รวบรวมข้อมูลเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 28 กันยายน 2006.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ดีเลยครับ ฝากช่วยดูวิธีตามภาพข้างล่างนี้ เผื่อจะได้นำมาทำเป็นต้นแบบ ให้ทางกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ได้นำไปเผยแพร่ต่อไปด้วยครับ

    <TABLE class=tborder id=post517659 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] เมื่อวานนี้, 05:08 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#74 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>JONGKON SIRISIN<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_517659", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 05:22 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2006
    ข้อความ: 25 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 37 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 133 ครั้ง ใน 21 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_517659 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    </FIELDSET>
    เรื่องชาร์จแบตนี่... ผมลองแล้วนะทำได้ง่าย
    คือผมใช้ไดนาโมขนาด 12 โวลท์ ที่ติดกับจักรยานนั่นแหละครับ เอามาต่อกับไดโอดแปรงให้เป็นไฟกระแสตรง ชาร์จแบตได้<!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2007
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD width=636>บล็อกประสาน วท.


    <CENTER>[​IMG] </CENTER><CENTER> </CENTER>
    <DD>บล็อกประสาน วท. คือ บล็อกที่ วท. ออกแบบและพัฒนาให้มี ลักษณะพิเศษ เพื่อการใช้งานอย่างเหมาะสม เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ในการนำไปใช้งานโดยมีรูร่องและเดือยบนตัวบล็อกที่สามารถก่อประสาน กันทั้งแนวนอนและแนวดิ่งได้โดยไม่ต้องใช้ปูนก่อ หรือก่อทีละก้อนเหมือน บล็อกแบบดั้งเดิมและสามารถนำมาวางซ้อนกันตลอดความยาวของผนังสูง ครั้งละประมาณ 10 แถว แล้วใช้น้ำปูนทรายหยอดลงในรูของบล็อก ทำให้ ก่อสร้างได้สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ช่างฝีมือในการก่อสร้าง จึงเรียกบล็อก แบบนี้ว่า “บล็อกประสาน วท.” <DD>
    วัสดุที่ใช้ผลิตบล็อก

    <DD>มีให้เลือกใช้หลายชนิดตามแต่จะหาได้ เช่น
    <DD>1. ดินปนทรายสีแดง ซึ่งมีเนื้อละเอียด ไม่มีเม็ด นำมาร่อนก่อน ผสมซีเมนต์
    <DD>2. ดินลูกรังแดงมีเม็ดหินปน นิยมใช้ทำถนนนำมาบดผ่านตะแกรง ขนาดไม่เกิน 4 มม.
    <DD>3. หินฝุ่น ซึ่งใช้ทำคอนกรีตบล็อก ควรบด-ร่อนก่อน
    <DD>4. หินชนวนผุนำมาบดผ่านตะแกรง 4 มม.
    <DD>5. เศษศิลาแลงนำมาบดผ่านตะแกรง 4 มม.

    <DD>วิธีการผลิตบล็อกประสาน วท.

    <DD>1. นำดินมาผึ่งให้แห้ง นำไปร่อนหรือบด
    <DD>2. ผสมปูนซีเมนต์:ดิน ในอัตราส่วน 1:7 หรือ 1:8
    <DD>3. พรมน้ำพอชื้นคลุกเคล้าจนทั่ว
    <DD>4. นำไปอัดด้วยเครื่องใช้แรงคน หรือเครื่องไฮดรอลิก
    <DD>5. บ่มในที่ร่ม 14 วัน จึงนำไปใช้งานได้ <DD>

    ในปัจจุบัน วท. ได้ผลิตบล็อกประสานออกมาเป็น 2 แบบ เพื่อให้ เหมาะกับการใช้งาน

    <DD>1. บล็อกตรงหรือทรงสี่เหลี่ยมใช้สำหรับก่อสร้างอาคาร

    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    <CENTER>บล็อกเต็มก้อน 12.5 x 25 x 10 ซม. </CENTER><CENTER>ขนาดครึ่งก้อน 12.5 x 12.5 x 10 ซม. </CENTER>

    <DD>2. บล็อกโค้งใช้สำหรับก่อสร้างถังเก็บน้ำ
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>ขนาด 15 x 30 x 10 ซม. </CENTER>
    <DD>เครื่องอัดบล็อกประสาน

    <DD>- เครื่องอัดด้วยแรงคน
    <DD>1. เป็นเครื่องอัดด้วยแรงคนแบบมือโยก
    <DD>2. สามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ก่อสร้างได้สะดวก
    <DD>3. การใช้งานและบำรุงรักษาไม่ยุ่งยาก
    <DD>4. สามารถผลิตได้วันละประมาณ 400-800 ก้อน ขึ้นอยู่กับจำนวนแรงงานและความชำนาญ <DD>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>- เครื่องอัดไฮดรอลิก
    <DD>เป็นเครื่องอัดแบบอุตสาหกรรมขนาดย่อมหรือในระดับ หมู่บ้าน โดยพัฒนาจากเครื่องอัดมือโยกมาเป็นเครื่องอัดไฮดรอลิก
    <DD>- สามารถผลิตได้วันละประมาณ 1,000-1,300 ก้อน
    <DD>- อัดได้ทีละ 2 ก้อน <DD>

    <CENTER>[​IMG] </CENTER><CENTER>เครื่องอัดบล็อกตรงสำหรับก่อสร้างอาคาร </CENTER><DD><CENTER> </CENTER>
    <CENTER>[​IMG] </CENTER><CENTER>เครื่องอัดบล็อกโค้งสำหรับถังเก็บน้ำ </CENTER><DD><CENTER> </CENTER>ขั้นตอนการทำบล็อกประสาน วท.

    <DD>หลังจากกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมของดินที่จะใช้ในการทำบล็อก ประสาน วท. ในห้องปฏิบัติการได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการอัดบล็อก หาก ดินเป็นก้อนควรผ่านการบดก่อนนำไปร่อน ผ่านตะแกรงขนาด 4 มม. หรือ เล็กกว่า ถ้าดินมีความชื้นมากควรนำไปตากให้แห้ง ก่อนนำมาผสมกับ ซีเมนต์เพื่อให้คลุกเคล้าได้สม่ำเสมอ การผสมควรผสมแห้งก่อนแล้วค่อย เติมน้ำ น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด ใช้ผสมในระหว่างการคลุกเคล้าดินและ ซีเมนต์ในปริมาณที่พอเหมาะ ปกติจะใช้น้ำประมาณ 10% (โดยปริมาตร) หลังจากนั้นนำดินที่ผสมแล้วเข้าเครื่องอัด การอัดควรอัดในทันทีที่ผสม เสร็จเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ บล็อกประสาน วท. ที่อัดเป็นก้อนแล้ว ควรกองเก็บและบ่มในที่ร่ม <DD>
    การบ่ม

    <DD>หลังจากนำบล็อกออกจากเครื่องอัดแล้ว 12 ชั่วโมง ให้บ่มโดยใช้น้ำ พรมหรือราดให้ชุ่มติดต่อกันอย่างน้อย 3 วัน เมื่อพ้น 3 วันแล้ว ให้นำไปวาง ซ้อนกันบนพื้นที่เรียบ คลุมด้วยแฝกฟางหรือใบไม้จนมีอายุครบอย่างน้อย 14 วัน จึงนำไปใช้งานได้ ถ้าจะให้ได้กำลังสูงสุด ควรบ่มต่อไปจนครบ 28 วัน <DD>
    การก่อสร้างอาคารด้วยบล็อกประสาน
    วท. อาคารชั้นเดียว

    <DD>1. ขุดดินเทฐานหรือคาน คสล. ตามแนวผนังที่จะก่อ
    <DD>2. นำบล็อกวางเรียง เพื่อวัดความกว้างยาวของอาคาร ปรับระยะ ให้พอดีกับขนาดของบล็อก โดยเพิ่มทีละก้อนหรือครึ่งก้อนเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดบล็อก
    <DD>3. ก่อบล็อกแถวแรกด้วยปูนทราย เพื่อทำระดับผิวหน้าให้เท่ากัน ใช้ปูนทรายปรับระดับ (ปูนซีเมนต์:ทราย = 1:3 โดยปริมาตร)
    <DD>4. วางทับซ้อนกันครั้งละประมาณ 10 แถว จึงหยอดน้ำปูนผสม ทรายละเอียดที่มีลักษณะเป็นครีมเหลวลงในรูบล็อกทุกรูให้เต็ม สำหรับ บริเวณที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ เช่น บริเวณมุมห้อง เสาหรือจุดที่ รับโครงหลังคา ควรเสริมเหล็ก 6 มม. ไว้เพื่อยึดอะเส หรือโครงหลังคา
    <DD>5. เมื่อก่อครบจำนวนแถว (ประมาณ 30 แถว) จึงวางอะเส วาง โครงหลังคามุงหลังคาซึ่งปกติจะใช้โครงเหล็ก ไม้ หรือคอนกรีต <DD>
    วิธีผสมปูนหยอด

    <DD>1. ร่อนทรายละเอียดผสมปูนซีเมนต์ อัตราส่วน 1:3 โดยปริมาตร
    <DD>2. ผสมน้ำจนเหลวเป็นครีม
    <DD>3. ใส่ถังฝักบัวที่ถอดหัวฝักบัวออกและหยอดน้ำปูนในรูบล็อกให้ เต็มทุกรูอย่าให้ล้น ก่อนหยอดควรกรอกน้ำลงในรูทุกรูให้ชุ่ม
    <DD>4. ทำความสะอาดผนังในจุดที่เปื้อนปูน โดยใช้น้ำล้างหรือฟองน้ำ ชุบน้ำเช็ดก่อนที่น้ำปูนจะแห้ง (ไม่เกิน 15 นาที)
    <DD>5. ในกรณีที่น้ำปูนรั่ว ให้ใช้ทรายแห้งกำใส่มือหรือใช้ฟองน้ำชุบน้ำ บิดให้หมาด แล้วอุดบริเวณที่รั่วทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาที <DD>
    ข้อดีของอาคารที่สร้างโดยบล็อกประสาน วท.

    <DD>1. ใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น มีความแข็งแรง ทนทาน
    <DD>2. ก่อสร้างง่าย รวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้ทั้งเสา ไม้แบบ และการฉาบ ปูน
    <DD>3. ประหยัดราคาในการก่อสร้างโดยใช้แรงงานในท้องถิ่น
    <DD>4. มีความสวยงามตามธรรมชาติ ไม่ต้องทาสี
    <DD>5. สร้างงานและอาชีพเสริมให้แก่ประชาชนในชนบท
    <DD>6. ช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยลดการตัดไม้ทำลาย </DD><DD>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER></DD></TD></TR></TBODY></TABLE><!--Address Bar --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <HR color=#cc3366 SIZE=1>สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
    เทคโนธานี ถ.เลียบคลองห้า ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 ประเทศไทย
    โทรศัพท์ 0-2577-9000
    โทรสาร 0-2577-9009
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>การถนอมอาหาร


    <DD>การถนอมอาหาร หมายถึงการเก็บรักษาอาหารโดยกรรมวิธีต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับของสดมากที่สุด โดยไม่ให้สูญเสียคุณภาพและ คุณค่าทางโภชนาการ ตลอดทั้งยังคงมีคุณลักษณะทางคุณภาพซึ่งเป็นที่ ต้องการของผู้บริโภค

    <DD>ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม บางครั้งผลผลิตทางการ เกษตร เช่น พืช ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์จะมีมากมายล้นตลาด ทำให้ เกษตรกรหรือผู้ค้าจะต้องรีบจำหน่ายในราคาถูก มิฉะนั้นจะต้องปล่อยทิ้ง ให้เน่าเสียไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น การถนอมอาหารจึงเป็นการยืดอายุ ผลิตผลทางการเกษตรเหล่านี้เพื่อไว้ใช้บริโภคในครัวเรือน หรือถ้ามีเป็น จำนวนมากก็จะสามารถจำหน่าย ทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี

    <DD>การถนอมอาหารระดับชาวบ้านกระทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น

    การถนอมอาหารโดยวิธีตากแห้ง<DD>
    การถนอมอาหารโดยวิธีตากแห้ง เป็นกระบวนการลดน้ำ หนักของอาหารทำให้อาหารมีน้ำหนักเบาขึ้น โดยใช้ตัวกลางทำหน้าที่ถ่ายเท ความร้อนจากบรรยากาศไปสู่อาหารที่มีความชื้นอยู่โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง แล้วรับ ความชื้นจากอาหารระเหยไปสู่บรรยากาศภายนอกอาหาร ทำให้อาหารมี ความชื้นลดลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดแห้งเป็นอาหารแห้ง โดยทั่ว ๆ ไปอากาศ จะมีบทบาทสำคัญ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายเทความร้อนและความ ชื้นดังกล่าว <DD>หลักเกณฑ์การถนอมอาหารตากแห้งคือ จะต้องลด ยับยั้ง และป้องกันปฏิกิริยาทางเคมีทั้งหลายและการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ทุกชนิด เพื่อให้ได้อาหารตากแห้งที่เก็บได้นาน ไม่บูดเน่าเพราะการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ หรือไม่มีสารเคมีตกค้างเนื่องจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างกรรมวิธี เตรียมการผลิต หรือระหว่างการเก็บ เช่น ผักหรือผลไม้ต้องลวกน้ำร้อนก่อน นำไปตากแห้ง เพื่อหยุดปฏิกิริยาเอนไซม์และลดปริมาณแบคทีเรียที่มีอยู่ เป็นต้น</DD>

    <DD>อาหารตากแห้งทำได้สองวิธีด้วยกันคือ <DD> <DD>1. ตากด้วยแสงแดด วิธีนี้เป็นวิธีที่เก่าแก่ที่สุด ทำกันมาตั้งแต่ สมัยโบราณและยังคงทำกันอยู่จนถึงปัจจุบัน เพราะว่าวิธีนี้เสียค่าใช้จ่ายน้อย ใช้อุปกรณ์น้อย และกรรมวิธีตากแห้งก็ง่าย จึงยังคงเป็นวิธีที่เหมาะสม สำหรับอุตสาหกรรมในครัวเรือนซึ่งปัจจุบันมีเตาอบพลังแสงอาทิตย์ ที่สะดวกและปลอดภัยจากการไต่ตอมของแมลงขณะตาก
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>

    <CENTER>ตู้อบแสงอาทิตย์ใช้ในครัวเรือน มาตราส่วน 1:20 </CENTER><DD><CENTER></CENTER>
    <DD>2. ตากด้วยเครื่องมือตากแห้ง เครื่องมือที่ใช้ในการตากแห้ง ชนิดต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้หลักการนำและการพาความร้อนในการตากแห้ง เช่น <DD>1. เครื่องมือตากแห้งแบบตู้อบลมร้อนไฟฟ้า (cabinet dryer) ใช้ หลักการพาความร้อนในการตากผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ให้แห้ง <DD>2. เครื่องระเหยแห้ง (spray dryer) ใช้หลักการพาความร้อนใน การตากอาหารพวกไข่ น้ำนมโค น้ำนมถั่วเหลือง เป็นต้น อาหารที่จะเข้า เครื่องมือจะอยู่ในสภาพของเหลวหรือคล้ายแป้งเปียก และได้อาหารตากแห้ง เป็นผงแห้ง มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 3 <DD>3. เครื่องมือตากแห้งแบบ Drum dryer ใช้หลักการนำความร้อน ในการตากแห้งอาหารพวกน้ำนม น้ำผัก กล้วย เป็นต้น อาหารที่จะป้อนเข้า เครื่องต้องเป็นพวกของเหลวหรือมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก <DD>4. เครื่องมือตากแห้งแบบ Freeze dryer ใช้หลักการนำความร้อน ในการตากอาหารที่อยู่ในลักษณะแช่แข็ง อาหารที่เหมาะในการตากคือ เนื้อแช่แข็ง ได้เนื้อแห้งที่ดี มีความหนาแน่นน้อยกว่าตากแห้งด้วยเครื่องตาก ชนิดอื่น กลิ่นและสีคล้ายธรรมชาติมาก คืนรูปเป็นเนื้อสดได้สมบูรณ์และเก็บ ได้นาน เพราะวิธีตากแห้งชนิดนี้ใช้อุณหภูมิต่ำในการตากความชื้นจาก อาหารจะกระจายไปสู่บรรยากาศโดยวิธีการระเหิด ไม่ใช้ระเหยแบบวิธีตาก ชนิดอื่น ๆ แต่วิธีนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตากแห้งสูงเป็น 4 เท่าของค่าใช้จ่ายในการตากโดยเครื่องมือตากแห้งชนิดอื่น

    <DD>คุณค่าทางอาหารของอาหารตากแห้งจะสูญเสียไปในระหว่างการ ตากแห้งบ้าง เช่น เนื้อตากแห้ง จะมีวิตามินน้อยกว่าเนื้อสดเล็กน้อย ส่วน โปรตีนนั้นขึ้นอยู่กับวิธีตากแห้ง <DD>อาหารตากแห้งมีน้ำหนักเบากว่าน้ำหนักอาหารสด ง่ายต่อการ ขนส่ง และอายุการเก็บนานขึ้น เพราะอาหารตากแห้งมีสารอาหารที่เข้มข้น ขึ้น ความชื้นต่ำกว่าอาหารสด อาหารตากแห้งแต่ละชนิดจะมีความชื้นจำกัด อยู่ในขอบเขต เช่น ผลไม้แห้งมีความชื้นร้อยละ 4 และเนื้อตากแห้งมีความ ชื้นอยู่ร้อยละ 4 เป็นต้น <DD>อาหารตากแห้งที่มีคุณภาพดีจะไม่มีราขึ้นบนผิวอาหาร ไม่มีน้ำตาล เกาะอาหาร เวลาคืนรูปเป็นอาหารสดใช้เวลาคืนรูปภายใน 20 นาที มีอัตรา ส่วนของความหวานต่อความเป็นกรดหรือที่เรียกว่าความอร่อยอยู่ในเกณฑ์ ที่กำหนดของมาตรฐานอาหารตากแห้งแต่ละชนิด ไม่มีปริมาณซัลเฟอร์ได- ออกไซด์หรือสารกันหืนเกินกว่าที่อนุญาตไว้ในกฎหมายอาหาร และต้องเป็น อาหารแห้งที่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคด้วย <DD>การถนอมอาหารตากแห้งต้องคำนึงถึงภาชนะที่ใช้เก็บรักษา อาหารแห้ง ซึ่งต้องเป็นภาชนะปิดสนิท เก็บไว้ในที่ไม่อับชื้น แต่เป็นที่เย็น เพื่อยืดอายุการเก็บ

    การถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาล <DD>ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการถนอมผลไม้โดยใช้น้ำตาลได้แก่ น้ำผลไม้เข้มข้น แยม เยลลี่ นมข้นหวาน และผลไม้แช่อิ่ม เป็นต้น อาหาร จำพวกนี้สามารถเก็บไว้ได้นานเนื่องจากแรงดันออสโมซีสของน้ำตาลสูง ทำให้สภาพของอาหารไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ของ จุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ และราบางชนิด

    <DD>น้ำลิ้นจี่ วัตถุดิบประกอบด้วย ลิ้นจี่ น้ำตาลทราย กรดผลไม้(กรดซิตริก) เกลือ สารป้องกันการเปลี่ยนสี (antioxidant) สารที่ทำให้ รสกลมกล่อม และสีแดงผสมอาหาร ลิ้นจี่ที่ใช้ควรเป็นลิ้นจี่ที่มีคุณภาพค่อนข้างต่ำ คือ ผลเล็ก เมล็ดใหญ่ เนื้อบาง รสไม่หวานจัด มีฝาดปน นำมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือก แกะเมล็ดออก

    การเตรียมน้ำหวานเข้มข้น <DD>น้ำหวานเข้มข้นที่ใช้ผสมกับลิ้นจี่สดนั้น ประกอบด้วย น้ำตาลทราย 69-74.04 ก. กรดผลไม้ 0.7-0.98 ก. เกลือ 0.35- 0.49 ก. สารป้องกันการเปลี่ยนสี 0.02-0.06 ก. สารที่ทำให้รสกลมกล่อม 1.00-2.04 ก. และน้ำ 25 ก. นำมาต้มให้เดือดจนละลายหมด กรอง ผงและสิ่งไม่ละลายออก
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><DD><CENTER> </CENTER>
    การเตรียมน้ำหวานลิ้นจี่เข้มข้น
    <DD>นำลิ้นจี่สดที่เตรียมไว้ 20-30 ก. มาต้มกับน้ำหวานเข้มข้น 100 ก. ให้เดือด แล้วบดในเครื่องมือซึ่งแยกน้ำหวานลิ้นจี่ออกจากกากให้ หมด แล้วนำน้ำหวานลิ้นจี่เข้มข้นนั้นต้มให้เดือดอีกครั้ง เคี่ยวนาน 1 นาที บรรจุในขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์แล้ว เก็บรักษาไว้ในตู้เย็นเพื่อผสมทำ น้ำลิ้นจี่ต่อไป

    การเตรียมน้ำลิ้นจี่
    <DD>นำน้ำหวานลิ้นจี่เข้มข้น 1 ส่วน มาเติมน้ำ 4-4.5 ส่วน และ สารต่าง ๆ เพื่อปรุงแต่งรสได้แก่ กรดผลไม้ร้อยละ 0-0.033 สีแดงร้อยละ .020-.036 ให้เหมาะสมกับความนิยม นำมาบรรจุขวดเครื่องดื่มปิดฝา ซึ่งทั้งขวดและฝาได้รับการชะล้างให้สะอาดและอบไอน้ำมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ชม. แล้วจึงผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อจุลินทรีย์อีกครั้งหนึ่ง โดยนึ่งในหม้อนึ่งที่ ความดัน 5 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 3 นาที แล้วปล่อยให้เย็นที่ อุณหภูมิห้อง
    <DD>น้ำกระเจี๊ยบ วัตถุดิบประกอบด้วย กลีบหุ้มผลกระเจี๊ยบแดงสด น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำมะนาว กรดผลไม้ (กรดซิตริก) สีแดงสำหรับปรุง แต่งอาหาร <DD>นำกลีบกระเจี๊ยบที่ล้างน้ำให้สะอาดและใส่ตะแกรงเพื่อให้สะเด็ด น้ำมาต้มกับน้ำประมาณ 4 เท่าตัวด้วยไฟอ่อน ๆ จนเดือด เคี่ยวต่อไปประ- มาณ 15-20 นาที แล้วจึงกรองเพื่อแยกเอากากออก บรรจุขวดและเก็บไว้ ในตู้เย็น <DD>ต้มน้ำตาลทรายประมาณ 6 ส่วนกับน้ำ 2 ส่วน น้ำมะนาวหรือกรด ผลไม้เล็กน้อยให้เดือดจนน้ำตาลละลายหมด แล้วกรองเพื่อแยกเอาสิ่งที่ไม่ ละลายออก <DD>นำน้ำกระเจี๊ยบแดง 1 ส่วนผสมกับน้ำเชื่อมข้น 1.8-2 ส่วน เติม เกลือ น้ำมะนาวหรือกรดผลไม้ และสีแดงเล็กน้อย น้ำหวานกระเจี๊ยบข้นนี้ เมื่อนำมาบรรจุขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์แล้วสามารถเก็บไว้ได้เป็นแรมปี <DD>เมื่อต้องการดื่มให้ผสมน้ำหวานกระเจี๊ยบชนิดข้น 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน หรือน้ำโซดาหรือน้ำผลไม้ชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว และน้ำ สับปะรด ซึ่งจะทำให้ชุ่มคอแก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี น้ำหวานกระเจี๊ยบ ชนิดข้นนี้ยังใช้ทาขนมปัง โรยหน้าไอศกรีม ฯลฯ ได้อีกด้วย
    <DD>ผลไม้แช่อิ่ม การแช่อิ่มคือการทำให้ผลไม้มีความหวานเพิ่มขึ้นที ละน้อย โดยการแช่ในน้ำเชื่อม จนมีความหวานจัดโดยมีปริมาณน้ำตาลสูง กว่าร้อยละ 65 แล้วนำไปทำให้แห้ง จะสามารถเก็บผลไม้นั้นได้เป็นเวลานาน <CENTER>[​IMG]</CENTER><DD><CENTER> </CENTER>
    <DD>การเตรียมผลไม้ ใช้ผลไม้ค่อนข้างดิบ เพราะผลไม้ที่สุกหรือสุก มากเกินไปจะเละ อาจใช้ผลไม้กระป๋องหรือผลไม้แช่แข็งก็ได้ ผลไม้ที่เหมาะ- สมคือ ผลไม้ที่มีกลิ่นรสแรง เช่น สับปะรด ขิง มะละกอ มะม่วง มะเขือเทศ ฯลฯ <DD>ล้างผลไม้ให้สะอาด ปอกเปลือกออกหั่นเป็นชิ้นตามต้องการ ผลไม้ ที่ใช้ทั้งเปลือก เช่น มะเขือเทศ ใช้กรดเกลือเจือจางร้อยละ 0.1 ล้างให้สะอาด เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่อาจติดมา หลังจากนั้นนำผลไม้มาแช่ในน้ำด่างคือน้ำ ปูนใส หรือสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ที่มีความเข้มข้นร้อยละ 0.5 นาน ประมาณ 20 นาที เพื่อทำให้ผลไม้แช่อิ่มกรอบ แล้วจึงนำมาล้างน้ำสะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ <DD>สำหรับผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจัดหรือมีรสขม เช่น ขิง มะม่วง ควรแช่ใน น้ำเกลือความเข้มข้นร้อยละ 15 จากนั้นนำมาล้างน้ำเกลือด้วยน้ำเปล่าหลาย ๆ ครั้ง แล้วต้มประมาณ 15 นาที เพื่อละลายเกลือที่เหลืออยู่ จะทำให้ ผลไม้อ่อนตัวขึ้น จากนั้นแช่ให้เย็นต่ออีก 12 ชม. เปลี่ยนน้ำ 4-5 ครั้ง วิธี การนี้จะล้างน้ำเกลือออกจนหมด และทำให้ผลไม้มีเนื้อแน่นขึ้น <DD>ลวกผลไม้ ในระยะเวลาสั้น ๆ หรือต้มในน้ำเชื่อมที่มีความหวาน น้อย ๆ เพื่อทำให้ผลไม้อิ่มและดูดน้ำเชื่อมได้ดี ถ้าใช้น้ำเชื่อมที่มีความเข้ม ข้นสูง ทำให้ผลไม้หดตัวหรือแข็งกระด้าง สำหรับผลไม้เนื้อนิ่ม มีน้ำมาก อาจใช้น้ำเชื่อมที่ความเข้มข้นสูงได้ เพราะน้ำในผลไม้จะออกมาทำให้ความ หวานของผลไม้ลดลง

    การแช่น้ำเชื่อม <DD>1. ใช้น้ำตาลทราย 3 ส่วนผสมกับน้ำตาลกลูโคส 1 ส่วน ทำน้ำ เชื่อมที่มีความเข้มข้นประมาณร้อยละ 30 (ถ้าใช้น้ำตาลทรายอย่างเดียวจะ ทำให้เกิดการตกผลึกได้ง่าย) <DD>2. ต้มผลไม้ที่เตรียมไว้แล้วในน้ำเชื่อมประมาณ 2 นาที ทิ้งไว้ให้ เย็น ถ่ายใส่ขวดโหล สำหรับผลไม้ที่มีเนื้อนิ่ม ไม่จำเป็นต้องต้มในน้ำเชื่อม บรรจุผลไม้ในขวดโหลแล้วเติมน้ำเชื่อมให้ท่วมผลไม้นั้น ปิดทับด้านบนด้วย ถุงพลาสติกบรรจุน้ำให้ผลไม้จมอยู่ในน้ำเชื่อม ทิ้งไว้ค้างคืน <DD>3. รุ่งขึ้นความหวานของน้ำเชื่อมจะลดลง เพราะถูกผลไม้ดูดไว้ นำผลไม้มาผึ่งไว้ <DD>4. นำน้ำเชื่อมมาเติมน้ำตาลให้มีความหวานเป็นร้อยละ 40 น้ำตาลที่เติมนี้เป็นน้ำตาลทราย 1 ส่วน และน้ำตาลกลูโคส 1 ส่วน ต้มน้ำ เชื่อมจนเดือด และกรองให้สะอาด ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น <DD>5. เทกลับลงบนผลไม้ที่วางเรียงไว้ในขวดโหล วางทับด้วยถุง พลาสติกบรรจุน้ำ <DD>6. ควรทำเพิ่มความหวานทุกวัน ๆ ละร้อยละ 10 จนความหวานของน้ำเชื่อมเป็นร้อยละ 60 หลังจากนั้นเพิ่มความหวานวันเว้นวัน ครั้งละ 5 บริกซ์ (เป็นหน่วยที่ใช้วัดปริมาณของสารที่ละลายได้ (Total Soluble Solids) เช่น ความหวาน 5 บริกซ์ หมายถึง อัตราส่วนโดยประมาณระหว่าง น้ำตาล 5 ส่วนและน้ำ 95 ส่วน) จนให้ความหวานของน้ำเชื่อมประมาณ 65-680 บริกซ์ แล้วจึงนำผลไม้มาผึ่งบนตะแกรง ทุกครั้งที่เปลี่ยนความ หวานจะต้องตรวจสอบน้ำเชื่อม ถ้าน้ำตาลกลูโคสเกิดขึ้นน้อยไป ต้องเติม กรดอีก หรือต้มให้นานขึ้น

    การทำให้แห้ง <DD>1. ล้างน้ำเชื่อมที่ติดอยู่ที่ผิวของผลไม้ โดยห่อด้วยผ้าขาวบาง จุ่ม ในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือด ความเข้มข้น 200 บริกซ์ เติมโพแทสเซียมซอร์เนต ประมาณร้อยละ 0.03 เพื่อป้องกันผลไม้ขึ้นรา <DD>2. นำผลไม้ผึ่งบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ อบที่อุณหภูมิ 1200 ฟ. ประมาณ 8-10 ชม. หรือผึ่งแดด 1-2 วัน จะได้ผลไม้แช่อิ่มแห้งที่มีลักษณะ โปร่งใส

    การถนอมอาหารโดยการดอง <DD>การถนอมอาหารโดยการดองเป็นการถนอมอาหารแบบ หนึ่ง ใช้ความเข้มข้นของเกลือ น้ำส้ม และน้ำตาลควบคุมการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ โดยการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เพื่อการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแล็กติก และป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารบูดเน่า เจริญเติบโต การถนอมอาหารชนิดนี้ได้แก่ การดองผัก ผลไม้ เป็นต้น

    หลักในการดองผักและผลไม้ <DD>การดองมีหลายแบบ เช่น ดองเปรี้ยว ดองเค็ม ดองหวาน และการดองเปรี้ยวเค็มหวาน 3 รส การดองเปรี้ยวมี 2 แบบ ได้แก่การดอง น้ำส้ม และการดองน้ำเกลือแบบเจือจาง ซึ่งรสเปรี้ยวจะมาจากกรดแล็กติก ที่ได้จากการหมัก ส่วนการดองเค็มมี 2 แบบเช่นกัน โดยการให้น้ำเกลือและ การดองแบบแห้งคือหมักด้วยเกลือ

    การเตรียมผักและผลไม้ <DD>ต้องเลือกผักและผลไม้ที่คุณภาพดี สะอาด สด ไม่เน่าช้ำ หรือมีแมลง ผักที่จะหมักเกลือต้องผึ่งแดดให้เหี่ยวเสียก่อน ให้น้ำระเหยไป บ้าง ก่อนดองต้องแช่ผักในน้ำปูนใสหรือแคลเซียมคลอไรด์ เพราะแคลเซียม จากน้ำปูนใส หรือแคลเซียมคลอไรด์จะรวมตัวกับกรดเพ็กติกในผักหรือ ผลไม้ ได้เกลือแคลเซียมเพ็กเตต ซึ่งไม่ละลายน้ำ ทำให้ผักและผลไม้คงรูป และมีลักษณะกรอบ

    เกลือ <DD>เกลือที่ใช้ต้องสะอาด เกลือให้รสชาติและช่วยควบคุมการ เติบโตของจุลินทรีย์ในการดองผัก ความเข้มข้นของเกลือจะช่วยให้เกิดการ หมักหรือเกิดกรด การดองโดยใช้น้ำเกลือแบบเจือจาง ปกติจะใส่เกลือร้อย-ละ 2.5-5 ของน้ำหนักผัก น้ำจะถูกดึงออกจากผักด้วยแรงดันออสโมซิส มาละลายเกลือก็จะได้น้ำเกลือ วิธีนี้เหมาะสำหรับผักและผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดเขียว หัวผักกาดขาว เป็นต้น ถ้าดองด้วยน้ำเกลือเข้มข้นสูง จะใช้ความเข้มข้นของเกลือประมาณร้อยละ 15-20 การดองวิธีนี้จะ ใช้ในกรณีที่ดองเค็มและต้องการเก็บไว้นาน

    น้ำตาล <DD>ในตอนแรกน้ำเกลือบริสุทธิ์ ไม่มีอาหารสำหรับจุลินทรีย์ แต่เมื่อน้ำซึมออกจากอาหารด้วยแรงดันออสโมซีส ก็จะดึงเอาน้ำตาลและอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในผักและผลไม้ออกมา จุลินทรีย์จึงเติบโตได้ เพื่อให้แน่ใจว่าจุลินทรีย์มีอาหาร ในการดองเปรี้ยว นิยมเติมน้ำตาลลงไปเล็กน้อยหรืออาจเติมน้ำมะพร้าว หรือน้ำซาวข้าวลงไป แทนก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าใส่น้ำตาลมากเกินไป ก็จะไม่เกิดการหมัก เพราะ จุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตในสารละลายที่มีน้ำตาลเข้มข้นได้

    น้ำส้มสายชู <DD>การเติมน้ำส้มสายชูจะได้รสเปรี้ยวที่ต่างไปจากกรด แล็กติก ผักดองมีกรดแล็กติกและกรดอะซิติก ซึ่งมีผู้นิยมว่าอร่อยกว่าที่มี กรดแล็กติกเพียงอย่างเดียว

    น้ำ <DD>การเติมน้ำสำหรับดองมีหลายแบบ อาจต้มผักและผลไม้ที่ ค่อนข้างแข็งในน้ำสำหรับดองเพื่อให้อ่อนนุ่ม หรือเทน้ำสำหรับดองในขณะ ที่ยังร้อนหรือที่เย็นลงไปบนผักหรือผลไม้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดจะต้องให้น้ำที่ใช้ ดองท่วมอาหาร มิฉะนั้นส่วนที่อยู่เหนือน้ำจะเสียและมีลักษณะเป็นเมือกลื่น ถ้าอาหารที่ดองลอยต้องหาของหนักทับให้จมน้ำ เนื่องจากน้ำดองมีกรดผสม อยู่ด้วยจึงไม่ควรใช้ภาชนะเหล็ก ดีบุก ทองเหลือง และทองแดง สำหรับดอง ควรใช้หม้อเคลือบ หรือภาชนะเหล็กที่ไม่เป็นสนิม (stainless) แก้ว หรือ เครื่องปั้นดินเผา

    อุณหภูมิ <DD>อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการดองเปรี้ยวที่เกิดกรด แล็กติกอยู่ระหว่าง 20-240 ซ. ถ้าสูงหรือต่ำกว่านี้มาก จุลินทรีย์กลุ่มแล็กติก จะเติบโตช้าเกินไป เกิดกรดน้อย ทำให้อาหารดองมีกลิ่นรสผิดปกติ จะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำ

    เครื่องปรุงแต่ง <DD>ในการดอง อาจจะเติมเครื่องปรุงแต่งพวกเครื่องเทศ เช่น พริกไทย อบเชย กระวาน กานพลู มัสตาด ฯลฯ สารเหล่านี้ช่วยป้องกันการ เจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการดอง จะมีรสชาติแปลกและอร่อย ใช้ ทำอาหารอย่างอื่นต่อไปหรือทำเป็นเครื่องเคียงรับประทานกับอาหารที่รส จัดแก้เลี่ยนได้ ทำไว้รับประทานภายในครอบครัว ช่วยประหยัดรายจ่าย ถ้าทำมากและมีรสชาติน่ารับประทานจะนำไปขายกลายเป็นอุตสาหกรรม ภายในครอบครัว ช่วยเพิ่มพูนรายได้ของครอบครัวได้

    มะละกอดอง
    1. มะละกอดองน้ำส้ม <DD>ส่วนประกอบ <DD>มะละกอดิบ 1,000 กรัม <DD>น้ำส้มสายชู 750 มิลลิลิตร (3 ถ้วยตวง) <DD>น้ำตาลทรายขาว 650 กรัม (3 ถ้วยตวง) <DD>เกลือป่น 60 กรัม (6 ช้อนโต๊ะ)

    <DD>กรรมวิธี <DD>1. ล้างมะละกอให้สะอาด ปอกเปลือก แคะเมล็ดออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นขนาดตามต้องการ <DD>2. ลวกน้ำเดือดนาน 1 นาที ยกขึ้นให้สะเด็ดน้ำ บรรจุขวด ที่สะอาด <DD>3. ทำน้ำส้มผสม โดยผสมน้ำตาลทรายขาว เกลือและน้ำ- ส้มสายชู ตั้งไฟให้เดือด แล้วนำมากรอง <DD>4. เทน้ำส้มผสมขณะร้อนลงในขวดที่บรรจุมะละกอ ปิดฝา เก็บไว้ 2-7 วัน รับประทานได้

    2. มะละกอดองน้ำปลาหรือซีอิ๊ว
    <DD>ส่วนประกอบ <DD>มะละกอดิบ 1,000 กรัม <DD>น้ำปลาหรือน้ำซีอิ๊วอย่างดี 250 มิลลิลิตร (1 ถ้วยตวง) <DD>น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม (8 ช้อนโต๊ะ) <DD>น้ำส้มสายชู 45 มิลลิลิตร (3 ช้อนโต๊ะ) <DD>น้ำ 250 มิลลิลิตร (1 ถ้วยตวง)

    <DD>กรรมวิธี <DD>1. เตรียมมะละกอใส่ขวดเช่นเดียวกับดองน้ำส้ม <DD>2. ทำน้ำปลาหรือน้ำซีอิ๊วผสม โดยต้มน้ำตาลทราย น้ำ น้ำปลา หรือน้ำซีอิ๊วให้เดือดแล้วกรอง <DD>3. เทน้ำปลาหรือน้ำซีอิ๊วผสมขณะร้อนลงในขวดที่บรรจุ มะละกอที่เตรียมไว้ ปิดฝาเก็บไว้ 2-7 วัน รับประทานได้ </DD></TD></TR></TBODY></TABLE><!--Address Bar --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <HR color=#cc3366 SIZE=1>สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
    เทคโนธานี ถ.เลียบคลองห้า ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 ประเทศไทย
    โทรศัพท์ 0-2577-9000
    โทรสาร 0-2577-9009
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>

    <DD>
    "ยา" ปัจจัยหนึ่งของการดำรงชีวิต ถ้าใช้ยาผิดชีวิตจะเป็นอันตราย ทุกคนจึงควรมีความรู้เรื่องยาที่เราใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติให้ชีวิตปลอดภัย ยาที่ผู้บริโภคใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวันได้แก่ยาต่อไปนี้

    <DD>
    ก. ยาสามัญประจำบ้าน ​
    <DD>
    ข. ยาปฏิชีวนะ ​
    <DD>
    ค. ยาพวกซัลฟา

    <DD>
    สำหรับในฉบับนี้ จะกล่าวถึง ยาสามัญประจำบ้าน ​
    <DD>

    <CENTER><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="75%"><TBODY><TR bgColor=#f3dea5>
    <TH>[SIZE=+2]ก. ยาสามัญประจำบ้าน[/SIZE]
    <TR><TD><DD>
    ยาสามัญประจำบ้านเป็นยาซึ่งใช้บำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มีประสิทธิภาพดี และปลอดภัยในการใช้ เป็นยาที่ควรมีไว้ประจำตู้ยาในบ้าน ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ระบุยาที่จัดเป็นยาสามัญประจำบ้านไว้ด้วยกัน 70 รายการ ​
    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาธาตุน้ำแดง เป็นยาน้ำมีสรรพคุณแก้อาการปวดท้องเนื่องจากจุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ และช่วยเจริญอาหาร ยาธาตุน้ำแดงผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นเด็กลดลงตามส่วน ถ้าใช้ยาไปได้ระยะหนึ่งอาการไม่ทุเลา ควรไปปรึกษาแพทย์

    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ยาลดกรด เป็นยาเม็ดใช้แก้อาการจุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อเรอเปรี้ยว เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร การใช้ยาต้องเคี้ยวก่อนกลืน ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3-4 ครั้งก่อนหรือหลังอาหารเมื่อมีอาการ เด็กลดลงตามส่วน

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาอาลูมินา-แม็กนีเซีย มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ ใช้แก้อาการจุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อเรอเปรี้ยว เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร เป็นยาที่รับประทานทั้งก่อนหรือหลังอาหาร และเมื่อมีอาการ ขนาดที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่ ถ้าเป็นยาเม็ดรับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง โดยต้องเคี้ยวยาก่อนกลืน ถ้าเป็นยาชนิดน้ำก็รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้งเช่นกัน โดยต้องเขย่าขวดก่อนใช้ยา ส่วนขนาดที่ใช้ในเด็กทั้งยาชนิดเม็ดและชนิดน้ำก็ให้ลดลงตามส่วน ในกรณีใช้ยาไปแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์

    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ยาเม็ดโซดามินท์ เป็นยาเม็ดใช้แก้อาการจุกเสียด ท้องขึ้น ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2-6 เม็ด ถ้าเป็นเด็กลดลงตามส่วน ในกรณีที่ใช้ยาไปแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    เหล้าสะระแหน่ เป็นยาน้ำที่มีอัลกอฮอล์ผสมอยู่ ใช้แก้อาการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อจุกเสียด ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 5-30 หยด เจือน้ำพอควรวันละ 3 ครั้ง ในเด็กให้ลดลงตามส่วน

    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ทิงเจอร์มหาหิงค์ เป็นยาน้ำที่มีอัลกอฮอล์ผสมอยู่ ใช้สำหรับเด็กที่มีอาการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ โดยใช้สำลีชุบยาทาบาง ๆ ที่หน้าท้อง วันละ 2-3 ครั้ง ยานี้เป็นยาใช้ภายนอก ห้ามรับประทาน

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาเม็ดธาลิลซัลฟาไทอาโซล เป็นยาเม็ดใช้แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูก ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 3-4 เม็ด ต่อไปครั้งละ 2 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง ขนาดที่ใช้ในเด็กอายุ 1-3 ขวบ ครั้งละครึ่งเม็ดทุก 4 ชั่วโมง อายุ 3-6 ขวบ ครั้งละ 1 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง และอายุ 6-12 ขวบ ครั้งละ 1-2 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง

    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ทิงเจอร์ฝิ่นการบูร เป็นยาน้ำใช้แก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา เจือน้ำพอควร แต่ในคนชราและเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ห้ามใช้ยานี้

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาแก้ท้องเสียคาโอลิน เป็นยาน้ำ ใช้แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าเป็นเด็กลดลงตามส่วน ก่อนใช้ยาต้องเขย่าขวดเสียก่อนทุกครั้ง ​
    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ยาระบายพารัฟฟิน เป็นยาน้ำ ใช้แก้อาการท้องผูกและระบายท้อง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ​
    <DD>
    ก่อนนอนหรือตื่นนอนเช้า ถ้าเป็นเด็กลดลงตามส่วน ก่อนใช้ยาต้องเขย่าขวดก่อน ในกรณีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือคลื่นไส้อาเจียน ห้ามใช้ยานี้

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาระบายแมกนีเซีย เป็นยาน้ำแก้อาการท้องผูก ระบายท้อง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอนหรือตื่นนอนเช้า ถ้าเป็นเด็กลดลงตามส่วน ก่อนใช้ยาต้องเขย่าขวดก่อน ในกรณีมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือคลื่นไส้ อาเจียน ห้ามใช้ยานี้

    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ดีเกลือ มีลักษณะเป็นยาผง ใช้ถ่ายท้อง และแก้อาการท้องผูก ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละครึ่งถึง 1 ห่อ ละลายด้วยน้ำร้อน แล้วดื่มน้ำสุกที่อุ่น ๆ ให้มาก ๆ ถ้าเป็นเด็กให้ใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ ผู้ที่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือคลื่นไส้อาเจียน ห้ามใช้ยานี้

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาถ่ายพยาธิพิเพอราซิน เป็นยาน้ำ ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือนและพยาธิเส้นด้าย ถ้าเป็นการถ่ายพยาธิไส้เดือนในผู้ใหญ่หรือเด็กที่มีน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัมขึ้นไป ให้รับประทาน 2 ช้อนโต๊ะ ในเด็กที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 20 กิโลกรัม รับประทาน 5 ช้อนชา การใช้ยาให้รับประทานก่อนอาหารเย็นครั้งเดียว ส่วนการถ่ายพยาธิเส้นด้าย ให้รับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน โดยในเด็กอายุ 9 เดือน - 2 ขวบ ครั้งละครึ่งช้อนชาเวลาเช้า เย็น เด็กอายุ 2-4 ขวบ ครั้งละครึ่งช้อนชา เวลาเช้า กลางวัน เย็น เด็กอายุ 6-12 ขวบ และผู้ใหญ่ครั้งละ 2 ช้อนชา เวลาเช้า เย็น ในกรณีที่ใช้ยาแล้วท้องผูก ควรรับประทานยาถ่าย ซึ่งเข้าดีเกลือก่อนอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น

    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ยาหยอดตา ถ้าท่านมีอาการตาแดง ตาอักเสบหรือตาเจ็บแล้ว อย่าใช้มือขยี้ที่ตาเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เป็นมากขึ้นอีก ควรพักผ่อนแล้วใช้ยาหยอดตาซัลฟาเซตาไมด์ ซึ่งจัดเป็นยาสามัญประจำบ้านเช่นกัน ใช้หยอดตาครั้งละ 1-2 หยด วันละ 3-4 ครั้ง คำเตือนคือ อย่าให้ยานี้ถูกแสงแดด ห้ามใช้เมื่อยาเปลี่ยนสี ขุ่น หรือมีตะกอน และหากใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยารักษากลากเกลื้อน กลากหรือเกลื้อนเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง อาการที่เกิดขึ้นเป็นวงสีขาว ๆ ที่ผิวหนังและคัน กลากหรือเกลื้อนเกิดจากเชื้อรา วิธีการรักษาคือ การกระทำความสะอาดผิวหนังและทาด้วยยารักษากลากเกลื้อนวิททิลด์ ใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 2-3 ครั้ง ถ้าทาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรจะไปพบแพทย์ ​
    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ยาทาแก้ผดผื่นคัน เมื่อมีอาการผดผื่นคันขึ้นที่ผิวหนัง ควรปฏิบัติง่าย ๆ คือ การทำความสะอาดร่างกาย แล้วทายาด้วยยาทาแก้ผดผื่นคันคาลาไมน์โลชั่น ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน จะช่วยบรรเทาอาการได้

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาเม็ดแอสไพริน เป็นยาบรรเทาปวดลดไข้ตัวหนึ่งที่ใช้ได้ผลดี ข้อแนะนำ เมื่อจะกินยาแอสไพรินให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ การใช้ยาแอสไพรินควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ และยาแอสไพรินนี้ห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ

    </DD><TR bgColor=#ddf2fb><TD><DD>
    ยาเม็ดพาราเซตามอล เป็นยาบรรเทาปวดลดไข้ตัวหนึ่งที่ใช้ได้ผลดี และสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ราคาไม่แพง ขนาดของยาคือ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดรับประทานของเด็กลดลงตามส่วน แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า เมื่อรับประทานยาบรรเทาปวดลดไข้แล้วอาการปวดหรือมีไข้ไม่หายไปให้รีบไปพบแพทย์จะปลอดภัยที่สุด ​
    <DD>
    เมื่อท่านมีอาการไอ ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อลดการระคายเคืองลำคอ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไอ ถ้าเป็นการไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะแล้วอาจใช้ยาแก้ไอน้ำดำ ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านช่วยแก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ และควรเขย่าขวดก่อนใช้ยาทุกครั้ง ​
    <DD>
    เมื่อท่านมีอาการไอ มีเสมหะหรือเสลดเหนียวติดที่คอ ควรดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้อาการไอลดลงได้ และอาจเลือกใช้ยาสามัญประจำบ้านเป็นยาขับเสมหะ หรือคอมเปานด์ แอมโมเนีย คาร์บอเนตไซรัป ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ และควรเขย่าขวดก่อนใช้ยาทุกครั้ง

    </DD><TR bgColor=#edfdc9><TD><DD>
    ยาใส่แผลสด ยาใส่แผลที่พวกเรารู้จักกันดี เช่น ยาแดง ยาเหลือง ทิงเจอร์ไอโอดีน เป็นต้น นอกจากนี้ขอแนะนำ ยาใส่แผลที่มีคุณภาพสูงและราคาถูกควรมีไว้ประจำตู้ยาในบ้านคือ ยาใส่แผลสดไทเมอโรซอล หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เมอร์ไทโอเลต ทิงเจอร์ ซึ่งอาจจะไม่คุ้นหู และออกจะเรียกยาสักหน่อย แต่ก็เป็นยาใส่แผลสดที่นิยมใช้กันมากในวงการแพทย์ ​
    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ที่มา http://www.ku.ac.th/e-magazine/august44/know/medicine1.html
    </DD>
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ยาและอุปกรณ์ประจำบ้าน

    การเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลรักษาตนเองนั้นจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ถูกต้องและเพียงพอด้วย ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลา ประหยัดเงิน และช่วยขจัดความกังวลใจได้ ทั้งยังช่วยให้เรามีทางออกในการแก้ปัญหาโดยไม่ต้องรับไปร้านขายยา หรือพบแพทย์ทุกครั้งที่รู้สึกไม่สบาย และที่ดีที่สุดคือเราจะสบายใจได้ว่าเราพร้อมอยู่เสมอ ควรเก็บชุดเครื่องมือไว้ในที่แห้ง หยิบใช้ได้สะดวก และให้พ้นจากมือเด็ก

    อ่านฉลากยา
    ยาทุกชนิดแม้แต่ยาสามัญประจำบ้านอาจมีฤทธิ์รุนแรงได้ จึงต้องอ่านฉลากยาอย่างละเอียดทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำโดยเคร่งครัด อย่าลืมนำยาที่หมดอายุแล้วทิ้งไป อย่ารับประทานยาที่ไม่มีฉลากยาติดไว้ และหลีกเลี่ยง การรับประทานยาหลายชนิดร่วมกันต้องจำไว้ว่า ไม่มียาชนิดใดชนิดหนึ่งที่จะใช้รักษาความเจ็บป่วยทุกอย่างได้ และหากสามารถรักษาได้ โดยไม่ต้องใช้ยาเลยจะดีกว่า แต่เมื่อจำเป็นต้องใช้ยา ก็ควรที่จะเลือกใช้อย่างปลอดภัย
    [​IMG]
    ในการจัดชุดเครื่องมือในตู้ยานั้น หากไม่แน่ใจว่าเรามีอุปกรณ์ยา และเครื่องมือที่จำเป็นครบหรือไม่ ลองพิจารณารายการข้างล่างนี้เพื่อช่วยในการจัดชุดเครื่องมือ และปรึกษาเภสัชกรถึงชื่อสามัญของยา เพื่อที่จะเลือกซื้อยาได้ตามความต้องการ

    <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    ยา
    </TD></TR><TR><TD width="48%">1. ยาบรรเทาอาการระคายคอหรือยากลั้วคอ</TD><TD width="52%">เจ็บระคายคอ</TD></TR><TR><TD>2. ยาลดกรด</TD><TD>อาหารไม่ย่อย/เรอเปรี้ยว</TD></TR><TR><TD>3. ยาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งหรือครีม</TD><TD>บาดแผลเล็กน้อย</TD></TR><TR><TD>4. ยารักษาเชื้อรา</TD><TD>การอักเสบจากเชื้อรา เช่น ฮ่องกงฟุต</TD></TR><TR><TD>5. ยาแก้แพ้</TD><TD>อาการแพ้</TD></TR><TR><TD>6. ยาแก้เมารถเมาเรือ</TD><TD>อาการเมารถเมาเรือ</TD></TR><TR><TD>7. แอสไพริน/อเซตามิโนเฟน/ไอบูโพรเฟน</TD><TD>เป็นไข้ ปวดศรีษะ อาการปวดเล็กๆน้อยๆ</TD></TR><TR><TD>8. น้ำยา Burow
     
  6. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    ดีเลยครับ ผมพอทำได้ครับ แต่ว่ารูปการต่อวงจรยังไม่ครบมีบางช่วงหายไป แล้วก็ยังไม่ค่อยชัด ต้องให้คุณ JONGKON SIRISIN เอารูปการต่อวงจรที่ชัดเจน100% เดี๋ยวผมจะทดลองทำดูครับ นานๆผมมาทีนึงนะครับ ช่วงนี้ต้องตามหาที่ฝึกงานครับ
    ส่งข้อมูลต่างๆมาที่เมลล์ผมก็ได้ครับ ที่ขยายขนาดแล้วก็ชัดเจนก็จะดีมากเลยครับ
    ขอบคุณคุณพี่ เกษม มากๆครับที่นำข้อมูลจากคุณ JONGKON SIRISIN มาให้ครับ บางทีผมไม่ค่อยมีเวลาว่างมานั่งอ่านครับเยอะมาก ตาลายครับ
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เตาผิงไฟแบบยุโรป

    [​IMG]

    ผมไปเจอรูปเตาผิงไฟแบบยุโรป เลยทำให้นึกถึงเรื่องฤดูหนาวนิวเคลียร์ที่อุณหภูมิอาจจะติดลบ 10-20 องศา ก็เลยนำภาพมาให้ดูพอเป็นไอเดีย ว่าอาจจะเป็นประโยชน์ถ้าได้นำมาดัดแปลงใช้กับบ้านเราบ้าง อาจทำเป็นเตาผิงไฟแบบเล็กๆ เพื่อสร้างความอบอุ่นในที่หลบภัยแบบในหนัง The day affter tomorrow ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน แต่อย่าลืมสร้างปล่องระบายควันเอาไว้ด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นเราอาจกลายเป็นไส้กรอกรมควันไปโดยไม่รู้ตัว

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    เรื่องอิฐน่าสนใจมั่กๆ เลยคุณพี่ น่าจะมาลองทำกันน่ะ
     
  9. thavornsiripat

    thavornsiripat สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มี เป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    2,069
    ค่าพลัง:
    +13,915
    ิอิฐประสานน่าจะแข็งแรงกว่าอิฐดินนะครับ



    จากข้อมูลอิฐประสานน่าจะแข็งแรงกว่าอิฐดินเนื่องจากได้รับการอัดแน่นด้วยไฮโดรลิค แต่อิฐดินใช้แรงงานคนเทลงแบบ แล้วตากแดดรอแห้งเท่านั้นครับ (b-oneeye)
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    พูดถึงเรื่องอิฐ เมื่อวันก่อนไปทานอาหารกับที่บริษัท ก็คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ เผอิญบอสเล่าให้ฟังว่า ในหมู่บ้านบอสที่อังกฤษ บ้านที่เก่าที่สุดปลูกในปี คศ 15xx จำไม่ได้แล้ว แต่ประมาณ 500 ปีมาแล้ว ก็เลยเทียบประวัติดู โห สมัยเก่ามากๆ เลยถามว่า คนอังกฤษมีวิธีอย่างไรที่จะปลูกบ้านแล้วอยู่ได้นานเป็นร้อยๆ ปี (ที่อังกฤษจะไม่รื้อบ้านเก่าทิ้ง จะเก็บไว้อย่างนั้นแล้วบำรุงรักษาแทน)

    บอสบอกว่า ที่หมู่บ้านเวลาปลูกบ้านจะทำอิฐเอง แล้วอิฐที่ทำจะแข็งมากๆ แต่บอสไม่รู้ว่าผสมอะไรที่ทำให้อิฐแข็ง (แป่วมาก)
     
  11. JONGKON SIRISIN

    JONGKON SIRISIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +360
    คุณ golf208 บอกที่อยู่อีเมล์มาเลยครับ ผมจะส่งให้ ผมดีใจที่มีคนสนใจ
    ยินดีมากหากได้เป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่น แม้เพียงเล็กน้อย
    ติดต่อผมได้ที่ tomsomkai@hotmail.com
     
  12. ตลับนาค

    ตลับนาค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1,497
    ข้างล่างเป็น snap shot ของข้อมูลทั้งหมดใน Wikia ปัจจุบันครับ
    http://scratchpad.wikia.com/wiki/Palungjit

    สถิติปัจจุบัน:
    - จำนวนหน้าเพจที่มีข้อมูล: 202
    - ขนาดข้อมูลทั้งหมด: 10Mb ( เนื้อหา: 1Mb, รูปภาพ 9Mb )

    กว่าจะเอาไปเขียนลงซีดีได้จริงๆคงจะต้องมีการ เพิ่มเติม แก้ไข และตรวจสอบ
    กันอีกพักนึง

    ผมไม่ค่อยชำนาญทางเนื้อหา แต่คงจะช่วยทำ snapshot มาให้ได้ บ้าง
    ส่วนตัวเนื้อความคงต้องส่งต่อทางทีมงานวิกิแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2007
  13. ksuchet

    ksuchet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +6,060
    ผมเคยซื้อ ที่เรียกว่า ไดชาร์ท ในรถยนต์ซึ่งใช้เครื่องยนต์ฉุดให้หมุนใช้สำหรับ ชาร์ทแบต ในรถยนต์ ได้ถึงขนาด 60Ah ผมคิดใช้ฉุดด้วยการปั่นด้วยจักรยานแทนโดยการทดรอบให้เท่าๆกับการฉุดด้วยเครื่องยนต์
    ดูแล้วไม่หนักเลยเบามากๆ แต่เราสามารถได้กระแสไฟออกมาสูงมากเลย โครงการผมไม่สำเร็จ เพราะว่าตัวไดชาร์ท ต้องมีจุดต่อสายสำหรับ
    อุปกรณ์อื่นๆอีกถึงถึงจะทำงานได้ ใครมีความรู้ทางด้านนี้ช่วยต่อยอดความรู้ตรงนี้ให้ทีครับ มีความเป็นไปได้ใหมครับ ถ้ามีความเป็นไปได้น่าจะมีประโยชน์มากเลย ผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆครับ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ไอเดียของพี่สุเชษฐ์ใช้ได้เลยครับ
    ที่ต้องการเพิ่มเติมคือวงจรเรคกูเรเตอร์ ก่อนเข้าประจุเก็บไว้ในแบตตารี่
    และหรือ ตัวอินเวอร์เตอร์เพื่อแปลงไฟฟ้าจากกระแสตรงเป็นะแสสลับสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แต่ถ้า เป็นเครื่องชาจต์ถ่านไฟฉาย
    แบตตารี่เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบแสงสว่างกระแสตรงก็ใช้ได้เลยเพียงมีตัวปรับแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงให้เหมาะกับอุปกรณ์นั้นๆ
     
  15. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ไอเดียบรรเจิดครับลุงสุเชษฐ์

    เรื่องไดจากรถยนต์นี่น่าสนนะครับ หากใครมีข้อมูลที่ละเอียดนิดหนึ่งอาจทำได้จริง ข้อมูลความเร็วรอบ อัตราทด แรงบิด พวกนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำได้หรือไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาให้ละเอียด ถ้าเราใช้คนถีบก็ต้องพิจารณาเรื่องแรงบิดกับรอบที่ทดได้เป็นหลักครับ กำลังงานที่เข้า จะเท่ากับที่ออก บวกกับสูญเสียไป ไม่มีทางที่เราจะใส่กำลังน้อยๆแล้วได้กำลังเยอะออกมาครับ ถึงแม้จะทดรอบดีแค่ไหนก็ตามนี่คือกฏทรงพลังงานครับ
    เรื่องใช้คนปั่นนี่เราน่าจะหาทางอื่นไว้ด้วยเพราะพลังงานคนในยามวิกฤตต้องพักผ่อน หรือไม่ก็นั่งสมาธิ ต้องประหยัดพลังงาน เราอาจจะเอาพลังงานจากลมหรืออะไรอย่างอื่นแทน
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    [​IMG]

    [​IMG]


    พลังงานไอน้ำ ก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่น่าสนใจนะครับ เพราะในช่วงเวลาวิกฤตเราก็จำเป็นต้องใช้ เตาไฟหรือเตาผิงไฟมาให้ความอบอุ่นอยู่แล้ว ก็น่าจะใช้ประโยชน์จากความร้อนนี้ มาต้มน้ำเพื่อใช้พลังงานไอน้ำมาสร้างพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานจักรกลอื่นๆ เพื่อผ่อนแรงจากการใช้แรงคนเพียงอย่างเดียวก็จะเป็นประโยชน์อย่างดีครับ

    เครื่องจักรไอน้ำ (Steam engine)
    เครื่องจักรที่ทำงานโดยใช้ไอน้ำร้อนขับดั

    รถไฟสมัยโบราณได้กำลังจากเครื่องจักรไอน้ำ ในเครื่องจักรไอน้ำลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นลง(หรือเดินหน้าและถอยหลัง) อยู่ในกระบอกสูบเช่นเดียวกับลูกสูบในเครื่องยนต์ของรถยนต์ ไอน้ำร้อนที่มีความดันสูงจะไหลจากหม้อต้มน้ำไปยังกระบอกสูบ ไอน้ำจะขยายตัวดันลูกสูบทำให้ได้กำลังงานออกมา ในกังหันไอน้ำ ไอน้ำที่ขยายตัวจะผลักให้ใบพัดหมุนและโดยเหตุที่กังหันไอน้ำมีใบพัดหลายชุดสำหรับทำงานที่ความดันไอน้ำสูงปานกลางและต่ำกังหันจึงได้กำลังจากไอน้ำเต็มที

    ริชาร์ด เทรวิทิค นักประดิษฐ์ และวิศวกรชาวอังกฤษ ผู้คิดสร้างรถไฟ และเครื่องจักรไอน้ำสำหรับรถไฟได้เป็นผลสำเร็จเป็นคนแรกของโลก ซึ่งผลงานการคิดค้นชิ้นนี้ ต่อมาได้ถูกปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น จากวิศวกรชาวอังกฤษอีกท่านหนึ่ง คือยอร์ช สตีเฟนสัน

    ริชาร์ด เทรวิทิค กิดเมื่อปี ค.ศ. 1771 ที่เมืองคอร์นวอล ประเทศอังกฤษ หลังจากที่ โทมัส นิวโคเมน ได้เริ่มประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 เครื่องจักรไอน้ำที่นิวโคเมน สร้างขึ้นนั้นเป็นเครื่องจักรที่ใช้งานอยู่กับที่ มีขนาดใหญ่ หนัก และรูปร่างเทอะทะ ซึ่งต่อมา ริชาร์ด เทรวิทิค ได้ทำการดัดแปลงเอาเครื่องจักรไอน้ำนั้นมาใช้กับรถไฟ โดยทำให้ขนาดเล็กลง จนเกิดเป็นเครื่องจักรไอน้ำที่ผลักดันให้รถไฟแล่นไปตามรางได้เป็นผลสำเร็จ และได้นำออกแสดงให้ผู้คนได้ชมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1804 ชาร์ด เทรวิทิค ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1833

    <TABLE id=AutoNumber2 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="33%">[​IMG]</TD><TD align=middle width="33%">[​IMG]</TD><TD align=middle width="34%">[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width="33%"> </TD><TD align=middle width="33%"> </TD><TD align=middle width="34%"> </TD></TR><TR><TD align=middle width="33%">[​IMG]</TD><TD align=middle width="33%">[​IMG]</TD><TD align=middle width="34%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://www.nmd.go.th/Web/c1-2.htm
     
  17. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ไม่รู้ว่า เตาผิงไฟ (Fire place) สำเร็จรูป เมืองนอกขายราคาเท่าไหร่ หรือเราน่าจะทำกันไว้บ้างก็ดีนะ (นึกถึงเรื่อง The day after Tomorrow) ที่พระเอกเอาหนังสือมาใส่ในเตาเพื่อทำให้เกิดความร้อน
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เครื่องยนต์สารพัดประโยชน์
    [​IMG]
    <TABLE class=f12 width=623 border=0><TBODY><TR><TD>
    1. ประโยชน์ใช้งานด้านการเกษตร
    - รถไถนา
    - รถเกี่ยวข้าว
    - เครื่องสูบน้ำ



    <CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD>
    2. ประโยชน์ใช้งานด้านการประมงและขนส่งทางน้ำ
    - เรือหาปลา
    - เรือโดยสาร


    <CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=f12 width=623 border=0><TBODY><TR><TD>3. ประโยชน์ใช้งานด้านการอุตสาหกรรม
    - เครื่องปั่นไฟ - ไดนาโม
    - เครื่องผสมคอนกรีต

    <CENTER><TABLE width=368 border=0><TBODY><TR><TD width=192>[​IMG]</TD><TD width=166>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER></TD></TR><TR><TD>
    4. ประโยชน์ใช้งานด้านอื่น ๆ
    - ฟาร์มไก่
    - ฟาร์มหมู
    - ฟาร์มกุ้ง


    <CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://www.yanmarsp.com/application_thai_1.htm

    หมายเหตุ

    ตามชนบทไทยในยุคปัจจุบันนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าเครื่องยนต์อเนกประสงค์ตัวนี้ เพราะมีใช้อยู่แล้วแทบทุกบ้าน ที่มีอาชีพเกษตรกรรม เจ้าเครื่องยนต์ตัวนี้จะต้องเข้ามาเป็นพระเอกในยามเกิดภัยพิบัติอย่างแน่นอน เพียงแต่จะมีปัญหาเรื่องน้ำมันเท่านั้น ถ้าเราได้ให้ความรู้ในเรื่องการผลิตไบโอดีเซลจากพืช หรือน้ำมันที่เหลือจากการใช้ในการปรุงอาหารแล้ว นำมาผ่านกระบวนการกลั่นกรอง ก็สามารถนำมาใช้แทนดีเซลได้เหมือนกัน
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>ไบโอดีเซล</TD></TR><TR><TD align=middle><HR></TD></TR><TR><TD> ไบโอดีเซล คือน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตมาจากน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์ โดยผ่านขบวนการที่ทำให้โมเลกุลเล็กลง ให้อยู่ในรูปของ เอทิลเอสเตอร์ (Ethyl esters) หรือ เมทิลเอสเตอร์ (Methyl esters) ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลมาก สามารถใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลได้โดยตรง </TD></TR><TR><TD> ปฏิกิริยาเคมี</TD></TR><TR><TD align=middle><TABLE><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#ccffcc border=1><TBODY><TR><TD> น้ำมันพืช </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD> + </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#ccffff border=1><TBODY><TR><TD> เมทานอล (Methanol)
    หรือ เอทานอล (Ethanol)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD> --------> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#ffff99 border=1><TBODY><TR><TD> เมทิลเอสตอร์ (Methyl esters)
    หรือ เอทิลเอสเตอร์ (Ethyl esters)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD> + </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#c0c0c0 border=1><TBODY><TR><TD> กลีเซอรีน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> วิธีการผลิตไบโอดีเซล (Biodiesel) จากน้ำมันพืช</TD></TR><TR><TD> สารตั้งต้น</TD></TR><TR><TD> 1. น้ำมันมรกต (จากปาล์ม)</TD></TR><TR><TD> 2. โปเตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) หรือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 1 % (g/ml)</TD></TR><TR><TD> 3. เมทานอล (Methanol) หรือ เอทานอล (Ethanol) 25 %</TD></TR><TR><TD> ขั้นตอน</TD></TR><TR><TD><TABLE><TBODY><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>1. นำน้ำมันพืชที่ทำจากปาล์มมาจำนวนหนึ่ง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>2.ชั่งสารโปเตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) 1 % โดยน้ำหนัก
    ต่อปริมาตรของน้ำมันพืช (g/ml)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0><TBODY><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>3. ตวงเมทานอลจำนวน 25 % ของน้ำมันพืช
    แล้วผสมโปเตสเซียมไฮดรอกไซด์ที่เตรียมไว้
    คนให้เข้ากัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>4. อุ่นน้ำมันพืชที่เตรียมไว้ให้ได้อุณหภูมิ 45 - 50 C</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0><TBODY><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>5. เทสารละลายโปเตสเซียมไฮดรอกไซด์กับเมทานอล
    ลงในน้ำมันพืชที่อุ่น คนเข้ากัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>6. ยกส่วนผสมลงจากเตาตั้งทิ้งไว้จะเกิดการแยกชั้นระหว่าง
    เมทิลเอสเตอร์ กับ กลีเซอรีน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE border=0><TBODY><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>7. แยกน้ำมันไบโอดีเซล (เมทิลเอสตอร์ ) ส่วนบนออกจาก
    กลีเซอรีนด้านล่าง แล้วผ่านกระบวนการ Wash เพื่อกำจัด
    แอลกอฮอล์และโปเตสเซียมไฮดรอกไซด์ที่ตกค้าง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD> </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>8. นำไปเติมแทนน้ำมันดีเซลหรือใช้ร่วมกับก๊าซธรรมชาติได้เป็นอย่างดี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=middle><HR></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://www.navy.mi.th/dockyard/biodesel.html
     
  20. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    +8+ อยากมีไว้ซักอันเหมียนกันน่ะ ไอ้เครื่องสีแดงๆ น่ะ แต่ใช้ม่ะเป็น
     

แชร์หน้านี้

Loading...