แจกต่อ ฟรี! พระผงจักรพรรดิ์ ท่านละ 1 องค์ต่อครั้ง(ระงับแจกชั่วคราว)

ในห้อง 'แจกฟรี' ตั้งกระทู้โดย tanakorn_ss, 6 พฤศจิกายน 2010.

  1. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุขอน้ัอมอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวล

    เท่าที่ทราบคิดว่าน่าจะได้นะครับ
    ถ้าไปวัดแล้วลองติดต่อ
    แม่ชีหนูนา และแม่มีเช่
    เพราะว่าทางหลวงตาม้า(วัดถ้ำเมืองนะ) ท่านได้เมตตาให้มีโครงการแจกพระผงจักรพรรดิไปทั่วโลกซึ่งเป็นโครงการแจกฟรีไม่เสียค่ีาใช้จ่ายใดๆเป็นพระที่ท่านเมตตาจัดสร้างแจกเอง

    ลองคลิก ลิงค์ด้านล่างดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2011
  2. บลูสตาร์

    บลูสตาร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +163
    ขอรับพระผงจักรพรรดิ์

    ขอรับพระผงจักรพรรดิ์ จำนวน2องค์ครับ

    อภิรักษ์ วัชรประภาวงศ์
    112/391 ถ.เอกชัย15 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง
    กทม.10150

    ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ
     
  3. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]

    " หลวงพ่อทวด "


    พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์


    หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
    ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม "หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
    คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
    ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
    ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
    บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
    อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
    มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225
    สิริรวมอายุได้ 99 ปี ​




    “นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา”
    เป็นคาถาหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด โดยมีคติความเชื่อสืบต่อกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า "อานุภาพแห่งพระคาถานี้ ประมาณมิได้เลย ภาวนาก่อนออกเดินทาง เป็นแคล้วคลาดปลอดภัย ภัยอันตรายไม่กล้ำกลาย"

    อุปเท่ห์ หรือการใช้คาถาบทนี้ คือ ให้สวดภาวนา พระคาถา ก่อนขึ้นรถ ลงเรือ ติดต่อค้าขาย จักเกิดสิริมงคล โชคลาภมากมาย ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ท่านว่าให้หมั่นสวด เจริญภาวนา พระคาถา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดนี้เถิด จักบังเกิดสิ่งอัศจรรย์แก่ตนเองและครอบครัว

    ขณะเดียวกันยังมีคติความเชื่อด้วยว่าพุทธคุณคาถานั้น หากท่องเป็นประจำจะคุ้มครองให้เราแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ เช่นเดียวกับการแขวนพระหลวงปู่ทวด โดยก่อนท่องคาถาบทหลวงปู่ทวดให้เริ่มต้นด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ แล้วก็ระลึกถึงคุณพระ เป็นการขอพรบารมี

    ทั้งนี้ หากถอดคำแปลคาถาหลวงปู่ทวด แยกออกมาแต่ละตัว มีความหมายที่น่าสนใจ ดังนี้

    "นะโม" หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

    นอกจากนี้แล้ว "นะโม" แปลว่า "นอบน้อม" ดังคำแปลที่แปลไว้ต้นหมวดพุทธว่า "ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า" ทั้งนี้ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถร ท่านได้ชี้แจงไว้ในหนังสือมุตโตทัย ถึงที่มาที่ไปของ "นะโม" สรุปพอสังเขปได้ว่า

    นะ คือ ธาตุน้ำ ซึ่งมาจากแม่
    โม คือ ธาตุดิน ซึ่งมาจากพ่อ

    ทั้งสองธาตุนี้ผสมกันจึงเกิดเป็นตัวเรา โดยมีธาตุไฟและธาตุลมเข้ามาอาศัยภายหลัง นะโม จึงสำคัญเพราะเป็นธาตุตั้งต้น และเมื่อครั้งหมดธาตุลมและธาตุไฟ ทุกอย่างก็จะสลายคืนธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า "นะโม" นอกจากจะแปลตรงตัวว่า "นอบน้อม" แล้วยังมีความหมายเชิงลึกเช่นนี้อีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม หากคำว่าผวน "นะโม" จะได้ว่า "มโน" แปลว่า "ใจ" ตรงนี้ก็ต้องยกพุทธพจน์ว่า "มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฺฐา มโนมยา" หมายถึง "ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจนั่นเอง"

    "โพธิสัตโต" ก็คือ พระโพธิสัตต์ ในที่นี้หมายถึง หลวงปู่ทวด ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มีเมตตาต่อสรรพสัตว์

    "อิติภะคะวา" กร่อนมาจากบทสรรเสริญพระพุทธคุณ ที่ว่า "อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ" ซึ่งแปลความได้ดังนี้

    อิติปิ โส ภะคะวา หมายถึง เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
    อะระหัง หมายถึง เป็นผู้ไกลจากกิเลส
    สัมมาสัมพุทโธ หมายถึง เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง
    วิชชาจะระณะสัมปันโน หมายถึง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
    สุคะโต หมายถึง เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
    โลกะวิทู หมายถึง เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
    อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ หมายถึง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
    สัตถาเทวะมนุสสานัง หมายถึง เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    พุทโธ หมายถึง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
    ภะคะวาติ หมายถึง เป็นผู้มีความเจริญจำแกธรรมสั่งสอนสัตว์

    ในการท่องคาบทอิติปิโสฯ นั้น หากท่องจากข้างหลังมาข้างหน้า จะเรียกว่า "บทอิติปิโสฯ แบบ ปฏิโลม" หรือท่องถอยหลัง มีคติความเชื่อว่า พุทธคุณจะเหนือกว่าท่องตามปกติ การท่องถอยหลังมีดังนี้

    "ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ ฯวิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระอะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ"

    อย่างไรก็ตาม คาถาหลวงปู่ทวดที่ว่า “นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา” จะใกล้เคียงกับคาถาขอขมาพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ว่า "นะโมโพธิสัตโต นะโมพุทธายะ อิติสุขะโต อะระหังพุทโธ อาคันติมายะ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทธะรัตตะนัง ปะถะวีคงคา ธัมมะรัตตะนัง พระภุมมะเทวา อิติภะคะวา สังฆะรัตตะนัง ขะมามิหัง"

    นอกจากนี้แล้ว เพื่อเพิ่มความเข้มขลังของคาถาหลวงปู่ทวด ยังมีการเพิ่มคาถาหัวใจพระเจ้า ๕ พระองค์ไว้ด้านหน้าและด้านหลัง กลายเป็น "คาถาหลวงปู่ทวดเปิดโลก" คือ “นะ เปิด โม เปิด พุท เปิด ธา เปิด ยะ เปิดโลกด้วย นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภควา ยะธาพุทโมนะ” ทั้งนี้ในส่วนของคาถาบทหลังนั้น เป็นการท่องคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์แบบถอยหลังที่ว่า “ยะ ธา พุท โม นะ”

    คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ หรือ คาถาแม่ธาตุใหญ่ ที่ว่า “นะ โม พุท ธา ยะ” ซึ่ง มีพุทธคุณเหนือยันต์ทั้งปวง รวมทั้งความเชื่อสืบต่อกันว่า "ผู้ใดที่ท่องหรือบริกรรมพระคาถาบทนี้ ด้วยจิตอันสงบและมั่นคงแล้ว จะมีพุทธคุณคุ้มครองครอบจักรวาล" หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ "มีพุทธคุณครบทุกด้าน เช่น เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันภัย มหาเสน่ห์ มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย"


    ประวัติโดยพิศดารของ หลวงพ่อทวด(สมเด็จพะโคะ)

    [​IMG]

    ได้คัดลอกจากประวัติหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ เวปไซต์ www.watchanghai.com เพื่อ ร่วมประกาศ ชื่อเสียงพระเดช พระคุณท่านสมเด็จเจ้า พะโคะและเล่าขานตำนาน ศักดิ์สิทธิ์ ของหลวง พ่อทวดต่อไป ตามตำนาน กล่าวไว้ว่า สมเด็จเจ้าพะโคะองค์นี้ ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระราช มุณีสามีรามคุณูปมาจารย์" จากสมเด็จ พระมหาธรรมราชา สมัยพระองค์ ครองกรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานีและกล่าวไว้ว่าสมเด็จเจ้าพะโคะ ชาตะ วันศุกร์ เดือน ๔ ปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๒๕ บิดาชื่อตาหู มารดาชื่อ นางจันทร์ มีอายุมากแล้ว จึงคลอดบุตรเป็น ชายชื่อเจ้าปู่ และได้คลอด บุตรคน นี้ที่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระ (อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา ในเวลานี้) ตาหู นางจันทร์ เป็นคนยากจน ได้อาศัยอยู่กับ คหบดีผู้หนึ่งซึ่ง ไม่ปรากฏ นามสองสามีภรรยาเป็นผู้ตั้งมั่น อยู่ในศีลธรรม เมื่อนางจันทร์ออกจากการ อยู่ไฟ เนื่องจากการคลอดบุตร แล้ว วันหนึ่ง นางจันทร์ ได้อุ้มลูกน้อย พร้อมด้วยสามีออกไปทุ่งนา เพื่อช่วยเก็บข้าว ให้แก่เจ้าของบ้านที่พลอย อาศัย ครั้นถึงทุ่งนาได้เอา ผ้าผูกกับต้นเหม้าและ ต้นหว้า ซึ่งขึ้นอยู่ใกล้กัน ให้ลูกนอน แล้วพากัน ลงนาเก็บเกี่ยวข้าวต่อไป

    อัศจรรย์ทารก

    ขณะที่สองผัวเมีย กำลังเก็บเกี่ยวข้าวอยู่นั้น นางจันทร์ได้เป็น ห่วงลูกและได้เหลียวมามองที่เปล ปรากฎว่ามีงูบองตัวโตกว่าปกติ ได้ขดตัวรวบรัด เปลที่เจ้าปู่นอน สองสามีภรรยาตกใจร้องหวีดโวย วายขึ้นเพื่อนชาวนาที่เกี่ยว ข้าวอยู่ใกล้เคียงก็รีบพากันวิ่งมาดู แต่ก็ไม่มีใครจะสามารถ ช่วยอะไร ได้งูใหญ่ตัวนั้น เห็นคนเข้าใกล้ก็ชูศรีษะสูงขึ้น ส่งเสียงขู่คำรามดัง อย่างน่ากลัวจึงไม่มีใคร กล้าเข้าไปใกล้เปลนั้นเลย ฝ่ายนายหู นางจันทร์ผู้ตั้งมั่นอยู่ใน บุญกุศลยืนนิ่งพินิจพิจารณาอยู่ ปรากฏว่างูใหญ่ตัวนั้นมิ ได้ทำอันตราย แก่บุตรน้อยของตนเลย จึงเกิดความสงสัยว่างูบอง ใหญ่ตัวนี้น่าจะเกิดจาก เทพนิมิตรบันดาล คิดดังนั้นแล้วก็พากัน หาดอก ไม้และเก็บรวงข้าว เผาเป็นข้าวตอกนำ มาบูชาและกราบ ไหว้งูใหญ่ พร้อมด้วยกล่าวคำ สัตย์อธิษฐานขอให้ลูกน้อยปลอดภัย ในชั่วครู่นั้นงูใหญ่ก็คลาย ขนดลำตัวออกจาก เปลอันตรธานหาย ไปทันที

    นายหูนางจันทร์และเพื่อน พากันเข้าไปดูทารกที่ เปลปรากฏว่าเจ้าปู่ยังนอนหลับ เป็นปกติอยู่ แต่มีแก้วดวงหนึ่ง วางอยู่ที่คอในที่ลุ่ม ใต้ลูกกระเดือกแก้วดวง นั้นมีสีแสงรุ่งเรือง เป็นรัศมีหลากสี สองสามีภรรยาจึง เก็บรักษาไว้ คหบดีเจ้าของบ้าน ทราบความจึงขอแก้ว ดวงนั้นไว้เป็น กรรมสิทธิ์ตาหูนางจันทร์ก็จำใจ มอบให้ คหบดีผู้นั้นเมื่อ ได้แก้วพญางูมา ไว้เป็นสมบัติของ ตนแล้วต่อมา ไม่นานก็เกิดวิปริต ให้ความเจ็บไข้ได้ ทุกข์แก่คหบดีจน ไม่มีทางแก้ไขได้ จนถึงที่สุดคหบดีเจ้าบ้านจึงคิด ว่าเหตุร้ายที่เกิด ขึ้นครั้งนี้คง เป็นเพราะ ยึดดวงแก้วพญางูนั้น ไว้จึงให้โทษ และเกรงเหตุร้ายจะลุกลามยิ่ง ๆ ขึ้น จึงตัดสินใจ คืนแก้วดวงนั้นให้สอง สามีภรรยากลับคืนไป ต่อมาภายในบ้าน และครอบ ครัวของคหบดีผู้นั้นก็ ได้อยู่เย็นเป็นสุขตามปกติ

    แก้ววิเศษ


    ขณะที่นายหูนางจันทร์ ได้ครอบครอง แก้ววิเศษอยู่นั้นปรากฏว่า เจ้าของบ้าน ก็มีความเมตตา สงสารไม่ใช้งาน หนัก การทำมาหาเลี้ยงชีพ ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น เป็นลำดับอยู่สุขสบาย ตลอดมา เมื่อกาลล่วงมานาน จนเจ้าปู่อายุ ๗ ปี บิดามารดาได้นำไปถวายสมภารจวง ให้เรียนหนังสือ ณ วัดดีหลวง เด็กชายปู่ศึกษาเล่าเรียน มีความเฉลียวฉลาด ยิ่งกว่าเพื่อนคนใด ๆ เมื่อเด็กชายปู่มีอายุ ๑๕ ปี สมภารจวง ผู้เป็นอาจารย์ได้บวช ให้เป็นสามเณร ต่อมาท่านอาจารย์ ได้นำ ไปฝากท่าน พระครูสัทธรรมรังสีให้ เรียนหนังสือมูล กัจจายน์ ณ วัดสีหยัง(วัดสีคูยัง อ.ระโนด เวลานี้) สามเณรปู่เรียนมูลกัจ จายน์อยู่กับท่าน พระครูสัทธรรมรังสี ซึ่งคณะสงฆ์ส่งท่านมา จากกรุงศรีอยุธยา ให้เป็นครูสอนวิชามูล ฯ ทางหัวเมืองฝ่ายใต้

    ในสมัย นั้นมีพระภิกษุสามเณร ได้ศึกษาเล่าเรียนกันมาก สามเณรปู่มีสติปัญญา เฉลียวฉลาดส่อ นิสัยปราชญ์มาแต่กำเนิด ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชามูล ฯ อยู่ไม่นานก็สำเร็จ เป็นที่ชื่นชม ของอาจารย์เป็นอย่างมาก เมื่อสามเณร ปู่เรียนจบวิชามูล ฯ แล้วได้กราบ ลาพระอาจารย์ไปเรียนต่อ ยังสำนัก พระครูกาเดิม ณ วัดสีเมือง เมืองนครศรีธรรมราช เมื่อครบอายุบวช พระครูกาเดิมผู้เป็น อาจารย์จัดการ อุปสมบทให้เป็น ภิกษุในพุทธศาสนา ทำญัติอุปสมบทให้ฉายาว่า "สามีราโม" ณ สถานที่คลองแห่งหนึ่ง โดยเอาเรือ ๔ ลำ มาเทียบขนานเข้าเป็นแพทำญัติ ต่อมาคลองแห่งนั้น มีชื่อเรียกกันว่าคลอง ท่าแพจนบัดนี้ พระภิกษุปู่เรียนธรรม อยู่สำนัก พระครูกาเดิม ๓ ปี ก็เรียนจบชั้นธรรมบท บริบูรณ์พระภิกษุปู่ได้กราบ ลาพระครูกาเดิมจาก วัดสีมาเมืองกลับ ภูมิลำเนาเดิม


    เหยียบน้ำทะะเลจืด


    ต่อมาได้ขอโดยสาร เรือสำเภาของ นายอินทร์ลงเรือ ที่ท่าเมืองจะทิ้งพระจะ ไปกรุงศรีอยุธยา พระนคร หลวงเพื่อศึกษาเล่าเรียน ธรรมเพิ่มเติมอีก เรือสำเภาใช้ใบแล่น ถึงเมือง นครศรีธรรมราช นายอินทร์เจ้าของเรือ ได้นิมนต์ขึ้นบก ไปนมัสการพระบรมธาตุตาม ประเพณีชาวเรือเดิน ทางไกลซึ่งได้ปฏิบัติกันมาแต่กาลก่อน ๆ เพื่อขอความสวัสดี ต่อการเดินทาง ทาทะเล แล้วพากัน ลงเรือสำเภา ที่คลองท่าแพ เรือสำเภา ใช้ใบสู่ทะเลหลวง เรียบร้อยตลอดมา เป็นระยะทาง ๓ วัน ๓ คืน วัน หนึ่งท้องทะเลฟ้าวิปริตเกิดพายุ ฝนตกมืดฟ้ามัวดินคลื่น คนองเป็นคลั่งเรือจะ แล่นต่อไปไม่ได้จึงลดใบ ทอดสมอสู้คลื่นลมอยู่ถึง ๓ วัน ๓ คืน จนพายุสงบเงียบ ลงเป็นปกติ แต่เหตุการ บนเรือสำเภาเกิดความ เดือดร้อนมาก เพราะน้ำจืดที่ลำเลียงมาหมดลง คนเรือไม่มีน้ำจืดดื่มและหุง ต้มอาหารนายอินทร์เจ้า ของเรือ เป็นเดือดเป็นแค้น

    ในเหตุการณ์ครั้งนั้น หาว่าเป็นเพราะ พระภิกษุปู่พลอยอาศัย มาจึงทำให้เกิดเหตุร้าย ซึ่งตน ไม่เคยประสบเช่นนี้มา แต่ก่อนเลย ผู้บันดาลโทสะ ย่อมไม่รู้จักผิดชอบฉันใด นายเรือคนนี้ก็ฉันนั้น เขาจึงได้ไล่ให้ พระภิกษุปู่ลงเรือ ใช้ให้ลูกเรือนำ ไปขึ้นฝั่งหมาย จะปล่อยให้ท่านไป ตามยะถากรรม ขณะที่พระ ภิกษุปู่ลงนั่งอยู่ในเรือเล็ก ท่านได้ยื่นเท้าลงเหยียบน้ำทะเล แล้วบอกให้ลูกเรือคน นั้นตักน้ำขึ้นดื่มกินดู ปรากฏว่าน้ำทะเลที่เค็มจัด ตรงนั้นแปร สภาพเป็นน้ำที่มีรส จืดสนิท ลูกเรือคนนั้นจึงบอกขึ้น ไปบนเรือใหญ่ให้ เพื่อนทราบ พวกกะลาสีบนเรือ ใหญ่จึงพากันตักน้ำ ทะเลตรงนั้นขึ้นไป ดื่มแก้กระหาย พากันอัศจรรย์ ในอภินิหารของ พระภิกษุหนุ่มยิ่งนัก ความทราบถึง นายอินทร์เจ้าของเรือจึง ได้ดื่มน้ำพิสูจน์ดูปรากฏว่า น้ำทะเล ที่จืดนั้นมีบริเวณ อยู่จำกัดเป็นวงกลม ประมาณเท่าล้อ เกวียนนอกนั้น เป็นน้ำเค็ม ตามธรรมชาติของทะเล จึงสั่งให้ลูกเรือตัก น้ำในบริเวณ นั้นขึ้นบรรจุ ภาชนะไว้บนเรือจนเต็ม นายอินทร์และ ลูกเรือได้ประจักษ์ใน อภินิหารของท่านเป็นที่ อัศจรรย์เช่นนั้น ก็เกิดความ หวาดวิตกภัยภิบัติที่ ตนได้กระทำ ไว้ต่อท่านจึง ได้นิมนต์ให้ท่านขึ้น บน เรือใหญ่ แล้วพากันการบไหว้ขอขมาโทษตามที่ตน ได้กล่าวคำหยาบต่อท่านมาแล้ว และถอนสมอใช้ใบแล่นเรือต่อไปเป็นเวลาหลาย วันหลายคืนโดยเรียบร้อย ขณะเรือสำเภาถึงกรุงศรีอยุธยาเข้าจอดเทียบท่าเรียบร้อยแล้วนายอินทร์ ได้นิมนต์ท่านให้เข้าไปในเมืองแต่ท่าน ไม่ยอมเข้าเมือง ท่านปรารถนา จะอยู่ ณ วัด นอกเมืองเพราะเห็น ว่าเป็นที่เงียบสงบดีและได้ไปอาศัยอยู่ ณ วัดราชานุวาส ซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองขณะนั้นพระมหาธรรม ราชา ครองกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นประเทศลังกา อันมีพระเจ้าวัฏฏะคามินี ครองราช เป็นเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์จะได้กรุงศรีอยุธยาไว้ใต้พระบรม เดชานุภาพแต่พระองค์ไม่มีประสงค์ จะก่อสงครามให้เกิดการรบราฆ่าฟัน และกันให้ประชาชนข้าแผ่นดินเดือดร้อนจึงมีนโยบายอย่างหนึ่งที่สามารถ จะเอาชนะประเทศอื่น โดยการท้าพนันพระองค์ จึงตรัสสั่งให้พนักงาน พระคลังเบิกจ่าย ทองคำในท้องพระคลังหลวงมอบให้ ลำเรือสำเภาเป็น บรรณาการแก่พระเจ้ากรุงไทย แต่ถ้าพระเจ้ากรุงไทยแปลเรียงเมล็ดทองคำ ไม่ได้ตาม กำหนดให้พระเจ้ากรุงไทยจัดการถวายดอกไม้เงินและทองส่งเป็น ราชบรรณาการแก่กรุง ลังกาทุก ๆ ปีตลอดไป

    เมื่อพระองค์ทรงทราบพระราชสาส์น อันมีข้อความดังนั้น จึงทรงจัด สั่งนายศรีธนญชัย สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์ พระราชาคณะ และพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรง คุณวุฒิทั่วประเทศให้เข้ามา แปลธรรม ในพระมหานครทันกำหนด เมื่อประกาศไปแล้ว ๖ วัน ก็ไม่มีใครสามารถ แปลเรียบเรียงเมล็ดทองคำนั้นได้ พระองค ์ ทรงปริวิตกยิ่งนักและ ในคืนวันนั้นพระองค์ทรงสุบินนิมิตว่ามีพระยาช้าง เผือกผู้มาจากทิศตะวันตก ขึ้นยืนอยู่บนพระแท่นในพระบรมมหาราชวัง ได้เปล่ง เสียงร้องก้องดังได้ยินไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทรงตกพระทัยตื่นบรรทม ในยามนั้นและทรง พระปริวิตกในพระสุบิน นิมิตเกรงว่าประเทศชาติจะเสียอธิปไตย และเสื่อม เสียพระบรมเดชานุภาพ ทรงพระวิตกกังวลไม่เป์นอันบรรทมจนรุ่งสาง เมื่อได้เสด็จออก ยังท้องพระโรงสั่งให้โหรหลวงเข้าเฝ้า โดยด่วนและทรงเล่า สุบินนิมิต ให้โหรหลวงทำนายเพื่อจะ ได้ทรงทราบว่าร้ายดีประการใด เมื่อโหรหลวงทั้งคณะได้พิจารณาดูยามใน พระสุบินนิมิตนั้นละเอียด ถี่ถ้วนดีแล้ว ก็พร้อมกัน กราบถวายบังคมทูลว่าตาม พระสุบินนิมิต นี้จะมีพระภิกษุหนุ่มรูป หนึ่งมาจากทิศตะวันตกอาสาเรียงและแปล พระธรรมได้สำเร็จ พระบรมเดชานุภาพ ของ พระองค์จะยั่งยืนแผ่ ไพศาล ไปทั่วทั้งสี่ทิศเมื่อ พระองค์ทรงทราบ แล้วก็คลาย พระปริวิตกลงได้บ้าง ด้วยเดชะบุญบันดาลในเช้า วันนั้นบังเอิญศรีธนญชัยไปพบพระภิกษุปู่ที่ วัด ราชานุวาส ได้สนทนาปราศรัยกันแล้วก็ทราบ ว่าท่านมาจากเมืองตะลุง ( พัทลุงเวลานี้ ) เพื่อศึกษาธรรม ศรีธนญชัยเล่าเรื่องกรุงลังกาท้าพนันให้แปลธรรม แล้วถามว่าท่านยัง จะช่วยแปลได้หรือ พระภิกษุปู่ตอบว่าถ้าไม่ลองก็ ไม่รู้ ศรีธนญชัยจึงนิมนต์ ท่านเข้าเฝ้า ณ ที่ประชุมสงฆ์ ขณะที่พระภิกษุปู่ถึงประตู หน้าวิหาร ท่านย่างก้าวขึ้นไปยืนเหยียบบนก้อนหินศิลาแลง ทันทีนั้น ศิลาแลงได้หักออกเป็นสองท่อนด้วยอำนาจอภินิหารเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อเข้าไปในพระวิหารพระทหากษัตริย์ตรัสสั่งพนักงานปูพรม ให้ท่านนั่งในที่ อันสมควร แต่ก่อนที่ท่านจะเข้านั่งที่แปลพระธรรม นั้นท่านได้แสดงกิริยาอาการเป็นปัญหาธรรมต่อหน้าพราหมณ์ทั้ง ๗ กล่าวคือ ท่าแรกท่านนอนลงใน ท่าสีหะไสยาสน์ แล้วลุกขึ้น นั่งทรงกายตรงแล้วกะเถิบไปข้างหน้า ๕ ที แล้วลุกขึ้นเดิน เข้าไปนั่งในที่อันสมควร พราหมณ์ผู้เฒ่าทั้ง ๗ เห็นท่านแสดงกิริยา เช่นนั้นเป็นการขบขันก็พากัน หัวเราะและพูดว่า นี่หรือพระภิกษุที่จะแปลธรรม ของพระบรมศาสดา อะไรจึงแสดงกิริยาอย่างเด็กไร้เดียงสา พราหมณ์พูด ดูหมิ่นท่านหลายครั้ง ท่านจึงหัวเราะ แล้วถามพรามณ์ว่า ประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอน ของท่าน ท่านไม่เคยพบเห็นกิริยาเช่นนี้บ้างหรือ ? พราหมณ์เฒ่า ฉงนใจก็นิ่งอยู่ ต่างนำบาตรใส่เมล็ดทองคำเข้าประเคนท่าน ทันทีเมื่อพระภิกษุปู่รับ ประเคนบาตรจากมือพราหมณ์มาแล้ว ท่านก็นั่งสงบจิตอธิษฐานแต่ใน ใจว่า ขออำนาจคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้ สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจ เทพยดาอันรักษาพระนครตลอด ถึงเทวาอารักษ์ศักดิ์ สิทธ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรม ช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบัลดาลจิตใจ ให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรค ที่มาขัดขวางขอให้แปลพระธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์สำเร็จสม ปรารถนาเถิด ครั้นแล้วท่านคว่ำบาตเททอง เรี่ยราดลงบนพรมและนั่ง คุยกับพราหมณ์ ตามปกติด้วยอำนาจบารมี อภินิหารของท่าน ที่ได้จุติลงมาโปรดสัตว์ ในพระพุทธศาสนา ประกอบกับโชคชะตา ของประเทศชาติที่จะ ไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เทพยดาทั้งหลายจึง ดลบันดาลเรียบเรียงเมล็ดทอง คำตามลำดับ ตัวอักษรโดยเรียบร้อย ใน้วลานั้น ชั่วครู่นั้นท่านก็ได้เหลียว กลับมาลงมือเรียบเรียงและแปลอักษรใน เมล็ดทองคำจำนวน ๘๔,๐๐๐ เมล็ด เป็น ลำดับโดยสะดวก และไม่ติดขัดประการใดเลย นับว่าโชคชะตาของประเทศชาต ิยังคงรุ่งเรืองสืบไป ขณะที่พระภิกษุปู่เรียง และแปลอักษรไปได้มาก

    แล้วปรากฏ ว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไป ๗ ตัว คือตัว สํ วิ ทา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ พราหมณ์ทั้ง ๗ คนยอมจำนน จึงประเคนเมล็ดทองคำ ที่ตนซ่อนไว้นั้นให้แก่ท่านโดยดี ปรากฏว่าพระภิกษุปู่แปล พระไตรปิฎกในเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์ เป็นการชนะ พราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้นและทัน ใดนั้นก็ได้ยินเสียงปี่พาทย์ ประโคมพร้อมเสียงประชาชนโห่ร้องต้อนรับ ชัยชนะเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทั่วพระนครศรีอยุธยาเป็นการฉลองชัย สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่งจึงตรัสสั่งถวาย ราชสมบัติให้พระภิกษุปู่ครอง ๗ วัน แต่ท่านไม่ยอมรับโดยไห้เหตุผล ว่าท่านเป็น สมณเพศไม่สมควรที่จะครองราชสมบัติอัน ผิดกิจของสมณควรประพฤติ พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้า ที่จะสนองคุณความดีความชอบ อันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าทรงแต่งตั้งให้พระภิกษุปู่ดำรงสมณศักดิ์ ทรงพระราชทาน นามว่า "พระราชมุนีสามีรามคุณูป มาจารย์" ในเวลานั้น พระภิกษุปู่หรือพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ได้ประจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาสศึกษาและปฏิบัติธรรม เป็นเวลาหลายปีด้วยความสงบร่ม เย็นเป็นสุขตลอดมา กาลนานมาปี หนึ่งในพระมหานครศรีอยุธยาเกิดโรคระบาดขึ้นร้ายแรง เช่น อหิวาตกโรค ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือด ร้อนเป็นอย่างยิ่งนักสมัยนั้นหยูกยาก็ไม่มีนิยม ใช้รักษาป้องกันด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยพระเจ้าอยู่หัวทรง พระวิตกกังวลมาก เพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ และทรงระลึกถึง พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ขึ้นได้จึงตรัสสั่งให้ศรีธนญชัยไป นิมนต์ท่านมาเข้า เฝ้าทรงปรารภในเรื่องทุกข์ร้อนของพลเมือง ที่ได้รับทุกข์ยุกเข็ญด้วยโรคระบาดอยู่ในขณะนี้ ท่านจึงทำพิธีปลุกเสก น้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปพรมให้แก ่ประชาชนทั่วพระนคร ปรากฏว่าโรคระบาดได้ทุเลาเหือดหายไปในไม่ช้าประชาชนได้รับ ความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ในหลวงทรงพระปรีดาปราโมทย์ เป็นอันมาก ทรงเคารพเลื่อมใสในองค์ท่านอย่างยิ่ง วันหนึ่งได้ทรงตรัสปรารภกับท่านว่า ต่อไปนี้หากพระคุณเจ้า มีความปรารถนาสิ่งอันใดขอนิมนต์ให้
    ประวัติ หลวงพ่อทวด (3)

    ทราบความปรารถนานั้น ๆ จะทรงพระราชทานถวาย ขอพระคุณเจ้าอย่า ได้เกรงพระทัยเลย กาลล่วงมานาน ประมาณว่า พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์มี วัยชราแล้ว วันหนึ่ง ท่านได้เข้าเฝ้าถวายพระพรทูลลาจะ กลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ ทรงเกรงใจท่านไม่กล้านิมนต์ขอ ร้องแต่อย่างใด ได้พระราชทานอนุญาตตามความ ปรารถนาของท่าน เมื่อพระราชมุนีสามี รามคุณูปมาจารย์กลับ ภูมิลำเนา เดิมแล้วครั้งนั้น ปรากฏมีหลักฐานว่าไว้ว่า ท่านเดินกลับทางบก ธุดงค์โปรดสัตว์เรื่อยมา เป็นเวลาช้านาน จนถึงวัดพระสิงห์บรรพต พะโคะตามแนวทางเดิน ที่ท่านเดินและ พักแรมที่ใด ต่อมาภายหลัง สถานที่ที่ท่านพักแรม นั้นเกิดเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการ เคารพบูชามาถึงบัดนี้ คือปรากฏ ว่าขณะที่ท่านพักแรมอยู่ที่บ้าน โกฏิในอำเภอปากพนัง เมื่อท่านเดินทางจาก ไปแล้วภายหลัง ประชาชนยังมีความ เคารพเลื่อมใส่ท่าน อยู่มากจึงได้ชักชวนกัน ขุดดินพูนขึ้นเป็นเนินตรงกับ ที่ท่านพักแรมไว้เป็นที่ระลึก รอบ ๆ เนินดินนั้นจึงเป็นคูน้ำ ล้อมรอบเนินและสถานที่ แห่งนี้ต่อมา ก็เกิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จน ถึงบัดนี้ เมื่อท่านเดินทางมาถึงหัวลำภูใหญ่ใน อำเภอหัวไทรในเวลานี้เป็นสถานที่ ที่มีหาดทราย ขาวสะอาดต้นลำภ ูแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่นเย็นสบาย ท่านจึง อาศัยพักแรมอยู่ใต้ต้นลำภูนั้น ทำสมาธิวิปัสสนา ประชาชนในถิ่นนั้นได้พร้อมใจ กันมากราบไหว้บูชา และฟังท่านแสดงธรรมอันเป็น หลักควรปฏิบัติของ พระพุทธศาสนา ต่อมาประชาชนเพิ่มความเลื่อม ใสศรัทธาแรงกล้าจึงพร้อมใจ กันสร้าง ศาลาถวายขึ้นหนึ่งหลังและ ท่านได้จาก สถานที่นี้ไปนี้ต่อมาภาย หลังไม่นานศาลา หลังนี้เกิดเป็นศาลาศักดิ์สิทธิ์ประชาชนชาวบ้านถิ่นนั้น และใกล้เคียงจึงชักชวน กันมาทำพิธีสมโภชศาลาศักดิ์สิทธิ์ หลังนั้นเป็น การระลึกถึงท่านถือเอา วันพฤหัสบดีเป็นวันพิธีชักชวนกัน ทำขนมโคมาบวงสรวงสมโภชทุกๆ วันพฤหัสฯ เป็นประจำจนเป็น ประเพณีมาจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อท่านจากหัวลำภูใหญ่เดินทาง มาถึงบางค้อน ท่านได้หยุดพักแรมพอหายเมื่อยล้าแล้ว ก็เดินทางต่อไปจนถึง วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ หลังจากที่ท่าน จากไปแล้วสถานที่บางค้อนก็เกิดเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏมา จนบัดนี้พระราชมุนีสามี รามคุณูปมาจารย์ หรือพระภิกษุปู่กลับ ถึงวัดพัทธสิงห์ บรรพตพะโคะ ครั้งนี้ประชาชนชื่นชม ยินดีแซ่ซ้อง สาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ ประชาชนได้พร้อมใจกันขนานนาม ท่านขึ้นใหม่เรียกกันว่า "สมเด็จเจ้าพะโคะ" ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ต่อมาวัดพัทธสิงห์ บรรพตพะโคะอันเป็นชื่อเดิมก็ถูกเรียกย่อ ๆ เสียใหม่ว่า "วัดพะโคะ"จนกระทั่งบัดนี้ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะนี้มีพระอรหันต์ ๓ องค์ เป็นผู้สร้างขึ้น คือ

    ๑. พระนาไรมุ้ย
    ๒. พระมหาอโนมทัสสี
    ๓. พระธรรมกาวา

    ต่อมาพระมหาอโนมทัสสีได้เดินทางไปประเทศ อินเดียอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมศาสลับมา พระยาธรรมรังคัล เจ้าเมือง "จะทิ้งพระ" ในสมัยนั้นมีความ เลื่อมใสศรัทธา จัดการก่อสร้าง พระเจดีย์องค์ใหญ่สูงถึง ๒๐ วา ขึ้นถวายแล้ว ทำพิธีสมโภชบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุไว้ ภายในเจดีย์ องค์นั้นและคงมีปรากฏ อยู่จนบัดนี้ ขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะหรือ พระราชมุนี สามีรามคุณูปมาจารย์ได้ หยุดพักผ่อนนาน พอสมควร ท่านได้ตรวจดูเห็นปูชนียสถาน และกุฏิวิหารเก่าแก่ ได้ชำรุดทรุดโทรมลง ไปมากควรจะบูรณะซ่อมแซม เสียใหม่ ดังนั้นท่านจึง ได้เดินทางเข้าไป ยังกรุงศรีอยุธยาเข้า เฝ้าสมเด็จพระมหาธรรมราชาอีกวาระหนึ่ง (ในตำนานมิได้กล่าวไว้ว่า ท่านไปทางบกหรือไปทางน้ำ) เมื่อได้สนทนาถาม สุขทุกข์กันแล้ว ท่านก็ทูลถวายพระพรพระองค์ ตามความปรารถนาที่จะ บูรณะและปฏิสังขรณ์วัด ให้พระองค์ทรงทราบ ครั้นได้ทราบจุดประสงค์ก็ทรง ศรัทธาเลื่อมใสร่วมอนุโมทนาด้วย จึงตรัสสั่งให้พระเอกาทศรถพระเจ้า ลูกยาเธอ จัดการเบิกเงินในท้องพระคลังหลวงมอบถวาย และจัดหาศิลาแลงบรรทุกเรือสำเภา ๗ ลำ พร้อมด้วย นายช่างหลวงหลายนาย มอบหมาย ให้ท่าน นำกลับไปดำเนินงาน ตามความปรารถนา ปรากฏว่า ท่านได้ทำการบูรณะซ่อมแซม และปลูกสร้าง (วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ) อยู่หลายปีจึงสำเร็จบริบูรณ์ สมเด็จพระเจ้าพะโคะ เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระมหาธรรมราชา ยังกรุงศรีอยุธยา ครั้งหนึ่งปรากฏว่า พระองค์ทรงเลื่อมใส เคารพต่อท่านเป็นยิ่งนัก ได้ทรงพระกรุณาโปรด พระทานที่ดินนา ถวายแก่ท่านเป็นกัลปนา ขึ้นแก่วัดพัทสิงห์บรรพตพะโคะ จำนวน ๙๐ ฟ้อน พร้อมด้วยประชาราษฎรที่อาศัย อยู่ในเขตที่ดินนั้น มีอาณาเขตติดต่อ โดยถือเอาวัดพัทธสีห์บรรพตพะโคะ เป็นศูนย์กลางดังนี้

    ๑. ทางทิศเหนือ ตั้งแต่แหลมชุมพุกเข้ามา
    ๒. ทางทิศใต้ ตั้งแต่แหลมสนเข้ามา
    ๓. ทางทิศตะวันออก จดทะเลจีนเข้ามา
    ๔. ทางทิศตะวันตก จดทะเลสาบเข้ามา

    ขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะกลับ จากกรุงศรีอยุธยาได้ประจำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง ๘๐ ปีเศษอยู่มาวันหนึ่งท่าน ถือไม้เท้าศักดิ์ประจำตัว ไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น ๓ คด ชาวบ้านเรียกว่า ไม้เท้า ๓ คด ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังฝั่งทะเลจีน และขณะที่ท่านเดินเล่น รับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่น เลี่ยบชายฝั่งมา พวกโจรสลัดจีน เห็นสมเด็จเดินอยู่ คิดเห็นว่าเป็นคนประหลาด เพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเข้าขึ้นฝัง นำเอาท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือเรือลำนั้นจะแล่นต่อไปไม่ได้ ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนได้พยายามแก้ ไขจนหมดความสามารถ เรือก็ยังไม่เคลื่อนจึง ได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน หลายคืน ที่สุดน้ำจืด ที่ลำเลียงมาบริโภคในเรือก็ได้ หมดสิ้นจึงขาดน้ำดื่ม และหุงต้มอาหาร พากันเดือดร้อน กระวนกระวายด้วยการ กระหายน้ำเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จท่านสังเกต เห็นเหตุการณ์ความเดือด ร้อนของพวกเรือถึงขั้นที่สุดแล้วท่านจึง เหยียบกราบเรือ ให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิว น้ำทะเล ทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกต ของพวกจีนไปเมื่อท่านยกเท้าขึ้น จากผิวน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวก โจรจีนตักน้ำตรง นั้นขึ้นมาดื่มชิมดู พวกจีนแม้ไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลอง เพราะไม่มีทางใดที่จะช่วย ตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเล เค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพ เป็นน้ำจืดเป็นที่ อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรสลัดจีนได้เห็น ประจักษ์ในคุณอภินิหาร ของ ท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิด แก้พวกเขาต่อไปจึงได้ พากันกราบ ไหว้ขอขมาโทษแล้วพา ท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัดถึงที่แห่งหนึ่ง ท่านหยุดพักเหนื่อยได้เอาไม้เท้า ๓ คด พิงไว้กับต้นยาง สองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน

    ต่อมาต้นยางสองต้น นั้นสูงใหญ่ขึ้นลำต้น และกิ่งก้านสาขาเปลี่ยน สภาพจากเดิมกลับคด ๆ งอ ๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่น นั้นเรียกว่า ต้นยางไม้เท้า ยังมีปรากฏอยู่ถึงเวลานี้ สมเด็จพะโคะหรือพระราชมุนีสามีราม คุณูปมาจารย์ ครองสมณเพศจำพรรษา อยู่วัดพะโคะเป็นที่พึ่งของ ประชาราษฎร ์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอน ธรรมของพระพุทธองค์ประดุจ ร่มโพธิ์ร่มไทรของ ปวงพุทธศาสนิกชน ได้ตลอดมาตอนนี้ได้รับ ความกรุณาจากพระอุปัชฌาย์ดำ ติสฺสโร สำนักวัดศิลาลอย อำเภอจะทิ้งพระเป็นผู้เล่าตามนิยายต่อกันมา โดยท่านพระครูวิริยานุรักษ์ วัดตานีส โมสรเป็นผู้บันทึกความดังต่อไปนี้ ในสมัยสมเด็จเจ้าพะโคะพำนักอยู่วัดพะโคะ ครั้งนั้น ยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่งเข้า ใจว่าคงอาศัยอยู่วัดใดวัดหนึ่งในท้องที่ อำเภอหาดใหญ่เวลานี้ สามเณรรูปนี้ได้บวชมาแต่อายุน้อย ๆ
    ได้ปฏิบัติ ธรรมอย่าง เคร่งครัดมีความขยันหมั่นเพียร ก่อแต่การกุศลใน พระพุทธศาสนา และตั้งจิตอธิษฐาน จะขอพบพระศรีอริยะอย่างแรงกล้า อยู่มาคืนหนึ่งมีคนแก่ถือดอกไม้เดินเข้ามาหา แล้วประเคน ดอกไม้ส่งให้แล้วบอกว่า นี่เป็นดอกไม้ทิพย์ไม่รู้จัก ร่วงโรยพร้อยกับกล่าวว่า พระศรีอริยะโพธิสัตว์นั้นขณะนี้ได้จุติลงมา เกิดในเมืองมนุษย์เพื่อโปรดสัตว์ใน พระพุทธศาสนาสามเณร เจ้าจงถือดอกไม้ทิพย์ นี้ออกค้นหาเถิด หากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอก ไม้แล้วผู้นั้นแหละ เป็นพระศรีอริยะที่จุติมา เจ้าจงพยายามเที่ยวค้นหาคง จะพบเมื่อกล่าวจบแล้วคนแก่ นั้นก็อันตรธานหายไปทันที สมาเณรน้อยมีความปิติยินดีเป็นยิ่งนัก วันรุ่งเช้าจึงกราบ ลาสมภาร เจ้าอาวาสถือดอกไม้ทิพย์เดิน ออกจากวัดไป สามเณรเดินทางตรากตรำลำบาก ไปทั่วทุกหนทุกแห่งก็ไม่มีใครทักถามถึงดอกไม้ทิพย์ที่ตน ถืออยู่นั้นเลยแต่สามเณร ก็พยายามอดทน ต่อความ เหนื่อยยากต้องตากแดดกรำฝนไปเป็นเวลาช้านาน วันหนึ่งต่อมาสามเณรน้อย เดินทางเข้าเขต วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะในเวลาใกล้จะมืดค่ำ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงส่องรัศมีจ้าไป ทั่วท้องฟ้าและเป็นวันที่ พระภิกษุสงฆ์ลง ทำสังฆกรรมในอุโบสถ สามเณรถือดอกไม้ทิพย์เดิน เข้าไปยืนถือดอกไม้ทิพย์อยู่ริมอุโบสถรอ คอยพระสงฆ์ที่จะลงมาอุโบสถ พอถึงเวลาพระภิกษุทั้งหลาย ก็เดินทะยอยกันเข้าอุโบสถผ่าน หน้าสามเณร ไปจนหมดไม่มี พระภิกษุองค์ใดทักสามเณรเลย

    เมื่อพระสงฆ์เข้านั่ง ในอุโบสถเรียบร้อยแล้ว สามเณรจึงเดินเข้า ไปนมัสการถามพระสงฆ์เหล่านั้นว่า วันนี้พระมาลงอุโบสถหมดแล้วหรือ พระภิกษุตอบว่า ยังมีสมเด็จอยู่อีกองค์วันนี้ไม่มาลงอุโบสถ สามเณรทราบดังนั้นก็กราบลา พระสงฆ์เหล่านั้น เดินออกจากอุโบสถมุ่งตรงไปยังกุฏิของสมเด็จเจ้าฯ ทันที ครั้นถึงสามเณรก็คลานเข้าไปใกล้ก้มกราบ นมัสการท่านอยู่ตรงหน้าสมเด็จเจ้าฯ สมเด็จเจ้าฯ ได้ประสพดอกไม้ในมือสามเณรถืออยู่ จึงถาม สามเณรว่า นั่นดอกไม้ทิพย์เป็นดอกไม้เมืองสวรรค์ผู้ใดให้เจ้ามา สามเณรรู้แจ้งใจตามที่นิมิตจึง คลานเข้าไปก้มลงกราบที่ฝ่าเท้าแล้วประเคนดอก ไม้ทิพย์นั้นแก่สมเด็จเจ้าฯ ทันที เมื่อสมเด็จเจ้าฯ รับประเคนดอกไม้ทิพย์จาด สามเณรน้อยแล้วท่าน ได้สงบอารมณ์อยู่ชั่วครู่มิได้พูดจา ประการใด แล้วลุกขึ้นเรียกสามเณรเดินตรง เข้าไปในกุฏิปิด ประตูลงกลอน และเงียบหายไป ในคืนนั้น มิได้มีร่องรอยแต่อย่างใดเหลือไว้ให้พิสูจน์จนเวลาล่วง เลยมาบัดนี้ประมาณสามร้อยปีเศษแล้ว การหายตัวไปของ สมเด็จเจ้าพะโคะ ครั้งนั้นประชาชน เล่าลือกัน ว่าท่านได้สำเร็จสู่สวรรค์ไปเสียแล้ว ด้วยอำนาจบุญบารมีอภินิหารท่านแรงกล้า ตามที่กล่าวลือกันเช่นนี้เพราะมีเหต ุอัศจรรย์ปรากฏขึ้นในคืนนั้นว่าบนอากาศ บริเวณวัดพะโคะ ได้มีดวงไฟโตขนาดเท่าดวงไต้ส่องรัศมีต่าง ๆ เป็นปริมณฑลดัง พระจันทร์ทรงกลด ลอยวนเวียนรอบบริเวณ วัดพะโคะส่องรัศมีจ้าไปทั่ว บริเวณวัดเมื่อดวง ไฟดวงนั้นลอยวน เวียนอยู่ครบสามรอบแล้ว ลอยเคลื่อนไปทางทิศอาคเนย์เงียบหาย มาจนกระทั่งบัดนี้ วันรุ่งเช้าประชาชนมา ร่วมประชุมกันที่วัดแล ะต่างคนต่างก็เข้าใจว่าสมเด็จเจ้าฯ ท่านสำเร็จสู่สวรรค์ไปจึง ได้พากันพนมมือ ขึ้นเหนือศรีษะพร้อม กับเปล่งเสียงว่า สมเด็จเจ้าพะโคะโล่ ไปเสียแล้วเจ้าข้าเอย เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะโล่หายไป จากวัดพะโคะครั้งนั้น สมเด็จเจ้าฯ ท่านได้ทิ้งของสำคัญไว้ให้เป็น ที่สักการะบูชาของประชาชน ตลอดมาคือ ๑. ดวงแก้วที่พระยางูใหญ่ให้ครั้งเป็น ทารกอยู่ในเปล ๑ ดวง และสมภารทุกๆ องค์ของวัดพะโคะได้ เก็บรักษาไว้จนถึงบัดนี้ปรากฏว่า แก้วดวงนี้ ไม่มีใครกล้านำออกจากบริเวณวัดพะโคะ เพราะเกรงจะเกิดภัย ๒. ก่อนที่สมเด็จเจ้าฯ จะโล่หายไปปรากฏว่า ท่านได้ขึ้นไปทำ สมาธิอยู่บนชะง่อนผาภูเขาบาท ได้เอาเท้าซ้ายเหยียบลงบนลาดผาลึกเป็นรอยเท้าเป็นท ี่สัก การะบูชาของประชาชน มาจนกระทั่งบัดนี้ (ท่านพระครูวิสัยโสภณวัดช้างให้ได้ไปนมัสการมาแล้ว) สมัยที่สมเด็จเจ้าพะโคะโล่หายไปจากวัดพะโคะ ตำบลชุมพล อำเภอจะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา
    ครั้งนั้น ได้มีพระภิกษุชรารูปหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองรัฐ ไทรบุรีเวลานี้ พระภิกษุรูปนี้เป็น ปราชญ์ทางธรรม และเชี่ยวชาญทางอิทธิอภินิหารเป็นยอดเยี่ยม ชาวเมืองไทรบุรีมีความ เคารพเลื่อมใสมาก ซึ่งสมัยนั้นคนมลายูในเมือง ไทรบุรีนับถือศาสนาพุทธ ต่อมาท่านก็ได้เป็นสมภารเจ้าวัดแห่งหนึ่งในสมัยนั้น มีเรื่องชวนคิดอยู่ว่า พระภิกษุชรารูปนี้ไม่มีประชาชนคนใดจะทราบได้ว่า ท่านชื่ออย่างไร ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครซักถาม จึงพากันขนานนาม เรียกกันว่า " ท่าน ลังกาองค์ดำ " ท่านปกครองวัดด้วยอำนาจธรรม และอภินิหารอย่างยอดเยี่ยม เป็นที่พึ่งทางธรรมปฏิบัติและ การเจ็บไข้ได้ทุกข์ของ ประชาชน ด้วยความเมตตาธรรม ประชาชนเพิ่มความเคารพเลื่อมใสท่าน ตลอดถึงพระยาแก้มดำ เจ้าเมืองไทรบุรีสมัยนั้น และท่านมีความสุขตลอดมา ( ท่านลังกาองค์นี้จะเป็นเจ้าพะโคะใช่หรือไม่ ขอให้อ่านต่อไป ) เมื่อข้าพเจ้าผู้เขียนยังหนุ่มๆ หรือประมาณ ๔๕ ปีมาแล้ว ได้อ่านหนังสือตำนานเมืองปัตตานี ซึ่งรวบรวมโดยคุณพระศรีบุรีรัฐ ( สิทธิ์ ณ สงขลา ) นายอำเภอชั้นลายครามของอำเภอยะหริ่ง เรียบเรียง มีข้อความตอนหนึ่งว่าสมัยนั้น พระยาแก้มดำ เจ้าเมืองไทรบุรีปรารถนา จะหาที่ชัยภูมิดีสร้างเมืองให ้ เจ๊ะสิตีน้องสาวครอบครอง เมื่อโหรหาฤกษ์ยามดี ได้เวลา ท่านเจ้าเมืองก็เสี่ยงสัตย์อธิฐาน ปล่อยช้างตัวสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ออกเดินป่าหรือ เรียกว่าช้างอุปการ เพื่อหาที่ชัยภูมิดีสร้างเมือง ท่านเจ้าเมืองก็ยกพลบริวาร เดินตามหลังช้าง นั้นไปเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งช้างได้เดินไปหยุดอยู่ ณ ที่ป่าแห่งหนึ่ง ( ที่วัดช้างให้เวลานี้ ) แล้วเดินวนเวียนร้องขึ้น ๓ ครั้งพระยาแก้มดำถือเป็นนิมิตที่ดีจะสร้างเมือง ณ ที่ตรงนี้ แต่น้องสาวตรวจดูแล้วไม่ชอบ พี่ชายก็อธิฐาน ให้ช้างดำเนินหาที่ใหม่ต่อไป ได้เดินรอนแรมหลายวัน เวลาตกเย็นวันหนึ่ง ก็หยุดพักพลบริวาร น้องสาวถือโอกาสออกจากที่พักเดินเล่น บังเอิญขณะนั้นมี กระจงสีขาวผ่องตัวหนึ่ง วิ่งผ่านหน้านางไปนางอยากจะได้กระจงขาวตัวนั้น จึงชวนพวกพี่เลี้ยงวิ่งไล่ลอม จับกระจงตัวนั้น ได้วิ่งวกไปเวียนมาบนหาด ทรายอันขาวสะอาดริมทะเล ( ที่ตำบล กือเซะเวลานี้ ) ทันใดนั้น กระจงก็ได้อันตรธานหายไป นางเจ๊ะสิตีรู้สึก ชอบที่ตรงนี้มาก จึงขอให้พี่ชาย สร้างเมืองให้ เมื่อพระยาแก้มดำ ปลูกสร้างเมืองให้น้องสาว และมอบพลบริวารให้ไว้พอสมควรเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ชื่อเมืองนี้ว่า เมืองปะตานี ( ปัตตานี ) ขณะนั้น พระยาแก้มดำเดินทางกลับมา ถึงภูมิประเทศที่ช้างบอกให้ครั้งแรก ก็รู้สึกเสียดายสถานที่ จึงตกลงใจหยุดพักแรม ทำการแผ้วถางป่า และปลูกสร้างขึ้นเป็นวัด ให้ชื่อว่า วัดช้างให้มาจนบัดนี้ ต่อมาพระยาแก้มดำ ก็ได้มอบถวายวัดช้างให้แก่ท่าน ลังกาครอบครอง อีกวัดหนึ่ง พระภิกษุชราองค์นี้ ท่านอยู่เมืองไทรบุรีเขาเรียกว่า ท่านลังกาเมื่อท่าน มาอยู่วัดช้างให้ชาวบ้านเรียกว่าท่านช้างให้เป็นเช่นนี้ตลอดมา ขณะที่ท่านลังกาพำนัก อยู่ที่วัดในเมืองไทรบุรีวันหนึ่งอุบาสก อุบาสิกา และลูกศิษย์อยู่พร้อม หน้าท่านได้พูดขึ้น ในกลางชุมนุมนั้นว่า ถ้าท่านมรณภาพเมื่อใดขอให้ช่วยกันจัดการ หามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วยและขณะ หามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเน่าไหลลงสู่พื้นดินที่ตรง นั้นจงเอาเสาไม้แก่น ปักหมายไว้ต่อไปข้าง หน้าจะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่มาไม่นานท่านก็ได้มรณภาพลง ด้วยโรคชรา คณะศิษย์ผู้เคารพในตัวท่านก็ได้จัดการตาม ที่ท่านสั่งโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อทำการ ฌาปณกิจศพท่านเรียบ ร้อยแล้วคณะศิษย์ผู้ไป ส่งได้ขอแบ่งเอาอัฐิของ ท่านแต่ส่วนน้อยนำกลับไปทำสถูปที่วัด ณ เมืองไทรบุรีไว้เป็นที่เคารพบูชา ตลอดจนบัดนี้สมเด็จเจ้าพะโคะกับ ท่านช้างให้หรือหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืดนี้สมัย ท่านยังมีชีวิตมีชื่อที่ใช้เรียกท่านหลาย ชื่อเช่น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ท่านลังกา และท่านช้างให้ แต่เมื่อท่านมรณภาพแล้วเรียกเขื่อน หรือสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอัฐิของท่านว่า "เขื่อนท่าน ช้างให้" แต่ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้มีการสร้าง พระเครื่องต่างองค์ท่านให้ชื่อว่า ท่านช้างให้ แต่ท่านไม่เอาท่านบอกให้ชื่อว่า "หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด" ดังมีเรื่องกล่าวต่อไปนี้

    ๑. ก่อนที่เขื่อนหรือสถูปจะปรากฏ ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครั้งแรก เล่าต่อๆ กันมาว่ามีเด็กชายลูกชาวบ้าน คนหนึ่งพ่อเขาไล่ตี เด็กคนนั้นวิ่หนีเข้าไปใน บริเวณวัดช้างให้แล้หายตัวไปซึ่งขณ ะนั้นเป็นวัดร้าง เมื่อพ่อของเด็กไล่ตามเข้าไป ในวัดก็มิได้เห็นตัวเด็ก เขาได้ค้นหาจนอ่อนใจ ก็ไม่พบจึงกลับบ้านชวน เพื่อนบ้านช่วยกันค้นหา ขณะที่พวกชาวบ้านผ่านเข้าเขต วัดก็เห็นเด็กนั้นเดินยิ้มเข้า มาหาและหัวเราะพูดขึ้นว่า พ่อของมันดุร้ายไล่ทุบ ตีลูกไม่มีความสงสาร กูเห็นแล้วอดสงสาร ไม่ได้จึงเอามันไปซ่อนไว้ พวกชาวบ้าน ก็ตื่นตกงกงันเพราะเด็ก นั้นพูดแปลกหูผู้ฟังเป็นเสียง ของคนแก่แต่เด็กพูดต่อไปว่า พวกสูไม่รู้จักกูหรือ กูชื่อท่านเหยียบน้ำทะเลจืด ผู้ศักดิ์สิทธิ์เจ้าของเขื่อนนี้ (สถูป) พวกสูจะลองดีก็จงเอาน้ำเกลือใส่อ่างมากูจะ ทำให้ดู มีชาวบ้านผู้หนึ่ง ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เด็กชายนั้นก็ยื่นเท้าลง เหยียบน้ำเกลือ ในอ่างทันทีและบอกให้ชาว บ้านชิมน้ำเกลือนั้นดู ได้ประจักษ์ว่าน้ำนั้นมี รสจืดเป็นน้ำบ่อเป็นที่อัศจรรย์นัก เด็กนั้นพูดอีกว่า พวกสูยังไม่เชื่อกูก็ให้ก่อไฟขึ้น ชาวบ้านก็ทำตาม ขณะกองไฟลุกโชนเป็นถ่านแดงดีแล้วเด็กประทับทรง ท่านเหยียบน้ำทะเลจืดก็กระโดดเข้าไปยืนอยู่ในกลางกองไฟอันร้อนแรง ยิ้มแล้วถามว่าสูเชื่อหรือยัง พ่อของเด็กตกใจเกรงลูกจะ เป็นอันตรายจึงก้มลงกราบ ไหว้ขอโทษเด็กนั้นจึงเดินออกจากกองไฟเป็นปกติ

    ๒. ครั้นท่านพระครูวิสัยโสภณ (ท่านอาจารย์ทิม ธมฺมธโร) เข้ามาครอง วัดช้างให้ใหม่ๆ ท่านข้องใจเรื่องเขตวัดของเดิมเพราะ ถามชาวบ้านไม่มี ใครรู้ คืนวันหนึ่งท่านฝันว่าพบคนแก่ ยืนอยู่กลางลานวัด ท่านถามถึงเขตวัดตาม ความข้องใจ คนแก่นั้นบอกว่า ให้ไปถามท่าน เหยียบน้ำทะเลจืดในเขื่อน คนแก่จึง นำท่านพระครู ฯ ไปเห็นพระภิกษุเฒ่าเดินออก จากในเขื่อนสามองค์ปรากฏว่า

    ๑. หลวงพ่อสี
    ๒. หลวงพ่อทอง
    ๓. หลวงพ่อจันทร์

    องค์หลังสุดถือไม้เท้าใหญ่ ๓ คด เดินยันออกมางกงันเพราะความชรา มากกว่าองค์ใดๆ คนแก่จึงบอกว่าองค์นี้แหละ ท่านเหยียบน้ำทะเลจืดท่านจึงเอา แขนกอดคอท่านพระครู ฯ นำเดิน ชี้เขต วัดเก่าให้ทราบทั้ง ๔ ทิศ ตลอดถึงเนินดินซึ่งเป็นโบสถ์โบราณและบันดาล ให้ท่านอาจารย์ฯได้เห็นวัตถุต่างๆ ในหลุมนิมิตซึ่งเป็นของไม่มีค่า เช่น พระพุทธรูป หล่อด้วยเงิน ๑ องค์ เมื่อจะกลับเข้าไปในเขื่อนท่านได้สั่งว่า ต้องการอะไรให้บอกแล้วเข้า ในเขื่อนหายไป "คำว่าเอาอะไรให้บอก คำนี้สำคัญมาก คราวต่อมาโบสถ์ก็สำเร็จ พระเครื่องก็ศักดิ์สิทธิ์

    ที่มาของข้อมูลโดย: http://www.luangpohtuad.org/


    Link อื่นที่น่าสนใจคลิกด้านล่างเลยครับ

    คลิก รายละเอียดและประวัติของคณะกลุ่มสร้างพระผงจักรพรรดิ https://sites.google.com/site/cnxdonate/what-new

    สร้างให้ฟรี พระเจ้าทันใจหน้าตักสี่ศอก(สมเด็จองค์ปฐมฯ)ทุกทิศ ทั่วไทย
    http://palungjit.org/threads/%E0%...ml#post4918326[/SIZE][/B]

    คลิก มหากฐิน สร้างพระนอนใหญ่ที่สุดในโลก


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2011
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    โมทนาสาธุ


    คลิก มหากฐิน สร้างพระนอนใหญ่ที่สุดในโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2021
  5. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    ข่าวช่วยประชาสัมพันธ์

    <center>Fw: ช่วยพระอาจารย์บอกบุญครับ

    </center>
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ bluebaby2
    bluebaby2
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2010
    สถานที่: NOWHERE=NOW HERE
    ข้อความ: 1,596
    พลังการให้คะแนน: 268 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    เนื่องจากวัดานหนองผักเเว่น ก่อตั้งโดยหลวงปู่ดี คัมภีโร อตีดผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดต้นไทรย์ ได้ก่อสร้างวัดป่าบ้านหนองผักเเว่นขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม สายพระป่า ไม่เน้นสร้างโบสถ์วิหาร ที่ใหญ่โต เเค่พอให้พระได้พักอาศัยปฏิบัติธรรมได้ ญาติโยมอุบาสกอุบาสิกามาปฏิบัติธรรมสะดวกตามสมควร ปัจจุบันมีศาลาไม้1หลัง เป็นที่สวดมนต์ไหว้พระทำวัดเจ้าเย็น กุฏิพระสงฆ์7หลัง มีพระจำพรรษา9รูป ทั้งธรรมยุติเเละมหานิกาย อยู่ร่วมกันเป็นวัดเดียวในประเทศไทย อยู่ร่วมกันโดยไม่ถือนิกาย มาขวางกั้นเเต่ถือเอาธรรมะคำสั่งสอนขององคืพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเป็นที่ ตั้งจึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาเเล้ว12ปี โดยไม่มีปัญหา อะไรที่รุนเเรงเเม้เเต่ครั้งเดียว จนมามาเมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมา สิ่งที่พระในวัดไม่เคยคลาดคิดมาก่อน คือน้ำท่วมวัด ได้เกิดขึ้นเเล้ว ณ.ปัจจุบันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลด เนื่องจากวัดตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ต่ำ น้ำปีนี้จึงท่วมวัดป่าอย่างรุนเเรงที่สุดในรอบ12ปี ตั้งเเต่ก่อตั้งวัด ดังนั้นอาตมาภาพจึงขอบอกบุญด่วนๆ มายังยังญาติโยมผู้ที่ต้องการทำบุญจริงๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี เพื่อนำจตุปัจจัย มาบูรณะปรับถมที่ ตรงบริเวณที่ลุ่มตามจุดต่างๆภายในวัด
    โดยร่วมกันเป็นเจ้าภาพกฐินกองละ999บาท หรือตามกำลังศรัทธา นำทอดถวายในวันที่
    19 ตุลาคม2554 เวลา10.00น.
    ณ.วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ระหัสไปรษณีย์ 45120 โทร043612-037
    หรือติดต่อที่
    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    โทร0860152130

    เจริญพรญาติโยมทุกท่าน เครื่องสังฆทานและบริวารกฐินที่ทางวัดขอเมตตาญาติโยมทุกท่าน
    ร่วมรับเป็นเจ้าภาพเพื่อให้ได้บุญกุศลในครั้งนี้ทั่วถึงกันประกอบไปด้วย รายการต่างๆดังนี้
    ๑. สังฆทาน ทำเป็นถุงย่ามที่ระลึก จำนวน ๙ชุด ชุดละ๑,๐๐๐
    ๒. ปัจจัยถวายพระ จำนวน 9 ซอง ๆ ละ ๑,๐๐๐ บาท
    ๓. เครื่องบริวารกฐิน ประกอบด้วย
    ๓.๑ ครอบไตรพร้อมพานแว่นฟ้า จำนวน ๓ อัน ๆ ละ ๘๐๐ บาท
    ๓.๒ หมอน ๑ ใบ ๆ ละ ๓๐๐ บาท
    ๓.๓ สัปทน ๑ คัน ๆ ละ ๙๐๐ บาท
    ๓.๔ บาตรสแตนแลส ๑ ลูก ๗๐๐ บาท
    ๓.๕ ปิ่นโต ๑ เถา ๆ ละ ๓๐๐ บาท
    ๓.๖ เสื่อ ร่ม กาน้ำ รวมทั้งหมด ๕๐๐ บาท
    ๓.๗ ตาลปัตร พร้อมขาตั้ง ๑ ชุด ๙๐๐ บาท
    ๓.๘ เครื่องโยธา ๑ ชุด ๙๐๐ บาท
    (รายการทั้งหมดยังไม่มีเจ้าภาพ)

    เจริญพร ศิรชนม์ รบกวนช่วยลง ลงหมายเลขบัญชีด้วยธนาคารทหารไทย เลขบัญชี
    127-2-10027-0
    บัญชีออมทรัพย์ พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    อนุโมทนาสาธุๆ
    </td> </tr> </tbody></table>
    พระอาจารย์ฝากบอกว่าอีกไม่กีวันทอดกฐินเเล้วยังไม่มีเจ้าภาพเครื่องสังฆทานเเละบริวารกฐินเลย

    อันนี้กระทู้พระอาจารย์ครับลองคลิกเข้าไปดู
    ยังไม่มีเจ้าภาพบุญหาทำได้ยากขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคีถวายวัดป่าน้ำท้วม
     
  6. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    อนุโมทนาด้วยครับคุณ tanakorn_ss ตอนนี้ทราบว่ามีผู้ปิดยอดบริวารกฐินแล้วครับ
    เหลือแต่เจ้าภาพกฐินกองละ 999 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธาครับ
     
  7. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุขออนุโมทนา

    ช่วงนี้เป็นช่วงภาวะน้ำท่วมฝากความห่วงใยไปถึงทุกๆท่านให้รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ ให้ระมัดระวังเรื่องน้ำไปจนถึงต้นเดือนปลายเดือนพฤศจิกายน และควรเตรียมความพร้อมไว้ ซ้อมไว้ คิดเป็นการบ้านไว้บ้างก็ดี จะมาก็ดีไม่มาก็ดีต้องไม่ประมาทเสมอ อย่าคิดว่าภัยยังไม่มาแล้วก็ไม่เป็นไร ภัยมันมีหลายอย่าง ภัยสังคม ภัยคน ภัยธรรมชาติ ภัยจากอาวุธ ภัยในโลก ภัยนอกโลก ภัยจากความตาย ภัยจากวัฏฏสงสาร อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ อย่าตื่นตูมแต่ให้ตื่นตัว

    อย่าอยู่ด้วยความหวาดกลัว แต่จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทและมีสติ อยู่กับปัจจุบันธรรม


    <!--[if !mso]> <style> v:* {behavior:url(#default#VML);} o:* {behavior:url(#default#VML);} w:* {behavior:url(#default#VML);} .shape {behavior:url(#default#VML);} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> สิ่งที่ควรจะเตรียมไว้ให้พร้อมก่อนน้ำท่วมจะมาถึง
    <hr align="center" color="white" noshade="noshade" size="1" width="100%">
    1.ต้องตระหนักว่า น้ำท่วมจะทำความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้มากมาย และผู้ที่อาศัย
    อยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงสูง ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ

    2.วางแผนในครอบครัวให้ทุกคนมีความรู้และหน้าที่ต่างๆ
    •แผนดูเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ (หากมี)

    •แผนการอพยพหนีภัย หากต้องละทิ้งบ้านเรือนหรือที่ทำงาน รู้ที่ๆ จะไปอาศัย เช่น
    บ้านญาติ เพื่อนสนิท สถานที่ราชการ หรือที่สูงๆ ที่ปลอดภัย รู้เส้นทางที่ปลอดภัยที่จะเดินทางไปที่นั้นๆ ให้มากกว่า 1 เส้นทาง พร้อมทั้งกำหนดจุดนัดพบ หรือบุคคลที่จะติดต่อข่าว ในกรณีที่อาจพลัดพรากกันระหว่างหนีภัย หรืออยู่กันคนละแห่ง เพื่อสำรวจว่าไม่มีใครสูญหายไป

    •ขณะน้ำท่วมอาจเกิดไฟไหม้ได้ด้วย ต้องรู้ทางหนีออกจากบ้านหรือที่ทำงานให้มาก
    กว่า 1 ทาง บ้านที่มุงกระเบื้อง หน้าต่างเหล็กดัด ควรมีบางช่องที่มีบานพับเปิดได้เป็นทางออกฉุกเฉิน แม้แต่บางบ้านซึ่งอาจต้องหนีออกทางหลังคา จะต้องมีช่องที่จะขึ้นไปรื้อหลังคาออกได้

    •แผนป้องกันไฟฟ้าดูด ควรมีความรุ้เรื่องไฟฟ้า รู้ตำแหน่งสะพานไฟฟ้า สำหรับตัด
    ไฟเมื่อน้ำจะท่วมปลั๊กไฟ และไม่ควรลงไปในน้ำ ในที่สงสัยว่าอาจมีไฟฟ้ารั่วอยู่ในน้ำ

    •แผนป้องกันขโมย

    •แผนช่วยเหลือกันและกันกับเพื่อนบ้าน

    3.อาหารที่จำเป็นระหว่างน้ำท่วม ได้แก่

    •อาหารสำเร็จหรือกึ่งสำเร็จรูป ที่ไม่ต้องการการหุงการปรุงมาก และอาหารที่ไม่
    ต้องแช่เย็น อาหารกระป๋องควรเตรียมที่เปิดด้วยมือไว้ด้วย

    •เครื่องดื่มสำเร็จรูป

    •อุปกรณ์การปรุงอาหาร เช่น หม้อ กระทะ ถ้วยชามเท่าที่จำเป็น เตาแก๊สที่พอใช้ได้
    ประมาณ 5-7 วัน มีดทำครัว ไม้ขีดไฟ หรือไฟสำหรับจุดบุหรี่ แก้วน้ำ กระติกน้ำร้อน

    •ในกรณีที่มีอาหารสดเหลืออยู่ ควรรีบทำให้สุก เพื่อเก็บได้นานขึ้นและใช้กินก่อน

    •กระดาษชำระหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ สำหรับเช็ดถ้วยชามก่อนล้าง

    •ถุงพลาสติกสำหรับใส่เศษอาหารและของอื่นๆ และยางรัดหรือเชือกสำหรับผูก
    ปากถุง

    4.น้ำ ทั้งน้ำดื่มและน้ำใช้ เตรียมภาชนะใส่ไว้ให้พอใช้อย่างประหยัดได้สัก 5-7 วัน และต้อง
    ใช้ด้วยความประหยัดที่สุดทุกครั้ง

    5.เครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่งตัวที่จำเป็น

    •เสื้อผ้า ในกรณีต้องละบ้านเรือน
    •เครื่องกันหนาวกันฝน
    •รองเท้าแตะที่มีสายรัดส้น ป้องกันอุบัติเหตุบาดแผลจากเศษกระเบื้อง กระจก
    โลหะหรือของมีคมอื่นๆ ที่จมอยู่ในน้ำ

    6.ชุดปฐมพยาบาลและสุขอนามัย ชุดทำแผล ยาแก้ปวด แก้ไข้ แก้หวัด ท้องเดิน ภูมิแพ้
    และยาสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว จำนวนให้พอเพียงสำหรับเวลา 5-7 วัน กระดาษชำระ ผ้าอนามัย สบู่ ผงซักฟอก

    7.ห้องน้ำที่จะใช้ขณะน้ำท่วม เช่น ห้องน้ำบนชั้นบนของบ้านเพราะห้องน้ำชั้นล่างจะใช้ไม่ได้
    และควรป้องกันการไหลย้อนกลับออกมาทางห้องส้วมชั้นล่างด้วยการอุดโถส้วมชั้น ล้างงด้วยผ้าผืนโตพอที่จะไม่หลุดลงไปในท่อและทับไว้ด้วยของหนักๆ ส่วนท่อที่ต่อไปยังถังบำบัด (ในต่างประเทศเขายังติดตั้งลิ้นปิด-เปิดอัตโนมัติป้องกันน้ำเสียไหลย้อนกลับ อีกด้วย

    ในกรณีที่จะไม่มีห้องส้วมใช้ อาจกำหนดมุมใดมุมหนึ่ง ที่มิดชิดในบ้าน เตรียมถุงพลาสติกขนาดพอเหมาะสำหรับถ่าย เตรียมยางรัดเชือกสำหรับผูกปากถุงให้แน่นสนิท (ไม่ใช้วิธีผูกหูหิ้วถุงเข้าหากัน เพราะจะมีช่องรั่วออกได้) และถุงเก็บขยะพลาสติกสำหรับใส่รวมไว้ก่อนด้วย ห้ามโยนทิ้งไปตามน้ำ เพราะจะไปเป็นขยะติดเชื้อแก่ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม



    8.อุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ
    •ไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉายใหม่ๆ สำรองให้พอเพียง เพราะขณะน้ำท่วมไฟฟ้าจะดับ
    ด้วย

    •ไฟสำรองฉุกเฉินเมื่อไฟฟ้าดับ

    •วิทยุกระเป๋าหิ้วพร้อมถ่านใหม่ๆ สำรองเพื่อฟังข่าวน้ำท่วม การพยากรณ์อากาศ
    และการให้การช่วยเหลือ

    •โทรศัพท์มือถือ (ถ้ามี) เพื่อการติดต่อแจ้งข่าว หรือขอความช่วยเหลือ

    •หมายเลขโทรศัพท์ที่จำเป็น เช่น จังหวัด อำเภอ เทศบาล หน่วยดับเพลิง โรง-
    พยาบาล สถานีตำรวจ หน่วยงานอุตุนิยม ศูนย์เรด้าร์ตรวจอากาศ ญาติ เพื่อน และประชาชนผู้ที่เป็นเครือข่ายเตือนภัย

    •เครื่องมือช่างที่จำเป็น เช่น ค้อน ตะปู คีมด้ามยาง ไขควงที่ทดสอบไฟฟ้าได้ด้วย
    เลื่อยไม้ เลื่อยเหล็ก ซึ่งปกติก็เป็นเครื่องมือประจำบ้านอยู่แล้ว

    •ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ถังน้ำ แปรงและที่ขัดทำความสะอาดพื้นและฝาผนัง สำหรับ
    เวลาน้ำกำลังลด

    •เครื่องดับเพลิงประจำบ้าน

    •ถุงทรายพร้อมทราย เพื่อทำทำนบกั้นประตู หรือเขื่อนกั้นน้ำ ในกรณีที่น้ำท่วมไม่
    สูงนัก (เมื่อใช้แล้วควรเททรายออกจากถุง เก็บทรายและถุงไว้สำหรับใช้คราวหน้าได้ ไม่ควรเททราบทิ้งหรือเทลงแม่น้ำ ลำคลอง หรือคูน้ำ)

    •บ้านในชนบท, ชานเมือง, หรือวัด ที่น้ำท่วมสูง อาจจำเป็นต้องมีเรือด้วย

    •เชือกเส้นโตพอประมาณ และยาวพอที่ขึงโยงกับบ้านข้างเคียงหรือตรงข้าม ทบต่อ
    กันเป็นวงเพื่อทำเป็นรอกส่งของช่วยเหลือกันได้ หรืออาจขึงเลาะไปตามประตูหน้าบ้านสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเดินไปตามข้างถนน ได้เกาะ เสื้อชูชีพ ในรายที่คิดว่าจำเป็น (อาจใช้ถังพลาสติกปิดฝาผูกติดกัน หรือยางในรถยนต์เก่าๆ สูบลมก็ได้)

    9.สร้างของใช้ในบ้านให้เหมาะกับบ้านที่น้ำจะท่วมได้

    •เฟอร์นิเจอร์ ฝาบ้าน ที่ทำด้วยไม้อัดจะเสียหายง่าย

    •ของหนักๆ ชิ้นโตๆ ขนย้ายยาก

    •แผ่นยิบซั่มทำฝาผนัง กระดาษปิดฝาผนัง เสียหายง่าย

    •ของมีค่า เอกสารสำคัญ ตู้นิรภัย ควรอยู่ในที่สูงหรือชั้นบนสำหรับบ้านหลายชั้น
    10. เงินสด เพื่อใช้จ่ายในขณะที่น้ำท่วมไม่สามารถไปเบิกจากธนาคาร หรือจากเครื่องเอทีเอ็ม
    (ATM) ได้


    11.รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ราคาแพงและค่าซ่อมแพง ควรกำหนดที่ๆ จะนำไปจอดหนีน้ำได้
    อย่างปลอดภัยไว้ล่วงหน้า เมื่อได้รับการเตือนภัยควรเติมน้ำมันรถให้เต็ม เพราะปั๊มน้ำมันอาจเปิดบริการไม่ได้ทันทีหลังน้ำลด หรือน้ำมันอาจหมดพอดีขณะหนีน้ำ ควรรีบนำรถไปเก็บในที่ปลอดภัยแต่เนิ่นๆ หากน้ำกำลังท่วมถนนและน้ำไหลเชี่ยวต้องระมัดระวังมากๆ เพราะพื้นถนนหรือคอสะพานอาจขาด หรือเป็นหลุมเป็นบ่อที่เรามองไม่เห็น หากน้ำท่วมสูงถึงเครื่องยนต์ หรือเครื่องยนต์สำลักน้ำแล้วไม่ควรขับฝ่าไป หรือหากข้างหน้าน้ำท่วมสูงหรือไหลเชี่ยวมาก ไม่ควรขับฝ่าไป เพราะน้ำอาจพัดพารถไปได้ ควรรีบหันกลับไปทางอื่นและควรวางแผนหาเส้นทางสำรองที่ปลอดภัยอื่นไว้ล่วง หน้าด้วย
    12.ครอบครัวในชนบทที่เลี้ยงปศุสัตว์ ต้องวางแผนการโยกย้ายสัตว์ไปไว้ยังที่ปลอดภัย โดย
    เส้นทางที่ปลอดภัยพร้อมทั้งอาหารสำรองด้วย
    13.ผู้ที่สนใจประกันภัยน้ำท่วมหรือประกันอื่นๆ ควรติดต่อสอบถามรายละเอียดจากบริษัทประ
    กันภัยให้ชัดเจน และต้องเข้าใจข้อความในสัญญาต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ในการประกัน






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2011
  8. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    แจกฟรี พระผงจักรพรรดิ์ แจกเรื่อยๆ ไม่จำกัดจำนวน
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
    be173b921.jpg
    a.jpg


    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    (ตั้งนะโม 3 )

    คำขอขมากรรม

    โยโทโส โมหะจิตเต นะ พุทธะรัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง
    สัพพะปาปัง วินาสสันติ

    โยโทโส โมหะจิตเต ธัมมะรัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม ภันเต กะตัง โทสัง
    สัพพะ ปาปังวินาสสันติ

    โยโทโส โมหะจิตเต สังฆะรัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม ภันเต กะตัง โทสัง
    สัพพะ ปาปังวินาสสันติ


    บทสวดคาถาพระจักรพรรดิ

    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง
    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
    อะหังวันทามิ สัพพะโส
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


    เชิญพระเข้าตัว แผ่บุญปรับภพภูมิส่งวิญญาน

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส ( 3 หรือ 5 จบ)

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ


    71.gif 71.gif 71.gif

    [​IMG]


    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือกรรม"
    "ใครจะใหญ่เกินกรรม"
    "เวลาเหลือน้อยแล้วให้หมั่นพากันปฏิบัติ
    "


    การแจกพระผงจักรพรรดิ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เป็นหลักเจตนาที่บริสุทธิ์อยู่ 2ประการ

    1.เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเผยแพร่ ข้อธรรม - คำสอน ของหลวงปูดู่ วัดสะแก และหลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคตวัดวิริยะธโร)วัดถ้ำเมืองนะ(วัดพุทธพรหมปัญโญ) เพื่อสร้างเสริมศรัทธาในพระพุทธศาสนาและครูบาอาจารย์เป็นที่สุด
    2.เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเผยแพรบทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์และพระผง กรรมฐานไปยังส่วนต่างๆให้ทั่วถึงให้มากที่สุดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยคำ ชูพระพุทธศาสนาให้ครบถ้วน 5000 ปี ซึ่งมีความศรัทธาและเชื่อว่าเมื่อผู้ใดได้นำไปสวดได้รู้วิธีการอธิฐาน และวิธีการบูชาพระจะเป็นการช่วยเหลือสงเคราะห์ร่วมทั้งเป็นการสร้างบุญให้ กับตนเองและผู้ัอื่นโดยไม่มีประมาณ ตามกำลังบุญและวาสนาของตนที่ได้สร้างสมมา

    บุญกุศลนี้กราบน้อมถวายแ่ด่คุณพระรัตนตรัย ถวายบูชาแ่ด่สมเด็จองค์ปฐมบรมพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จวบจนถึงองค์ปัจจุบัน หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ครูบาศรีวิชัย ครูบาชัยวงษ์พัฒนา หลวงปู่สรวง พระบรมครูธรรมเทพโลกอุดร พ่อแม่ครูบาอาจารย์สืบๆ่ต่อกันมา อันมีหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว เป็นที่สุดกราบน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพร้อมทั้งพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ทุกๆพระองค์

    พร้อมทั้งขอน้อมถวายบูชาแ่ด่ บิดามารดาผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร เทวดาประจำตัว ท่านพระอินทร์ พระพรหม เืทพพรหมเทวาทุกชั้นฟ้ามหาสมุทร ท่านเทพฤทธิ์ ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ท่านพญายมราช ยมบาล พระแม่ธรณีท่านพญานาค ยมยักษ์ คนธรรพ์ เจ้าป่าเจ้าเขาทุกแห่งหนเป็นที่สุด

    แจกฟรี พระผงจักรพรรดิ (พระผงกรรมฐาน) แจกเรื่อยๆ ไม่จำกัดจำนวน

    ครั้งนี้จะขอเปลี่ยนแปลงการแจกพระ โดยแจกเรื่อยๆไ่ม่จำกัดจำนวน แจกจนถึงเดือนสิงหาคมซึ่งอาจจะงดทำการแจกชั่วคราวครับ




    จะขอรับไปบูชาเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ทำน้ำมนต์ หรือบูชาติดตัว ไป แจกให้กับบิดา มารดา ครูอาจารย์ เจ้านายผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องที่ต้องการนำไปปฏิบัิติธรรมบูชาจริงๆ หรือนำไปบรรจุกรุ บรรจุองค์พระ ใต้ฐานพระหรือเจดีย์ตามสถานที่ต่างๆ หรือนำไปถวายพระ ถวายวัด หรือนำไปบอกบุญเพื่อให้บูชายังประโยชน์ต่อทางพระพุทธศาสนา ตามท่านที่คิดว่าดีแล้ว เหมาะสมแล้ว
    สมควรแล้วอย่างไร
    และเน้นย้ำต้องมีเจตนาบริสุทธิ์
    ถ้าเป็นไปได้ให้ผู้ที่รับไปแจก นำไปแจกให้กับท่านที่มีความศรัทธาในพระรัตนตรัย ท่านที่ปฏิบัติธรรม หรือท่านที่มีความศรัทธาในพระผงจักรพรรดิในหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า

    แนะนำ หากจะนำพระผงจักรพรรดิ์เพื่อปฏิบัติสมาธิเช่นกำนั่งสมาธิก็ดี กำนั่งสวดมนต์ภาวนาก็ดี หรือ ทำน้ำมนต์ก็ดี หรือพกติดตัวก็ดี ให้นำไปเลี่ยมกรอบพลาสติกใสก็จะดีนะครับ

    กติกา

    a.jpg
    กติกาอยู่หน้าแรกนะครับ
    1.ให้ท่านส่งกล่องพัสดุขนาดที่เหมาะสม พร้อมพลาสติกกันกระแทกทั้งเขียนถึงที่อยู่ของท่านให้ชัดเจน แล้วสอดใส่ซองเอกสารที่พอใส่ได้
    2.ให้เขียนโน๊ตใส่ซองพัสดุมาด้วยครับว่าต้องการรับพระเท่าใหร่ ชื่อสมาชิกที่สมัครเว็บพลังจิต และลำดับการ post (post)ในกระทู้แจกพระ
    3.ให้ติดสแตมป์ที่เหมาะสม หรือถ้าไม่คิดอะไรมากให้แนบเงินค่าส่งพัสดุมาจำนวนเงินที่ท่านคิดว่าเหมาะ สมในการจ่ายค่าพัสดุครับส่วนที่เหลือ จะทำการจัดส่งให้ท่านกลับคืน หรือ หากท่านระบุมาว่าให้นำไปร่วมทำบุญสร้างพระผงผู้แจกจะำนำไปทำตามวัตถุประสงค์ ของท่านครับ
    และระบุด้วยว่าจะให้ส่งแบบใหน ลงทะเบียนธรรมดา หรือ แบบด่วน EMS


    หรือท่านใดไม่ได้เป็นสมาชิกเว็บพลังจิตหากมีความศรัทธาในพระผงอย่างจริงใจท่านสามารถขอรับไปบูชาได้ครับโดย
    ส่งมาตามที่อยู่ด้านล่าง


    1.สุรชัย ศรีอรุณลักษณ์
    48/9 ม.9 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย
    ต.บางเลน อ.บางใหญ่ นนทบุรี 11140
    โทร. 081-551-7374



    กรณีการส่งพัสดุ
    - ขอรับพระตั้งแต่ 1-10 องค์ ให้ส่งซอง กันกระแทกพร้อมติดแสต็มป์ 5-15 บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเองให้ชัดเจน
    - ถ้าขอรับพระจำนวนมากเช่น 10-50 องค์ให้เป็นกล่องพัสดุขนาด ก พร้อมพลาสติกกันกระแทก
    ติดแสตมป์ลงทะเบียน 20-47 บาท
    - ถ้าขอรับพระจำนวนมากเช่น 50-99 องค์ให้เป็นกล่องพัสดุขนาด
    พร้อมพลาสติกกันกระแทก
    ติดแสตมป์ลงทะเบียน 40-70 บาท
    (หาก จะให้ลงทะเบียนแบบ ems เพื่อป้องกัันการสูญหาย ให้ท่านส่งเงินมาเพื่อทำการลงทะเบียนให้ได้นะครับ เงินที่เหลือขออนุญาตินำไปร่วมทำบุญสร้างพระผงแจกเป็นธรรมทานต่อไป)

    เพื่อความรวดเร็วในการจัดส่ง ขอเป็นซองกันกระแทกนะครับ ถ้าซองจดหมายเล็กๆธรรมดาอาจจะมีปัญหาในการจัดส่งปลายทาง


    (กรณีท่านที่ขอพระหลายองค์ พระผง 100 องค์ขึ้นไป
    คุณณัฐพร จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดส่งแทน)


    และในกรณีนี้เนื่องจากกลุ่มคณะไม่ได้มีงบหรือทุนที่ใช้ในการจัดส่งพัสดุให้ กับท่านที่ขอพระมาในจำนวนปริมาณมาก เพราะต้องใช้ค่าใ้ช้จ่ายพอสมควร ดังนั้นจึงพิจาณาเห็นว่าขอความอนุเคราะห์จากท่านให้ช่วยในเรื่องค่าจัดส่ง พัสดุและร่วมบุญตามกำลังศรัทธาจะได้นำไปต่อยอดการสร้างพระผงสำหรับแจกเป็น ธรรมทาน และเพื่อนำไปสร้างกุศลตามสถานที่ต่างๆ ต่อไปเรื่อยๆ ได้อย่างไม่ขาดสาย


    ทุกท่านที่ขอรับพระให้ทำตามกติกานะครับเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบการตกหล่น
    1. โพสแจ้งรายละเอียดที่ต้องการดังนี้
    - วันที่ ที่จะใช้งานหรือนำไปแจก วัตถุประสงค์ในการนำพระไปใช้
    - จำนวนพระที่ต้องการ
    - ที่อยู่ในการจัดส่งและหมายเลขโทรศัพท์ (หากไม่สะดวกโพสหน้านี้ให้แจ้งทาง PM)

    ขอรับพระจำนวน 100 องค์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 100 บาท
    ขอรับพระจำนวน 200 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 140 บาท

    ขอรับพระจำนวน 300 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 180 บาท
    ขอรับพระจำนวน 400 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 200 บาท
    ขอรับพระจำนวน 500 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 230 บาท
    ขอรับพระจำนวน 600 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 260 บาท
    ขอรับพระจำนวน 700 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 310 บาท
    ขอรับพระจำนวน 800 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 330 บาท
    ขอรับพระจำนวน 900 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง 360 บาท
    ขอรับพระจำนวน 1000 องค ์ ร่วมทำบุญและช่วยค่าจัดส่ง390 บาท
    ส่วนวัดนั้นจะจัดส่งให้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

    โดยโอนเงินร่วมทำบุญและค่าจัดส่ง
    ชื่อบัญชี น.ส.ณัฐพร สุรพิทยานนท์
    ธนาคารกรุงเทพ สาขาสาธุประดิษฐ์
    เลขที่บัญชี 171-4-21450-7

    เมื่อโอนแล้วให้แนบสลิปหลักฐานการโอนแจ้งให้ทราบทางกระทู้เพื่อง่ายในการ ตรวจสอบโดยจะแ้จ้งให้ทราบทางกระทู้ หรือ pm เท่านั้นท่านสามารถเข้ามาตรวจสอบได้

    ใน ส่วนนี้ขอให้ท่านได้ิพิจารณาใตร่ตรองสักนิดหนึ่ง ในสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ ด้้วยเหตุด้วยผล ถ้ามองแค่เปลือกนอก จะมองไม่เห็นแก่นแท้ เงินที่ท่านทำบุญช่วยค่าจัดส่งนั้นส่วนหนึ่งจะนำไปเป็นทุนใช้จ่ายในการสร้าง พระเพราะในส่วนนี้ต้องใช้ทุนพอสมควรในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ เช่น ปูน กระดาษ ถุงซิบ เพื่อสร้างองค์และนำไปแจกจ่ายเป็นธรรมทานต่อไป

    ท่านได้ร้ับพระไปบูชา ท่านก็ได้บุญ
    ค่าทำบุญช่วยจัดส่งของท่าน นำไปสร้างพระ ท่านและที่เกี่ยวเนื่องก็ได้บุญ
    พระที่ท่านได้ร่วมจัดสร้าง นำไปแจกจ่ายเป็นธรรมทาน ท่านและที่เกี่ยวเนื่อ่งก็ได้บุญ
    เขารับไปบูชา ไปบรรจุพระ บรรจุกรุ ท่านและที่เกี่ยวเนื่องก็ได้บุญ




    หรือ ท่านใดต้องการพระผงจักรพรรดิจากหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ ซึ่งท่านได้เมตตาสร้างเองเพื่อแจกฟรีให้นำบูชา ลองดูเว็บบอร์ดประชาสัมพันธ์
    คลิก http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,558.0.html



    พระ ผงจักรพรรดิที่ ได้นำมาแจกนั้นได้รับมาจากคุณณัฐพร สุรพิทยานนท์(ณัฐ)ซึ่งผู้เป็นต้นบุญของการสร้างพระ ซึ่งได้เรียนรู้วิธีการสร้างพระจากหลวงตาม้า และท่านได้เมตตามอบผงจักรพรรดินี้เป็นมวลสารหลักๆและรวมด้วยมวลสาร ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆที่ครูบาอาจาย์ท่านเมตตามอบให้มารวมกลุ่มกันเพื่อสร้าง เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่ไ้ด้หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ทำไปโดยบริสุทธิ์ใจและมีเจตนาที่ดี ที่บริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมครับส่วนท่านใดจะคิดอย่างไร นั้น (นานาจิตตัง)

    ตาม ความคิดเห็นของผู้แจกพระ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ใดๆ สัณฐานใดๆ สร้างจากอะไรก็ดีนั้นผู้แจกคิดว่าล้วนเป็นของศักดิสิทธิ์ เพราะพระคือ พระรัตนตรัย เป็นรัตนมงคล เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่่บริสุทธิ์ งดงาม ของมงคลยิ่งหากมีใจรัก และมีความเชื่อความศรัทธาในคุณพระรัตนตรัย อย่างจริงใจ
    แต่พระที่รับบูชานั้นจะมีอานุภาพมากน้อยเพียงใด

    ก็ขึ้นอยู่ผู้อาราธนาจะมีกำลังใจมีศรัทธา และมีบุญบารมีเต็มร้อยหรือไม่
    ผู้ทีสั่งสมบุญบารมีไว้เต็มแล้ว จะอธิษฐานอะไรก็จะสำเร็จโดยง่าย
    คนที่มีบุญบารมีน้อยก็จะมีผลตามกำลังวาสนาบารมีและวิบากกรรมของแต่ละบุคคล พระและเทวดาท่านจะไม่ฝืนในเรื่องกฏของกรรม

    เหมือนคำสอนของหลวงปู่ดู่(วัดสะแก)ท่านได้เมตตาสอนไว้ว่า

    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือกรรม"
    "ใครจะใหญ่เกินกรรม
    "
    "เวลาเหลือน้อยแล้วให้หมั่นพากันปฏิบัติ"



    ใครอธิษฐานอะไรแล้วไม่สำเร็จตามที่ขอ
    ก็พึงพิจารณา ตามเหตุผลที่กล่าวไว้แล้ว

    และรีบเร่งทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นด้วยประกอบกับการนำพระมาใช้มาปฏิบัติ
    และที่สำคัญถ้าอธิษฐานอะไรแล้วไม่สำเร็จ

    อย่าได้คิดปรามาสพระด้วยประการใดๆเป็นอันขาดเลย ให้คิดถึงกรรมที่เราได้เคยทำเอาไว้ ถ้าพระหรือเทวดาท่านไม่ช่วย ก็อาจจะโดนหนักยิ่งกว่าที่ได้รับ แต่ที่สำคัญจะไม่ว่าอย่างไรก็ตามให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่สุด

    สรุปสุดท้าย ก็คืออย่าประมาท อย่าคิดว่าไปรับพระที่ทุกคนบอกว่าเป็นของดีเป็นของศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่เป็นอะไร เราไม่รู้วิบากกรรมในอดีตชาติไม่รู้กี่ภพกี่ชาติที่เวียนว่ายตาเกิดที่เคยทำมา เป็นอะไรบ้าง ก็พยายามสำรวมระวังมุ่งมั่นทำความดีด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ให้ตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา

    โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)วัดท่าซุง ท่านได้แนะนำโดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์พระโสดาบัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก
    1.ให้นึกถึงความตายอยู่เสมอ ทุกคนที่เกิดมา้ต้องตายกันทุกคน อยู่ที่ใหนยังไงมันก็ต้องตาย
    2.มีความเคารพพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ และหมั่นระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยสม่ำเสมอ
    3.มีศีลบริสุทธิ์ ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำผิดศิล และไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำผิดศิล
    4.อย่าสนใจและอย่าไปคิดปรุงแต่ง ในความดี ความเลวของคนอื่นที่เราเห็นหรือมากระทบ ให้ดูที่ใจเราอย่างเดียว
    5.และมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านจะมีความสุขที่แท้จริง


    ""จงพอใจในสิ่งที่ได้ จงเชื่อมั่นในสิ่งที่มี จงภูมิใจในสิ่งที่รับมา เคารพศรัทธาพระรัตนตรัย
    น้อมระลึกคุณให้ถึงใจ ให้ใส สว่าง สอาด ปราศจากความมัวหมอง เดินตามครรลอง
    พระสัทธรรมองค์พระศาสดา จะนำมาซึ่งสุขกายใจ พ้นทุกข์ภัยตลอดกาล""

    ...........................................................................................................



    ความจริงจากใจ กับคำถาม-ตอบ ยอดฮิตที่ใครๆก็อดคิดไม่ได้?




    ที่บางท่านอาจยังไม่ทราบที่มาที่ไป
    (ยังไม่ต้องเชื่อโดยทีเดียวแต่ให้พิจารณาตามความเป็นจริงด้วยเหตุด้วยผล)


    วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างพระผง และแจกพระผงจักพรรดิคืออะไร?

    อย่าง ที่ทราบดีว่าเจตนาของพวกเราหลักๆ นั้นเป็นไปเพื่อการสืบสานพระศาสนา ตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า และอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ เป็นที่สุด เนื่องจากการสร้างพระผงฯ นี้เป็นสูตรของหลวงปู่ดู่ และอย่างที่พวกเราก็ทราบกันดีว่า ณ ขณะนี้ลูกศิษย์สายหลวงปู่ดู่ที่ยังอยู่และมีการจัดสร้างพระผงก็มีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณของผู้ที่ต้องการพระผงจากท่านไว้บูชา


    ทางคณะศิษย์ที่อ่อนประสบการณ์แต่มีความศรัทธาอย่างพวกเรา ครั้งหนึ่งเคยได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์ ได้พระผงมาสำหรับกำภาวนา ทำสมาธิ รักษาโรค คุ้มครองป้องกันภัย ฯลฯ จึงได้ขอไปเรียนวิธีการสร้างพระผงจากหลวงตาม้าเมื่อหลายปีมาแล้ว (ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็มีหลายคณะที่ทำการสร้างพระผงแจก) หลวงตาม้าเคยกล่าวไว้ว่า "ของแจกฟรี ไม่เคยพอ" เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทุกวันนี้ปะคำและพระผงที่หลวงตาสร้างก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการของ คณะศิษย์ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลวงตาม้าท่านยังเคยกล่าวสมัยที่พวกเราไปกราบเรียนเรื่องการสร้างพระใหม่ๆ ว่า "ไม่ค่อยมีใครทำได้นานหรอก" ตอนนั้นยังใหม่ ไฟแรง ยังนึกค้านกับหลวงตาในใจว่า ก็ไม่เห็นยากอะไรนี่นา สนุกดีออก ...


    ครั้นเวลาล่วงเลยไป จึงได้รู้ซึ้งว่าทำไม หลวงตาจึงกล่าวเช่นนั้น เพราะขั้นตอนในกาีรสร้างพระไม่ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดที่การวางพิมพ์ คนปูน แล้วก็เทปูนลงพิมพ์ ... แต่จริงๆ แล้วต้องพูดตั้งแต่ การเริ่มเท ไปจน การแกะพิมพ์ แช่น้ำมนต์ ล้างพิมพ์ น้ำพระมาผึ่งลมให้แห้ง พิมพ์บทสวด พับ บรรจุซอง (ถ้าเป็นพระบูชาก็ต้องมีการแต่งองค์พระ พ่นสี) ฯลฯ พวกเราเลยนำไปเล่าให้หลวงตาฟัง แล้วโอดครวญว่ามันเหนื่อยจริงๆ จนแทบอยากจะเลิกเลยทีเดียว หลวงตาหัวเราะ แล้วก็บอกว่า "มัน ก็คือการ สร้างบารมีนั่นแหละ ในระหว่างทำเราก็ใช้เวลาให้คุ้มค่าซิ จับภาพพระไป ดูลมหายใจไป สวดบทจักรพรรดิไปด้วย ถือเป็นการทำสมาธิไปในตัว" แล้วหลวงตาก็กล่าวติดตลกแบบอารมณ์ดีว่า หลวงตามีพระช่วยล้างพิมพ์ เลยไม่ต้องเหนื่อยล้างเอง

    อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ หนึุ่่งในศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เคยสอบถามพวกเราว่า "สร้างพระเพื่ออะไร" ตอน แรก พวกเราไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงถามเช่นนี้ เพราะท่านเองก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ดู่ น่าจะทราบอยู่แล้ว ตอนหลังท่านจึงขยายความว่า การสร้างพระ ไม่ใช่สักแต่ว่าสร้าง สร้างแล้วก็กองทิ้งไว้ ไม่เกิดประโยชน์ ก่อนที่เราจะทำ เราต้องถามตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าจุดมุ่งหมายของเรา สร้างไปเพื่ออะไร สร้างแล้วนำไปไว้ที่ไหน แจกใคร ฯล


    พวกเราโชคดีมีโอกาสได้สร้างพระผงฯ ถวายหลวงพี่เอก วัดเขาแร่ หลายครั้ง สำหรับนำไปใช้แจกในโครงการพุทธศาสนาสงเคราะห์ในถิ่นธุรกันดาร ท่านเมตตาอธิษฐานจิตมวลสารที่พวกเรานำไปให้ท่านตรวจสอบก่อนลงมือสร้าง และยังมอบน้ำยาอุทัยทิพย์หลวงปู่ชื้น รวมไปถึงน้ำมนต์ 500 บ่อให้พวกเรานำไปผสมในพระผงด้วย และนอกเหนือจากมวลสารที่เราได้รับแล้ว ยังมีคำสอนที่พวกเราไม่เคยลืม และจำใส่ใจทุกครั้งเวลาจะลงมือสร้างพระ


    หลวงพี่เอกท่านกล่าวว่าพระผงจักรพรรดิ คือของสูง คนเขาเมื่อได้รับแล้วก็นำไปกราบไหว้ บูชา เราคนทำก็ต้องทำตัวให้ควรค่าแก่ของที่เขานำไปบูชา เจตนาเราทำเพื่ออะไรย่อมรู้อยู่ และเจตนาที่ตั้งนั้นก็เป็นของละเอียด ดังนั้นขั้นตอนในการสร้างพระก็จะต้องละเอียดด้วย วันไหนจิตใจไม่พร้อม ไม่สบายใจ ไม่อยากทำ ก็อย่าเพิ่งไปทำ เพราะเราทำเน้นคุณภาพ ไม่ใช่เน้นปริมาณ เราไม่ใช่โรงงานทำพระ ... สาเหุตที่ท่านกล่าวสอนข้าพเจ้าเช่นนี้เพราะช่วงนั้นเร่งสร้างพระ ทำเพื่อปริมาณ เพราะมีคนขอเยอะ ไหนจะเหนื่อยทั้งงานประจำ ไม่สบาย ง่วงนอน ฯลฯ ก็ยังต้องอดทนทำ ท่านจึงเมตตาสอน พร้อมกับให้ตั้งใจทุกครั้งที่ทำ ถือเป็นการสร้างความเพียรอย่างหนึ่ง "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และธรรมะของพระพุทธเจ้าคือของละเอียด หยาบคายจะไปนิพพานได้อย่างไร" ข้าพเจ้า ยังจำคำพูดของท่านประโยคนี้ได้ติดหู ท่านยังกล่าวอีกว่า "คุณประโยชน์นั้นมีตั้งเยอะ จะจับตรงไหนก็ล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ทำพระไป จับลมหายใจไป ก็เป็นกรรมฐาน ดูภาพพระที่ทำ แล้วภาพพระติดตา ก็ได้พุทธานุสติกรรมฐาน อย่างพระที่เราทำถ้าเป็นสีขาว ก็เป็นกสินสีขาว พระสีทองก็กสินสีเหลือง เห็นไหม ในระหว่างทำ ถ้าตั้งใจก็ถือเป็นการปฏิบัติไปด้วยเหมือนกัน"


    พวกเราโชคดีที่มีโอกาสได้สร้างพระผงฯ ถวายครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน แต่เหตุผลที่ไม่อยากนำำมากล่าวถึงในที่เป็นเพราะว่า ไม่อยากถูกมองว่านำชื่อเสียงของครูบาอาจารย์มากล่าวอ้าง เราไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย และไม่ได้อยู่ในความคิดของเราเลย แม้แต่นิดเดียว กลุ่มของพวกเราเพียงแค่ต้องการอยากจะสร้างพระผงฯ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่าันั้น เพื่อสืบสานพระศาสนา ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และตอบแทนคุณครูบาอาจรย์เท่านั้นเอง



    จากที่กล่าวมาเมื่อกี้ที่ว่าอยากทำเงียบๆ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้เอามาแจกในเว็บแบบนี้ ...แบบนี้มิเท่ากับเป็นการโปรโมทกลุ่มตัวเองหรือ?


    กลุ่มของพวกเราเคยคิดเรื่องนี้หลายครั้ง จากเดิมที่เคยเล่าว่าทำถวายแบบเงียบๆ มาโดยตลอด แต่สาเหตุของการเปลี่ยนใจเกิดขึ้นมาจากการสนทนากับหลวงตาม้า เรียนถามท่านว่าท่านสร้างพระแจกทำไมตั้งเยอะตั้งแยะ ค่าใช้จ่ายก็มิใช่น้อย อีกทั้งพระของท่านยังเลี่ยมพลาสติก และร้อยสร้อย บางครั้งก็ร้อยปะคำให้เสร็จสรรพ เท่าที่ทราบ ค่าใช้จ่ายตรงนี้เดือนนึงก็ตกหลายหมื่นบาท


    หลวงตากล่าวว่า สมัยของหลวงปู่ดู่ ท่านก็สร้างพระแจก ท่านบอกว่าพระท่านต่อไปจะมีค่า เพราะคุณประโยชน์มากมายมหาศาล เนื่องจากหลวงปู่ดู่ท่านได้อธิษฐานไว้ ไม่ว่าจะใช้กำภาวนา ซึ่งบางคนก็โชคดี สัมผัสพลังงานของ "พระดิ้นได้" ได้ด้วยตนเอง คนที่ป่วย นำพระผงไปใช้ทำน้ำมนต์ก็ช่วยทุเลาอาการของโรคลง บางคนก็หาย บางคนที่ตั้งใจภาวนา สวดมนต์บ่อยๆ ชีวิตก็ดีขึ้น อีกทั้งท่านยังกล่าวด้วยว่า พระของหลวงปู่ดู่ยังกันรังสี กันนิวเคลียร์ได้ด้วย


    ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนี่เอง หลวงตาม้าท่านจึงกล่าวว่า "เชื่อไหมล่ะ ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอแจกหรอก" และ ณ เวลาปัจจุบันข้าพเจ้าเองก็เห็นกับตาแล้วว่า เท่าไหร่ก็ไม่พอแจกจริงๆ


    นอกเหนือจากนี้ ในปัจจุบันภัยพิบัติได้ทวีความรุนแรงขึ้น การมีวัตถุมงคลไว้บูชา ไว้เพื่อระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ย่อมเกิดอานิสงส์ป้องกันตนเองได้ ข้าพเจ้าเองเคยเรียนถามหลวงตา ท่านก็กล่าวว่าจริง ... ผู้ใดที่บูชา ศรัทธา และหมั่นสวดมนต์ อานุภาพต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้จริง


    จึงส่งผลให้ทางกลุ่มเกิดกำลังใจ และความตั้งใจที่อยากจะเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในการช่วยกระจายพระผงจักรพรรดิออกไปให้ได้มากที่สุด อย่างที่หลวงตาเคยกล่าวไว้ว่า "ประโยชน์มันอยู่ตรงที่ ถ้ามีแม้เพียงสัก 1 คน ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ แล้วเข้าถึงพลังงานของหลวงปู่ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม" ณ ตอนนั้นข้าพเจ้าเองยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่แค่ได้ฟังที่หลวงตาพูด ก็รู้สึกได้ว่าช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน และน่าจะมีส่วนที่ช่วยเหลือหรือป้องกันเรื่องภัยพิบัติได้บ้างไม่มากก็น้อย


    มีหลายๆ คนเคยถามข้าพเจ้าว่า"ไม่กลัวเป็นการโปรโมทกลุ่มตัวเองหรือ" ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันเจตนารมณ์เดิม ... วันนี้บางท่านที่ได้รับพระไปอาจเกิดความคลางแึคลงใจเพราะกลุ่มที่ทำเป็น เพียงแค่คณะศิษย์ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แต่ถ้าท่านเหล่านั้นศรัทธา บูชาด้วยความเคารพ ตั้งใจ และเมื่อสัมผัสพลังงานได้ สิ่งที่ท่านเหล่านั้นจะนับถือคงมิใช่กลุ่มของพวกข้าพเจ้าเป็นแน่ เพราะผู้ที่ได้รับพระไปย่อมจะต้องขวนขวายหาคำตอบว่าครูบาอาจารย์ของคนกลุ่ม นี้เป็นใคร และสุดท้ายแล้วพระผงของคณะศิษย์อย่างพวกเรา ก็จะนำพาทุกๆ ท่านไปสู่ครูบาอาจารย์ของพวกเราอยู่ดี ซึ่งเหตุผลนี้ยังเป็นจุดประสงค์แฝงของพวกเราด้วย เพราะพวกเราพูดเสมอว่า

    "พระดี มิใช่จากพวกเรา แต่เพราะครูบาอาจารย์ดีต่างหาก พระจึงดีได้"



    พระผงฯ เหล่านี้ปลุกเสกโดยใคร?

    คำถาม นี้เป็นคำถามยอดฮิตที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า ตอบบ่อยมากๆ ... ในสมัยตอนที่ทางกลุ่มสร้างพระผงยังไม่เยอะ ทุกครั้งที่หลวงตาม้าท่านมากรุงเทพ ก็จะหอบพระผงฯ ไปให้ท่านอธิษฐานจิต หรือเวลามีงานพิธีของครูบาอาจารย์ที่สำคัญๆ พวกเราก็จะหอบพระผงฯ ไปเข้าพิธีด้วย


    ครั้นเวลาผ่านไป ปริมาณการสร้างพระผงที่จากเดิมมีแค่เดือนละ 1-3 ถัง กลายเป็น 10-15 ถัง พระบูชาบางเดือนเป็นร้อยๆ องค์ ลำบากทั้งคนหอบหิ้ว แบกไปอธิษฐานในแต่ละที่ จนสุดท้ายข้าพเจ้าจึงได้เรียนถามหลวงตาว่า จะเป็นอะไรไหม หากไม่หอบมาให้ท่านอธิษฐานอีก พระผงฯ จะยังมีพุทธคุณเทียบเท่ากับที่นำมาให้หลวงตาอธิษฐานไหม หลวงตาเมตตาตอบว่า "ให้หลวงปู่มาเสกซิ" ข้าพเจ้าทำหน้างงๆ แล้วกราบเรียนหลวงตาแบบผู้ไม่รู้ว่า ข้าพเจ้ามิใช่หลวงตา เป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดา จะมาปลุกเสกเองก็คงจะไม่ใช่ หลวงปู่จะมาเมตตาเสกพระได้อย่างไร หลวงตาหัวเราะ แล้วก็ตอบว่า เรานึกถึงท่าน เราทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำไมท่านจะไม่มา เราเป็นเพียงแค่ทางผ่านของพลังงานท่าน จะทำอะไรก็นึกถึงท่าน ท่านก็เมตตามาทำให้ ไม่ต้องหอบไป - หอบมาให้เมื่อยหรอก


    ข้าพเจ้ารับคำกลับไปด้วยความงงๆ แล้วก็กลับบ้านมาลองทำดู ในขณะทำก็ตั้งจิตอธิษฐานบอกกล่าวหลวงปู่ดู่ผู้เป็นอาจารย์ "แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้กราบท่านสมัยยังมีชีวิต แต่ ณ ขณะนี้ข้าพเจ้าและัคณะก็มีความตั้งใจจริงๆ ที่จะสร้างพระผงเพื่อเชิดชูคุณของหลวงปู่ดู่ และตั้งใจที่จะสร้างพระเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อยากให้ผู้ที่ศรัทธาเมื่อรับพระไปแล้ว สามารถสัมผัสถึงพลังงานของพระ และของหลวงปู่ได้ หากเขามีความทุกข์ใจ ทุกข์กาย ขอเมตตาหลวงปู่ได้โปรดช่วยเหลือ ขอพระผงที่พวกข้าพเจ้าสร้างจงมีพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ เฉกเช่นเดียวกับที่หลวงปู่ดู่ได้สร้างเองทุกประการ ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ได้โปรดเสด็จมาเป็นประธาน ขอบารมีครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้านับถือทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และพรหมเทพเทวาทั้งหลายที่เกี่ยวเนื่องก็ดี ไม่เกี่ยวเนื่องก็ดี ทั้งสามแดนโลกธาตุ
    ได้โปรดช่วยเมตตาประสิทธิพระผงจักรพรรดิทั้งหมดทั้งมวลด้วยเทอญ"



    ข้าพเจ้าใช้วิธีนีเรื่อยมา จนเมื่อมีโอกาสได้กราบหลวงตาอีกครั้ง ก็นำพระไปให้ท่านดู เล่าให้ท่านฟัง และสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านตอบแค่สั้นๆ ว่า "ใช้ได้" แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก ขอสารภาพตามตรงว่า ข้าพเจ้าเองก็ยังคลางแคลงใจอยู่ลึกๆ ว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ เกิดผู้ที่มีความสามารถสัมผัสพลังงานได้ มาจับพระแล้วไม่มีพลังงานอะไรเลย จะทำอย่างไร ข้าพเจ้าสร้างพระไปก็สงสัยไป


    จนวันหนึ่งลูกศิษย์หลวงพี่เอกได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า แล้วบอกว่าหลวงพี่เอกฝากมาบอก ตอนนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก เพราะเคยวานให้พี่ท่านนั้นเลียบๆ เคียงๆ ถามหลวงพี่เอกให้ที ว่าการสร้างพระของข้าพเจ้ามีอะไรบกพร่อง ที่ต้องแก้ไขอีกบ้าง ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องโดนติงเรื่องนี้แน่ๆ เลยเป็นกังวลมาตลอด พี่ท่านนั้นบอกว่าหลวงพี่ฝากมาบอกว่า "อีโง่" ข้าพเจ้างงเป็นไก่ตา แตก พี่ท่านนั้นเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็อึ้งๆ ถามย้ำหลวงพี่ว่าจะให้มาบอกกับข้าพเจ้าแบบนี้จริงๆ หรือ ท่านบอกว่า "เออ ให้มาบอกมันแบบนี้แหละ" แล้วพี่เค้าก็หัวเราะ เหตุผลเพราะว่าท่านบอกว่าสิ่งที่ทำนั้นดีอยู่แล้ว มัวแต่ไปกังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง แทนที่จะได้บุญขณะทำ จิตก็เลยตกทุกครั้งที่ทำ พี่ท่านนั้นยังกล่าวเสริมอีกว่า
    " เวลาเราสร้างพระ เราไม่ได้อธิษฐานจิตเองนี่ เราขอบารมีพระ บารมีครูบาอาจารย์ ขอท่านมาเสก ฉะนั้น อย่าไปกังวลหรือสงสัยว่าท่านจะมาหรือไม่ ในเมื่อเราทำสิ่งที่เพื่อส่วนรวม เพื่อช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา พระท่านย่อมมาสงเคราะห์อยู่แล้ว"



    จากนั้นข้าพเจ้าก็พยายามเลิกคิด แต่ก็ยังมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่เมื่อ ได้ทราบข่าวจากผู้ที่ได้รับพระไปในด้านดีๆ เช่นถูกหวย หายป่วย ทำสมาธิดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ฯลฯ ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่าบารมีพระท่านแท้ๆ ที่มาประสิทธิพระผงฯ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตอบได้เต็มปากว่าพระผงเหล่านี้ไม่ได้เสกโดยพวกข้าพเจ้า เองแน่ๆ หากแต่เป็นบารมีของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เมตตา และครูบาอาจารย์หลายๆ ท่านที่พวกข้าพเจ้าเคยได้รับมวลสารมาจากท่าน ข้าพเจ้าก็กราบเรียนและขอเมตตาท่านช่วยอธิษฐานจิตพระผงที่พวกข้าพเจ้าสร้าง ด้วย


    นอกจากนี้ยังมีบางท่าน หรือรุ่นน้่องหลายๆ ท่านที่นำพระไปถวายครูบาอาจารย์ที่วัด เมื่อท่านเห็นพระผงแล้วท่านก็กล่าวว่าใช้ได้ ... หากท่านใดที่ได้รับพระผงไปแล้ว เกิดไม่มั่นใจในพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จะนำไปให้ครูบาอาจารย์ของท่านอธิษฐานจิตหรือร่วมงานพุทธาภิเษก กำกับซ้ำอีกกี่ครั้งก็ได้ เพื่อความมั่นใจได้เช่นกัน



    พระที่กลุ่มนี้สร้างแจกกันมีมวลสารอะไรผสมบ้าง?

    ข้อนี้ บอก ตามตรงคงไม่สามารถที่จะเขียนสาธยายออกมาให้หมดได้ เพราะมวลสารมีมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นผงจักรพรรดิที่ได้มาจากหลวงตาม้า ผงธูปจากเมืองจีนที่หมอฮ้อเมตตามอบให้มา และมวลสารสำคัญอื่นๆ ที่ใช้ในการสร้างวัตถุมงคลของหลายๆ วัดที่มีบางท่านมอบให้มา ซึ่งการที่นำมาลงตรงนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะ เหตุผลเพราะว่าวัตถุมงคลเหล่านั้นบางส่วนก็ยังมีให้บูชาเพื่อหาปัจจัยเข้า ทางวัดอยู่ ซึ่งเกรงว่าหากบางท่านมองว่าพระผงฯ ที่แจกฟรีนี้มีมวลสารเช่นเดียวกัน พาลไม่บูชาวัตถุมงคลของทางวัดคงแย่แน่ๆ


    หากท่านใดสงสัย และใคร่ทราบเป็นการส่วนตัว โทรสอบถามกันน่าจะเหมาะกว่าการที่จะนำมาสาธยายในนี้ แต่แหล่งที่มานั้นยืนยันได้แน่นอน เพราะบรรดาท่านที่มอบมวลสารให้นั้นก็ยังมีชีวิตอยู่

    สุดท้ายนี้ตนมีความเห็นว่า...

    โดยแท้จริงไม่ได้มีิเจตนาส่งเสริมให้คนยึดติดวัตถุแต่อย่างใด
    เพราะจริงแล้วตนเห็นว่าโดยเนื้อแท้ของบุญนั้นอยู่จิตโดยส่วนเดียว เห็นตนเอง ก็เห็นผู้รู้ เห็นผู้รู้ ก็เห็นพุทธะ แต่ สงเสริมให้นำวัตถุไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นอุบายในการปฏิบัติธรรม ตามที่เห็นว่าสมควร ตามจริตของตน หรือเป็นสื่้อกลางในการให้เขาได้สร้างบุญอีกทางหนึ่ง ได้อานิสงส์บุญด้วยง่ายทางหนึ่ง และเป็นการดึงดวงจิตเข้าหาพระรัตนตรัย เข้าหาธรรม เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ได้มีพระรัตนตรัยเป็นอนุสสติิ ช่วยปรับภพภูิม ปรับดวงจิต และช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง เป็นประโยชน์ทั้งในทางโลกทางธรรม และเป็นสัมบัติฝากไว้ในพระุพุทธศาสนาต่อไปในภาคหน้า อันจะเป็นการช่วยจรรโลงและสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง


    Link อื่นที่น่าสนใจคลิกด้านล่างเลยครับ

    คลิก รายละเอียดและประวัติของคณะกลุ่มสร้างพระผงจักรพรรดิ https://sites.google.com/site/cnxdonate/what-new

    สร้างให้ฟรี พระเจ้าทันใจหน้าตักสี่ศอก(สมเด็จองค์ปฐมฯ)ทุกทิศ ทั่วไทย
    http://palungjit.org/threads/%E0%...ml#post4918326[/SIZE][/B]

    คลิก มหากฐิน สร้างพระนอนใหญ่ที่สุดในโลก




    <fieldset class="fieldset"> <legend>รูปขนาดเล็ก</legend> attachment.jpg
    </fieldset>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • be173b921.jpg
      be173b921.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.1 KB
      เปิดดู:
      12
    • a.jpg
      a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.8 KB
      เปิดดู:
      6
    • 71.gif
      71.gif
      ขนาดไฟล์:
      13.4 KB
      เปิดดู:
      14
    • 71.gif
      71.gif
      ขนาดไฟล์:
      13.4 KB
      เปิดดู:
      10
    • 71.gif
      71.gif
      ขนาดไฟล์:
      13.4 KB
      เปิดดู:
      10
    • a.jpg
      a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.6 KB
      เปิดดู:
      11
    • attachment.jpg
      attachment.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 KB
      เปิดดู:
      13
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2021
  9. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    อนุโมทนา สาธุ ขอรับ......
     
  10. พระจุฬา

    พระจุฬา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +147
    อาตมภาพขอรับ300องค์ เพื่อนำไปเผยแพร่แจกต่อเรื่อยๆบ้าง,ผ้าป่าบ้าง,งานวัดหรืองานบุญอื่นๆบ้างครับ..พระจุฬา วัดบ่อเบี้ย พะเยาครับ(คุณฐนกรทราบเรื่องแล้ว) ขอบคุณครับ..เจริญธรรม
     
  11. Dear-Dear

    Dear-Dear Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +45
    ขออนุโมทนาค่ะ
    ขอรับพระผงจักรพรรดิ์ 5 องค์และพระธาตุข้าวบิณฑ์ 1 องค์ค่ะ
    แล้วจะส่งซองติดแสตมป์ไปให้ค่ะ

     
  12. soophajuka

    soophajuka Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +73
    ขออนุโมทนา ในส่วนบุญกุศลที่ท่านได้ทำในครั้งนี้ และทุกๆ ครั้งด้วยนะครับ




    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

    ศุภจักร ใยสำลี
     
  13. nutmof

    nutmof เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +3,215
    รบกวนขอที่อยู่สำหรับจัดส่งพระผงด้วยเจ้าค่ะ
     
  14. nutmof

    nutmof เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +3,215
    ข่าวจากอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ (7 ต.ค. 2554)

    ให้คณะศิษย์ไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนา ทำจิตให้มีสมาธิ สติจะได้เกิด ปัญญาจะได้มี เวลามีปัญญาแล้วจะได้มีช่องทางในการแก้ปัญหา ห้ามจิตตก สภาวะจิตสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้จะต้องดึงกำลัง ให้นึกถึงบุญที่ตนเองได้เคยกระทำ ไม่ต้องนึกไกล เอาแค่ชาตินี้ก็พอ ให้นึกถึงทุกขณะจิต

    เมื่อจิตตก ความศรัทธา ความเลื่อมใสก็ไม่มี ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิด ใจเราก็จะมีแต่ความเศร้าสร้อย ให้หมั่นทำสมาธิ ภาวนา เมื่อเกิดน้ำท่วมได้ เขาก็ไปได้ ให้อธิษฐาน ภาวนา ขอบารมีของพระแม่คงคา พระแม่ธรณี รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสถานที่คือกรุงศรีอยุธยาให้ท่านมาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนารายณ์ ผู้เป็นเจ้าแห่งสมุทร เป็นปางหนึ่งของพระราม เป็นเจ้าแห่งอโยธยา และเป็นปางหนึ่งของพระนเรศวร ให้ท่านช่วยกระจายน้ำ และช่วยให้น้ำลดโดยเร็ว

    หากใครสะดวกก็ให้จุดธูป 16 ดอก หากท่านใดไม่สะดวกก็ ให้ตั้งจิตอธิษฐาน รวมกำลังกัน สวดบทมหาจักรพรรดิ ขอพรสิ่งศักดิ์ให้ภัยพิบัติต่างๆ ลดลงโดยเร็ว
     
  15. phraedhammajak

    phraedhammajak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,602
    ค่าพลัง:
    +2,972
    เจริญพรอาตมาได้รับพระที่ส่งมาร่วมบุญกับสำนักสงฆ์แพร่ธรรมจักรแล้วจะได้นำไปแจกกับคณะญาติโยมที่มาร่วมทำบุญสร้างกุฏิกัมมัฏฐานต่อไปขอให้ธรรมะจงรักษาท่านเจริญในหน้าที่การงานทั้งทางโลกและทางธรรม ขอเจริญพร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF0145.JPG
      DSCF0145.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      35
    • DSCF0265.JPG
      DSCF0265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      44
    • 332.JPG
      332.JPG
      ขนาดไฟล์:
      921.2 KB
      เปิดดู:
      42
    • DSCF0083.JPG
      DSCF0083.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      49
    • DSCF0018.JPG
      DSCF0018.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.8 MB
      เปิดดู:
      56
    • 265.JPG
      265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      900.5 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSCF0107.JPG
      DSCF0107.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      45
    • DSCF0380.JPG
      DSCF0380.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      49
    • DSCF0356.JPG
      DSCF0356.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      59
    • DSCF0228.JPG
      DSCF0228.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      43
    • DSCF0224.JPG
      DSCF0224.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      42
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2011
  16. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    โมทนาสาธุด้วยเช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  17. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุขออนุโมทนาบุญครับ

    ส่งซองพัสดุพร้อมติดแสตมป์ มาตามที่อยู่ด้านล่าง

    1.สุรชัย ศรีอรุณลักษณ์
    48/9 ม.9 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย
    ต.บางเลน อ.บางใหญ่ นนทบุรี 11140
    โทร. 081-551-7374



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2021
  18. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาูธุน้อมกราบอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวล

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2011
  19. สติมั่น

    สติมั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +500
    ขอขอบพระคุณ คุณฐนกร และคุณ ณัฐพร รวมถึงทุกท่านที่มีส่วนในการสร้างพระมหาจักรพรรดิ์ จนถึงการส่งพระ
    กระผมนาย อริย์ธัช ได้รับพระมหาจักรพรรดิ์ จำนวน 1200 องค์ เมื่อวันอังคาร 11 ตุลาคม 2554 เวลา 15: 30 น. และได้ถวายให้แก่วัดป่าวังน้ำเย็น จำนวน 999 องค์ และอีก 201 องค์ กระผมจะแจกให้กับญาติโยมในที่ทำงานและอื่นๆครับ

    ขอขอบพระคุณทุกท่านครับ
     
  20. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาูธุน้อมกราบอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวล


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...