ในสวรรค์ยังมีเสพเมถุนใช่หรือไม่ครับ

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย ukitake, 1 ตุลาคม 2011.

  1. ukitake

    ukitake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +140
    อยากรู้ว่าในสวรรค์ยังมีการเสพเมถุนแบบมนุษย์รึเปล่าครับ

    ขอบคุณครับ:cool:
     
  2. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960

    อุคิทาเกะ เราได้บอกเธอแล้วในครั้งแรกแล้วถ้าเธอทำสิ่งที่บอกได้แล้วคำถามต่อๆมาจะหมดและได้คำตอบความจริงทุกประการ

    แล้วมาถามเรื่องของสวรรค์กับคนไม่ได้่อยู่สวรรค์ แล้ว อุคิทาเกะ จะแน่ใจได้ไงว่าเป็นคำตอบของจริง

    ของแบบนี้ต้องรู้ได้เฉพาะตน
     
  3. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ก็ถ้าว่าตามตัวอักษรแบบในหนังสือ ก็มีการเสพเมถุนนะครับ

    แต่แต่ละชั้นไม่เหมือนกันนะครับ ^^
     
  4. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    เรื่องเจ้าหญิงโรหิณี น้องสาวพระอนุรุทธะ(จากอรรถกถา)

    ...พระนางจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในระหว่างเขตแดนของเทพบุตร ๔ องค์ ใน<WBR>ภพ<WBR>ดาวดึงส์ ได้เป็นผู้น่าเลื่อมใส ถึงความเป็นผู้มีรูปงามเลิศ เทพบุตรทั้ง ๔ องค์เห็นนางแล้ว เป็นผู้เกิดความสิเนหา วิวาทกันว่า "นางเกิดภายในแดนของเรา, นางเกิดภายในแดนของเรา" ไปสู่สำนัก<WBR>ของ<WBR>ท้าว<WBR>สักก<WBR>เทว<WBR>ราช กราบทูลว่า "ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์ทั้งสี่เกิดคดีขึ้นเพราะ<WBR>อาศัย<WBR>เทพ<WBR>ธิดา<WBR>นี้, ขอพระองค์ทรงวินิจฉัยคดีนั้น."
    แม้ท้าวสักกะ แต่พอได้ทรงเห็นพระนาง ก็เป็นผู้เกิดสิเนหา ตรัสอย่างนี้ว่า "จำเดิมแต่กาลที่พวกท่านเห็นเทพธิดานี้แล้ว จิตเกิดขึ้นอย่างไร?"
    ลำดับนั้น เทพบุตรองค์หนึ่งกราบทูลว่า "จิตของข้าพระองค์เกิดขึ้นดุจกลองในคราวสงครามก่อน ไม่อาจจะสงบลงได้เลย."
    องค์ที่ ๒. จิตของข้าพระองค์ [เกิดขึ้น] เหมือนแม่น้ำตกจากภูเขา ย่อมเป็นไปเร็วพลันทีเดียว.
    องค์ที่ ๓. จำเดิมแต่กาลที่ข้าพระองค์เห็นนางนี้แล้ว ตาทั้งสองถลนออกแล้ว ดุจตาของปู.
    องค์ที่ ๔. จิตของข้าพระองค์ประดุจธงที่เขายกขึ้นบนเจดีย์ ไม่สามารถจะดำรงนิ่งอยู่ได้.
    ครั้งนั้น ท้าวสักกะตรัสกะเทพบุตรทั้งสี่นั้นว่า "พ่อทั้งหลาย จิตของพวกท่านยังพอข่มได้ก่อน ส่วนเราเมื่อได้เห็นเทพธิดานี้ จึงจักเป็นอยู่ เมื่อเราไม่ได้ จักต้องตาย."
    พวกเทพบุตรจึงทูลว่า "ข้าแต่มหาราช พวกข้าพระองค์ไม่มีความต้องการด้วยความตายของพระองค์" แล้วต่างสละเทพธิดานั้นถวายท้าวสักกะแล้วหลีกไป.
    เทพธิดานั้นได้เป็นที่รักที่พอพระหฤทัยของท้าวสักกะ. เมื่อนางกราบทูลว่า "หม่อมฉันจักไปสู่สนามเล่นชื่อโน้น" ท้าวสักกะก็ไม่สามารถจะทรงขัดคำของนางได้เลย ดังนี้แล.
    -----------------------------------------------------------
    บางคัมภีร์ บอกเทวดาบางชั้นเสพเมถุนเพียงแค่โอบกอด บางชั้นเพียงแค่สบตา(เทพหรือปลากัดเนี้ย) แต่อรรถกาแย้งไว้ว่า เทพในกามภูมิเสพกามเหมือนมนุษย์ครับ

    ขอให้เจริญในกาม เฮ้ยในธรรมครับ





    <CENTER>
    </CENTER>
     
  5. เขตปกครอง230

    เขตปกครอง230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +324
    มีการเสพกามอยู่แต่ไม่เหมือนมนุษย์หรอก
     
  6. เขตปกครอง230

    เขตปกครอง230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    463
    ค่าพลัง:
    +324
    ก็ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นทิพย์ มันจะเหมือนมนุษย์ได้อย่างไร(พูดเหมือนเคยไปเลยเนอะ) แต่เคยได้ยินมาว่าถ้ายังหลงระเริงกับความเป็นทิพย์นั้นๆ เดี๋ยวก็ตกสวรรค์ แต่เค้าว่าเฟี้ยวสู้พรหมไม่ได้นะ พวกนี้มีความสุขกว่ามากมายมาคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ไม่มีความวุ่นวาย เป็นเทวดาวุ่นวายนะเออ
     
  7. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ความเป็นทิพย์นี้เพิ่งจะแยกออกจากโลกของมนุษย์ได้ไม่นานนี่เอง
     
  8. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    แล้วในนรกล่ะครับ?...ถามเผื่อตัวเอง[​IMG]อิอิ
     
  9. supphakrit

    supphakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +178
    ถ้าอยากรู้ว่าเทวดาเสพเมถุนกันแบบไหน ให้ท่านทั้งหลายไปอ่านในพระอภิธรรม หรือพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ จะทราบเอง ชั้นต่ำๆ จะเสพแบบมนุษย์ ถ้าสูงขึ้นไปแค่สบตากันก็มีความสุขแล้วครับ รายละเอียดการศีกษาพระอภิธรรม ครับ
    อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย<o:p></o:p>



    ระเบียบการการศึกษาพระอภิธรรมทางไปรษณีย์

    วัตถุประสงค์

    1. เพื่อรักษาหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้มั่นคงสืบต่อไป

    2. ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ที่ต้องการศึกษาพระอภิธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ผู้ที่มีเวลาเรียนน้อย ไม่สามารถที่จะไปเรียนในสำนักเรียนได้ หรือผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสำนักเรียน ให้มีโอกาสได้ศึกษาพระอภิธรรมด้วยตนเองทางไปรษณีย์

    3. เพื่อเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในส่วนของพระอภิธรรมปิฎก ให้แพร่หลายสู่สาธุชนทั่วไป อันจะยังประโยชน์ให้ผู้ที่สนใจศึกษา เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของชีวิตและรู้แนวทางการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์ ตามพุทธประสงค์
    <o:p></o:p>
    เรียนฟรีตลอดหลักสูตร
    โดยความอุปถัมภ์ของ มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วิธีการเรียนการสอน<o:p></o:p>

    1. นักศึกษาที่สมัครเรียน จะได้รับแจกเอกสารประกอบการศึกษา โดยไม่ต้องเสีย<o:p></o:p>

    ค่าใช้จ่ายใด ๆ (เรียนฟรีตลอดหลักสูตร)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. เอกสารประกอบการศึกษานี้จะแจกให้ทีละชุด เมื่อนักศึกษาตอบคำถามชุดที่ 1<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แล้ว จะได้รับบทเรียนชุดที่ 2 เมื่อตอบคำถามชุดที่ 2 แล้ว จะได้บทเรียนชุดที่ 3<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ (ในแต่ละชุด จะมีบทเรียน 1-3 ตอน)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. นักศึกษาที่ตอบคำถามครบถ้วนตามหลักสูตร (ทั้ง 10 ชุด) จะได้รับวุฒิบัตร '' พระอภิธัมมัตถสังคหะทางไปรษณีย์ ''<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    4.ไม่จำกัดระเวลาในการศึกษา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    5.ไม่จำกัดพื้นความรู้<o:p></o:p>
    การสมัครเรียน

    หากท่านต้องการ ศึกษาพระอภิธรรม ทางไปรษณีย์

    โปรดแจ้ง ชื่อ ที่อยู่ ของท่านโดยละเอียด และส่งไปที่


    ตู้ ปณ. 28<o:p></o:p>

    ปณฝ. หน้าพระลาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กรุงเทพฯ 10202<o:p></o:p>


    เจ้าหน้าที่ทางมูลนิธิฝากบอกมาว่า สามารถส่งใบสมัครของหลาย ๆ

    คนรวมกัน ในซองเดียวทีเดียว ได้ค่ะ จะได้ประหยัดค่าซองและแสตมป์ (น้ำหนักไม่เกิน 20 กรัม = แสตมป์ 3 บาท)


    หรือ Fax ใบสมัครส่งมาทางเบอร์ 02 - 884 5090


    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

    โทรศัพท์ : 02 884 5091 - 2

    โทรสาร : 02 884 5090

    e-mail :
    mailmcu@hotmail.com

    http : // www.buddhism-online.org

    http : // www.mcu.ac.th




    หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อขอทราบรายละเอียด ได้ที่ <o:p></o:p>

    มูลนิธิเผยแผ่พระสัทธรรม<o:p></o:p>
    5/108 - 9 ซอยอุดมทรัพย์ ถนนบรมราชชนนี<o:p></o:p>
    แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700<o:p></o:p>
    โทรศัพท์ 02 - 884-5091-2<o:p></o:p>
    โทรสาร 02 - 884-5090<o:p></o:p>
    การเดินทางไปมูลนิธิฯ ด้วยรถประจำทาง<o:p></o:p>
    สามารถไปได้หลายสายดังนี้ :- <o:p></o:p>
    รถประจำทาง สาย 19 , 28 , 30 , 40 , 57 , 66 , 123 , 124 , 127 , 146 , 149 ,<o:p></o:p>
    รถปรับอากาศ สาย 3 , 7 , 11 , 17 , 30 , 33 , 66<o:p></o:p>
    รถไมโครบัส สาย 4 , 8 และรถตู้อีกหลายสาย<o:p></o:p>
    ** ลงที่ป้าย เซ็นทรัญปิ่นเกล้า หรือ เมเจอร์ปิ่นเกล้า<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ใบประชาสัมพันธ์ จากเว็บสมาธิดอทคอมค่ะ

    http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=476
    <o:p></o:p>
    พระอภิธรรมคืออะไร ?


    พระอภิธรรม คือ คำสอนหมวดหนึ่งใน "พระไตรปิฎก" ซึ่งพระไตรปิฎกแบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ :-

    หมวดที่ 1 พระวินัยปิฎก หรือเรียกสั้นๆ ว่า "พระวินัย" เป็นหมวดที่กล่าวถึง วินัยสำหรับพระภิกษุ เพื่อให้ปฎิบัติตนอยู่ในกรอบแห่งความถูกต้องทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ มีทั้งหมด 21,000 พระธรรมขันธ์

    หมวดที่ 2 พระสุตตันตปิฎก หรือเรียกสั้นๆ ว่า "พระสูตร" เป็นหมวดที่กล่าวถึงเรื่องเล่า ตลอดจนชาดกต่างๆ และพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงไว้หลายนัย เพื่อให้เหมาะแก่จริตของผู้ฟังและเหมาะกับโอกาสต่างๆ มีทั้งหมด 21,000 พระธรรมขันธ์

    หมวดที่ 3 พระอภิธรรมปิฎก หรือเรียกสั้นๆ ว่า " พระอภิธรรม " เป็นหมวดที่กล่าวถึงธรรมชาติการทำงานของกายและใจ กล่าวถึงเรื่องชีวิตว่าคืออะไรและมาจากไหน ชีวิตมีองค์ประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง เรื่องจิต (วิญญาณ) เรื่องเจตสิก เรื่องอำนาจจิต เรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ในภพภูมิต่างๆ กลไกการทำงานของกิเลส การข่มกิเลส การทำลายกิเลส การทำสมาธิ การปฏิบัติวิปัสสนา เมื่อได้ศึกษาและปฏิบัติตามแล้ว จะทำให้เกิดปัญญาสามารถละกิเลสนำตนให้พ้นทุกข์ได้ เป็นคำสอนที่มีความสุขุมลุ่มลึกที่สุด มีทั้งหมด 42,000 พระธรรมขันธ์ <o:p></o:p>

    · สรุปแล้ว พระอภิธรรมก็คือธรรมะหมวดที่ 3 ในพระไตรปิฎก ที่สอนให้รู้จักธรรมชาติอันแท้จริงที่มีอยู่ในตัวเรา และสัตว์ทั้งหลาย อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และรู้จักพระนิพพาน ซึ่งเป็นจุดหมายอันสูงสุดในพระพุทธศาสนา ธรรมชาติทั้งสี่ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน นี้ รวมเรียกว่า ปรมัตถธรรม <o:p></o:p>
    · หากแปลตามศัพท์ คำว่า อภิธัมม หรือ อภิธรรม แปลว่า ธรรมอันประเสริฐ ธรรมอันยิ่ง ธรรมที่มีอยู่แท้จริงโดยปราศจากสมมุติ เนื้อความในพระอภิธรรมเกือบทั้งหมด จะกล่าวถึง ปรมัตถธรรม อันเป็นธรรมชาติที่เป็นจริงแท้แน่นอน ที่ดำรงลักษณะเฉพาะของตนไว้โดยไม่แปรผันเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมที่ปฏิเสธความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล ความเป็นตัวตนโดยสิ้นเชิง <o:p></o:p>

    ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรม


    * จะทราบว่า หลักธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ในพระพุทธศาสนาคืออะไร และหัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน

    * จะเข้าใจธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ ที่รวมกันเป็นชีวิตหรือขันธ์ 5 อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน ว่าแท้จริงแล้ว เป็นแค่เพียงสถาวะที่ปรากฏเกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย ที่ปรุงเเต่งขึ้นมาเท่านั้น มิใช่สัตว์ มิใช่เป็นบุคคล มิใช่เป็นเรา มิใช่เป็นเขา ตามที่หลงผิดกัน

    * จะมีความเข้าใจ เรื่องของบัญญัติธรรม และปรมัตถธรรมอย่างชัดเจน

    * จะตัดสินได้ด้วยตนเอง ว่าอะไรเป็น ''บุญ'' อะไรเป็น ''บาป''

    * จะมีความเข้าใจในเรื่อง ของการทำบุญมากขึ้น รู้ว่าจะต้องทำบุญอย่างไรจึงจะได้รับอานิสงส์สูงสุด

    * จะทราบว่าบุญบาปที่ทำไปแล้ว กลับมาส่งผลได้อย่างไร ทำไมเราจึงเกิดมาแตกต่างกัน

    * จะทราบว่าตายแล้วไปไหน ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ นรก สวรรค์ อยู่ที่ไหน

    * จะเข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม (วิบาก) เป็นอย่างดี

    * จะเข้าใจเรื่องการทำสมาธิและ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง

    * จะเข้าใจเรื่อง มรรค ผล นิพพาน อย่างถ่องแท้

    * จะได้รับความรู้ในสาระอื่น ๆ อันเป็นประโยชน์ ในการดำเนินชีวิตมากมาย ฯลฯ



    ที่มา : ระเบียบการการศึกษาพระอภิธรรมทางไปรษณีย์



    ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรมมีอยู่มากมายหลายประการ แต่ที่สำคัญมี โดยสังเขปดังนี้

    ๑. การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรมเกิดจากพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธองค์ การเข้าถึงพระอภิธรรมจึงเท่ากับเข้าถึงพระปัญญาคุณของ พระพุทธองค์อย่างแท้จริง

    ๒. การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือศึกษาธรรมชาติการทำงานของกายและใจซึ่งเป็นธรรมชาติ ที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิต (วิญญาณ), เรื่องเจตสิก, เรื่องอำนาจจิต, เรื่องวิถีจิต, เรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม, เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด, เรื่องสัตว์ใน ภพภูมิต่างๆ และเรื่องกลไกการทำงานของกิเลส ทำให้รู้ว่าชีวิตของเราในชาติปัจจุบันนี้มาจากไหนและ มาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุมีอะไรเป็นปัจจัย เมื่อได้คำตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหนและ ไปได้อย่างไร อะไรเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างชาตินี้กับชาติหน้า ทำให้หมดความสงสัยแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรก สวรรค์ มีจริงไหม ทำให้มีความเข้าใจเรื่องกรรม และการส่งผลของกรรม (วิบาก) อย่างละเอียด ลึกซึ้ง

    ๓. ผู้ศึกษา พระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม หรือสภาวธรรมอันจริงแท้ตาม ธรรมชาติ ในพระอภิธรรมจะแยกสภาวะออกให้เห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอะไร ทั้งนั้น คงมีแต่สภาวธรรมคือ จิต เจตสิก รูป ที่วนเวียนอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นใหม่แล้วก็ดับไปอีก มีสภาพเกิดดับอยู่เช่นนี้ โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาธรรมทั้ง ๓ นี้ก็ทำงานอยู่เช่นนี้โดยไม่มีเวลาหยุด พักเลย สภาวธรรมหรือธรรมชาติเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า พระพรหมพระอินทร์ หรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ เป็นผู้บันดาลหรือเป็นผู้สร้าง แต่สภาวธรรมเหล่านี้เป็นผลอันเกิดมาจากเหตุ คือ กิเลสตัณหานั่นเองที่เป็นผู้สร้าง

    ๔. การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจสภาวธรรมอีกประการหนึ่ง อันเป็นจุดมุ่งหมาย สูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้เข้าถึงนั่นก็คือนิพพาน นิพพาน หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ผู้ที่ปราศจากกิเลสตัณหาแล้วนั้น เมื่อหมดอายุขัย ก็จะไม่มีการสืบต่อของ จิต + เจตสิก และรูป อีกต่อไป ไม่มีการสืบต่อภพชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จึงกล่าวว่านิพพานเป็นธรรมชาติที่ปราศจากกิเลสตัณหา เป็นธรรมชาติที่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงและเป็นธรรมชาติที่ พ้นจากจิต เจตสิก รูป นิพพานมิใช่เป็นแดนสุขาวดีที่เป็นอมตะและเพียบพร้อมด้วยความสุขล้วน ๆ ตลอดนิรันดร์กาลตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ

    ๕. การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าใจคำสอนที่มีคุณค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะ แค่การทำทาน รักษาศีล และการทำสมาธิก็ยังมิใช่คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นเหตุให้ต้องเกิดมารับผลของกุศลเหล่านั้นอีก ท่านเรียกว่า วัฎฎกุศล เพราะกุศลชนิดนี้ยังไม่ทำให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฎฐาน ๔ เพื่อให้เห็นว่าทั้งนามธรรม (จิต + เจตสิก) และรูปธรรม (รูป) มีสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ มีการเกิดดับ เกิดดับ ตลอดเวลา หาแก่นสาร หาตัวตน หาเจ้าของไม่ได้เลย เมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้วก็จะนำไปสู่ การประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด

    ๖. การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจเรื่องอารมณ์ของวิปัสสนาซึ่งต้องใช้นามธรรม (จิต + เจตสิก) และรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์ เมื่อกำหนดรู้อารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ ถูกต้อง การปฏิบัติก็ย่อมได้ผลตามที่ต้องการ
    ๗. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการสั่งสมปัญญาบารมีที่ประเสริฐที่สุดไม่มีวิทยาการใด ๆ ในโลกที่ศึกษาแล้วจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งโลกเท่ากับการศึกษาพระอภิธรรม

    ๘. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการช่วยกันรักษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ ให้อนุชนรุ่นหลังและเป็นการช่วยสืบต่อพระอภิธรรมที่นำมาเป็นหลักสูตรในการศึกษาทางไปรษณีย์นี้ เป็นฉบับย่อที่มีชื่อว่า " อภิธัมมัตถสังคหะ" ซึ่งพระอนุรุทธาจารย์ พระเถระชาวอินเดียผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ได้พยายามย่อให้สั้นและแยกแยะลำดับเรื่อง เพื่อให้ง่ายแก่การศึกษาไว้เมื่อปี พ.ศ. ๑๒๐๐

    เนื้อหาของหลักสูตรพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ เป็นการสรุปสาระสำคัญของคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ โดยใช้ภาษาง่ายๆ และมีเนื้อหาไม่พิสดารจนเกินไป เพื่อให้นักศึกษาทางไปรษณีย์สามารถที่จะทำความเข้าใจได้ด้วยตนเอง

    เอกสารประกอบการศึกษามีทั้งหมด 10 ชุด แต่ละชุดมีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้ :- <o:p></o:p>

    · ชุดที่ 1 แสดงเรื่อง พระอภิธรรมคืออะไร, ประวัติความเป็นมาของพระอภิธรรม, ความหมายของปรมัตถธรรมและบัญญัติธรรม และสาระน่ารู้อื่นๆ เกี่ยวกับพระอภิธรรม <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 2 แสดงเรื่องชีวิตคืออะไร, องค์ประกอบของชีวิต, ขันธ์ 5, รูปกับนาม, จิตกับอารมณ์, ลักษณะของจิตและการทำงานของจิต, บุญบาปเกิดขึ้นได้อย่างไร, ที่เกิดของจิตและอำนาจจิต <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 3 แสดงเรื่องจิตประเภทต่างๆ, หน้าที่ของจิต 14 ประการ และวิถีจิต <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 4 แสดงเรื่องธรรมชาติที่ประกอบปรุงแต่งจิต (เจตสิก) <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 5 แสดงรูปที่เป็นองค์ประกอบของร่างกายโดยละเอียด (รูปปรมัตถ์) และความรู้เรื่องนิพพาน <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 6 แสดงเรื่องชีวิตมาจากไหน, ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ และเกี่ยวกับภพภูมิต่างๆ ทั้ง 31 ภูมิ <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 7 แสดงเรื่องกรรมประเภทต่างๆ และการให้ผลของกรรม <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 8 แสดงเรื่องอกุศลกรรม 9, มิสสกสังคหะ 7, โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ซึ่งประกอบด้วย สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรค 8, สรรพสังคหะ ซึ่งประกอบด้วยเรื่องของขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อริยสัจ 4 และธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยในการเวียนว่ายตายเกิด (ปฏิจจสมุปบาท) <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 9 แสดงเรื่องสมถกรรมฐาน (การทำสมาธิ) ทั้ง 40 วิธี, รูปฌาณ,อรูปฌาณ และอภิญญา <o:p></o:p>
    · ชุดที่ 10 แสดงเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน, วิสุทธิ 7, วิปัสสนาญาณ 16 และความหมายของมรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 <o:p></o:p>

    นักศึกษาที่ตอบคำถามครบถ้วนตามหลักสูตร (ทั้ง 10 ชุด) จะได้รับวุฒิบัตร '' พระอภิธัมมัตถสังคหะทางไปรษณีย์ ''
    พระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรตลอดไป
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  10. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    1. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา เสพกามแบบมนุษย์ หรือ พิสดารยิ่งกว่ามนุษย์ เพราะเทวดาบางตนมีอวัยวะทั้งแบบเพศหญิง และเพศชาย อยู่ในร่างเดียวกัน เสพกามได้ทั้ง 2 แบบด้วย เทวดากระเทยอยู่ในชั้นนี้ทั้งหมด

    2. เทวดาชั้นดาวดึงส์ เสพกามแบบมนุษย์ มีน้ำเป็นที่สุด

    3. เทวดาชั้นยามา เสพกาม โดยการสวมกอดกัน เพียงแค่นี้ก็บรรลุถึงความปรารถนา

    4. เทวดาชั้นดุสิต เสพกาม โดยการกอดหลวมๆ แบบเพื่อนกัน ก็สมปรารถนา

    5. เทวดาชั้นนิมมานรดี เสพกาม โดยการจับมือกัน ก็สมปรารถนา

    6. เทวดาชั้นปรนิมมิสวสวตี เสพกาม โดยการมองตากัน ก็สมปรารถนา

    ข้อสังเกตุ พออยู่บนสวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นไป ทุกอย่างบนสวรรค์จะประณีตขึ้น ทำให้ความปรารถนาที่จะต้องเสพกามแบบมนุษย์จะลดน้อยลงไป

    7. เหล่าพรหม และอรูปพรหม มีความสุขจากอำนาจสมาธิที่ตนได้บรรลุ ไม่เสพกาม

    ใน ทานสูตร อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้
    ทานที่ให้แล้ว มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก และเหตุปัจจัยที่ทำให้ทานที่ให้แล้วมีผลมาก และมีอานิสงส์
    มาก ไว้ดังต่อไปนี้

    ๑. บุคคลบางคน ให้ทานด้วยความหวังว่า เมื่อตายไปแล้ว จักได้เสวยผลของทานนี้
    เมื่อตายไป ได้เกิดในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลก
    แล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

    ๒. บุคคลบางคนไม่ได้ให้ทาน เพราะหวังผลของทาน แต่ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี
    เป็นบุญ เป็นกุศล จึงให้เมื่อตายไป ได้เกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความ
    เป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมากแต่
    ไม่มีอานิสงส์มาก

    ๓. บุคคลบางคนไม่ได้ให้ทาน เพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี
    แต่ให้ทานเพราะละอายใจที่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษเคยทำมา ถ้าไม่ทำก็ไม่สมควร
    ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นยามา สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว ก็
    กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

    ๔. บุคคลบางคน ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี
    ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ แต่ให้ทานเพราะเห็นสมณพราหมณ์เหล่านั้นหุงหากินไม่ได้ เราหุงหา
    กินได้ ถ้าไม่ให้ก็ไม่สมควร ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นดุสิต สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความ
    เป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก
    แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

    ๕. บุคคลบางคน ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี
    ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่า สมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้
    แต่ให้ทานเพราะ
    ต้องการจำแนกแจกทานเหมือนกับฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทานมาแล้ว
    เขาตาย
    ไปได้เกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ก็กลับมาสู่ความ
    เป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

    ๖. บุคคลบางคน ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะว่าทานเป็นของดี
    ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่าสมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้ ไม่ได้ให้ทานเพราะ
    ต้องการจำแนกแจกทานเหมือนฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทาน
    แต่ให้ทานเพราะคิดว่า
    เมื่อให้แล้ว จิตจะเลื่อมใสโสมนัสจึงให้
    ครั้นตายไปย่อมเกิดในเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตดี สิ้นกรรม
    สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทาน
    อย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก

    ๗. บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานเพราะเหตุที่กล่าวแล้วทั้ง ๖ อย่างข้างต้นนั้น แต่ให้
    ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต
    คือให้ทานนั้นเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจหมดจดจากกิเลสด้วยอำนาจของ
    สมถะและวิปัสสนา จนได้ฌานและบรรลุ จนได้ฌานและบรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคล ตายแล้วได้ไปเกิดใน
    พรหมโลก เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในพรหมโลกแล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาเกิด
    ในโลกนี้อีก คือปรินิพพานในพรหมโลกนั้นเอง
    ทานชนิดนี้เป็นทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2011
  11. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    1.จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ชั้นที่1)

    สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนมีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์

    - บุญที่ทำให้ได้มาเกิด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญไม่ค่อยเป็น ไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสมบุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้

    - อายุขัย 1 วันในสวรรค์ เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์

    - การเกิดและการบริโภคกามของชาวสวรรค์ ในสวรรค์ชั้นนี้ก็มีการเสพกามเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ว่ามีความละเอียดอ่อนกว่า และมีน้ำเป็นที่สุด มีลักษณะเกิดอยู่ทั้งหมด 4 แบบ คือ 1.เกิดแล้วโตทันทีไม่ต้องมีบิดามารดา 2.เกิดในเหงื่อไคล 3.เกิดในครรภ์มารดา 4.ในในฟองไข่


    2.ตาวติงสา (สวรรค์ชั้นที่2)

    ในภาษาไทยเรียกว่า ดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นนี้จะเป็นที่รู้จักในหมู่พุทธศาสนิกชนมากที่สุด เพราะมีความสัมพันธ์กับเกี่ยวข้องกับมนุษย์มากอีกชั้นหนึ่ง และที่สำคัญมีผู้ปกครองภพ ที่มีชื่อเสียงมาก คือ พระอินทร์ ซึ่งพระองค์เป็นพุทธศาสนิกชน

    - บุญที่ทำให้ได้มาเกิด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นความดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริโอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้

    - อายุขัย 1 วันในสวรรค์ เท่ากับ 100 ปีของโลกมนุษย์

    - การเกิดและการบริโภคกามของชาวสวรรค์ ในสวรรค์ชั้นนี้ก็ยังคงมีการเสพกามเป็นแบบมนุษย์ มีน้ำเป็นที่สุดเหมือนกัน แต่จะแตกต่างตรงที่ไม่มีความพิสดารในการบริโภคกาม และไม่มีการตั้งครรภ์ มีการเกิดแบบเดียว คือ เกิดแล้วโตทันทีไม่ต้องมีบิดามารดา

    3.ยามา (สวรรค์ชั้นที่3)

    เป็นสวรรค์ที่มีอายุทิพย์ วรรณทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ ละเอียดและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นก่อนหน้านี้ รายละเอียดของสวรรค์ชั้นนี้มีกล่าวไว้ไม่มากในพระไตรปิฎก

    - บุญที่ทำให้ได้มาเกิด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะรักษาประเพณีแห่งความดีงาม แล้วไว้ ทำนองว่า วงศ์ตระกูลทำมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่สอนมาอย่างไร เห็นบรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้นทำกันไปตามธรรมเนียมกันไป เช่น เห็นปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุ ที่จะรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้วส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้

    - อายุขัย 1 วันในสวรรค์ เท่ากับ 200 ปีของโลกมนุษย์

    - การเกิดและการบริโภคกามของชาวสวรรค์ ในสวรรค์ชั้นนี้ไม่มีการเสพกามแบบมนุษย์ และไม่มีน้ำเป็นที่สุดเหมือนมนุษย์ มีเพียงแค่การกอดรัดกันแล้วก็มีความพึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย การเกิดมีแบบเดียวคือ เกิดแล้วโตทันทีไม่ต้องมีบิดามารดา

    4.ดุสิตา (สวรรค์ชั้นที่4)

    สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่ประทับของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งนิยตะ และอนิยตะ ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตเป็นจำนวนมากตลอดจนผู้ที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสาวก ก็ย่อมบังเกิดในชั้นดุสิตนี้ก่อนทั้งสิ้น

    - บุญที่ทำให้ได้มาเกิด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้โลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้ว ก็จะไปสวรรค์ชั้นนี้

    - อายุขัย 1 วันในสวรรค์ เท่ากับ 400 ปีของโลกมนุษย์

    - การเกิดและการบริโภคกามของชาวสวรรค์ ในสวรรค์ชั้นนี้ไม่มีการเสพกามแบบมนุษย์ และไม่มีน้ำเป็นที่สุดเหมือนมนุษย์ มีเพียงแค่การกอดแบบหลวมๆแล้วก็มีความพึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย การเกิดมีแบบเดียวคือ เกิดแล้วโตทันทีไม่ต้องมีบิดามารดา

    5.นิมมานรตี (สวรรค์ชั้นที่5)

    ลักษณะของสวรรค์ชั้นนี้จะกลมแบบราบ ไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก และจะสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืด

    - บุญที่ทำให้ได้มาเกิด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับการยกย่องส่งเสริม จึงอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้วจะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้

    - อายุขัย 1 วันในสวรรค์ เท่ากับ 800 ปีของโลกมนุษย์

    - การเกิดและการบริโภคกามของชาวสวรรค์ ในสวรรค์ชั้นนี้ไม่มีการเสพกามแบบมนุษย์ และไม่มีน้ำเป็นที่สุดเหมือนมนุษย์ มีเพียงแค่การสัมผัส จับมือ แตะเนื้อต้องตัวแล้วก็มีความพึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย การเกิดมีแบบเดียวคือ เกิดแล้วโตทันทีไม่ต้องมีบิดามารดา

    6.ปรนิมมิตวสวัตตี (สวรรค์ชั้นที่6)

    มีความกว้างใหญ่ไพศาลมากที่สุดในสวรรค์ทั้งหมด ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นนี้ ไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดาก็สว่าง วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่าง

    - บุญที่ทำให้ได้มาเกิด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้
    และถ้าใครทำบุญครบทั้ง 6 อย่างดังกล่าว เมื่อทำบุญแล้วปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นลักษณะภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้น แต่อาจจะมีองค์ประกอบอย่างอื่นเสริมอีกด้วย

    - อายุขัย 1 วันในสวรรค์ เท่ากับ 1,600 ปีของโลกมนุษย์

    - การเกิดและการบริโภคกามของชาวสวรรค์ ในสวรรค์ชั้นนี้ไม่มีการเสพกามแบบมนุษย์ และไม่มีน้ำเป็นที่สุดเหมือนมนุษย์ มีเพียงแค่การมองตาแล้วก็มีความพึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย การเกิดมีแบบเดียวคือ เกิดแล้วโตทันทีไม่ต้องมีบิดามารดา
     
  12. uchenp

    uchenp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +8
    อนุโมทนาบุญ ที่เผยแพร่ความรู้ด้วย และขอแบ่งปันนะครับ สาธุ
     
  13. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ผมขออยู่ ดาวดึงส์ ดีกว่าถ้าเลือกได้ 5555555+
     
  14. Orange_Zaa

    Orange_Zaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +134
    โมทนาสาธุ คุณเพิ่มสิน ที่นำเรื่องดีๆ มาแจ้งค่ะ ดิฉันจะรีบสมัครเรียนทันทีเลย เพราะสนใจที่จะศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจังอยู่แล้ว......

    สวรรค์แต่ละชั้นที่กล่าวมาล้วนสวยงาม น่าอยู่ น่ารื่นรม ค่ะ แต่ก็ต้องมีการจุติอยู่ดี ถ้าหมดอายุไข เพราะฉะนั้นมุ่งนิพพานกันเถอะค่ะ ไม่เกิด ไม่ตาย ได้อยู่ไกล้ชิดพระพุทธองค์ ตลอดกาล.....
     
  15. ukitake

    ukitake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +140
    ผมยังไม่อยากนิพพานครับ
     
  16. Orange_Zaa

    Orange_Zaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +134
    แล้วอยากไปใหนล่ะคะ ???
     
  17. ukitake

    ukitake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +140

    อยากไปเป็นครูครับ ^^
     
  18. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,215
    เป็นความรู้ ดีครับ
     
  19. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    กรี๊ดมีน้ำ:'( หุหุหุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 104052875.gif
      104052875.gif
      ขนาดไฟล์:
      470.1 KB
      เปิดดู:
      5,044
  20. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ตบแมงโม้ตุบตับๆๆๆ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...