ทำยังไงดีกับความคิด จริง หรือว่าเป็นแค่สมมุติ !?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 29 กันยายน 2011.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จิต มีหน้าที่รับรู้ และ พลังงานของจิต ก็คือ สติ๑ สัมปชัญญะ๑

    ถึงแม้มนุษย์ไม่ได้ปฎิบัติ ก็มีสติ สัมปชัญญะ อยู่ดี เพียงแต่นำมาใช้งานไม่ได้

    ด้วยไม่มีกำลังพอที่จะให้ใช้งานได้ จึงจำเป็นต้องฝึกสมาธิ เพื่อขัดเกาให้มีกำลังเพียงพอ

    ในการใช้งาน เพื่อแยกจิตออกจากการนึกคิด ที่ลุ่มหลงยึดติดมานานแสนนาน

    ในสังโยชน์10 ได้มีบอกกล่าวถึงเรื่องการนึกคิด อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น มานะทิฎฐิ

    ความฟุ้นซาน การยึดติดในรูป การยึดติดในอรูป การที่ยึดติดอยู่นั้นมาจากความไม่รู้

    ทั้งที่จิตมีสภาพรู้ แต่พอยึดติด ลุ่มหลง ในการนึกคิด จิตจึงไม่มีสภาพรู้ อวิชชาจึงเกิด
     
  2. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682

    ครับผม ผมก็มีความร้สึกเช่นนั้นจริงๆ วันๆบางทีไม่ทำอะไรเลยเอาแต่คิดๆ แล้วก็คิด
     
  3. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -หากท่านมี ศาสดา องค์เดียวกันและใช้ธรรมะที่ศาสดาสอนมันต้องเป็น ศาสนา เดียวกัน

    -ศาสนา คืออะไร ศาสนาคือความถูกต้อง สิ่งใดไม่ถูกต้องสิ่งนั้นไม่ใช่ศาสนาของพระศาสดา

    -อย่างน้อยท่านก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าจิตเกิด-ดับตลอดเวลา ที่ยังไม่เห็นท่านอาจจะ ทรงอารมณ์ อยู่เลยไม่เห็นจิต

    -ความสงบนั้นแม้จิตแย๊บนิดเดียวยังรำคาญเลย
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมเห็นการเกิด-ดับของจิตมานานแล้วครับ แต่ที่ผมบอกกล่าวน่ะ

    ข้ามไปแล้วครับ ข้ามมาหยุดอยู่ตรงการตั้งมั่นแล้วครับ ไม่ใช่ผมไม่เห็นการเกิด-ดับ

    คุณเคยเห็นจิตที่หยุดนิ่ง ไม่มีความคิดหรือยังครับ หากยังไม่เคยทดลองดูเถอะครับ

    ให้เห็นจริงก่อนครับ จะได้เข้าใจในสิ่งที่ผมกล่าว จิตเกิด-ดับเพราะการปรุงแต่ง

    มีการปรุงแต่ง จิตจึงเกิด-ดับ แต่หากไม่มีการปรุงแต่ง จิตจะเป็นอย่างไรครับ

    ผมอธิบายเรื่องสังโยชน์10 ในขั้นตอนที่6-10เอาไว้แล้วครับ ว่าด้วยการนึกคิดครับ
     
  5. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ผมเคยได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าบ่อยๆเมื่อผมปฎิบัติภาวนาหรือในการใช้ชีวิตประจำวัน

    -แต่ผมไม่เข้าใจท่านเลย จริงๆ ธรรมะที่ท่านมีมาจะการปฎิบัติที่ไม่มีปริยัติรองรับเลยเข้าใจยาก แต่ก็เข้าใจในตัวท่าน
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณได้ศึกษาจากพระไตรปิฎก ก็ควรกล่าวว่าจากพระไตรปิฎกครับ

    หากกล่าว่าได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เป็นการไม่ควรครับ

    ยุดสมัยที่เป็นตัวบอกถึงเวลา ที่ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน

    การกล่าวจึงเป็นการไม่ควรครับ และ หากคุณต้องการเข้าใจในสิ่งที่ผมกล่าว

    คุณปฎิบัตินั่งกรรมฐานจริงๆ จะด้วยวิชชาไหน กับอาจารย์ท่านใดก็ได้ครับ

    เพราะทุกวิชชา ทำให้เห็นได้จริง สัมผัสได้จริงครับ
     
  7. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -พระพุทธ พระธรรม อริยะพระสงฆ์ คือสิ่งเดี่ยวกัน

    -ผู้เห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต นี้พระพุทธเจ้าบอกเองเลยนะครับ

    -อริยสัจ 4 นี้เองที่ทำให้เจ้าชายสิทถธะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วอริยะสัจ 4 คืออะไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผมเห็นทุกข์ในอาริยะบท 4 ชัดเจนเท่ากับว่าผมได้เห็นธรรม เมื่อธรรมะกับพระพุทธเจ้าคือสิ่งเดียวกัน ผมจะมุสาทำไมครับ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากคุณเห็นเหตุแห่งทุกข์แล้ว คุณคงไม่กล่าวเช่นนี้ครับ

    ผู้ที่เห็นธรรม กับ ได้รับฟังธรรม เหมือนกันอย่างนั้นหรือครับ

    ผู้ที่เห็นธรรม เห็นด้วยจิตครับ แต่การฟังธรรม ฟังด้วยหูครับ

    การที่กลบเกลือนคำพูด ไปแบบข้างๆคูๆ ไม่อยู่ในคำพูด ไม่คงที่

    เป็นการถกเถียงเพื่อเอาชนะครับ เช่นนั้นจะเกิดประโยชน์อะไรครับ

    การยึดในตัวตน ไม่ว่าจะตนเอง หรือ ผู้ที่ไม่พออกพอใจ

    จะทำให้เกิดการนึกคิด ไม่มีที่สิ้นสุด และ หากเป็นเช่นที่คุณกำลังกระทำอยู่

    หากมีผู้อื่นนั้น คุยกับคุณในลักษณะนี้ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรครับ

    เมื่อเขากล่าวอย่างหนึ่ง แต่กลบเกลือนไปอีกอย่างหนึ่ง

    คุณลองอ่านดูนะครับ ในข้อความของคุณ ได้บอกไว้ว่าฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า

    แค่ศีลข้อ 4 คุณก็ทำผิดแล้วผิดอีก และ ยังไม่สามารถรักษาให้ดีงามเลย

    ยังมีมานะทิฎฐิอีก เพื่อการเอาชนะ แล้วจะเกิดประโยชน์อันใดครับ

    และ ที่ผมยังคุยกับคุณอยู่ เหตุเพราะผมเห็นคุณเป็นคนมีเหตุผลครับ

    และ การที่ผมได้เข้ามาในเว็บนี้ ทำให้ผมได้เข้าใจ ถึงจิตใจของคนมากขึ้น

    ผู้ที่เข้ามาศึกษาธรรมะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงตรัสรู้ มีไว้เพื่อเอาชนะเท่านั้น

    ในสมัยพุทธกาลนั้น ผู้ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจในธรรม จะยอมรับฟังธรรมจากผู้ที่รู้มากกว่าตน

    เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความหลุดพ้น แต่ในยุคสมัยนี้ กลับเป็นสิ่งที่เอาไว้อวดความรู้

    ผู้ที่เขารู้จริง เขาไม่ได้นึกคิดเอาครับ เขาได้ไปรู้ไปเห็น ในสิ่งที่เกิดขึ้นมา

    เพราะการนึกคิด เป็น การปรุงแต่ง เมื่อมีการปรุงแต่ง ก็ไม่มีที่สิ้นสุด

    ผมได้อธิบายถึงเรื่องจิตเกิด-ดับ และ จิตตั้งมั่นกับคุณไปหลายครั้งแล้ว

    แต่คุณก็ไม่รับฟัง ไม่ได้สนใจ ซึ่งมีคำว่า บุรุษใดบอกกล่าวไม่ได้ ไม่ควรบอกกล่าว

    ผมได้พยายามเตือนผู้ที่ผมเห็นว่าเขามีเหตุ และ มีความรู้ทางธรรมหลายคน

    แต่สิ่งที่ได้เหมือนกันเลยครับ มานะทิฎฐิสูง หวังการเอาชนะโดยไม่มองที่ประโยชน์
     
  9. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ส่วนมากความคิดเหมือนอะไรที่ลอยมาในแม่น้ำ ณ จุดหนึ่งๆ

    คำว่าละอาจจะใช่ แต่อยากให้ใช้คำว่าปล่อยวางไม่ไปกำหนดหมายมั่น

    ไม่ไปปรุงต่อให้เกิดอื่นๆอีก(กำลังของสติ) แรกๆก็ทางชั่วเพื่อให้เกิดกุศล

    เมือได้กุศลเเล้วอย่างมั่นคงก็ละทางดีเพื่อสลาย สักกายะฑิฐิ

    ทำยังไงกับความคิด ต้องเพิ่มกำลังสติก่อน ถึงจะละได้







    ุ่
     
  10. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ก็นี้ละครับผมบอกว่าพระพุทธเจ้ามาเทศน์ให้ผมฟัง คุณไม่เคยรู้เห็นพระพุทธเจ้า คุณก็ว่าผมเสียสติ ในความคิดของคุณนั้นแสดงว่าพระพุทธนิพพานไปแล้ว จึงมาเทศน์ให้ผมฟังไม่ได้ คุณเลยฟันเสาธงว่าผมเสียสติ แต่เปล่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ครับสิ่งที่ตายไปนั้นคือ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 ของพระองค์ คุณธรรมที่ทำให้ท่านเป็นพระพุทธเจ้ายังอยู่จนถึงนาทีนี้

    -ผมต้องการเอาธรรมจากท่าน ไม่ได้ต้องการเอาแพ้เอาชนะจากท่าน หากท่านไม่มีธรรมผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรจากท่าน

    -คุยกับนกต้องพูดภาษานก นกคุยกับคนมันพูดภาษาอะไร (ภาษาคนแต่สำเนียงนก)
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ไม่มีคำไหนที่ผมกล่าวหาว่าเสียสติครับ ผมเพียงแค่บอกกล่าวในความเป็นจริง

    สัมผัสได้จริง รับรู้ได้จริง ธรรมจากผมมีแค่หยุดคิดเท่านั้นครับ คุณหยุดคิดได้ไหมครับ

    หากหยุดคิดได้ นั่นคือธรรมที่ผมจะมีให้ครับ เมื่อหยุดคิดได้ หากมีสิ่งใดเข้ามา

    คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่าเกิดขึ้นมาด้วยเหตุใด และ จะดับได้อย่างไรครับ

    แต่หากยังปรุงแต่งการนึกคิดอยู่ จะมองเห็นได้เหรอครับ จะเห็นก็แต่การเกิด-ดับ

    ของอารมณ์ที่จรเข้ามาเท่านั้น จะเห็นอย่างอื่นที่เข้าใจได้ยากกว่าไหมครับ

    ที่มนุษย์มีความทุกข์อยู่นี้ เพราะอาลัยอาวรณ์ในความเป็นทุกข์ คุณเคยเห็นไหมครับ

    หากคุณยังไม่เคยเห็น ถึงผมจะอธิบายให้มากกว่านี้คุณก็เข้าใจได้ยากอยู่ดีล่ะครับ
     
  12. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ผมสามารถทำให้ ขันธ์ 5 หยุดปรุงแต่งได้โดยการเข้าสมาธิ แต่ผมดับขันธ์ 5 ด้วยปัญญา หากสิ่งที่ท่านเข้าใจคือ การหยุดคิด แต่มันเป็นธรรมชาติของ ขันธ์ 5 ที่ต้องคิดปรุงหากรู้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นธรรมดาอย่างนั้นรู้ตามเป็นจริงอย่างนั้นเกิด-ดับอย่างนั้นและทุกข์จะมาจากใหน ทุกข์เกิดเพราะอุปทาน ไม่มีอุปทานทุกข์จะเกิดช่องใหน

    -ลูกเต๋ามี 6 หน้า 1-6 นักพนันเอาลูกเต๋ามา 3 ลูกเขย่าเกิดเป็น hi-low หน้าที่ออกยากที่สุดคือ 11 hi-low

    -หากท่านมีลูกเต๋า 6 หน้าแต่ละหน้าเท่ากันหมดคือ 1 เชียนพนันจะรู้หมดเลยว่าท่านเขย่าออกแต้มใด ท่านจะต้องเปลี่ยนให้ลูกเต๋ามี 1-6
     
  13. สุรีบุตร

    สุรีบุตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +7
    สมมุติไม่สงสัย แต่พูดลำบากเฉยดีกว่า
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ก็คุณไม่เคยหยุดคิดไงครับ จึงไม่รู้เสียที การนึกคิดมีแต่พาเราให้ออกนอก

    ความรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องนึกคิด คุณเคยพบไหมครับ

    เมื่อรู้แล้วก็จะเข้าใจ ตัวอย่างที่ผมจะกล่าวให้ฟังนี้ บ่งบอกได้ดีครับ

    ตัวอย่าง ที่ 1 คนกินข้าว หากกินน้อยก็จะเกิดความหิว ไม่หายหิวเพราะกินน้อย

    หากกินมากเกินไป ก็จะปวดท้องแน่นท้อง เพราะกินมากเกินไป

    แต่หากกินพอประมาณ ก็อิ่ม และ ไม่ปวดแน่น ไม่ทรมาน

    ตัวอย่าง ที่ 2 ผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้อง เวียนหัว ไปหาหมอ หมอบอกว่าคุณเป็นโรคเคลียด

    เขาไม่เชื่อหมอ เพราะว่าเขาปวดท้องเวียนหัว ไม่ได้เคลียดอะไร จะเป็นโรคเคลียดได้ยังไง

    สองตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็น การนึกคิด หรือ การปรุงแต่งอย่างชัดเจน ถึงการรู้ และ การนึกคิด

    ปัญญาจะเกิดได้ จากการรู้ ไม่ใช่การนึกคิด เมื่อรู้ก็เข้าใจ ในสิ่งที่เกิดขึ้นมา

    ว่าเกิดมาจากไหน เห็นเหตุแห่งการเกิด จึงรู้วิธีดับ ก็ด้วยความเข้าใจ

    มัวแต่นึกคิดย่อมไม่เห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในโลกนี้
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ในการนึกคิดแต่ละครั้ง ขันธ์ 5 ได้เกิดขึ้นแล้ว และ ก็รอเวลาดับลงไป

    แต่หากยังมีการนึกคิดอยู่ ขันธ์ 5 ก็เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา โดยมีจิตเป็นผู้รับรู้

    จึงไม่มีส่วนไหนของจิต ที่จะเกิดปัญญาได้ เพราะไปคอยเฝ้าดูการปรุงแต่งอยู่

    การทำงานของจิต ผมเคยบอกกล่าวไว้แล้ว ซึ่งนั่นเพราะจิตยึดติดการปรุงแต่งมานาน

    จึงมีอาการในการทำงานเช่นนั้น แต่หากหยุดการนึกคิดได้ การทำงานของจิตจะเปลี่ยนไป

    จิตจะกลับมาทำหน้าที่ของจิตจริงๆ จิตมีหน้าที่คือการรับรู้ เป็นผู้รู้ ในสิ่งที่เกิดขึ้น

    ตามความเป็นจริงของโลก อย่างแท้จริง โดยไม่มีการปรุงแต่งให้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

    ซึ่งผู้ที่ยังไม่เคยเห็นการหยุดนึกคิดเป็นเช่นไร ก็ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้

    เปรียบดั่ง คนกินพริกที่เผ็ด มีคนมาถามว่าเผ็ดเป็นอย่างไร ถึงจะอธิบายมากแค่ไหน

    ก็ไม่สามารถทำให้ ผู้ที่มาถามได้เข้าใจถึงความเผ็ดได้ เว้นเสียแต่ เขาจะได้ลองกินดู
     
  16. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637

    ไช่จริงๆ จิตไปมกหมกหมุ่น กับสิ่งใด ก็จะไปฝังใจอยู่กับเรื่องนั้นๆ

    คิดวนเวียนกับเรื่องนั้นๆ คนชอบเรื่องทางเพศ พอเผลอ จิตใจก็จะปรงแต่ง

    แต่เรื่องทางเพศ คนมักโกรธ อารมณ์เสียง่าย ก็จะวนเวียน คิดแต่การทะเลาะ

    การหาเรื่อง การไม่พอใจ

    คนที่ชอบช่วยเหลือคน มีเมตตา พอใจสบายๆ ใจก็คิกแต่จะช่วยคนนั้น คนนี้
    อย่งไร
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ดู สาย ปฎิจจสมุปบาท นะครับ อวิชชาปัจจัยสังขารา อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขารปรุงแต่งนะครับ ไม่ว่าจะเป็น ทางกาย วาจา ใจ(คิดนึก)........อวิชชาคืออะไร? คือการไม่รู้ อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค...การรู้ อริยสัจสี่สามารถทำลายอวิชชา ยัง วิชชาให้เกิดขึ้นได้..............:cool:
     
  18. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    แต่ผมอ่านของท่าน oatthidet ผมเข้าใจหมดเลย เป็นภาษาที่ง่ายๆๆมาก เอามาจากประสบการณ์ที่ตัวเองเฝ้าสังเกตุมาอธิบาย แต่ในบางครั้งก็มีปริยัติ เหมือนกัน ธรรมมะของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ยากหรอก ง่ายมากๆๆแต่คนสมัยนี้ ทำธรรมมะของพระพุทธเจ้าให้มันยาก......ถ้าธรรมของพระองค์ยาก ท่านเทศขอทานคงไม่เป็นพระโสดาบันหรอก ....โง้ๆโง่อ่านหนังสือไม่ออก ภาษาที่พูดก็หยาบกระด้าง เหมือนคนป่าออกมานอกเมือง ....เราซะอีกที่ฉลาดกว่าขอทานเยอะ แต่ขอทานยังเป็นพระโสดาบัน แสดงว่าธรรมมะของพระองค์ เทศให้คนโง้ๆๆๆๆๆๆฟังแล้วเข้าใจ...........
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ทุกข์ คืออะไร?กล่าวโดยย่อ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้ง5 เป็นทุกข์...
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผู้ปฎิบัติจริง ย่อมเข้าใจผู้ปฎิบัติด้วยกันเป็นธรรมดา

    ส่วนผู้ที่ไม่ได้ปฎิบัติ ถึงแม้จะอธิบายอย่างไร ก็เข้าใจได้ยากยิ่ง

    อนุโมทนาครับ คุณ TenBall
     

แชร์หน้านี้

Loading...