เทคนิคการรวม ธรรม เทพ จักรวาล ครั้งที่ 1

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เดมีดี, 9 กันยายน 2011.

  1. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    กลศาสตร์ควอนตัคาดการณ์การดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่ามักจะเป็นจุดศูนย์ '' - '' สำหรับพลังงานที่แข็งแกร่ง, อ่อนแอและปฏิสัมพันธ์แม่เหล็กไฟฟ้าที่ '' '' จุดศูนย์หมายถึงพลังงานของระบบที่อุณหภูมิ t = 0, หรือระดับพลังงานต่ำสุด quantized ของระบบกลไกควอนตัม แม้ว่า '' พลังงาน '' ระยะจุดศูนย์นำไปใช้กับทั้งสามของการโต้ตอบเหล่านี้ในธรรมชาติตามปรกติ (และต่อจากนี้ในบทความนี้) จะใช้ในการอ้างอิงเท่านั้นเพื่อกรณีไฟฟ้า

    ในฟิสิกส์ควอนตัมเดิมกำเนิดของพลังงานจุดศูนย์ที่เป็นหลักความไม่แน่นอน Heisenberg ซึ่งระบุว่าสำหรับการเคลื่อนย้ายอนุภาคเช่นอิเล็กตรอนที่แม่นยำมากยิ่งขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งมาตรการตำแหน่งที่แน่นอนน้อยกว่าการวัดที่ดีที่สุดของโมเมนตัมของมัน ( มวลความเร็วครั้ง) และในทางกลับกัน ความไม่แน่นอนน้อยที่สุดของตำแหน่งโมเมนตัมครั้งจะถูกระบุโดย Planck's คงที่, H. ความไม่แน่นอนขนานอยู่ระหว่างการตรวจวัดที่เกี่ยวข้องกับเวลาและพลังงาน (และอื่น ๆ ที่เรียกว่าตัวแปรผันในกลศาสตร์ควอนตั) นี้ความไม่แน่นอนต่ำสุดคือไม่ได้เกิดจากข้อบกพร่องใด ๆ ในการวัด correctable แต่สะท้อนให้เห็นถึงความเลือนควอนตัมที่อยู่ภายในในลักษณะของการใช้พลังงานและไม่ผุดจากธรรมชาติคลื่นของเขตควอนตัมต่างๆ
    นี้นำไปสู่​​แนวคิดของการใช้พลังงานจุดศูนย์

    พลังงานจุดศูนย์เป็นพลังงานที่ยังคงอยู่เมื่อทุกพลังงานอื่น ๆ จะถูกลบออกจากระบบ พฤติกรรมนี้จะแสดงให้เห็นโดยยกตัวอย่างเช่นฮีเลียมเหลว ขณะที่อุณหภูมิจะลดลงเป็นศูนย์แน่นอนฮีเลียมเหลวยังคงมากกว่าการแช่แข็งที่เป็นของแข็งเนื่องจากพลังงานที่จุดศูนย์ irremovable ของการเคลื่อนไหวของอะตอม
    (การเพิ่มความดันที่ 25 บรรยากาศที่จะทำให้ฮีเลียมที่จะหยุด.)

    ฮาร์โมนิ oscillator เป็นเครื่องมือที่มีแนวความคิดที่เป็นประโยชน์ในทางฟิสิกส์ คลาสสิกออสซิลฮาร์โมนิเช่นมวลเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่จะสามารถนำส่วนที่เหลือ อย่างไรก็ตามฮาร์โมนิควอนตัม oscillator ไม่อนุญาตให้นี้
    การเคลื่อนไหวที่เหลือจะยังคงอยู่เสมอเนื่องจากความต้องการของหลักความไม่แน่นอน Heisenberg ส่งผลให้พลังงานที่จุดศูนย์เท่ากับ 1 / 2 HF, โดยที่ f คือความถี่ของการสั่น

    รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถภาพเป็นคลื่นที่ไหลผ่านพื้นที่ที่ความเร็วของแสง คลื่นจะไม่ได้รับคลื่นของสิ่งที่สำคัญ แต่จะมีระลอกในรัฐของเขตข้อมูลที่กำหนดไว้ในทางทฤษฎีเป็น แต่คลื่นเหล่านี้จะดำเนินการพลังงาน (และโมเมนตัม) และคลื่นแต่ละคนมีสถานะเป็นทิศทางที่เฉพาะเจาะจงความถี่และโพลาไรซ์
    คลื่นแต่ละ '' โหมดการแพร่กระจายของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า. ''

    แต่ละโหมดจะเทียบเท่ากับออสซิลฮาร์โมนิและจึงเป็นเรื่องที่หลักความไม่แน่นอน Heisenberg จากการเปรียบเทียบนี้, โหมดของเขตข้อมูลที่ทุกคนต้องมี 1 / 2 HF เป็นพลังงานต่ำสุดเฉลี่ย นั่นคือจำนวนเล็ก ๆ ของพลังงานในแต่ละโหมด แต่จำนวนโหมดเป็นอย่างมากและแน่นอนที่เพิ่มขึ้นต่อช่วงความถี่หน่วยเป็นตารางความถี่ที่ ความหนาแน่นของพลังงานสเปกตรัมจะถูกกำหนดโดยความหนาแน่นของโหมดพลังงานครั้งต่อโหมดและจึงเพิ่มขึ้นเป็นก้อนของความถี่ความถี่ต่อหน่วยต่อหน่วยปริมาณ
    ผลิตภัณฑ์ของพลังงานที่เล็ก ๆ ที่ต่อครั้งโหมดความหนาแน่นเชิงพื้นที่ขนาดใหญ่ของโหมดที่อัตราผลตอบแทนที่สูงมากความหนาแน่นของพลังงานตามทฤษฎีจุดศูนย์ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร

    จากบรรทัดจากเหตุผลนี้ควอนตัมฟิสิกส์คาดการณ์ว่าทุกพื้นที่ต้องเต็มไปด้วยความผันผวนของจุดศูนย์แม่เหล็กไฟฟ้า (ที่เรียกว่าเขตข้อมูลที่จุดศูนย์) สร้างทะเลสากลของพลังงานที่จุดศูนย์ ความหนาแน่นของพลังงานนี้จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สำคัญในความผันผวนของความถี่ที่จุดศูนย์ยุติ เนื่องจากพื้นที่ของตัวเองเป็นความคิดที่แบ่งออกเป็นชนิดของโฟมควอนตัมที่ระยะทางขนาดเล็กที่เรียกว่าพลังค์สเกล (10-33 ซม. ) ก็จะแย้งว่าความผันผวนของจุดศูนย์ต้องยุติการที่ความถี่ Planck ที่สอดคล้องกัน (1,043 Hz)
    หากเป็นกรณีที่ความหนาแน่นของพลังงานจุดศูนย์ 110 จะเป็นคำสั่งของขนาดมากกว่าพลังงานสดใสที่ศูนย์ของดวงอาทิตย์

    เช่นพลังงานมหาศาลได้วิธีการไม่ได้มีความชัดเจนลำพอง? มีหนึ่งความแตกต่างที่สำคัญระหว่างรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่จุดศูนย์และรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าธรรมดา เลี้ยวอีกครั้งเพื่อหลักความไม่แน่นอน Heisenberg พบว่าอายุการใช้งานของโฟตอนจุดศูนย์ให้มองว่าเป็นคลื่นที่สอดคล้องกับระยะทางเฉลี่ยของการเดินทางเพียงเศษเสี้ยวของความยาวคลื่นของ เช่นคลื่น '' '' ส่วนจะค่อนข้างแตกต่างกว่าคลื่นระนาบสามัญและมันยากที่จะทราบวิธีการตีความนี้
     
  2. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    http://video.google.com/videoplay?docid=-7453687923054032622&hl=en#พลังงานมืด

    การค้นพบที่สำคัญในฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในปลายปี 1990 คือการหาจากประเภท Ia ซุปเปอร์โนวาสังเกตเรดชิพท์ที่ส่องสว่างขยายตัวของเอกภพจะมีความเร่ง นี้นำไปสู่​​แนวคิดของพลังงานมืดซึ่งเป็นผลในการคืนพระชนม์ของ Einstein's ดาราศาสตร์คงที่ (จักรวาลในขณะนี้จะปรากฏขึ้นจะประกอบด้วยเกี่ยวกับพลังงานมืด 70 ร้อยละร้อยละ 25 สสารมืดและร้อยละห้าเรื่องสามัญ.) พลังงานจุดศูนย์ที่มีคุณสมบัติที่ต้องการของการขับขี่ที่เร่งการขยายตัวและทำให้มีคุณสมบัติที่จำเป็นของพลังงานมืด แต่ เพื่อให้ได้รับการศึกษาอย่างไร้เหตุผลมากขึ้นกว่าที่จำเป็นเช่น 120 คำสั่งของขนาด

    ตามทฤษฎีสัมพัทธพลังงานเทียบเท่ากับมวลเป็นแหล่งที่มาของแรงโน้มถ่วงจึงใช้พลังงานจุดศูนย์ถ่วงควรซึ่งตามความสัมพันธ์ทั่วไปหมายถึงการผลิตเส้นโค้งในเชิงบวกในพื้นที่เวลา ได้อย่างรวดเร็วก่อนหนึ่งอาจคิดว่าถ้ามีเป็นจำนวนมหาศาลของพลังงานที่จุดศูนย์ต้นแบบจักรวาลที่ผลของมันจะโค้งอย่างรวดเร็วจักรวาลให้มีขนาดนาที แน่นอนถ้าสเปกตรัมของพลังงานที่จุดศูนย์ขยายไปยังระดับ Planck, ความหนาแน่นของพลังงานของมันจะเทียบเท่ากับมวลของเกี่ยวกับ 1,093 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตรซึ่งจะลดจักรวาลให้มีขนาดเล็กกว่านิวเคลียส

    พลังงานจุดศูนย์ทำงานแตกต่างกัน สำหรับรังสีสามัญอัตราส่วนของความดันที่ความหนาแน่นของพลังงานคือ w = 1/3c2 ซึ่งแสดงแบบแผนในหน่วยโดย C = 1 และทำให้อัตราส่วนนี้จะแสดงเป็น W = 1 / 3 แต่สำหรับพลังงานจุดศูนย์อัตราส่วนคือ w =- 1 นี้เนื่องจากกรณีที่ความหนาแน่นของพลังงานจุดศูนย์จะถือว่าคงที่ : ไม่ว่าจักรวาลจะขยายมันไม่มีไม่ได้กลายเป็นเจือจาง แต่เป็นพลังงานแทนมากขึ้นจุดศูนย์จะถือว่าเป็นที่จะสร้างออกมาจากอะไร

    ความไม่ชอบมาพากลต่อไปคือว่าอัตราส่วนของ w =- 1 หมายความว่าพลังงานที่จุดศูนย์ exerts ที่มีความดันลบที่เคาน์เตอร์ - สังหรณ์ใจนำไปสู่​​การขยายตัวของพื้นที่เวลา

    ดังนั้นพลังงานที่จุดศูนย์จะปรากฏเป็นเหมือนกันกับพลังงานมืดลึกลับ แต่น่าเสียดายถ้าคลื่นพลังงานที่ไม่ดำเนินการต่อขึ้นไปที่ความถี่ Planck อาจจะมี 120 คำสั่งของพลังงานมากขึ้นขนาดต่อลูกบาศก์เซนติเมตรกว่าสังเกตของใบอนุญาตการเร่งจักรวาล แท้จริงแล้วปริมาณของพลังงานที่จุดศูนย์นี้ตีความวิธีนี้จะมีการเร่งจักรวาลลงในการให้อภัยใน microseconds
    เราแนะนำรูปแบบใหม่สำหรับพลังงานมืดในจักรวาลที่คงที่ดาราศาสตร์ขนาดเล็กถูกสร้างขึ้นโดยพลังงานไฟฟ้าสูญญากาศสามัญโฟตอนเสมือนที่สอดคล้องกันอยู่ที่ความถี่ทั้งหมด แต่เปลี่ยนจากระยะการใช้งานที่แรงโน้มถ่วงที่มีความถี่ต่ำไปยังขั้นตอนการใช้งานที่แรงโน้มถ่วงความถี่สูงผ่านประเภท Ginzburg - Landau ของการเปลี่ยนเฟส เพียง แต่โฟตอนเสมือนจริงในสภาพที่ใช้งานแรงโน้มถ่วงร่วมกับดาราศาสตร์คงที่สูญญากาศขนาดเล็กความหนาแน่นของพลังงานให้สอดคล้องกับการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติในรูปแบบนี้ เรานำเสนอทดสอบในห้องปฏิบัติการเป็นไปได้สำหรับสถานการณ์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับขั้นตอนในการประสานตัวนำ
    ทฤษฎีไฟฟ้ากระแส Stochastic

    ถึงแม้ว่าพลังงานที่จุดศูนย์ได้รับการยกย่องมักจะเป็นปรากฏการณ์ควอนตัมและผลของความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ Heisenberg, การดำรงอยู่ของพลังงานที่จุดศูนย์ที่ถูกอ้างถึงโดย Einstein, Planck, Nernst และอื่น ๆ ในบริบทของการฉายรังสี blackbody ก่อนที่จะมีการค้นพบควอนตัม กลศาสตร์ Einstein และ Otto Stern มาใกล้กับฟังก์ชั่นอันว่าความโดยไม่ต้องสมมติว่า quantization แต่ด้วยสถานะของพลังงานที่จุดศูนย์ Nernst โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1916 อ้างว่าจักรวาลของเราก็เต็มไปด้วยพลังงานจุดศูนย์ สายของการสอบสวนนี้ถูกทิ้งร้างกับการถือกำเนิดของกลศาสตร์ควอนตั แต่แนวคิดของพลังงานที่จุดศูนย์ reemerged เร็ว ๆ นี้กับการตีความควอนตัม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  3. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ตองเจ
    สบายดีหรือ คะ
     
  4. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    สบายดีครับ ขอบคุณมากแล้วอาจารย์หละครับสบายดีรึ (kiss)
    ไม่ยึดไม่ติดไม่มองไม่ดู :boo:อิอิ
     
  5. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ตอนนี้เข้าบ้าน....เข้าไปดูชั้นในของกายและจิต เลยไม่ค่อยออกมา พูดข้างนอกได้บ่อย ๆ เพราะขี้เกียจ

    วัฐ ภายนอก ก็เห็นกันอยู่ทุกวัน เลือกได้ตามใจชอบว่าจะสุข จะทุกข์ ถ้ารู้ว่าตรงนี้อยู่แล้วทุกข์ ก็ออกมา ตรงไหนสุข ก็ทำไป คือ ใช้ กฎ ตัวกูเป็นใหญ่

    แต่การอยู่ร่วมในสังคม ก็ต้องดูวัฒนธรรม ธรรมเนียม และ แนวปฎิบัติ ที่เป็นกลาง ๆ ไม่ให้หลุดจนคนคิดว่าบ้า หลาย ๆกลุ่ม บอกได้เลย ล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น เกิดจากอะไร

    เกิดจากมาตรฐานของคนหมู่มากในกลุ่มที่ตั้งกันเองด้วยพฤตินัย เป็นที่เกิดขึ้นเองด้วยสัญชาติญาณ คนไหนแตกต่าง จริงไม่เหมือน ก็ค่อย ๆ หนีหายไป แค่นั้นเอง บางคนก็ยังฝืน ๆ อยู่ไปอย่างนั้น เพราะไม่มีอะไรเสีย หาที่เล่นที่คุย

    ดังนั้น กายภาพ ทั้งหมดล้วนถูกกำหนดด้วยการกระทำที่สอดคล้องกันและดันสิ่งที่ไม่คล้องกันออกไป ถ้าหากเราลงไปดู สิ่งทั้งหมดที่เรียกว่าภายนอกแล้ว บอกได้เลย บล็อกเดียวกันไปหมด ดูได้ไม่อยาก แค่เวลาเป็นเครื่องชี้ว่าเร็วหรือสั้นเท่านั้น

    แต่ถ้าเราดูภายใน มันสามารถดูได้แค่ ตนเองอย่างเดียว ดูให้เห็นกันไปว่า จริง ตนเองมีอะไร อะไรที่ต่างและที่เหมือน จากภายนอก การดูตนจึงยากอย่างยิ่ง เข้าตำรา ผงเข้าตาผู้อื่นเราเห็น ผงเข้าตาตนเองมองไม่เห็น เป็นเช่นนั้นเอง
     
  6. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ทางจิตรู้แล้วว่าจิตกับกายมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง และเป็นจิตที่คุมกาย (mind over matter)

    มนุษย์มีการยืดหยุ่นทางจิต (resiliency) ได้สูง เพราะว่าได้ผ่านพ้นความเป็นสัตว์ไปแล้ว การปรับตัวเองทางกายภาพไม่ได้อยู่ที่ ชีววิวัฒนาการทางกายภาพ แต่เป็นเรื่องวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้า ละเอียด มาทีหลังชีววิวัฒนาการทางกายภาพ และมีแต่ในมนุษย์เท่านั้น ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเหมือนที่ศาสนาบอกว่า มนุษย์ทุกคน - เร็วหรือช้า - จะต้องมีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่ไล่สูงขึ้นไปจนถึงนิพพาน
    เราจึงต้องทำความรู้จักกับเรื่องของจิตกับจิตวิญญาณ - ในเชิงวิทยาศาสตร์ - ให้มากกว่านี้
    นักวิชาการทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายกาย ทั้งนักจิตวิทยา และนักเทววิทยา หรือนักศาสนศาสตร์กับนักวิทยาศาสตร์ หรือนักฟิสิกส์ ต่างรู้ว่าจิตกับกาย (mind and body) แยกจากกันไม่ได้ แต่ความรู้หรือความเข้าใจเช่นนั้น ไม่ค่อยมีใครตอบให้กระจ่างชัดได้ ยิ่งนักประสาทวิทยาศาสตร์ส่วนมากแล้วแทบไม่ต้องพูดถึง พวกเขาแทบจะไม่ยอมรับอะไรที่เป็นเรื่องของจิตแท้ๆ เลย เพราะเชื่อว่าจิตไม่มีจริง หรือถึงมีก็เป็นส่วนของกาย (epiphenomenon) ที่ทำงานอย่างซับซ้อน
    หรือพูดง่ายๆ ว่า จิตเป็นผลของการจัดองค์กรตนเองของสมอง โดยเฉพาะในระยะหลัง เมื่อมีการค้นพบสารเคมีหลายชนิด ที่ทำหน้าที่เหมือนกับว่าเป็นตัวการที่สัมพันธ์กับเรื่องของจิต (neurocorrelates of the consciousness or NCCs) ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ของการเป็นเหตุที่ก่อผลเลย ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
    พูดง่ายๆ คือ เป็นรูปแบบของจิตโบราณของจักรวาลที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนตัวเองเป็นจิตสำนึกได้ (ต้องมีสมองของสัตว์โลกเป็นผู้บริหาร) แต่เป็นจิตโบราณที่เป็นรูปแบบร่วมของจิตและกาย ซึ่งจุงเชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้จิตกับกายมีความติดต่อเชื่อมโยงกัน
    ก็คิดเช่นนั้นว่า คงจะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความจริงแท้ที่ติดต่อเชื่อมโยงกัน ซึ่งทำให้องค์กรอัตวิสัย (subjective) และวัตถุวิสัย (objective) ของจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน (ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นเสมือนจิตไร้สำนึกที่ไม่ได้บริหารที่สมอง แต่บริหารโดยจักรวาลเช่นเดียวกับองค์กรซ่อนตัวเองของเดวิด โบห์ม (implicate order)) ซึ่งพอลี่ก็คิดว่ามันจะต้องมีการแตกแยกกันของอูนัส แมนดัส ที่ถือว่าเป็นจิตไร้สำนึกพื้นฐาน (psychophysical symmetry) ที่ทำให้จิตโบราณ (archetype) หนึ่ง กับกฎทางฟิสิกส์ (physical law) อีกหนึ่งมีขึ้นมา และพอลี่คิดว่า น่าจะมีกฎธรรมชาติของจักรวาลอีกกฎหนึ่งคอยควบคุมการโผล่ปรากฏของจุดกำเนิดของจิตและกายอีก


    พระตถาคตแท้คืออะไร คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล ที่พระตถาคตมาในร่างนี้ มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้ นี่เป็นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมุติต่างหาก
     
  7. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    นิสัยความเคยชินนั้น ยากแสนยากจะเปลี่ยนแปลง สู้หาดาวเคราะห์ใหม่มาแทนโลกจะง่ายกว่า!? เราต้องรู้ว่ายากแสนยากกับการไม่เปลี่ยนแปลงเลยนั้นไม่เหมือนกัน เคยได้ยินได้ฟังพระไตรลักษณ์และอนิจจตาของพุทธศาสนาบ้างไหม?
    ทั้งนี้ก็เพราะคิดตามนิสัยความเคยชินของสาธารณชนในปัจจุบัน หรืออุปาทานการยึดติดติด “ถือมั่นยึดมั่น” กับตัวกูของกู นั่นคืออะไรๆ ที่เป็นธรรมชาติที่เป็นปกติธรรมดาหรือนอร์มของมนุษย์ที่ทุกๆ ชีวิตที่ “ต้องเป็นอย่างนั้น” ซึ่งไม่เป็นต่างหากที่ไม่ใช่นอร์ม เช่น ในแมมมอลเช่นหมา ในที่สุดจะมีอัตตาตัวตน (self) ที่แม้แต่ชีวิตก็ยอมสละได้ซึ่งไม่ใช่เป็นอหังการ มมังการ (ego) เลยซึ่งขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณ แต่อุปาทานนั้นจะเหนือกว่าสัญชาตญาณเสียอีก แต่ทั้งนี้เราจะต้องรอคอยเวลาที่ยาวนานที่ต้องรอคอยให้เซลล์สมองวางรากฐานการเชื่อมโยงกัน (wiring) ให้แล้วเสร็จเสียก่อน นิสัยความเคยชินจึงขึ้นอยู่ที่การบริหารจิต “โดยสมองและที่สมอง”
     
  8. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    เพราะว่าอัตตาตัวตน (self) ที่เชื่อว่าเข้ามาอยู่ในมนุษย์นั้นมาตั้งแต่เดิมคือ มาตั้งแต่มีชีวิตขึ้นมาในโลก แต่ทว่าอหังการ มมังการ (ego) นั้นจะมีวิวัฒนาการตามขึ้นมา (เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น) (คือระหว่าง axial period) นั่นดับขันธ์ได้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง สามารถได้ทั้งสองวิมุตติ คือได้ทั้งปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ (ตั้งมั่นยาวนานอยู่ในสมาธิ) “พร้อมๆ กัน” ก็เพราะทั้งขาดผู้ประคับประคองสนับสนุนอย่างหนึ่ง และยังขาดตัวอย่างอีกหนึ่ง จงอย่าลืมว่าคนที่จะเป็นพุทธะหรือพระพุทธเจ้าได้นั้นหายากหาเย็นยิ่งนัก ไม่ใช่ใครๆ ก็เป็นได้
    และมนุษย์สามารถจะรู้แจ้งเห็นจริง คือได้วิมุตติทั้งสองอย่าง คือทั้งเจโตวิมุตติ (จิตที่ตั้งมั่นในสมาธิ) และทั้งปัญญาวิมุตติที่ขจัดอวิชชาได้ทั้งหมดหรือยิ่งกว่าเป็นจีเนียส (wisdom ที่ได้มาด้วย intelligence ไม่พอ จึงต้องต่อยอดด้วยเส้นทาง line ซึ่งก็คือปรีชาญาณหรือ intuition) อย่างมากก็อาจจะได้แค่โสดาบัน สกินาคา หรืออนาคามี ซึ่งเป็นรูปพรหมก่อนสุดท้ายตามสเปกตรัมของจิตชั้นสุดท้ายที่เป็นอรูปพรหม (อันประกอบด้วยสี่ระดับชั้นเหมือนๆ กันทั้งในทางพุทธศาสนาและทางวิทยาศาสตร์ทางจิตเรียก คือ ระดับที่ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าเป็นสภาวะทางจิตวิญญาณ (spirituality) หรือระดับ psychic subtle causal และ non-dual ซึ่งระดับสุดท้ายนั้นก็คือ ระดับเนวสัญญานาสัญญาในพุทธศาสนานั่นเอง และทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อว่า อริสโตเติล, ไวต์เฮด, นีตเช่, ไอน์สไตน์, คาร์ล จุง หรือเค็น วิลเบอร์ ฯลฯ เหล่าจีเนียสทั้งหลายที่อาจจะได้ปัญญาวิมุตติแต่ก็ยังห่างไกลจากนิพพาน - ที่คือเป้าหมายสุดท้ายของพุทธศาสนา
     
  9. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    จิตไร้สำนึก “หลอกให้ชีวิตหลงจนกว่าชีวิตนั้นๆ จะได้มีวิวัฒนาการเป็นสัตว์ต่างๆ ตามขั้นตอนจนเป็นมนุษย์และมีวิวัฒนาการต่อไปจนผ่านพ้นความเป็นสัตว์ “โดยสิ้นเชิง” นั่นคือ เมื่อมนุษย์ได้มีวิวัฒนาการถึงสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งเราที่เหลือไม่มากนักกำลังใกล้จะประสบเต็มทีในเร็วๆ นี้ ฉะนั้นเราถึงได้ไม่ชอบหรือทั้งเกลียดและกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น พูดกันตามความจริงเราชอบแต่เฉพาะกลางวันและเรากลัวกลางคืนก็เพราะอย่างที่พูดนั่นแหละ ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์สมัยโบราณมาแล้ว เราถึงได้ชอบพระอาทิตย์และมีตำนานเล่าขานมาในทุกๆ วัฒนธรรมหรือทุกๆ อารยธรรมก็ว่าได้ พูดง่ายๆ คือพระอาทิตย์คือสิ่งที่เรายกย่องบูชาถือว่าเป็นพระเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แถมไฟหรือพระอัคนี “ผู้ขับไล่ความมืด” ยังพลอยเป็นพระเจ้าไปด้วย ส่วนพระจันทร์ทั้งๆ ที่เป็นผู้ขับไล่ความมืดแต่เพราะไม่มีแสงในตัวเองต้องอาศัยแสงของพระอาทิตย์เขาเลยถูกหาว่า “บ้า” (lunatic) ไป
    มนุษย์เราไม่ใช่จะเปลี่ยนดาวเคราะห์โลกง่ายๆ แม้ว่าเพราะนิสัยความเคยชินซึ่งเกิดจาการเดินสายไฟ (wiring) ที่สมองอย่างว่า เพราะเหตุว่าอะไรๆ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ล้วนจะต้องได้รับการยกเว้นเสมอ เว้นเสียแต่ “เราเบื่อ” ดาวเคราะห์โลกแล้วอย่างที่สุดซึ่งตอนนี้เราทั้งเบื่อทั้งเซ็ง และที่สำคัญมันแทบจะไม่มีอะไรหลงเหลือให้เราค้นพบอีก การผจญภัยของมนุษย์แทบว่าจะสิ้นสุดด้วยชาร์ลส์ ดาร์วิน และการค้นพบชีววิทยาที่ได้มาจากการสังเกตล้วนๆ เดี๋ยวนี้เราจึงรู้จักมันแทบจะทุกซอกทุกมุมแล้ว นั่น - หมายถึงระดับหรือขั้นตามที่เรามีวิวัฒนาการทางจิตมาตามสเปกตรัม มาถึงจิตในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับตัวตนและเหตุผล (self egoic - rational) และก็เพราะเหตุผลอหังการนั่นเองเราถึงได้คิดแบบนี้และทำแบบนี้ นั่น - นอกเสียจากว่าเราน่าจะวิวัฒนาการไปสู่ระดับที่สูงกว่านี้ - ซึ่งขอย้ำว่าจะเกิดและต้องเกิดในเวลาที่เร็วมากๆ จากวันนี้-ตอนนี้ เราสุดแสนที่จะเบื่อและเซ็งโลกของเราอย่างที่สุด แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือว่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงไหนดี? หรือกาแล็กซีอะไรดี? เพราะกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรานั้น จนป่านนี้ - กว่า 500 ปีแสงแล้ว - ยังไม่พบดาวเคราะห์ (exo - planet) นอกสุริยจักรวาลที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้เลย ถึงว่าจะมีเราก็คงเตรียมตัวไม่ทันเพราะแม้บัดนี้เราก็สร้างยานอวกาศที่บรรทุกผู้โดยสารมากๆ ไม่ได้นอกจากในหนังในภาพยนตร์
    เพราะฉะนั้น แม้เราจะเบื่อจะเซ็งดาวเคราะห์โลกดวงนี้อย่างไร? หรือเราจะมีนิสัยความเคยชินแค่ไหน? ก็ย่อมไม่มีทางที่มนุษย์จะละทิ้งดาวเคราะห์นามโลกดวงนี้พร้อมกับระบบสุริยจักรวาล และพระอาทิตย์กับ “เวลากลางวันที่มองเห็น” ซึ่งแทบว่าจะทุกศาสนา - โดยหลักการต่างล้วนบอกว่า (เช่นลัทธิพระเวทย์ ศาสนาฮินดู (ที่ก็มีพระเจ้าผู้สร้าง) ศาสนาพุทธ (ที่ไม่มีพระเจ้า)) "สร้างเวลากลางวันหรือแสงสว่างขึ้น และการที่ให้แสงสว่างหรือการให้มนุษย์มองเห็น” นี้เองที่ให้ “ความเป็นสอง” (dualism) ที่ไม่ใช่สัจธรรมความจริงที่แท้จริง คือเป็นความจริงทางโลกเพื่อให้สัตว์โลก รวมทั้งมนุษย์จะได้รับรู้และดำรง “อยู่ได้รอดปลอดภัย” บนโลกใบนี้ ตามที่ศาสนาคริสต์ที่บอกอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าคือผู้สร้างโลกและสวรรค์ โดยสร้างโลก “ที่มนุษย์ไม่สามารถจะอาศัยได้เพราะว่าโลกในทีแรกไม่มีรูป ว่างเปล่า และมืดมิดยิ่งกว่ากลางคืน (ที่ไร้ทั้งแสงเดือนและแสงดาวหรือแสงอะไรทั้งสิ้น) ซึ่งในตอนแรกที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดมิด และน้ำที่มี “ความลึก” ประดุจถูกคลุมด้วยผ้านั้น พระเจ้าก็ได้พูดว่า “จงมีแสงสว่าง....” แสงสว่าง (กลางวัน) พร้อมทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์จึงมีขึ้น และนั่นเองที่ทำให้ผู้เขียนคิดว่าความเป็นสอง (dualism) ได้ถูกสร้างขึ้นในตอนนั้น ทำให้ความจริงมีสองความจริงคือเป็นความจริงทางโลก ทางสังคม “ที่มองเห็น” และความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรม และผู้เขียนคิดว่าความอหังการ มมังการ “กูยิ่งใหญ่และเก่งเหลือเกิน” เลียนแบบและ “สู้” กับธรรมชาติจนกระทั่งท้าทายแม้ธรรมชาติไม่ว่ารู้ตัวหรือว่าอวิชชาด้วยเทคโนโลยีและเงิน
    ผู้เขียนถึงได้เชื่อเหลือเกินว่า ไม่ว่าเราจะเบื่อหรือเซ็งดาวเคราะห์โลกดวงนี้สักเท่าไหร่ เราจะมีอหังการสักเท่าไหร่ เราก็ไม่มีทางจะทำอะไรกับธรรมชาติได้เลย สุดท้ายแล้วธรรมชาติก็ต้องชนะ จริงๆ แล้วมนุษย์เราคือธรรมชาติแต่เราหลงลืมไปจนคิดว่ามนุษย์ไมใช่ธรรมชาติ และเป็นอหังการ มมังการแท้ๆมนุษย์เราถึงได้เป็นอย่างนั้น ใครจะคิด-พูดว่าอย่างไร ผู้เขียนไม่รู้และไม่แคร์ และก็จะพูดจะเขียนไปเรื่อยๆ ว่าเราไม่มีทางเบื่อหรือเซ็งดาวเคราะห์นามโลกใบนี้ไปไม่ได้ และเราก็ไม่มีทางทีจะหนีหรือละทิ้งโลกนี้ไปได้ นอกจากนี้คงจะห้ามไม่ให้ผู้เขียนคิดและเขียนเรื่องปี 2012-13 และปี 2020 ไม่ได้ เพราะนี่เป็นโลกของเรา-ของผู้เขียนด้วย - และเราจะต้องมีวิวัฒนาการทั้งทางกายและทางจิตจนแล้วเสร็จจบสิ้น มันจึงสุดแล้วแต่กรรมร่วมของมนุษยชาติโดยรวมเท่านั้น.
     
  10. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    การเรียนภาคปฎิบัติ แบบใหม่ ที่ได้จากการกระเทาะเปลือกของคลื่นความคิด ความรู้สึก การคาดหวัง และ ต่าง ๆ ออกไป จนพอเข้าใจ ทางเดิน ที่ทอดยาวออกไปข้าวหน้าของเส้นทาง โดดเดี่ยวผู้น่ารัก...............555

    เส้นทางนี้ไม่มีอะไรมาก คือการมองดูตัวเอง จากกาย จากใจ จากจิต จากเงื่อนของวิญญาณ และการหลอมรวม ถึงการเกิดขึ้นและซ้อนอยู่ เช่นเดียวกับการถอยหลังกลับไปหาจุดกำเหนิด ของ ดวงจิตนั่นเอง

    การเดินทางของดวงจิตแรก ไม่สามารถรู้ได้ว่า มีข้อมูลหรือไม่ แต่เท่าที่อ่านมา เค้าบอกว่า ดวงจิตประภัสสร จะใส สะอาด ไม่มีอะไรยิดติด เกาะไว้ได้เลย ก็เลยตีความจากความคิดของเราว่า คือดวงแก้วเปล่า ๆ ที่เป็นผู้รู้และจดเรื่องราวบันทึก ตามเวลาของการเดินทางของดวงจิตนั่นเอง และดวงจิตก็จะบันทึกเหตุการณ์ที่มีอิทธพลกับสภาวะของเวลาในสถานะที่แตกต่างกันไป แต่ เค้าได้รวบ รวม และ จดจำ ได้ละเอียดมากกว่า ลึกซึ้งกว่า ที่จะเข้าใจได้แบบผิวเผิน

    การมองเห็นดวงแก้วนั้น เราเชื่อว่า มีหลายขั้นหลายตอน ที่แต่ละท่านจะเห็น สุดแต่จะเห็นได้ถึง ปลายทางแห่งความใส หรือไม่ เท่านั้นเอง

    หนทางที่จะนำมาบอกกล่าว สำหรับผู้เริ่มต้น การเดินทางเข้าสู่ตัวท่านเอง ในเทคนิคของเรา

    1. ให้ท่านแยกแยะ อะไร คือนอกกาย และ ในกาย ของที่อยู่นอกกาย และของที่อยู่ในกาย และมองดู
    2. ให้ท่านใช้ความรู้สึกจับไปในสิ่งนั้น นอกกาย และในกาย และมองดู
    3. ให้ท่านหาต้นต่อ ของความรู้สึก ก่อนที่จะเห็นหรือรู้สึกถึงสิ่งนั้น ทั้งนอกกายและในกาย

    3 ข้อพื้นฐาน ที่เป็นธรรมดาของการสังเกต การว่องไวแห่งการตรวจจับ และเราไม่พูดถึงเลย นั่นคือ จิต ความเป็นจิต มันละเอียดเข้าไปอีก................
     
  11. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    เมื่อมองดู เวลาที่เคลื่อนผ่าน และ เราก็เคลื่อนผ่านเวลาอันนั้น ในตอนแรก ๆ ก็จะเก็บความทุกข็และความรู้สึกผิด ไว้มากมาย แต่พอผ่านไป เมื่อเราได้คิด และ ตรวจสอบความรู้สึก เราจะค้นพบว่า แท้จริงแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทุกสิ่งต้องเคลื่อนผ่าน จากเวลา จากคน จากสถานที่ แต่ที่เราทุกข์หรือรู้สึกไม่ยินดี เป็นเพราะเราเอา จิต เข้าไป ยึดไว้ แค่นั้นเอง

    ถ้าหากเราไม่สนใจ ไม่ไปจับต้อง เราจะรู้สึกได้ว่า การเคลื่อนผ่าน เป็นเพียงแค่บทเรียนหนึ่ง ในเวลา นั้น ๆ เท่านั้นเอง ที่มี ข้อให้เกิดนิติสัมพันธ์กัน ตามบุญเก่าหรือกรรมเก่า นั่นเอง และทุกอย่างล้วนเกิดจากเรา

    ขยับเคลื่อนตนเอง เข้าไป ที่จะเจอ ที่จะเข้าไปรวมวง โดยที่เรา ล่วงรู้ไม่เท่าทันว่า

    จริง ๆ แล้ว มันมีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องเดินผ่านในสิ่งนั้น หรือ สภาวะนั้น ๆ แต่หากคิดในแง่บวก ทุกอย่างล้วนเป็น การเดินทางเพื่อให้เห็น ตนเอง ในความเป็นจริง ๆ นั่นเอง

    และของเราแล้ว เดินมานาน ยังไม่เห็นอะไรที่เหมาะกับตนเองจริง ๆ เลย ยกเว้น ความว่าง
     
  12. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    หลักการของพีระมิด


    • สามารถหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ของเส้นแรงแม่เหล็กได้
    • สามารถจัดระเบียบหรือจัดการเรียงตัวของเส้นแรงแม่เหล็กให้เป็นระเบียบได้
    • สามารถเหนี่ยวนำพลังลมปราณให้มารวมตัวกันภายในรูปทรงและบริเวณใกล้เคียงได้ดีมาก
    กล่าวคือเมื่อเส้นแรงแม่เหล็กพุ่งเข้ามาชนวัตถุรูปทรงพีระมิดแทนที่จะเคลื่อนทะลุผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งทั้งหมด กลับถูกลักษณะของรูปทรงหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ให้เคลื่อนเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางเดิม เส้นแรงแม่เหล็กที่พุ่งเข้ามาส่วนใหญ่จะถูกบังคับให้เคลื่อนขึ้นไปยังบริเวณยอดแหลมของพีระมิด แล้วพุ่งออกไปตรงบริเวณยอดแหลมของพีระมิดนั้น โดยในขณะที่เส้นแรงเคลื่อนเข้าสู่พีระมิดก็จะถูกจัดเรียงให้เคลื่อนตัวอย่างเป็นระเบียบ ลักษณะการเคลื่อนตัวก็จะมีรูปลักษณ์ทั้งที่เป็นเส้นตรง เส้นโค้ง และหมุนเป็นเกลียวแตกต่างกันไปตามแง่มุมและระยะความลึกภายในรูปทรงพีระมิดนั้น
    การที่รูปทรงพีระมิดสามารถหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ของเส้นแรงแม่เหล็ก จัดระเบียบการเคลื่อนที่ และเหนี่ยวนำลมปราณได้ดี ก็เพราะ รูปทรงพีระมิดเป็นรูปทรงที่ไม่มีจุดศูนย์กลาง ซึ่งแตกต่างกับรูปทรงกลมที่ภายในทรงกลมจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่เมื่อวัดระยะจากขอบของรูปทรงจากทุก 360 องศาสามมิติ คือ ทั้งมิติด้านกว้าง ยาว ลึก เมื่อวัดระยะเข้ามาหาจุดศูนย์กลางแล้วจะมีระยะทางเท่ากันหมด ลักษณะของรูปทรงกลมเช่นนี้ ณ.จุดศูนย์กลาง พลัง งานชนิดต่างๆ สามารถมาหยุดรวมตัวกันได้ดีที่สุด เพราะเป็นจุดศูนย์รวมแรงดึงดูดของรูปทรงและเป็นจุดศูนย์ถ่วงด้วย แต่รูปทรงพีระมิดไม่มีจุดเช่นนี้ ที่จะมีก็คือแกนกลาง ซึ่งเป็นแกนที่เชื่อมระหว่างยอดแหลมกับจุดตัด กันของเส้นทแยงมุมที่ฐานของพีระมิด

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 130px" vAlign=top width=130>
    [​IMG]
    </TD><TD>แกนกลางนี้ เมื่อวัดระยะห่างระหว่างแกนกับขอบของรูปทรงแต่ละด้านแล้ว ระยะห่างจะมีค่ามากที่สุดเมื่อวัดที่ฐานของรูปทรง และจะมีค่าลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือศูนย์ที่ยอดแหลมของพีระมิด ด้วยลักษณะของรูปทรงเช่นนี้จะไม่เกิดจุดรวมพลังงาน แต่พลังงานจะเกิดการรวมตัวกันที่แกนกลางของรูปทรง ดังนั้น เมื่อเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้ามาในรูปทรงพีระมิด ก็จะถูกลักษณะลาดเอียงด้านหน้าตัดของพีระมิดหักเหเส้นทางการเคลื่อนที่ ถูกบีบให้เคลื่อนสู่แกนกลางแล้ว เคลื่อนขึ้นสู่ยอดแหลมของพีระมิด ถ้าเป็นพีระมิดที่ภายในรูปทรงกลวง เส้นแรงจะเข้ามารวมตัวกันเป็นแกนอย่างหลวมๆ เกิดแกนพลังเส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก การที่เส้นแรงเคลื่อนขึ้นสู่ยอดแหลมก็เพราะที่บริเวณยอดแหลมมีปริมาณเส้นแรงพุ่งเข้ามาน้อยกว่าบริเวณฐานพีระมิด แรงดันหรือความเข้มของเส้นแรงจึงมีน้อยกว่าที่บริเวณฐานและบริเวณที่สูงจากฐานขึ้นมา แรงดันของเส้นแรงที่สะสมตั้งแต่ที่ฐานของรูปทรงจึงมีมากกว่าที่ยอดแหลม จึงขับเคลื่อนให้เส้นแรงขึ้นไปสู่ยอดแหลม ทำให้ที่ยอดแหลมกลายเป็นทางออกของเส้นแรงที่พุ่งเข้ามาในพีระมิด
    ส่วนบริเวณแกนกลางของรูปทรง โดยเฉพาะพีระมิดรูปทรงทึบหรือตัน ซึ่งเป็นรูปทรงที่สามารถเกิดแกนพลังได้ดีนั้น เส้นแรงแม่เหล็กที่เคลื่อนเข้ามาจะเข้ามาหมุนเป็นเกลียวที่บริเวณแกนกลาง โดยหมุนเป็นเกลียวในลักษณะทวนเข็มนาฬิกาขึ้นไปสู่ยอดแหลม เกิดเป็นแกนพลังเส้นแรงแม่เหล็กขึ้น การหมุนเป็นเกลียวของเส้นแรงแม่เหล็กบริเวณแกนกลางของรูปทรงพีระมิดนี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้กระแสลมปราณไหลเข้ามาสะสมอยู่ภายในพีระมิด รวมถึงเกิดการไหลเวียนของกระแสลมปราณด้วย ซึ่งทิศทางการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กและลมปราณนี้สามารถที่จะบังคับได้ตามลักษณะการจัดวางพีระมิด
    ด้วยคุณสมบัติของพีระมิดดังที่ได้กล่าวมา ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรูปทรงพีระมิด ซึ่งในปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มากพอสมควรเกี่ยวกับความลับของรูปทรงพีระมิดต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ยากต่อการอธิบาย แต่เมื่อได้ทราบถึงคุณสมบัติของพีระมิดดังกล่าวข้างต้นแล้วก็จะสามารถอธิบายได้ เช่น มหาพีระมิดคีอ็อป ที่ เมืองกีซา ประเทศอียิปต์ พบว่าเมื่อมีสัตว์เข้ามาตายในมหาพีระมิด เช่น หนู เมื่อเข้ามาตายปรากฏว่าซากศพไม่เน่าเปื่อย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมหาพีระมิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูป ทรงพีระมิดที่มีขนาดใหญ่มาก ด้วยเป็นวัตถุรูปทรงพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ จึงสามารถหักเหเส้นแรงแม่เหล็กได้เป็นปริมาณมาก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    โดยคุณลักษณะของธรรมชาติธรรมชาติต้องไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเป็นวัฏจักร ไม่ใช่เป็นเส้นตรง ดังนั้นจึงไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ ทั้งไม่มีขอบเขต มนุษย์เราจึงมีหน้าที่ค้นหาคำตอบธรรมชาตินั้น มนุษย์จึงเดินตัวตรงหัวชี้ฟ้า มีคอหมุนได้รอบ มีตาที่ให้ความเป็นสามมิติทำให้มองโลกโดยรอบที่เป็นสามมิติเพียงเผ่าพันธุ์เดียว การค้นหาทำให้เราได้ประสบการณ์หลากหลายที่สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา<O:p> </O:p>
    <O:p> ความเชื่อของกลุ่ม New Age (New Age Beliefs) กลุ่ม New Age ถูกสนับสนุนให้แสวงหาในความเชื่อ และการปฏิบัติเพื่อการปลดปล่อย
    · KARMA (กรรม) การกระทำดีหรือชั่วของมนุษย์จะไปเพิ่มหรือลดกรรมที่สะสมไว้ เมื่อ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    ถึงจุดจบของชีวิต มนุษย์จะได้รับรางวัลหรือการลงโทษตามกรรมที่ก่อไว้<O:p> </O:p>
    · REINCANATION ชีวิตหลังความตายของมนุษย์ที่มีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฎจักร<O:p> </O:p>
    · AURA เชื่อว่า คนเรามีพลังงานอยู่ในตัว เป็นพลังงานที่มองไม่เห็นโดยทั่วไป เป็นพลัง--<O:p> </O:p>
    งานที่สามารถทำให้เข้าถึงจิตใจมนุษย์ได้ และสามารถวินิจฉัยโรคต่างๆ ได้<O:p> </O:p>
    · PERSONAL TRANSFORMATION ผู้ศรัทธาเชื่อ และหวังในการเพิ่มศักยภาพภายใน<O:p> </O:p>
    ของตนเอง เพื่อจะรักษาผู้อื่นทั้งกายและใจ เป็นความเข้าใจในโลกแบบใหม่ คนที่บรรลุพลังนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ<O:p> </O:p>
    · ECOLOGICAL RESPONSIBILITY ความเชื่อในการปกป้องรักษาโลก เพราะโลกเป็น<O:p> </O:p>
    แก่นแท้ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง (MOTHER EARTH) <O:p></O:p>
    · UNIVERSAL RELIGION โลกที่มีศาสนาเพียงหนึ่งเดียว มีพระเจ้าองค์เดียว เป็นศรัทธา<O:p> </O:p>
    ที่ยอมรับทั่วโลก เพื่อสันติภาพเดียวกัน <O:p></O:p>
    กล่าวได้ว่า ความเชื่อของ New Age เป็นไปในทางรักสันติ เชื่อมั่นในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ที่มีความรักต่อตนเองและต่อผู้อื่น เชื่อมั่นในความเป็นหนึ่งเดียวกันของโลกและพลังของธรรมชาติในเรื่องของจิตวิญญาณเหมือนกับ วิลลิส ฮาร์แมน (WILLIS HARMAN) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ และศาสตราจารย์จากแสตนฟอร์ด เขียนไว้ชัดเจนว่า ความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่สามารถเข้าได้สองทาง คือ หนึ่ง ด้วยจิตเส้นทางภายใน เช่น ฌานหรือสมาธิ และสองด้วยวิทยาศาสตร์และการศึกษาในห้องทดลอง (WILLIS HARMAN : IN METAPHYSICAL FOUNDATION OF MODERN SCIENCE, 1994) ซึ่งสังคม New Age จะดำเนินชีวิตโดยยอมรับทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนา หรือเรื่องของกรรม จิตวิญญาณ หรือพลังภายในที่มองไม่เห็นของธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์เข้าไปไม่ถึง <O:p></O:p>
    กิจกรรมของกลุ่ม New Age (NEW AGE TRACTICES) กิจกรรมที่กลุ่ม New Age ปฏิบัติเป็นเรื่องปกติ มีดังต่อไปนี้<O:p> </O:p>
    · CHANNELING วิธีการที่คล้ายกับการใช้ SPIRITIST ที่วิญญาณของผู้ตายไปแล้วกลับ<O:p> </O:p>
    ฟื้นขึ้นมาได้ เป็นกิจกรรมในการติดต่อกับวิญญาณ<O:p> </O:p>
    · MEDITATING การทำจิตให้ว่างหรือสมาธิ<O:p> </O:p>
    · NEW AGE MUSIC ดนตรีที่เรียบง่าย และไพเราะ ดลใจและจูงใจจากเครื่องเสียงต่างๆ <O:p></O:p>
    เพื่อช่วยในการบำบัดและการผ่อนคลายได้<O:p> </O:p>
    · CRYSTALS คริสตัล เป็นวัตถุที่มีโมเลกุลจัดวางอย่างเฉพาะเจาะจง และเป็นระเบียบ เชื่อ<O:p> </O:p>
    ว่ามีพลังในการช่วยบำบัดรักษาและเยียวยาได้<O:p> </O:p>
    · DIVINATION การทำนายอนาคต โดยดูไพ่ ลายมือ<O:p> </O:p>
    · ASTROLOGY โหราศาสตร์ที่ว่าด้วยการหาเวลาเกิดหรือเวลาตกฟาก สถานที่เกิดเพื่อ<O:p> </O:p>
    ทำนายอนาคต<O:p> </O:p>
    · HUMAN POTENTIAL MOVEMENT เป็นการบำบัดทางกายภาพภายในของมนุษย์ ที่<O:p> </O:p>
    นิยมมากคือ โยคะ สมาธิ<O:p> </O:p>
    · HOLISTIC HEALTH เป็นวิธีการรักษาที่นำมาจากวิธีทางการแพทย์ในการรักษาจิตใจและ<O:p> </O:p>
    ร่างกาย
    จะเห็นได้ว่าแนวทางการปฏิบัติของกลุ่ม New Age จะเป็นไปในทางนำตัวเองเข้าหาธรรมชาติ ทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติรอบๆ ตัวมนุษย์ให้มากที่สุด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่เร่งรีบ และเป็นพิษของโลก ในปัจจุบันกระแส New Age เริ่มเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น และกำลังกลายเป็น TREND ที่เกิดขึ้นเกือบทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย โดยเฉพาะรูปแบบการบริโภคหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับสุขภาพทั้งภายในและภายนอกของตน กระแสที่แผ่ขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ หนุ่มสาวชาวออฟฟิตหรือผู้ที่ได้รับการศึกษาต่างถามหาเส้นทางการดูแลสุขภาพในแนวทางของ New Age กันมากขึ้น กระแสความเชื่อของ New Age ที่เชื่อว่า สุขภาพไม่ใช่เรื่องของความแข็งแรงทางกาย แต่รวมถึงความสมบูรณ์สดใสของจิตใจและจิตวิญญาณด้วย นี่คือที่มาของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมหรือที่เราเรียกว่า <O:p></O:p>
    HOLISTIC HEALTH ซึ่งได้รับการยอมรับมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แนวคิดของPAUL ROLAND ซึ่งเขียนหนังสือแนว New Age มาตลอด โดยเฉพาะเรื่อง NEW AGE LIVING : A GUIDE TO PRINCIPLES, PRATICES AND BELIEFS ได้รับความนิยมสูงมาก<O:p> </O:p>
    </O:p>
     
  14. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ถ้าดูจากนิยามขององค์การอนามัยโลกHEALTH IS COMPLETE PHYSICAL, MENTAL, SOCIAL AND SPIRITUAL WELL-BEING หมายถึง สุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิตใจ ทางสังคมและทางจิตวิญญาณ น่าจะเป็นการถูกต้องที่สุดของนิยามคำว่า สุขภาพ ซึ่งตรงกับความมุ่งหมายของคำว่า HOLISTIC HEALTH เพราะคำว่าสุขภาพแบบองค์รวมต้องครอบคลุมทั้งหมด กาย จิตใจ และจิตวิญญาณ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    วิธีการรักษาสุขภาพแบบ HOLISTIC นี้จะไม่ชี้ชัดในการรักษาโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะเน้นการปฏิบัติต่อคนใดคนหนึ่งมากกว่าเป็นการให้ความสำคัญเกี่ยวกับด้านพลังกาย และพลังจิตใจที่สามารถดึงออกมาจากร่างกายอย่างสมดุลและกลมกลืน เพราะความเจ็บป่วยที่เราเห็นโดยทั่วไปนั้น เป็นอาการของโรคทางใจที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว แต่ปรากฎออกมาให้เห็นเป็นอาการทางกายมากกว่าอาการป่วยทางใจหรือทางกายล้วนๆ ดังนั้นแทนที่เราจะใช้ยาสมัยใหม่รักษาอย่างเดียว เราสามารถใช้วิธีการ HOLISTIC นี้ช่วยเยียวยารักษาและสร้างความแข็งแกร่งในการต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บให้กับสุขภาพและความเป็นอยู่ของเรา โดย HOLISTIC เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพจาก เชิงรับ มาเป็น เชิงรุก หมายความว่ามีความรู้ดูแลสุขภาพและรักษาตนเองไม่ให้เจ็บป่วยนั้นเอง HOLISTIC HEALTH ครอบคลุมการรักษาและการป้องกันสุขภาพ โดยมีแนวทางการรักษาและปฏิบัติหลากหลาย ดังต่อไปนี้<O:p> </O:p>
    อายุรเวช (AYURVEDA)<O:p> </O:p>
    อายุรเวชเป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ความรู้ของชีวิต ซึ่งเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ใช้หลัก HOLISTIC เป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์กับปรัชญาความเชื่อแบบดั้งเดิมของชาวอินเดียมากว่า 3000 ปีที่แล้ว หลักสำคัญของปรัชญาด้านอายุรเวชคือ ใช้ยาเพื่อ ป้องกัน มากกว่าเพื่อ รักษา ซึ่งรวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การกำจัดสารพิษ การควบคุมอาหารโดยวิธีธรรมชาติ การใช้สมุนไพรและเทคนิคต่างๆ ในการกระตุ้นการหมุนเวียนของลมปราณ โดยพิจารณาความสมดุล 3 ประการของร่างกายคือ VATHA พลังที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยตรง PITHA ควบคุมระบบการเผาผลาญและย่อยสลาย สุดท้าย KAPHA เป็นการควบคุมความชุ่มชื่นและไขมัน พลังทั้งสามนี้เรียกว่า DOSHAS และเป็นพลังเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลัก นั่นคือ ธาตุ ลม ไฟ และน้ำ<O:p> </O:p>
    ในอเมริกามีการเปิดคอร์สเรียนและเป็นที่นิยมมาก โดยปกติหนึ่งคอร์สจะใช้เวลานานประมาณหนึ่งชั่วโมง โดยมีการรวบรวมประวัติส่วนตัวผู้ที่จะเข้าร่วมชั้นเรียน ทั้งในสิ่งที่เขาชอบและไม่ชอบ ประวัติการใช้ยา และมีการทดสอบทางกายพิจารณาจากสีหน้าและลิ้น ซึ่งสามารถบอกได้ถึงสุขภาพของเรา โดยมีขั้นตอนในการเรียนดังนี้<O:p> </O:p>
    ขั้นแรก : การบำบัด คือ การขับสารพิษ การบำบัดจะไม่ได้ผลหากร่างกายยังไม่มีการขับพิษออกเสียก่อน การขับสารพิษทำได้หลายวิธี เช่น การนวดที่ใช้สมุนไพร การอบไอน้ำ การสวนทวารด้วยน้ำมัน การใช้สมุนไพรระบายท้อง<O:p> </O:p>
    ขั้นที่สอง : การฟื้นฟูด้วยสมุนไพรและแร่ธาตุ เพื่อสร้างความสมดุลให้กับ DOSHAS ผู้ป่วยสามารถผสมชงดื่มได้เหมือนชา วันละ 2-3 ครั้ง<O:p> </O:p>
    ขั้นที่สาม : สุดท้ายคือ เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของเราเอง นั้นคือ การออกกำลังกายและอดอาหาร ผู้สอนจะแนะนำให้คนไข้ฝึกโยคะสม่ำเสมอ และให้ระวังเรื่องของอาหารการกิน<O:p> </O:p>
    การรักษาด้วยอายุรเวชเหมาะอย่างยิ่งที่นำมาใช้ในการรักษาระบบการย่อยที่ผิดปกติ เช่น โรคอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง โรคท้องผูก แนวคิดอายุรเวชนี้ BODY SHOP ซึ่งมีสาขาทั่วโลกได้ผลิตสินค้าชุดอายุรเวชในฟอร์มของน้ำมันนวด ครีมอาบน้ำ สเปรย์ฉีดอากาศ โดยแบ่งกลิ่นไปตามลักษณะของธาตุทั้ง 3 (ลม ไฟ น้ำ) เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกใช้ตามธาตุของตน<O:p> </O:p>
    การอ่านพลังรัศมี (AURA)<O:p> </O:p>
    AURA เป็นรัศมีเรืองรองที่มีสีต่างๆ เกิดขึ้นเป็นวงแผ่กระจายโดยรอบตัวเราขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงและสุขภาพของเรา คนธรรมดามองไม่เห็นรัศมีด้วยตาเปล่า แต่ผู้มีญาณพิเศษจะมองเห็น และสามารถบันทึกได้ด้วยกรรมวิธีการถ่ายภาพด้วยกล้องที่เก็บความถี่ของแสงได้สูง<O:p> </O:p>
    ประโยชน์หลักในการอ่าน AURA นั้นคือ การมองเห็นอารมณ์และสุขภาพภายในนั่นเอง บางครั้งผู้ที่มีญาณอาจจะมองเห็นอดีตว่าทำไมชีวิตของเราเป็นอย่างงี้หรืออนาคตเป็นอย่างไร ในสหรัฐอเมริกามีการเปิดคอร์สสอนวิธีการอ่านพลัง AURA ซึ่งมักจะแนะนำลูกค้าให้เรียนหนึ่งคอร์ส รวมถึงการสร้างอารมณ์ สุขภาพโดยรวม และความสุขคร่าวๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต<O:p> </O:p>
     
  15. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
    1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว
     
  16. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    กรรมวิธีของการคิดเชิงวิจารณญาณ
    การคิดเชิงวิจารณญาณมีขั้นตอนการคิดที่มีประโยชน์ดังนี้
    1. การจำแนกความเห็นในประเด็นปัญหาจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและการจัดเก็บข้อโต้แย้งที่มีตรรกะที่สนับสนุนในแต่ละฝ่าย
    2. แตกข้อโต้แย้งออกเป็นส่วนๆ ตามเนื้อหาของคำแถลงและดึงเอาเนื้อหาส่วนเพิ่มเติมที่มีความหมายตรงนัยของคำแถลง
    3. ตรวจสอบคำแถลงและความหมายตามนัยเหล่านี้เพื่อหาความขัดแย้งในตัวเอง
    4. บ่งชี้เนื้อหาการอ้างที่ขัดแย้งกันในบรรดาข้อถกเถียงต่างๆ ที่มีแล้วจึงใส่น้ำหนักหรือคะแนนให้ข้ออ้างนั้นๆ
      1. เพิ่มน้ำหนักเมื่อข้ออ้างมีหลักฐานสนับสนุนที่เด่นชัด โดยเฉพาะการมีเหตุมีผลที่สอดคล้องกัน หรือมีหลักฐานจากแหล่งใหม่ๆ หลายแหล่ง ลดน้ำหนักเมื่อข้ออ้างมีความขัดแย้งกัน
      2. ปรับน้ำหนักขึ้นลงตามความสอดคล้องของข้อมูลกับประเด็นกลาง
      3. จะต้องมีหลักฐานสนับสนุนที่เพียงพอสำหรับใช้ในการตัดสินข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือมิฉะนั้น จะต้องไม่นำประเด็นการกล่าวอ้างดังกล่าวมาประกอบการตัดสิน
    5. ประเมินน้ำหนักด้านต่างๆ ของข้ออ้าง
    แผนที่ในจิตสำนึก (Mind maps) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการจัดรูปและการประเมินค่าข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในขั้นสุดท้าย เราอาจกำหนดน้ำหนักเป็นตัวเลขสำหรับแต่ละแขนงของแผนที่ในใจ
    การคิดเชิงวิจารณญาณไม่ใช่สิ่งที่ใช้ประกันว่าได้บรรลุถึงความจริง หรือ ข้อสรุปที่ถูกต้องแล้ว ประการแรก เราอาจไม่สามารถหาข้อมูลที่ถูกต้องได้ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว ข้อมูลที่มีความสำคัญอาจยังไม่มีการค้นพบ หรือยังเป็นข้อมูลที่ยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร ประการที่สอง ความลำเอียงของคนการปิดบังหรือถ่วงประสิทธิภาพในการเก็บ ประเมินข้อมูลที่มีอยู่แล้ว
     
  17. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ลักษณะของ กระบวนการเรียนรู้
    กระบวนการเรียนรู้มี 8 ประการได้แก่
    1. การเรียนรู้เป็นการลงมือปฏิบัติ
    2. การเรียนรู้เป็นปัจเจกบุคคล
    3. การเรียนรู้ได้รับอิทธิพลจากบุคคลในสังคมร่วมกัน
    4. การเรียนรู้เป็นการตอบสนองสิ่งที่พบ/กระตุ้น
    5. การเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต
    6. การเรียนรู้ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไป-มาได้
    7. การเรียนรู้ต้องใช้เวลา
    8. การเรียนรู้ไม่สามารถเกิดจากถูกบังคับ
    [แก้] แหล่งของการสืบค้น

    การสืบค้น สามารถแสวงหาได้รอบด้าน ตัวอย่างเช่น
     
  18. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    สบายดีค่ะตองเจ ขอบคุณ
    ห้องนี้เหมือนรวมตระกูลสิงโตยังไงไม่รู้
    ยังไม่ได้อ่านเนื้อหา เดี๋ยวจะเข้ามาอ่านให้หมดรวดเดียว
    เขียนเรื่อง ปิรามิดเยอะ ๆ หน่้อย ชอบ
    ดิฉันสงสัยว่า ด้านล่างของปิรามิด มีด้านที่ตรงกันข้ามไหม
    เพราะดิฉันเห็นในนิมิต หมายถึงว่า ปิรามิดกลับหัวน่ะค่ะ

    ทักทายคุณ เดมีดี ด้วยนะคะ
    ท่านเจ้าของบ้าน
    เดมีดี<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5094977", true); </SCRIPT>
    [​IMG]


    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->J_Shaman<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5095025", true); </SCRIPT>
    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แสนสวาท<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5182048", true); </SCRIPT>

    [​IMG]
    สิงโต สามตัวอยู่ด้วยกันได้หรือเปล่า
     
  19. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    อาจารย์.....เข้ามาก็ดีใจมากแล้วค่ะ

    เรื่องสิงเป็นเหตุบังเอิญ หยอกล้อกันเล่นกับตองเจค่ะ
     
  20. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ขอบคุณที่ยินดีต้อนรับค่ะ
    แต่ดิฉันมีความเห็นด้วยกับพุทธศาสนา ว่าเรืองบังเอิญไม่มี
    ไม่มีเรืองบังเอิญเลยสักครั้งเดียว

    โอกาสหน้าคงได้สนทนาธรรมกันนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...