การเตรียม 'ใจ' รับภัยพิบัติ (ในวัฏฏะอันน่าสงสาร)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 7 กันยายน 2011.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    จริงอยู่ที่การฆ่าคนและสัตว์ใหญ<wbr>่นั้นบาปกว่าฆ่าสัตว์เล็ก
    แต่การงดเว้นที่จะฆ่าสัตว์เล็กเ<wbr>ช่นยุงและมดนั้น
    บางครั้งกลับเป็<wbr>นเรื่องยากยิ่งกว่า
    และต้องใช้กำ<wbr>ลังเมตตาที่สูงยิ่งกว่า...
    เป็นบ<wbr>ุญยิ่ง
    ผู้มุ่งเจริญเมตตาหรือพรหมวิหาร<wbr>จึงไม่ประมาทว่าชีวิตสัตว์เล็กน<wbr>ั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย

    การไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่นั้น บางครั้งอาจเป็นเพราะไม่มีโ<wbr>อกาสบ้าง
    ไม่มีความจำเป็นบ้าง (เพราะมีสัตว์ที่ตายแล้วขาย<wbr>ในตลาด)
    เพราะเกรงกลัวกำลังความดุร้<wbr>ายบ้าง เพราะมีกำลังเสมอกันบ้าง
    เพราะมีกำลังต่างกันบ้าง เพราะกลัวอาญาแผ่นดินบ้าง
    เพราะกลัวการถูกแก้แค้นจากบ<wbr>ริวารของสัตว์เหล่านั้นบ้าง<wbr>
    แต่การฆ่าสัตว์เล็ก เช่น มดและยุงซึ่งด้อยกว่าในทุกๆ<wbr>ด้านนั้นเป็นเรื่องง่าย
    การยับยั้งงดเว้นไว้จึงเป็น<wbr>เรื่องยาก ต้องใช้กำลังเมตตาสูง....


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=NQkI56R87EM&feature=mfu_in_order&list=UL"]http://www.youtube.com/watch?v<wbr>=NQkI56R87EM&feature=mfu_in_or<wbr>der&list=UL[/ame]
    อานิสงส์เมตตา

    “ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “เมตตาเจโตวิมุติ"
    คือ ความหลุดพ้นแห่งจิตด้วยเมตตา อันบุคคลอบรมแล้ว ทำให้มีแล้ว ทำให้มากแล้ว
    ทำให้เหมือนยานพาหนะแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนือง ๆ แล้ว
    สะสมไว้ดีแล้ว อบรมไว้แก่กล้าแล้ว
    ย่อมหวังได้อานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ


    ๑. นอนหลับสบาย
    ๒. เวลาตื่นก็สบาย
    ๓. ไม่ฝันลามก
    ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
    ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
    ๖. เทวดาทั้งหลายรักษา
    ๗. ไฟไม่ไหม้ ไม่ถูกยาพิษและอาวุธ
    ๘. หน้าตาเบิกบาน ใจมั่นคง
    ๙. สีหน้า ผ่องใส
    ๑๐. ไม่หลงใหลในเวลาตาย
    ๑๑. เมื่อยังไม่สำเร็จอรหันต์ ก็ได้เกิดในพรหมโลก”


    มีเรื่อกล่าวไว้อีกว่า สุวรรณสาม ผู้อยู่ในเมตตา ผู้มีหมู่เนื้อเป็นบริวารอยู่ในป่าใหญ่
    ถูกพระยาปิลยักษ์ยิงด้วยลูกศรอันอาบด้วยยาพิษ ล้มสลบอยู่ในที่นั้นทันทีดังนี้

    ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอานิสงส์เมตตามีอยู่อย่างนั้นจริง เรื่องที่ว่าสุวรรณสามถูกศรพระยาปิลยักษ์นั้นก็ผิด
    ถ้าเรื่องที่ว่าสุวรรณสามถูกศรพระยาปิลยักษ์นั้นถูก ข้อที่ว่าถึงอานิสงส์เมตตานั้นก็ผิด

    ปัญหาข้อนี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาละเอียดลึกซึ้ง
    ขอได้โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยแก่บุคคลในภายหน้าด้วย”


    พระนาคเสนแก้ไขว่า

    “ขอถวายพระพร ข้อที่ว่า ด้วยอานิสงส์ เมตตานั้นก็ถูก ที่ว่าสุวรรณสามถูกลูกศรพระยาปิลยักษ์นั้นก็ถูก
    แต่ว่าในข้อนั้นมีเหตุการณ์อยู่เหตุการณ์นั้นคืออะไร....คือคุณอานิสงส์ เหล่านั้นไม่ใช่คุณอานิสงส์ของบุคคล
    เป็นคุณอานิสงส์แห่งเมตตาภาวนาต่างหาก

    เมื่อสุวรรณสามยกหม้อน้ำขึ้นบ่านั้น เผลอไปไม่ได้เจริญเมตตา คือในขณะใดบุคคลเจริญเมตตาอยู่
    ในขณะนั้นไฟก็ไม่ไหม้ ยาพิษก็ไม่ถูกอาวุธก็แคล้วคลาด ผู้มุ่งทำร้ายก็ไม่ได้โอกาสจึงว่าคุณเหล่านั้น
    เป็นคุณแห่งเมตตาภาวนาไม่ใช่คุณแห่งบุคคล ขอจงทรงทราบด้วยอุปมาดังนี้

    เปรียบประดุจบุรุษผู้แกล้วกล้า สวมเกราะแน่นหนาดีแล้วย่อมเข้าสู่สงคราม
    เมื่อบุรุษย่างเข้าสู่สงคราม ลูกศรที่ข้าศึกยิงมาถึงถูกก็ไม่เข้า การที่ลูกศรถูกไม่เข้านั้น ไม่ใช่
    คุณความดีของผู้แกล้วกล้าในสงความ เป็นคุณความดีของเกราะต่างหาก

    ข้อนี้มีอุปมาฉันใด อานิสงส์ ๑๑ อย่างนั้นก็ไม่ใช่คุณความดีของบุคคล
    เป็นคุณความดีของเมตตาภาวนาต่างหากฉันนั้น

    อีกประการหนึ่ง เหมือนกับบุรุษมีรากยาทิพย์ หายตัวยังอยู่ในมือตราบใด ก็ไม่มีใครเห็นตราบนั้น
    การไม่มีผู้เห็นนั้น ไม่ใช่เป็นความดีของบุรุษนั้นเป็นความดีของรากยานั้นต่างหาก

    “น่าอัศจรรย์ ? พระนาคเสน เป็นอันว่า เมตตาภาวนา ป้องกันสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้”

    “ขอถวายพระพร เมตตาภาวนาย่อมนำคุณความดีทั้งสิ้นมาให้แก่บุคคลทั้งหลาย
    ผู้ที่ต้องการอานิสงส์เมตตา ควรเจริญเมตตา ขอถวายพระพร”


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2011
  2. ยัย fame

    ยัย fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +104
    ถ้าไม่ฆ่าพวกยุง มด มันก็สร้างความเดือดร้อนให้เราเหมือนกัน มดเต็มบ้านจะให้ทำยังไง ไล่แล้วเดี๋ยวก็มา ยุงก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่กัด เราคงไม่ฆ่ามันหรอกจริงไหม ขืนปล่อยไว้ออกลูกออกหลานเต็มไปหมด สัตว์พวกนี้เราฆ่าเพราะเขาอยู่ในบ้านของเราเท่านั่้น ไม่ใช่เห็นที่ไหนก็ฆ่าซะเมื่อไร......แล้วบางครั่งก็นำเชื้อโรคมาแพร่.....อย่างนี้จะไหวเหรอ.......บ้านใครใจบุญก็อาจจะเลี้ยงไว้ก็ได้นะคะ...
     
  3. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    แล้วแต่ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติของแต่ละท่าน ซึ่งพรหมวิหารธรรมเป็นธรรมที่สำคัญต่อการปฏิบัติ หากทำได้ครบถ้วนถือว่ากุศลสูงสุด

    หากแต่มนุษย์ปุถุชน คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่นเลย เพราะอาจมีประมาท พลั้งเผลอได้

    ส่วนเรื่องมด ปลวก ยุง หรือแมลงรำคาญต่าง ๆ ที่รบกวนในบริเวณบ้าน หากไม่อยากเบียดเบียนชีวิต เราอาจป้องกันไม่ให้บ้านเราเป็นที่อยู่ของเขาเหล่านั้น เช่น ทำความสะอาดบ้านให้สะอาด ให้สมุนไพรที่มีกลิ่นป้องกันไม่ให้เขาเหล่านั้นเข้ามา ก็พอป้องกันได้ในระดับหนึ่ง
     
  4. ped2011

    ped2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ขอบคุณครับ...แหม ชอบชื่อกระทู้จัง หุหุ:cool:
     
  5. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    อันบุคคลทำร้ายกันด้วย 'ปาก' เจ็บแสบยิ่งกว่า 'ปาก' ของสัตว์เล็กๆ

    ขอบพระคุณที่ท่านแย้งมา
    ตามที่คุณ fame กล่าวมานั้น ถูกต้องทุกประการครับ
    สัตว์พวกนี้ก่อความเดือดร้อน น่ารำคาญเสียจริง
    แต่ก็เพราะที่ท่านกล่าวแย้งมานั่นล่ะเป็นเครื่องสนับสนุนว่า
    การยับยั้งงดเว้นชีวิตสัตว์เหล่านั้นไว้เป็นเรื่องยาก และต้องใช้เมตตาสูง
    (และใช้ความอดทนสูงด้วย ^____^)

    อันบุคคลทำร้ายกันด้วย 'ปาก'
    คือกล่าววาจาจาบจ้วงล่วงเกินกันนั้น
    เจ็บแสบยิ่งกว่า 'ปาก' ของสัตว์เล็กๆที่ขบกัด

    ครั้งหนึ่ง นางมาคันทิยานารี บุตรีพราหมณ์
    ผู้มีโฉมเลอเลิศผูกใจเจ็บเพราะสมณโคดมที่ไม่หลงรูปของตน
    ได้ว่าจ้างข้าทาสบริวารให้เที่ยวตามด่าพระศาสดาไปทั่วทุกมุมเมืองโกสัมพี
    ด้วยถ้อยคำเสียดสีผรุสวาทล่วงเกินอย่างรุนแรง
    พระอานนท์ร้อนใจทูลให้พระพุทธองค์เสด็จไปเสียจากเมืองนั้น
    แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมโนหนักแน่น สงบนิ่ง
    “อานนท์… ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว
    อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน ก็เพราะเห็นว่ากำลังพอกัน ยังอาจทำร้ายกันได้
    แต่ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ต่ำต้อยกว่าตน เรียกว่า อดทนสูงสุด
    ผู้มีความอดทนและมีเมตตาย่อมอยู่เป็นสุข
    เปิดประตูความสงบได้โดยง่าย และขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้”


    ฉันใดก็ฉันนั้นเองความอดทนและเมตตาต่อสัตว์ผู้ต่ำต้อยด้อยอำนาจกว่าตนในทุกๆทาง
    ก็ไม่ควรกล่าวว่าเป็นของเล็กน้อย ไม่ควรว่าเป็นเมตตาที่เล็กน้อย

    แม้การฆ่าสัตว์เล็กจะเป็นบาปน้อย
    แต่ไม่ควรกล่าวว่าการงดเว้นชีวิตสัตว์เล็กนั้นเป็นเมตตาที่เล็กน้อย

    (หมายเหตุ : การฆ่าสัตว์จะมีโทษมากหรือโทษน้อยย่อมขึ้นอยู่กับ
    1. ขนาดร่างกายของสัตว์ที่ถูกฆ่า
    2. คุณธรรมหรือศีลของสัตว์ที่ถูกฆ่า
    3. ความเพียรและเจตนาของผู้ฆ่า)


    ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิใคร เพียงต้องการชื่นชมผู้มีเมตตาจิต
    และหวังชี้ช่องสำหรับผู้ต้องการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป
    ซึ่งก็สุดแท้แต่ใครจะมีปฏิปทาเช่นไร

    ปฏิปทาของพระโสดาบันหรือผู้ปฏิบัติเพื่อพระโสดาบันนั้น
    ประการหนึ่งคือทรงศีลบริสุทธิ์ อย่างน้อยขั้นต่ำคือศีล 5

    เหตุผลของคนจำนวนมาก
    ที่บอกว่าไม่สามารถรักษาศีล 5 ได้ ก็คือการตบยุง ฆ่ามดนี่ล่ะ


    ก่อนที่จะชี้แจงถึงวิธีรักษาศีลโดยไม่ต้องตบยุงฆ่ามดซึ่งเป็นไปได้จริงนั้น
    อยากจะชี้แจงถึงต้นเหตุที่นำเรื่องนี้มากล่าวเสียก่อน

    เหตุใดผู้เขียนถึงได้ยกเรื่องนี้มากล่าวในห้อง ภัยพิบัติและการเตรียมการ
    ในกระทู้นี้คือ การเตรียมใจเพื่อรับภัยพิบัติ

    เนื่องจากครูบาอาจารย์ของผู้เขียน และท่านผู้มีความรู้หลายท่านกล่าวว่า
    การจะรอดพ้นจากภัยพิบัตินั้นขั้นต่ำคือผู้ปฏิบัิติเพื่อพระโสดาบัน หรือพระโสดาบัน
    (โสดาปฏิมรรค หรือโสดาปฏิผล)

    อันจัดเป็นอริยะบุคคลเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา
    ซึ่งมีการทรงศีล 5 กรรมบถ 10
    และจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4
    เป็นอันว่า 'โสดาปฏิมรรค'และ 'โสดาปฏิผล' นั้นยังมีความโกรธ
    แต่ไม่ผูกโกรธ มีจิตใจเมตตาและไม่ยอมละเมิดศีล 5

    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านสอนว่า...

    "พระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดีนั่นเอง
    แต่ที่เรียกว่าพระโสดาบันก็คือว่า เป็นผู้มีกระแสหรืออารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพาน
    เป็นบุคคลที่ไม่ถอยหลัง เดินก้าวไปตามลำดับ
    "

    "พระโสดาบันที่แท้จริง อารมณ์ที่ทรงได้ก็คือ
    ๑.มีความเคารพในพระรัตนตรัย
    คือเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์
    ๒.มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๓.มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์"


    "ยอมรับนับถือคุณรัตนตรัย ก็คือ เคารพในศีล ๕ ไม่ละเมิดศีล ๕
    ถ้าเรายังละเมิดในศีล ๕ อยู่ จะบอกว่าเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ยังไม่ได้
    ยังฝ่าฝืนคำแนะนำสั่งสอนกันอยู่ เขาเรียกว่าเป็นคนหัวดื้อรั้น ไม่เชื่อกัน
    ถ้าเคารพจริง รักกันจริง เชื่อกันจริง ก็ต้องปฏิบัติไม่ฝ่าฝืน
    ต้องทรงศีลให้บริสุทธิ์ นี่จัดว่าเป็นทุน ถ้าเราตายเวลานี้เราจะไม่ไปอบายภูมิ"

    "เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแท้จริง ๆ ก็คือ
    การเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์
    และก็ มีศีล 5 บริสุทธิ์
    นี่เนื้อแท้ของ พระโสดาบัน เป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นเสา หรือว่าตัวอาคาร"


    อ้างอิงจาก
    คุณสมบัติพระโสดาบัน
    องค์ประกอบของปาณาติบาติ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2011
  6. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    หากเมื่อเทียบขนาดแล้ว สำหรับโลก...คนก็มีขนาดไม่ต่างอะไรกับมดและยุง
    ยิ่งเมื่อเทียบกับจักรวาลแล้วคนเป็นยิ่งกว่าเศษฝุ่น คนจึงไม่ควรประมาทธรรมชาติ

    มีเพียงคุณธรรมเท่านั้นที่ทำให้คนกลายเป็นอริยะบุคคลอันประเสริฐและยิ่งใหญ่

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=jM6-_cB2J0Q&feature=player_embedded#"]มาดูโลกอยู่ที่ไหนของจักวาล - YouTube[/ame]

    คุณดังตฤณได้เคยตอบคำถามไว้

    คำถาม : อยากทราบว่าการตบยุงถือเป็นการผิดศีลไหม
    และจะขัดขวางการเจริญสติเพียงใด

    นี่เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยที่สุด
    และคิดว่าจะตอบได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อผู้ถามเป็นนักเจริญสติ
    ซึ่งใจหวังความหลุดพ้นจากกองทุกข์กองกิเลสทั้งปวงเป็นหลัก

    เรื่องตบยุงนี่นะครับ แทนที่จะแค่คิดว่าบาปหรือไม่บาป
    ผมอยากให้คุณมองเป็นภาพใหญ่ภาพรวมไปเลย ว่าเรากำลังอยู่ในจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง
    นับตั้งแต่ระดับกาแล็กซีชนกัน ดวงดาวชนกัน เมฆชนกัน
    เครื่องบินชนกัน รถไฟชนกัน รถยนต์ชนกัน คนชนกัน
    เรื่อยลงไปจนถึงระดับอะตอมชนกัน

    นี่คือจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง
    ตราบเท่าที่คุณยังอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ อย่างไรคุณก็หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งไปไม่พ้น
    เพราะมันคือธรรมชาติขั้นพื้นฐานที่มีมาแต่ดั้งเดิม


    สิ่งมีชีวิตกระทบกระทั่งสิ่งมีชีวิตด้วยรูป แบบที่พิสดารกว่าการกระทบกระทั่งของสิ่งไร้ชีวิต
    และรูปแบบของการกระทบกระทั่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือการรบกวนให้รำคาญกัน ทำให้เจ็บใจกัน
    หรือกระทั่งทำให้แค้นแน่นอกขนาดคิดลงมือประหัตประหารกัน
    จิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้เสวยภพแห่งการมีภาวะอะไรอย่างหนึ่ง
    ก็ด้วยการจองเวรกันไปจองเวรกันมา อยากกระทบกระทั่งกันไม่เลิกรานี่เอง

    คุณถูกยุงเบียดเบียน แล้วยุงก็เหมือนเป็นสัตว์ตัวจ้อยไร้ค่า ตบให้ตายๆไปเสียก็ไม่เห็นจะผิดแปลก
    แต่เรื่องของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ค่าของชีวิตยุง
    เรื่องของเรื่องอยู่ที่คุณมีเจตนาฆ่า พยายามฆ่า และฆ่าสิ่งมีชีวิตสำเร็จ

    เมื่อยังมีความยินดีในการฆ่า
    ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีวนเวียนอยู่ในวงจรของการผลัดกันฆ่า
    ต่อเมื่อหมดความไยดีในการฆ่าอย่างไร้เงื่อนไข จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้อโหสิ
    และพร้อมจะสละสิทธิ์ในการเป็นผู้อยู่ร่วมจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่งเสียที


    ลองดูปาฏิหาริย์ของการไม่คิดเบียดเบียนกันและกันเถิดครับ
    คุณไม่ตบยุง ยุงก็ไม่กัดคุณ หรือถึงกัดก็กัดน้อย
    ยิ่งถ้าหากเจริญสติได้จนถึงภาวะหนึ่งที่จิตรินเมตตาออกมาเอง
    ก็เหมือนทุกที่ที่คุณอยู่แทบปลอดจากการรบกวนจากสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเหล่านั้น อย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว

    ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติที่กล่าวข้างต้นไม่ใช่ ทำกันวันสองวันนะครับ
    แต่ต้องพิสูจน์ใจกันเป็นเดือนเป็นปี กระทั่งธรรมชาติแน่ใจแล้วว่าคุณอยากออกจากวัฏฏะแห่งการเบียดเบียนแน่ๆ
    ปาฏิหาริย์แห่งชีวิตประจำวันของผู้ทรงศีลจึงแสดงตัว

    ตรงข้าม คงเห็นกันนะครับว่ายิ่งมีจิตประทุษร้ายมาก คิดฆ่ามากๆ
    ก็จะยิ่งถูกรบกวนมากเป็นเงาตามตัว เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว
    ในที่สุดคุณจะพบกับความจริงว่าโลกนี้ แต่ละคนมีที่ยืนเฉพาะตนอยู่ที่หนึ่ง
    เป็นแนวโน้มว่าจะต้องกระทบกระทั่งหรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นมากน้อย เพียงใด
    และที่ยืนนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันคือจิตของแต่ละคนที่เป็นผู้มีศีลหรือไร้ศีลนั่นเอง
    จิตของผู้มีศีลย่อมสะอาด ปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจ
    เมื่อตั้งมั่นแล้วจะรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในเขตปลอดภัยตลอดเวลา
    พร้อมจะเจริญสติได้อย่างมีกำลังและความมั่นใจ
    ส่วนจิตของผู้มีศีลด่างพร้อยหรือขาดทะลุ ย่อมเต็มไปด้วยความกระวนกระวายเดือดเนื้อร้อนใจ
    เมื่อตั้งมั่นแล้วย่อมรู้สึกเหมือนต้องวิ่งพล่านอยู่ในเขตอันตรายทั้งวัน ทั้งคืน
    จะเอาเวลาที่ไหนไปทำความสงบให้จิตได้พอจะเจริญสติไหวเล่า?

    คัดลอกจาก รู้เฉพาะตน

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  7. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เรื่อง"ยุง"แก้อย่างไร?
    โดยหลวงพ่อ
    (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    กระทู้เก่า

    http://palungjit.org/threads/เรื่อง-ยุง-แก้อย่างไร-โดยหลวงพ่อ.48460/

    แล้วลองเสริชดูจากกูเกิ้ลซิครับ.....
    เช่น ว่าตบยุงบาปหรือเปล่า อะไรทำนองนี้
    คุณอาจจะแปลกใจที่มีคนอีกมากมายค้นพบว่า...
    เมื่อตั้งใจรักษาศีล ศีลก็จะรักษาเรา

    มีหลายคนเล่าว่าเมื่อตั้งใจรักษาศีลแบบไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด
    กลับพบว่าสัตว์เ็ล็กๆ เช่น ยุงไม่มารบกวนอีก หรือรบกวนน้อยลงกว่าแต่ก่อน


    ขอเพียงตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดศีล ด้วยอานุภาพแห่งศีล ปัญญาก็จะเกิด
    มีหลายคนที่แบ่งปันวิธีการป้องกันตัวเองโดยไม่ต้องผิดศีล

    การยอมรักษาศีลแท้จริงแล้ว คือการยอมให้ศีลรักษาเรา
    ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  8. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
  9. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    เด็ดใบไม้เพียงหนึ่งใบ สั่นไหวถึงดวงดาว
     
  10. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งห<wbr>ลายทรงกำลังใจ 3 ประการครบถ้วน คือ
    ๑. เราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
    ๒. เราจะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลใด<wbr>ทำลายศีล
    ๓. เราจะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำล<wbr>ายศีลแล้ว
    เท่านี้เป็นที่พอใจขององค์สมเด็<wbr>จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัม<wbr>พุทธเจ้า
    ... ชื่อว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้ง<wbr>หลายเป็นผู้มีศีลบารมีครบถ้วนเต<wbr>็มจำนวนที่ พระพุทธเจ้าต้องการ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมย<wbr>าน
    (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
  11. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ด้วยวัฏสงสารนั้นมีภัยอันตรายอันร้ายกาจอันหนึ่ง
    คือเป็นเกมแห่งการหลงลืม เพราะด้วยฤทธิ์อวิชชา เพื่อเหนี่ยวรั้งสัตว์ไว้ในวัฏฏะ
    ในยามเปลี่ยนภพชาติ เปลี่ยนอัตภาพ ก็หลงลืมเรื่องในอดีตชาติเสีย




    ผู้มีบุญมาเกิดนั้นมีความแตกต่างกัน
    ทั้งนี้เพราะอาศัยกรรมที่แตกต่างช่วยตบแต่ง

    บางพวกเกิดมารูปสวย เพราะผลบุญชนิดที่ส่งผลให้สวย
    บางพวกเกิดมารวยทรัพย์ เพราะผลบุญชนิดที่ส่งผลให้รวยทรัพย์
    บางพวกเกิดมามีปัญญา เพราะผลบุญชนิดที่ส่งผลให้มีปัญญา

    บางพวกมุ่งแต่ทำทาน พร้อมอธิษฐานขอให้เกิดมารวยทุกชาติไป
    เพราะได้ยินมาว่าทำกุศลแบบนี้แล้วจะรวย
    แต่ขาดบารมีด้านศีลและปัญญา คือไม่รักษาศ๊ล ไม่ชอบฟังธรรม ไม่ชอบให้ธรรมทาน
    เมื่อเกิดมาในชาติต่อๆ มา จึงเป็นคนร่ำรวยแต่ขาดปัญญา

    หรือบางคนถวายดอกไม้สวยงามเป็นพุทธบุชา หรือตั้งใจรักษาศีล
    แต่อธิษฐานหวังผลเพียงแค่ให้มีรูปสวย เพราะได้ยินมาว่าทำกุศลแบบนี้แล้วจะสวย
    ไม่ชอบฟังธรรม ไม่ชอบให้ธรรมทาน
    ชาติต่อ ๆ มาจึงเป็นคนสวยแต่ขาดปัญญา

    ด้วยวัฏสงสารนั้นมีภัยอันตรายอันร้ายกาจอันหนึ่ง
    คือเป็นเกมแห่งการหลงลืม เพราะด้วยฤทธิ์อวิชชา เพื่อเหนี่ยวรั้งสัตว์ไว้ในวัฏฏะ
    ในยามเปลี่ยนภพชาติ เปลี่ยนอัตภาพ ก็หลงลืมเรื่องในอดีตชาติเสีย


    ผู้ร่ำรวยแต่ขาดปัญญา เพราะอดีตนั้นทำทานด้วยความโลภมิได้หวังเพื่อมุ่งสงเคราะห์ใคร
    เพราะหลงลืมไปแล้วว่าตนร่ำรวยในชาตินี้ได้เพราะอดีตทำอะไร
    จึงลืมตัวนำทรัพย์ที่ได้มาไปก่อกรรมชั่ว ลงทุนสร้างความชั่ว
    หากมีปัญญาอยู่บ้างแต่ก็เป็นปัญญาแบบมิจฉาทิฐิ ก็ยิ่งโกงยิ่งทำชั่วได้ซับซ้อน
    ดังนั้นยิ่งร่ำรวยมากแต่ขาดปัญญาก็ยิ่งสร้างบาปกรรมให้ตัวเองมาก
    นี่คือความน่ากลัวของเกมแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    บุญนั้นจึงมีอันตรายอยู่ในตัวเอง หากขาดปัญญา

    สำหรับอภิมหาเศรษฐีบางคนหากเขาเกิดมายากจน
    เขาก็อาจกลายเป็นคนไม่มีอำนาจอะไรจะไปสร้างกรรมกับคนทั้งแผ่นดินได้มากมาย

    ครั้นชาติต่อไปกลับยากจนลง จึงสำนึกเจียมเนื้อเจียมตัวเจียมตน
    และคิดว่าทำอย่างไรหนอจึงจะร่ำรวยอย่างคนอื่นเขา
    หากไปได้คำแนะนำของคนชั่วก็ชักชวนกันทำชั่วเพื่อสร้างความร่ำรวย
    แต่หากไปได้คำแนะนำที่ดีก็หมั่นทำทาน แต่หากยังไม่มีปัญญาเหมือนเช่นเดิมอีก
    ก็จะอธิษฐานเพียงความร่ำรวย อย่างเช่นที่เคยอธิษฐานมา
    เวียนว่ายตายเกิด ก็จะสลับไปมาแบบนี้ รวยบ้าง จนบ้าง สลับกันไป
    เมื่อรวยก็ลืมตัวเสวยสุข ครั้นเมื่อจนก็เจียมตัวสร้างบุญ
    เป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีปัญญาบารมี

    คำอธิบายของผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีแล้วเอารูปร่างหน้าตาไปขายบริการ
    หรือล่อลวงผู้อื่นให้มัวเมายั่วยุกิเลสก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน
    คือบางชาติที่เกิดมาไม่สวยงาม ก็เจียมเนื้อเจียมตัวเร่งสร้างบุญกุศลอธิษฐานให้เกิดมาสวยงาม
    ครั้นเมื่อได้เสวยผลคือมีรูปร่างสวยงามนั้นแล้วก็ลืมตัว ก่ออกุศลกรรม
    วนเวียนสลับไปมาเช่นนี้เพราะขาดปัญญาบารมี


    ยังมีอีกพวกหนึ่ง ที่ในอดีตชาติเกิดในยุคที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนา
    หรือเกิดในถิ่นที่ห่างไกลจากพระพุทธศาสนา
    ท่านเหล่านี้อาจเป็นนักบวชบำเพ็ญศีลบารมีอยู่ในป่า หรือเป็นชาวบ้านป่าในที่ชนบท
    จึงไม่ได้มีโอกาสได้ทำทาน อาจเพราะอยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับใครหรือไม่ค่อยได้พบพระผู้ทรงศีล
    จะมีโอกาสทำทานแต่เพียงนอกเขตพระพุทธศาสนา
    เช่น ทำทานในสัตว์เดรัจฉานหรือปุถุชนผู้มีกิเลส แม้จัดเป็นทานก็ให้ผลให้ผลน้อย
    ท่านเหล่านี้เมื่อยังวนเวียนอยู่ในวัฏฏะก็จะมีจริตนิสัยไปในทางชอบนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ชอบสันโดษ
    อีกทั้งสมาธิของท่านนั้นมีแต่ทำจิตให้สงบนิ่ง แต่ขาดวิปัสสนา จึงขาดปัญญาหรือมีปัญญาเล็กน้อย
    ท่านเหล่านี้มักสนใจธรรม ชอบปฏิบัติธรรม ส่วนฐานะนั้นไม่ร่ำรวยเพราะขาดทานบารมี
    แต่ท่านเหล่า ๆ นี้ ก็อาจตัดสินใจบวชในพระพุทธศาสนาโดยง่าย
    และหากได้ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมก็บรรลุธรรมได้เร็วกว่า เพราะมีพื้นฐานของเนกขัมมะบารมี (การบวช) ในอดีต

    ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงควรบำเพ็ญบารมีให้ครบทั้ง 10 ประการ
    พร้อมทั้งมุ่งตัดสังโยชน์เพื่อความหลุดพ้นจากวัฎฎะอันน่าสงสาร


    บารมี 10 ทัศ
    �����


    บทที่ ๔ - เหตุใดจึงเป็นผู้มีรูปงาม?
    ����� � - �˵�㴨֧�繼�����ٻ���?


    บทที่ ๕ - เหตุใดจึงมีฐานะร่ำรวย?
    ����� � - �˵�㴨֧�հҹ�������?


    บทที่ ๖ - เหตุใดจึงมีสติปัญญามาก?
    ����� � - �˵�㴨֧��ʵԻѭ���ҡ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2011
  12. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    มีคำกล่าวของพระป่าท่านหนึ่ง
    ท่านเทศน์ว่า "ติดชั่ว ติดดี อับปรีย์พอกัน"

    หากท่านผู้อ่านยึดติดรูปแบบเกินไปย่อมวิจารณ์ว่าพระอะไรพูดไม่เพราะ
    แต่บางทีพระป่าท่านนั้นอาจจะไม่มีภัยเวรใดๆเพราะใจท่านไม่มีอุปทานยึดติด
    แต่กลับกันผู้วิจารณ์อาจมีไฟนรกร้ายกาจรออยู่เบื้องหน้า
    ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใด ขอเชิญท่านวิเคราะห์วิจัยอย่าเพิ่งด่วนวิจารณ์

    บางครั้งนั้นหากเรายึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ ก็อาจมองอะไรพลาดไป
    สิ่งที่สำคัญควรอยู่ที่สาระมากกว่าลีลา
    เพราะบางท่านเป็นดั่งยิมนาสติกลีลาใหม่ เลยอาจไม่ถูกใจไม่เข้าตา
    ด้วยรูปแบบลีลาใหม่ดูแล้วบางทีไม่เข้าตา ไม่เข้าหู
    เลยพาลไม่เข้าใจ อาจเพราะใจไม่เปิด

    พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นจริงแน่
    แต่จากคำพูดของพระป่าที่ท่านเทศน์ไว้
    "ติดชั่ว ติดดี อับปรีย์พอกัน"

    คือหากยังติดดีนั้น อย่างมากที่สุดก็ไปได้เพียงสวรรค์หรือพรหม
    แต่ยังมิอาจหลุดพ้นจากกฏแห่งกรรมและวัฏสงสาร

    การทำดีแต่ไม่ติดดี คือ ทำดีโดยเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น ทำด้วยจิตเมตตากรุณา
    หากทำดีเพราะอยากดีเพื่ออวดดี หวังให้มีคนยกย่องชื่นชม
    หรือเพื่อหวังว่าจะได้ไปเกิดในสวรรค์
    หรือหวังว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่รวยหรือมีรูปร่างสวยงาม
    แบบนี้คือยัง 'ติดดี' จึงยังติดอยู่ในวัฏฏะสงสารต่อไป



    สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
    ธรรมทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แม้แต่ธรรม

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมเป็นเหมือนพ่วงแพ สำหรับให้ข้ามฝั่ง
    เมื่อข้ามฝั่งได้แล้วก็ให้ทิ้งแพเสีย ไม่ต้องแบกแพขึ้นไปด้วย
    เราสอนให้ละแม้แต่ธรรม จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า

    คำเตือน คือไม่ใช่ไปเข้าใจว่าต่อไปอยากทำอะไรก็ทำตามใจไม่มีผลต้องรับ
    ในชั้นต้นก็ต้องถือธรรมไปก่อน เว้นอกุศลธรรม ถือกุศลธรรม ไปก่อนเพื่อความปลอดภัย
    ต้องเว้นบาปถือบุญ เว้นความชั่วถือความดีไปก่อน เพียงแต่พยายามไม่ยึดติด
    ไม่หวงบุญ ไม่ฟุ้งในบุญ ไม่ใช่ยิ่งทำบุญแต่ใจยิ่งคิดอิจฉาพยาบาทผู้อื่น

    บุญนั้นเป็นดั่งเรือ เมื่อยังไม่ถึงฝั่ง ยังอยู่ในทะเล
    ก็อาศัยเรือไปก่อน แต่ก็ไม่ยึดติดกับเรือนั้น

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=I4_fMPXJcSU&feature=related"]????????????? ????????? ????? - YouTube[/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ezoid9KzBws&feature=related"]????????????????????? - YouTube[/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Br1-GbRVAp4&feature=related"]?????????? (?????????????) ?? ????? - YouTube[/ame]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  13. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    การเกิดและใช้ชีวิตของมนุษย์คือ<wbr>เกมแห่งการเวียนตายเวียนเกิด
    มันไม่ต่างจากเกมส์ทั้งหลายใน Facebook
    ถึงแม้จะได้คะแนน สร้างเมือง สร้างฟาร์ม สร้างร้านอาหารใหญ่โตแค่ไหน
    หรือ<wbr>มีทรัพย์สินเงินทองมากมายแค่ไหน<wbr> แต่เมื่อออกจากเกมส์เราก็ไม่เหล<wbr>ืออะไร
    เราอาจเห็นได้โดยง่ายว่าเกมส์เห<wbr>ล่านั้นเป็นมายา แต่เกมวัฏฏะสงสารหลอกเราได้แนบเ<wbr>นียนกว่า


    .... ฉันเบื่อเล่นเกมแล้ว

    ตั้งใจขอไปเย็นสงบที่พระนิพพาน

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=udfUBubTtAY&feature=player_embedded#"]????????? (????????????? ??????????) - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  14. นิพพานะ

    นิพพานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +527
    อนุโมทนากับท่าน karan 20 ด้วยครับ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2011
  15. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เมื่อนัก (หัด) เจริญสติ มีความรัก ผลลัพธ์ที่ได้คือ.......



    "คิดถึงเธอทุกลมหายใจ"




    คำอธิบาย :
    ไม่ใช่การเอาเธอคนนั้นหรือความรักมาเป็นสรณะที่พึ่ง
    หรือเก็บเอาเธอมาคำนึงคิดถึงทุกลมหายใจ
    แต่นัก (หัด) เจริญสติ เมื่อคิดถึงคนรักเมื่อใด ก็กำหนดสติรู้ลมหายใจเข้าออก
    ส่วนใจหากยังเฝ้าคิดถึงคนรัก ก็ตามรู้ไป
    ทำเพียงเฝ้ารู้ดูอยู่อย่างนั้น เห็นการเกิดดับของอารมณ์

    สำหรับปุถุชนนั้น
    การคิดถึงคนรักง่ายกว่าการคิดถึงพระ
    ดังนั้นเมื่อคิดถึงคนรักเมื่อไหร่ก็ถือโอกาสตั้งสติ เจริญสติ
    ใช้เป็นนิมิตเครื่องเตือนใจให้กำหนดรู้ลมหายใจและอาการของจิต

    หลวงปู่ดู่ท่านว่า
    " ถ้าเราคิดถึงพระได้เหมือนกับคิดถึงแฟนเมื่อไหร่แสดงว่าจะดีแล้ว"




    หลวงปู่ดู่

    [​IMG]

    "คิดถึงพระครั้งหนึ่ง บารมีพระมาถึงเราไปกลับ ๗ เที่ยว รวมแล้ว ๑๔ ครั้ง ได้กำไรดีไหมล่ะ
    นี่มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์
    ถ้าเราคิดถึงพระได้เหมือนกับคิดถึงแฟนเมื่อไหร่ แสดงว่าจะดีแล้ว"


    "อย่างข้าเอง คนไหนคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา
    คนไหนไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา
    เพราะในวันหนึ่งๆ ข้าต้องอธิษฐานไปให้หมู่คณะทุกวันไม่เคยขาด
    วันละ ๓ ครั้ง เขาจะได้ไม่เป็นอันตราย
    ทั้งเช้ามืด ตอนเย็น ตอนกลางคืน ก่อนนอน
    เพื่อเป็นการช่วยเหลือหมู่คณะ"



    [​IMG]






    หลวงพ่อชา

    [​IMG] [​IMG]


    หลวงพ่อชาหันหน้ามาจ้องหน้าพระฝรั่งหนุ่มรูปหนึ่งแล้วพูดว่า
    "คุณกำลังคิดถึงแฟนสาวที่แอลเอโน้นแน๊ะ"
    พระฝรั่งหนุ่มรูปนั้นตกใจ กราบขอขมาหลวงพ่อชาเป็นการใหญ่
    หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าคิดถึงแฟนมากก็เขียนจดหมายไปหาเขาได้นะ"
    พระฝรั่งแปลกใจถามว่า "ทำได้หรือครับหลวงพ่อ"
    หลวงพ่อชาว่า "ได้ซิ...แต่คุณเขียนบอกเขานะว่า
    คุณคิดถึงเขามาก ให้เขาขี้ใส่ขวดแล้วส่งกลับมาให้
    เวลาคุณคิดถึงเขาจะได้เอาขี้ขี้นมาดมให้หายคิดถึง
    "


    พระฝรั่งกลั้นหัวเราะกันแทบน้ำหูน้ำตาไหล

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2011
  16. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ถ้าโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา เราก็ไม่มีอะไรมาแต่แรก
    ดังนั้นที่สุดแล้วที่เราเสียไปก<WBR>็คือ 'เสียใจ' แต่เราไม่เคย 'เสียอะไร' ไปจริง ๆ เลย
    เรารู้แต่ว่าวันนี้เสียใจมาก แต่เราอาจไม่มีวันรู้หรอกว่าวัน<WBR>ไหน 'เสียใจที่สุด'
    ตราบใดที่ยังไม่สิ้นสุดวัฏฏะอันน่<WBR>าสงสาร ย่อมไม่สิ้นสุดความเสียใจ

    ผู้ไม่ประมาทย่อมเตรียมพร้อมที่จะเสียใจ ผู้มีปัญญาย่อมยอมรับในกฏอันเป็นธรรมดานี้

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=aIrGZ1ODf_Y"]เสียใจที่สุด Ost.ลิขิตเสน่หา-มาช่า - YouTube[/ame]
     
  17. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขออนุโมทนากับธรรมทานและธรรมปฏิบัติของคุณkaran20ด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...