ไม่รู้ว่ามีใครเห็น Planet X หรือยัง?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 21.12.2012=11, 17 สิงหาคม 2010.

  1. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    ข่าวดีสำหรับ พวกขลุกขลิกๆ ไม่ดีไม่เลว อย่างผม
    มีคนถามว่า แล้วจะทำไงได้ ตังค์ก็ไม่มี ไปสร้างบังเกอร์หลบ
    ตะแกมีแผนเตรียมการรองรับไว้แล้ว บ้างให้ไปอยู่ดาวดวงอื่น หรือลอยคอบนอวกาศจนกว่าทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทาง และอาจมีการอัพเกรดร่างกายให้สามารถรองรับพลังใหม่ได้มากขึ้นจาก 3rd density ไปเป็น 4th แล้วจะไปซื้อตั๋วที่ไหนอ่า???
    ตะแกบอกว่า แต่ละคนมีข้อตกลงไว้ตั้งแต่ก่อนลงมาเกิดเสียอีก ว่าใครจะไปด้วยร่างกายนี้ หรือปลดปล่อยตัวเอง(ตาย)เพื่อรอร่างกายเวอชั่นใหม่ในยุคหน้า

    ถึงว่าพักหลังเห็นมาลอยคอกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมนับได้เป็นสิบแล้วอ่า เวลาคงใกล้เข้ามาแล้ว (ส่วนตัว จิงๆ)
    แต่ยังไงก็ขอให้ได้ท่องอวกาศซักรอบนิ ตายเปงตาย 555

    So, as an average guy myself, is there anything I can do to
    protect myself and my family

    **If By Agreements ... You Are To Be Taken Below ... To Live
    With Our Planetary Neighbors ... Or ... To Be Removed From The Planet's Surface ... To Perhaps Return Later ... To Replant, Rebuild & Other Things Needed To Be Done !! ... If These Things ... These "Options" Are Not Available ... Then You Do What You Can ...

    How lucky do you have to be to be made an "agreement" or
    "removed" from earth?

    **It Is Not "Luck" ... It Is By Pre Arrangement/Agreements ... Before You Came To Terra/Earth ... Before You Animated The Body !!
     
  2. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    พรุ่งนี้วันพระ ใครจะไปทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน ก็ขออนุโมทนา ด้วยนะครับ
    พรุ่งนี้ผมไปวัดป่าทับทิบแดง แถวปทุมนี้แหละครับ
     
  3. AFIKLIFI๋

    AFIKLIFI๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    869
    ค่าพลัง:
    +78
    คุณรู้คุณเห็นอะไรส่วนตั๊วส่วนตัว จะเอามาบอกเพื่อนๆได้บ้างเปล่าครับ
     
  4. ไตรย

    ไตรย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +345
    สงสัยอะไรๆ คงใกล้จะเริ่มชัดขึ้น..........ในไม่ช้า???????????????
     
  5. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    ไม่มีอะไรในกอไผ่คับ
    แค่เก็บข้อมูลแวดล้อมไปเรื่อยๆ
    เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
     
  6. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    อ้อ มีคนถามเรื่องเมื่อไหร่ บ่อยมาก
    ตะแกบอกทำนองว่า มันเลยเวลานั้นมาแล้ว
    ดังนั้น ตอนนี้สามารถเกิดเรื่องได้ทุกขณะ
    แค่รอตัวแปรบางอย่างให้พร้อม (ไม่รู้อะไร ไม่ยอมบอกแฮะ)
     
  7. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    มีคนถามต่อไปว่า อะไรจะเกิดขึ้นระหว่างนั้น
    คำอธิบายของแกสุดจะบรรยาย อ่านแล้วรู้ได้เลยว่าโหดสุดๆ ภัยพิบัติทุกชนิดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมาบนโลก บวกไปอีกเท่าตัว ตอนที่โลกถูกดึงออกนอกวงโคจร

    Since there's things you can and can't tell us, can you tell us what you can about this Nemesis?

    **If You Mean Of Nibiru ... Which Is What It Is ... That Is Being Talked About ... Yes ... We Could Tell You !! ... However You Don't Have The Necessary Moments ... Or Needed Access ... To Know Of These Things !! ... Suffice To Say ... It Is Enough To Know ... When The Planet/Planetary Vessel Passes ... The Whole Of The Surface Of Terra/Earth ... Will Be Moved Approximately 3/4th Of The Way Around !! ... This Crustal Movement Will Precipitate The Activation Of All The Elements There ... The Rearranging/Shifting Of These !! ... What You Would Call A Physical Pole Shifting !! ... So You Will Have Great & Giant Earthquakes ... Beyond Of Your 10.0 Level Of Devastation !! ... Gigantic Tsunami's ... Those Reaching
    Thousands Of Feet High ... Flooding ... Sinkings ... Land Liquidification ... Landslides ... Lands Disappearing/Lands Appearing/Reappearing ... Mountain Building ... Volcanoes Dormant Coming Alive ... New Volcanoes Born ... Wind Velocities Beyond Anything You Know Of Hurricanes ... Going Across The Waters & The Lands ... The Atmosphere Being Cleansed & Removed ... Recreated ... Fields & Magnetic Fields Changed & Realigned ... The Flash Freezing ... With Snow & Ice Covering The Planet ... Many Miles Thick ... A Dark & Dormant State ... Lots & Lots & Lots Of Things ... Of Which This Is Only A Brevity !!
     
  8. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    แล้วถ้ารอดไปได้จะเป็นอย่างไร
    คำตอบคือ ไม่รอดอยู่ดี ถ้าไม่มีใครช่วย(ET)
    หลังจากทุกอย่างปะทุ ถล่มทลาย อุณหภูมิจะลดลงถึง -200 c (เกริ่นไปแล้ว) ตู้เย็นยังไม่ถึง 0 องศาเลย อย่างผมนี่ แค่ 20 c ก็แย่แร้วววว

    so with a few words millions of people will die ??

    **The Whole Surface Of Terra/Earth Will Be Upheaved/ Rearranged !! ... If You Are On The Surface Of The Planet ... When This Is Occurring ... Then The Chances Of Your Survival ... In The 3rd Density Bodies ... Are
    Not Promising !! ... And Even If You Would Survive By Some Means ... When The Volcanoes Cool Down ... Then Will Come The Flash Freezing ... When The Temperatures Will Drop To 200 + Degrees Below 0 !!

    **It Is However From Perspective ... Of The Evolving To The Next Energy Plane !! ... Of This ... New Bodies Will Be Needed ... As The Older 3rd Density Bodies Were Designed Only ... For Use/Exposure Of That Level Of Energies & Energy Fields Of Terra/Earth !! ... A Temporary Shell/Body ... To Live In/Learn In ... Grow In !! ... Though Not Capible Of Withstanding The Higher Energies Of Which Your Planet Is Being Exposed !! ... Hense ... The Many Breakdowns Of The Bioforms !!

    **So Even If No Physical Changes Were Forthcoming ... Your Energies Would Still Need To Leave Those Body/Forms ... Be It Through The Damage Of The Body ... During The Upheavals ... The Flash Freezing Process ... The Energies Will Leave ... To Go Elsewhere ... To For The Most Part ...
    Animate 4th Density Life Forms/Units/Bodies !!

    ประเด็นของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ ทุกคนต้องเปลี่ยนเสื้อ(ร่างกาย)ใหม่
     
  9. Doom day

    Doom day สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่ต้องกลัว

    ผมว่าชาว Anunaki น่าจะลงมาช่วยให้รอดมากกว่า

    เพราะ ทุกวันนี้เราทุกคนถูกครอบงำเหลือเกิน
     
  10. Doom day

    Doom day สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +0
    ลืมไป

    ผมจะบอกว่า ถ้าใครเป็นก๊วนโลกแตก ตอนนี้ควรจะออกตัวล้อหมุนได้แล้ว ตัวใครตัวมัน
    ฉันไม่เกี่ยว...

    * หารายละเอียดจาก youtube และ เว็บทั่วโลก แล้วจะหนาว ทุกอย่างตรงกันหมดในทุกเรื่องภายในปีนี้







    *อย่าว่าผมเลยแค่ความเห็นส่วนตัว แต่จริง ใจ
     
  11. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ผมคงหนีไปไหนไม่ได้หรอก ทุนไม่มี แฟนตั้งท้อง 5 เดือน ลูกคนแรกก็แค่ 3 ขวบ
    ไม่รู้จะไปไหน ถ้าเกิดก็อยู่ด้วยกันไปด้วยกัน เตรียมใจไว้แล้ว
     
  12. Lastquarter

    Lastquarter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +272
    ตอนนี้เวลาตีสองครึ่งออกไปดูนอกบ้านเกิดเมฆแผ่นดินไหวขึ้นเป็นก้อนเรียงกันชัดเจนมวลหนาแน่นมากครับ+กับแสงจันทร์เต็มดวงมันน่ากลัวจริง ๆ
     
  13. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    ผมหยุดตรงนี้ดีกว่า อ่านแล้วท่านๆจะรู้สึกไม่ดีไปเสียเปล่า สิ่งนึงที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้และอยากบอกทุกท่าน "จงเก็บเกี่ยวและแบ่งปันความสุขให้ทุกคนเท่าที่อยากจะทำ" ใช้ทุกๆวินาทีที่ผ่านไปอย่างมีความสุข เท่าที่จะทำได้

    อ้อ ตะแกบอกอีกว่า ZT เป็นการสมคบกันของ grey กับ เมกา เพื่อกลบเกลื่อนอะไรซักอย่าง

    แต่ก็ฟังหูไว้หูนะคับ จริงๆเราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าใครเป็นใคร ข้อมูลจริงเท็จแค่ไหน จนกว่าจะประจักษ์ด้วยสัมผ้สของตนเอง สงครามข่าวสารก็งี้แหละ
     
  14. nongnai99

    nongnai99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +82
    คุณAmpeerA รบกวนช่วยบอกข้อมูลเรื่อยๆเลยนะครับติดตามอ่านอยู่เหมือนกัน
    รอลุงโอลด์กลับมานะครับ ทุกคนยังคิดถึง

    แต่ตอนนี้ผมขอตัวไปทำบุญก่อนนะครับ ^^
     
  15. ยัย fame

    ยัย fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +104
    คุณ ampeerA ถ้าเป็นอย่างที่บอก ...จะไปเตรียมตัว เตรียมอาหาร อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก เสียเงิน..เสียทอง ทำไม สรุป ว่าตาย หรือไม่ก็รอความช่วยเหลือจากบางคน (et) เหมือนเวลาน้ำท่วมเมืองไทยไง บอกให้เตรียมก็ไม่เตรียม..จะนั่งรอแต่ข้าวกล่องบริจาค หรือ ถุงยังชีพที่มาแจก...ยังต้องแจกอยู่แล้วนะ
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตำนานดาวนิบิรุมาเยือนโลกเมื่อครั้งอดีตกาล...

    (เป็นเรื่องของตำนาน ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาน)

    [​IMG]

    [​IMG]

    เมื่อกาลครั้งหนึ่งในอดีตประมาณ 500,000 ปี ล่วงมาแล้ว โลกของเราหรืออีกนามหนึ่ง"เทียมัต" เป็นสถานที่ที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ชื่อเทียมัตนี้เป็นชื่อดั้งเดิม ส่วนคำว่าโลกหรือไกอาเป็นชื่อที่เพิ่งใช้เมื่อเร็วๆ นี้

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนเทียมัตไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้ วงโคจรของมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์คือ ณ ตำแหน่งระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ส่วนดาวอังคารนั้นจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะที่ใกล้กว่าปัจจุบันนี้ซึ่งทำให้ดาวอังคารเหมาะที่จะใช้อยู่อาศัยได้เพราะมีอุณหภูมิพอเหมาะและมีน้ำในรูปของของเหลว ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทางนาซาและนักวิทยาศาสตร์ ยกเว้นก็แต่เรื่องวงโคจรที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปไม่ยอมรับเรื่องการวิวัฒนาการโดยสิ่งกระตุ้น

    ในช่วงนั้นเทียมัตอยู่ใกล้กับดาวซิริอุส (หรือโซทิสตามที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกขาน) ระบบสุริยะและระบบดาวซิริอุสนั้นมีความเกี่ยวโยงกันทางด้านแรงโน้มถ่วงซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์ ระบบซิริแอนนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์อคลีออนในกระจุกดาวลูกไก่ (พีลอาดีส) หรือที่จะเรียกขานว่าเขตพีลอาดีส พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะโคจรรอบศูนย์กลางกาแลกซี่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) ในรอบระยะประมาณ 200 ล้านปี และรอบการโคจรของระบบซิริแอนและเขตพีลอาดีสจะมาบรจจบอยู่ในแนวเดียวกับศูนย์กลางกาแลกซี่ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) โปรดเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหนือความคาดหมาย!!!

    วกกลับมาคุยถึงเรื่องประวัติของนิบิรุ และ เทียมัต โลกของเราในช่วงนั้นมีสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปัจจุบันมาก ประชากรมนุษย์ในยุคนั้นตามที่นักโบราณคดีเรียกคือมนุษย์นีแอนเดอทัลจะมีขนดกหนาและสันทัด ล่ำสันกว่าพวกเราในปัจจุบัน พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในโพรงถ้ำเพื่ออาศัยประโยชน์จากความอบอุ่นจากพื้นพิภพ เหล่าชาวพิภพแห่งเทียมัตนี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษจากพีลอาดีสซึ่งข้อเท็จจริงนี้สามารถยืนยันได้จากตำนานและนิทานปรัมปราของหลายชนชาติ เช่นชาวมายาและชาวโพลีนิเชีย แต่ในที่นี้จะขอเว้นที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของชาวพีลอาดีสบนเทียมัตไว้ก่อน

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนระบบสุริยะนั้นมีเสถียรภาพแต่เนื่องด้วยเหตุเหนือความคาดหมาย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งในระบบดาวซิริแอนได้เกิดพลัดออกนอกแนวทางโคจรและมุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะ ซึ่งดาวเคราะห์นี้ได้ถูกจับไว้เป็นบริวารของระบบสุริยะโดยที่มีวงโคจรที่รีคล้ายวงโคจรของดาวหางซึ่งมีคาบการโคจรหนึ่งรอบในเวลา 3,600 ปี และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดในบริเวณกลุ่มเฆมออร์ด โดยที่คาดกันว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดาวเนปจูน ประชากรบนดาวนี้จะมีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่ปกครองโดยชนชั้นปกครองที่เรียกว่า “เนฟิลิม” (ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากพระคริสต์ธรรมคำภีร์) ประชาชนทั่วไปจะเป็นที่รู้จักกันในนาม “อนูนากิ” (Anunaki ตามที่เรียกขานโดยชาวสุเมเรียน) หรือ”อนาคิม” (ในพระคัมภีร์เก่า) ในช่วงนั้นผู้ปกครองสูงสุดคือจักรพรรดิ์ อลาลู และจักรพรรดินี ลิลิตู

    ภายหลังที่ถูกจับเป็นบริวารโดยดวงอาทิตย์ดาวเคราะห์นิบิรุได้เริ่มประสบกับภาวะสภาพอากาศที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย สภาผู้ปกครองทั้งสิบสองนำโดยจักรพรรดิ์อลาลูได้มีการประชุมฉุกเฉินและได้สรุปถึงวิธีป้องกันเพื่อความอยู่รอดของดาวเคราะห์โดยการสร้างโล่ห์ความร้อนที่ทำขึ้นมาจากทองเพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศจากการสูญเสียความร้อนซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตแบบสัตว์เลื้อยคลานที่ต้องขึ้นกับแหล่งความร้อนภายนอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย พวกเขาได้เริ่มทำการสำรวจระบบสุริยะใหม่นี้ทันที กองยานอวกาศได้ถูกส่งไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งเทียมัตเพื่อค้นหาทอง

    ผู้บังคับการมกุฏราชกุมาร อนู พร้อมทั้งราชโอรสทั้งสอง เอนกิ และ เอนลิล และราชธิดา นินคูซัคได้ร่อนลงในบริเวณที่ปัจจุบันคืออ่าวเปอร์เซียและย่างเท้าบนฝั่งในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศคูเวต ในที่สุดก็ได้ก่อตั้งท่าจอดยานอวกาศในบริเวณเมโสโปเตเมียในตำแหน่งที่มีตำนานว่าเป็นสวนอีเดน โดยความช่วยเหลือชาวพื้นเมืองเทียมัตพวกเขาได้พบกับขุมทองบนเทียมัตและสามารถนำทองนี้เป็นสร้างเป็นโลห์กักความร้อนได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีโลห์นี้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีชาวอนูนากิประจำอยู่บนเทียมัตเพื่อทำหน้าที่ขุดทองและส่งทองกลับไปยังนิบิรุอย่างสม่ำเสมอ
    ครั้งนึงอันแสนเนิ่นนานมาแล้วในช่วงที่นิบิรุโคจรรอบบดวงอาทิตย์มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณราวๆ 26,000 ปีของเทียมัตนิบิรุได้โคจรเฉียดเข้าใกล้เทียมัตมากจนก่ออันตรายร้ายแรง หนึ่งในดวงจันทร์บริวารได้พุ่งชนเข้ากับเทียมัตทำให้เกิดมหาสมุทรแปซิฟิค และได้ทำให้ทวีปเลอมูเกิดการเปลี่ยนแปลง

    ลักษณะของประชากรนิริบุจะมีความสูงในราว 10 – 20 ฟุต (3 – 6 เมตร) มีผมดกหลายสี แต่ขนตามตัวจะมีน้อยมากเพศผู้จะมีหนวดเคราบ้าง และส่วนมากจะมีเขาคล้ายเขาแพะบนศีรษะ ส่วนเพศหญิงส่วนมากจะมีปีก พวกเขาจะไม่มีเหงื่อและไม่มีกลิ่นตัวซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ให้ชาวพื้นเมืองเทียมัตทำหน้าที่ขุดทองหรืออยู่ใกล้กับพวกเขาเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกชนพื้นเมืองนี้มีกลิ่นตัวแรง ชาวนิริบุมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละเจ็ดนิ้ว อาหารของพวกเขามักจะเป็นอาหารเหลว และนิยมแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวที่ทำมาจากแผ่นทอง เมื่อเวลาผ่านไปคนงานชาวเหมืองเริ่มกระด้างกระเดื่องจนในที่สุดได้นำไปสู่การปฏิวัติและปฏิเสธการทำเหมือง

    องค์จักรพรรดิ์อนู จึงได้ปรึกษากับราชินีนันคูซัคซึ่งราชินีนี้ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์และพันธุศาสตร์ จักรพรรดิ์ได้ขอร้องให้ราชินีสร้างสิ่งมีมีชีวิตลูกผสมระหว่างชาวนิริบุกับชาวเทียมัต เพื่อทำหน้าที่เป็นแรงงานในเหมืองทอง องค์ราชินีได้ทรงรับหน้าที่ด้วยความรู้สึกท้าท้ายและในที่สุดก็ได้เป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมเพศชายจากไข่ของหญิงเทียมัติกับเชื้ออสุจิของเจ้าชายเอนกิ ราชินีเรียกลูกผสมนี้ว่า “อดามู/ อดัม” ในเบื้องต้นลูกผสมนี้มีแต่เพศชายทั้งสิ้น โดยที่ชาวนิริบุเพศหญิงจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อุ้มท้อง และเป็นที่เรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ว่า “เทพีแห่งการเกิด”

    และทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี นิริบุมีทอง ชาวอนูนากิเป็นอิสระจากการทำเหมือง ส่วนลูกผสมจำลองก็ได้รับการผลิตเพื่อให้เป็นแรงงานเหมืองที่ดีเลิศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังที่เคยเกิดในอดีต บรรดาเทพีแห่งการเกิดเริ่มรู้สึกเหลือทนกับการต้องมาอุ้มท้องพวกอดามู ดังนั้นชาวนิบิรุจึงได้ประท้วงและปฏิเสธที่จะอุ้มท้องอีกต่อไป ครั้งนี้จักรพรรดิ์อนูรับสั่งให้ราชินีเข้าเฝ้าและหลังจากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าให้สร้างลูกผสมที่เป็นเพศหญิง (อีวา/อีฟ) เพื่อให้ทั้งสองเพศได้ผสมพันธุ์กันเองในธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายดาย

    แต่ปรากฏว่าเพศทั้งสองนั้นเป็นหมันเนื่องจากว่าทั้งสองเพศเป็นลูกผสม ดังนั้นจักรพรรดิ์จึงได้มีกระแสรับสั่งให้เลิกกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตนี้เป็นลูกผสม ครั้งนี้ราชนีนินคูซัคได้ขอให้เจ้าชายเอนกิดำเนินการแทน เจ้าชายจึงให้ทั้งอดัมและอีฟกินสารบางอย่างเพื่อกลับกระบวนการที่ทำกับสิ่งมีชีวิต โดยหวังให้สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะลูกผสมน้อยลง สิ่งมีชีวิตทั้งคู่ได้ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานและเริ่มต้นจับคู่ผสมพันธุ์ แต่แล้วพระองค์ก็ได้ทรงทราบว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะกระบวนการนี้ทำให้ไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตนี้ได้ จักรพรรดิ์อนูจึงได้สั่งห้ามอดัมและอีฟเข้าไปในสวนอีเดนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ด้วยเหตุนี้มนุษย์โครมันยองได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้ค่อยๆ ล้มตายลงไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อันเนื่องมาจากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเนื่องจากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น และในที่สุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้สูญพันธุ์จนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงมนุษย์โคมันยองที่ครอบครองเทียมัต

    ในหนังสือเรื่องแผนร้ายสายรุ้ง (The Rainbow Conspiracy) แบรด สไตเกอร์ได้เขียนถึงโครงการทดลองฟิลาเดเฟียที่ซึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลล์ ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ในปีช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2483 พวกมนุษย์ต่างดาวนี้จะมีผิวกายสีเขียว และเพื่อที่จะให้ไม่เป็นที่สังเกตพวกเขาใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้สีกายของพวกเขามีสีอ่อนลง อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกันของรูปวาดเก่าแก่ถึงพระเจ้าในอินเดียที่พระเจ้าที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ มีผิวกายในสีโทนน้ำเงิน ซึ่งหากสังเกตให้ดีพวกกิ่งก่า ตะกวด และจิ้งเหลนจะมีสีผิวในทำนองนี้ ที่มีผิวอ่อนนุ่ม ละเอียดเหมือนไหม

    นอกจากนี้ข่าวที่มีการรายงานทางโทรทัศน์ยังชี้ว่าคณะแพทย์ที่พยายามจะรักษาผู้ป่วยโดยการหาทางรักษาบาดแผลทางผิวหนังของผู้ป่วยพบว่าผิวหนังของงูนี้คล้ายคลึงกับของมนุษย์มาก ที่จริงแล้วผิวหนังที่ใช้ในการรักษาบาดแผลวิธีนี้เป็นหนังงูเลยทีเดียว ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน และกระบวนการย้อนกลับของการทำพันธุวิศวกรรมมนุษย์ ซึ่งกระบวนการย้อนกลับของอดัมและอีฟ ทำให้สิ่งที่สละทิ้งกลับรวมเป็นรูปใหม่กลายเป็นงู และอาจจะอนุมานได้ว่าชาวนิริบุก็อาจจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสีผิวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า หรือจิ้งเหลน โปรดศึกษางานเขียนของ อาร์ เอ บัวเลย์ (R.A. Boulay) ในหนังสือเรื่องเล่าของงูและมังกรบิน (Flying Serpents and Dragons)

    เรื่องที่ต่อจากนั้นเป็นเรื่องที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของเราเอง คือครั้งหนึ่งนิริบุได้เฉียดเข้าใกล้เทียมัตและทำให้เกิดภัยภิบัติทั้งน้ำท่วมและแผ่นดินไหวไปทั่วโลก ซึ่งในครั้งนี้สวนอีเดนและท่าจอดยานอวกาศได้จมไปในน้ำและถูกทำลายไปจนสิ้น เจ้าชายอูตูแห่งเนฟิลิมจึงได้รับบัญชาให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่ในบริเวณแหลมไซนาย และวิถีชีวิตบนเทียมัตก็ดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง แต่ในไม่นานก็ได้เกิดสงครามปิรามิดขึ้น

    พระราชกุมารีเจ้าฟ้าหญิงอินันนาซึ่งเป็นหนึ่งในที่รักยิ่งของจักรพรรดิ์อนูได้รับพระบัญชาให้เป็นผู้ปกครองดูแลบริเวณที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน พระองค์มีพระนามอีกพระนามคือพระลักษมี ซึ่งเป็นพระนามที่ได้รับการสักการะนับถืออยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่พระสวามีคือดยุคดูมูซิ (พระวิษณุหรือเปล่า)ได้มีเรื่องทะเลาะกับบารอนมาดุคจนในที่สุดได้นำไปสู่สงครามปิรามิด ในสงครามชิงอำนาจระหว่างพระราชกุมารีอินันนาและดยุคดูมูซิกับบารอนมาดุคและบารอนเนสศาพานิต ดยุคดูมูซิได้ถูกสังหาร

    ทำให้เจ้าชายอูตู และพระราชกุมารีอินันนาตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่บังควรโดยการทำลายท่าเทียบยานอวกาศที่แหลมไซนายพร้อมทั้งศูนย์วิจัยและผักผ่อนคือเมืองบริวารโซดอมและโกโมราซด้วย (The satellite R&R cities ไม่ทราบว่า R&R แทนอะไรอาจจะเป็น Research and Development หรือ Research and Recreation) ทำให้เหมืองทองในเขตแอฟาริกาใต้เข้าสู่ความวุ่นวายด้วยเมื่อดยุคเนกอลและดัสเชสอีเรสกิกอลเข้าเป็นพันธมิตรกับบารอนมาดุค และทำให้เกิดความวุ่นวายในคณะผู้ปกครองแห่งเนฟิลิม

    จักรพรรดิ์อนูจึงจำต้องโปรดให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่โดยครั้งนี้พระองค์มีพระบัญชาให้เจ้าชายเอนกิและเจ้าหญิงนินกิเป็นผู้ดูแล ทั้งสองพระองค์จึงได้ย้ายสถานที่ไปเป็นบริเวณทะเลสาบติติคาคา (Titicaca Lake) ในเปรู และที่ตรงนี้ก็คือบริเวณที่ราบนาซคาซึ่งมีทองคำจำนวนมหาศาลอยู่ในเทือกเขาแอนดีส ดังนั้นศูนย์การผลิตทองที่แอฟริกาใต้จึงถูกย้ายไปที่ทะเลสาบติติคาคาด้วย

    และนี่ก็เป็นเรื่องในอดีตหลายพันหลายหมื่นปีก่อน ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมชาวนิริบุจึงดูเหมือนจะทิ้งเทียมัตไว้ อาจจะเป็นไปได้ว่าโลห์กักความร้อนนั้นสามารถคงรูปได้อย่างถาวรแล้วทำให้พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทองจากเทียมัตอีกต่อไป ครั้งสุดท้ายที่ดาวเคราะห์พวกเขาเฉียดใกล้เทียมัตคือในปี 687 ก่อนคริสต์กาล แต่แน่นนอนถึงแม้ดาวเคราะห์ของพวกเขาจะมุ่งหน้าไปสู่การหลับไหลที่ยาวนานในกลุ่มเฆมออร์ดพวกเขาจะยังคงการติดต่อกับเทียมัตไว้บ้างบางส่วน อาทิเช่นสิ่งก่อสร้างใต้ดินในเทือกเขาแกรนด์เททอน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ภิภพที่อเมริกาใต้ ในห้องเปล่าที่ซาอุดิอาระเบีย ในภูเขาหิมาลัย หรือแม้แต่ห้องโถงใต้ดินทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิดแห่งอียิปต์ที่ชาวเนฟีลิมสร้างไว้เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศที่แหลมไซนาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันว่ามีไว้เพื่อให้มนุษย์ต่างดาวได้ใช้หรือไม่ ซึ่งเชื่อได้ว่าคำตอบสำหรับทุกปริศนาจะได้รับการเฉลยในอนาคตอันใกล้นี้

    ในขณะนี้คงจะมีคนจำนวนมากถามว่าแล้วดาวเคราะห์นิริบุอยู่ที่ใด แน่นอนมันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในระบบสุริยะเป็นแน่ บางครั้งนักดาราศาสตร์จะบังเอิญไปพบมันแต่อาจะไม่รู้และเรียกมันว่าวัตถุลึกลับ อย่างเช่นกาแลกซี่ขนาดเล็ก บางทีรัฐบาลเองก็สงสัยว่าเจ้าสิ่งนั้นคือนิริบุเองแต่มีความเห็นว่าจำเป็นต้องปิดบังข้อมูลนี้จากการรับรู้ของสาธารณชน ผู้ที่เฝ้าสังเกตท้องฟ้าในสมัยโบราณทั้งในตะวันออกกลาง หรือชาวมายาในเมกซิโกต่างก็ได้พูดถึงการมาของนิริบุในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งมันจะมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ โดยที่ดูเหมือนว่ามันจะจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งจะมีสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดจิ๋ว มีหางยาวคล้ายดาวหาง และมีบริวารโคจรอยู่รอบๆ และจะลอยให้เห็นดังอัญมณีที่ขั้วโลกเหนือของเทียมัตคล้ายกับการมาถึงของยุคแห่งพระเจ้า

    ข้อมูลจาก คุณ fernezzo

    ที่มา บทความ มารู้จักกับความลับของPlanetX กัน (ดาวปริศนาNibiru)และมันเกี่ยวอะไรกับปี2012...<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    * เรื่องราวและสาเหตุก่อน continent จม


    2010/01/20

    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    ช่วงที่ continent (white race ตั้งชื่อว่า Da’Arya) จม นั้นหมายถึงว่า white race เข้ามาอาศัยบนโลกนี้แล้ว(ที่ continent ) ประมาณ370,000 ปี นับเวลาจากที่ ระดับ white race ทั้งสี่เผ่าได้นำยาน viatmaras ลงจอดทีี่ continent เมื่อ 500,000 ปีก่อน และcivilization ในขณะนั้นสุงมาก ผู้คนอยู่อย่างสงบและมีความสุข

    ในขณะนั้น ดวงจันทร์ดวงแรกชื่ิอ Lelia ได้มีพวก Dark force เข้ามาบุกรุก และสร้าง base ไว้บนดวงจันทร์ดวงนี้ เพื่อจะทำการยึดครองโลก และ source of life และมี star war บน Lelia และ Demigod ชื่อ Dazdbog ได้ตัดสินใจทำลายทำลายดวงจันทร์ดวงนี้ โดย ใช้ power of thought ชิ้นส่วนของ Lelia ได้ ตกลงมาบนโลก เหมือนห่าฝน จึงส่งผลให้เกิด polar shift ครั้งแรก และ continent จมในเวลาต่อมา (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง)และในขณะนั้น มีผู้คนมากมายที่เสียชีวิตเพราะไปขึ้น ไม่ Vitmanas ทัน ผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้ใช้ Star Gates และ Vitmanas อพยพไปยัง กลุ่มดาวหมีน้อยหมีใหญ่ (ursa minor ) บางส่วนอพยพไปอยู่แถบไซบิเรีย ต่อมาเริ่ม continent จมลง <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE st="on">Arctic Ocean</ST1:pLACE> (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง) นั่นคือยุค ice age

    หลังจากนั้นประมาณ 40,000 ปีก่อน ได้กลับมาอาศัยอยู่ในโลกนี้อีกครั้ง แถบไซบิเรีย และ มีอีก 3 race ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้ คือ yellow race ,red race,black race และ white race ได้จัดให้แต่ละ race อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับ ดาวบ้านเกิดที่สุด เดินทางมาโดย star gate ,viatmaras viatmanas ใน 3 race นี้ black race เป็นเสมือน refugee จากสงคราม เพราะดาวบ้านเกิดเขาถูกทำลาย เพราะนั้นพวก black race จึงเข้ามาอยู่มากกว่า race อื่น และ มีหลายเผ่า (พวกที่มีหน้าตาแบบแอฟริกา และ ผิวดำลักษณะคนอินเดีย) ระดับ consciousnessความรู้ความสามารถ ของแต่ละ race (1)white race (2) yellow race (3) red race (4)black race

    black race เป็นพวกที่มีความอ่อนแอทางด้าน spiritual ตลอดเวลาในสงครามที่ยาวนาน (star war)ผู้คนจาก black race ส่วนมากถูกควบคุม และสนับสนุน ฝ่าย Dark force ในการทำสงครามระหว่าง
    Dark และ Light


    จากที่เกิด polar shift เกิดยุค ice age ในยุคนั้น white race รุ่นต่อๆมา เริ่มอพยพหนีหนาวร่น ลงมา
    อยู่กระจายกันออกไป แถบยุโรป และ แอตแลนติก

    หลังจากสงครามใช้ไม่ได้ผลพวก parasite เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ที่แลกมาด้วยชีวิตของชาว white race มากมาย ก็ยังไม่ละความพยายาม จึงเปลี่ยนวิธี ใช้ กลวิธีไหม่ นั่นคือแอบแฝงเข้ามาในโลก และเจาะจงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม white race โดยใช้กลอุบาย คือ การโกหก โดยที่พวกนี้(parasite) จะเลือกใช้กลอุบายนี้ กับพวกที่มี ระดับ spiritually immature (spiritual ไม่เติบโตเต็มที่ )

    *หมายเหตุ มนุษย์จากดาวต่างๆ มีศักยภาพ ทางเทคโนโลยี่และระดับ spiritual ที่ต่างกัน(แม้กระทั่ง race เดียวกัน )

    Ants เป็นเผ่าหนึ่งของชาว white race Ants เป็นเผ่าที่ยังมี spiritual ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่
    พวก parasite จึงหลอกล่อ คนเผ่านี้ ให้หันมาสนใจในการพัฒณาในเทคโนโลยี่ โดยลืมพัฒณาทางด้าน spiritual และในที่สุดระดับ consciousness เริ่มตกต่ำลง parasite จึงใช้ช่องว่างยุยงให้คนเผ่า Ants
    คิดครอบครองโลก และเริ่มแผนการอย่างลับๆ โดย เริ่มสร้างฐานบนดวงจันทร์ Fatta


    และในช่วง13019 ปีก่อน (2010)มีสงครามนิวเคลียร์ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ครั้งแรกบนโลกใบนี้
    ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล กับพืช สัตว์ และแหล่งน้ำ เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ และต่อมาภาย Radiation หลังส่งผล gene ของมนุษย์บางส่วนเปลี่ยนไป (มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าปรกติ ที่คนในยุคต่อมาเรียกว่า เนฟิล)
    ผู้นำ Ants เดินทางหนี โดยใช้ยานViatmara และ Viatmana และในขณะนั้น God Niy ใด้ทำลาย ดวงจันทร์ Fatta เพราะมี base ของ Ants และพวก parasite อยู่ เนื่องจาก Fatta มีแรงดึงดูดอันมหาศาล
    จึงเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนของ Fatta ตกลงมาชิ้นใหญ่ยังโลกหลายชิ้น และบางส่วนก็ไปกระแทกกับดวงจันทร์ Mesiats(ดวงปัจจุบัน) ส่งผลให้ polar shift เอียง 23.5 degrees

    และ Atlantic จมในเวลาต่อมา star gate ทุกที่ถูกปิด (ในยุคนั้น star gate เปรียบเหมือนสถานี ที่ไปได้ยังดาวทุกดวง มีการคบหาสมาคมกับดาวดวงอื่นๆ หรือว่าถ้ามองภาพให้ชัดขึ้น ก็จะเหมือนกับรถไฟไต้ดิน และ สถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมโยงถึงกันได้) สาเหตุที่ ต้องปิด star gate ทุกที่ เพราะ ป้องกันไม่ให้พวก Dark force ใช้งาน

    ในครั้งนี้พวก Dark force ชนะ ตามที่คาดหวังไว้ ที่จะเห็น consciousness ของมนุษย์คนตกต่ำลง
    และระดับ civilization กลับไปเริ่มต้นจาก 0 ไหม่ จาก the galactic level กลายมาเป็น the level of the Stone Age และเป็นยุคice age ช่วงสุดท้าย ทางตอนบนของยุโรปร้างผู้คน อยู่ระยะเวลาประมาณ 5000-6000 ปี หลังจากนั้น ต่อมาเพิ่งจะมีผู้คนได้กลับขึ้นไปอาศัยอีกครั้ง

    ในช่วงเวลานั้น-จนถึงปัจุบัน โลกใบนี้จึงเปรียบ เสมือนเขตกักกันโรค ที่ถูกตัดขาด จากโลกภายนอก(Isolate this planet)

    แต่ก็ยังไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างซะเลยทีเดียว เป็นช่วงระยะเวลา สงบศึก เท่านั้น

    * เพราะเหตุใดพวก Dark force ถึงสนใจโลกใบนี้



    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ย้อนกลับไปอีกนิดนึง ทำไมพวกจาก Dark force สนใจและไม่ยอมทำลายและละทิ้งโลกนี้ไป เพราะแร่ธาตุที่อยู่บนโลกนี้ ก็ถูกขุดขึ้นมาใช้
    เกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะทองคำ (สำหรับพวก Dark force ที่อยู่อีกมิติหนึ่ง(cosmic parasite -พวกที่ควบคุมพวกที่มีร่างกายเรียกอีกที ก็คือ เจ้านายของพวกที่มีร่างกาย) จะยังชีพด้วยพลังงานจากทองคำ)
    พวก Dark force เคยขุดหาแร่ธาตุ จากดาวต่างๆ บุกรุก และทำสงคราม นำมนุษย์(จากดาวนั้นๆ) บางส่วนมาเป็นทาส โดยการควบคุมและลบล้างความทรงจำ (โดยการแผ่รังสีชนิดนึง อันนี้ผมจำไม่ได้ ขอกลับไปอ่านอีกทีแล้วค่อยมาเติมนะครับ) ใช้ในการขุดหาแร่ธาตุ และหลังจากขุดแร่ธาตุดาวดวงนั้นๆ หมดแล้ว ก็จะทำลายดาวดวงนั้นๆทิ้ง แล้วก็ค้นหาแหล่งไหม่ไปเรื่อยๆ
    (หมายเหตุ มนุษย์ของดาวแต่ละดวงมีศักยภาพ และ consciousness ในระดับต่างกัน ในสงครามก็มีดาวบางดวงมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น
    อ่อนแอกว่า ก็ถูกพวก Dark force ยึดครอง )

    *ส่วนโลกใบนี้ แร่ธาตุถูกขุด เกือบหมดแล้ว แต่ที่พวกนี้ ยัง สนใจอยู่ไม่ยอมไปจากที่นี่หรือทำลายทิ้ง โลกใบนี้ วิเศษตรงไหน

    เพราะว่าที่นี่ มี Source of life

    Source of life คือ crystal -generator เป็นพลังงานฟรีที่เข้มข้น และมีพลังงานมหาศาล ให้พลังกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และที่สำคัญสามารถ improve gene และ improve consciousness ได้ เพราะโลกใบนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมของหลายเผ่าพันธ์ ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์การเรียนรู้ ทางด้าน spiritual (เพราะจุดเริ่มต้นของ golden way วางไว้ที่โลกใบนี้)

    Source of life มาจากพลังงานต้นกำเนิด หรือว่าพระเจ้านั้นเอง Source of life สามารถ improve gene ของสิ่งมีชีวิตทุกชิด ดังนั้นเองพวก Dark force ก็ต้องการครอบครองเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวทุกดวงจะมี Source of life และ Source of life ไม่ได้กำเนิดขึ้นเองในโลกใบนี้ ชาวอารยัน บันทึกไว้ว่า Demigod จาก light force ได้นำมาไว้ที่โลกใบนี้ เมื่อ 50,000 ปีก่อนที่ continentจมลงสู่มหาสมุทร

    โดยใส่ Source of life ลงไปลึกในใจกลางโลก โดยมีทางเข้า กลางป่าลึกแห่งหนึงแถบยุโรป หน้าทางเข้าจะมีคนเฝ้าประตู ชาวอารยัน เฝ้าอยู่ แต่ไม่มีกุญแจ หรือรู้รหัสทางเข้า ที่นี่เคยมี Dark force ส่งคน(bio robot)เข้าไปก่อกวน เกือบ 200 คน แต่ทางฝ่าย light force ได้ส่งชาวอารยัน หรือคนของฝ่าย light ที่มีความรู้ความสามรถในการต่อสู้ (คล้ายๆกับนินจาที่เรารู้จักกัน)ในจำนวนเรียกได้ว่า 1/100 ได้กำจัดพวก Dark force ราบคาบ

    ที่นี่พวก Dark force ไม่กล้าบุกรุกเต็มที่ เพราะ light side demigod ปกป้อง Source of life โดยการ ให้ light force จอด vaitmana หลายลำเทียบท่าบน cosmos เพื่อเฝ้าระวังและจับตาดูตลอดเวลา


    พลังงานของ Source of life ได้กระจายไปตามที่ต่างทั่วโลก มากบ้า้งน้อยบ้าง และก้อขึ้นอยู่กับวิธีการดึงมาใช้ และโดยธรรมชาติเอง พืช ต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนพลังงานของ Source of life โดยตรงพวกเขาก็จะเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่มากกว่าปรกติ

    levashov เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการ รู้จักวิธีดึงพลังงานของ Source of life มาใช้กับพืชที่เขาปลูกอย่างน่าทึ่ง ทั้งที่พืชบางชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตในเขตหนาวได้เลย แต่กลับเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ โดยไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ

    *หมายเหตุ บางส่วนของข้อความได้มาจากแหล่งอื่น บางส่วนจากในหนังสือของ levashov

    * กำเนิดโลก,จักรวาลและมนุษย์


    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook และ ebook - slavonic Aryan Vedas เล่มนี้ ที่แปลจากภาษา รัสเชีย ซึ่งต้นฉบับมาจากภาษารูน(Rune) ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ประวัติศาสตร์ เป็นคำที่คนในยุค ปัจจุบันเรียกกัน แต่ในยุคโบราณแล้วมันเป็นความรู้ดั้งเดิมของมนุษย์ที่บอกต่อๆกันมา


    เกี่ยวกับภาษารูนนิดนึง ภาษารูน(Rune) เป็นภาษาเก่าแก่ภาษาดั้งเดิมของมนุษย์ และยังเชื่อกันว่าเป็นภาษาของพระเจ้า ในอักขระ ทุกตัวอักษรนั้นมีพลังเพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่ง เท่านั้น แต่มันเป็นส่วนประกอบของภาพสามมิติ และเป็นภาษาที่เข้าใจหรือทะลุทะลวง

    ใน 3 โลก คือ Materialworld, spiritual world ,God world

    คนที่จะอ่านได้และเข้าใจ ต้องเป็นคนที่มี consciousness สุง มีความคิดที่เป็นบวกการออกเสียงนั้นจะต้องมีการฝึกการหายใจเพราะเป็นการพูด ที่ใช้พลังเสียงออกมาจากภายใน ภาษารูนในยุคนี้หายสาปสูญไปแล้วเพราะคนที่อ่านแบบเข้าใจนั้นไม่มี เพราะพวกปรสิต(Reptilians)คนโบราณเรียกกันอย่างนี้

    ทำลายหลักฐานเกือบหมด แต่ยังมีบางส่วนที่ถูกเก็บอย่างดีไว้ในที่ลึกลับเพื่อให้พ้นหูพ้นตาจาก พวกปรสิต โดยสลักไว้บนแผ่นทองคำ

    ชาวอารยัน (Aryan)เป็นผู้ที่เริ่มต้นใช้ ภาษารูน





    ....กำเนิดโลกและจักรวาล....

    จากภาษารูนที่เขียนบอกเล่าไว้เป็นคำอธิบายที่ให้มนุษย์อย่างเราเข้าใจได้ ง่ายที่สุด (แต่กระบวนการคงซับซ้อนเกินความเข้าใจของมนุษย์อย่างเรา)ว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้างจักรวาลและทุกสิ่ง แรกเริ่มนั้น พระเจ้า หายใจ ออกมาเป็นแสงสว่าง เป็นแสงสว่างที่ไม่มีวันดับ และแสงนี้ แตกกระจาย ออกไป ไกลและไกลออกไปเรื่อยๆ บางส่วน ทะลุเมฆดำจนทำให้เกิดเป็นแสงสว่างจ้าถาวร และบางส่วนก็แตกกระจายออกไปเรื่อยๆ และส่วนที่ออกมาจากความสว่างนั้น ยิ่งไกลจากพระเจ้าออกไปส่วนต่างๆเหล่านั้นก็เกิดเป็นระดับที่จับต้องได้ หรือ Materialworld ส่วนที่อยู่ไกล้พระเจ้าเข้ามาคือ spiritual world และส่วนที่อยู่ในบริเวณของพระเจ้า คือ God world แต่ละระดับก็มีจำนวน Dimension ที่ต่างกัน และ มีหลาย universe



    **กำเนิดมนุษย์**

    แสงสว่างที่ออกมาจากพระเจ้า นั้น project มนุษย์ หรือเรียกอีกทีให้เข้าใจว่าเป็นเสมือนกระจกเงา แต่มนุษย์ที่พูดถึงนั้นเป็นมนุษย์ที่อยู่ในระดับ God world คือส่วนหนึ่งของพระเจ้า

    มนุษย์ผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้าได้ project มนุษย์อีกหลายเผ่าพันธ์ ในระดับ spiritualworld และมนุษย์จากระดับspiritual world

    project มนุษย์ ใน Material world และมนุษย์ใน Material world บางส่วนที่มีระดับ spiritual ที่สุง เรียกว่า demigod ซึ่งเป็นผู้สร้าง

    สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในโลก ในระดับ Material world มี demigod ผู้ที่มีระดับ spiritual ที่สุงสุดกว่าคนอื่น ชื่อ Svarog

    Svarog (ภรรยาชื่อ Lada ) มีบุตรชาย ชื่อ Dajdbog , Dajdbog (ภรรยาชื่อZhiva,Zlatogorka,Marena )มีบุตรชายชื่อ perun(ภรรยาชื่อ Diva) เผ่าพันธ์มนุษย์สืบเชื่อสายมาจาก perun



    ***สงครามระหว่างDark and light ***



    นานมาแล้ว ที่ โลก Arleg (ระดับ Material world ที่มีระดับ spiritual ที่สุง )

    เป็นที่อาศัยของ Messengerหรือผู้ส่งสาร ที่นี่มี 256 Dimension

    มี demigod ผู้หนึ่งชื่อว่า Chernobog ผู้ที่ไม่ต้องการทำตามกฎ (เพราะการที่จะไต่ระดับ ไปสู่ spiritual world หรือ God world

    นั้น ต้องเป็นไปตามกฏเกณท์ Chernobog เป็นชนชาวผิวดำ( Black demigod) ต้องการไต่ระดับไปตามทาง Golden way

    ขยายความ Goldenway ซักนิด นั้น เป็นทางเชื่อม โลก3โลก เข้าด้วยกัน มีอยู่ทุก universe ,galaxy ,planet.

    แม้แต่โลกเราก็มี Goldenway

    ชาวอารยัน (Aryan)นั้นรู้ความลับนี้เป็นอย่างดี

    จึงมีการทำสงครามกันระหว่าง Belobog (white demigod) และ Chernobog( Black demigod)

    และมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ทุกๆ 4000 ปี เป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน



    ****ที่มาของมนุษย์บน โลก ****



    ในช่วงสงครามนั้น มียานแม่ ชาวอารยันเรียกว่า Vaitmara และในยานแม่นี้มียานลำเล็กข้างในเรียกว่าVaitmana ทั้งหมด 144 ลำ

    เกิดเสีย และลงจอดที่ Planet earth หรือโลก ที่ continent (แถบขั้วโลกเหนือปัจุบัน) ในเวลานั้นยังไม่เกิด polar shift

    ที่นั่นจะอุณหภูมิคล้าย กรีซ และอิตาลี ปัจจุบัน



    ข้างในมีชนผิวขาวอยู่ 4 เผ่า

    กลุ่มแรก ชื่อ Aryan มี2เผ่าคือ Da'aryan และ H'aryan

    กลุ่มหลัง ชื่อ Slav มี2เผ่าคือ Rassen และ sretorus



    แต่ละเผ่ามีลักษณะ สีของดวงตา ต่างกัน Da'aryan มีดวงตาสี เทา H'aryan มีดวงตาสี เขียว

    Rassen มีดวงตาสี น้ำเงิน sretorus มีดวงตาสีน้ำตาล



    ทั้ง 4 เผ่านี้มาจากกลุ่มดาว Beta Leo Star System galaxy นี้ มีดาวดวงนึงที่มีลักษณะเหมือนโลก ชื่อว่า Ingard- earth

    Ingard หมุนรอบตัวเอง 576 วัน และ มี ดวงจันทร์ 2ดวง ดวงนึงเล็ก ดวงนึงใหญ่ ดวงใหญ่ หมุนรอบ Ingard 36 วัน

    ส่วนดวงเล็ก 9 วัน

    หลังจากที่ซ่อมยานเสร็จมีบางส่วนที่กลับดาว Ingard และมีบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่นี่และ เรียกโลกใบนี้ว่า Midgard-earth

    ต่อมาก็มีการเข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้เรื่อยๆ จากดวงดาวต่างๆ อีก3กลุ่มบ้างมาตามทาง Golden way (ประตูมิติ) บ้างก็มาโดยยานลำเลียง

    3กลุ่มหลังที่มา มีชนผิวเหลือง ผิวแดง และผิวดำ

    ชนผิวดำนั้น Aryanสงสารและนำพวกเขามาอาศัยที่นี่เพราะดาวของพวกเขาถูกทำลาย จากสงคราม

    และ เรียกลูกหลานของมนุษย์ที่เกิดที่นี่ว่า As


    ก่อนมี Homosapiens ได้ Humannoid อีกจำพวกนึงคือNeanderthalแล้วทั่วทุกหนแห่ง ยกเว้นที่ continentเพราะมีทะเลล้อมรอบ

    Neanderthalครองโลกนี้อยู่หลายแสนปี ที่เรียกว่าครองโลกคือว่าพวกนี้เป้นพวกที่มีพละ กำลังมหาศาลไม่มีใครต่อกรได้ นอกจากเสือเขี้ยวดาบ

    และประมาณ 4 หมื่นปีก่อน มี homo sapiens ในหนังสือเขาบอกว่า appear คือไม่รู้ที่มาของ homo sapiens แม้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้เพราะไม่พบหลักฐาน missing link พบฟอสซิลที่พบอยู่ทั่วไปหลายแห่งนั้นมีอายุเท่ากันทั้งหมดมี 4 race ฟอสซิลกระโหลกศรีษะเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และมาจาก สายพันธ์เดียวกัน และไม่เคยมีการค้นพบโครงกระดูกระหว่างวิวัฒณาการจากNeanderthal- Homo sapiens


    มีการเช็ค dna ระหว่าง Neanderthal(ที่พบร่างอยู่ไต้น้ำแข็งบนภูเขาCalpine glacier) และHomo sapiens ปรากฏว่าไม่ได้มาจากสายพันธ์เดียวกัน เช่นเดียวกับ ลา และม้า ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่คนละสายพันธ์ และถ้ามีการสืบเผ่าพันธ์ได้ นั่นหมายถึงว่าถ้า Neanderthal สืบพันธ์

    กับ Homo sapiens ลูกที่ออกมาจะไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้อีก(เป็นหมัน) เช่นเดียวกันกับล่อที่ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ต่อไป

    ส่วน Homo sapiens ที่พบกระโหลกที่ต่างกันนั้นสามารถสืบเผ่าพันธ์ต่อไปได้ (Compatible)

    หลังจากนั้น ประมาณอีก1000 ปี Neanderthal ก็สูญพันธ์แบบที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม Neanderthal ผู้แกร่งกล้า{supreme predator}จึงสูญพันธ์

    ซึ่งเมื่อเทียบกับ Cro-Magnonอ่อนแอกว่า และไม่มีขนปกคลุมร่างการให้ความอบอุ่นเหมือน Neanderthal


    Perun demigod ผู้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลประชากรที่อยู่ในโลกนี้ เป็นผู้ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอณาคตของโลกใบนี้ว่า

    Galaxy นี้มีรูปร่างเหมือน swastika ทุกๆ 1000 ปี ซีกหนึ่ง ของ Galaxy จะโคจรเข้าไปในก้อนเมฆ เป็นระยะเวลา1000ปี

    ซึ่ง เป็นข้อตกลงในการยุติสงครามชั่วคราวกับ ปรสิต (dark side) และเผ่าพันธ์มนุษย์ light side จะเข้ามายังโลกไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนด

    1000 ปี และในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เกือบครบกำหนด 1000ปี Galaxy นี้เริ่มเคลื่อนออกมาจาก เงาเมฆ

    เชื่อ กันว่า ภายในปี 2012 นี้ ฝ่าย light side จะเริ่มเข้ามา ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีสงคราม(star war)อีก และมีบางส่วนที่เข้ามารอบ้างแล้ว และนานแล้ว แต่ยังรอเวลา

    ทั้งส่วนที่เป็นฝ่ายพันธมิตร (ชนผิวเหลืองและแดง) และจอดยานแม่ไว้ในหุบเขา(ในหนังสือบอกว่าที่ลึกลับบนเขา) คืออีก

    Dimension ที่มนุษย์มองไม่เห็น และตอนนี้จะเห็นได้ว่าพวกปรสิตมันกำลังเตรียมการ ในสงครามครั้งนี้

    คลังรูปภาพ 5


    2010/01/18

    [​IMG]




    • หลักฐานทางปรวัติศาสตร์ แผ่นทองคำ ภาษารูน
    [​IMG][​IMG]









    [​IMG]



    [​IMG]



    • แผ่นทองสลักภาพและภาษารูน
    [​IMG]





    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    • ภาษารูนบนแผ่นตะกั่ว
    [​IMG][​IMG]





    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]







    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG][​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG][​IMG][​IMG]




    • อักขระหนึ่งในภาษารูน บนปฏิมากรรม
    [​IMG]







    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่

    เหตุ : ทุกรอบ 13,000 ปี สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก
    และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน


    ผล : ในรอบนี้ โลก และสุริยจักรวาล จะเปลี่ยนเข้าสู่แรงดึงดูดของ
    กาแลคซี่ไตรแองกุลัมทางทิศตะวันออก


    องค์ความรู้ฯ ที่ได้นำเสนอแต่โดยย่อดังต่อไปนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ท่านได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการลาบวชขณะยังรับราชการครู เป็นเวลา 1 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2515 หลังจากลาสิกขาบทแล้ว ได้กลับเข้ารับราชการต่ออีกประมาณ 2 ปี และ ในปี พ.ศ. 2517 ได้ลาออกจากราชการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ตราบจนปัจจุบัน

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ สอนหลักของวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเคลื่อนที่ของจิต ด้วยอุบายหลัก 2 วิธี คือ การเจริญสติ เพื่อฝึกจิตให้เห็น การเกิด – ดับ ของการกระทบที่เกิดขึ้น เป็นปัจจุบันขณะ และ อุบายของการหมุนธรรมจักร เพื่อฝึกจิตไม่ให้ติดในการกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งสองส่วน คือ ที่อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน อีกทั้งยังได้ประยุกต์หลักการเคลื่อนที่ของจิต มาเป็นการเคลื่อนที่ของพลังจิต พลังงาน โดยใช้ศาสตร์พีระมิดของชาวแอตแลนตีส เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้าง ฟื้นฟู บำบัด รักษาร่างกายด้วยตนเอง

    องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ เป็นองค์ความรู้ฯ ที่ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” ฉะนั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล


    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ รู้ถึงเหตุและผล ของแต่ละปรากฏการณ์ หรือ ความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ได้ด้วยการใช้ แรงสืบต่อ หรือ แรงสันตติ สาวหาเหตุและผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย ของสรรพสัตว์ ปรากฏการณ์ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ จักรวาล ฯลฯ ให้เห็นความจริงที่ผูกโยงเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ได้เกิดมาจากการทำงานของสมองและใจ จึงไม่ใช่การพยากรณ์หรือทำนาย แต่เป็นการบอกว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว อะไรจะเกิดตามมาในลำดับต่อไป ตามเงื่อนไขที่ผูกโยงไว้อย่างเป็นเหตุและผล ต่อกัน

    เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราในอนาคตนั้น แท้ที่จริงแล้ว กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะโลกของเราเคยเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ในรอบเวลาประมาณ 26,000 ปี ตามความรู้ที่ได้จากสโตนเฮนจ์ (Stone Henge) ซึ่งบ่งชี้ว่า ทุกๆ 13,000 ปี จะมีการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก สุริยจักรวาล เนื่องจากกาแลคซี่ที่มีอิทธิพลต่อสุริยจักรวาลมีด้วยกันถึง 3 กาแลคซี่ ได้แก่

    1. กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy)มีศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศเหนือ ในปัจจุบัน โลก สุริยจักรวาลตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้

    2. กาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มี ศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศตะวันออก มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก ในอนาคตโลก สุริยจักรวาล จะถูกดึงเข้าสู่แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้ ตามวาระการวนครบรอบอีกครั้ง

    3. กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่มีขนาดใหญ่มาก แผ่อิทธิพลควบคุมทั้ง 2 กาแลคซี่ ไม่ส่งผลกับโลกโดยตรง

    ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า ใน 1 รอบใหญ่ คือประมาณ 26,000 ปี ตามปฏิทินดาราศาสตร์ที่สโตนเฮนจ์ โลก สุริยจักรวาล จะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และสลับไปอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีก 13,000 ปี


    รายละเอียดของสโตนเฮนจ์ จะกล่าวถึงในภายหลัง


    การประสบกับภัยพิบัติอย่างรุนแรง ถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก เช่น อาจจะเปลี่ยนจากภูเขาไปเป็นมหาสมุทร จากป่าฝนไปเป็นทะเลทราย จากเขตร้อนกลายเป็นเขตหนาว ฯลฯ นอกเหนือจากเป็นการทำงานตามวาระของธรรมชาติแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ส่งผลร่วมอย่างร้ายแรง คือ การกระทำของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย

    เมื่อประมาณ 26,000 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงวาระที่โลก สุริยจักรวาล อยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่สมบูรณ์ไปด้วยพลังงานที่ดี เช่น กระแสลมปราณ และ มโนธาตุ ส่งผลให้มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เจริญสูงสุดในทุกด้าน แต่จุดเสื่อมย่อมเพาะเชื้อก่อกำเนิดมาจากจุดสูงสุดเสมอ เมื่อรู้มาก เก่งมาก จึงนำไปสู่การผลิตอาวุธสงครามที่ร้ายแรง เรียกว่า “อาวุธเส้นแสง” เมื่อ อาวุธเส้นแสง ถูกนำมาใช้ในสงคราม สิ่งที่เกิดตามมา คือ เกิดแรงอัดกระแทกอย่างมหาศาลลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ กับการโคจรมาเรียงตัวเป็นเส้นตรงของ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ ทางช้างเผือก และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ด้วยขนาดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่ใหญ่กว่า จึงทำให้แกนขั้วโลกจากทิศตะวันออก พลิกเปลี่ยนชี้ไปทางทิศเหนือ มหาอาณาจักรแอตแลนตีส จึงจมลง เปลี่ยนสภาพจากแผ่นดิน กลายเป็นมหาสมุทรในชั่วข้ามคืน เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอย่างมโหฬารไปทั่วทุกส่วนของ โลก ตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วน และพื้นดิน 1 ส่วน มนุษย์เสียชีวิตเหลือคณานับ เป็นการสิ้นสุดของยุคทองแห่งแอตแลนตีส

    ชาวแอตแลนตีสกลุ่มหนึ่ง มี ผู้นำเป็นนักบวชที่มีพลังจิตสูง ได้ลงเรือเดินทางออกจาก มหาอาณาจักร ก่อนจะเกิดเหตุภัยพิบัติล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ขึ้นฝั่งในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ การถ่ายทอดอารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง สัญลักษณ์ สิ่งแรกที่ยิ่งใหญ่แสนมหัศจรรย์ที่นักบวชได้สร้างขึ้นด้วยพลังจิต และอาศัยความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร คือการสร้างสฟิงซ์ (Sphinx) ด้วย เทคนิคการใช้พลังจิต เปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ เป็นรูปสิงโตหมอบ เหยียดขาหน้าทั้งคู่ไปด้านหน้า ลำตัวทอดยาวไปตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงวาระครบ 13,000 ปีอีกครั้ง ณ ที่ตั้งสฟิงซ์แห่งนี้ จะกลายเป็นตำแหน่งของขั้วโลกใหม่ และ ขั้วโลกจะชี้ไปทางทิศตะวันออก อยู่ในอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีกครั้ง นานประมาณ 13,000 ปี

    ชาวแอตแลนตีส มีความชำนาญในการใช้พลังพีระมิดอย่างหลากหลาย และได้ถ่ายทอดสู่ชาวอียิปต์จากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งอีกหลายพันปีต่อมา จึงได้มีมหาพีระมิดเกิดขึ้น

    เชื่อสายแอตแลนตีส รุ่นต่อๆมา มีการย้ายถิ่นฐาน สร้างเมือง สร้างประเทศใหม่ อารยธรรมแอตแลนตีสจึงกระจายออกไปหลายส่วนของโลก ที่รู้จักกันดี คือ ชนเผ่ามายา หรือ มายัน ผลงานชิ้นสำคัญของพวกเขา คือการจัดวางเสาหิน แท่งหิน ขนาดมหึมาเป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง เรียกว่า สโตนเฮนจ์ (Stone Henge) อยู่ที่เมือง ซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีเทคนิคการสร้างเหมือนกับการสร้างสฟิงซ์ คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสงก่อน และเมื่อนำไปจัดวางได้เรียบร้อยแล้ว จึงเปลี่ยนพลังงานแสงคืนกลับเป็นวัตถุอีกครั้ง

    สโตนเฮนจ์ เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ ใช้หลักคำนวณจากการโคจรของกาแลคซี่ ทั้ง 3 ใน 1 รอบ คือ 26,000 ปี โดยสามารถถอดรหัสได้ว่าในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปี จะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ฉะนั้น การสร้างสโตนเฮนจ์ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระของการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดอีกครั้ง

    การเกิดภัยพิบัติในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันและอนาคต ระหว่างกาแลคซี่ทั้ง 3 กับสฟิงซ์ สโตนเฮนจ์ และแกนพลังงานโลก โดยมีทั้งมนุษย์และธรรมชาติเป็นพลังงานขับเคลื่อน

    แกนพลังงานโลก เป็นแกนพลังงานที่ทอดยาวควบคู่ไปกับแกนสสาร ที่ปัจจุบันชี้ไปทางขั้วโลกเหนือและใต้ แกนพลังงานประกอบด้วยพลังงานสำคัญ 3 อย่าง

    1. พลังงานแม่เหล็กโลก หรือ พลังงานแรงดึงดูดจากศูนย์กลางกาแลคซี่ทางช้างเผือก เป็นแรงร้อยรัดที่ดึงโลกให้อยู่กับสุริยจักรวาล และกาแลคซี่ ตามลำดับ เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติที่ร้อนและหนัก มีสีเข้ม คล้ายสีเทา และอยู่นอกสุดของแกนพลังงาน

    2. พลังงานกระแสลมปราณ มีสีออกเหลือง เป็น พลังงานที่โลกเราได้รับมาจากดวงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่ดี มีประโยชน์ เป็นเสมือนภูมิต้านทานร่างกาย ที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน โดยลมหายใจเข้า

    3. พลังงานมโนธาตุ มีสีออกขาว อยู่ชั้นในสุดของแกนพลังงาน เป็นพลังงานดี ช่วยเสริมจิตและใจให้มีคุณธรรม

    เทคโนโลยี ที่เกิดจากการผลิตอุตสาหกรรมหนัก ทำให้เกิดสารตกค้าง CFC หรือ สาร คลอโรฟลูออโรคาร์บอน และยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถทำลายสาร CFC นี้ได้สำเร็จ

    สาร CFC มีคุณสมบัติ “เบา กว่าธาตุอื่นๆทุกชนิด” จึงสามารถแทรกเข้าไปทำลายแกนพลังงานโลก เริ่มขบวนการทำลายมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2540-2544 จนกระทั่งแกนพลังงานโลกตัน ทำให้แรงร้อยรัด หรือพลังงานแม่เหล็กโลก ที่ส่งออกมาจากกาแลคซี่ทุกวินาที ไม่สามารถไหลทะลุผ่านขั้วโลกเหนือ-ใต้ได้ พลังงานจึงแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของโลก ทั้งพื้นน้ำ มหาสมุทร พื้นแผ่นดิน แผ่นหินเปลือกโลก ร่างกายมนุษย์ สัตว์ พืช ฯลฯ

    ความร้อนและหนัก จึงฝังตัวติดแน่น สะสมเป็นเชื้อร้ายแฝงอยู่ และเพิ่มอันตรายมากทวีคูณ เกินกว่าจะพรรณนาได้ กล่าวได้เพียงว่า พลังงานแม่เหล็กโลกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก คือพลังงานสำคัญที่ทำลายมนุษย์ และเปลี่ยนโลกใบนี้ในอนาคต

    มนุษย์คือผู้ปล่อยยักษ์ใจร้ายตนนี้ออกมาเอง ใช่หรือไม่ และหากสมมุติว่า จะเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ไม่เกิดขึ้น มนุษย์ สัตว์ พืช ยังคงถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยพลังงานแม่เหล็กโลก และอาจสิ้นชีวิตลงทั้งหมดภายในไม่เกิน 10-15 ปี

    พลังงานกระแสลมปราณ และ พลังมโนธาตุ ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้ลอยสูงขึ้นๆ ไปอยู่ในบรรยากาศชั้นบนสูงเกินกว่ามนุษย์จะนำเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยลมหายใจ เข้า องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้นำพลังพีระมิดมาใช้อีกครั้ง

    ปัจจัยสำคัญ และ เป็นความเชื่อมโยงอย่างแสนมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ของปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คือการปรากฏของดาวนิบิรุ (Nibiru) เป็นดาวมีสีออกแดง ลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี ประมาณเกือบ 2 เท่า เป็นดาวที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาล มีวงโคจรผ่านทิศตะวันออก

    - ตะวันตก และจะมาเยือน สุริยจักรวาลในทุกๆ 13,000 ปี และ ในรอบนี้
    ดาวนิบิรุ จะมาเรียงตัวอยู่ที่ลำดับหัวแถว ใกล้ๆกับโลก เป็นการเพิ่มแรงดึงดูดให้กับ กาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก จนสามารถดันขั้วโลกเหนือไปเป็นขั้วโลกตะวันออก


    เมื่อรอบ 13,000 ปีที่ผ่านมา ดาวนิบิรุ โคจรมาและได้ไปเรียงตัวอยู่ด้านปลายแถวของ สุริยจักรวาล


    เมื่อ ใกล้ช่วงเวลาของการเกิดภัยพิบัติ เปลี่ยนขั้วโลกใหม่ ดาวนิบิรุ ( ซึ่งขณะนี้ ดาวนิบิรุ ได้เข้ามาเยือนสุริยจักรวาลแล้ว แต่ยังอยู่ไกลมาก ) จะมาอวดสายตาแก่ชาวโลกทางด้านทิศตะวันออก มองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ เป็นดาวสีแดง มองแล้วเหมือนกับว่ามี ดวงอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง หากมนุษย์มองดาวดวงนี้แล้วจะ รู้สึกจิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ดาวนิบิรุจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดาวมฤตยู (แต่ไม่ได้หมายความถึงดาวพลูโตเลย) และ มาตรวัดความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่คั่นกลาง เป็นช่องว่าง เป็นเขตปลอดพลังงาน ทั้งของกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม หาก เมื่อใดพลังงานแม่เหล็กโลก หนาแน่นจนเต็มพิกัด และไม่สามารถทะลุผ่านไปจนสุดขอบทางทิศตะวันออกได้ พลังงานแม่เหล็กโลกจะรีดเป็นเส้นตรง เปลี่ยนเป็นพุ่งทะลุขึ้นไปด้านบน ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปะทะชนกับพลังงานของกาแลคซี่อันโดรเมดา ที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัดกลับเข้าสู่โลก สุริยจักรวาลอีกครั้ง เกิดปรากฏการณ์ “แสงวาบ” ที่ยิ่งใหญ่ เห็นได้ทั่วจักรวาล

    การสั่นไหวอย่างรุนแรง การเคลื่อนที่สับเปลี่ยนแผ่นดิน แผ่นน้ำ เกิดลมพายุ น้ำท่วม การหล่นกระจายของแผ่นฝ้าน้ำแข็งเพดานโลกที่เกิดจากการสะสมของควันน้ำมัน ฯลฯ กระบวน การเปลี่ยนขั้วโลกใหม่นี้ใช้เวลา ประมาณ 3 วัน 3 คืน

    มนุษย์ ประกอบด้วย จิตและกาย หากยังมีความคิดว่า “ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ควรรักษาไว้” จึงควรแสวงหาทางรอด ตามวิถีความเชื่อของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิต ควรเข้าใจให้ชัดเจนว่า พลังงานแม่เหล็กโลกที่ไม่ได้อยู่ในแกนพลังงานโลก เป็นพลังงานกั้นบัง ฉุดรั้ง เป็นเสมือน ตัณหาที่ฉาบทาโลก ส่งผลให้การฝึกจิต ทำได้ยากยิ่งขึ้น หากโลกเราได้แกนพลังงานใหม่เปลี่ยนเป็นขั้วโลกตะวันออกเป็นกาแลคซี่ใหม่ที่ สมบูรณ์ด้วยพลังงานกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ ซึ่งเหมาะแก่การฝึกจิตเป็นอย่างยิ่ง

    ในที่สุด คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ก็สำเร็จตามจิตประสงค์ มหาอาณาจักรแอตแลนตีสที่เคยจมหายไปร่วม 13,000 ปี จะได้มีโอกาสโผล่ขึ้นมาอวดโฉมอีกครั้ง เป็นการปิดฉาก บทบาทของ สฟิงซ์ และสโตนเฮนจ์ อย่างถาวร

    หากท่านใดยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตัดใจไปจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไม่ได้ โปรดอดใจรอไปก่อน อีกเพียง 13,000 ปี เท่านั้น

    สิ่งเตือนใจ อายุขัยของมนุษย์ สัตว์ นั้นแสนจะสั้น มีอายุได้อย่างมากไม่เกิน 100 ปี หากยังดับกิเลสได้ไม่หมดสิ้น ย่อมไปจุติ เวียนว่ายต่างภพ ต่างภูมิ ตามผลของการกระทำที่เคยสร้างไว้ และถ้าหากไม่เคยฝึกจิต คงไม่สามารถรู้ถึงเหตุและผล ของการตกอยู่ในสังสารวัฏ และการวนรอบของปรากฏการณ์ทุกอย่างได้ จึงเชื่อเฉพาะสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจและสมองเท่านั้น เพราะ “จิต” ที่ยังไม่ “หลุดพ้น” ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจ การบงการของ “ใจ” อย่างถอนไม่ขึ้น

    เรียบเรียงโดย
    จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ


    1 ธันวาคม 2553


    เชิญดาวน์โหลดไฟล์ได้ (ไฟล์นี้จะใช้ประกอบในการสัมมนา)

    ติดตามประวัติและผลงานของพระอาจารย์รัตน์ได้ในกระทู้นี้

    เครดิต คุณ Falkman
    <!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]


    ลูกเห็บยักษ์ขนาด 50 กิโลกรัม (การหล่นกระจายของแผ่นฝ้าน้ำแข็งเพดานโลก ที่เกิดจากการสะสมของควันน้ำมัน ฯลฯ )

    <LARGFONT>“ท่าน(พระอาจารย์รัตน์) ได้เล่าให้น้องชายของผมฟังถึงเรื่องบรรยากาศของโลกซึ่งเกิดจาก ภาวะเรือนกระจก จนทำให้เกิดเป็นลูกเห็บน้ำแข็งหนักประมาณ 50 กิโลกรัมตกลงมาในอนาคต ท่านพอจะอธิบายเหตุการณ์ตรงนี้ ให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหมครับ”



    “ตอนแรกอาตมาใช้สมาธิเข้าไปดูว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คือมนุษย์เราเผาผลาญน้ำมันมากอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ ผลจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรในอนาคต เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คนเราสร้างนั้นไม่ว่ากายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี สร้างเหตุอันใดผลมันก็ต้องย้อนกลับมาจนได้ในที่สุด มนุษย์นี่โง่เขลาเบาปัญญาจึงทำให้เกิดในจุดนี้ พวกเขาคิดแต่จะหาความสะดวกสบายในปัจจุบัน อนาคตผลเสียจะเกิดขึ้นอย่างไรเขาไม่รู้ .....



    มีอยู่วันหนึ่งอาตมาไปหยิบหนังสือของศาสนาคริสต์ เกี่ยวกับวันที่พระเจ้าตัดสินโลกออกมาดู อุ้ย ! ทำไมมันเหมือนกับที่เราเห็นก็ไม่รู้ จากสภาวะเรือนกระจก (กรีนเฮ้าส์เอฟเฟค) นี่จะทำให้น้ำแข็งเป็นก้อนๆ หนัก 40 – 50 กิโลกรัม ไปเกาะตัวอยู่ข้างบนบรรยากาศ ในที่สุดก็จะตกลงมาเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนของผิวโลก พื้นผิวโลกเกิดการสั่นสะเทือนทำให้บรรยากาศไหวตัว ไปดันเอากระแสของโมเลกุลของน้ำที่อยู่ใกล้ขอบที่อยู่เป็นน้ำแข็งแห้งตกลงมา



    พอมันตกลงมาก็จะเป็นน้ำท่วมโลก เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราเอามันขึ้นไปไม่รู้เท่าไรแล้ว มันไปหนักอยู่ข้างบนที่นี้พอถึงเวลานั้นน้ำ มันก็ต้องท่วมเป็นธรรมดา แต่มันก็จะต้องมีเหตุเกิดขึ้นเสียก่อนว่า มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นคนทำคือไปกดดันสถาณภาพของโลกใบนี้ โลกของเรานี้มันลอยอยู่บนอวกาศแล้วพื้นดินมันก็ลอยอยู่ด้วย มนุษย์นี่ไม่เข้าใจใช้แสงใช้แรงกดดัน แสงนี่หนักที่สุดวัตถุทั้งหมดในโลกนี้ไม่ว่าก้อนอิฐ ก้อนหินหรือว่าแร่ธาตุอะไรที่ว่าหนัก ๆ แล้วก็ยังไม่เท่ากับแสง แสงนี่หนักมากถ้าเราเอาแสงไปกดที่พื้นผิวข้างใดข้างหนึ่ง มันก็จะเกิดการเคลื่อนตัว การแตกแยกเกิดแผ่นดินไหว” (มีการใช้อาวุธแสงในสงครามโลกครั้งที่ 3 – ผู้เขียน)



    คำพูดท้ายสุดนี้คงต้องขยายความสักหน่อยว่า ภิกษุรูปนั้น(พระอาจารย์รัตน์)ได้เคยเล่าให้ผมฟังอย่างเป็นทางการว่าอีกไม่นานนัก มนุษย์คงค้นพบเรื่องแสงแล้วมาทำเป็นอาวุธยิงจากอวกาศ อาวุธที่เป็นแสงนี้จะมีลักษณะเป็นเหมือนอาวุธชีวภาพ คือทำให้ผู้คนที่โดนแสงเจ็บป่วยล้มตายได้ ท่านถึงกับบอกว่า “ในอนาคตข้างหน้า โรคภัยไข้เจ็บต่อไปจะเป็นอิทธิพลของแสงเท่านั้น” แต่มนุษย์ผู้คิดค้นอาวุธแสงออกมาได้ คงนึกไม่ถึงว่าอาวุธแสงนี้จะเป็นตัวการก่อให้เกิดแผ่นดินไหว มันจะไปดึงดูดในโมเลกุลของน้ำบนบรรยากาศ ที่อยู่ใต้กรีนเฮ้าส์เอฟเฟค เคลื่อนตัวตกลงมาเป็นน้ำแข็งก้อนใหญ่ จนทำให้น้ำท่วมโลกได้..........



    เรื่องที่ผมฟังจากปากท่านแล้วถึงกับหูผึ่ง ก็คือนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกสมัยนี้ คือพวกชาวแอตแลนติสกลับชาติมาเกิดและอีกไม่นานคนพวกนี้คงคิดค้น “อาวุธมหาประลัยที่ใช้แสง” ได้เหมือนกับชาวแอตแลนติสในอดีต ซึ่งนำไปสู่จุดจบแห่งการล่มสลายของทวีปแอตแลนติกที่ต้องจมทะเลในที่สุด



    ผมขอสารภาพว่าในตอนแรกที่ภิกษุรูปนั้น(พระอาจารย์รัตน์) ได้บอกกับผมว่า ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีลูกเห็บน้ำแข็งหนักประมาณ 50 กิโลกรัมตกลงมาผมยังไม่แน่ใจนัก ผมได้พยายามศึกษาเอกสารงานค้นคว้าคำทำนายต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงได้พบข้อความตอนหนึ่งในหนังสือ “ชนวนสงครามล้างโลก หรือนอสตราดามุส พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ” ของคุณสนธิ สารธรรม หน้า 283 ดังต่อไปนี้



    “มนุษย์ที่เหลือต่างปล่อยตัวมัวเมาในกามกิเลสตัณหา และความชั่วร้ายสุดที่จะพรรณนา” จนกระทั่ง ทูตสวรรค์ต้องนำขันแห่งพระพิโรธ 7 ใบเทบนโลก ความหมายของขันที่เจ็ดมีดังนี้ (วิวรณ์ บทที่ 16 )



    ขันที่ 7 เกิดวิบัตินานาชาติ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยประสบ ลูกเห็บก้อนใหญ่ขนาดก้อนละ 50 กิโลกรัมตกลงมา คนจำนวนมากจะเสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหายเหลือคณานับ เกาะทั้งเกาะจะจมหายไป…….."



    (แหล่งที่มา จากหนังสือ มังกรจักรวาล1 ตอนสมาธิหมุน นอสตราดามุส และมนษย์ต่างดาวว่าด้วยญาณทัศนะกับหายนะของโลกก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย)

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แล็บมะกันยิง "ซูเปอร์เลเซอร์" ร้อนเท่าใจกลางดาวดวงน้อย หวังทดลอง "นิวเคลียร์ฟิวชัน"</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันบนโลกเกิดขึ้นที่ห้องปฏิบัติการในสหรัฐฯ (บีบีซีนิวส์)

    สหรัฐฯ เดินเครื่อง "ซูเปอร์เลเซอร์" ยิงลำแสงได้ 192 ลำ สร้างความร้อน-ความดันได้เท่าใจกลางดาวดาวฤกษ์ สร้างความหวังในการทดลอง "นิวเคลียร์ฟิวชัน" เพื่อสร้างแหล่งพลังงาน ที่นักวิทยาศาสตร์ทุ่มเทศึกษามาเกินครึ่งศตวรรษ

    หน่วยงานการเผาไหม้เครื่องยนต์แห่งสหรัฐฯ หรือเอ็นไอเอฟ (The US National Ignition Facility : NIF) ได้ทดลองจุดการเผาไหม้จาก "ซูเปอร์เลเซอร์" ซึ่งสร้างความร้อนได้สูงพอๆ กับดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งไปเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตามรายงานโดยเอเอฟพีระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ทั้งระดับรัฐและระดับชาติของสหรัฐฯ นับพันเข้าร่วม โดยนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าการทดลองดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันที่มีความปลอดภัย

    [​IMG]
    เอ็นไอเอฟเปิดให้เข้าชมห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ลิเวอร์มอร์เมื่อวันเดินเครื่องยิงลำแสงซูเปอร์เลเซอร์ (เอพี)

    สถาบันเอ็นไอเอฟเป็นสถาบันที่มีระบบเลเซอร์ที่มีพลังงานสูงที่สุดในโลก ซึ่งระบบดังกล่าวตั้งอยู่ภายในห้องปฏิบัติการลอเรนซ์ลิเวอร์มอร์แห่งสหรัฐฯ (Lawrence Livermore National Laboratory) โดยเครื่องมือเชื่อมต่อภายในห้องทรงกลมขนาดเท่าบ้านและโฟกัสลำแสงเลเซอร์ไปยังจุดเล็กๆ ได้ถึง 192 ลำ ซึ่งทำเกิดความร้อนและความดันได้เท่ากับใจกลางดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้

    อีกทั้งห้องปฏิบัติการของเอ็นไอเอฟ ยังสร้างเงื่อนไขและชักนำให้เกิดการทดลองที่ไม่เคยทำได้มาก่อนมาบนโลก อย่างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันซึ่งเหนี่ยวนำด้วยซูเปอร์เลเซอร์ที่เกิดจากการชนกันของอะตอมไฮโดรเจน และผลิตพลังงานได้มากเกินที่ต้องการสำหรับเตรียมพร้อมใน "การจุดระเบิดเผาไหม้" กิริยา ซึ่งระหว่างสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันนั้นบีบีซีนิวส์ระบุว่า ลำเลเซอร์ทั้งหมดจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ที่มีขนาดเท่าลูกปืนกลมๆ เม็ดเล็กๆ ได้สร้างกำลังไฟฟ้ามากกว่า 50 ล้านล้านวัตต์ ซึ่งมากกว่าการใช้ในช่วงสูงสุดของสหรัฐฯ ทั้งหมดเสียอีก

    นี่คือเป้าหมายจากการค้นหาอันยาวไกลเพื่อ "พลังงาน" ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักวิจัยด้านนิวเคลียร์ฟิวชันมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ความสำเร็จของเอ็นไอเอฟจะเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่มีนัยสำคัญต่อประวัติศาสตร์ ที่การพิสูจน์ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเกิดขึ้นครั้งแรก และกระบวนการที่สร้างพลังให้กับดวงดาวได้เกิดขึ้นบนโลก" เอ็ดวาร์ด มอเซ็ส (Edward Moses) ผู้อำนวยการเอ็นไอเอฟให้ความเห็น

    ทั้งนี้ เอ็นไอเอฟก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2540 โดยองค์การความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (National Nuclear Security Administration: NNSA) ของกระทรวงพลังงานแห่งสหรัฐฯ ขณะที่ห้องปฏิบัติการก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2495 โดยเป็นสถาบัน ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประยุกต์เพื่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากเป้าหมายทางด้านพลังงานแล้ว สถาบันแห่งนี้ยังมีพันธสัญญาที่จะทำการค้นพบวิทยาศาสตร์ทางด้านดวงดาวและฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ด้วยการสร้างเงื่อนไขที่มีอยู่ในซูเปอร์โนวา หลุมดำและใจกลางดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ด้วย

    “เพื่อเข้าใจการค้นพบเราเองในเอกภพและอะไรที่สร้างเราขึ้นมา สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือทำความเข้าใจการระเบิดของดวงดาว" บีบีซีินิวส์อ้างคำพูดของ ศ.พอล แดรค (Professor Paul Drake) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) ซึ่งเป้นหนึ่งในนักวิจัยไม่กี่คน ที่ได้นั่งคอยการทดลองในตึกของเอ็็นไอเอฟ และคาดหวังที่จะได้ทดสอบทฤษฎีของพวกเขาด้วยอุปกรณ์ขนาดใหญ่นี่

    ขณะที่ ดร.อีริค สตอร์ม (Dr Erik Storm) จากห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ลิเวอร์มอร์กล่าวว่า เราสามารถกำหนดตารางการเกิดซูเปอร์โนวาได้จากสิ่งอำนวยความสะดวกในเอ็นไอเอฟ แทนที่จะต้องนั่งรอการเกิดสักครั้งอย่างไม่ตั้งใจในเอกภพ ขณะเดียวกันภายในห้องปฏิบัติการเรายังสามารถเปลี่ยนแปลงการทดลองในแต่ละครั้งได้ เราจึงสร้างระเบิดซูเปอร์โนวาได้อย่างซ้ำๆ​

    [​IMG]
    หนึ่งในลำแสงซูเปอร์เลเซอร์ซึ่งเอ็นไอเอฟได้เดินเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อจุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันที่ให้ความร้อนพอๆ กับใจกลางดาวฤกษ์ (เอเอฟพี)

    พร้อมกันนี้ บีบีซีนิวส์ยังได้อธิบายการทำงานของซูเปอร์เลเซอร์ ซึ่งทำให้เกิดอุณหภูมิได้สูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียสและสร้างความดันได้มากกว่าความดันของชั้นบรรยากาศโลกอีกหลายพันล้านเท่า โดยการบังคับให้นิวเคลียสของไฮโดรเจนหลอมรวม จากนั้นพลังงานมหาศาลก็จะถูกปลดปล่อยออกมา

    ในส่วนของการทดลองทางด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์นั้น ศ.แดรคอธิบายว่า ก้อนเชื้อเพลิงถูกออกแบบให้เป็นชั้นๆ รูปครึ่งวงกลม เพื่อเลียนแบบใจกลางของดวงดาว จากนั้นยิงลำเลเซอร์เข้าสู่ใจกลางก้อนเชื้อเพลิง แล้วทำให้เกิดคลื่นกระแทกที่พัดให้ก้อนเชื้อเพลิงแยกกระจาย ซึ่งการทดลองดังกล่าวใช้เวลาเพียงในหลายพันล้านวินาที ดังนั้นรายละเอียดของการระเบิดจะถูกจับตาด้วยเซนเซอร์ที่เหมาะสม

    ส่วนนักวิทยาศาสตร์ทางด้านดวงดาวก็ตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมกับเอ็นไอเอฟเช่นกัน โดยปรารถนาที่จะใช้เครื่องมือไฮเทคทดสอบทฤษฎีของพวกเขา โดย ศ.เดวิด สตีเฟนสัน (Prof. David Stevenson) จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology) กล่าวว่า ดาวพฤหัสบดีมีบทบาทสำคัญต่อระบบสุริยะ เนื่องจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ทำให้เกิดเมฆฝุ่นและเศษซากอวกาศกลุ่มใหญ่ในอวกาศใกล้ๆ กับเรา และก่อเกิดเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ รวมทั้งโลกของเรา

    อีกทั้ง มีการค้นพบดาวเคราะห์ก๊าซขนาดยักษ์กว่า 300 ดวง ทั้งที่มีมวลใกล้เคียงและมากกว่าดาวพฤหัส โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างไกล ซึ่งการเข้าใจว่าดาวก๊าซยักษ์เหล่านี้ก่อตัวขึ้นอย่างไรและเมื่อไหร่ ช่วยฉายภาพวิวัฒนาการระบบดาวเคราะห์อื่นๆ ได้ แต่การจะเข้าใจเช่นนั้นได้นักวิทยาศาสตร์ต้องช่วยเอ็นไอเอฟทำความเข้าใจเกี่ยวกับอุณหภูมิสุดขั้วและวามดันที่ใจกลางดาวกลาง รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสสารในสภาวะดังกล่าว​

    [​IMG]
    ภาพจำลองก้อนเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ฟิวชัน (บีบีซีนิวส์)

    กลไกการจุดระเบิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน

    - เติมเชื้อเพลิงปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันในแคปซูลทรงกลมขนาดเท่าเม็ดถั่ว ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมของดิวเทอเรียมและตริเทียม 150 ไมโครกรัม

    - เลเซอร์ถูกกำหนดให้ยิงคลื่นสั้นที่มีความเร็ว 1 ใน 2 หมื่นล้านส่วนของวินาที ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้เกิดกำลังไฟฟ้าสูงถึง 50 ล้านล้านวัตต์ หรือเทียบเท่ากับพลังงานที่ทำให้หลอดไป 100 วัตต์จำนวน 50 ล้านล้านดวงสว่างพร้อมกัน

    - กำลังเลเซอร์ทั้งหมดจะโฟกัสไปที่ผิวของแคปซูล โดยที่เชื้อเพลิงภายในจะถูกอัดแน่นให้มีความหนาแน่นมากกว่าตะกั่ว 100 เท่า

    - แคปซูลจะถูกให้ความร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า 100 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งภายใต้เงื่อนไขที่สุดขั้วขนาดนี้ จะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันขึ้น.​

    ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000061221<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    เครดิต คุณเกษม
    ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่<!-- google_ad_section_end -->

     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD align=middle>การล่าถอย

    </TD></TR><TR><TD>ด้วยเรืออาร์คและอากาศยาน



    เรื่องปรัมปราและงานเขียนสมัยโบราณได้แสดงว่า สันสุดท้ายของแอตแลนติสนั้น เป็นวันที่น่าเศร้าสลดอย่างแท้จริง คลื่นในมหาสมุทรขนาดภูเขา พายุและภูเขาไฟระเบิดได้พลุ่งพล่านไปทั่วโลก อารยธรรมมาถึงจุดหยุดนิ่งและมนุษยชาติที่คงเหลืออยู่ก็ลดสภาพสู่ความป่าเถื่อน

    จารึกสุเมเรียนเรื่อง กิลกาเมช กล่าวถึงอุตนาปิชทิม บรรพบุรุษแรกเริ่มของมนุษยชาติ อุนาปิชทิมและครอบครัวเป็นผู้รอดจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นเพียงลำพัง เขาได้ช่วยชีวิตของคน สัตว์ และนก โดยพามาไว้ในเรืออาร์ค เรื่องโนอาห์ในไบเบิลปรากฏว่าเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นภายหลังจากเรื่องเดียวกันนั้น

    ในคัมภีร์ เซนต์อะเวสตะ ของอิหร่าน เราพบตำนานน้ำท่วมอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ ท่านยิม่าผู้อาวุโสเปอร์เซีย ได้รับคำสั่งจากเทพอหุระมัซดา ให้เตรียมพร้อมจากน้ำท่วมโลก ด้วยเหตุนี้ยิม่าจึงสร้างอุโมงค์ใหญ่ บรรจุสัตว์และพืชอันเป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์ และปิดไว้ในช่วงภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้ อารยธรรมจึงหลงเหลือหลังจากการทำลายล้างจากน้ำท่วมใหญ่ผ่านไป

    <CENTER>[​IMG]
    แผ่นหินฝาโลงเมืองเชียปาส สลักภาพที่น่าพิศวง</CENTER>

    <CENTER>[​IMG]
    เรืออาร์คของโนอาห์ เมื่อเกิดน้ำท่วมโลก</CENTER>

    เรื่องมหาภารตะของอินเดีย ได้เล่าถึงพระพรหมแปลงกายเป็นปลาเตือน มนุ ผู้เป็นบิดาแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ให้เรื่องน้ำท่วมที่กำลังจะเกิดขึ้น มนุ ได้รับแนะนำให้สร้างเรือ และ “พาฤๅษีทั้งเจ็ด และเมล็ดพันธุ์นานาชนิดที่พราหมณ์นับไว้แต่กาลก่อน (ลงเรือ) และเก็บรักษาไว้อย่างดี” มนุ ทำตามคำสั่งของพระพรหม และลงเรือใหญ่ พาฤๅษีทั้งเจ็ดและเมล็ดพันธุ์ไป เพื่อฟื้นฟูผู้รอดชีวิต การเดินทางเป็นปี ๆ บนคลื่นใหญ่ กระทั่งจอดลงบนเทือกเขาหิมาลัย เรื่องพื้นบ้านของอินเดียระบุถึงมะละนีในหุบเขากุลุ ว่าเป็นเมืองของ มนุ เป็นจุดที่มนุจะขึ้นฝั่ง ปกติแล้วตำบลนั้นเรียกกันว่า อารยวรรตดินแดนแห่งอารยัน และในมะนะลีในเทือกเขาหิมาลัยนั้นเอง เป็นสถานที่ที่ผู้เขียนได้เขียนหนังสือบทนี้

    ความคล้ายคลึงกันของการกู้ชีวิตของโนอาห์กับของมนุนั้น ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นับเป็นเรื่องจริงที่ชัดเจน ที่ในบันทึกทั้งหลายเกี่ยวกับน้ำท่วมใหญ่มีคนได้รับเลือกให้รู้ล่วงหน้าถึงมหันตภัยในโลก

    <CENTER>[​IMG]
    โนอาห์ของเมโสโปเตเมียและเรือ ภาพสลักนี้อายุราว 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล</CENTER>

    การหนีจากดินแดนแอตแลนติสอันน่าเศร้า ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอากาศยาน และเรือเดินทะเล มีเรื่องในประวัติศาสตร์มากมายที่สนับสนุนทฤษฎีที่ออกจะเพ้อฝันนี้ ชาวเอสกิโมมีตำนานประหลาด กล่าวว่าพวกตนถูกนกเหล็กขนาดยักษ์พาไปทางเหนือ ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง นี่มิได้หมายถึงการมีอยู่ของอากาศยานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์หรอกหรือ?

    ชาวพื้นเมืองของดินแดนตอนเหนือของออสเตรเลียมีเรื่องน้ำท่วมและคนกึ่งนก คะรันผู้เป็นหัวหน้าได้ให้ปีกแก่วาร์กและไวร์ เมื่อ “น้ำเต็มลำธาร และทะเลเอ่อสูง และท่วมทั้งดินแดน ภูเขา ต้นไม้ และทุกสิ่ง” จากนั้นคะรันก็บินจากไป และนั่งลงข้างพระจันทร์ ขณะที่คนกึ่งนกเฝ้ามองดูเขา มหากาพย์กิลกาเมชได้ให้ภาพอย่างชัดเจน ถึงวันแห่งความพินาศของโลก

    “จากการสรรค์สร้างสวรรค์ เมฆครึ้มดำจึงบังเกิด
    เมฆทั้งมวลอันสดใสผันแปรไปเป็นคลื่นคล้ำ
    พี่มิได้เห็นน้องอีกต่อไป
    ชาวฟ้ามิอาจจดจำกันได้อีกต่อไป
    เทพเจ้ากลัวน้ำท่วม
    เขารีบหนีไป เขาไต่ถึงสวรรค์แห่งอนุ”


    ใครคือชาวฟ้า ใครคือเทพเจ้ากลัวน้ำท่วม และอพยพหลบภัยในสวรรค์ หากพวกเราคือตัวตนอันอมตะ พวกเขาก็ไม่น่าจะหวาดกลัวภัยร้ายนั้น เรื่องนี้ปรากฏว่าชาวฟ้ามิใช่ใครอื่น นอกจากผู้คนชาวแอตแลนติส ผู้มีอากาศยานหรือกระทั่งยานอวกาศ ในศาสนาของสุเมเรียน สวรรค์แห่งอนุก็คือที่พำนักแห่งอนุ ผู้เป็นบิดาแห่งทวยเทพ ความหมายนั้นเกี่ยวกันกับคำว่า “สูงยิ่งขึ้นไปและลึกต่ำลงมา” ทุกวันนี้เราเรียกสิ่งนี้ว่า อวกาศ ชาวฟ้าหนีไปอยู่ในอวกาศ นั่นคือการตีความข้อความอันน่าพิศวงของมหากาพย์

    คัมภีร์ ไดซัน (Book of Dyzan) ที่ เฮเลนา บลาวาตสกี ได้รับจากอาศรมในเอกเขาหิมาลัยเมื่อประมาณร้อยปีก่อน อาจจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่หายไปของมนุษยชาติก็ได้ “น้ำท่วมใหญ่ครั้งแรกได้มาถึง กลืนเอาเกาะใหญ่ทั้งเจ็ด ทวยเทพทั้งปวงรอดพ้น ผู้คนถูกทำลาย”

    การกล่าวอธิบายเพิ่มเติมแต่สมัยโบราณถึงหนังสือเล่มนี้นั้น ปรากฏชัดเจนมาก เกี่ยวกับการอพยพที่เกิดขึ้นในแอตแลนติส กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้มี “ใบหน้าอันท่าพิศวง” ผู้นำของผู้รู้แจ้งในแอตแลนติส ได้เห็นภัยพิบัติอันมิอาจเลี่ยงได้นั้น จึงส่งข่าวสารกับอากาศยานไปยังพี่น้องผู้เป็นหัวหน้า ความว่า “จงเตรียมตัว มนุษย์ในกฎแห่งความดีจงลุกขึ้น และข้ามแผ่นดินไปเมื่อน้ำแล้ง” แผนการนี้จะต้องปรากฏเป็นรูปธรรมอย่างเป็นความลับ จากผู้ปกครองชั่วร้ายที่ทรงอำนาจของจักรวรรดินั้น จากนั้นคืนอันมืดมิดคืนหนึ่ง เมื่อประชาชนในกฎแห่งความดีอยู่ไกลโพ้นจากอันตรายของคลื่นน้ำ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมนุษย์ก็สั่งชุมนุมขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และร่ำไห้อาลัย เมื่อเวลาผ่านไป เจ้านายชั้นสูงลงจากวิมาน (อากาศยาน) และตามเผ่าพงศ์ของตนไปยังดินแดนทางตะวันออกและทางเหนือ หรือแอฟริกาและยุโรป ในเวลาเดียวกัน ห่าอุกกาบตก็ตกลงมายังอาณาจักรแอตแลนติส ที่ปุถุชนคนธรรมดาหลับใหลอยู่

    <CENTER>[​IMG]
    เฮเลนา เพทรอฟนา นักเขียนและนักวิชาการชาวรัสเซีย</CENTER>

    ความเป็นไปได้ของการอพยพล่าถอยจากแอตแลนติส โดยอาศัยอากาศยานนั้น มีค่าแก่การคาดคะเนในทางวิทยาสตร์ แม้ไม่จำต้องยอมรับก็ตาม ดังเห็นได้จากข้อสรุป จากภาพวาดในหนังสือ สารานุกรมการเดินทางระหว่างดวงดาว (Interplanetary Travel Encyclopanedia) ที่รวบรวมโดยศาสตราจารย์ เอ็น. เอ. ไรนิน แห่งสหภาพโซเวียต ซึ่งวาดภาพนักบวชชั้นสูงชาวแอตแลนติสโดยสารอากาศยาน มีฉากหลังเป็นแอตแลนติสกำลังจม

    เป็นเรื่องแน่ชัดแล้วว่า มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่มีอากาศยาน หรืออวกาศยานในยุคก่อนน้ำท่วมในสมัยเรานี้ เครื่องบินและจรวดต่างเป็นของรัฐ และบริษัทใหญ่ ๆ สถานการณ์นี้อาจจะคล้ายคลึงกันอย่างมากกับในสมัยแอตแลนติสก็ได้

    ชาวบาบิโลนได้รักษาความทรงจำเรื่องนักบิน หรือนักบินอวกาศสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในภาพของเอทานา ผู้เป็นนักบิน ในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน มีทรงกระบอกปิดผนึก แสดงภาพเอทานาเหินอยู่ในอากาศ บนหลังนกอินทรีอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

    ในพาเลนเกอร์ ประเทศเม็กซิโก มีแบบลายที่น่าสนใจบนโลงหินในพีระมิดที่นักโบราณคดีชื่อ รุซ-ลิลเลียร์ ได้ค้นพบ ลายดังกล่าวเป็นแบบมายา แสดงภาพคนกำลังนั่งในเครื่องยนต์คล้ายจรวด ท่าทางเหน็ดเหนื่อยมาก เขาก้มไปข้างหน้า และมือวางบนคันบังคับ กรวยจรวดนั้นประกอบด้วยวัตถุน่ามหัศจรรย์จำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกลไกนั้น หลังจากวิเคราะห์รหัสจำนวนมหาศาล ทาเรดและมิลโลแห่งฝรั่งเศสก็สรุปได้ว่า นั่นเป็นแนวคิดของพวกมายา แสดงถึงนักบันอวกาศในอวกาศยาน

    ส่วนอักษรฮีโรกลิฟิกที่ขอบแผ่นหินนั้น หมายถึงพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวเหนือ ซึ่งมีส่วนช่วยในการตีความทางอวกาศ นอกจากนี้ยังมีวันที่สองวันบนหลุมศพ นั้นคือ ค.ศ.606 และ ค.ศ.633 ทำให้ดูคลุมเครือ อย่างไรก็ตาม หากนักบวชท่านนี้ฝั่งอยู่ในหลุม ก็ไม่เป็นเพียงนักบวชนักบินอวกาศเท่านั้น หากยังเป็นผู้รักษาเรื่องเล่าของอเมริกากลางเกี่ยวกับเทพเจ้าในอวกาศด้วย ดังนั้นภาพประดับนี้จึงอาจจะเป็นที่ระลึกของการเดินทางในอวกาศก็ได้

    เรื่องเล่าเกี่ยวกับอากาศยานในสมัยโบราณ อาจจะสะท้อนอะไรบางอย่างจากการบินและการบินอวกาศในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อนักแอตแลนติสวิทยาบางท่านเชื่อมั่นว่ามีอารยธรรมขั้นสูงก่อนยุคน้ำท่วม คำอธิบายนี้ก็อาจไม่ไกลเกินจริงนัก <CENTER>แอนดรูว์ โทมัส เขียน

    ธวัชชัย ดุลยสุจริต แปล


    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.wattana.prohosts.org/atta...tis/atlan8.php<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...