<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]

    พระกริ่งพระพุทธวิโมกข์ วัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื้อกะไหล่ทองหายาก บรรจุกริ่งฝาโค๊ด(ฝามีเส้นขนแมว) จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2528

    พระพุทธวิโมกข์ เป็นพระพุทธรูปที่หลวงปู่โง่น ท่านได้สร้างขึ้น เพื่อแจกให้แก่โรงเรียน ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะให้ทุกโรงเรียนได้มีพระพุทธรูปบูชาประจำโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หน้าเสาธง ในการนี้หลวงปู่โง่นท่านได้ขอรัหน้าที่ดังกล่าวท่ามกลาง เรื่องของผลประโยชน์ของการประมูลรับเหมาของนายทุนต่างๆ ซึ่งท่านก็ต้องผจญกับความชั่วร้ายต่างๆ ทั้งการขัดขวางและที่สุดคือ ท่านถูกลอบยิง แต่ท่านก็ยังสามารถจัดสร้างขึ้นได้

    โดยท่านส่งมอบพระพุทธวิโมกข์ในขั้นต้นจำนวน 2,528 องค์ จนถึงก่อนที่ท่านจะมรณภาพลง เมื่อสร้างพระพทุธรูปบูชาแล้ว ท่านก็ได้ดำริที่จะสร้างพระพุทธวิโมกข์ขนาดบูชาติดตัว เมื่อปี 2528 เป็นครั้งแรก เพื่อแจกจ่ายให้แก่เหล่าทหารที่ประจำการอยู่ตามฐาน ห้วยโกร๋น หินร่องกล้า ดอนมะเกลือ เมืองน่าน ทุ่งช้าง ท่านจัดสร้างและอธิษฐานจิตเสร็จแล้ว ก็นำไปมอบให้กับเหล่าทหารดังกล่าว โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด มวลสารที่ใช้สร้างพระกริ่งพุทธวิโมกข์ เป็นโลหะผสม สีออกเหลืองอมเขียวเล็กน้อย การปลุกเสกนั้น โดยหลวงปู่โง่น และหลวงปู่ดู่ วัดสะแก พุทธคุณที่ปรากฏแก่เหล่าผู้กล้ารั้วของชาตินั้น ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดีทางแคล้วคลาดปกป้องอุบัติภัยได้อย่างรอบด้านเลยทีเดียว จัดเป็นของดีที่น่าบูชาติดตัวเพื่อหวังพึ่งพุทธคุณได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผ่านการปลุกเสกและอธิษฐานจิต โดยหลวงปู่โง่นและหลวงปู่ดู่

    สภาพสวยเดิมกะไหล่ทองแห้งเก่า พิมพ์คมชัดลึก พุทธศิลป์เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่หักไม่ซ่อมผิวเดิมเก่าเก็บไม่ได้ใช้ เนื้อกะไหล่ทองหายาก (แท้ไม่แท้ทันไม่ทัน ดูที่ฝากริ่งจะมีเส้นขนแมวชัดๆ เจอที่ไหนเก็บหมด) พร้อมพุทธคุณเหนือคำบรรยายอันสุดวิเศษจากองค์หลวงปู่ดู่และหลวงปู่โง่น ครับ
    [FONT=&quot]


    รายการนี้โชว์ครับ
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_4971.jpg
      SAM_4971.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      261
    • SAM_4974.jpg
      SAM_4974.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      247
    • SAM_4978.jpg
      SAM_4978.jpg
      ขนาดไฟล์:
      673.3 KB
      เปิดดู:
      250
    • SAM_4984.jpg
      SAM_4984.jpg
      ขนาดไฟล์:
      872.3 KB
      เปิดดู:
      228
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ส่วนหนึ่งในหลายประสบการณ์ที่เกิดขึ้น พระหลวงปู่โง่นช่วยชีวิต ดาบตำรวจสมชาย ใจโพธิ์

    ภาระหน้าที่ของตำรวจ
    ในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้สังคมนั้น บางโอกาสต้องเสี่ยงต่ออันตรายเนื่องจากต้องเจอกับคนร้าย

    เจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายเกือบต้องเสียชีวิตลงเพราะคนร้ายต่อสู้ บางนายรอดจากการเสียชีวิตเนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือไว้ ดังรายของดาบตำรวจสมชาย ใจโพธิ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พร้าว รอดจากการเสียชีวิตเนื่องจากพระหลวงปู่โง่น


    เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๓ เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. ขณะนั้นดาบตำรวจสมชาย ใจโพธิ์ ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจเดินเท้าคู่กับดาบตำรวจนิพนธ์ ศรีนวล เดินตรวจร่วมกันรอบตลาดเทศบาลเวียงพร้าว ดาบตำรวจสมชายฯ เล่าเหตุการณ์เสี่ยงตายว่า


    “ผมกับดาบนิพนธ์ แต่งเครื่องแบบตำรวจเดินตรวจไปถึงหน้าโรงพยาบาลพร้าว เห็นวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่ในศาลาหน้าโรงพยาบาล แสงไฟสลัวพอเห็นหน้ากัน วัยรุ่นท่าทางมีพิรุธ จึงเข้าไปสอบถามและขอค้นตัว สอบถามว่ารอใคร วัยรุ่นชายคนนั้นบอกว่ารอเพื่อน ผมกับดาบนิพนธ์ จึงขอค้นตัว ทันใดนั้นวัยรุ่นทำท่าขัดขืนและขยับจะวิ่งหนี ผมจึงรวบตัวไว้และร่วมกับดาบนิพนธ์ กอดปล้ำ ในใจเชื่อว่าต้องมียาเสพติดอยู่ที่ตัว วัยรุ่นคนหนี้สูงเกิน ๑๗๐ ซ.ม. รูปร่างใหญ่แข็งแรง ผมตัวเล็กกว่า ปล้ำจับเอาไม่อยู่ ระหว่างที่ดาบนิพนธ์ รวบอยู่ด้านหลัง ผมอยู่ด้านหน้ากำลังปล้ำกันอยู่ อย่างที่ผมไม่ทันระวัง วัยรุ่นคนนี้คว้าอาวุธปืนพกขนาด .๓๕๘ ที่ผมพกอยู่ ขณะที่ผมกำลังจะคว้าคืน วัยรุ่นยกปืนยิงใส่ผม ๒ นัดซ้อน นัดแรกถูกนิ้วมือและเฉี่ยวถูกใบหูขวา นัดที่สองเข้าเต็มอกด้านขวา แรกกระสุนทำให้ถอยหลังมองดูเห็นเสื้อเป็นรอยแฉกมีเลือดไหลจากบาดแผลมาก พอได้สติผมรีบวิ่งไปที่โรงพยาบาล มือกุมบาดแผลไว้ หมอดูบาดแผลและห้ามเลือด เข้าใจกันว่ากระสุนฝังใน จึงส่งผมขึ้นรถโรงพยาบาลไปโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่


    “หมอรับตัวไว้และทำการผ่าตัดเพื่อเอาหัวกระสุนออก แต่ปรากฏว่าที่ตกค้างอยู่ คือ พระหลวงปู่โง่นที่ผมคล้องอยู่ ถูกกระสุนปืนดันเข้าไปในกล้ามเนื้อหน้าอกขวาลึกเข้าไป ๒ ซ.ม. ผ่า ออกมาแล้วที่ลำตัวของพระเครื่องลอยองค์มีรอยกระสุนที่ฐานใต้ลำตัว และความแรงของกระสุนทำให้มือขวาของพระขาดหาย และเศียรพระหลุดออก ผมจึงรู้ว่ารอดตายมาได้เพราะหลวงปู่โง่นช่วยไว้


    “ผมคล้องพระรวมอยู่ในสร้อยคอ ๕ องค์ ซึ่งมีพระลอยองค์ของหลวงปู่โง่นรวมอยู่ด้วย ตอนหลังถูกยิงแล้ว สร้อยคอขาด พระองค์อื่นหล่นอยู่ในเสื้อ ส่วนพระหลวงปู่โง่นหายไปพบนึกว่าตกระหว่างกอดปล้ำวัยรุ่น


    “หลวงปู่โง่นองค์นี้ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ ใช้ชื่อว่าพระพุทธวิโมกข์ เป็นรูปพระพุทธเจ้า ผมได้มาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ ขณะนั้นจบตำรวจใหม่ๆ และฝึกงานอยู่ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ขณะนั้นมีงานศพคุณแม่ของ พล.ต.ท.ประสาน วงศ์ใหญ่ ผู้บัญชาการตำรวจภาค ๕ ที่วัดพระสิงห์ และนำศพไปฌาปนกิจที่สุสานหายยา ตำรวจฝึกงานรุ่นผมถูกเกณฑ์ไปช่วยในพิธีศพ ในพิธีศพที่สุสานหายยามีการแจกพระหลวงปู่โง่นคนละองค์ ผมได้มา ๑ องค์ และใช้แขวนไว้ที่คอเรื่อยมา”


    เป็น เรื่องอัศจรรย์ที่องค์พระมีขนาดหน้าตักกว้างเพียง ครึ่งนิ้ว พระสูง ๑ นิ้ว แต่กระสุนมาถูกองค์พระทำให้กระสุนกระเด็นหายไปไม่ฝังในร่างกายของดาบตำรวจสม ชาย
    จึงรอดชีวิตมาได้

    ส่วนคนร้ายวัยรุ่นที่ยิงดาบตำรวจสมชาย เป็นวัยรุ่นบ้านต้นรุง ตำบลป่าตุ้ม อำเภอพร้าว หลังจากยิงดาบตำรวจสมชาย แล้ว กำลังตำรวจได้มาช่วยกันจับกุม จนจับตัวได้ตรวจค้นเจอยาบ้าซ่อนอยู่ในซองบุหรี่ ๒ เม็ด ได้ถูกดำเนินคดีข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ศาลจำคุก ๑๗ ปี


    หลวงปู่โง่น โสรโย ตามประวัติเริ่มอุปสมบทที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ ต่อมาไปศึกษาธรรมมะที่ประเทศลาวกับเพื่อน ชื่อ เจ้ายอดแก้ว ต่อมาท่านนี้เลื่อนเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งราชอาณาจักรลาว เมื่อประเทศลาวแตกได้กลับมาอยู่จังหวัดนครพนม สอบได้นักธรรมเอก ต่อมาได้ออกธุดงค์หลายพื้นที่ เคยธุดงค์มาเขตอำเภอเชียงดาว อำเภอฝาง หลวงปู่โง่นเป็นผู้ที่นิมิตรถึงพระ


    มรณภาพเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๒ ขณะอายุ ๙๔ ปีเศษ


    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]

    พระตำนานของพระนางสุพรรณกัลยา

    "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" โดย หลวงปู่โง่น โสรโย

    พระสุพรรณกัลยา ทรงเป็นพระธิดาใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระวิสุทธิกษัตรีย์ เป็น พระพี่นางของ
    สมเด็จพระนเรศวร มหาราช และสมเด็จ พระเอกาทศรถ สมภพเมื่อวันเสาร์ ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๐๙๕ ณ
    พระราชวังจันทน์ เมือง พิษณุโลก (บริเวณ ที่ตั้ง โรงเรียน พิษณุโลกพิทยาคมในปัจจุบัน) พระองค์เป็น
    วีรสตรี ผู้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ทรงเสียสละความสุข ส่วน พระองค์ ยอม พลัดพรากจาก แผ่นดินไทย ไปเป็นองค์
    ประกัน ณ กรุงหงสาวดี เพื่อแลกกับ องค์สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช และ สมเด็จพระเอกาทศรถ ต่อมาได้ ทรงสิ้น
    พระชนม์ชีพ ใน แผ่นดินพม่าอย่าง ไร้พิธีอันสมพระ ยศ ความเสียสละอัน ใหญ่หลวงของพระองค์ ในครั้งนั้น
    เป็น
    ผลทำให้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกลับมากอบกู้ เอกราช ของชาติไทย ได้สำเร็จ วีรกรรม ดังกล่าวของ
    พระสุพรรณกัลยา จึงสมควรได้รับ การเทิดพระเกียรติให้แพร่หลายยิ่งขึ้นสืบไป ตลอดกาลนาน
    สถานที่สักการะบูชา :"พระอนุสาวรีย์ พระสุพรรณกัลยาณี"
    ณ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (กองทัพภาคที่ ๓) อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก



    หลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก เมื่อปี พุทธศักราช ๒๑๑๒ พระนาง และพระอนุชา ทั้งสอง พระองค์

    ได้ถูก พระเจ้าบุเรงนอง กวาดต้อนไปเป็น เชลยยังเมืองหงสาวดี พร้อมด้วย พระมหินทราธิราช เจ้าเหนือหัว
    แต่
    พระมหินทราธิราช เสด็จสวรรคตที่เมืองอังวะเสียก่อน พม่าจึง แต่งตั้งให้ พระมหา ธรรมราชา ขึ้นครอง
    กรุงศรีอยุธยา ในขณะที่โอรสและธิดายังเป็นเชลยอยู่ เพื่อ เป็นองค์ประกัน ป้องกัน การคิดทรยศของฝ่ายไทย
    ทั้งสามพี่น้อง อยู่ที่หงสาวดีถึง ๖ ปี จึงได้กลับ มา กรุงศรีอยุธยาครั้งหนึ่ง
    เมื่อพระนางมีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา ด้วยเหตุที่ พระเจ้าหงสาวดี บุเรงนอง เกิดความพึงใจใน พระสิริโฉม
    ของพระสุพรรณกัลยา จึงมาสู่ขอ จากพระมหาธรรมราชา และนำกลับไปอภิเษก เป็น พระชายา ณ เมืองหงสาวดี
    ต่อมาพระนางได้ออกอุบาย ทูลขอให้พระ อนุชาทั้งสองพระองค์ กลับสู่ กรุงศรีอยุธยา โดยอ้างว่า
    เพื่อไปช่วยพระบิดารับศึก พระยาละแวก แห่งเขมร พระสุพรรณกัลยา มีสภาพเหมือนถูกทอดทิ้ง
    ให้ผจญกรรมเพียงลำพัง กับไพร่พล เล็กน้อย ในท่าม กลางหมู่อริราช ศัตรู ทั้งสิ้น
    แต่กระนั้นพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็ทรงมีพระ เมตตา รักใคร่สิเนหา แก่ พระสุพรรณกัลยา อยู่ไม่น้อย
    และด้วยบารมีแห่งพระสุพรรณกัลยา ได้ ปกแผ่คุ้มครองแก่คนไทย ที่ตกเป็นเชลย อยู่ใน เมืองพม่า
    มิให้ได้รับความลำบาก ต่อมา มังไชยสิงหราช(นันทบุเรง)โอรสของพระเจ้าบุเรงนอง เป็น ผู้มักมากในกามคุณ
    และต้องการ เป็น ใหญ่ จึงร่วมมือกับชายาชาวไทยใหญ่ นามว่า "สุวนันทา" วางแผนชิง ราชสมบัติ
    และแย่งอำนาจ ทำให้พระเจ้าบุเรงนองตรอมพระทัย และสวรรคต อย่างกระทัน หัน เมื่อพระเจ้า นันทบุเรง ขึ้น
    ครองราชย์ เกิดความวุ่นวาย เนื่องด้วยการไม่ยอมรับ ของพระญาติ วงศ์ หลายฝ่าย ทำให้พระเจ้า นันทบุเรง
    เกิดความหวาดระแวง กอปรด้วยรู้ว่า มีการรวบรวมไพร่พล เตรียม การกู้ชาติ ของ พระนเรศวร และ พระเอกาทศรถ
    ทางเมืองไทย จึงสั่งจับจองจำพระมารดา เลี้ยง (พระสุพรรณกัลยา) และพระธิดา องค์แรก ของ พระนางให้อดอาหาร
    ลงโทษทัณฑ์ ทุบตี โบย อย่างทารุณ ในขณะที่พระนางทรงครรภ์แปดเดือน จนพระธิดา สิ้นพระชนม์ จากนั้น
    ก็ทำทารุณ กรรมต่อพระนางอีก จนอ่อนเปลี้ยสิ้นเรี่ยวแรง แล้วใช้ดาบฟัน ฆ่าพระนาง พร้อมด้วยทารกในครรภ์
    แม้ร่างกายของพระนาง สิ้นสูญแล้ว ก็ยังไม่เป็นที่สาแก่ใจ ของพระเจ้านันทบุเรง แม้ ดวงพระ
    วิญญาณของพระองค์ ก็ถูก กระทำ พิธีทางไสย ศาสตร์ ตราสังรัดตรึง ไม่ให้วิญญาณกลับ สู่เมือง ไทย
    ให้วนเวียนอยู่ อย่างทุกข์ ทรมาน นานนับร้อยปี ...


    ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอ ตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

    ได้รับกิจนิมนต์จาก พระมหาปีตะโก ภิกขุ ให้ไปช่วยงาน ด้านประติมากรรม ซ่อมแซม รูปลายฝาผนัง ที่เมือง
    พะโค (หงสาวดี) ประเทศพม่าในขณะนั้นประเทศพม่า มีเหตุการณ์ทาง การเมืองภายใน เกี่ยวกับ สมณศักดิ์
    พระภิกษุ หลวงปู่โง่น พลอยต้องอธิกรณ์โทษการเมืองไปด้วย กลับเมืองไทยไม่ได้ ระหว่างถูกกักบริเวณ ท่าน
    ใช้เวลาในการฝึกจิต กำหนดตัวแฝง และพลังแฝง ในกายได้ สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณ และได้เข้าถึง
    กระแสพระวิญญาณที่สื่อสารต่อกัน กล่าวว่า ท่านเคยเป็นนายทหารช่าง สร้างบ้านเรือน ทั้งยังเคยถูกพม่า
    กวาดต้อนไป พร้อมกับ พระนาง ในครั้งนั้น เคยเป็นข้ารับใช้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี พระสุพรรณ
    กัลยา ได้ขอร้องให้หลวงปู่โง่น ช่วยแก้พันธนาการทางไสยศาสตร์ เพื่อดวงพระวิญญาณของพระองค์ จะ ได้
    กลับไปเมืองไทย และให้นำ ภาพลักษณ์ของพระองค์ อันเกิดจากกระแสพระวิญญาณ เผยแพร่ ให้แก่ชาวไทย
    ผู้ลืมพระองค์ ท่าน ไปแล้ว พระองค์จะกลับมาทำคุณประโยชน์ ช่วยเหลือ ประเทศ ชาติ ทั้งยังปณิธาน จะกลับ
    มาอุบัติเป็น เจ้าหญิงในปัจฉิมสมัยของ วงศ์กษัตริย์ไทย จะสร้างบารมี ประกอบคุณความดี
    เพื่อให้อยู่ในหัวใจ ของคนไทยทั้งประเทศ ด้วยเหตุเพราะ คนไทย ลืมคุณ กู้ชาติ ของพระองค์
    ที่ยอมสละความสุขในชีวิต เพื่อให้ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช และสมเด็จ พระเอกาทศรถ
    มีโอกาสกู้ชาติบ้านเมืองได้สำเร็จ ด้วย เหตุผล ดังกล่าว ข้างต้น หลวงปู่โง่น โสรโย และท่านพลโทถนอม
    วัชรพุทธ แม่ทัพกองทัพภาคที่ ๓ ได้ร่วมมือกันสร้าง พระอนุสาวรีย์ ของพระ สุพรรณกัลยา
    มีขนาดเท่าองค์จริง
    และได้อัญเชิญ มา ประดิษฐานไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำ น่าน ใน บริเวณ "ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
    ใกล้กับพระบรม ราชานุสาวรีย์ พระอนุชาทั้งสอง พระองค์ โดยได้นำส่วนของสรีระ เช่น กระดูก ฟัน
    และเครื่องประดับ ของมีค่าบางอย่าง ที่ขุดค้น ได้จาก แหล่งฝัง พระศพ ของ พระนาง นำมาบรรจุ
    ในพระอุระของพระรูปด้วย เพื่อให้ชาวไทยทุกคน ได้มีโอกาสเคารพสักการะ วีรสตรี
    ผู้เสียสละยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด เพียงให้สยามไทย ได้คงอยู่ชั่วฟ้าดิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2011
  4. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    ตามหา..โม..จนเหนื่อย ทำไมวิ่งหนีมาเล่นไกลจังเลย คิดถึงและเป็นห่วงนะจ๊ะ....
     
  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    วิ่งตามไม่ไหวพี่ ช่วงนี้จุกต้องเดิน 555
     
  6. sutrm

    sutrm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +1
    [​IMG] องค์นี้ยังมีอีกไหมครับ
     
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ยังมีครับ................................
     
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]
    อัตชีวประวัติ พอสังเขป
    พระกฤษดา สุเมโธ เดิมอาศัยอยู่ที่บ้านห้วยม่วง เลขที่ ๕๗ หมู่ ๓ ต.ห้วยยาบ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน บิดาชื่อ นายอุทัย มารดาชื่อ นางถิรนันท์ นามสกุล เอกกันทา
    ในช่วงที่มารดาอุ้มท้องก่อนกำหนดคลอดหนึ่งวัน ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ ตรงกับวันพระ ในตอนใกล้รุ่ง มารดาฝันว่าได้ลูกแก้วมณี มีความสดใสสวยงามมาก ลอยเข้ามาหา แล้วมารดาก็รับแก้วมณีดวงนั้นไว้ในอก พอสะดุ้งตื่น มารดาก็เริ่มมีอาการปวดท้องเล็กน้อย จนถึงกำหนดคลอดอีกวันหนึ่ง ซึ่งตรงกับ วันศุกร์ที่ ๗ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ (ใต้) แต่เป็นเดือน ๘ ของทางเหนือ เวลา ๒๓.๐๐ น. โยมมารดา ได้ถือกำเนิดทารกเพศชาย มีผิวผรรณ วรรณะเหลืองสุก คล้ายดอกจำปา โดยมีญาติผู้ใหญ่ของท่าน เป็นผู้ทำคลอดในบ้านของท่าน โดยผู้ใหญ่ท่านนี้ชื่อว่า พ่อน้อยยืน พันกับ ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่ ด้วยในช่วงนั้น จะหารถไปส่งโรงพยาบาลในตัวจังหวัดก็ลำบาก รถยนต์ก็ไม่ค่อยมี หนทางก็ไกลหลายสิบกิโลเมตร บวกกับว่าในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ทางเหนือเริ่มมีฝนตก ทำให้ลำบากมากในการที่จะไปโรงพยาบาล ในวันที่ท่านคลอดก็เกิดฝนตกหนักมา ฟ้าแลบฟ้าร้อง มีลมกรรโชกแรงมาก และตอนนั้น ในหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้กัน ต้องจุดตะเกียงน้ำมันก๊าด หรือไม่ก็เทียนไข เพื่อส่องสว่างในยามค่ำคืน
    หลังจากที่ท่านคลอดมาแล้ว โยมบิดาได้ตั้งชื่อว่า เด็กชายกฤษดา เพราะถือฤกษ์ที่มารดาฝันว่าได้แก้ว และในช่วงที่คลอดเกิดฝนตกหนักพอดี หลังจากท่านคลอด และอาบน้ำอุ่นแล้ว ฝนก็อันตธานหยุดตก เป็นอัศจรรย์ ท่านเป็นทารกที่คลอดง่าย ไม่ร้องไห้เหมือนเด็กคนอื่น และที่น่าแปลกตรงที่ว่า ลายฝ่าเท้าของท่าน มีรูปคล้ายดอกบัวตูม และรูปหอยสังข์ซ้อนกันอยู่อย่างเห็นได้ชัดเจนมาก โดยเฉพาะรูปหอยสังข์ และรูปดอกบัวตูมที่ฝ่าเท้าด้านขวาเห็นจนถึงปัจจุบัน โยมบิดาจึงได้ตั้งชื่อท่านตามนิมิตดังกล่าวมา
    หลังจากที่ท่านได้เจริญเติบโต เป็นเด็กที่มีความขยัน กตัญญู และมีความคิดเฉลียวฉลาด เรียนรู้อะไรได้เร็ว ตลอดถึงการพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ ช่างเจรจา อ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นที่เอ็นดู สำหรับผู้พบเห็น แต่เป็นเด็กที่เลี้ยงยากมาก ในด้านของสุขภาพ ไม่สบายบ่อยมากเป็นทุก ๆ ปี และได้ศึกษาชั้นประถมต้นที่โรงเรียนวัดห้วยยาบ และช่วงนั้นก็เริ่มมีใจรักในพระศาสนา ด้วยที่ว่า คุณปู่เป็นคนชักชวนให้ตามไปทำบุญ รักษาศีล ในช่วงเข้าพรรษา ทางเหนือจะนิยมนอนวัดกัน เพื่อจะประกอบการถือศีลภาวนา ครั้งแรกที่ได้ไปทำบุญกับคุณปู่ ตอนที่นั่งในพระวิหาร พิจารณามองพระประธาน ดูองค์ท่านสง่างามมาก เหมือนท่านยิ้มให้ จึงเกิดปิติความศรัทธาหลายอย่าง ทุกครั้งที่ไปวัด ท่านชอบมองพระประธานนาน ๆ เสมอ และอยากจะบวชในบวรพุทธศาสนา และมีอีกอย่างหนึ่งในช่วงที่เป็นเด็กได้ศึกษาวิชาทางสมุนไพรและสรรพวิชา เหมือนกับคุณปู่ เพราะว่าท่านเป็นหมอพื้นบ้าน เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้านนั้น และหมู่บ้านใกล้เคียง เกี่ยวกับการรักษาโรคต่างๆ ได้
    หลัง จากนั้นที่ได้ศึกษาจากโรงเรียนชั้นประถมจนจบแล้ว ตอนนั้นอายุได้ ๑๓ ปี ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรภาคฤดูร้อนที่พัทธสีมาวัดป่ายาง (สันพระเจ้าแดง) ต.ห้วยยาบ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. โดยมีพระครูโสภณรัตรสาร เจ้าคณะอำเภอบ้านธิ เป็นพระอุปปัชฌาจารย์ และหลังจากได้รับการบรรพชาแล้วก็จำพรรษาอยู่วัดห้วยยาบและช่วงนั้นก็ได้ ศึกษานักธรรมบาลีจากสำนักเรียน โรงเรียนโสภณวิทยาทั้งแผนกสามัญและปริยัติควบคู่กันไป จนครบหนึ่งปี สำหรับการที่อยู่จำพรรษาวัดห้วยยาบ และแล้วในปี ๒๕๓๓ ก็ได้มาจำพรรษาวัดป่ายาง (สันพระเจ้าแดง) เพื่อสะดวกในการศึกษาเล่าเรียนต่างๆ เพราะต้องขึ้นรถประจำทางมาโดยตลอด ในปีนี้เอง ได้พบกับครูบาอินตา อินทปัญโญ วัดห้วยไซใต้ ต.ห้วยขาบ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ในตอนคารวะช่วงปีใหม่เมือง คือมองเห็นท่านและเกิดความศรัทธาปสาทะ อย่างบอกไม่ถูก และท่านก็เป็นพระอาวุโสที่มีอายุพรรษาสูงมากในอำเภอและพอเคยได้ยิน กิตติศัพท์ความสามารถของครูบาอินตา มาจากคุณปู่และชาวบ้านมาบ้างแล้ว จึงถือโอกาสแวะเวียนไปมาบ่อยๆ จนเป็นที่คุ้นเคยกับครูบาอินตา ซึ่งท่านก็ให้ความรักและเอ็นดูดุจลูกหลานมาโดยตลอด ท่านอบรบสั่งสอนทุกด้าน โดยเน้น สมถภาวนา ในด้านการนับลูกประคำและแนวทางการกำหนดลมหายใจเข้าออก นอกจากนั้นยังได้เริ่มเรียนอักขระล้านนา ควบคู่ไปด้วย ตลอดถึงบทสวยคำภีร์ต่างๆ ของล้านนาที่ได้มาจากพ่อน้อย พ่อหนาน อาจารย์ต่างๆ ที่พอมีอยู่ในสมัยนั้น ไม่เข้าใจสิ่งใดหรือติดขัดเรื่องใด หลวงปู่ครูบาอินตาท่านได้แนะนำบอกกล่าวจนเข้าใจตลอดมา จึงเป็นเหตุให้ผูกพันท่านมากเป็นพิเศษ จะว่าไปแล้ว ในสมัยตอนเป็นเณรอยู่วัดห้วยไซเสียส่วนมาก แต่ก็ได้ไปกลับวัดป่ายาง (สันพระเจ้าแดง) อยู่เป็นประจำ เพราะต้องช่วยงานทั้งสองวัด มิให้ขาดตกบกพร่องใดๆ
    การศึกษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องหลายอย่าง และฝึกเรียนเทศน์มหาชาติเวสสันดรชาดก โดยเฉพาะกัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี เทศน์ได้ไพเราะมาก ถือว่ามีชื่อเสียงมากในสมัยที่ยังเป็นสามเณร มีกิจนิมนต์เทศน์ทั่วภาคเหนือ จนกระทั่งท่านมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ พร้อมที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา โดยมีพระอุปปัชฌาย์ คือ พระครูโสภณรัตรสาร เจ้าคณะอำเภอบ้านธิ พระกรรมวาจารย์ คือพระสิงห์คำ ขันติโก (มรณภาพ) และ พระอนุสาวนาจารย์ คือพระอธิการวิลา อัคคจิตโต เจ้าคณะตำบลห้วยยาบ (ลาสิกขา) อุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดป่ายาง (สันพระเจ้าแดง) ต.ห้วยยาบ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ตรงกับวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙ เวลา ๑๕.๓๘ น. โดยพระอุปปัชฌาย์ให้ฉายาทางพระภิกษุว่า "สุเมโธ" ซึ่งแปลว่า เป็นผู้มีความรู้ดี หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้วไม่นาน เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันในสมัยนั้นก็ได้ลาสิกขาไปเป็นเหตุให้หน้าที่ทุกๆ อย่างภายในวัดป่ายาง (สันพระเจ้าแดง) ตกแก่ท่าต้องรับผิดชอบทั้งหมด ตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี พรรษาแรก หลังจากอุปสมบท โดยทำหน้าที่รักษาการแทนเจ้าอาวาสมาโดยตลอด จนถึงอายุครบ ๒๕ ปี พรรษาที่ ๕ ทางจังหวัดได้แต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จนถึงปัจจุบัน และได้เทศน์สุ่งสอนพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดมา และได้พัฒนาถาวรวัตถุ เสนาสนะต่างๆ ภายในวัดป่ายาง (สันพระเจ้าแดง) และวัดวาอารามใกล้เคียง ที่มีขอให้ท่านเป็นประธานในการก่อสร้างถาวรวัตถุมากมายหลายวัด ต่างตำบาลต่างอำเภอ ออกไปจนสำเร็จลุล่างไปด้วยดีทุกประการ ซึ่งในแต่ละครั้งต้องใช้ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างหลายล้านบาท แต่ท่านมิได้ย่อท้อแต่ประการใด พร้อมทั้งพัฒนาทั้งในด้านจิตใจให้ความรู้ด้านธรรมะแก่สาธุชนทั่วไปโดยไม่ เลือกชั้นวรรณะ พัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาในด้านถาวรวัตถุ สิ่งก่อสร้างต่างๆ อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

    ที่มา http://khubakrissda.igetweb.com
     
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    [​IMG]

    ครูบากฤษดา สุเมโธ เจ้าอาวาสวัดสันพระเจ้าแดง ตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน


    การ เขียนบทความในเรื่องที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ที่เราเคารพนับถือ ผมใช้วิธีนึกไปเขียนไปดังนั้นผมจึงไม่ใช่คนเขียนบทความที่ดีนัก ไม่มีหลักเกณฑ์เป็นมาตรฐาน นึกเรื่องไหนถึงหลวงพ่ออะไรได้ก็เขียน ไม่มีการเขียนแบบเรียบเรียงตั้งแต่รู้จักท่านเริ่มต้นจนถึงวันนี้ แต่เป็นลักษณะของการเขียนแบบเอาความทรงจำที่ผมจำได้ชัดเจนที่สุดมาเขียน (ขณะที่เขียนเรื่องนี้ เรื่องเก่าที่เคยเขียนถึงหลวงพ่อองค์อื่นไว้ยังเขียนไม่จบเลย)



    พระ เกจิอาจารย์ที่ผมเขียนถึงครั้งนี้คือครูบากฤษดา สุเมโธ เจ้าอาวาสวัดสันพระเจ้าแดง(ป่ายาง) ตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน วัดสันพระเจ้าแดงนี้ มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คือ”พระเจ้าแดง”และอดีตเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียง คือ”ครูบาขันแก้ว “



    [​IMG]


    พระเจ้าแดง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์

    [​IMG]




    ครูบาขันแก้ว (อดีตเจ้าอาวาสวัดสันพระเจ้าแดง)

    [​IMG]



    อนุสาวรีย์ครูบาขันแก้ว


    [​IMG]


    รูปหล่อครูบาขันแก้ว


    [​IMG]


    ครูบากฤษดา สุเมโธ




    ผม ได้พบท่านครั้งแรกตอนที่ท่านได้รับนิมนต์มาศูนย์พระเครื่องแห่งหนึ่งบนห้าง เดอะมอลล์ บางกะปิ แว๊บแรกที่เห็นผมคิดในใจว่า พระหรือเณร กันเนี่ยแต่ช่างมันเถอะไหนๆก็มาแล้วเข้าไปหาซักหน่อย วันนั้นคนมาหาท่านเยอะมากแต่ด้วยการมีเส้นสายผมจึงได้มีโอกาสเสนอหน้าเข้าไป นั่งใกล้ๆ พอได้โอกาสจึงยื่นหัวเข้าไปให้ท่านเป่าตามความชอบ(ส่วนตัว) ท่านยื่นมือมารับมือผมไว้ ยิ้มให้และเป่าลงเบาๆที่หัว ผมรู้สึกเย็นวาบ ต้องยอมรับกับตัวเองว่าตั้งแต่เคยขอความเมตตาหลวงพ่อต่างๆเป่ากะหม่อม พึ่งจะมีองค์นี้แหละที่ทำให้มีอาการแบบนี้ ผมนึกในใจ ”เออ..ไม่ธรรมดานี่หว่า” หลังจากรับลูกศิษย์และผู้ศรัทธาได้ซักพักท่านก็ได้เดินทางไปบ้านของลูกศิษย์ ที่ได้นิมนต์ท่านไว้ และก็ด้วยความมีเส้นสาย(อีกแล้ว) ผมจึงได้เสนอหน้านั่งรถไปกับเขาด้วย



    ใน ระหว่างการสนทนาในห้องพักของท่าน ผมได้ยื่นพระของท่านที่ได้เช่ามาให้ท่านประสิทธิ์ประสาทให้ พร้อมกับโอดครวญว่าพระองค์นี้ชำรุดอยากได้องค์ใหม่ คำตอบของท่านที่ทำให้ผมอึ่งคือ



    “ไม่ มีแล้ว แต่โยมจำไว้พระทุกองค์ที่อาตมาได้อธิษฐานจิตไว้ ถึงจะแตกหักหรือชำรุดก็จะยังคุ้มครองโยมได้ ขอเพียงโยมมีความมั่นใจ โยมนับถืออาตมา มีอาตมาในใจ อาตมาจะคุ้มครองโยมเสมอ ตลอดไป”

    “พระ เครื่องก็เช่นเดียวกัน อย่ามองเพียงแต่ว่า หัก ชำรุด แท้ หรือปลอม หากจิตศรัทธาและเชื่อมั่น ความเข้มขลังก็จะเกิดขึ้น ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่องค์พระเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ใจของเราด้วย”



    เพียง คำพูดของท่านเท่านี้ ทุกวันนี้ผมจึงได้นำพระองค์นั้นติดตัวไว้ตลอดและให้ความเคารพนับถือท่านจน ถึงทุกวันนี้ และก็เป็นความเชื่อส่วนตัวครับ เวลามีปัญหาอะไรที่หนักหนา ผมจะนำพระของท่านมาใส่ในมือและสวดมนต์นึกถึงท่าน ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้บรรเทาและมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออยู่ตลอด



    อย่าง ไรก็ตามครูบากฤษดา ท่านไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องของพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลัง แต่การที่ท่านต้องทำพระเครื่องหรือเครื่องรางต่างๆ ขึ้นมามีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาปฏิสังขรวัดสันพระเจ้าแดง ซึ่งขณะนั้นชำรุดทรุดโทรมและต้องใช้ปัจจัยจำนวนมากมาบูรณะ ทุกครั้งที่มีโอกาสท่านมักจะบอกผมเสมอว่า



    “วัตถุ มงคลเครื่องรางของขลัง หรือวิชาอาคมสามารถที่จะช่วยให้เรารอดพ้นจากภัยอันตรายได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถให้เราพ้นทุกข์ในวัฏสงสารเวียนวนนี้ได้ จริงๆแล้ว ควรเจริญภาวนา ศีล สมาธิและปัญญา ถึงจะพ้นทุกสิ่ง สุขที่แท้ต้องว่างเปล่า อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์ใดๆล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม”



    ท่าน ไม่ได้บอกผมเฉยๆ ยังให้ผมจดไปท่องให้ขึ้นใจ ทุกครั้งที่มีโอกาสเจอท่าน ท่านจะให้ผมท่องข้อความข้างต้นนี้ให้ฟังเสมอ นอกจากนี้ท่านยังได้บอกกับผมว่า



    “โยม กุ้งต้องปฏิบัติธรรมนะ ไม่อย่างนั้นไม่มีใครช่วยโยมได้ อย่างน้อยให้สวดมนต์ไหว้พระวันละหนึ่งชั่วโมง ในช่วงนั้นต้องปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ไม่มีอะไรทั้งสิ้น กำหนดจิตว่าทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกชีวิตต้องก้าวไปสู่การแตกดับ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้”



    ยัง งัยก็แล้วแต่สำหรับผมแล้วในเรื่องของพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลัง ก็ยังเป็นหัวใจสำคัญของผมอยู่ดี พูดง่ายๆ คือผมยังมีกิเลสอยู่ครับ ทุกวันนี้มีคนถามผมว่าครูบากฤษดา ท่านเก่งด้านไหน เห็นทำพระประเภทขุนแผน บางคนก็ว่าท่านยังเป็นพระหนุ่มๆ บางคนก็ว่าท่านมีชื่อเพราะเขียนเชียร์กันขึ้นมา ความจริงไม่มีอะไร



    ก็ ว่ากันไปครับตามแต่จะนึกหรือจินตนาการกัน ผมอยากให้ท่านได้มาสัมผัส มารู้จักท่าน ด้วยตัวของท่านเองจะดีกว่าเชื่อตามที่คนอื่นเขาบอก เขาเล่า เอาเป็นว่าผมจะเล่าประสบการณ์ที่ผมเห็นกับตาสักเรื่องหนึ่ง



    คือ ในการปลุกเสกพระขุนแผนรุ่นแรก(ช่วงนั้นพระเครื่องประเภทนี้กำลังเป็นที่ นิยม) ผมก็งง งง ครูบาท่านเสกไป บางทีก็หยุดแล้วก็หันมาคุยกับพวกเรา ผมก็คิดว่านี่มันเป็นการเสกแบบไหน(ว่ะ)เนี่ย เกิด มาพึ่งจะเคยเห็น ถ้าจะไม่ขลังซะแล้ว ท่านทำแบบนี้สลับกันไปมาซักพักแล้วท่านจึงหลับตาลง ถึงตอนนี้พวกเราที่เฝ้าดูต้องกระโดดหลบกันให้วุ่น เพราะ บรรดาตัวตะขาบ แมงป่อง ไม่รู้ว่ามาจากไหนเต็มไปหมด คลานขึ้นไปอยู่บนตัวครูบา ครูบาท่านก็ใช้มือเปล่าๆ นี่แหละครับหยิบบรรดาแขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ออกไปวางไว้ในตะกร้า แล้วหันมายิ้มให้พวกเราก่อนจะพรมน้ำมนต์ลงบนพระขุนแผนชุดนั้น


    [​IMG]

    เรื่อง ของครูบากฤษดา สุเมโธ เจ้าอาวาสวัดสันพระเจ้าแดง ยังไม่จบลงแค่นี้นะครับ เพียงแต่ว่าโลกส่วนตัวของผมที่มันเคยกว้างๆ ตอนนี้ถูกความง่วงเข้ามากินพื้นที่จนแคบลงไปทุกที ผมจะต้องไปสวดมนต์ก่อนนอนครับ ก่อนพื้นที่ส่วนตัวจะหมดไป

    ขอขอบคุณ ข้อมูล ศิษท์กวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2011
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    ประวัติ หลวงปู่มั่น ทัตโต (รวมอายุ 104 ปี 82 พรรษา)

    ข้อมูล จากหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ในวันที่ 16-17 กันยายน 2524 ซึ่งได้จัดพิมพ์ข้อมูลหลวงปู่เพียงบางส่วน หลังจากหลวงปู่ได้มรณะภาพในวันที่ 12 กันยายน 2524 รวมอายุ 104 ปี 82 พรรษา

    <hr class="hrcolor" size="1" width="100%"> [​IMG]
    [​IMG] 2.jpg (167.37 KB, 500x669 - ดู 184 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 3.jpg (184.59 KB, 500x669 - ดู 184 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 4.jpg (168.08 KB, 500x669 - ดู 180 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 5.jpg (150.26 KB, 500x669 - ดู 176 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 6.jpg (162.13 KB, 500x669 - ดู 174 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 7.jpg (168.63 KB, 500x669 - ดู 176 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 8.jpg (144.84 KB, 500x669 - ดู 172 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 9.jpg (140.95 KB, 500x669 - ดู 171 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 10.jpg (122.84 KB, 500x669 - ดู 170 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 11.jpg (171.51 KB, 500x669 - ดู 168 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 12.jpg (146.53 KB, 500x669 - ดู 165 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 13.jpg (166.85 KB, 500x669 - ดู 166 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 14.jpg (101.49 KB, 500x373 - ดู 162 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 15.jpg (150.6 KB, 669x500 - ดู 163 ครั้ง.)
    [​IMG]
    [​IMG] 1.9.jpg (111.72 KB, 602x450 - ดู 157 ครั้ง.)
     
  11. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม
    วัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง

    <center>[​IMG]</center>

    พระเกจิอาจารย์ผู้เข้มขลังทางวิทยาคุณ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่อจากท่านปรมาจารย์ทองเฒ่า เจ้าสำนักเขาอ้อ นอกจากจะมีพระอาจารย์เอียด ปทุมสโร หรือ พระครูสิทธิยาภิรัตน์ เจ้าอาวาสวัดดอนศาลา แล้ว ก็ยังมีอีกรูปหนึ่งคือ พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม ท่านผู้นี้นอกจากจะเป็นศิษย์เอกรูปหนึ่งของท่านปรมาจารย์ทองเฒ่าแล้ว ยังได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าสำนักสืบต่อจากท่านด้วย
    ความจริงแล้วทราบจากศิษย์สายเข้าอ้อหลายท่านว่า ครั้งแรกท่านปรมาจารย์ทองเฒ่า ได้คัดเลือกศิษย์ที่จะให้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักไว้เรียบร้อยแล้ว และได้ถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ ที่เจ้าสำนักควรรู้ไปให้หมดแล้ว ศิษย์เอกรูปนั้นคือ พระอาจารย์เอียด ปทุมสโร แต่เพราะความจำเป็นในเรื่องที่วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นวัดสาขา เป็นสำนักที่ถือว่าเป็นแขนขาสำคัญแห่งหนึ่งของสำนักเขาอ้อขาดเจ้าอาวาสลง ชาวบ้านไปขอพระจากท่านปรมาจารย์ทองเฒ่า เพราะเห็นว่าวัดแห่งนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อเนื่องกันมา และที่สำคัญตอนนั้นวัดที่มีพระที่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาสมากที่สุด คือ วัดเขาอ้อ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสำนักใหญ่ที่คึกคักด้วยคณาศิษย์และผู้คนที่เดินทางไปมาหาสู่ ท่านปรมาจารย์ทองเฒ่าจำเป็นต้องส่งคนที่เหมาะสมที่สุดในขณะนั้น ก็คือพระอาจารย์เอียด ปทุมสโร
    เมื่อต้องสละพระอาจารย์เอียดให้กับวัดดอนศาลาไป ท่านปรมาจารย์ทองเฒ่าจำเป็นต้องคัดเลือกศิษย์รูปใหม่ขึ้นมา เพื่อที่จะให้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักเขาอ้อแทนท่านอาจารย์เอียด พิจารณาจากคุณสมบัติต่างๆ แล้วในที่สุดท่านปรมาจารย์ทองเฒ่าก็ตัดสินใจเลือก พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม ศิษย์อาวุโสรองจากท่านอาจารย์เอียด
    เรื่องการคัดเลือกศิษย์ที่จะมาเป็นทายาทในการสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักนั้น ถือเป็นภารกิจอย่างหนึ่งของเจ้าสำนัก ซึ่งเป็นภารกิจที่หนักหน่วงอยู่ไม่น้อย กล่าวคือ การที่จะคัดเลือกใครสักคนให้มาทำหน้าที่สำคัญที่สุดในสำนักต้องพิจารณากันหลายๆ ประการ ต้องอาศัยความรอบคอบเป็นพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะนำพาสำนักซึ่งโด่งดังและคงความสำคัญมาร่วมพันปีไปสู่ความเสื่อมเสียได้
    ผู้รู้ประวัติสำนักเขาอ้อท่านหนึ่งได้กรุณาอธิบายให้ฟังถึงวิธีการคัดเลือกศิษย์ ที่จะมาเป็นทายาทเจ้าสำนักว่า เนื่องจากวัดเขาอ้อเป็นวัดที่วิวัฒนาการมาจากสำนักทิศาปาโมกข์ ซึ่งแต่ก่อนมีพราหมณาจารย์ หรือ ฤาษี เป็นเจ้าสำนัก สืบทอดวิชาตามตำราของพราหมณ์ ซึ่งในตำรานั้นจารึกวิทยาการไว้มากมายหลายประการ มากเสียจนคนๆ เดียวไม่สามารถศึกษาเล่าเรียนได้หมด ต้องแบ่งกันศึกษาเล่าเรียน ฉะนั้นการแบ่งนี้ก็ต้องเลือกคนที่ต้องการจะเรียนตามความเหมาะสม การสอนให้คนที่เรียนตามจริต หรือ ความชอบ เพราะวิชาของสำนักเขาอ้อบางอย่างเหมาะกับบรรพชิต บางอย่างเหมาะกับฆราวาส บางอย่างผู้หญิงห้ามแตะต้อง บางอย่างผู้ชายทำไม่ได้ ทำได้แต่ผู้หญิง บางอย่างฆราวาสทำไม่ได้ทำได้แต่บรรพชิต บางอย่างบรรพชิตทำไม่ได้ทำได้แต่ฆราวาส แต่คนที่จะมาทำหน้าที่เจ้าสำนักต้องเรียนทั้งหมด แม้ตัวเองทำไม่ได้ ก็ต้องเรียนรู้ไว้เพื่อจะถ่ายทอดให้คนที่ทำได้เอาไปทำต่อไป ฉะนั้นคนที่เป็นเจ้าสำนักจะต้องมีความรู้มากที่สุด และต้องอาศัยสติปัญญาสูงสุดจึงจะสามารถรับถ่ายทอดวิชาทั้งหมดนั้นได้
    ทีนี้มาว่ากันถึงคุณสมบัติเบื้องต้นของคนที่จะถูกเลือกเป็นทายาทเจ้าสำนักได้ ผู้รู้ท่านนั้นท่านได้หยิบคุณสมบัติสำคัญอันดับต้นๆมาให้เพียง 3 อย่างนั่นคือ
    ๑. ต้องมีดวงชะตาดี โดยพิจารณาจากการตรวจดวงชะตาแล้ว
    ๒. ต้องมีคุณธรรมดี
    ๓. ต้องมีสติปัญญาเป็นเลิศ
    แล้วท่านก็อธิบายถึงความสำคัญของคุณสมบัติเหล่านี้ให้ฟังว่า
    ที่ต้องเอาคนดวงชะตาดีนั้น เพราะในอนาคตไม่มีใครสามารถกำหนดได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสำนัก คนเราอาจจะดีวันนี้ แต่วันข้างหน้าไม่ดี ตามความเชื่อของพราหมณ์นั้นเชื่อในเรื่องของดวงชะตา ชะตาจะเป็นผู้กำหนดให้มนุษย์เป็นไป ฉะนั้นการตรวจดวงชะตาเป็นการช่วยทำให้ทราบความเป็นไปในอนาคตของมนุษย์ได้
    ความมีคุณธรรมเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของบุคคลที่จะถูกเลือกเป็นเจ้าสำนักเขาอ้อ เพราะหากขาดคุณสมบัติข้อนี้แล้วไซร้ ปัญหานานาประการอาจจะเกิดขึ้นได้ คุณธรรมที่ต้องมีนั้นยังระบุชัดเจนลงไปว่า
    จะต้องมีเมตตาเป็นเยี่ยม
    จะต้องมีความเสียสละเป็นเลิศ
    จะต้องรักสันโดษมักน้อยเป็นอุปนิสัย
    เพราะว่า หากผู้ถูกเลือกเป็นคนเห็นแก่ตัว ขาดเมตตาธรรม ก็มีโอกาสนำวิชาความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดไป ซึ่งมีมากที่สุด ไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง อาจส่งผลเสียต่อส่วนรวม ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของเจ้าสำนักเขาอ้อ สำนักเขาอ้อตั้งขึ้นเพื่ออำนวยประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ โดยการเอาการเสียสละของเจ้าสำนักเป็นที่ตั้ง
    ความมักน้อยสันโดษเป็นอุปนิสัย ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณธรรมข้ออื่นๆ กล่าวคือ หากบุคคลผู้นั้นเป็นคนฟุ่มเฟือย ละโมบโลภมาก ก็อาจนำวิชาความรู้ และหน้าที่ไปใช้เพื่อรับใช้กิเลสส่วนตนมากกว่าจะส่งผลประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
    มีสติปัญญาเป็นเลิศ
    คุณสมบัติข้อนี้ก็สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่จะถูกเลือกเป็นเจ้าสำนักวัดเขาอ้อ ก็อย่างที่เรียนไปแล้วแต่ต้นว่าวิชาของสำนักเขาอ้อนั้นมีมากมายหลายประเภทหลายแขนง แต่ส่วนคนทั่วไป เป็นการแยกสอนให้ตามความเหมาะสม ซึ่งแต่ละส่วนก็นับว่าเรียนยาก ต้องอาศัยสติปัญญาระดับหนึ่งจึงจะเข้าถึงวิชานั้นๆได้ แต่สำหรับคนที่จะต้องทำหน้าที่เจ้าสำนักต่อไปจะต้องใช้สติปัญญาอย่างมาก เพื่อจะต้องเรียนวิชาต่างๆหมดสิ้น รู้ให้หมด ทำให้ได้ เพราะนอกจากจะเรียนเพื่อปฏิบัติเองแล้ว ยังต้องเรียนรู้ขนาดที่จะต้องถ่ายทอดให้คนอื่นในฐานะเจ้าสำนักต่อไปได้ด้วย ฉะนั้นเรื่องระดับสติปัญญานับว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพิจารณาอย่างละเอียด
    หลักเกณฑ์การคัดเลือกเจ้าสำนักดังกล่าวนี้เอง ทำให้สำนักวัดเขาอ้อสามารถรักษาวิชาสำคัญๆ และสืบทอดวิทยาการต่างๆต่อกันมาได้ จนถึงพระอาจารย์ปาล ซึ่งถือเป็นเจ้าสำนักที่ได้รับการคัดเลือกจากเจ้าสำนักรูปก่อน และอาศัยคุณสมบัติดังกล่าวเป็นรูปสุดท้าย เพราะหลังจากสิ้นท่านแล้ว สำนักวัดเขาอ้อก็กลายเป็นวัดธรรมดาๆ วัดหนึ่ง มีพระที่มีพรรษาอาวุโสสูงสุดขึ้นเป็นเจ้าอาวาส โดยการแต่งตั้งของคณะสงฆ์ที่ทำหน้าที่ปกครองในเขตนั้น พิจารณาจากคุณสมบัติทางสงฆ์ ซึ่งถือคุณสมบัติทั่วไป ประเพณีการเลือกเจ้าสำนักอันสืบทอดมาแต่เดิมก็จบสิ้นลงแค่สมัยอาจารย์ปาล ปาลธัมโม ซึ่งมีเหตุผลให้จบเช่นนั้น สำนักวัดเขาอ้อซึ่งเคยมีฐานะเป็นสำนักทิศาปาโมกข์ก็เหลือเพียงตำนาน และหลักฐานทางโบราณวัตถุเพียงไม่กี่ชิ้น ซึ่งก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อพิจารณาให้ดี ก็เห็นว่าความเป็นไปของสำนักนี้ เป็นไปตามกฎธรรมชาติเพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรถาวร ทุกอย่างย่อมมีการเกิดเป็นจุดเริ่ม การเจริญเติบโตและตั้งอยู่เป็นท่ามกลาง มีความเสื่อมโทรมและสิ้นสุดเป็นที่สุด สำนักเขาอ้อก็ตกอยู่ในสภาพธรรมนี้ ซึ่งเหมือนกับสำนักใหญ่ๆในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตักศิลานคร ต้นกำเนิดวิทยาการอันยิ่งใหญ่ในอดีต หรือสำนักใหญ่ๆอื่นๆ
    การเสื่อมสลายความสำคัญของสำนักเขาอ้อภายหลังยุคพระอาจารย์ปาล มีเหตุผลอยู่หลายประการ เป็นต้นว่า
    ๑. สังคมเปลี่ยนค่านิยม
    ๒. การคมนาคมเปลี่ยนเส้นทาง
    ๓. วิทยาการสมัยใหม่รุกราน
    ๔. ขาดผู้นำที่เหมาะสมมาสืบทอดต่อ
    และอีกเหตุผลหนึ่งที่คณะศิษย์เขาอ้อลงความเห็นเพิ่มเติม คือ เพราะพระอาจารย์ปาลเป็นเจ้าสำนักรูปแรกและรูปเดียวที่ไม่มีชื่อทองนำหน้าหรือต่อท้าย เหมือนกับเจ้าสำนักรูปอื่นๆที่เคยมี ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย ก็อย่างที่ว่า สำนักเขาอ้อแห่งนี้ตั้งแต่ก่อตั้งมา มีนามว่าทองขึ้นต้นหรือต่อท้ายทุกรูป ตั้งแต่พระอาจารย์ทอง ปฐมาจารย์แห่งสำนักเขาอ้อ จนถึงปรมาจารย์ทองเฒ่า ทองรูปสุดท้าย ข้อสังเกตนี้มีส่วนน่าเชื่อถือแค่ไหน เหตุการณ์ภายหลังการมรณภาพของพระอาจารย์ปาล เป็นส่วนสนับสนุนได้อีกอย่างหนึ่ง
    สำหรับประวัติพระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม นั้น ไม่ค่อยจะมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้อ้างถึงได้มากนัก เนื่องจากพระอาจารย์ปาลท่านเป็นพระที่หนักไปในทางสันโดษ ชอบอยู่เงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับสังคมภายนอก ประกอบกับการบันทึกหลักฐานในสมัยท่านยังไม่แพร่หลายมากนัก และที่สำคัญตัวท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักฐานทางบ้านเมืองมากนัก กล่าวคือไม่เข้าสู่ระบบการปกครองของคณะสงฆ์ เหมือนกับพระอาจารย์เอียด ที่ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรและได้เป็นเจ้าคณะตำบล ทางคณะสงฆ์จึงได้บันทึกประวัติและผลงานของท่านไว้ ทำให้มีหลักฐานลายลักษณ์อักษรให้ศึกษาค้นคว้าถึงได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับกรณีของพระอาจารย์ปาล จึงจำเป็นต้องอาศัยหลักฐานจากคำบอกเล่าของชาวบ้านไกล้วัดที่เคยได้พบเห็นท่านเป็นสำคัญ
    จากคำบอกเล่าของคุณตามงคล ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติใกล้ชิดกับพ่อท่านปาล ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติพระอาจารย์ปาลมาว่า บรรพบุรุษของพระอาจารย์ปาลเป็นชาวระโนด จังหวัดสงขลา ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บริเวณบ้านเขาอ้อ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพระอาจารย์ปาลท่านมาเกิดที่เขาอ้อ หรือเกิดที่ระโนดแล้วอพยพตามครอบครัวมา แต่ว่าแม้จะเกิดที่ระโนด ก็คงจะมาตั้งแต่เล็กๆ อย่างน้อยก็ก่อนจะเข้าโรงเรียน
    พระอาจารย์ปาลเป็นญาติกับพระอาจารย์ทองเฒ่า ส่วนจะเป็นญาติใกล้ชิดกันแค่ไหนก็ไม่สามารถระบุได้ แต่ก็เข้าใจว่าใกล้ชิดกันพอสมควร เพราะพระอาจารย์ทองเฒ่าก็มีพื้นเพเดิมเป็นชาวระโนดเช่นกัน ครอบครัวของพระอาจารย์ปาลคงจะใกล้ชิดและเคารพนับถือพระอาจารย์ทองเฒ่ามาก ด้วยเหตุนี้เมื่อพระอาจารย์ปาลมีอายุพอที่จะเรียนหนังสือได้ พ่อแม่จึงได้พาไปฝากให้อยู่ศึกษาเล่าเรียนในสำนักวัดเขาอ้อ ซึ่งสมัยนั้นเป็นสำนักใหญ่และสำคัญที่สุดในละแวกนั้น มีลูกศิษย์มากมาย
    ผู้เฒ่าท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า พระอาจารย์ปาลเป็นคนเรียนเก่ง แต่ค่อนข้างจะดื้อ มีอุปนิสัยรักสนุก ร่าเริง เป็นนักเสียสละตัวยง เป็นที่รักใคร่ของศิษย์ร่วมสำนักทุกรูปทุกคน ท่านถึงกับเคยรับโทษแทนเพื่อนหลายครั้ง พระอาจารย์ปาลเรียนอยู่ในสำนักวัดเขาอ้อนานจนมีวัยพอที่จะบวชเรียนได้ พระอาจารย์ทองเฒ่าจึงได้จัดการให้บวชเป็นสามเณรแล้วให้อยู่ศึกษาพระธรรมและวิทยาคมต่างๆ อยู่ในสำนักเขาอ้อ
    พระอาจารย์ปาลบวชตั้งแต่สามเณรจนกระทั่งได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเขาอ้อ โดยมีพระอาจารย์ทองเฒ่าเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ อุปสมบทแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมและช่วยพระอาจารย์ทองเฒ่าอยู่ที่สำนักเขาอ้อต่อไป จนกระทั่งพระอาจารย์ทองเฒ่าคัดเลือกให้เป็นทายาทเจ้าสำนักถ่ายทอดวิชาสำคัญๆให้จนหมดสิ้น
    ต่อมาเมื่อพระอาจารย์ทองเฒ่ามรณภาพลง ในฐานะทายาทเจ้าสำนัก และเป็นพระที่มีพรรษาอาวุโสที่สุด พระอาจารย์ปาลจึงขึ้นเป็นเจ้าสำนักสืบทอดต่อ ทำหน้าที่ต่างๆต่อจากพระอาจารย์ทองเฒ่า
    ภายหลังการมรณภาพของพระอาจารย์ทองเฒ่า จึงมีศิษย์ของสำนักวัดเขาอ้อที่มีชื่อเสียงโด่งดังพร้อมกันสองรูป คือ พระอาจารย์เอียด เจ้าอาวาสวัดดอนศาลา ในฐานะศิษย์เอกคนโต และพระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม เจ้าสำนักเขาอ้อ แต่เจ้าสำนักทั้งสองต่างเคารพรักใคร่กันมาก ไปมาหาสู่กันไม่ได้ขาด พระอาจารย์เอียด แม้จะมีภาระใหญ่อยู่ที่วัดดอนศาลา แต่ก็ไม่ทอดทิ้งวัดเขาอ้อ เพราะตระหนักอยู่เสมอว่าเป็นสำนักที่ให้วิชาความรู้ เป็นบ้านที่ท่านเติบโตขึ้นมา ฉะนั้นเมื่อไม่มีพระอาจารย์ทองเฒ่า ก็จะต้องไปดูแลช่วยเหลือพระอาจารย์ปาลทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพราะโดยส่วนตัวพระอาจารย์เอียดรักใคร่เมตตาศิษย์น้องรูปนี้มาก เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันเมื่อคราวอยู่ร่วมสำนักที่เขาอ้อ ในสายตาพระอาจารย์เอียด พระอาจารย์ปาลคือศิษย์น้องหัวดื้อ แต่เคารพรักศิษย์พี่อย่างท่านมาก
    ในขณะเดียวกัน ในสายตาพระอาจารย์ปาล พระอาจารย์เอียดคือพี่ชาย คือศิษย์พี่ที่จะต้องเคารพเชื่อฟังต่อจากอาจารย์ และโดยส่วนตัวแล้วเมื่อคราวอยู่ร่วมสำนักกัน ศิษย์พี่รูปนี้คอยช่วยเหลือเจือจุนท่านมามาก ด้วยความเคารพนับถือที่มีต่อกัน ท่านทั้งสองจึงถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ต่างระมัดระวังในบทบาทของกันและกัน ด้วยเกรงว่าจะเด่นกว่าอีกฝ่าย
    ว่ากันว่าโดยธรรมเนียมแล้ว ผู้เป็นประธานหรือควรจะมีบทบาทเด่นที่สุดในสายเขาอ้อขณะนั้น ก็คือ พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม ในฐานะเจ้าสำนัก แต่เนื่องจากพระอาจารย์เอียดก็เป็นศิษย์ที่ปรมาจารย์ทองเฒ่าคัดเลือกให้เป็นทายาท ถ่ายทอดวิชาไว้ให้เท่าๆกัน และที่สำคัญมีความอาวุโสมากกว่า พระอาจารย์ปาลจึงเคารพและระมัดระวังบทบาทของตัวเองไม่ให้ยิ่งไปกว่าศิษย์พี่ พระอาจารย์เอียดเองก็ตระหนักในข้อนี้ แม้ว่าท่านจะมีความรู้ความเชียวชาญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระอาจารย์ปาล มีพรรษาอาวุโสกว่า แต่ก็ตระหนักดีว่าพระอาจารย์ปาลเป็นเจ้าสำนักใหญ่ ทานจึงให้เกียติมาก ระมัดระวังในบทบาทตัวเองอย่างสูง
    ต่อมาดูเหมือนว่าท่านทั้งสองหาทางออกได้ โดนพระอาจารย์ปาลแสดงบทบาทของตัวเองเต็มที่ในสำนัก ส่วนภายนอกมอบให้พระอาจารย์เอียด และตัวพระอาจารย์เอียดเองก็เปลี่ยนไปทำงานให้คณะสงฆ์เสียมากกว่า มอบภาระอันเป็นหน้าที่ของเจ้าสำนักเขาอ้อให้พระอาจารย์ปาลดำเนินการต่อไป ท่านอยู่ในฐานะผู้ช่วยและที่ปรึกษา
    ด้วยเหตุนี้ในสำนักเขาอ้อ พระอาจารย์ปาลจึงทำหน้าที่เจ้าสำนักได้เต็มที่
    หน้าที่หลักๆ ของเจ้าสำนักเขาอ้อมีดังนี้
    ๑. เป็นประธานอำนวยการในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ที่เคยดำเนินสืบทอดต่อๆกันมา เป็นต้นว่าพิธีอาบว่าน ปลุกเสกพระ กินน้ำมันงา และพิธีอื่นๆ
    ๒. คัดเลือกศิษย์ ถ่ายทอดวิชา และอบรมศิษย์ในสำนัก
    ๓. ช่วยสงเคราะห์ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากซึ่งเดินทางไปพึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีทั้งป่วยทางจิตและทางกาย ท่านก็บำบัดไปตามที่ร่ำเรียนมา ป่วยทางจิตก็ใช้เวทมนต์คาถาเข้าช่วย ป่วยทางกายก็ใช้ยาสมุนไพรเข้าช่วย
    ๔. เป็นประธานในพิธีกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับสำนักเขาอ้อ ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักเขาอ้อ เรียกว่าเป็นประธานโดยตำแหน่ง
    ๕. คอยดูแลและว่ากล่าวตักเตือนคณะศิษย์ของเขาอ้อที่ออกจากสำนักไปแล้ว หน้าที่นี้คือคอยดูสอดส่องและให้ความร่วมมือ ในกรณีที่ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาจากสำนักเขาอ้อไปสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม อาจจะเป็นผู้ประสานงาน ช่วยเหลือเกลี้ยกล่อม ว่ากล่าวตักเตือน หรือถึงกับให้ความช่วยเหลือในการบำราบปราบปรามเอง เพราะว่าแน่นอนวิชาที่เจ้าสำนักมีอยู่ย่อมมากกว่าคนอื่น ตรงนี้ถือเป็นความรับผิดชอบที่น่าชื่นชมของสำนักแห่งนี้
    ๖. รักษาของสำคัญของสำนัก อันเปรียบเสมือนเครื่องหมายเจ้าสำนักที่แท้จริง ซึ่งมีอยู่หลายประการ ที่สำคัญก็มี ตำรา ลูกประคำดีควายที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ไม้เท้ากายสิทธิ์ ที่ใช้ในการจี้รักษาโรคและปลุกเสกวัตถุมงคล เพราะภายใต้ปลายไม้เท้าบรรจุธาตุศักดิ์สิทธิ์ไว้จำนวนมาก
    โดยสรุปแล้วท่านอาจารย์ปาลก็ทำหน้าที่ต่างๆ อยู่ที่วัดเขาอ้อเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าใหญ่อยู่ที่วัดเขาอ้อ ส่วนข้างนอกให้พระอาจารย์เอียดใหญ่บ้าง ว่ากันโดยวิทยาคุณแล้ว พระอาจารย์ปาลก็เข้มขลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าสำนักรูปอื่นๆ ท่านสำเร็จวิชาสำคัญๆ ของสำนักเขาอ้อแทบทุกอย่าง แต่เพราะยุคของท่านเป็นยุคเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม วัดเริ่มถูกลดบทบาทลง โดยเริ่มจากการศึกษา ซึ่งเคยเป็นหน้าที่ของวัดถูกรัฐบาลเอาไปดำเนินการเสียเอง หน้าที่และความสำคัญหลายอย่างของวัดถูกรัฐบาลนำไปทำเสียเอง วัดเลยลดความสำคัญลงไปมาก พระอาจารย์ปาลก็เลยต้องลดบทบาทลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามท่านก็ทำหน้าที่ของเจ้าสำนักวัดเขาอ้อได้สมบูรณ์ตามสถานการณ์จนกระทั่งมรณภาพ
    พระอาจารย์ปาลอยู่ที่วัดเขาอ้อจนกระทั่งชราภาพมากเข้า ในวาระบั้นปลายของท่าน วัดเขาอ้อเข้าสู่ภาวะซบเซา พระภิกษุสามเณรในวัดมีน้อย ในขณะเดียวกันวัดดอนศาลากลับคึกคักขึ้นมาแทน เมื่อท่านชราภาพจนช่วยเหลือตนเองไม่ค่อยสะดวก ศิษย์รูปหนึ่งของท่าน คือพระอาจารย์ศรีเงิน อาภาธโร รองเจ้าอาวาสวัดดอนศาลา ได้นำท่านมาอยู่ที่วัดดอนศาลา เพื่อจะดูแลปรนนิบัติรับใช้ได้สะดวกกว่า
    พระอาจารย์ปาลอยู่ที่วัดดอนศาลาหลายปี จนกระทั่งเข้าสู่ภาวะเกือบจะสุดท้ายแห่งชีวิต ท่านทราบวาระของตัวเอง จึงขอให้ศิษย์นำกลับไปที่วัดเขาอ้ออีกครั้ง เพื่อที่จะกลับไปมรณภาพที่สำนักวัดเขาอ้อ เหมือนกับเจ้าสำนักรูปก่อนๆ คณะศิษย์เห็นใจ สนองตอบความต้องการของท่าน นำท่านกลับไปอยู่ที่วัดเขาอ้อ พระอาจารย์ปาลกลับไปอยู่ที่วัดเขาอ้อในสภาพอาพาธหนักด้วยโรคชราไม่ถึงสองเดือน ก็ถึงแก่มรณภาพ
    เรื่องที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับชีวประวัติเรื่องหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง คือ เรื่องการสำเร็จวิชานิ้วชี้เพชรของท่านอาจารย์ปาล ในกระบวนวิชาสำคัญๆระดับหัวกะทิที่บุคคลระดับเจ้าสำนักถึงจะได้เรียนนั้น มีวิชานิ้วชี้เพชรเป็นวิชาหนึ่งที่น่าสนใจ เล่ากันว่าใครสำเร็จวิชานี้ นิ้วชี้ด้านขวาจะแข็งเป็นหิน มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ใช้ชี้อะไรก็สามารถกำหนดให้เป็นให้ตายได้ ผู้ที่สำเร็จวิชามรณภาพแล้ว แม้สังขารถูกเผาไฟไหม้ส่วนต่างๆได้หมด แต่นิ้วชี้เพชรจะไม่ถูกไฟไหม้ เพราะเหตุนี้ นิ้วของเจ้าสำนักวัดเขาอ้อจึงถูกเก็บไว้ เท่าที่มีผู้คนเคยเห็น ก็มีนิ้วชี้ของท่านพระอาจารย์ทองเฒ่าซึ่งเก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านสวน วัดสาขาสำคัญอีกวัดหนึ่งของวัดเขาอ้อ สันนิษฐานสาเหตุที่ไปอยู่ที่นั้น ก็เพราะพระอาจารย์คงนำไป คือ เข้าใจว่านิ้วชี้เพชรของท่านอาจารย์ทองเฒ่านั้น ภายหลังจากเผาไม่ไหม้ พระอาจารย์เอียดหรือไม่ก็พระอาจารย์ปาลเก็บรักษาไว้ เมื่อพระอาจารย์มรณภาพ พระอาจารย์คงในฐานะศิษย์ผู้รับมรดกหลายอย่างของพระอาจารย์เอียด ก็ได้รับนิ้วชี้เพชรนั้นไปเก็บรักษาต่อ นิ้วชี้เพชรของปรมาจารย์ทองเฒ่า เคยตั้งให้คนทั่วไปชมอยู่ที่วัดบ้านสวน แต่เมื่อท่านอาจารย์คงมรณภาพก็ถูกเก็บเงียบระยะหนึ่ง แต่ก็มีผู้ยืนยันว่ายังอยู่ที่วัดบ้านสวน แต่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
    ส่วนนิ้วชี้เพชรของพระอาจารย์ปาลนั้นมีผู้ยืนยันว่าเก็บรักษาไว้ที่วัดเขาอ้อ แต่ในปัจจุบันไม่ทราบว่ายังอยู่หรือเปล่า เพราะข้าวของสำคัญๆ ของวัดหลายอย่างได้สูญหายไปภาพหลังท่านมรณภาพ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2011
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    อยู่เป็นเพื่อนกันยามดึกนะคับ

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr> <td class="thead"> ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> momotaro67, THANAT BOON, เอก-ชัย</td></tr></tbody></table>
     
  13. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    โอนแล้วนะครับ เวลา ๒๐.๔๐ น.รายละเอียด PM
     
  14. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    รับทราบครับพี่ชาย ได้ของดีไปถูกหวยอีกก็มาเลี้ยงกันบ้างเน้อ อิอิอิ
     
  15. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    อย่าไปหวังรวยเลยน้อง เอาแค่สนุกนิดหน่อยเพื่อทดสอบเท่านั้นจ้าๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  16. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    ตื่นหรือยัง MO มาทวงของขวัญนะนี่ ไม่งั้นไม่แบ่งบุญนะ
    แล้วก็ไปทำอะหยังแถวนั้น..ไปหาเสน่ห์มาเพิ่มหรอ เผื่อบ้างนะ....555555555

    ตะกรุดมหาเสน่ห์ทั้ง9

    เขียนโดย admin เมื่อ จ, 06/20/2011 - 20:34

    ตะกรุดมหาเสน่ห์ทั้ง9
    -ตะกรุดมหาเสน่ห์ทั้ง9 พระอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นของมหาเสน่ห์แบบสุดๆ รายละเอียดของพระยันต์,พุทธคุณและรูปจะนำมาลงให้ทราบอีกครั้งหนึ่งจำนวนการสร้างๆด้วยกันทั้งหมด30ดอกเหลือให้บูชาในเว็ป21ดอกให้บูชาดอกล่ะ499บาทค่าจัดส่ง50บาทเฉพาะตะกรุด

    ท่านใดสนใจลงชื่อจองได้ในกระทู้โดยลงชื่อจริงพร้อมที่อยู่ในการส่งกลับโดยจะนับเรียงตามลำดับ1-21 กำหนดการโอนเงินและรับตะกรุดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งจำกัดสิทธิ์การจองท่านล่ะ1ดอกต่อ1ที่อยู่เท่านั้นเพื่อเป็นการกระจายของให้ทั่วถึงกัน

    เหลือตะกรุดให้จองได้9ดอกครับ

    รายชื่อผู้จองตะกรุดมหาเสน่ห์ทั้ง9
    1)GEET
    2)จุลวิช
    3)ธันยพัฒน์ ติวาสนันท์
    4)ภราดร รัตนสวัสดิ์
    5)สมนึก ชัยสรรค์
    6)พีรวิชญ์ ดิษย์เทวาทรณ์
    7)ชัยสิทธิ์ เสนาะ
    8)ปราโมทย์ นนทารักษ์
    9)กังวาน กุลสัมพันธ์โกศล
    10)สักกะ
    11)อณุภา พรหมณะ


    12)โมลีพุฒิ ปฐมโพธิ์-จับได้เหมือน


    กันจ้าๆๆๆๆๆๆๆ





     
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458


    555 ม่ายด้ายเลยเพ่ ของดีอย่างนี้ปล่อยไปม่ายด้าย พี่เอ้ย ไม่ต้องใช้แอ็คโพรโว็ก มีตะกรุดนี้นางฟ้าก็กระโดดจากสวรรค์มาหา อิอิอิ:cool:(ping)
     
  18. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    ได้เสน่ห์ล่อสาวแล้วอย่าลืมพี่ชายนะ รอรับของขวัญชิ้นพิเศษอยู่นะ.....รอๆๆๆๆๆๆ
     
  19. รับโชค

    รับโชค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,131
    ค่าพลัง:
    +11,878
    สวัสดีครับท่านโม:cool::cool::cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1092.jpg
      DSCF1092.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.6 KB
      เปิดดู:
      167
  20. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,458
    พระของหลวงพ่ออะไรหรือครับเนื้อสวยดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...