต่อเนื่องและมีจำนวนมากกว่าปกติ ฝ่ายไทยเองขณะนี้ได้มีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด ให้เตรียมความพร้อม 100 % และได้มีคำสั่งเรียกกำลังพลที่ลา และหยุดพักกลับเข้ารายงานตัวต่อต้นสังกัดหมดแล้ว ทั้งทหารพราน และทหารลายพราง และมีคำสั่งสำหรับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าบนเขาพระวิหารห้ามลา ห้ามขาดเด็ดขาด พร้อมทั้งสั่งให้ตรวจสอบความพร้อมของอาวุธทุกชนิดทั้งอาวุธหนัก และอาวุธเบา โดยเฉพาะอาวุธประจำกาย เพื่อป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้


    <DD>แหล่งข่าว กล่าวว่า ทหารทั้งสองฝ่ายในระดับพื้นที่ยังสามารถพูดคุยได้ปกติ ทหารกัมพูชาก็บอกว่าไม่อยากจะให้เรื่องบานปลายถึงขั้นต้องรบกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองระหว่างกรุงเทพกับกรุงพนมเปญ เรื่องป้ายที่เกิดขึ้นทหารในพื้นที่เขาก็ไม่รู้เรื่องด้วย แต่หากมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามทันที
    จาก ..เนชั่น

    คำพูดของกรมพระราชวังบวรสุรสีหนาท(วังหน้าองค์ที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ก่อนเข้าตีค่ายพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า “ พวกเจ้าเป็นไพร่หลวง ข้าเป็นพระราชวงศ์ แต่เจ้ากับข้าเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราเป็นคนไทย เป็นเจ้าของแผ่นดินเหมือนกัน รบวันนี้เราจะแสดงให้ผู้รุกรานเห็นว่าเราหวงแหนแผ่นดินแค่ไหน รบวันนี้เราจะไม่กลับมาค่ายนี้อีกจนกว่าจะขับไล่ศัตรูไปพ้นชายแดน ข้าจะไม่ขอให้พวกเจ้ารบเพื่อใคร นอกจากรบเพื่อแผ่นดินของเจ้าเอง แผ่นดินที่เจ้ามอบให้ลูกหลานของเจ้าได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสืบไป”

    </DD>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณnongnooo ตอบมาแล้วครับ

    .
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระผงพระราชลัญจกรมังกรฮกนี้มีที่มาอย่างไรนั้น
    [​IMG][​IMG]

    ผมบังเอิญค้นพบได้จากงานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน หมวดเบ็ดเตล็ด-ความรู้ทั่วไป เล่มที่ ๔ เรื่องบันทึกเรื่องความรู้ต่างๆ(เล่ม ๒)

    [FONT=courier new,courier,monospace]ด้วยเอกสารสำคัญชิ้นนี้ เป็นการถามตอบระหว่างศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน กับ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ท่านจะเข้าใจถึงที่มาที่ไปของคำว่ามังกรฮก ซึ่งท่านได้พูดถึงคำว่า "ฮก ลก ซิ่ว" ทำให้มองเห็นความสัมพันธ์ทางการค้า การฑูตของไทย-จีนในสมัยของรัชกาลที่ ๕ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งน่าจะเชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรม ประเพณี และพระสมเด็จฮก ลก ซิ่ว ที่บันทึกไว้ในหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯ และพระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ซึ่งก็คือสมเด็จปัญจสิรินั่นเอง[/FONT]

    ฮก คือ วาสนา ได้แก่ความเป็นใหญ่ เป็นอิสระ มียศ บรรดาศักดิ์ ให้การทั้งปวงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพ

    [FONT=courier new,courier,monospace]องค์ที่ ๑ คุณchantasakuldecha[/FONT]
    [FONT=courier new,courier,monospace]องค์ที่ ๒ คุณdrmetta[/FONT]
    องค์ที่ ๓ คุณkeatipinich

    ผมได้รับพระผงพระราชลัญจกรมังกรฮก บรรจุพระธาตุอรหันต์ มา ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าคืออะไร จนเมื่อราว ๓ ปีก่อน ก่อนที่ผมจะมอบพระผงพระราชลัญจกรมังกรฮก จำนวน ๓ องค์ กับเพื่อนชาวพระวังหน้าเพื่อสมทบทุนโดยเสด็จพระราชกุศลกับทางมูลนิธิชัยพัฒนา ก็ได้มีความรู้สึกว่าอยากไปที่ร้านหนังสือเก่าร้านหนึ่ง ก็เดินตรงที่ชั้นวางหนังสือหยิบหนังสือเล่มแรกเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก่อนสมัยสุโขทัย และเปิดหน้ากลางๆ ก็พบภาพมังกรผงาดฟ้า ตามบันทึกของราชวงศ์ซ้อง และหนังสืออีกกองหนึ่งเป็นงานนิพนธ์ของศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน กับ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ซึ่งหนังสือชุดดังกล่าวมีแบ่งเป็นหมวดต่างๆหลายสิบหมวด แต่ละหมวดมีหลายสิบเล่ม รวมๆแล้ว ทั้งชุดเป็นร้อยๆเล่ม แต่เป็นเรื่องแปลกที่การหาหนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่ง นั่นคือหยิบได้ทั้ง ๒ เล่ม และพลิกไปมาก็พบเรื่องราวของพระราชลัญจกรมังกรฮก โดยไม่เสียเวลาเลย เหมือนราวกับว่าได้วาระการไขความลับของพระผงพระราชลัญจกรมังกรฮกนี้ ผมเลยนำมาเผยแพร่ให้เพื่อนชาวพระวังหน้าได้ทราบบกันถึงที่มาที่ไปของพระผงพระราชลัญจกรมังกรฮกนี้ และเป็นการประหยัดกระดาษในการxerox และส่งทางไปรษณีย์ไปให้ เอาเป็นว่า อ่านกันใน บอร์ด และผมก็จะส่งข้อมูลทาง PM ไปเป็นการเฉพาะก่อนเลย...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010186.JPG
      P1010186.JPG
      ขนาดไฟล์:
      320.2 KB
      เปิดดู:
      42
    • P1010187.JPG
      P1010187.JPG
      ขนาดไฟล์:
      351.9 KB
      เปิดดู:
      36
    • P1010188.JPG
      P1010188.JPG
      ขนาดไฟล์:
      349 KB
      เปิดดู:
      36
    • P1010189.JPG
      P1010189.JPG
      ขนาดไฟล์:
      340.7 KB
      เปิดดู:
      35
    • P1010190.JPG
      P1010190.JPG
      ขนาดไฟล์:
      348 KB
      เปิดดู:
      30
    • P1010191.JPG
      P1010191.JPG
      ขนาดไฟล์:
      346.9 KB
      เปิดดู:
      35
    • P1010192.JPG
      P1010192.JPG
      ขนาดไฟล์:
      350.7 KB
      เปิดดู:
      28
    • P1010193.JPG
      P1010193.JPG
      ขนาดไฟล์:
      340.7 KB
      เปิดดู:
      37
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2011
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นักวิทย์เผยสหรัฐฯ เสี่ยงภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุด


    [​IMG]
    ภาพจำลองการเกิด Super-Volcano

    [​IMG]
    ภาพจำลองการเกิด Super-Volcano

    [​IMG]
    ภาพจำลองการเกิด Super-Volcano



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก exitmundi.nl , dsc.discovery.com,virginmedia.com , patdollard.com


    เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นัก วิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐฯ คาดคะเนว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ (Super-volcano) ที่อยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนในสหรัฐฯ อาจเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 6 แสนปีในระยะเวลาอันใกล้นี้ และทำให้พื้นที่ 2 ใน 3 ของสหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย เถ้าถ่านของภูเขาไฟจะปกคลุมชั้นบรรยากาศไปค่อนโลก

    รายงานระบุว่า โรเบิร์ต บ๊อบ สมิธ ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีพิบัติแห่งเยลโลสโตนจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ ได้เปิดเผยกับ National Geographic ว่าตอนนี้เปลือกโลกบริเวณอุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน รัฐไวโอมิง ได้มีการยกตัวผิดปกติเป็นบริเวณกว้าง คือยกตัวถึง 3 นิ้วต่อปีตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติการยกตัวที่มากที่สุดตั้งแต่มีการเริ่มบันทึกเมื่อปี 1923 (พ.ศ.2466) และพบว่าบ่อหินละลายที่อยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลกนั้นตื้นขึ้นมาก ซึ่งเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณ อันตรายที่กำลังเตือนว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ที่อยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกำลังนับถอยหลังรอวัน ระเบิดในอีกไม่ช้า และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อมันจะระเบิดออกมาบนเปลือกโลกด้วยแรงดันมหาศาลใต้เปลือกโลก ก็จะมีอำนาจทำลายล้างทุกสิ่งบริเวณพื้นที่โดยรอบให้กลายเป็นจุน และเถ้าถ่านจากการระเบิดของมันก็จะทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งผลกระทบไปทั่วโลกเลยทีเดียว

    จากหลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่า ซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนเกิดการระเบิดมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 2.1 ล้านปีก่อน และ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 6.4 แสนปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้ว่า วงจรของการระเบิดเกิดขึ้นทุก ๆ 6 - 7 แสนปี และนั่นก็หมายความว่า ช่วงเวลา 1 แสนปีนี้ มันอาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง

    อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการคาดคะเนว่าการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยาน แห่งชาติเยลโลสโตนกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า เพราะก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาหลายท่านก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้ไปแล้ว เช่นกัน โดยมีการคาดการณ์กันว่า หายนะครั้งยิ่งใหญ่อันเกิดจากซูเปอร์โวลคาโน่นี้ อาจเกิดขึ้นอีกครั้งภายใน 70 ปีที่จะถึงนี้ก็เป็นได้ แต่ ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่มีการคาดคะเนกันหรือไม่ หรือจะเกิดขึ้นคลาดเคลื่อนจากนั้นไปนานหลายร้อย หลายพันปี นักธรณีวิทยาก็ไม่ได้ประมาทกับเรื่องนี้ ยิ่งมีการจับตาเฝ้าจับตามองซูเปอร์โวลคาโน่ใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนกัน อย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพราะมันต้องเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าหากรู้ล่วงหน้า นั่นหมายถึงการมีชีวิตรอดของผู้คนในสหรัฐฯ ที่จะสามารถเตรียมรับมือและอพยพได้ทันเวลา

    [​IMG]

    เปลือกโลกที่ยุบตัวลงไปหลังจากเกิดการระเบิดครั้งก่อนเมื่อ 6.4 แสนปีก่อน


    สำหรับการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน่ เป็นปรากฏการณ์ธรณีพิบัติที่แตกต่างจากภูเขาไฟระเบิดทั่ว ๆ ไป คือไม่มีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟให้หินละลายใต้เปลือกโลกปะทุออกมาเรื่อย ๆ แต่มันกลับสะสมหินละลายไว้ใต้แผ่นเปลือกโลกเป็นเวลาหลายแสนปี จนเกิดเป็นบ่อหินละลายขนาดมหึมาที่อยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลกที่มีความลึกหลาย สิบกิโลเมตร และมันจะดูดซับเอาก๊าซพิษต่าง ๆ สะสมไว้ด้วย ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปหลายแสนปี ก็จะเกิดแรงดันมหาศาลใต้ผิวโลก ก่อนจะระเบิดออกมาบนผิวโลกในที่สุด โดย การระเบิดของมันจะทำให้หินละลายปะทุออกมาบนผิวโลกด้วยความเร็วสูง พ่นแม็กม่าออกมาได้มากกว่า 1,000 ลูกบาศก์กิโลเมตรและไหลได้เร็วกว่า 96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีพลังงานการระเบิดเท่ากับการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ 1,000 ลูกทุก ๆ 1 วินาที และเมื่อบ่อหินละลายระเบิดออกมาหมดแล้วมันก็จะทำให้เปลือกโลกยุบตัวลงไป กลายเป็นหลุมขนาดมหึมาคล้ายอุกกาบาตพุ่งชนโลกในเวลาต่อมา

    ส่วนผลกระทบที่ตามมาหลังจากการระเบิดนั้นจะทำให้สหรัฐฯ เกือบทั้งประเทศได้รับความเสียหายจากการระเบิด เกิดไฟไหม้ในพื้นที่ต่าง ๆ และเถ้าถ่านของการระเบิดจะลอยขึ้นไปปกคลุมชั้นบรรยากาศไปทั่วโลก ขณะที่ก๊าซจำพวกซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก็จะสะท้อนแสงอาทิตย์ไม่ได้สาดส่องลงมาบน ผิวโลกได้เหมือนเดิม ส่งผลให้อุณหภูมิบนโลกลดลงอย่างรวดเร็ว และแสงอาทิตย์ก็ไม่สามารถส่องมาได้เต็มที่เป็นเวลาหลายปี อีกทั้งอากาศ ฝน ก็ยังเป็นพิษจนสามารถทำลายชีวิตคนจำนวนมากได้ เรียกว่าเป็นมหันตภัยจากธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด เป็นหายนะที่ทำลายล้างโลกได้อย่างแท้จริง







    สารคดี การระเบิดของซูเปอร์โวลคาโน่ในเยลโลสโตน

     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แนะวิธีใช้-ทำลาย-ดูแลรักษา สารเคมี อย่างถูกต้อง



    [​IMG]


    ปภ. แนะวิธีใช้ ทำลาย ดูแลรักษา สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย
    (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

    การ ดำเนินชีวิตในปัจจุบันล้วนต้องเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร เคมีอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเรียนรู้วิธีใช้งาน การจัดเก็บหรือทำลายอย่างถูกวิธี รวมถึงวิธีปฏิบัติกรณีได้รับอันตรายจากสารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติภัยจากสารเคมีได้ เพื่อความปลอดภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะวิธีปฏิบัติอย่างปลอดภัยดังนี้

    การใช้

    อ่านฉลากก่อนใช้งาน และปฏิบัติตามวิธีใช้อย่างเคร่งครัด สวมถุงมือ และรองเท้าทุกครั้งที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง สวมแว่นตา เพื่อป้องกันสารเคมีกระเด็นเข้าตา ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจในบริเวณที่อากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยป้องกันการสูดดมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ห้ามทำให้เกิดประกายไฟหรือสูบบุหรี่ในขณะใช้ผลิตภัณฑ์ที่ติดไฟง่าย หลังใช้งานผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นส่วนผสมเสร็จแล้ว ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง

    การทำลาย

    ห้ามทิ้งผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีลงดิน ท่อระบายน้ำหรือโถส้วมอย่างเด็ดขาด ให้ทิ้งในถังขยะมีพิษแยกจากขยะทั่วไป โดยกำจัดให้ถูกต้องกับประเภทของผลิตภัณฑ์ และคำแนะนำของผู้ผลิต

    การเก็บรักษา

    จัดเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น ห่างจากแหล่งความร้อน โดยจัดวางบนพื้นหรือชั้นวางที่มั่นคง แยกเก็บผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ติดไฟง่าย ทำปฏิกิริยารุนแรงไว้ในที่มิดชิด ห่างจากมือเด็ก ไม่จัดเก็บปะปนกับอาหาร เพราะสารเคมีอาจหกหรือมีไอระเหยปนเปื้อนกับอาหาร ห้ามเก็บถังน้ำมันเชื้อเพลิง หรือถังบรรจุก๊าซไว้ในบ้าน ใกล้แหล่งความร้อนหรือเปลวไฟ เพราะจะติดไฟง่าย ตลอดจนห้ามนำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีเปลี่ยนถ่ายลงในภาชนะบรรจุ อาหาร เพื่อป้องกันเด็กหรือผู้ที่ไม่รู้นำไปรับประทานทำให้เสียชีวิตได้

    หากได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ควรปฏิบัติดังนี้

    [​IMG] การล้างพิษ ถ้าสารเคมีหรือน้ำยาต่าง ๆ ถูกบริเวณผิวหนังควรรีบล้างออกทันที ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนสารเคมีออก ฟอกสบู่และล้างด้วยน้ำจำนวนมาก ถ้าสารเคมีกระเด็นเข้าตาให้รีบล้างออกโดยเปิดน้ำสะอาดไหลผ่านตามากๆ

    [​IMG] หากสูดดมสารพิษเข้าไป ให้รีบนำผู้ป่วยออกมาอยู่ในที่โล่งแจ้งบริเวณเหนือลม ห่างจากที่เกิดเหตุไม่ต่ำกว่า 100 เมตร เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์

    [​IMG] การขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ถ้ารับประทานสารพิษเข้าไป ให้รีบล้วงคอให้อาเจียนทันที จะช่วยลดปริมาณสารพิษที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่ไม่ควรทำในกรณีที่ผู้ป่วยกำลังชัก ผู้ป่วยหมดสติไม่รู้สึกตัว

    [​IMG] ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับอันตรายจากสารเคมี ควรตั้งสติ ไม่ตระหนกตกใจ ควรรีบทำการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น พร้อมทั้งพิจารณาว่าสารพิษที่ได้รับเป็นสารอะไร ระยะเวลาที่ได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายและเข้าสู่ร่างกายทางใด เพื่อให้แพทย์ทราบโดยละเอียด จะได้เป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของผู้ได้รับอันตราย จากสารเคมี

    [​IMG] หากผู้ได้รับสารเคมีหยุดหายใจ ให้ทำการผายปอด และช่วยปั๊มหัวใจในกรณีที่หัวใจหยุดเต้น และรีบนำส่งโรงพยาบาลในทันที ถ้าไม่ทราบชนิดของสารเคมี ให้นำภาชนะสารพิษ เสื้อผ้าที่เปื้อนหรือสิ่งที่อาเจียน ให้แพทย์ตรวจสอบว่าเป็นสารเคมีชนิดใด เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องต่อไป

    จะเห็นได้ว่า สารเคมีเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน แต่หากขาดความระมัดระวังในการใช้ เก็บรักษา และการทำลายที่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ วิธีใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง วิธีปฏิบัติกรณีได้รับอันตรายจากสารเคมี รวมถึงวิธีช่วยเหลือผู้ที่ได้อันตรายรับสารเคมีอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากสารเคมี

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

    กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย - หน้าหลัก
    .



    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อนอนตกหมอนแก้อย่างไรดี



    เมื่อนอนตกหมอนแก้อย่างไรดี ? (Woman's Story)

    เคย ไหมที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วหันคอไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นอาการคอเคล็ดที่เกิดจากการนอนตกหมอนนั่นเอง แล้วเมื่อเกิดอาการดังกล่าวแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

    เคล็ด ลับง่าย ๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการตกหมอนคือ อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอ และให้อยู่นิ่ง ๆ โดยการนอนราบชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก จากนั้นประคบร้อน ด้วยกระเป๋าน้ำร้อน หรือผ้าชุบน้ำอุ่นบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่เจ็บประมาณ 20-30 นาที และกดนวดบริเวณคอ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว เพียงเท่านี้อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น

    บางคนอาจใช้วิธีการดัดยืดคอด้วยตนเอง โดยใช้มือช่วยดันศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้า ๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อย ค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วทำซ้ำ 5-10 ครั้ง จนเริ่มรู้สึกทุเลา หรืออาจจะนวดเบา ๆ โดยใช้มือบีบลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย ให้แรงบีบพอประมาณจนทำให้รู้สึกแน่นตึงและไม่เจ็บ ค่อย ๆ บีบและคลายเป็นจังหวะ

    ทั้ง นี้ การประคบร้อนก่อนการนวดจะช่วยให้นวดได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น และในการนวดควรระวัง โดยไม่ควรกดบีบหรือยืดกล้ามเนื้อจนรู้สึกเจ็บ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น และห้ามให้ผู้อื่นดัดคอหรือจับเส้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้อักเสบและเรื้อรังได้

    แต่หากลองแก้ไขหลาย ๆ วิธีแล้วยังไม่หาย ก็ค่อย ๆ ฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อ หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดจะดีที่สุด

    womanstoryonline.com นิตยสารออนไลน์สำหรับผู้หญิง

    นอนตกหมอน ปวดคอ ตกหมอน นอนตกหมอนทําไงดี


    .
    http://www.womanstoryonline.com/detail-page-1811.html

    http://health.kapook.com/view20893.html



    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานเซน : ค่าของคน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>26 มกราคม 2554 07:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    《圆满报身》

    ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?”

    วันหนึ่ง อาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆ เพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่”

    ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาด มีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสวย จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดี จึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมาย แต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึง

    เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัด ก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่ง

    เมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง”

    ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึง และสุดท้ายจบลงที่ราคา สิบหมื่นตำลึง

    เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพท์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้น จึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”

    เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆ จากสิบ หมื่นตำลึง ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่าที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสม จึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่าตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริงๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัด พร้อมทั้งบอกอาจารย์เซนว่าตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว”

    เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้ว ที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใด ก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค่าเพชรพลอยเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”

    ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต ทุกคนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอันประเมินมิได้ ทุกขวากหนาม ทุกความเจ็บปวด ทุกความพ่ายแพ้ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของคนเรา

    ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4


    .

    China - Manager Online -

    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000010560

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    พระชุดนี้เหลือน้อยเต็มทีและคงหาไม่ได้ง่ายอีกแล้ว
    ต้องขอโมทนาสาธุทุกประการด้วยครับ :cool:
     
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    [​IMG]

    หนังสือเล่มนี้ (2เล่ม) คุณเพชรแจ้งผมว่า ให้มอบให้ักับน้องปฐม และ น้องสมบัติ ผมจะดำเนินการส่งให้ครับ

    [​IMG]

    ส่วนปฎิทิน คุณเพชรมอบให้ผมครับ ขอบคุณมากครับ

    ขอแสดงความยินดีกับน้องปฐม และ้น้องสมบัติด้วยครับ

    .


    [/QUOTE]

    ขอบพระคุณมากครับ
    สงสัยเพื่อนๆพี่ๆในคณะท่านคงอายและเกรงใจ จึงไม่ได้ร่วมสนุกกัน ไว้คราวหน้าผมสองคนขอให้ท่านอื่นๆร่วมสนุกกันนะครับ

    ทั้งนี้การค้นคว้าหาข้อมูลมาตอบ ถูกมั่งไม่ถูกมั่งไม่ได้สำคัญ
    แต่ประเด็นสำคัญคือทำให้เรารู้ประวัติศาสตร์แห่งสองพระมหากษัตริ์ในยุคเดียวกัน
    ทราบ,ตระหนักและซาบซึ้งในพระคุณ,พระปรีชาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม
    ทำให้เห็นความสำคัญของวังหน้า เชื่อมโยงมาถึงปฐมเหตุพระพิมพ์แห่งวังหน้า ที่พวกเราชมรมพระวังหน้า ได้ร่วมกันอนุรักษ์และเผยแพร่ ณ ปัจจจุบันนี้ด้วยครับ

    ล้ำลึกจริงๆครับ :cool:
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2554

    ผม , ภรรยา และสองครอบครัว , พี่เปี๊ยก , น้องฝน , น้องปฐม ได้มอบให้น้องปฐม อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ , พระธาตุนิมิตรพระอรหันต์ และพระธาตุนิมิตรคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (น้องสมบัติเคยอัญเชิญจากผมไปเพื่อถวายวัด ผมได้ให้น้องสมบัติอัญเชิญไปมอบให้น้องปฐม เพื่อถวายพระอาจารย์ของน้องปฐม) , พระบูชา 3 สมัย หน้าตัก 5" จำนวน 3 องค์ (สุโขทัย ,เชียงแสน และอู่ทอง) , พระกริ่งปวเรศ เนื้อนาค , พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณ , เบี้ยแก้ ของวังหน้า , พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า , พระสมเด็จ เนื้อปัญจสิริ ฯลฯ ส่วนน้องสมบัติ ถวายพระสมเด็จ Tott 1 , Tott 4 ฯลฯ

    ได้ให้น้องปฐมเป็นตัวแทนของกลุ่ม ถวายในวันที่ 24 มกราคม 2554

    มาชมรูป(บางส่วน)กันครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    น้องสมบัติถวาย

    [​IMG]
    คุณแม่น้องปฐม ถวายชุดผ้าไตรจีวร

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.JPG
      1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      84 KB
      เปิดดู:
      136
    • 2.JPG
      2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      81.4 KB
      เปิดดู:
      129
    • 3.JPG
      3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      79.9 KB
      เปิดดู:
      141
    • 4.JPG
      4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.1 KB
      เปิดดู:
      153
    • 5.JPG
      5.JPG
      ขนาดไฟล์:
      65.7 KB
      เปิดดู:
      154
    • 6.JPG
      6.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72 KB
      เปิดดู:
      149
    • 7.JPG
      7.JPG
      ขนาดไฟล์:
      77.4 KB
      เปิดดู:
      98
    • 8.JPG
      8.JPG
      ขนาดไฟล์:
      87.8 KB
      เปิดดู:
      148
    • 9.JPG
      9.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.1 KB
      เปิดดู:
      105
    • 10.JPG
      10.JPG
      ขนาดไฟล์:
      95.1 KB
      เปิดดู:
      123
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...