ไม่รู้ว่ามีใครเห็น Planet X หรือยัง?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 21.12.2012=11, 17 สิงหาคม 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระเจ้าลงมาเดินในหมู่มนุษย์


    บุรุษกึ่งเทวะ และประวัติศาสตร์

    ในเรื่อง เมตามอร์โฟซิส ของโอวิด กวีโรมัน กล่าววาเมื่อโคลนจากน้ำท่วมโลกแห้งลง โลกจะมีรูปชีวิตแปลกใหม่ แม้ว่ารูปชีวิตเก่าจะรอดเหลืออยู่บ้างก็ตาม

    เพลโตบันทึกเรื่องเล่าของนักบวชอียิปต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในอดีตมีภัยพิบัติชนิดทำลายล้างอยู่หลายครั้ง นักพรตแห่งลุ่มน้ำไนล์ชี้ว่า เมื่อคนหลายชั่วอายุจากผู้รอดเหลือถึงแก่กรรมลง โดยไม่มีการเขียนบ่งบอกฐานะของตนเอง ความทรงจำเรื่องน้ำท่วมเหล่านี้ก็สูญไป

    เนื่องจากการมองความหายนะของแอตแลนติสจะเห็นว่า เวลาผ่านหลายศตวรรษ การระเบิดของภูเขาไฟจึงสิ้นสุดลง เมื่อแผ่นดินมีคลื่นชะล้าง แห้งพอจะปลูกพืชพันธุ์ได้ ก็ไม่มีสัตว์หรือมนุษย์ดำรงอยู่แล้ว ผู้เหลือรอดชาวแอตแลนติสกระจัดกระจายไปทั่วโลก ศูนย์กลางของวัฒนธรรมและองค์ประกอบของอายธรรมก็สูญสิ้น เนื่องจากไม่มีการเขียนในสภาพแร้นแค้นจากภัยพิบัตินั้น เรื่องเล่าถึงจักวรรดิอันมั่งคั่งที่ถูกทำลายด้วยไฟและน้ำ ก็ส่งผ่านไปปากต่อปาก ต่อมาก็กลายเป็นกำเนิดของเรื่องปรัมปราทั้งปวง เมื่อส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป ข้อเท็จจริงบางเรื่องก็ถูกบิดเบือน หรือลืมไป จึงมีเพียงแต่การค้นพบศิลปะการเขียนที่บันทึกตำนานไว้อย่างถาวรบนแผ่นจารึกหรือปาปิรัส

    [​IMG]

    รูปศิลาจากเมซคาลา ทางใต้ของเม็กซิโก รูปนี้สูง 8 นิ้ว
    สลักภาพที่แตกต่างไปจากภาพอื่น ๆ ในพื้นที่เดียวกัน


    เรื่องพื้นบ้านทำให้ตัวตนผู้ล้ำเลิศเป็นอมตะ ตัวตนดังกล่าวเป็นผู้ให้อารยธรรมแก่มนุษยชาติหลังยุคน้ำท่วม ผู้ให้ความสว่างแห่งวัฒนธรรมเหล่านี้ได้ปลูกฝังเรื่องการบูชาพระอาทิตย์ พวกเขากลายเป็นผู้ปกครองคนสำคัญที่สั่งสอนดาราศาสตร์ เกษตรกรรม สถาปัตยกรรม การแพทย์ และศาสนา แผ่นดินเหนียวจารึกของบาบิโลนกล่าวถึงตัวตนที่ลงมาจากท้องฟ้าว่า “เมื่อน้ำท่วมมาถึง และหลังจากน้ำท่วมแล้ว พระเจ้าเหนือหัวก็เสด็จลงมาจากสวรรค์อีกครั้ง”

    พงศาวดารของซูเมอร์ ให้รายพระนามกษัตริย์ของตน ผู้ปกครองหลังสมัยน้ำท่วม แต่นักประวัติศาสตร์ไม่ศรัทธารายชื่อเหล่านี้ เพราะประกอบไปด้วยผู้ปกครองจำนวนมากทีมีเครื่องหมายว่าเป็นเทพหรือกึ่งเทพ นอกจากนี้ช่วงเวลายังครอบคลุมกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์แรกหลังน้ำท่วม อันบ่งชี้ว่าเป็นเวลา 24,150 ปี ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อสำหรับนักโบราณคดี

    แม้เวลาจะผ่านมาถึงศตวรรษที่ยี่สิบ ทางโบราณคดีไม่มีเอกสารใดจะพิสูน์การมีอยู่ของกษัตริย์ในบาบิโลนที่เก่าไปกว่าราชวงศ์ที่แปด ต่อมา เซอร์ เลียวนาร์ด วูลลีย์ ได้ค้นพบอารามโบราณแห่งหนึ่ง สร้างอุทิศแก่เทวีนินคาร์ซัก วิหารนี้อยู่ที่ภูเขาอัลอูไบด์ ใกล้กับนครอูร์ ในบรรดาโบราณวัตถุที่พบก็คือ ลูกปัดทองคำ ที่มีชื่อ อะ-อันนี-ปัด-ดา ต่อมาก็มีการตรวจพบแท่นฐานจากจารึกคูนิฟอร์ม พบข้อความยืนยันการอุทิศอารามนี้ โดย อะ-อันนี-ปัด-ดา กษัตริย์แห่งอูร์ โอรสของ เมส-อันนี-ปัด-ดา กษัตริย์แห่งนครอูร์

    บัดนี้ เมส-อันนี-ปัด-ดา เป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ที่สามหลังจากน้ำท่วม ในรายพระนามผู้สืบราชสมบัติแห่งสุเมเรียน และนับแต่นั้น มีการพิจารณาว่า เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวในตำนานเท่านั้น เรื่องนี้แสดงถึงความไม่ฉลาดที่ละเลยต่อบันทึกบางชิ้น เช่น นิทาน เป็นต้น ในตัวอย่างนี้ เราเห็นจุดอ้างอิงอย่างชัดเจนถึงการเกิดน้ำท่วม และราชวงศ์ต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือมนุษยชาติในการฟื้นฟูสภาพ

    ยูโพเลมุส (ศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาล) กล่าวถึงนครบาบิโลนว่า เป็นหนึ้บุญคุณการสร้างแก่ผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติน้ำท่วมนั้น กษัตริย์แห่งซูเมอร์นั้น ถือกันว่าเป็นผู้สืบทอดของผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่ และจากนั้นพระเจ้าก็ส่งพระองค์ไปเพื่อกอบกู้เผ่าพงศ์มนุษย์ กษัตริย์ผู้ล้ำเลิศพระองค์แรกคือ ดันกิ โอรสของเทพเจ้านินซัน

    ราชบันฑิตวี.เอ. โอบรุตเชฟแห่งรัสเซีย เชื่อว่าผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วม ได้นำคบเพลิงแห่งความรู้แจ้งไปยังทวีปทั้งปวง ความคิดทางวิทยาศาสตร์สำนักนี้ ถือว่าอารยธรรมที่สูญไปก็คือวัฒนธรรมแม่แบบ

    ตัวตนผู้เป็นใหญ่ที่กอบกู้อารยธรรมมนุษยชาติ หลังจากสมัยแอตแลนติส มักถือเป็นพระเจ้าเสมอ ชาวอินคาได้รับการบูชาเสมือนโอราของเทพเจ้าพระอาทิตย์ และเช่นเดียวกับผู้ปกครองชาวอียิปต์โบราณ ฮีโรโดตัสเชื่อมั่นว่าอียิปต์ถูกปกครองโดยพระเจ้าผู้อาศัยอยู่กับมนุษย์ เขาบันทึกไว้ว่า ฮอรัส ผู้พิชิตไทฟอน เป็นพระเจ้าองค์สุดท้ายที่ประทับบนบัลลังก์อียิปต์

    เมื่อกอบกู้และรื้อฟื้นวัฒนธรรมแก่มนุษย์บนโลกแล้ว ผู้กู้วัฒนธรรมก็หายไป ไดโอนีซุส ทายาทแห่งโพไซดอน และเป็นกษัตริย์แห่งแอตแลนติสได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อสั่งสอนผู้คนที่ด้อยความรู้ในด้านเกษตรกรรม และจริยธรรม

    ทูริน ปาปิรัส เขียนไว้ว่า การสถาปนาราชวงศ์แห่งบุรุษกึ่งเทวะในอียิปต์ เกิดขึ้นเมื่อ 9,850 ปี ก่อนคริสตกาล

    ฌอง เบลลี นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส สมัยศตวรรณที่สิบแปด ได้ตั้งคำถามอย่างมีเหตุผลไว้ในงานชิ้นอมตะเกี่ยวกับประวัติดาราศาสตร์ว่า “ท้ายที่สุด ได้เกิดอะไรขึ้นกับรัชสมัยทั้งปวงของเทวะแห่งอินเดียและเพริส (เปอร์เซีย) หรือรัชสมัยในตำนานของจีน ซึ่งเทียนหวงหรือราชาแห่งสวรรค์ (ที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงจากตี้หวง หรือราชาแห่งโลก และเหยินหวง ราชาแห่งมนุษย์) ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์กับชาวอียิปต์และกรีก ในการลำดับราชวงศ์เทพ หรือกึ่งเทพ หรือมนุษย์”

    เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเจ้าและกึ่งพระเจ้านั้น มีอยู่ทั่วไปในขอบข่ายและช่วงอันยาวนานไร้ที่สุดของกาลเวลา แม้ว่ามักจะมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ควบคู่ไปกับความเชื่อเหล่านี้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความทรงจำของช่วงเวลาในอดีต เมื่อมนุษย์จากอารยธรรมยิ่งใหญ่ในกาลก่อนได้ชี้แนวทางแก่ลูกหลานของผู้รอดชีวิตจากเหตุน้ำท่วม
    แอนดรูว์ โทมัส เขียน

    ธวัชชัย ดุลยสุจริต แปล



     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข้อมูลบางส่วนจากงานเขียนคุณ sonic
    ปล. หากภาพประกอบไม่สามารถดูได้ ให้ไปเข้าเว็บ
    http://mythland.org/v3/index.php สมัครล๊อคอินก่อน
    เมื่อล๊อคอินได้แล้ว ก็ไปอ่านต้นฉบับที่เว็บ พร้อมรูปประกอบได้ทั้งหมดค่ะ

    Earth chroniclesจุดกำเนิดแห่งมนุษยชาติ นิบิรุ Planet X เรียบเรียงจากงานเขียนของ Sitchin


    Chapter Six: The 12th Planet

    ปัจจุบันแนวคิดที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากโพ้นพิภพเคยมาเยี่ยมเยือน โลกราหูของเราเมื่อนานมาแล้วนั้นค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกัน ถึงจะไม่เต็มร้อยนักแต่หลายฝ่ายก็เริ่มตั้งใจที่ฟัง ไม่เหมือนเมื่อก่อนครับ ขืนใครพูดเรื่องนี้ออกไปเป็นถูกมองว่าไม่บ้าก็เมาแหง(ผมโดนบ่อย) ต่างจากทุกวันนี้อยู่ค่อนข้างมาก ประการสำคัญก็คือ แนวคิดนี้ถูกขยายออกไปว่าเมื่อครั้งกระโน้นนั้น มนุษย์ต่างดาวจากโพ้นพิภพหาได้มาเยี่ยมเยือนโลกของเราแต่ประการเดียวไม่ หากแต่ยังช่วยกันรังสรรค์อารยธรรม สถาปนาบ้านเมือง เข้าแทรกแซงวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ แถมยังเล่นบทพระเจ้าในศาสนาของคนโบราณอีกหลายๆศาสนาด้วย

    ทั้งหมดทั้งเพมันมาจากความสงสัยอันไร้ที่สิ้นสุดของมนุษย์เรานี่ล่ะครับ สงสัยไปแม้กระทั่งว่าถ้าพระเจ้ามีจริงพระเจ้าคือใคร? ถ้าสวรรค์มีจริงสวรรค์ควรจะอยู่ที่ไหน?

    ...ชาวสุเมเรียนมิได้มีความสงสัยในการดำรงอยู่ของสวรรค์เลยครับ พวกเขามีความเชื่อว่าสวรรค์ของเทพเจ้านั้นมีจริง ตำนานของ การเยือนสวรรค์ก็มีบันทึกไว้อย่างที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อตอนก่อนๆนั่นแหละครับ ข้อสำคัญก็คือ พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินว่าบนสวรรค์(หรือโพ้นฟ้าขึ้นไป)นั้นมี อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ อาณาจักรอันเป็นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าโบราณเช่น Enki, Enlil และ Ninhursag เป็นต้น พวกเขาเรียกอาณาจักรดังกล่าวว่า Heavenly Abode บ้าง Pure Place บ้าง หรือ Primeval Abode ซึ่งอันหลังแปลว่าที่พำนักเมื่อครั้งบรรพกาล(ของเทพเจ้า)บ้าง อาณาจักรเหล่านี้แหละครับที่เทพเจ้าของพวกเขาเคยพำนักอาศัยก่อนจะเสด็จมา เยือนโลกเพื่อปกครองพวกเขาชาวสุเมเรียน



    ดาวน์โหลด (51.62 KB)
    8-6-2010 10:08



    เทพเจ้าโบราณเหล่านั้นไม่ได้จากมาแล้วมาเลย หากแต่ไปๆมาๆระหว่างโลกและที่พำนักของพวกเขา บิดรเทพ Anu เองก็ทรงมาเยือนโลกในลักษณะของการมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น เทวีอิชตาร์เคยขึ้นสวรรค์ไปเฝ้า Anu อย่างน้อยสองครา ถ้าคุณยังไม่ลืมเมืองนิปเปอร์อันเป็นนครของ Enlil ที่ผมเคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนต้น คุณคงพอเดาได้ว่าฐานะของ a bound-heaven-earth หรือ พันธะแห่งสวรรค์และโลกของนครนิปเปอร์นั้นหมายถึงอะไร นอกจากนี้เรายังผ่านเรื่องราวของมนุษย์อินทรีของเทพ Shamash การเดินทางของวีรบุรุษกิลกาเมชเพื่อค้นหาความเป็นอมตะกันมาแล้ว เรื่องราวเหล่านี้บอกพวกเราได้เป็นอย่างดีว่าคนโบราณในสมัยนั้นสามารถเดิน ทางไปมาระหว่างสวรรค์กับโลกได้ภายใต้อาณัติของเทพเจ้า เป็นการเดินทางประเภทไปกลับเสียด้วย ไม่ได้ไปแล้วไปลับแต่อย่างใด

    ลงไปๆมาๆกันได้บ่อยๆแบบนี้อาณาจักรแห่งสวรรค์ของเทพเจ้าโบราณของชาวสุเม เรียนก็ไม่น่าจะอยู่ไกลนัก และในความเป็นจริงคนโบราณพวกนี้ก็ระบุเอาไว้ว่าเทพเจ้าของพวกเขาไม่ได้อยู่ ห่างไกลประเภทคนละขั้วแกแล็กซี่เลย (ไม่เหมือนชาวอินคาที่ระบุว่าเทพของพวกเขามาจากกลุ่มดาวเพลเดียส) เทพของพวกเขามาจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งอยู่ในระบบสุริยะของพวกเรานี่แหละ



    ดาวน์โหลด (18.18 KB)
    14-6-2009 15:58



    นักโบราณคดีพบ ว่าชาวอัสสิเรียนมีความคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ของดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ไม่ใช่ น้อย สัญลักษณ์เหล่านี้ปรากฏอยู่ตามบันทึก งานเขียน ตลอดจนผนึกทางศาสนาที่กระจัดกระจายอยู่แทบจะทั่วอาณาจักร โดยเฉพาะภาพที่ชื่อว่า The Gateway of Anu นั้นแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า คนโบราณพวกนี้รู้จักดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์บริวารทั้งหลายเป็นอย่างดี

    ด้วยความเจริญอย่างเหลือเชื่อทางวัฒนธรรมของชนชาตินี้ นักโบราณคดีไม่แปลกใจอะไรเลยที่พวกเขาชาวสุเมเรียน จะมีความเจริญทางสาขาวิชาดาราศาสตร์ชนิด ที่เรียกว่ารู้จักระบบสุริยะของเราจนเขียนแผนผังได้ เพียงแต่รู้สึกตะหงิดใจอยู่นิดๆเท่านั้นเองว่า ดาวเคราะห์ที่อยู่เลยดาวเสาร์ออกไปเช่น ดาวยูเรนัส เนปจูน และพลูโตนั้น ชาวสุเมเรียนรู้จักพวกมันได้อย่างไรทั้งที่มนุษย์สมัยใหม่อย่างเราๆเพิ่งจะ ส่องกล้องค้นพบกันเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง

    ที่สำคัญที่สุดคือรูปอันเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขานั้น มีรูปสำคัญอยู่รูปหนึ่ง(ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ในกรุงเบอร์ลิน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์กำลังถูกโคจรรอบโดยดาวเคราะห์ บริวารจำนวน 11 ดวง!

    น่าแปลกนะครับ ปัจจุบันเราทราบกันดีอยู่ว่าระบบสุริยะของเราประกอบด้วยดวงอาทิตย์เป็นแกน กลาง มีดาวเคราะห์อันเป็นดาวบริวารโคจรล้อมรอบอยู่ 9 ดวงอันได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน แล้วก็ดาวพลูโต (ส่วนดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเซดนานั้น ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงหาข้อสรุปไม่ได้ว่า เจ้าดาวจิ๋วดวงนี้ควรจัดอยู่ในสารบบดาวเคราะห์หรือไม่ นักดาราศาสตร์บางคนให้ความเห็นว่าเซดนานั้นเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ยักษ์อีกดวงซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปด้วยซ้ำ ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่นี่ดูนะครับ)

    ชาวสุเมเรียนเอาดาวเคราะห์มาจากไหนครับตั้ง 11 ดวง?

    ความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณนั้นมีอยู่ว่า สวรรค์ประกอบไปด้วยดาวทั้งหมด 12 ดวง คือดวงอาทิตย์และดาวบริวารอีก 11 ดวง (พวกเขานับดวงจันทร์บริวารของโลกให้เป็น Planet หรือดาวเคราะห์ด้วย นิยามดาวเคราะห์ของชาวสุเมเรียนอาจจะต่างไปจากสาขาวิชาดาราศาสตร์ในปัจจุบัน ก็ได้นะครับ) เอ้า อย่าเพิ่งไปยึดติดกับความขัดแย้งของข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ที่พวกเราเรียน กันมาเลยครับ อย่างน้อยชนชาติโบราณนี้ก็ได้พิสูจน์ว่ามีอะไรดีๆไม่น้อยหน้ามนุษย์ในยุค ปัจจุบันเลยสักนิด ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าถัดจากดาวพลูโตออกไปยังมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่โคจร อยู่จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่พวกเรามองข้าม ที่สำคัญดาวเคราะห์ดวงนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรียนระบุว่าเป็นที่ พำนักของเหล่า Anunnaki เทพเจ้าผู้ลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนเสียด้วย แหม... อยู่ในระบบสุริยะเหมือนกันนี่เอง มิน่าล่ะจึงเดินทางไปๆมาๆระหว่างโลกและดาวดวงนั้นได้เป็นว่าเล่น หากนับจากดวงอาทิตย์ออกไปดาวเคราะห์ดวงนั้นจะอยู่ในอันดับที่ 12 ของดาวเคราะห์ทั้งหมด

    ดังนั้นชื่อชั่วคราวที่เราจะเรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นก็น่าจะเป็น The Twelfth Planet -- ดาวเคราะห์ดวงที่สิบสอง ถูกต้องไหมครับ?

    ความแม่นยำทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียน

    บอกกล่าวกันก่อน: ดาวยูเรนัสถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1781 เนปจูนในปี 1846 และพลูโตในปี 1930 ตามลำดับ

    ตั้งแต่กรีกยุคโบราณจนกระทั่งถึง ค.ศ. 1870 ผู้คนล้วนมีความเชื่อว่าบนท้องฟ้ามีดาวเคราะห์อยู่ 6 ดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ หรืออีกนัยหนึ่งระบบสุริยะของเราประกอบด้วยสมาชิก 7 ดวงอันได้แก่ ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดาวพุทธ, ดาวศุกร์, ดาวอังคาร, ดาวพฤหัส, และดาวเสาร์
    โลกไม่ถูกนับรวมอยู่ด้วยเพราะคนโบราณ(ชาวยุโรป)เค้าเชื่อกันว่าโลกคือ ศูนย์กลางของจักรวาล มีท้องฟ้าล้อมรอบโลกของเราเอาไว้ในลักษณะวงกลม โลกที่เราอยู่อาศัยนั้นถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในจักรวาลที่ถูกสร้างโดยพระ ผู้เป็นเจ้า เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงรักที่สุดคือมนุษย์นั่นเอง

    ตำราเรียนทางดาราศาสตร์พื้นฐานบอกกับเราว่านิโคลัส คอเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) เป็นผู้ค้นพบว่าแท้ที่จริงโลกของเราเป็นเพียงสมาชิกดวงหนึ่งของดาวเคราะห์ใน ระบที่เรียกว่า Heliocentric System หรือระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีของคอเปอร์นิคัสยังความโกรธเกรี้ยวให้แก่ศาสนจักรผู้เชื่อว่าโลกคือ ศูนย์กลางของจักรวาลเป็นอย่างมาก นิโคลัส คอเปอร์นิคัสมีโอกาสพิมพ์และเผยแพร่ทฤษฎีของเขาในปี 1543 อันเป็นเวลาที่เขานอนรอความตายอยู่บนเตียงนอน

    ความรู้และเทคโนโลยีหลายอย่างที่เรารู้จัก ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกค้นพบอีกครั้งเท่านั้น เป็นต้นว่ากรรมวิธีผลิตไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่ที่ เราเพิ่งรู้จักกันมาไม่กี่ร้อยปีนี้ เมื่อสามพันกว่าปีก่อนชาวแบกแดดเขามีไว้ใช้ชุบเครื่องทองกันแทบทั้งนั้น แนวคิดเรื่องระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางก็เช่นเดียวกันครับ นักวิชาการต่างประหลาดใจไปตามๆกันเพราะหลักฐานที่มีบอกกับพวกเขาว่า แนวคิดนี้เคยถูกเผยแพร่โดยนักดาราศาสตร์โบราณมาแล้วเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล, ค.ศ. 500 และศตวรรษที่ 15 ตามลำดับ



    ดาวน์โหลด (21.78 KB)
    แผนที่จักรวาลตามแบบฉบับของคอปเปอร์นิคัส ... ... ...
    14-6-2009 16:16



    แผนที่จักรวาลตามแบบฉบับของคอปเปอร์นิคัส


    ยิ่งไปกว่านั้นนักวิชาการรู้สึกประหลาดใจจนยากจะอธิบายว่า เหตุใดชาวกรีกในยุคหลัง(รวมทั้งชาวโรมันในเวลาต่อมา)จึงหันมาคล้อยตามแนวคิดเรื่องโลกแบน คุ้นกันอยู่ใช่ไหมครับกับคนโบราณที่เชื่อว่าโลกของเราแบนเหมือนแผ่นกระดาน ลอยอยู่เหนือแผ่นน้ำอันดำมืด ใต้โลกลงไปเป็นพิภพของความมืดมิดที่เรียกกันว่า The World of Hades ซึ่งแนวคิดนี้นับว่าถอยหลังลงคลองชัดๆเมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงที่ว่า บรรพบุรุษของพวกเขาค้นพบกันมานานนมว่าโลกของเรามีสันฐานกลมแป้นไม่ได้แบนราบ


    ฮิปปาร์คัสนักเขียนโบราณเคยเขียนเผยแพร่ผลงานของ เขาที่อยู่บนพื้นฐานของการศึกษาเอกสารโบราณ เขากล่าวว่าความรู้ที่เขานำมาประมวลในงานเขียนของเขานั้นถูกสั่งสมถ่ายทอดมา จากบรรพชนเป็นเวลานับพันๆปี เจ้าของผลงานเดิมเหล่านั้นฮิปปาร์คัสกล่าวถึงในลักษณะของผู้มีเครดิตในงาน ของเขา ซึ่งแต่ละคนล้วนอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมียทั้งสิ้น เป็นต้นว่า นักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลเนียนแห่งอีเร็ค, บอร์ซิปปา และบาบิโลน

    เจอร์มินัสแห่งเกาะโรดส์กล่าวถึงชาวคาลเดียนอันเป็นบรรพชนของชาวบาบิโลเนียน ว่า ค้นเหล่านี้ค้นพบและคำนวณวงโคจรของดวงจันทร์ได้ ส่วนนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกชื่อไดโอโดรัส ซิคูลัส เขียนเอาไว้ในเอกสารเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนคริสตกาลว่าชาวกรีกในสมัยนั้นได้ วิชาดาราศาสตร์มาจากเมโสโปเตเมีย เขากล่าวว่าคนเล่านั้นจัดลำดับและตั้งชื่อแก่ดาวเคราะห์บนท้องฟ้า กึ่งกลางของจักรวาลคือดวงอาทิตย์อันเปล่งรัศมีเจิดจ้า ดาวเคราะห์ที่ส่องแสงนวลบนท้องฟ้าล้วนเป็นลูกหลานที่อาศัยแสงสะท้อนจากดวง อาทิตย์ทั้งสิ้น

    มหัศจรรย์เหลือที่จะกล่าวจริงๆครับ คนโบราณรู้ข้อเท็จจริงว่าดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตนเองและต้องอาศัยแสง สะท้อนจากดาวฤกษ์ได้อย่างไร ในเมื่อนักวิชาการสมัยใหม่ของพวกเราเพิ่งจะค้นพบข้อเท็จจริงเมื่อไม่กี่ร้อย ปีมานี้ ห่างจากยุคสมัยของพวกเขาตั้งหลายพันปี



    ดาวน์โหลด (30.6 KB)
    14-6-2009 16:16



    Zodiac กับราศีทั้ง 12 อันเป็นสัญลักษณ์ของโกลด์เซ็นต์ เอ๊ย... กลุ่มดาวทั้ง 12 ตามความเชื่อของชาวกรีก (ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากชาวคาลเดียนอีกต่อหนึ่ง)

    พวกเราทุกคนรู้กันดีว่าพื้นทางวิชาดาราศาตร์ในปัจจุบันนั้นมาจากชาวกรีก โบราณ(ฟังแค่ชื่อดาวก็พอจะรู้ใช่ไหมครับ) แต่ทราบกันไหมว่าแหล่งความรู้ในสาขาวิชาดาราศาสตร์ของชาวกรีกนั้นมาจากชาว คาลเดีย ซึ่งชาวคาลเดียเองก็สะสมความรู้ดังกล่าวมาจากคนรุ่นก่อนอีกทีหนึ่ง จากยุคสู่ยุค จากรุ่นสู่รุ่นย้อนหลังเวลาขึ้นไปนับไปเป็นพันๆปี สำหรับชาวกรีกโบราณแล้วคาลเดียมีความหมายเดียวกับคำว่า Stargazer และ Astronomers ครับ

    ตำราประวัติศาสตร์บอกกับเราว่า ดาราศาสตร์พัฒนามาจากวิชาดูดาวและโหราศาสตร์ที่ใช้วิถีโคจรของดาวมาทำนายทาย ทักดวงชะตา จากนั้นด้วยกึ๋นอันแสนอัจฉริยะของนักวิชาการในยุโรป วิชาโหราศาสตร์จึงค่อยๆพัฒนามาเป็นดาราศาสตร์ยุคใหม่อย่างในปัจจุบัน ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วมันผิด!

    ในไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าเองก็กล่าวถึงข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ที่สั่งสมมาจากตะวันออกกลางแทบทั้งสิ้น เช่นเรื่องของจักรราศี กลุ่มดาว รวมถึงทางช้างเผือกเป็นต้น

    จะด้วยอะไรก็ตามแต่ ดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาปรากฏการณ์บนท้องฟ้าของคนโบราณกลับกลายมาเป็นวิชาโหราศาสตร์ที ละน้อยละน้อย คนโบราณเชื่อเรื่องของอิทธิพลของดวงดาวต่อชะตามนุษย์ก็จริงครับ แต่เชื่อในลักษณะของผลกระทบโดยรวมต่อสังคมหรือบุคคลสำคัญของสังคมเช่น กษัตริย์เท่านั้น วิถีโคจรหรือปรากฏการณ์บนท้องฟ้าบางอย่างอาจส่งผลต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว โรคระบาด หรือความเข้มแข็งของนครรัฐ ไม่ได้ส่งผลต่อบุคคลในลักษณะปัจเจกเช่นวิชาโหราศาสตร์ในยุคหลังเลย

    ระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางที่เราใช้กันในทุกวันนี้ เราอาศัยการขึ้นและตกของดวงดาวที่มองเห็นจากท้องฟ้าของโลก(โดยสัมพันธ์กับ ดวงอาทิตย์)เป็นมาตรวัด ทำนองเดียวกับที่ชาวเมโสโปเตเมียโบราณอย่างชาวคาลเดียนใช้สิ่งที่เรียกว่า Ephemerides เมื่อ ครั้งกระโน้น ชาวเมโสโปเตเมียเหล่านี้กล่าวว่า ความรู้ทุกอย่างในแขนงของดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ของพวกเขาได้รับการถ่ายทอด จากบรรพชน คุณคงไม่ถามผมหรอกนะครับว่าบรรพชนอันเป็นรากเหง้าของความรู้เหล่านี้เป็นใคร กันแน่

    A Radiant Celestial Body....

    พูดถึงปฏิทินทางดาราศาสตร์แล้ว ชนชาติที่มีชื่อเสียงด้านนี้เห็นจะหนีไม่พ้นชาวบาบิโลเนียนกับอัสสิเรียน ทว่าทั้งสองชาตินี้กลับไม่ได้เป็นผู้ค้นคิดวิธีการคำนวณตลอดจนกำหนด คุณสมบัติสำคัญของปฏิทินทางดาราศาสตร์เลยครับ ปฏิทินของพวกเขาเป็นที่ทราบกันดีว่าไปเอาแบบมาจากต้นกำเนิดซึ่งเป็นคนโบราณ ในดินแดนซูเมอร์ นักโบราณคดีหลายคนลงความเห็นว่า รูปแบบของปฏิทินเหล่านั้นถูกดัดแปลงมาจากหลักการสร้างปฏิทินแห่งนิป เปอร์(Nippur) โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่ใช้ในปฏิทินนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเอามาจากหลักการแบ่ง ท้องฟ้าออกเป็น 3 ฟากของชาวสุเมเรียน คือ way of Enlil, Enki และ way of Anu

    ...ทราบไหมครับว่าปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็มีรากฐานมาจากปฏิทินแห่งนิปเปอร์นี่แหละ

    พูดถึงความรู้ทางดาราศาสตร์ของสุเมเรียนโบราณกันสักนิด พวกเขามีศัพท์คำว่า DUB อันมีความหมายทางดาราศาสตร์ว่าเส้นรอบวง 360 องศาของโลก ซึ่งในสายตาของชาวสุเมเรียนมีความสัมพันธ์กับความโค้งของ สวรรค์(ท้องฟ้า)ซึ่งครอบคลุมโลกอยู่อย่างแน่นแฟ้น เพื่อความสะดวกในการคำนวณทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ พวกเขาลากเส้นสมมติที่เรียกว่า AN.UR เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เส้นดังกล่าวนี้เป็นเส้นแบ่งในแนวนอนครับส่วนแนวตั้งนั้นพวกเขามีเส้นที่ชื่อว่า NU.BU SAR.DAR อันมีจุดสำคัญที่สุดที่เรียกว่า AN.PA หรือ Middle lines of heaven

    ...ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าเจ้าเส้นชื่อประหลาดๆเหล่านี้ได้รับการ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และพวกเรารู้จักกันในนามของเส้นละติจูดและเมอร์เดียน



    ดาวน์โหลด (21.73 KB)
    The Seal of Sargon อันโด่งดัง
    14-6-2009 19:42



    The Seal of Sargon อันโด่งดัง


    นอกจากนี้พวกเขายังมีศัพท์เฉพาะที่ใช้สำหรับทำปฏิทินทางดาราศาสตร์อย่าง ละเอียดละออ ตัวอย่างเช่นพวกเขามีเส้นที่แสดงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกที่สุด ที่ชื่อ AN.BIL เป็นต้น ซึ่งหลักการ(รวมทั้งศัพท์)เหล่านี้มีให้เห็นเกลื่อนไปหมดในเอกสารโบราณของชน รุ่นหลังๆ เช่น อัคเคเดียน เฮอร์เรียน ฮิตไทต์ และชนชาติอื่นๆในแถบนั้น

    น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารบางอย่าง หลักฐานบางชิ้น ที่เรามีอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ฉบับที่เป็นออริจินอลของชาวสุเมเรียนโดยตรง แต่เป็นของชนชาติรุ่นหลัง(ที่ผมได้เอ่ยนามมาแล้ว)ซึ่งก็ไปเอามาจากต้นฉบับ ของชาวสุเมเรียนอีกต่อหนึ่ง เรื่องของการตกทอดเอกสารนี่ปัญหาใหญ่ของมันคือความคลาดเคลื่อนครับ โดยเฉพาะหากต้องมีการแปลจากภาษาต้นฉบับไปสู่อีกภาษาหนึ่ง คำ ความ และบริบทที่ถูกแปลไปมีสิทธิเพี้ยนเอาได้ง่ายๆ ซึ่งตรงนี้จะก่อให้เกิดปัญหากับผู้ศึกษาตีความเอามากๆ

    อย่างไรก็ตามแต่ เอกสารโบราณจำนวนกว่า 25,000 ชิ้น ที่ถูกค้นพบในตะวันออกกลางส่วนใหญ่กล่าวถึงหลักดาราศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ หลักการบางอย่างสอดคล้องต้องตรงกับวิชาดาราศาสตร์ของเราในปัจจุบัน แต่หลักการบางอย่างก็ไม่ตรง อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเกิดจากความผิดพลาดของคนโบราณหรือว่าเป็น เพราะศาสตร์ของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ยังไปไม่ถึงกันแน่

    หลักฐานชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเป็นเอกสารโบราณของชาวบาบิโลเนียนชื่อ The Day Of Lord ซึ่งถูกจัดทำในสมัยของพระเจ้าซาร์กอนแห่งอัคเคดเมื่อประมาณ 3 พันปีก่อนคริสตกาล ส่วนอีกชิ้นมาจากสมัยราชวงศ์ที่ 3 แห่งนครรัฐเออร์(Ur) เป็นเอกสารที่รวบรวมรายชื่อของกลุ่มดาวบนท้องฟ้าเอาไว้ เจ้าเอกสารสำคัญชิ้นนี้แหละครับที่ทำเอานักโบราณคดีปวดหัวเกือบตายกว่าจะแกะ ออกมาได้ว่า มันเป็นงานเขียนที่ว่าด้วยรายชื่อของกลุ่มดาวบนท้องฟ้า

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 19:43

    แนวแบ่งแห่งฟากฟ้า
    หลังจากศึกษาวิจัยร่วมกันมาอย่างยาวนาน สมาคมนักดาราศาสตร์โลกได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการแบ่งจุดสังเกตปรากฏการณ์ บนท้องฟ้า(เมื่อมองจากโลก)ในปี 1925 ออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆได้แก่ ท้องฟ้าทางทิศเหนือ ส่วนกลาง และทิศใต้ นอกจากนี้พวกเขายังได้แบ่งกลุ่มดาวออกเป็น 88 กลุ่มตามเซ็นต์ของอาธีนาทั้ง 88 คน เอ๊ย... เพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตและจดจำ

    มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเราแต่ไม่ใหม่เลยสำหรับชาวสุเมเรียนเมื่อค่อน หมื่นกว่าปีก่อน พวกเขาแบ่งสวรรค์(ท้องฟ้า)ออกเป็น 3 เส้นหรือ 3 วิถี(ways)

    วิถีด้านเหนือถูกตั้งชื่อตามเทพ Enlil, ด้านใต้เป็นของ Enki ส่วนวิถีที่อยู่ตรงกลางถูกตั้งตามชื่อของบิดรเทพ Anu นอกจากนั้นชาวสุเมเรียนยังรู้จักที่จะแบ่งดาวบนท้องฟ้าออกเป็นกลุ่มดาว ซึ่งใน The Way of Anu นั้นชาวสุเมเรียนเขาแบ่งกลุ่มดาวออกเป็น Zodiac หรือจักรราศีทั้งหมด 12 ราศีแบบเดียวกับที่พวกเราแบ่งในปัจจุบันเด๊ะ

    หลักการก็คือ พวกเขาแบ่งวงโคจรรอบดวงอาทิตย์(ของโลก)ออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆกัน แต่ละส่วนมี 30 ดีกรีจาก 360 องศาของวงโคจร ดวงดาวที่ปรากฏแก่สายตาในแต่ละส่วนแบ่งนั้นจะถูกนำมาจัดเป็นหมู่ดาว พร้อมตั้งชื่อให้กับหมู่ดาวเหล่านั้นตามรูปทรงที่คนโบราณอย่างพวกเขาจะมอง เห็นเป็นอะไร



    ดาวน์โหลด (36.97 KB)
    8-6-2010 10:10



    Zodiac Sign ในแบบฉบับของชาวสุเมเรียน


    คำว่าจักรราศีนั้นเรามาจากคำว่า Zodiac อันมาจากคำภาษากรีกว่า ZodiakosKyklos หรือ Animal Circle รูปลักษณ์ของกลุ่มดาวจะถูกแทนที่ด้วยสัตว์เช่น สิงโต ปลา หรืออื่นๆที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทราบกันไหมครับว่า Zodiac ของชาวกรีกนั้นเอามาจากพื้นฐานทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ พวกเขาเรียกมันว่า UL.HE หรือ The Shiny Herd ครับ และนี่คือรายชื่อของ Zodiac ในภาษาสุเมเรียนครับ

    1. GU.AN.NA (Heavenly Bull) Taurus
    2. MASH.TAB.BA (Twins) or Gemini
    3. DUB (Pinchers or Tongs) the crab, or Cancer
    4. UR.GULA (Lion) Leo
    5. AB.SIN (Her father was Sin), the maiden, Virgo
    6. ZI.BA.AN.NA (Heavenly fate), the scales of Libra
    7. GIR.TAB (Which claws and cuts), Scorpio
    8. PA.BIL (Defender), the Archer, Sagittarius
    9. SURHUR.MASH (Goat fish), Capricorn
    10. GU (Lord of Waters), the water bearer, Aquarius
    11. SIM.MAH (Fishes), Pisces
    12. KU.MAL (Field Dweller) the ram, Aries

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 19:55

    ว่าด้วยระบบสุริยะ

    ผ่านตากันไปแล้วนะครับกับจักรราศีของชาวสุเมเรียน คราวนี้ก็มาถึงหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งซึ่งยืนยันกับเราได้เป็นอย่างดี ว่า คนโบราณเหล่านี้รู้จักปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์พอๆกับที่พวกเรารู้จักกัน ชาวสุเมเรียนมีคำๆหนึ่งซึ่งใช้เรียกระบบสุริยะหรือ Solar System ของเราว่า MUL.MULผม คงไม่สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำด้วยการไล่รายละเอียดของระบบสุริยะให้คุณๆฟังกัน หรอกนะครับ ว่าระบบนี้ประกอบด้วยศูนย์กลางและดาวเคราะห์บริวารกี่ดวง ได้แก่ดาวอะไรบ้าง เพราะทุกๆคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว

    โครงสร้างระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยกับโครงสร้างที่พวกเรา รู้จัก ยกเว้นจำนวนของดาวเคราะห์บริวารซึ่งรายชื่อที่คนโบราณเหล่านี้ระบุไว้นั้น มันมากกว่าที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันบอกเราเอาไว้ ชาร์ลส์ ไวโรลีออด นักภาษาศาสตร์ได้ทำการแปลเอกสารโบราณอันอธิบายถึง MUL.MUL หรือ KAKABU / KUKKABU เอาไว้อย่างละเอียด แต่ส่วนที่น่าสนใจอยู่ที่สามบรรทัดสุดท้ายอันมีใจความว่า


    The number of its celestial bodies is 12.
    The stations of its celestial bodies 12.
    The complete months of the moon, is 12.


    เอาล่ะสิครับ ชนชาติที่เจริญด้วยวิทยาการซึ่งพวกเราได้ซึมทราบกันดีอย่างชาวสุเมเรียนนี้ ได้ให้หลักฐานชิ้นสำคัญไว้กับอนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเสียแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า MUL.MUL อันหมายถึงระบบสุริยะในแนวคิดของพวกเขานั้นประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง (ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่นๆ) ในบทแรกๆผมได้กล่าวถึงความสำคัญของหมายเลขสิบสองในสายตาของคนโบราณไปแล้ว ดังนั้นผมไม่ย้ำรายละเอียดเรื่องเลข 12 อีกแล้วนะครับ นอกจากจะเพิ่มเติมให้ว่าชาวสุเมเรียนโบราณถือว่ามหาจักร (The Great circle of Gods) ของพวกเขาประกอบไปด้วยเทพ 12 องค์ เทพอายุเยาว์จะเข้ามาแทนที่ในลำดับมหาจักรนี้ได้ก็ต่อเมื่อเทพอาวุโสที่เคย อยู่มาก่อนได้สิ้นชีพไปแล้วเท่านั้น



    ดาวน์โหลด (19.32 KB)
    14-6-2009 19:55



    ต่อเรื่องเลข 12 อีกหน่อยดีกว่า โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของอารยธรรมมนุษย์กับเลขดังกล่าวนี้นั้นปัจจุบันยัง ตกทอดมาสู่พวกเรา เช่น ในปีหนึ่งเรามี 12 เดือน, ในหนึ่งวันเรามี 2 คาบ คาบละ 12 ชั่วโมงอันเป็นการแบ่งกลางวันและกลางคืน

    ไม่ประหลาดใจกันหรือครับว่า เลขฐานที่พวกเราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นฐานสิบก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความเชื่อทางศาสนาแล้ว คนโบราณมักเลือกใช้เลข 12 เป็นหลัก เช่น การแบ่งส่วนสวรรค์ของชนชาติโบราณต่างๆมักลงตัวด้วยเลข 12, เทพโบราณของชาวกรีกก่อนหน้าราชวงศ์โอลิมปัสก็มีอยู่ 12 องค์, ชาวอิสราเอลโบราณ 12 เผ่า, ส่วนประกอบเกราะของ High Priest ของชาวอิสราเอลโบราณมีทั้งหมด 12 ชิ้นตามสัดส่วนแห่งสวรรค์, อัครสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู ฯลฯ

    ภาพแสดงระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนนั้น นอกจากดาวเคราะห์ดวงที่พวกเรารู้จักกันยังมีดาวเคราะห์ลึกลับอยู่อีกดวง หนึ่ง ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อันหมายถึงการส่องสว่างอย่างเจิดจ้า เป็นที่พำนักของ The Anunnaki เทพเจ้าที่เสด็จลงมาจากห้วงฟ้าของพวกเขา และเป็นสัญลักษณ์แทนบิดรเทพ Anu เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของชาวสุเมเรียนโบราณ

    ก็ประหลาดดีเหมือนกัน(ในสายตาของคนปัจจุบัน) ที่คนโบราณที่มีอารยธรรมย้อนหลังไปนับหมื่นปีเหล่านี้จะรู้เรื่องของระบบ สุริยะ รู้ว่ามีดาวเคราะห์อีกหลายดวงอยู่ถัดจากดาวเสาร์ออกไป ดาวเหล่านั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ถึงพวกเราเองก็เถอะครับ เราเพิ่งค้นพบดาวเหล่านี้โดยพึ่งอุปกรณ์อันทันสมัยและวิชาการคำนวณยุคใหม่มา เมื่อไม่นานนี้เอง หากหั่นทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศทิ้งไป เราคงได้แต่งุนงงสงสัยเพราะหาคำอธิบายในความรู้อันนี้ของคนโบราณไม่ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าทฤษฎีนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่พอสมควร นักวิชาการผู้ข้าม field มาศึกษาในสาขาวิชาแขนงนี้ก็ไม่ได้คิดกันไปเองอย่างเลื่อนลอย พวกเขาอาศัยคำยืนยันจากเอกสารโบราณหรือหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ทั้งนั้น

    โดยเฉพาะชาวสุเมเรียนโบราณที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า The Anunnaki (Nefilim ตามไบเบิล) เทพเจ้าของพวกเขานั้นเดินทางมาจากดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่ซึ่งอยู่โพ้นดาวเสาร์ ออกไป

    ดาวดวงนั้นมีชื่อว่า Marduk หรือ Nibiru ครับ...

    สงวนลิขสิทธิ์โดย © Mythland.org All Right Reserved.

    Chapter Seven: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    13-6-2009 20:57

    Enuma Elish

    เรื่องราวทั้งหลายเริ่มต้นจากการพยายามอ่านจารึกของชาวอัคเคเดียนที่มีอายุ ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล จารึกดังกล่าวปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Vorderasiatische Abteilung ในเบอร์ลินตะวันออก (ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนล่ะก็ลองถามหาแคตตาล็อกหมายเลข VA/243 จากภัณฑารักษ์เค้าดูนะครับ นายโซนิคเองคาดว่าคงไม่มีวาสนา) ตัวผนึก(Seal)มีรูปของวัตถุทรงกลม 11 ดวงรายล้อมทรงกลมดวงใหญ่ที่เปล่งรัศมีเจิดจ้า ภาพลักษณะนี้เป็นที่คุ้นตานักโบราณคดีเป็นอย่างดีครับ ว่ามันคือตัวแทนของระบบสุริยะตามความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณ...

    ...ระบบสุริยะที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง



    ดาวน์โหลด (24.85 KB)
    Some of The Seven Tablets of Creation
    13-6-2009 20:57



    Some of The Seven Tablets of Creation


    หนังสือชุด 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงมหากาพย์แห่งการสร้าง Enuma Elish ว่ามหากาพย์นี้หาใช่เทพตำนานตามที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเข้าใจไม่ หากแต่เป็นประวัติศาสตร์การ ก่อกำเนิดของโลกราหูใบนี้ซึ่งถูกเล่าเอาไว้ในรูปของเทพตำนาน ผู้ตีความต้องมีความเข้าใจทั้งในด้านโบราณคดีและวิทยาศาสตร์จึงจะจับจุดและ ตีความมันออกมาได้ (จริงไม่จริงพิจารณาเอานะครับ อย่าเผลอเป็นเนื้อชิ้นโตให้ผมตุ๋นเอาล่ะ ^^) มหากาพย์เรื่องนี้ซุกซ่อนความลับของดาวเคราะห์สีฟ้ากับบริวารที่มีนามว่าดวงจันทร์เอา ไว้อย่างมิดชิด ความลับที่กล่าวถึงการชนกันอย่างมโหฬารของดาวเคราะห์สองดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันในนามของโลกหรือ Planet Earth...

    ต่อไปนี้คือเนื้อหาที่ถอดความมาจาก Seven Tablets of Creation ของดินแดนเมโสโปเตเมีย ชื่อของมันได้มาจากคำขึ้นต้นคำแรกของเรื่องคือคำว่า Enuma Elish ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า When in the heights

    When in the heights…heaven had not been named…
    And below, firm ground (Earth) had not been called.
    เรื่องราวต่อจากนั้นของมหากาพย์ได้กล่าวถึงเทพเจ้าแห่ง สวรรค์ผู้ร่วมกันให้กำเนิดเทพองค์อื่นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จำนวนของเทพเจ้าบนท้องฟ้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทพรุ่นเยาว์เหล่านี้สร้างเสียงดังและความโกลาหลอยู่ไม่หยุดหย่อน ยังความรำคาญให้แก่บิดรเทพผู้ให้กำเนิดเป็นยิ่งนัก



    ดาวน์โหลด (11.01 KB)
    13-6-2009 20:57



    เนื้อหาในส่วนนี้กล่าวถึงกำเนิดของระบบสุริยะ ในความว่างเปล่าอันมหาไพศาลของห้วงอวกาศ เทพเจ้า(The Gods - The Planets)ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพเหล่านี้ถูกตั้งชื่อและกำหนดชะตากรรม (Destinies - อาจหมายถึงวงโคจร) ให้ดำรงอยู่เยี่ยงนั้นตลอดกาล น่าประหลาดใจมากครับที่ตำนานของชาวสุเมเรียนดันไปตรงกับข้อเท็จจริงทาง วิทยาศาสตร์ข้อหนึ่ง กล่าวคือในมหากาพย์อิลนูมา เอลลิช ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเทพเจ้า(หรือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ)ออกมาว่า เทพเจ้าถือกำเนิดจากละอองหมอก ซึ่งตรงกับทฤษฎีการกำเนิดดวงดาวที่ว่าดวงดาวในอวกาศเกิดจากการรวมตัวของ กลุ่มก๊าซที่ร้อนจัด ดาวเคราะห์บริวารในระบบใดๆจะมีวงโคจรรอบดาวแม่อยู่เช่นนั้นนิรันดร ซึ่งก็ตรงกันกับข้อความที่ว่าชะตากรรมและตำแหน่งของเทพเจ้าบนสวรรค์จะดำรง อยู่เช่นนั้นโดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

    ผู้มีบทบาทสำคัญในตอนต้นของ The Epic of Creation นี้ประกอบไปด้วย Apsu (ผู้ถือกำเนิดก่อน), MUM.MU (ผู้กำเนิดขึ้น), และ Tiamat (สตรีแห่งชีวิต)

    Apsu หมายถึงดวงอาทิตย์ และใกล้ๆตัวของ Apsu จะมีเทพนาม MUM.MU คอยสนองโองการอยู่ไม่ห่าง นอกจากนั้นยังทรงคอยทำหน้าที่คอยเป็นทูตส่งข่าวจาก Apsu ไปยังเทพองค์อื่นๆ คงพอจะเดาออกนะครับว่า MUM.MU หมายถึงดาวพุทธนั่นเอง ถ้าคุณยังจำเทพนิยายของกรีกและโรมันที่กล่าวถึงบทบาทของเทพ Mercury ได้ คุณก็คงพอจะนึกออกว่าแนวคิดเรื่องความไวและบทบาทของเทพแห่งการสื่อสารของ Mercury นี้ชาวกรีกโบราณเค้ารับการถ่ายทอดมาจากไหน

    ถัดออกไปก็เป็น Tiamat นางเป็นอสูรร้ายในตำนานที่ถูกเทพมาร์ดุค(Marduk)สับร่างกายขาดเป็นชิ้นๆใน เวลาต่อมา นางเป็นดวงดาวที่หายไปากสารบบดาวของชาวสุเมเรียน ถึงกระนั้นบทบาทของ Tiamat ก็นับว่ามีความสำคัญยิ่งครับ เพราะนางเป็นถึง 1 ใน 3 องค์ประกอบหลักของจักรวาล(ตาม ที่มหากาพย์กล่าวเอาไว้) เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของน้ำแห่งชีวิต(ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสรรพชีวิตบนโลก ถือกำเนิดมาจากน้ำ ซึ่งก็ตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ว่าชีวิตถือกำเนิดมาจากท้อง ทะเลอีก) และที่สำคัญคือเป็นต้นกำเนิดของเทพเจ้าคู่หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมา ณ ห้วงอวกาศที่อยู่ระหว่าง Apsu และ Tiamat

    Their waters were mingled together…
    Gods were formed in their midst:
    God "LAH.MU" and God "LAHA.MU" were brought forth,
    By name they were called....

    ชื่อของเทพเจ้าทั้งสองที่กำเนิดขึ้นมานั้นมาจากรากศัพท์คำว่า LHM (ผู้ก่อสงคราม) ถ้าเราพิจารณาดีๆแล้วจะเห็นว่า บทบาทของเทพแห่งสงความของคนโบราณถูกยกให้แก่เทพเจ้าชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ก่อสงครามฝ่ายชายได้แก่พระอังคารหรือ Mars อันนี้คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะแนวคิดเรื่องเทพเจ้าแห่งสงครามองค์นี้ตรง กันในหลายๆวัฒนธรรม ส่วนเทพฝ่ายหญิงนั้นคุณๆคงนึกถึงเทวีพัลลัสอาธีนาของกรีก ซึ่งผิดครับ เทพผู้ก่อสงครามของชาวเมโสโปเตเมียหมายถึงดาวศุกร์ (Venus) ซึ่งรับควบไปสองตำแหน่งคือเป็นทั้งเทวีแห่งความรักและสงคราม

    ในมหากาพย์เรียกเทพเจ้าหรือดวงดาวคู่นี้ว่า LAH.MU และ LAHA.MU อันเป็นชื่อของชายหญิงคู่หนึ่ง และหมายความถึงดาวอังคารและ ดาวศุกร์ตามลำดับ ซึ่งนอกจากจะให้ความหมายตรงตามตำนานเทพปกรณัมแล้ว ยังเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันว่าผู้ชายมาจากดาว อังคาร-ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์อีกด้วย

    สองสามย่อหน้าก่อนผมกล่าวถึงเทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ผู้อยู่ถัดจากดาวอังคารที่ ได้หายไปจากสารบบใช่ไหมครับ มหากาพย์นี้ทำให้เราฉุกคิดถึงข้อสันนิษฐานทางดาราศาสตร์ข้อ หนึ่งที่ว่า เคยมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอยู่ตรงนั้น และจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ดาวดวงนั้นได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆคงเหลือแต่แถบดาวเคราะห์น้อยหรือ Asteriods Belt อยู่บริเวณนั้น ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกันในข้อที่ว่า มหากาพย์โบราณเรื่องนี้ที่ดูเผินๆเหมือนนิทานนั้น กลับมีข้อเท็จจริงตรงกับทฤษฎีทางดาราศาสตร์หลายข้อในปัจจุบันอย่างที่สุด อืมห์... ก็คงจะบังเอิญนั่นแหละครับ เพียงแต่มันบังเอิญบ่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ฮ่า ฮ่า...

    Before they had grown in age,
    And in stature to an appointed size…
    God "AN.SHAR" and God "KI.SHAR" were formed,
    Surpassing them in size.
    As lengthened the days and multiplied the years,
    God "ANU" became their son….of his ancestors, a rival.
    The "AN.SHAR’S" first-born "ANU",
    As his equal and in his image begot "NU.DIM.MUD".

    มหากาพย์บอกกับเราต่อไปว่า ขณะที่ดาวอังคารและดาวศุกร์กำลังก่อตัวเพื่อที่จะเป็นดาวเคราะห์ขนาดจำกัด นั้น มีดาวอีกคู่หนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้น เป็นดาวที่มีความสำคัญทั้งขนาดและศักดิ์ศรีในระบบสุริยะ (และรวมไปถึงความสำคัญในฐานะประมุขแห่งเทพเจ้าในเทพปกรณัมของหลายๆวัฒนธรรม อีกด้วย) ดาวคู่นั้นมีนามว่า AN.SHAR (มกุฏราชกุมาร ผู้มีความสำคัญที่สุดแห่งสรวงสวรรค์) และ KI.SHAR (ผู้เกิดก่อนดินแดนใดๆ) ซึ่งเมื่อดูจากสัญรูปที่ปรากฏในจารึกแล้วเทพเจ้าคู่นี้หมายถึงดาวเสาร์และ ดาวพฤหัสอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

    เมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง เทพเจ้าอีกสามองค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพองค์แรกได้แก่ ANU เทพ ANU นี้มีขนาดเล็กกว่า AN.SHAR และ KI.SHAR แต่มีขนาดใหญ่กว่าเทพองค์แรกคือดาวพุทธ(หรือ MUM.MU) ถัดจากนั้น ANU ได้ให้กำเนิดดาวเคราะห์ซึ่งมีขนาดและรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับตนคือ NU.DIM.MUD หรือ EA/ENKI ที่ผมกล่าวถึงบทบาทของเทพองค์นี้ไปแล้วในบทแรกๆนั่นเอง

    ถ้าให้คุณเดาต่อว่าเทพ ANU กับ ENKI นี่หมายถึงดาวเคราะห์คู่ไหน คุณก็คงบอกผมได้ไม่ยากนะครับว่าคือดาวยูเรนัส (Uranus) กับดาวเนปจูน (Neptune) นั่นเอง (ของกล้วยๆใช่มะ ^^)



    ดาวน์โหลด (33.92 KB)
    13-6-2009 20:57



    แล้วถัดจากนั้นล่ะครับ ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจิ๋วที่เรารู้จักกันในนามของดาวพลูโต (Pluto) มหากาพย์ Enuma Elish ได้กล่าวถึงหรือไม่

    ไม่มีดาวพลูโตครับ... ตรงกับข้อถกเถียงกันในวงการดาราศาสตร์ปัจจุบันว่า ดาวเคราะห์สองดวงอันได้แก่พลูโตและเซดน่านั้นควรหรือไม่ที่จะจัดให้อยู่ใน สารบบดาวเคราะห์ในสุริยะจักรวาลของเรา (อันเนื่องมาจากขนาด พฤติกรรม และนิยามของคำว่าดาวเคราะห์ในทฤษฎีทางดาราศาสตร์นั่นแหละครับ) ถึงกระนั้นมหากาพย์เรื่องนี้ก็ยังมีบทของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งซึ่งมีนามว่า GA.GA ผู้ถือกำเนิดมาจากเทพ AN.SHAR หรือดาวเสาร์

    แผนผังจักรวาลของชาวสุเมเรียนโบราณได้ให้ขนาดและความสำคัญของ GA.GA ให้เทียบชั้นได้กับ MUM.MU หรือดาวพุทธ ซึ่งในทางดาราศาสตร์แล้วดาวทั้งสองดวงนี้มีอะไรที่ออกจะคล้ายๆกันอยู่ แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ว่า ถ้าคนโบราณใช้สัญลักษณ์ของ GA.GA แทนดาวพลูโตจริงๆแล้วล่ะก็ เหตุไฉนพวกเขาจึงเอาตำแหน่งของดาวดวงนี้ไปวางถัดจากดาวเสาร์ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันควรจะอยู่ถัดจากดาวเนปจูนล่ะครับ เป็นไปได้ไหมว่าเทพ GA.GA ของชาวสุเมเรียนมีความหมายแทนดวงจันทร์ดวงใดดวงหนึ่งของดาวเสาร์ ซึ่งจัดว่ามีความสำคัญจนถึงขั้นถูกยกให้เป็นเทพเจ้าในสารบบแห่งสวรรค์ของพวก เขาในทำนองเดียวกับดวงจันทร์ของโลก ที่ถูกนับให้เป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งไปด้วย

    เพื่อกันไม่ให้คุณสับสน เดี๋ยวเราจะมาไล่ลำดับของเทพเจ้าเปรียบเทียบกับลำดับของดาวเคราะห์ในระบบ สุริยะกันใหม่ เทพแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนที่เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้วได้แก่

    Sun-APSU
    Mercury-MUMMU
    Venus-LAHAMU
    Mars-LAHMU
    TIAMAT
    Jupiter-KISHAR
    Saturn-ANSHAR
    Pluto-GAGA
    Uranus-ANU
    Neptune-NUDIMMUD (EA)

    ไล่ดูนะครับว่ายังขาดดาวเคราะห์ดวงไหนในระบบสุริยะไปอีก เท่าที่ดูๆแล้วก็น่าจะครบน่ะนะครับ ปฐมสมาชิกแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนในยุคปฐมกำเนิดก็ดูจะมีเพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับแผนผังระบบสุริยะในปัจจุบันแล้วก็นับว่าเกือบครบ จะขาดไปก็เพียงแต่โลกของเราเท่านั้น...

    เฮ้ย! แล้วโลก(รวมไปถึงดวงจันทร์)ของเราล่ะครับไปอยู่ซะที่ไหน โลกของเราไม่ใช่สมาชิกในช่วงปฐมกำเนิดของระบบสุริยะหรอกรึ?

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    13-6-2009 21:12

    Earth an The Moon

    ตามตำนานของชาวสุเมเรียนกล่าวไว้ว่า โลกและดวงจันทร์อันเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยะ(ตามความเชื่อของพวก เขา)นั้นถูกสร้างขึ้นมาหลังสุดครับ แต่เป็นการสร้างที่ค่อนข้างน่าหวาดเสียวอยู่สักหน่อย คือสร้างการจากชนกันของดาวเคราะห์สองดวง

    ระบบสุริยะในช่วงนั้นขาดความเสถียรเป็นอย่างมาก เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)แต่ละองค์ตกอยู่ในความโกลาหล โดยเฉพาะเมื่อเทพเจ้าองค์ใหม่แห่งระบบปรากฏตัวขึ้น พลังอำนาจและแรงดึงดูดที่กระทำต่อกันของเทพเจ้าในแต่ละวงโคจรจึงเริ่มปั่น ป่วนเกินจะควบคุมได้ ความรุนแรงของเหตุการณ์นี้สร้างความตระหนกให้กับสุริยเทพ Apsu เป็นยิ่งนัก มากไปกว่านั้นบทหนักของการถูกรบกวนจากแรงดึงดูดล้วนไปตกอยู่ที่ Tiamat หนึ่งในเทพผู้สร้างดั้งเดิมทั้งสาม

    เพื่อไม่ให้สถานการณ์ร้ายแรงไปกว่านั้น เหล่าเทพจึงได้เรียกเทพองค์ใหม่มาสร้างความสันติให้บังเกิดแก่ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ผู้มีเทวานุภาพเป็นรองเพียงแต่สุริยเทพ Apsu เทพองค์นี้ก่อตัวขึ้นในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ตามปกติแล้วเทพองค์นี้มีชะตากรรม(หมายถึงวงโคจร)ที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่เมื่อระบบสุริยะเกิดความปั่นป่วนเสียสมดุลย์ เทพองค์นี้จึงถูกแรงดึงดูดดึงเข้ามายังระบบสุริยะ และตามตำนานกล่าวไว้ว่าเทพ(ดาวเคราะห์)ที่ส่งผลในการดึงเทพองค์ใหม่เข้ามา นี้คือดาวเนปจูน (NUDIMMUD) ถ้าคุณได้อ่าน Enuma Elish ฉบับการ์ตูนที่ผมเอาไปโพสต์ไว้ในเว็บบอร์ด คุณก็คงรู้แล้วนะครับว่านามของเทพองค์นี้ก็คือ Marduk หรือ Nibiru นั่นเอง

    In the Chamber of Fates, the place of Destinies…
    A God was engendered…..most able and wisest of the Gods…
    In the heart of the deep…..was "MARDUK" created…

    ด้วยการปรากฏกายจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น Marduk ยังอยู่ในฐานะของเทพที่เพิ่งกำเนิดใหม่ ทรงเพ่นความร้อนแรงจากเปลวไฟและรังสีไปรอบทิศ ตามตำนานกล่าวว่า อาภรณ์อันทรงรัศมีของ Marduk เกิดจากการประทานของเทพทั้งสิบแห่งระบบสุริยะ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าตรงนี้เป็นเรื่องของภาษาพาไปหรือว่าหมายถึงความ ปั่นป่วนของสนามแม่เหล็ก ที่ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้กระทำแก่กันในช่วงเกิดกลียุค แต่ผลสรุปก็คือ Marduk ถูกดึงเข้าสู่แกนกลางของระบบสุริยะอย่างช้าๆ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดหมายปลายทาง



    ดาวน์โหลด (22.02 KB)
    ภาพแสดงการเข้าสู่ระบบสุริยะของ Marduk/Nibiru ... ... ... ... ...
    13-6-2009 21:11



    ภาพแสดงการเข้าสู่ระบบสุริยะของ Marduk/Nibiru


    การเข้าสู่ระบบสุริยะของเทพองค์นี้นับว่าสร้างความครื้นเครงจนสวรรค์แทบถล่ม เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูน(NUDIMMUD) สนามแม่เหล็กระหว่างสองดาวเคราะห์ได้เกิดแรงกระทำระหว่างกันขึ้น ฤทธิ์ของเนปจูนทำให้ร่างของ Marduk ร้าวปูดออกมาแต่ก็ไม่ถึงกับหลุดแยกออกจากร่างกายหลัก แต่พอเฉียดเข้าใกล้ยูเรนัส (เทพบิดร Anu) เท่านั้นแหละครับ แผลที่เดิมที่เกิดก็ฉีกควากออกทันที ผลก็คือส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้ได้หลุดออกทั้งกระบิ และแยกตัวออกเป็นสี่ส่วนโคจรรอบดาวแม่ในลักษณะของดาวบริวารไปเลย

    ตามตำนานกล่าวว่า ANU/Uranus เป็นผู้บันดาลพลังให้กับ Marduk โดยเสกลมทั้งสี่ทิศห่อหุ้มเทพองค์ใหม่เอาไว้ ลมทั้งสี่ต่างพากันหมุนวนเป็นวงโคจรรอบกายของ Marduk อย่างรวดเร็วประหนึ่งวรกายของ Marduk สวมใส่อาภรณ์ที่ถักทอจากพายุหมุนอันบ้าคลั่ง

    เอาล่ะครับ เรามาไล่ลำดับที่ Marduk ทรงโคจรผ่านกันอีกทีหนึ่งดีกว่า เริ่มจาก Neptune/NUDIMMUD จากนั้นก็เป็น ANU/Uranus เป็นลำดับที่สอง มีข้อสังเกตจากตำนานอีกอย่างหนึ่งคือ Marduk ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ไปด้านซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกา หากแต่โคจรหมุนขวาตามเข็มซึ่งนับว่าพิศดารผิดจารีตของดาวเคราะหบริวาร์ทุก ดวง!

    ...อย่างเชื่องช้า Marduk โคจรผ่านสองยักษ์ใหญ่แห่งระบบสุริยะ ANSHAR/Saturn และ KISHAR/Jupiter ตามลำดับ และตรงดิ่งสู่แกนกลางของระบบเข้าไปเรื่อยๆ หากวิถีของเทพองค์นี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วล่ะก็ Marduk จะไปชนกับดาวเคราะห์ Tiamat อย่างไม่ต้องสงสัย



    ดาวน์โหลด (10.28 KB)
    TIAMAT และ KINGU
    13-6-2009 21:11



    TIAMAT และ KINGU


    การมาถึงของ Marduk สร้างความปั่นป่วนให้กับห้วงอวกาศรอบ Tiamat และดาวเคราะห์ชั้นในอีกสามดวงอันได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร แรงกระทำที่เกิดขึ้นรุนแรงราวกับจะฉีกห้วงอวกาศรายรอบออกเป็นชิ้นๆ Tiamat โดนรบกวนอย่างหนักและเริ่มเสียเสถียรภาพราวกับตกอยู่ในวังวนของพายุ

    ตามตำนานแล้ว Tiamat ป้องกันการโจมตีของ Marduk ด้วยการสร้างมอนสเตอร์จากชิ้นส่วนของตนเองจำนวน 11 ตน จากนั้นจึงบัญชาให้มอนสเตอร์เหล่านั้นเข้าโรมรันกับเทพองค์ใหม่ Marduk ระหว่างที่เทพทั้งสองโคจรเข้าใกล้กัน เปลวเพลิงอันโชติช่วงได้ลุกไหม้แผ่รังสีไปรอบอาณาบริเวณ ซึ่งตรงนี้นะครับ หากมองอย่างหนังวิทยาศาสตร์แล้วล่ะก็ มอนสเตอร์ที่ถูกสร้างจากร่างกายของ Tiamat ก็น่าจะหมายถึงดวงจันทร์บริวารหรือไม่ก็ชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ Tiamat ซึ่งแยกตัวออกจากดาวแม่เนื่องจากความรุนแรงของสนามแม่เหล็ก



    ดาวน์โหลด (18.38 KB)
    Tiamat เทวีผู้รับบทมังกรร้ายในเทพนิยายและอีกหลายๆเกมส ...
    13-6-2009 21:11



    Tiamat เทวีผู้รับบทมังกรร้ายในเทพนิยายและอีกหลายๆเกมส์ในยุคนี้


    ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ในบรรดาดวงจันทร์บริวารของ Tiamat นั้นมีอยู่ดวงหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า KINGU ซึ่งเจ้า Kingu นี้ตามตำนานกล่าวว่าเป็นเทพอีกองค์หนึ่งซึ่ง Tiamat ได้สร้างขึ้นจากร่างกายของนางเอง

    She exalted KINGU,
    In their midst, she made him great….
    The High command of the battle,
    She entrusted into his hand….

    ด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลที่ดาวเคราะห์สองดวงกระทำต่อกัน ดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ดวงนี้เลยเคลื่อนตัวเข้าหาดาวเคราะห์ Marduk อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้ ซึ่งนี่เป็นการเปลี่ยนฐานะของ KINGU จากเดิมที่เป็นเพียงดาวเคราะห์บริวารมาเป็น tablet of destinies แน่นอนครับว่าเหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ดวง อื่นๆในระบบ



    ดาวน์โหลด (8.48 KB)
    เทพ Marduk โปรดสังเกตสัญลักษณ์กางเขนของ planet of the Cross ... ... . ...
    13-6-2009 21:11



    เทพ Marduk โปรดสังเกตสัญลักษณ์กางเขนของ planet of the Cross


    เมื่อดาวเคราะห์ดวงใหม่(KINGU)ถือกำเนิดขึ้นในลำดับที่สี่ของระบบ ความเสถียรที่เคยมีอยู่เดิมก็เริ่มปั่นป่วนสิครับ เหล่าเทพเจ้าถกเถียงกันว่าใครกันที่ให้สิทธิ์แก่ TIAMAT ในการถือกำเนิดดาวเคราะห์ดวงใหม่แบบนี้ เทพ Neptune/NIMMUDUD รู้สึกร้อนใจเป็นกำลัง เลยตัดสินใจนำปัญหานี้ไปปรึกษากับ Saturn/ANSHAR รายละเอียดของการหารือนี้ไม่เป็นที่ปรากฏเนื่องจากแผ่นจารึกที่กล่าวถึงตอน นี้ชำรุดครับ เลยได้แต่เดาๆกันไปเองว่าทั้งคู่ปรึกษาอะไรกันบ้าง แต่ผลสรุปของการหารือในครั้งนี้ก็คือจะต้องมีใครทำอะไรซักอย่างกับ KINGU และ TIAMAT ม่ายอย่างนั้นระบบสุริยะมีปัญหาแน่

    ถ้าอ่านแล้วงงก็ทำใจหน่อยนะครับ เพราะบทนี้ผมจะพูดปนๆกันไประหว่างตำนานและการตีความ โดยจะสรุปเอา ไม่เล่าแบบการแปลบรรทัดต่อบรรทัด(ซึ่งแน่นอนว่าให้รายละเอียดที่ครบถ้วน มากกว่า แต่ผมไม่สะดวกเรื่องเวลาที่จะทำแบบนั้น ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ^^)

    ว่าแต่ใครกันล่ะที่จะยอมเผชิญหน้ากับ TIAMAT? แม้แต่บิดรเทพ Uranus/ANU เองก็ยังส่ายหัวไม่เอาด้วย พระองค์ให้เหตุผลว่า TIAMAT น่ะจะเข้าไปพบนางเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไปแล้วกลับไม่ได้นี่สิ...ที่เป็นปัญหา ก็เห็นจะจริงล่ะครับ ขืนพุ่งเข้าไปเป็นมีปัญหากับดวงอาทิตย์แน่ๆ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันล่ะ?

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 14:47

    Earth an The Moon

    เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูนและยูเรนัสไปและเข้าใกล้วงแหวนของ ANSHAR/Saturn (ถึงบอกไงว่ามันเป็นตำนานที่น่าทึ่ง เพราะต่อให้ตัดเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศออกไป คนโบราณเหล่านี้ก็ยังมหัศจรรย์อยู่ดีที่พวกเขารู้ว่าดาวเสาร์มีวงแหวน) ANSHAR/Saturn จึงปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันทีครับว่าจะจัดการกับ TIAMAT ซึ่งกำลังสร้างปัญหานี้อย่างไรดี กุญแจสำคัญของการนี้อยู่ที่ดาวเคราะห์ยักษ์ที่ชื่อ MARDUK/NIBIRU นี่แหละ

    ตามปกติแล้ว MARDUK กับ TIAMAT จะไม่มีวันจ๊ะเอ๋กันได้เลย เนื่องจากวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ของ Marduk นั้นกินรัศมีกว้างมาก กว้างกว่าดาวเคราะห์บริวารดวงใดๆในระบบสุริยะ ทว่าด้วยแผนของ ANSHAR/Saturn วงโคจรของ Marduk เลยเบี่ยงไปจากเดิมเล็กน้อย

    ผมเข้าใจว่าแผนดังกล่าวเป็นเพียงการต่อเติมของคนโบราณครับ เรื่องของเรื่องคือเมื่อสนามแม่เหล็กเกิดผันผวนวงโคจรของ Marduk ก็เลยเบี่ยงไปอย่างที่กล่าวไปแล้ว หลังจากผ่านดาวยูเรนัสกับเนปจูนมาได้ Marduk ก็มาเฉียดยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์(ANSHAR)เข้าให้ ยังผลให้ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ดวงหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง และหลุดออกไปเป็นดาวเคราะห์อิสระอีกดวงคือ Pluto/GAGA ในที่สุด

    ...แต่ตรงนี้ก็มีคนแย้งขึ้นมาเยอะเหมือนกันครับว่า Zecharia Sitchin ให้คำอธิบายการกำเนิดดาวพลูโตแบบตีขลุมเกินไป เพราะในแผนผังระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนโบราณนั้นไม่ได้ระบุถึงดาวพลูโต ณ ตำแหน่งปัจจุบันของมันเลยแม้แต่น้อย...


    เป็นไปได้ไหมว่า ชาวสุเมเรียนโบราณไม่ได้นับพลูโตเป็นดาวเคราะห์อย่างที่พวกเรานับกัน ว่ากันตามตรงนักดาราศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังเถียงกันอยู่เลยครับว่าพลูโต (รวมทั้งน้องใหม่อย่าเซดนา) ควรได้รับการนิยามว่าเป็นดาวเคราะห์หรือไม่ เนื่องจากในตอนค้นพบพลูโตนั้นวงการดาราศาสตร์กระหายอยู่แล้ว ที่จะค้นหาดาวบริวารดวงถัดๆไปของดวงอาทิตย์ อีกทั้งเลข 9 ก็เป้นเลขที่สวยงามตามความเชื่อของมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าพลูโตจะเข้าข่ายของดาวเคราะห์หรือไม่ พลูโตก็ไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธตำแหน่งบริวารหมายเลข 9 ของดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน

    ...และที่ Sitchin ตีความตำนานการกำเนิดของ Pluto ออกมาอย่างนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์(ในสมัยที่เขา เขียนหนังสือเล่มนี้) หรืออีกนัยหนึ่งพยายามหาดาวเคราะห์มาให้ครบ 9 ดวงเท่านั้นเอง แต่นี่เป้นเพียงข้อสันนิษฐานของนายโซนิคเท่านั้นนะครับ เท็จจริงอย่างไรไม่ขอยืนยัน



    ดาวน์โหลด (26.71 KB)
    การเผชิญหน้าระหว่าง Marduk กับ Tiamat
    14-6-2009 14:47



    การเผชิญหน้าระหว่าง Marduk กับ Tiamat


    โม้อยู่ตั้งนานมาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ...

    GAGA ชักนำเทพอื่นๆเพื่อกระตุ้นให้ Marduk เบี่ยงวงโคจร เทพทั้งหลายลงมติเห็นชอบและเชียร์ Marduk กันอย่างอื้ออึง เสียงตะโกนร้องดังกึกก้องไปทั่วระบบสุริยะ Marduk ผู้ถูกยกให้เป็นจอมราชันย์องค์ใหม่เริ่มเปลี่ยนเส้นทางเดิมของตน และมุ่งหน้าอย่างฮึกเหิมเพื่อปลิดชีพของ TIAMAT ผู้กำลังสร้างความปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างผนึกกำลังส่งแรงดึงดูดเพื่อกำหนดวงโคจรใหม่ของ Marduk วงโคจรที่จะสร้างความสะเทือนไปทั่วระบบสุริยะ เพราะปลายสุดของการเดินทางนั้นอยู่ที่การโรมรัน(หรืออีกนัยหนึ่งการชน)กับ อสูรร้าย TIAMAT!

    ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงเริ่มปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่กัน แรงดึงดูดอันมหาศาลที่กระทำต่อกันเริ่มแผ่เป็นตาข่ายมหึมา และทั้งคู่ก็เคลื่อนที่เข้าใกล้กันทีละน้อยละน้อย...

    ตำนานกล่าวเอาไว้ว่าอาวุธหลักที่ Marduk ใช้โรมรันกับ TIAMAT คือดาวบริวารของพระองค์อันเป็นสายลมทั้งสี่ที่ได้รับการประทานมาจาก Uranus/ANU คือ ลมใต้ ลมเหนือ ลมตะวันออกและ ลมตะวันตกตามลำดับ (คงหมายถึงชื่อของดวงจันทร์ ไม่ใช่สายลมจริงๆ) แถมตอนที่ Marduk โคจรผ่านยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์และดาวพฤหัสมานั้น Marduk ทรงได้รับอาวุธอันเปนดวงจันทร์เพิ่มมาอีกสามดวง ดวงจันทร์ทั้งสามที่กลายมาเป็นบริวารใหม่ของ Marduk อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดนั้นได้แก่ ลมร้าย ลมหมุน และลมไร้พ่าย(Matchless wind)



    ดาวน์โหลด (18.55 KB)
    14-6-2009 14:47



    เมื่อลมเหนือ(Northwind)ชน TIAMAT เข้า เทหวัตถุ 2 ชนิดก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
    หนึ่งคือโลก อีกหนึ่งคือ Asteroid Belt


    กล่าวโดยสรุป เมื่อระบบสุริยะเกิดไม่เสถียรขึ้นทำให้ดวงอาทิตย์และดาวบริวารทั้งเก้า ต้องเผชิญกับดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่ซึ่งมีวิถีการโคจรคล้ายดาวหาง ดาวดวงนี้มาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมุ่งหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ในตอนแรกดาวดวงนี้นี้โคจรผ่านดาวเนปจูน จากนั้นจึงเป็นดาวยูเรนัส ดาวเสาร์และดาวพฤหัส จากแรงกระทำต่างๆทำให้ดาวยักษ์ดวงนี้มีบริวารเพิ่มขึ้นมาอีก 7 ดวง และอย่างไม่มีทางเลือก ดาวยักษ์ดวงนี้ต้องชนกับดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า TIAMAT ซึ่งบังเอิญมาขวางวงโคจรของมันเข้า

    บังเอิญว่าดาวเคราะห์สองดวงนั้นไม่ได้ชนกันครับ (ถ้าชนจริง ป่านนี้ก็ไม่มีเราแล้วแหละ ^^) แม้ตำนานจะว่าอย่างนั้นแตในความเป็นจริงแล้วดวงจันทร์ของ Marduk ต่างหากครับที่ชน ไม่ใช่ตัวของ Marduk เองอย่างที่ตำนานกล่าวเอาไว้ การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของ Marduk และ TIAMAT ทำให้ตัวเธอปริแตกอย่างน่ากลัว เนื้อเรื่องส่วนนี้กลับมาตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ซึ่งผมจะกล่าวถึงใน ภายหลังครับ

    ตามปกติแล้ววงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์จะมีลักษณะเกือบเป็นวงกลม (ยกเว้นพลูโต) ส่วนวงโคจรของดาวหาง(ซึ่งก็เป็นบริวารของดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน)กับยืดออก ในลักษณะคล้ายวงรี ดาวหางเกือบทั้งหมดมีวงโคจรที่ยาวมากๆ จนหลายครั้งที่ดาวหางเหล่านั้นจะโคจรผ่านจุดที่เราไม่อาจสังเกตเห็นได้นับ ร้อยนับพันปี จนกว่ามันจะโคจรกลับเข้ามาเฉียดโลกอีกครั้ง

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 14:47

    The Comets...


    ดาวน์โหลด (11.88 KB)
    14-6-2009 14:47



    อย่างที่กล่าวไปแล้วนะครับว่าดาวเคราะห์ทุกดวงยกเว้นพลูโตนั้น มีวงโคจรในลักษณะเดียวกันและเกือบอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งสิ้น แต่ดาวหางกลับมีระนาบการโคจรที่แตกต่างกันไปในแต่ละดวง ที่น่าสังเกตก็คือ ในขณะที่ดาวเคราะห์โคจรเป็นวงกลมรอบดวงอาทิตย์ในทิศทวนเข็มนาฬิกา ดาวหางกลับโคจรในทิศทางที่สวนกับดาวเคราะห์ ทั้งที่มันก็โคจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนๆกัน คำถามก็คือทำไม

    นักดาราศาสตร์บางท่านตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีพลังงานบางอย่าง หรืออุบัติกาลอันรุนแรงบางประการที่สร้างดาวหางเหล่านี้ขึ้น และเหวี่ยงมันเข้าสู่วงโคจรอันแปลกประหลาดนี้ เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นกำเนิดของดาวหางบริวารผู้งดงามแห่งระบบสุริยะนั้นคือ Marduk

    มันก็เป็นไปได้เหมือนกันนะครับ เพราะพี่แกโคจรแบบสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ด้วยขนาดอันมหึมาและแรงดึงดูดอันมหาศาล เมื่อผ่านบริเวณใด Marduk กว่ากวาดเทหวัตถุใหญ่น้อยตามรายทางเสียราบเรียบ จนกระทั่งร้าวและแตกออกเมื่อชนกับ TIAMAT เข้า เศษชิ้นส่วนจาก Marduk จึงกลายมาเป็นดาวหาง แรงกระทำของ Marduk ยังคงมีผลกับเศษดาวเหล่านี้ ทำให้วงโคจรของพวกมันแปลกประหลาดไปจากดาวเคราะห์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน นี่แหละครับ

    ตำนานกล่าวต่อไปว่าหลังจากการต่อสู้จบลง Marduk ได้กลายเป็นเทพเหนือเทพ และคงสถิตย์อยู่บนสวรรค์ตราบนานเท่านาน ซึ่งเราพอจะอนุมานได้ว่า Marduk/Nibiru ชนะศึก TIAMAT แต่พ่ายต่อแรงดึงดูดของ APSU หรือดวงอาทิตย์ ทำให้ Marduk ต้องแปรสภาพจากดาวจรมาเป็นบริวารของดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง และยังคงโคจรรอบดวงอาทิตย์มาจนถึงทุกวันนี้

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:08

    ข้อมูลจาก Genesis

    หลังจากปราบ TIAMAT ลงได้ เทพ Marduk ก็ได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์... อวกาศชั้นนอก โคจรรอบ APSU หรือดวงอาทิตย์ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นอุบัติเหตุทางแรงดึงดูดโดยแท้

    หลังจากปรากฏการณ์อันสะเทือนจักรวาลนี้มีอะไรต่อ? ท่านที่คุ้นเคยกับ Epic of Creation ก็คงจะตอบได้นะครับ ว่าเป็นตำนานการสร้างโลกของ Marduk เช่นการสร้างมนุษย์ สัตว์ และสรรพสิ่งตามสไตล์ Mythology โบราณเขาล่ะ ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้หลายคนได้เค้าเงื่อนสำคัญ เพราะถ้าว่าถึงตำนานแห่งการสร้างแล้ว คงไม่มีตำนานไหนตรึงใจและได้รายละเอียดเท่ากับบทบาทการสร้างโลกของพระยะโฮวา ในบท Genesis ของไบเบิล

    ปัจจุบันนักวิชาการหลายคนยอมรับแล้วครับว่า Genesis มีส่วนคล้ายคลึงกับตำนานการสร้างของชาวสุเมเรียนอยู่ไม่น้อย และเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงใครเอามาจากใคร ฮีบรูว์หรือสุเมเรียน เพราะถ้านับอายุแล้วสุเมเรียนเก่ากว่าเห็นๆ ประเด็นนี้เอาไว้ถกกันทีหลังเถิดครับ ทราบกันแต่ว่า หลังจาก Enuma Elish จบลง Genesis ก็เข้ามาสานต่อเรื่องราวได้พอดิบพอดีราวกับเป็นภาคต่อกันยังไงยังงั้นเลย ^^

    ตำนานกล่าวต่อไปว่า ชิ้นส่วนของ TIAMAT ได้กลายมาเป็นโลกที่เราอยู่อาศัยในปัจจุบัน นั่นหมายถึงแรงปะทะระหว่างดาวเคราะห์ทั้งสอง Marduk - TIAMAT (จริงๆแล้วที่ชนคือดวงจันทร์ของ Marduk นามว่า North Wind) ทำให้ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของ TIAMAT ส่วนหนึ่งถูกผลักเข้าไปยังวงโคจรซึ่งไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดโคจรอยู่ในตอนนั้น และในที่สุดก็กลายมาเป็นดาวเคราะห์บิดๆเบี้ยวนามว่าโลกดังปัจจุบัน ดังที่ตำนานว่าไว้ว่า "destined to become the Earth"…



    ดาวน์โหลด (13.39 KB)
    14-6-2009 15:08



    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:08

    กำเนิดของ Asteroid Belt

    การชนของ Marduk ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์อื่นๆอีก ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นรอบที่สองนั้น Marduk เป็นฝ่ายชนเศษส่วนที่เหลือของ TIAMAT ด้วยตนเอง ชิ้นส่วนเหล่านั้นกระจัดกระจายกลายมาเป็นกำไลอันสวยงามแห่งสรวงสวรรค์ กำลังดังกล่าวทำหน้าที่เป็นฉากกั้นกลางระหว่างหมู่เทพเจ้าที่อยู่ชั้นในและ ชั้นนอกของสรวงสวรรค์...

    ...กำไลสวรรค์ตามตำนานจะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ Asteroid Belt หรือกลุ่มดาวเคราะห์น้อยในปัจจุบัน (เคยมีนักวิทยาศาสตร์บางท่านตั้งสมมติฐานว่า ต้นกำเนิดของดาวเคราะห์น้อยเหล่านั้นน่าจะมาจากการระเบิดของดาวเคราะห์บาง ดวง ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อมันเอาไว้สวยหรูว่าเฟอีธอน สมมติฐานดังกล่าวใกล้เคียงกับเรื่องเล่าเก่าเก็บของเมโสโปเตเมียเมื่อเกือบ หมื่นปีก่อนมากๆ รายละเอียดอ่านได้จากลิงค์นี้ครับ http://www.thai.net/myth/mytpln/mytpln_1.htm)

    ไม่ว่าคุณจะเลือกเชื่อนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันหรือตำนานของคนโบราณ (หรือไม่เชื่อฝ่ายใดเลย รับฟังเฉยๆอย่างผม ^^) ข้อสรุปที่พ้องต้องตรงกันก็คือ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่แบ่งดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เราเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นในได้แก่ ดาวพุทธ, ดาวศุกร์, โลกกับดวงจันทร์ และดาวอังคาร ส่วนกลุ่มที่สองเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นนอกซึ่งนับจากดาวพฤหัสเป็นต้นไป ดาวเคราะห์ทั้งสองกลุ่มถูกกั้นด้วยฉากตามธรรมชาติที่ชาวเมโสโปเตเมียโบราณ เรียกว่ากำไลสวรรค์ ในขณะที่พวกเราปัจจุบันรู้จักมันในนามของ Asteroid Belt ครับ



    ดาวน์โหลด (19.01 KB)
    กำไลแห่งสวรรค์ Asteroid Belt ที่เป็นเส้นกั้นระหว่างดาวเคร ...
    14-6-2009 15:08



    กำไลแห่งสวรรค์ Asteroid Belt ที่เป็นเส้นกั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในและชั้นนอก


    จากมหากาพย์โบราณนี้ทำให้เราได้แนวทางของปริศนาหลายอย่าง ที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังขบไม่แตก ผมบอกว่าแนวทางนะครับ ไม่ใช่คำตอบ หึ หึ...

    เริ่มจากทฤษฎีที่ว่าเคยมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกัน ดาวเคราะห์ดวงนี้หายไปจากระบบสุริยะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ต่อมาก็เป็นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของดาวเคราะห์พลูโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากแรงดึงดูดของอะไรบางอย่าง (ส่วนจะเป็นอะไรนั้นปัจจุบันเรายังไม่ทราบ ที่แน่ๆไม่ใช่เซดนาครับ) ปริศนาอีกประการคือกำเนิดของแถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt) และข้อสุดท้ายซึ่งเป็นข้อที่เกี่ยวกับพวกเราทุกคนโดยตรง กำเนิดของโลกและดวงจันทร์

    สำหรับบุตรชายคุณนายช่างฝันทั้งหลายคงหาคำตอบได้ไม่ยากจาก Epic of Creation ที่ผมเล่ามา และมากไปกว่านั้น คุณอาจจะได้คำตอบที่ว่าทำไมสันฐานของโลกเราจึงไม่กลมดิกอย่างที่ควรเป็น หากแต่มีทวีปสูงต่ำอยู่ที่ซีกหนึ่ง ส่วนซีกตรงข้าม(มหาสมุทรแปซิฟิก)กลับแหว่งเว้าเป็นหลุมมหึมา คำถามนี้ย้อนให้เรากลับไปพิจารณาถึงตำนานที่เกี่ยวกับน้ำของอสูรร้าย TIAMAT อีกครั้ง อสูรร้ายนางถูกคนโบราณเรียกว่า Watery Monster ครับ ดังนั้นเราไม่ต้องสงสัยอะไรเลยว่าน้ำบนโลกของเรา(ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่แตกออก มาจาก TIAMAT)นั้นมาจากไหน

    นักวิชาการในปัจจุบันมักเรียกโลกของเราว่า Planet Ocean เนื่องจากโลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีมหาสมุทรอันเป็นต้น กำเนิดแห่งชีวิต(เท่าที่ทราบในปัจจุบัน) แต่ก็มีหลายกระแสสันนิษฐานว่าดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ชั้นนอกบางดวง เช่น ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนก็อาจมีมหาสมุทรอยู่ด้วยเช่นกัน ข้อสันนิษฐานนี้คงกระจ่างในเร็ววันนี้แหละครับ ^^

    ย้อนกลับมาที่ไบเบิลกันสักนิด มีศัพท์คำหนึ่งใน Genesis ที่น่าสนใจคือคำว่า Tehom(watery deep) ซึ่งดูแล้วน่าจะแผลงมาากคำว่า TIAMAT ครับ และ Tehom-Raba ในไบเบิลก็แปลว่า Great TIAMAT อีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรใช่ไหมล่ะครับ ถ้าเรายังยึดสมมติฐานเดิมของเราอยู่ว่า เนื้อหาในไบเบิลฉบับ Old testament นั้นส่วนหนึ่งมาจากตำนานของชาวสุเมเรียนโบราณ

    ลองมาดูตรงนี้อีกนิด กับตำนานที่กล่าวถึงรายละเอียดการสร้างโลกของ the Lord เช่น สายลมของพระองค์ที่พัดครอบคลุม Tehom เอาไว้ สายฟ้าของพระองค์ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของจักรวาล (และผ่า TIAMAT ออกเป็นส่วนๆในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียน) สายฟ้านี้ก่อให้เกิดโลกและ Rakia (แปลว่ากำไลที่ถูกสร้างขึ้นจากฆ้อนยักษ์) แถบแห่งสวรรค์... แต่ความหมายของไบเบิลฉบับแปลกลับหมายความถึงท้องฟ้าทั้งหมดครับ ไม่เหมือนฉบับของสุเมเรียนที่ชี้ชัดลงไปเลยว่า แถบแห่งสวรรค์หรือกำไลที่ถุกสร้างขึ้นนั้น อยู่ตรงจุดที่เป็น Asteroid Belt ในปัจจุบัน

    หลังจากที่ลมหนือของ Marduk พัดเอาโลกไปอยู่ในตำแหน่งของมัน โลกก็เริ่มโคจรรอบดวงอาทิตย์ก่อให้เกิดฤดูกาลขึ้น เมื่อแกนของโลกเริ่มหมุนเวลาอันเป็นกลางวันและกลางคืนก็ได้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในตอนนั้นเอง...



    ดาวน์โหลด (27.04 KB)
    ลำดับการสร้างโลกตาม The book of Genesis
    14-6-2009 15:08



    ลำดับการสร้างโลกตาม The book of Genesis


    จารึกเมโสโปเตเมียโบราณกล่าวถึงกิจของ Marduk หลังจากที่สร้างโลกขึ้นมาแล้วว่า พระองค์ทำให้โลกมีเวลากลางวันและกลางคืนตามกฏแห่งธรรมชาติ (เห็นไหมว่าพระเจ้าอย่าง Marduk ไม่ได้ทรงมีอภินิหารเหนือกาลเวลาอันเป็นกฏสากลแห่งจักรวาลเลย) จากนั้นเมฆและน้ำของโลกก็ก่อตัวขึ้นเป็นมหาสมุทร (คนโบราณพวกนี้รู้วัฏจักรของ น้ำ-เมฆ-ฝน ด้วยแฮะ ^^) มหาสมุทรได้แบ่งโลกออกเป็นส่วนและเป็นทวีป...

    เมื่อทวีปผุดตัวขึ้น Marduk ทรงก่อให้เกิดความเย็นอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนและหมอก ฝนตกลงสู่พิภพเบื้องล่างก่อให้เกิดสายธารกัดเซาะตามทวีป ก่อให้เกิดภูเขา แม่น้ำ น้ำพุ และหุบเหว ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้คนโบราณเชื่อว่าเป็นการรังสรรค์ของเทพเจ้าผู้ยิ่ง ใหญ่จากโพ้นอวกาศ Marduk...

    มาถึงตรงนี้ Book of Genesis และ Enuma Elish (รวมถึงตำนานการสร้างโลกในอีกหลายชนชาติ) ก้ได้กล่าวอย่างตรงกันแล้วครับว่า สถานที่ที่ชีวิตบนโลกได้ก่อกำเนิดขึ้นมาก่อนใครเพื่อนนั้นคือมหาสมุทร ตามมาด้วยสิ่งมีชิวิตที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างเป็นกลุ่มก้อน พวกมันอพยพขึ้นมาอยู่บนบก จากนั้นก็เริ่มบิน...

    ชีวิตกลุ่มต่อมาก็คือบรรดาสัตว์กินพืชที่ปัจจุบันเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเรา นอกจากนั้นสัตว์รูปร่างน่าเกลียดเช่นสัตว์มีพิษและอสูรร้ายก็ได้ถือกำเนิด ขึ้น พัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามประสงค์ของ Marduk จนกระทั่งขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างโลกมาถึง กำเนิดของมนุษยชาติ... ซึ่งเป็นตอนท้ายสุดของ Epic of Creation พอดี๊ พอดี...

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:08

    เมื่อดวงจันทร์ถือกำเนิด



    ดาวน์โหลด (5.07 KB)
    Earth and SHES.KI or Tiamat and Kingu
    14-6-2009 15:08



    Earth and SHES.KI or Tiamat and Kingu


    จากนั้นเทพองค์ใหม่ที่โคจรรอบโลกก้ได้กำเนิดขึ้น Marduk ทรงสร้างดวงจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เพื่อให้ดวงจันทร์เป็นเครื่องหมายอันแสดงถึงกลางคืน แหละเป็นสิ่งที่ให้มนุษย์ใช้เป็นตัวนับจำนวนวันในแต่ละเดือน

    จารึกโบราณเรียกดวงจันทร์ว่า SHES.KI เทพผู้พิทักษ์โลก แต่ SHES.KI มาจากไหนล่ะครับในเมื่อ Epic of Creation ที่เราฟังมาเมื่อตอนที่แล้วนั้นไม่ได้กล่าวถึงนามของเทพองค์นี้เลย บทบาทของ SHES.KI มีแต่เพียงว่าคอยวนเวียนเพื่อพิทักษ์องค์เทวีซึ่งน่าจะหมายถึงโลกนั่นแหละ แต่เป็นโลกไหนครับ โลกเมื่อครั้งยังเป็น TIAMAT หรือว่าโลกที่เรียกกันว่า Planet Earth ในปัจจุบัน?

    จาก Enuma Elish มหากาพย์แห่งการสร้างนั้น TIAMAT และ Earth เป็นดาวดวงเดียวกันหากแต่ถูกเรียกต่างชื่อ ต่างเวลา ในเมื่อ TIAMAT กลายมาเป็นโลกปัจจุบันได้ KINGU บริวารดวงสำคัญของ TIAMAT ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์นางจากการราวีของ Marduk ก็ไม่น่าจะไปไหนไกลเสีย

    สรุปง่ายๆถ้า TIAMAT = Earth แล้ว KINGU ก็น่าจะเป็น SHES.KI เทพปริศนาผู้ไร้ชาติกำเนิดใน The Epic of Creation นั่นล่ะครับ

    Chapter 7: The Epic of Creation

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:18

    Pluto เทพผู้ไม่ปรากฏในสารบบเทพของสุเมเรียน

    ตำนานกล่าวว่า หลังเกิดวิกฤตการณ์เทียแมตและคิงกูแล้ว เทพเจ้ามาร์ดุคได้เดินทางข้ามขอบสวรรค์อีกครั้งเพื่อเยือนดินแดนอันไกลโพ้น ในการเดินทางครั้งนี้เทพมาร์ดุคมีจุดประสงค์เพื่อจัดแจงชะตากรรม (destiny-หมายถึงวงโคจร)ของเทพองค์หนึ่งที่ชื่อ GAGA ให้เรียบร้อย ถ้าลืมไปแล้วผมทวนความจำให้นิดนึงละกันนะครับว่า GAGA ทรงทำหน้าที่เป็นทูตคนสนิทให้กับดาวเสาร์(ANSHAR/Saturn) เทพเจ้าผู้ทรงวงแหวนอันงดงาม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ GAGA คือดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์

    มาร์ดุคจัดแจงให้เทพองค์นี้มีที่สถิตใหม่อันซ่อนเร้น ซึ่งอาจหมายถึงวงโคจรรอบนอกซึ่งไกลกว่าเดิมและยากจะสังเกตเห็น และมาร์ดุคได้เปลี่ยนนามของ GAGA เป็น US.MI (แปลว่าผู้ชี้ทาง) ดาวเคราะห์ดวงที่เก้าตามสารบบดาราศาสตร์ในปัจจุบัน... พลูโต

    แค่เข้าสู่ระบบสุริยะได้รอบเดียวมาร์ดุคนำโลก(อดีตเทียแมต)เข้าสู่วงโคจร ใหม่ที่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากขึ้น ทรงตีกำไลมือแห่งสวรรค์ (หรือ Asteroid Belt นั่นแหละ) ที่กลายเป็นเส้นแบ่งแดนระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอก ทรงแปรสภาพดาวบริวารของเทียแมตเกือบทุกดวงให้เป็นดาวหาง บริวารดวงใหญ่ที่สุดของเทียแมตนามคิงกูกลายเป็นดวงจันทร์เทพพิทักษ์ของโลกไป ชะตากรรมลักษณะคล้ายๆกันเกิดขึ้นกับดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์นาม GAGA ที่ถูกแรงดึงดูดเจ้ากรรมเล่นงานให้กระเด็นจากวงโคจรเดิม กลายเป็นดาวเคราะห์ Pluto และพลานุภาพที่มาร์ดุคทำกับพลูโตยังส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ คือวงโคจรอันแสนประหลาดผิดไปจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆนั่นเอง

    เมื่อตำแหน่งดาวเคราะห์แต่ละดวงในวงโคจรใหม่ลงตัวแล้ว มาร์ดุคได้วางตำแหน่งของตนเองบ้างในฐานะของ Planet of the Cross: Nibiru เดินทางสัญจรไปรอบแอปซู (APSU/Sun) ในฐานะของเทพเจ้าองค์ที่สิบสองของมหาวงจรศักดิ์สิทธิ์

    ...ซึ่งทั้งหมดทั้งเพที่กล่าวมาแล้วนั้นคือที่มาของชื่อ the Twelve Planet หรือ Twelve Celestial bodies ครับ



    ดาวน์โหลด (5.72 KB)
    กึ่งกลางของสรวงสวรรค์และปวงเทพ งั้นก็ดาวพฤหัสน่ะสิ. ...
    14-6-2009 15:18



    กึ่งกลางของสรวงสวรรค์และปวงเทพ งั้นก็ดาวพฤหัสน่ะสิ...


    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:19

    Marduk / Nibiru
    แรกทีเดียวนักสุเมเรียนวิทยาเชื่อกันว่า MARDUK หมายถึงดาวเหนือ (North Star) หรือไม่ก็ดาวฤกษ์ซักดวงที่สว่างเอามากๆที่ชาวสุเมเรียนโบราณสามารถสังเกต เห็นได้ในช่วงฤดูร้อน ทั้งนี้เพราะในตำนานเน้นเหลือเกินว่าวรกายของจอมเทพมาร์ดุคเปล่งแสงเจิดจ้า กลางสรวงสวรรค์ แต่เทพเจ้าองค์นี้จะทรงเป็นดาวเหนือหรือดาวฤกษ์ได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อตำนานระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามาร์ดุคทรงเป็นสมาชิกดวงหนึ่งของระบบ สุริยะด้วย

    อันเนื่องมาจากจารึกบางชิ้นพรรณนาถึง MARDUK ว่าเป็นดาวที่มีขนาดใหญ่โตกว่าดวงอื่นๆ แถมมีแสงสว่างเจิดจ้ากว่าใครเพื่อน ดังนั้นนักโบราณคดีบางคนจึงสงสัยว่า MARDUK ที่ปรากฏในตำนานของบาบิโลเนียน(ที่ถ้าเทียบบทบาทกันฉากต่อฉากแล้ว ก็เทียบได้กับสุริยเทพ Ra ของอียิปต์)อาจหมายถึงดวงอาทิตย์ก็เป็นได้ นักโบราณคดีบางคนมั่นใจจนถึงกับยกข้อความสรรเสริญ MRADUK ในจารึกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ว่า MARDUK ทรง "**censor**ส่องทั่วห้วงสรวงสวรรค์จากเบื้องสูง ทรงรัศมีเจิดจ้าเป็นอาภรณ์ ให้แสงสว่างอันอบอุ่นจรรโลงใจ" ไอ้ข้อความทำนองนี้น่ะมันบทสวดสรรเสริญสุริยะเทพชัดๆ ท่านว่าอย่างอย่างนั้นน่ะนะ...

    ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรครับ ที่หนังสืออารยธรรมบางเล่มที่คุณจับกล่าวถึง MARDUK ในบทบาทของสุริยเทพ บางเล่มเอาไปรวมกับ Shamash ซึ่งเป็นคนละองค์กัน ทำไมถึงว่าอย่างนั้นน่ะหรือครับ ก็บทสรรเสริญเจ้ากรรมที่ยกตัวอย่างมานั้นยังมีข้อความต่ออีกน่ะซีครับว่า MARDUK ทรง"สัญจรไปทั่วดินแดนต่างๆประหนึ่ง SHAMASH"

    SHAMASH หรือ UTU เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ที่ผมเคยเล่าไปในตอนก่อนๆ ยังจำได้ใช่ไหมครับ?

    ดังนั้น ถ้า MARDUK เปรียบประหนึ่งดวงอาทิตย์ทั้งรูปลักษณ์และพฤติกรรม ก็ย่อมหมายความว่าเทพเจ้าองค์นี้เพียงแต่"คล้ายกับ"ดวงอาทิตย์เท่านั้น ไม่ได้ทรงเป็นดวงอาทิตย์เสียเองอย่างที่นักโบราณคดีบางคนเชื่อ และที่พวกเขาเลือกเชื่อหรือเสนอทฤษฎีอย่างนั้นขึ้นมาก็เพราะ MARDUK เป็นตัวแทนของดาวเคราะห์บางดวงที่ไม่มีในสารบบดาวสมัยใหม่ของพวกเรา เรื่องนี้จึงอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่

    นักวิชาการผู้พะอืดพะอมกับทฤษฎี Planet X จึงได้เริ่มมองหาดาวเคราะห์ดวงอื่นที่พอจะเป็นตัวแทนของ MARDUK ได้ (เพราะผลสรุปออกมาแล้วนี่ครับว่าบ่ใช่ดวงอาทิตย์) ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่า แม้จะรับไม่ได้กับเรื่องของดาวเคราะห์อันไม่ปรากฏในสารบบดาราศาสตร์ปัจจุบัน เพียงไรก็ตาม ความรู้ความสามารถของบรรพชนแห่งตะวันออกกลางกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร มองข้ามเสียง่ายๆ เพราะเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าความรู้ของคนโบราณเหล่านี้เที่ยงตรงไม่โมเม ดังนั้นนักวิชาการบางกลุ่มเสนอว่า MARDUK อาจหมายถึงดาวเสาร์ ส่วนอีกกลุ่มคิดว่าเป็นดาวอังคาร

    เป็นตัวเลือกที่ดีครับน่าเสียดายที่ไม่ใช่ เพราะจารึกโบราณระบุตำแหน่งของ MARDUK ว่าอยู่กึ่งกลางของสวรรค์ ตัวเลือกใหม่ของนักวิชาการผู้ไม่เชื่อทฤษฎี Planet X จึงเกิดขึ้น ตัวเลือกดังกล่าวคือดาวพฤหัสยักษ์ใหญ่ของระบบสุริยะ โดยมีสองเหตุผลยกมาสนับสนุนอันได้แก่ ขนาดอันใหญ่โตของ MARDUK ซึ่งสอดคล้องกับขนาดของดาวพฤหัส และอีกเหตุผลคือถ้ามองตามอันดับก่อนหลังของดาวเคราะห์แล้ว ดาวพฤหัสจะอยู่กึ่งกลางไม่ว่าจะมองมาจากดาวพุทธหรือดาวพลูโต ก็นับว่าเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าคิดครับ

    แต่เราต้องไม่ลืมว่า Epic of Creation กล่าวถึงวงโคจรของ MARDUK ที่ผ่านดาวยักษ์สองดวงอย่าง ANSHAR และ KISHAR มาจนถึง TIAMAT ณ จุดที่ตำนานเรียกว่า Planet of the Cross ลงถ้าโคจรผ่าน ANSHAR กับ KISHAR (ดาวเสาร์กับดาวพฤหัส) มาได้ล่ะก็ MARDUK จะหมายถึงดาวเคราะห์สองดวงนี้ได้อย่างไรล่ะครับ จริงไหม?

    สรุปแล้ว MARDUK น่าจะเป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าคือดาวดวงไหน

    ถ้าเราเชื่อตาม Enuma Elish ว่า MARDUK เป็นดาวเคราะห์ยักษ์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์โดยทิศทางในการเข้าต้องผ่านระหว่าง ดาวอังคารกับดาวพฤหัสล่ะก็ ทำไมเราจึงไม่เคยดาวเคราะห์ดวงนี้เลยนับตั้งแต่อารยธรรมโมเดิร์นแมนของพวก เราถือกำเนิดขึ้น ดาว MARDUK ไม่ใช่ดาวเคราะห์ดวงเล็กๆแถมยังสว่างออกปานนั้น ถ้ามันมีอยู่จริงนักดาราศาสตร์ก็น่าจะค้นพบไปนานแล้วสิน่า

    คำตอบอยู่ในจารึกโบราณอีกเช่นกันครับ เนื่องจาก MARDUK มีวิถีการเดินทางที่ยาวไกลมาก ท้าวเธอโคจรผ่านห้วงลึกของอวกาศที่ไม่เคยมีดาวเคราะห์ดวงไหนโคจรไปถึง แถมย้ำอย่างชัดเจนครับว่าวงโคจรของ MARDUK กว้างและไกลกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆในระบบอย่าทาบกันไม่ติด อย่าลืมเสียว่าอารยธรรมโมเดิร์นของพวกเราเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่ถึงหมื่นปี หาก MARDUK ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลาหลายหมื่นปีพวกเราจะไปเห็นได้อย่างไรล่ะ ครับ

    เพื่อให้คุณมองภาพได้ชัดเจนขึ้น ขอให้เปรียบเทียบ MARDUK/NIBIRU กับดาวหางสักดวง แล้วจะเข้าใจเองว่าทำไมตลอดเวลาหลายร้อยปีของมนุษย์ยุคใหม่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้เลย

    ดาวน์โหลด (946 Bytes)
    14-6-2009 15:19

    หรือ Marduk / Nibiru จะเป็นดาวหางมิใช่ดาวเคราะห์?

    ที่พูดแบบนี้ก็เพราะพฤติกรรมตลอดจนวงโคจของ MARDUK ที่กล่าวถึงใน Epic of Creation นั้นมีลักษณะคล้ายดาวหางจริงๆครับ ทำไมจึงว่าแบบนั้น? ผมจะแสดงให้เห็นเดี๋ยวนี้แหละครับ ขอให้ทุกคนหยิบกระดาษขึ้นมาสักแผ่นแล้ววาดภาพตามผม โดยอันดับแรกให้กำหนดจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะเป็นดวงอาทิตย์เสียก่อน จากนั้นแทนตำแหน่งดาวเคราะห์แต่ละดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นลักษณะคล้าย วงกลม ทีนี้คุณก็แทนที่ดาวนิบิรุลงไปในที่ว่างระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส วงโคจรของดาวดวงนี้จะมีลักษณะเป็นวงรีทวนเข็มนาฬิกา และคุณจะได้จุดสมมติสำคัญขึ้นมาสองจุดด้วยกันครับ คือจุดที่ดาวดวงนี้อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดและจุดที่อยู่ห่างจากดวง อาทิตย์มากที่สุด ลักษณะดังภาพ



    ดาวน์โหลด (10.35 KB)
    14-6-2009 15:18



    MARDUK เป็นภาษาบาบิโลเนียนส่วน NIBIRU เป็นภาษาสุเมเรียนครับ ที่เค้าเอา MARDUK กับ NIBIRU มาเชื่อมโยงกันก็เพราะชาวบาบิโลเนียนรับสืบทอดความรู้ทางดาราศาสตร์จากชาวสุ เมเรียนเป็นส่วนใหญ่ ในบันทึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ดวงหนึ่งซึ่งเดินทางมา จาก AN.UR (Heaven's base) อันหมายถึงห้วงอวกาศอันไกลโพ้นไปยัง E.NUN (Lordly Abode) ซึ่งหมายถึงดินแดนแถบกำไลสวรรค์

    อันกำไลสวรรค์นี้ท่านที่อ่านบทที่แล้วคงอ๋อกันได้ว่ามันคือ Asteroid Belt ที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส คนโบราณเรียกดาวเคราะห์ดวงนี้ว่า Planet of the Cross โปรดสังเกตว่าสัญลักษณ์ของมันถูกแทนด้วยกางเขนหรือกากบาท อันเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ในหลายๆศาสนาของคนโบราณ ทีนี้เมื่อดูจากภาพจะเห็นว่าตำแหน่งที่ดาวเคราะห์โคจรมาอยู่ในจุดที่ใกล้โลก ที่สุด(Perigee)นั้นเทียบได้กับ E.NUN ส่วนจุดที่ดาวเคราะห์มาร์ดุคโคจรออกห่างโลกมากที่สุด (Apogee) จะเทียบได้กับ AN.UR อย่างพอดิบพอดี และวงโคจรของดาวเคราะห์ก็แทบจะเป็นวงรียาวเหยียด ซึ่งผ่านเข้ามาใกล้โลกในพื้นที่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส ดังภาพ



    ดาวน์โหลด (11.55 KB)
    14-6-2009 15:18



    มากไปกว่านั้น ชาวเมโสโปเตเมียโบราณถือเอาปรากฏการณ์ใหญ่ๆบนท้องฟ้าเป็นลางของการ เปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย บอกเหตุการณ์สำคัญๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(โดยเฉพาะชะตาเมือง) การพบเห็น Nibiru สำหรับคนโบราณก็เข้าข่ายเดียวกันครับ

    สงวนลิขสิทธิ์โดย © Mythland.org All Right Reserved.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องประหลาดๆของชาวชุเมเรียน _ _'
    ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk

    [​IMG]


    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

    เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?


    [​IMG]


    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย

    [​IMG]



    นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา

    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก

    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น

    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน

    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"

    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย


    [​IMG]


    จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง

    จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่

    คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ

    [​IMG]


    อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา


    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!! จริงเปล่าวะ


    ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน


    แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก

    [​IMG]


    ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย

    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)


    Planet X และพระผู้สร้าง


    เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ

    [​IMG]


    Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์


    ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย

    ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง


    มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า


    หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?

    ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?

    [​IMG]

    Mythland Board :: <!-- google_ad_section_end -->
     
  4. Pavitporn

    Pavitporn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +21
    ด้วยความเคารพ วันนี้ ช่วง เวลา 8.30-8.40 น.
    ใครเห็นวัตถุ เช่นในรูปบทท้องฟ้าบ้าง โดยเฉพาะภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง
    เมื่อเช้าข้าพเจ้าเห็นวัตถุเช่นนี้ ประมาณเกือบ 1 นาที กว่าๆ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้
    เพราะกลัวว่าจะคราดสายตา ลอยค้างอยู่แล้วพุ่งหายไปในกลุ่มเมฆ
    สีเงินวาว แน่ใจว่าไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน เพราะไม่ได้ยินเสียง และไม่มีปีก
    ค้นข้อมูลแล้ว เคยมีคนพบที่ New York, May 11, 2009

    ตามลิงค์นี้
    US: UFO Traffic Report: Cigar-shaped craft hovers low over New York -- High Strangeness -- Sott.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    ถ้านับภัยพิบัติต่างๆ จุดสำคัญอยู่ที่การเตรียมรับมือกับความโกลาหลช่วงแรกๆให้ได้ครับ เตรียมอย่างที่อยากจะเตรียม นั่นดีที่สุดครับ และไม่ต้องรอมันมา ใช้เวลาที่มีอยู่ตอนนี้ให้มีความสุข อย่างน้อยถ้ามันเป็นอย่างที่เค้าว่า จะได้ไม่เสียดายไปกับมัน อย่าไปด่วนสรุป แค่ใช้เรื่องราวให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง เพราะจริงๆเราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือเท็จ ผมแค่เอาข้อมูลอีกก้อนมาให้พิจรณา
     
  6. Pavitporn

    Pavitporn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +21
    อีกอย่าง ภาพถ่ายของกล้อง STEREO EUVl
    ของวันที่ 15 Sun หายไปไหน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. PranLarkratai

    PranLarkratai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณคุณ k.kwan มากมายอ่านจนตาลายไปเลย..แต่สรุปคือตามประวัติศาสตร์ที่คนปัจจุบันไปศึกษาเนี่ย..ระบุว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว.. ปัจจุบันก็คงต้องหาหลักฐานมาอ้างอิงว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นอีก อยากรู็้้เหมือนกันว่า...ไอ้ที่บอกว่าดวงอังคารนั่นอยู่ไม่ได้ นี่มันเป็นจริงขนาดใน เพราะผมว่านะ ในโลกมีไม่เกิน 1000 คนหลอกมั๊งที่ได้เห็นดวงอังคารจากตาของตัวเอง นอกนั่นดูจากภาพที่ NASA ป้อนมาให้ทั้งนั้นเลยอ่ะ
     
  8. PranLarkratai

    PranLarkratai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณคุณ k.kwan มากมายอ่านจนตาลายไปเลย..แต่สรุปคือตามประวัติศาสตร์ที่คนปัจจุบันไปศึกษาเนี่ย..ระบุว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว.. ปัจจุบันก็คงต้องหาหลักฐานมาอ้างอิงว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นอีก อยากรู็้้เหมือนกันว่า...ไอ้ที่บอกว่าดวงอังคารนั่นอยู่ไม่ได้ นี่มันเป็นจริงขนาดใน เพราะผมว่านะ ในโลกมีไม่เกิน 1000 คนหลอกมั๊งที่ได้เห็นดวงอังคารจากตาของตัวเอง นอกนั่นดูจากภาพที่ NASA ป้อนมาให้ทั้งนั้นเลยอ่ะ
     
  9. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900

    แปลกจังครับ มีดาวอยู่ด้วย แสดงว่าอาจมีการหันกล้องไปทางอื่น หรือไม่ก็เอารูปอื่นมาแปะ ขาโจ๋ปกปิดอะไรอีกละเนี่ย
     
  10. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    มีคนถามว่าแล้วโลกจะถูกทำลายด้วยหรือ
    ตะแกบอกว่า ไม่ แต่เป็นการวิวัฒน์ไปยังสิ่งที่ดีกว่า สูงกว่า เหมือนดาวดวงอื่นๆ (เข้าใจเลี่ยงตอบนะเนี่ย ฟังแล้วก็ยังเสียวไส้อยู่ดี)

    What will happen to us when the Earth is destroyed?

    **Not "Destroyed" Of A Sense Of Being "Blown To Bits" ... (Like Maldek Was !!) ... But Rather It Will Evolve Into A Higher State Of Being ... As It ... & All Things ... Are Alive !! ... Of This Example ... The Life Of A tar/Sun !!
     
  11. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    แล้ว(วิญญาณ)จะไปไหนต่อ แกว่าแถวๆนี้ก็มีที่รองรับอยู่ เป็นที่ที่เอาไว้พิจรณาชีวิตที่ผ่านมา(ยมโลก??) และเส้นทางที่จะไปต่อด้วยตนเอง ซึ่งจริงๆจิตรวิญญาณของเรารู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะไปไหนต่อดี แต่หากใครวุ่นวายมากไป อาจต้องถูกจิตรวิญญาณอื่นเลือกให้แทน

    I understand we will die,

    **The Physical Temporary 3rd Density Containers ... Will Cease To Work/Function ... Through Various Means !!

    but where will we go?

    **Usually To The Nearest "Transit Station" ... To Be Evaluated Through Seeing Of Your Physical Life You Left ... And Given One's Options ... To Work On Those Things ... Which Are Felt ... Need To Be Worked On ... Worked
    On Some More !! ... Given The Choices/Bodies, Ect. ... & Circumstances Available !! ... However ... If You Have Been Very Naughty ... The Choice(s) ... Will Be Made By Others ... Who Will Decide This For You !!

    **We Would Say ... "Usually" To The Nearest Transit Station ... Though Of Various Agreements/Arrangements Of Projects & Other Forms Of Volunteering ... This May Supersede ... May Decide Where You Will Be Going Directly ... Rather Then To Be Reassigned !! ... As With The Various Agreements/Arrangements ... This Has All Been Done In Advance !! ... You Know Where You Will Be Going ... & You Go There !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  12. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    มีคนถามเรื่องกระโหลกแก้วในตำนาน
    แกบอกว่า เป็นที่บรรจุความรู้ของAlien ในยุคแอดแลนติส ซึ่งใช้ได้เฉพาะคนที่ถูกเลือก คนทั่วไปอาจหัวระเบิดเอาได้ถ้าพยายามละเมิดเอาของจริงมาลอง

    **Originals Were Used To Incorporate ... To Store The Vast Knowledge Of The Aztlantians ... Who Were Of Many Beings/Races !! ... Yes Of ET's ... Who Lived/Existed There ... In Aztlantian Forms ... And Not In ... Aztlantian
    Forms !! ... They Are All Different !! ... Yet Alike !! ... Only Those Of The Highest Order ... Can Access This Information ... And For Others ... That Attempt To Tap Into Unauthorized ... They Can Receive Anywhere From A Mild Shock ... To Having Their Brains Burnt Out !! ... Depending Upon The Infraction(s) !! ... They Are Quite Alive !! ... You May Ask Permission To Access ... & They Will Determine If You Are Able ... And They Will Determine If You Are ... Telling The Truth !! ... If You Are Not ... And Are Attempting To Deceive ... To Gain Access/Entry
     
  13. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    มึฝรั่งคนนึงถามเรื่อง UFO ซึ่งเจอเหมือนผมว่า พี่แกมาลอยตามหัวเมืองใหญ่ทำไมทุกคืน
    (ผมหาต้นฉบับไม่เจอแล้ว) ST(ETในกระทู้)บอกว่า บ้างมาเป็นพยานต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น บ้างมารอช่วย บ้างมาศึกษาพฤติกรรมมนุษย์
    ถัดจากนี้เป็นคอลเลคชั่นของผมเอง ด้วยกล้องพระเจ้าเหาที่มีอยู่ ลองช่วยกันดู เผื่อผมจะเข้าใจอะไรผิด หรือบ้าไปเอง

    อ้นนี้อ้นแรกที่เคยเอามาลง<object style="height: 390px; width: 640px;">
    <embed src="http://www.youtube.com/v/xb0DgKvp5K0?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" height="390" width="640"></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  14. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
  15. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    อันนี้ 3-4 ลำในอีกคืนหนึ่ง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MlFDmKMr2o0&feature=player_profilepage]YouTube - ดาวประหลาดกลางกรุง UFO???x3[/ame]
     
  16. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    อันนี้แสงน้อยไปหน่อย แต่รูปทรงเปลี่ยนไป น่าจะเป็นอีกกลุ่ม
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=5DWAY2-WFrQ&feature=player_profilepage]YouTube - ดาวประหลาดกลางกรุง UFO???SQ1[/ame]
     
  17. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    อันนี้ล่าสุด...เมื่อคืน
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0Hs1U1l98kU&feature=player_profilepage]YouTube - ดาวประหลาดกลางกรุง UFO???CT1[/ame]

    อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง จริงๆผมนับได้เป็นสิบ
    ถ้ามันใช่ แล้วเค้าแห่กันมาทำไม??
     
  18. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
    รหัส 111 ปรากฎ ไปกินข้าวดีก่า
    ใครมีของช่วยหามาปล่อยกันนะครับ น้าแกยังไม่กลับ ยังไม่อยากให้กระทู้ตกเร็ว
     
  19. wanpos

    wanpos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +66
    ตอนนี้นั่งดู SolarFlare อยู่ครับ สนใจที่ค่าเกิน 500 v(km/s) แล้วเนี่ยสิ วันนี้น่าจะมีข่าวเกี่ยวกับแสงเหนือ แสงใต้ บ้างนะ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  20. PranLarkratai

    PranLarkratai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +21
    วันนี้เอาข้อมูลที่ผมเคยคิดมากให้อ่าน นั่นคือ ดาวหางฮัลเลย์ มี 2 มิติที่อยากนำเสนอ

    มิติที่ 1 คือ ดวงดวงนี้เคยมาเยื่อนโลกเราเมื่อ 24 ปีที่แล้ว..ผมก็ได้ดูมา ตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบ...(รู้อายุผมเลยซิ อิอิ) แต่เอาเป็นว่า อย่างที่เขาเเขียนไว้ในรายละเอียด ว่า ดาวหางฮัลเลย์มีคาบโคจรรอบละประมาณ 75-76 ปี นั่นหมายถึงว่า น้อยคนนักที่จะได้เห็นมัน 2ครั้ง ใน 1 ชีวิต ยกเว้นว่า คุณมีอายุมากกว่า 80ปีนั่นแหละ ผมกำลังจะบอกว่า ถ้า PX มีจริงตามที่กล่าวอ้างมา และรอบโคจรของมันมากดังที่ระบุกันไว้ ก็มีน้อยคนนักที่ได้เห็น..และลองคิดดูว่า มันกี่ชั่วอายุคน จริงๆ แล้วดูตัวอย่างประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นตัวอย่างก็ได้ จนวันนี้ยังไม่มีสิ่งใดชัดเจนเลยว่า ชนชาติไทยกำเนิดจากที่ใด..นี่ขนาดยังไม่พ้น 1500 ปีเลยนะ คำถามคือ ถ้ามีดาวหางที่มีคาบการโคจร มากว่า 500 ปี หรือ 6ชั่วอายุคน คนจะเชื่อในสิ่งที่เขาบันทึกไว้ไหม จะถามหาหลักฐานภาพถ่ายหรืออะไรก็ตามที...มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ....หลายๆครั้งเราจึงเห็นบันทึกข้อความในกำแพงหิน แผ่นทองคำ หรืออะไรๆก็ตามที เพราะฉะนั้น โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า มีPX แต่ในนัยยะว่า มันมีอยู่จริง ส่วนเรื่องของสิ่งที่ตามมาจาก PX ว่าเปลี่ยนแปลงโลกไปนั้น ก็คงแล้วแต่ส่วนบุคคลจะคิดกันไป

    มิิติที่ 2 เรื่องภัยพิบัติจากดาวหาง ...ครั้งนึงที่ดาวหางฮัลเลย์ เคยมาเยือนเมื่อ 24ปีที่แล้ว มีคนหลายๆคนเชื่อว่ามันจะนำภัยพิบัติมาสู่โลก แต่มันไม่รุนแรงเท่า PX ฏ้แค่คิดว่าจะเกิดโรคระบาด น้ำท่วมใหญ่อะไรประมาณนี้ ... แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี มีพิบัติภัยบ้าง..ก็ตามแต่จะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆว่ากันไป
    ถึงครั้งนี้ที่ อาจจะมีภัยที่เกิดจาก PX บ้าง ก็ขอให้มีสติ..และแก้ไขปัญหาให้ถูกทาง และไปในทางที่ถูกก็เท่านั้น เราเล็กกว่า ธรรมชาติมากมาย ....ครั้งนึงมนุษย์คิดว่าจะควบคุมธรรมชาติได้ แต่ทุกๆครั้งเราก็พอว่า เราไม่เคยควบคุมมันได้เลย และทุกครั้ง ธรรมชาติก็ทำให้แสดงให้เราเห็นเสมอว่า เรานั้นตัวเล็กแค่ไหน



    เอาเป็นว่า ขอให้ร่วมมือช่วยกัน ให้ผ่านสิ่งใดๆก็ตามที่กำลังเข้ามาหาเรา ....


    อยากขอถามหน่อยว่า ...ทุกๆท่านในกระทู้นี้ ..มีใครเคยเห็นฮัลเลย์บ้าง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...