พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จาก Fwd Mail ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image001.jpg
      image001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.6 KB
      เปิดดู:
      904
    • image002.jpg
      image002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.5 KB
      เปิดดู:
      821
    • image003.jpg
      image003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.6 KB
      เปิดดู:
      899
    • image004.jpg
      image004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.2 KB
      เปิดดู:
      859
    • image005.jpg
      image005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.4 KB
      เปิดดู:
      814
    • image006.jpg
      image006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.5 KB
      เปิดดู:
      831
    • image007.jpg
      image007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.7 KB
      เปิดดู:
      767
    • image008.jpg
      image008.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.5 KB
      เปิดดู:
      871
    • image009.jpg
      image009.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43 KB
      เปิดดู:
      827
    • image010.jpg
      image010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54 KB
      เปิดดู:
      785
    • image011.jpg
      image011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.5 KB
      เปิดดู:
      835
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองได้เคยลงเรื่องของการกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มแล้วนะครับว่า ทุกๆครั้งที่เรากดเงิน เราต้องสังเกตุดูว่าตู้ที่เรากดเงินนั้น มีสิ่งแปลกปลอมอยู่หรือไม่ ควรกดเงินที่ตู้ที่เราคุ้นเคยและรู้ว่าตู้นี้มีลักษณะเป็นอย่างไร มิฉะนั้นจะเกิดเหตุการที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ครับ

    ลองดูตามรูปครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาบอกกันอีกสักหน่อย

    ส่วนรหัสบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิต ก็ไม่ควรใช้ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา เช่น วันเดือนปีเกิด หรือเลขในบัตรประชาชน หรืออื่นๆ เพราะว่าผู้ที่ได้บัตรไปนั้น สามารถเดาได้จากเลขเหล่านี้ ผู้บัญชาการที่บ้านผมโดนมาแล้ว นำเอาปีเกิดไปเป็นรหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วกระเป๋าสตางค์โดนล้วงไป ปรากฎว่าแค่เพียง 5 นาที ก็ถูกกดเงินออกไปแล้ว อายัดบัญชีไม่ทัน แต่โดนไปแค่ 2 หมื่น แล้วก็อายัดทันครับ

    ส่วนบัตรเครดิตนั้น หากนำไปใช้ไม่ว่าจะใช้ที่ไหน ควรดูทุกครั้งว่าพนักงานนำบัตรของเราไปที่ไหน ไปทำอะไร ต้องคอยสังเกตุนะครับ เดี๋ยวนี้มีเครื่องสแกนข้อมูลที่มีขนาดเล็ก ประมาณเท่าฝ่ามือ สามารถสแกนข้อมูลของบัตรเครดิตจากแถบแม่เหล็กได้ แต่ถ้าบัตรเครดิตบางแห่งติดชิปแล้วก็พอป้องกันได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นครับ

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้สุดยอดมวลสาร! หลวงปู่ทวด "รุ่นบารมีธรรมสิริ ทองดี" รายได้สร้างกุฏิกัมฐาน

    <TABLE class=tborder id=post520911 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15 มีนาคม 2550, 07:51 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #504 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Dej Amarin<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_520911", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 07:56 PM
    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 19 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 28 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 115 ครั้ง ใน 19 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_520911 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG] ต้องพิจารณา
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ต้องพิจารณานี้ เป็นคำพูดที่ต้องบอกกับกัลยานิมิตรสหายธรรม ทุกท่านผมจะไม่นำมาวิจารณ์ในสิ่งที่ไม่ดีแต่คือก็จะเตือนไว้เรื่องการสร้างพระ นี่ห้ามกันไม่ได้เพราะ เป็นเรื่องของการศรัทธา หลาย ๆ วัด หลายอาจารย์ ต่างก็สร้างกันขึ้นมาด้วยความมุ่งหมายต่าง ๆ กัน เรื่องของหลวงปู่เทพโลกอุดรที่มีมานานพอสมควรในห้วงระยะหลังประมาณ 20 กว่าปีมานี้ เรื่องของหลวงปู่ที่ผมทราบมาตั้งแต่ปี 2522 สมัยนั้นผมรู้จักท่านในนามพระป่า บางท่านก็นำรูปมาลงมาตีความตีแพร่ และก็เอารูปของท่านมาสร้างเป็นพระ ทั้งเหรียญ ทั้งพระผงกันมากขึ้น บางแห่งถึงกับสร้างรูปเหมือน เกิดเสียหายระเบิดใช้การไม่ได้ การสร้างพระปู่เทพโลกอุดรมิใช่จะสร้างกันง่าย ๆ เคยมีพระรูปหนึ่ง ที่ในกรุงเทพเรานี่และสร้างพระหลวงปู่ออกจำหน่าย คงได้ปัจจัยมาก ๆ เกินกำลังที่พระจะมี ทราบภายหลังถูกจับสึกฐานปาราชิก อีกรายหนึ่งได้จองกฐินและก็ขออนุญาติสร้างพระหลวงปู่จำนวน หนึ่ง แล้วก็นำพระลวงปู่ไปวางตรงพระเกจิรูปหนึ่งแล้วก็ถ่ายรูปและก็บอกว่าใช้ได้แล้ว ในกล่องนั้นไม่ทราบว่ามีองค์ รายนี้ก็ไม่มีข่าวที่เสียหายหรือเป็นอะไรเหมือนกับพระองค์แรกที่โดนจับสึก ทำเช่นไรก็ทำไปแต่อย่าให้เป็นพุทธพาณิชย์ก็แล้วกันจะไม่ดีกับตัวเอง เพราะสิ่งที่เรากราบไหว้ บูชาดุจบิดา มารดา ก็กลายเป็นเหยื่อของผู้ที่ไม่รู้ บาป บุญ คุณโทษ ไปเสียแล้ว
    ในสมัยนี้ผมเห็นมาพอสมควรกับพระเจ้าที่อยู่ตามวัดตามวา แสดงเจตนากันว่าสร้างเพื่อทำแบบนั้นแบบนี้ การสร้างพระสมัยนี้ไม่ใช่สมัยโบราณนะครับ พระอาจารย์ สมัยเก่ายกตัวอย่างเช่น หลวงปู่โต หลวงปู่เงิน พลวงปู่ศุข หวงปู่ปาน หลวงปูเดิม หลวงพ่อจง หลวงพ่อจาด หลวงปู่อี๋ หลวงปู่พรหม ช่องแค พระอารย์รุ่นที่กล่าวมา ท่านจะทำอะไรท่านมีครูบาอาจารย์มาบอกกล่าวให้สร้างให้ทำทั้งนั้น ไม่ใช่จะมาทำกันลอย ๆ ทำเพื่ออะไร สมเด็จโตท่านสร้างพระท่านมีความหมายทุกพิมพ์ทุกวัด ( สร้างแล้วแจกครับ) ไม่ใช่สร้างแล้วขาย( เจตนาการสร้างต่างกับยุคใหม่ ) เรื่องความศรัทธาเกิดจากจิตเพราะไม่ได้คิดเป็นการค้า พลังที่บูชาขึ้นคล้องคอแล้วเกิดเป็นสินค้าวัตถุที่อยู่ในคอก็บ้าตามคือผู้บูชาอาจตายโหงได้เพราะจิตคิดไม่ดี ความศรัทธาไม่ว่าจะเป็นพระใหม่หรือพระเก่าขอให้ท่านมั่นใจมีสติเป็นสิ่งแรกก็ไม่แตกต่างกับความดี มีสมาธิ เป็นที่สอง ผมรับรองต้องตายดี มีความสัตย์เป็นที่สาม ท่านอยู่ไหน ๆ ไม่ว่าใกล้ไกลก็ตาม มีแต่คนไต่ถามหาท่านทุกวันไป สติมีความตั้งใจจะสร้างพระ มีสมาธิที่จะเจริญมนต์และคาถาด้วยความสัตย์ที่มีสัจจะเป็นที่ตั้ง วัตถุที่นำมาเป็นวัตถุที่ให้คนเขาเคารพกราบไหว้บูชาไม่ว่าจะเป็นรูปอะไรก็แล้วแต่ย่อมเกิดพลังอย่างแน่นอนและดีมาก ๆ ด้วย ขาดสติ ขาดสมาธิขาดสัตย์( สัจจะ ) รับรองโป้งเดียวเป็นโรคแพ้ดอกไม้จันทร์อย่างแน่นอน ข้อความตรงนี้ให้คิดว่าเป็นเช่นนี้ได้หรือไม่ พระอายุที่เป็นเนื้ดิน ๒,๐๐๐กว่าปี จะมีเนื้อหาที่ดีปานนั้นแต่ถ้าเมื่อมี พระเถระปรากฏรูปปรากฏนามให้ผู้มีบุญไม่ว่าใครก็ตามหรือจะเป็นพระเถระผู้มีบุญญาธิการเป็นผู้พบเห็น โดยพระของครูบาอาจารย์ ที่ปรากฏขึ้นย่อมมีการอัญเชิญการขอขมาหรือมีการนิมิตมาบอกให้สร้าง( ครูบาอาจารย์ให้ท่านทำและก็ได้ ส่งกระแสจิต ที่อยู่เหนือธรรมที่ท่านได้รับหน้าที่เป็นพระธรรมฑูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้มนุษย์คือเราทั้งหลายที่รู้จักคิดผิดคิดถูกให้ได้มีของท่านไว้กราบไว้บูชา ผมเป็นคนหนึ่งโดยที่เชื่อว่าหลวงปู่ท่านทั้งสอง ปู่เทพโลกอุดดร องค์โสณะ อุตตระท่านได้ส่งพลังจิตที่เป็นอมตะลงมาในวัตถุมงคลเช่นพระหลังคาโบถส์และพระพิมพ์ต่าง ๆ นั้นที่ท่านเจ้าคุณ เจ้าใหญ่นายโตได้สร้างถวายไว้นั้นผ่านพิธีในโบสถ์วัดพระแก้วอย่างแน่นอนและอิทธิคุณแก้วสารพัดนึกครับ ขอให้ผู้ได้อ่านจงโชคดีมีบารมีปู่ท่านคุ้มครองตั้งแต่ตื่นจนถึงหลับ ตลอดไปเทอญ
    <!-- / message --><!-- edit note --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา Fwd Mail ครับ

    คติประจำใจสำหรับบุคคลที่อยากมีทุกอย่าง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เรื่องภายในย่อมสำคัญกว่าเรื่องภายนอกตน
    คนที่รู้เพียงเปลือกนอกย่อมสู้คนที่รู้ถึงแก่นไม่ได้
    อดีต คือ ความฝัน ปัจจุบัน คือ ภาพมายา อนาคต คือ ความไม่แน่นอน
    คิดก่อนทำ อดทนไว้ พึงอภัย
    ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ตัวของเราเอง
    โกงคนอื่น เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง
    เมตตาคนอื่น เหมือนสร้างบ้านให้ตัวเอง
    อย่าระแวงคนอื่น ยิ่งกว่าระวังตัวเอง
    ชีวิตไม่พอกับตัณหา เวลาไม่พอกับความต้องการ
    ที่พักครั้งสุดท้าย คือป่าช้า
    ถ้าท่านทำงานแข่งกับสังคม ความพินาศล่มจมจะตามมา
    ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบปัญหาเรื่อยไป
    ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหวังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
    ถ้าท่านกล้าเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่สำเร็จ
    ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
    ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์
    ถ้าท่านขาดความยังคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย
    ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
    ถ้าท่านมีความพอดี ท่านจะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก
    ถ้าท่านมีแต่ความงก ท่านจะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี
    ถ้าท่านมีเมตตาจิต ท่านจะมีญาติมิตรทั่วบ้าน
    ถ้าท่านเมตตาเกินประมาณ ท่านจะพบคนพาลทั่วเมือง
    ถ้าท่านคิดถึงความหลัง ท่านจะพบรังแห่งความเศร้า
    ถ้าท่านมีความมัวเมา ท่านจะพบความปวดร้าวภายหลัง
    ถ้าท่านทำดีเพื่อเด่น ท่านจะถูกเขม่นจากญาติมิตร
    ถ้าท่านทำดีเพื่อน้ำจิต ท่านจะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย
    ถ้าท่านหวังพึ่งแต่คนอื่น ท่านจะต้องกลืนน้ำตาตัวเอง
    ถ้าท่านรู้จักใช้เวลา ชีวิตจะมีค่ากว่านี้
    ถ้าไม่กินอยู่เท่าที่มี จะได้เป็นเศรษฐีเงินกู้
    ถ้ามั่วสุมกับอบายมุข จะพบความทุกข์ในเบื้องปลาย
    ถ้าทำหูเบาตามเขาว่า จะต้องน้ำตาตกใน
    ถ้าพูดโดยไม่คิด เท่ากับพ่นลมพิษใส่คนอื่น
    ถ้าจริงจังกับโลกเกินไป จะต้องตายเพราะความเศร้า
    ถ้าต้องการความเป็นอิสระ ให้พยายามชนะใจตัวเอง
    ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ จะพบกับความสุขได้ที่ไหน
    ถ้าไม่ยอมปล่อยวาง จะพบกับความว่างได้อย่างไร
    ถ้าหาความสุขจากความมัวเมา ท่านกำลังจับเงาในกระจก
    ถ้าอยากเป็นคนงาม อย่าวู่วามโกรธง่าย
    ถ้าอยากเป็นคนสบาย อย่าเบื่อหน่ายความเพียร
    ถ้าอยากเป็นคนมั่งมี อย่าเป็นคนดีแต่จ่าย
    ถ้าอยากเป็นคนนำสมัย อย่าทำลายวัฒนธรรม
    ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ อย่าเหยียดหยามคนอื่น
    ถ้าอยากเป็นคนความรู้ อย่าลบหลู่อาจารย์
    ถ้าอยากหาความสำราญ อย่าล้างผลาญสมบัติ
    ถ้าอยากเป็นคนมีอำนาจ อย่าขาดความยุติธรรม
    ถ้าอยากเป็นคนดัง อย่าหวังความสงบ
    ถ้าอยากเป็นที่เคารพ ต้องพบความจบก่อนตาย
    อย่าทำตัวให้เด่น โดยการสร้างหนี้ให้ตัวเอง
    ( อย่าพยายามทำใจคนอื่นให้เหมือนใจเรา เพราะเราก็ทำใจให้เหมือนคนอื่นไม่ได้ ) <O:p</O:p
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตร)

    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า
    3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร)
    4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี)
    5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)

    หมายเหตุ จากรูปนั้น ชื่อองค์แรกคือพระภูริยะเถระเจ้า แต่ที่ถูกต้องคือพระฌาณียะเถระเจ้า ส่วนองค์สุดท้ายคือพระฌาณียะเถระเจ้า ที่ถูกต้องคือพระภูริยะเถระเจ้า

    โดยปกติที่เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกันทั่วๆไปนั้น จะเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ

    [​IMG][​IMG]


    ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


    กาลามสูตร


    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    <O:p</O:p

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา <O:p</O:p
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา<O:p</O:p
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ <O:p</O:p
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์<O:p</O:p
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก <O:p</O:p
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน<O:p</O:p
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล <O:p</O:p
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว<O:p</O:p
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ <O:p</O:p
    10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา<O:p</O:p
    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผีแต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัว นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง <O:p</O:p
    ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่อาจารย์ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิฐานจิตจริงหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “จริง” ต่อจากนั้นคุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไปครั้นแล้วหลวงปู่ก็หายไป การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่าปรากฏกายธรรม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้ จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์ กายธรรม <O:p</O:p
    ครั้งที่สองเป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏอีก ท่านยืนไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับ ท่านแสดงธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้ท่านก็มองไปยังแก้วน้ำปรากฏเป็นแสงสีเขียว พุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนด้วยกันท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็นของดี มีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง <O:p</O:p
    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่ โดยได้รับกราบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยนหลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชาโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” ารปรากฏกาธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึ” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
    <O:p</O:p



    วิเคราะห์คำว่า “ อรหันต์ ”<O:p</O:p

    “อรหัน” หมายถึง ผู้สำเร็จอภิญญาโลกีย์ หรืออภิญญาห้า ไม่สามารถทำอาสวะให้สิ้น ทุกอย่างมีอิทธิวิธีแบบพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พิจารณาอย่างเรา ๆ ปุถุชนมองไม่ออก ประเภทนี้การกระทำตนแบบโพธิสัตว์ เช่น โป๊ยเซียนโจ๊วซือทั้ง 8 พระแม่กวนอิม ฯลฯ และประเทศลาวก็มี สำเร็จลุน (ไม่ใช่สมเด็จลุน ท่านมิได้เป็นพระราชาคณะ) สามเณรคำ “อรหัน” จึงแปลว่าผู้วิเศษตามคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อรหันทองคำ จั๊บโป้ยล่อฮั่น ตั๊กม้อ โจ๊วซือ ก็ประเภท “อรหัน” นี่แหละ <O:p</O:p
    ผมก็ไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ครูอาจารย์ให้เกินเหตุ เพียงแต่ว่าจะชี้แนะตามหลักวิชาให้หูตาสว่างตามประวัติกล่าวว่าพระโสณ พระอุตร เป็นพระอรหันต์ พระโลกอุดรมาจากคำอุตรแปลว่าผู้เหนือโลกย์พระโสณ บรรลุธรรมก่อนพระอุตร ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต จึงเรียกว่า “พระโสณอุตร” ไม่เรียก “อุตรโสณ” คำว่าหลวงปู่ใหญ่หมายถึง “พระอุตร เถรเจ้า” เป็นพระอรหันต์ยังไม่จบกิจ แบบพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ยังค้ำจุนพระศาสนา ไปกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ. 5000) ถ้าจบกิจแล้วท่านก็หมดหน้าที่เพียงแต่ท่านไม่ต้องสร้างบารมีต่อแบบอีกสององค์ คือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หลวงปู่หน้าปาน ซึ่งยังต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อท่านมิได้ประกาศตนแจ้งชัด เพียงแสดงปริศนาธรรมเช่น หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ใหญ่ด้วยซ้ำไป มาในรูปหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา บ้านหมี่ ลพบุรี แสดงปริศนาธรรมหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรเผาจนหมดจนกลายเป็นขี้เถ้า ให้รู้ว่าแม้แต่ตัวเราต่อไปก็ไม่พ้นการเป็นขี้เถ้า หลวงปู่ขรัวหน้าปานท่านก็บอกอยู่โต้ง ๆ แล้วว่า ท่านเป็นพระสำเร็จ (อรหันต์) มาอาศัยร่างท่านมหาชวน เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ ท่านอภิชิโต ภิกขุ กล่าวกับผมว่า นับตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณร จนอายุได้ 70 ปี ยังศึกษาไม่จบ ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมรักและเคารพมาก ผมไม่อยากให้คนมีจิตฟุ้งติดฤทธิ์มากนักเพียงอยากให้เป็นความรู้ในด้านสารคดี อรรถคดีพอสมควร มิฉะนั้นเรื่องจะยาวเกินควร
    <O:p</O:p
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทหนึ่ง

    กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาล พุทธศักราชผ่านพ้นไป 303 ปี (ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกา คำบรรยายของ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอกกรมศิลปกร ) และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครี ขุดค้น พบ ณ ซากศิลา วัดคูบัว ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี) ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง 68 ปี พระเจ้าอโศก มหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ การชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3ครั้นแล้วจึง อาราธนาพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระองค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆดังนี้ <O:p</O:p
    1. พระมัชฌันติกเถระ ปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือประเทศแคชเมียร์และอัฟฆานิสสถานปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    2. พระมหาเทวะเถระ ไปยังมหิสมมณฑล (คือแว่นแคว้นทางใต้ ลำน้ำโคทาวดี อันเป็นประเทศไมสอหรือไมเซอร์ ์ในปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    3. พระรักขิตเถระ ไปยังวนวาสีประเทศ (คือแว่นแคว้นกะนาราเหนืออันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    4. พระธรรมรักขิตเถระ ไปยังปรันตกประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมืองอมเบย์ปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    5. พระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยังมหารัฐประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    6. พระมหารักขิตเถระไปยังโยนกประเทศ (คือบรรดาหัวเมืองต่างๆที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ใน ดินแดน ประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    7. พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือมณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    8. พระโสณเถระกับพระอุตร เถระ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ <O:p</O:p
    ข้อถกเถียงเรื่องสุวรรณภูมิเป็นมาช้านานฝ่ายไทยอ้าง นครปฐมเป็น ราชธานีของสุวรรณภูมิ พม่าอ้างเมืองสะเทิมอันเป็นมอญฝ่ายใต้เป็นสุวรรณภูมิ เขมรและลาวต่างก็อ้างว่าประเทศของตน คือสุวรรณภูมิ แต่ใครจะอ้าง อย่างไรก็ล้วนมีส่วนถูกด้วยกันทั้งสิ้น คือท่านศาสตราจารย์เดวิดส์ อธิบายว่าเริ่มแต่รามัญประเทศไปจรด เมืองญวนและตั้งแต่พม่าไปจรดแหลมมะลายูหรือที่เรียกว่าอินโดจีนเป็นสุวรรณภูมิทั้งนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับ สั่งว่า คำที่เรียกสุวรรณภูมิประเทศนั้น จะหมายรวมดินแดน ที่มีเป็นประเทศมอญและไทยภายหลังทั้งหมด เหมือนอย่างที่เราเรียกว่า อินเดีย เป็นชมพูทวีปกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นใคร ในแหลมอินโดจีนจะอ้างว่า ประเทศของตนเป็นสุวรรณภูมิ จึงเป็นการถูกต้องด้วยกัน ทั้งนั้นไม่มีปัญหา ที่ไทยอ้างนครปฐม เป็นราชธานีนั้นก็เพราะจังหวัดนครปฐมมีเนื้อที่ภูมิประเทศ กว้างขวางและ มีโบราณวัตถุสถานสร้างไว้มาก แต่จะเรียกชื่อเมืองหลวงว่ากระไรในครั้งกระนั้นได้แค่สันนิษฐานเห็นจะเรียกสุวรรณภูมินั่นเองชื่อนี้จึงได้แต่เป็นที่รู้กันแพร่หลายไปถึงอินเดียและลังกาจนเป็นเหตุให้ใช้ชื่อนี้ในหนังสือมหาวงศ์ฯ ว่า พระโสณกับพระอุตรได้อัญเชิญพระพุทธศาสนามาประดิษฐานสถานที่เมืองสุวรรณภูมิ และเป็นเหตุให้เรียกชื่อมหาสถูปที่เมืองนั้นว่า
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทสาม<O:p</O:p

    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ บวรราโชรสราชกุมารประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอนับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษาปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมฑูตมีดังนี้ <O:p</O:p
    1. พระอุตรเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสีเรียกท่านว่า พระโลกอุดร” <O:p</O:p
    2. พระโสณเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรเช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโตเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านว่าพระโสอุดร” <O:p</O:p
    3. พระมูนียะเรียกกันว่าหลวงปู่โพรงโพท่านอิเกสาโร หรือหลวงปู่เดินหน<O:p</O:p
    4. พระฌานียะเรียกกันว่าหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า<O:p</O:p
    5. พระภูริยะเรียกกันว่าหลวงปู่หน้าปาน<O:p</O:p
    ทราบโดยญาณของผมเองว่าพระอิเกสาโรเป็นศิษย์พระโสณเถระส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระหรือพระโสณเถระยังไม่แจ้งชัดเพียงอาจารย์ผมบอกว่าท่านฌานียะ ยังมีอาจุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไปหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปานจะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้เพียงท่านหายไปตอนตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหัน (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น)จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่มในรูปของหลวงหลวงพ่อกบวัดเขาสาริกาอำเภอบ้านหมี่จังหวัดลพบุรีก็คือท่านขรัวขี่เถ้าเผาแหลกมีอะไรท่านเผาหมดเป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า ตูนี่แหละคือขรัวขี้เถ้าท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดรเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบกล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณะภาพแล้วนำใส่โลงศพได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอยก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไรที่เห็นนั่นเป็นเพียงกายธรรมเท่านั้นส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสีหรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมดท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้วท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมของท่านก็คือมีพระบรมสาทิศของล้นเกล้า ร.5 คนก็ตีความไปต่างๆนาๆว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้างก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปีพ.ศ.2453ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้วความจริงก็คือตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5” ก็เท่านั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯน่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัยนอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์รัฐศาสตร์ การช่างช่างฝีมือยุทธศาสตร์จนถึงวิชาการฟ้อนรำทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัยขณะที่พระชนมายุเพียง14พรรษาฝึกฝนจนอินทรียพละฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควรบรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตร เถระ)เห็นว่าเจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมาจึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐานโดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์(มองเห็นได้ด้วยตาใน)จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักศุแล้วจึงปรากฏเป็นกายธรรมมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถใช้ผัสสะจับต้องได้โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อยนั้นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้สำหรับสำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้าก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนักเพียงแต่กล่าวกันว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปคราวหนึ่งๆประมาณ 15–20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอมซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปีพ.ศ.2428นั้นท่านมิได้ทิวงคตจริงแต่บรมครูพระเทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ดำพาไปอยู่ด้วยและเสกใบพลูแทนตัวไว้เรื่องออกจะเหลือเชื่อแต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ศิริสมบัติหรือท่านอภิชิโตภิกขุได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดรแต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดงอย่างที่เล่าลือกันท่านวังหน้า กับ ท่านอาจารย์แจ้งฌาณ 2 รูปเป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ท่านอภิชิโต มักเรียกว่าครูฝึกโดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรจะมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรงต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่งๆแล้วท่านจะต้องทอสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไปปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดีเรียกผมว่า"โยมประถม"ท่านอภิขิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่เพราะเป็นภาพของบรรพขิตแต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้าส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโรหรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชมท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า"ไตรโลกอุดร"หมายถีงพระโลกอุดรองค์ที่ 3 ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในการอธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรกซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าหลวงปู่ได้มาในสภาพของกายทิพย์ หรือกายธรรมท่านตอบว่าท่านอยู่ในรูปแห่งกายธรรมถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใด ท่านไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมอีกท่านหัวเราะตอบว่าคนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p




    บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร<O:p</O:p

    พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ท่านไม่ใช่คนไทยเป็นชาวเนปาลแต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกันผู้ที่อวดรู้เห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหนดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งนอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้วยากที่ผู้อื่นจะดูออกท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่านี่คนหรือผีกันแน่เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน"สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคยถามท่านอภิชิโตว่าตามที่เขาลือกันว่าหลวงปู่สุขวัดปากคลองและหลวงพ่อเงินวัดบางคลานซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดรไม่มรณะภาพจริงอาจารย์เคยพบบ้างไหมท่านตอบว่าไม่เคยพบเป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดรมีอยู่หลายสายด้วยกันและยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดงสายในดงคือไปศึกษาความรู้จากองค์ท่านสายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจเป็นทั้งฆราวาสและบรรพชิตเช่นอาจารย์พัวแก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชมสุคันธรัตเป็นต้นพยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับอย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาปหลวงปู่ท่านเคยตำหนิว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขายถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว<O:p</O:p
    องค์ที่หนึ่งพระอุตรเถระหรือหลวงปู่ใหญ่ คือบรมครูเทพโลกอุดรลักษณะรูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำจึงมีฉายาว่า หลวงพ่อดำมีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้าบรรลุอภิญญาหกแ่ต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโชคือวิชชาสามซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณแต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาญานเช่นกันท่านได้วางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่าวิทยาศาตร์ทางใจมิใช่วิชาไสยศาสตร ์และมิใช่มายากลศิษย์ในดงนอกดงสามารถแปรธาตุได้เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปานวัดคลองด่านหลวงปู่สุขวัดปากคลองท่านอภิชิโตภิกขุอาจารย์พัวแก้วพลอยอาจารย์ฉลองเมืองแก้วหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง ฯลฯเป็นต้นท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรมใจดีประกอบด้วยเมตตามีอารมณ์ขันหากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมฑูตซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิแหลมทองคงได้แก่พระโสณเถระซึ่งท่านเป็นน้องชาย ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตรแต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชายบทบาทของพระอุตรเถระจึงไม่ค่อยมีปรากฏและพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเช่นกันมิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไรปฏิสัมภิทาญาณสี่มีดังนี้<O:p</O:p
    1. อัตถปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในอรรถเข้าใจถืออธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และ เข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมีเข้าใจผล<O:p</O:p
    2. ธรรมปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในธรรมเข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อขึ้นได้สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ<O:p</O:p
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในภาษาและรู้จักใช้ถ้อยคำตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ<O:p</O:p
    4. ปฏิภาณสัมภิทาความแตกฉานในปฏิภาณมีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันทีหรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉินหรือกล่าวตอบโต้ได้ทันท่วงที<O:p</O:p
    ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมากเพียงนึกถึงท่านท่านจะบอกให้นิมิต "เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มาเรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่งในการตรวจพพิมพ์ของท่านซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรท่านอภิชิโตภิกขุมอบให้เป็นสมบัติบอกว่าอาจารย์ท่านคือหลวงปู่ดำเสกให้เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียรคำไสสว่างชีปะขาวผู้ทรงคุณกำหนดจิตดูท่านอาจารย์บอกว่าพระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่งต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้าปรากฏว่าเหมื่อนกันทุกประการ<O:p</O:p
    องค์ที่สองพระโสณเถระหรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่งเว้นวิชาแพทยใจดี<O:p</O:p
    เยือกเย็นประกอบด้วยเมตตาธรรมชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร<O:p</O:p
    องค์ที่สามพระมูนียะหรือพระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพหลวงปู่เดินหนล้วนเป็นองค์เดียวกันมีบุคลิกภาพอันสง่างามปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบันเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุเป็นผู้คงแก่เรียนชอบเจริญอศุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูกพูดน้อยค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุแต่ก็ไม่ดุเป็นอาจารย์หลวงพ่อเงินบางคลาน หลวงปู่สุขวัดปากคลองห่มจีวรสีหมองคล้ำหากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกสายาวจรดเอวทีเดียวแสดงว่าอิเกสาโร” (เกสาแปลว่าเส้นผม)ท่านมีบทบาทไม่น้อยตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่นๆด้วยซ้ำไป<O:p</O:p
    องค์ที่สี่พระณานียะฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องจังหวัดนครปฐมท่านมีรูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่นมีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดีนิมิตไม่แน่นอนอาจเป็นรูปพระภิกษุ ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบแต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบท่านมาสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมคือขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเถ้าสู่เถ้าผงคลีสู่ผงคลีดินจะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอกที่สุดก็มรณะภาพและศิษย์นำใส่โลงศพรอวันเผาหลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอยเลยไม่มีการฌาปนกิจศพ<O:p</O:p
    องค์ที่ห้าพระภูริยะหลวงปู่หน้าปานบางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้มแดงเคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกษุท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอทล่องหนย่นทางเก่งถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซึกซ้ายแก้มซ้ายจะแดงถ้าเปลี่ยนเป็นอมทางแก้มขวาทางด้านขวาจะแดงจึงเกิดถกเถียงกันไม่รู้จบท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ามาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกันโดยอาศัยร่างท่านมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดท่านเป็นภิกษุทรงศีลเมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่าพระมหาชวนได้ตายไปแล้วอาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ สร้างกุฏิกัมฐานถวาย หลวงปู่ทองดี อนีโฆ วัดใหม่ปลายห้วย

    <TABLE class=tborder id=post522098 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 08:08 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #340 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>guawn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_522098", true); </SCRIPT>
    สมาชิก GOLD
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:42 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 5,068 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 5,899 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 11,623 ครั้ง ใน 2,768 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1679 [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_522098 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" bgColor=#ffffff>คำสอนหลวงปู่ทองดี อนีโฆ

    การมาสร้างความดี
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>
    <TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]เจริญธรรมบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ผู้ตั้งใจจะมาทำดีหรือมาสร้างความดี ที่เราเรียกว่าสร้างบุญ เพื่อให้คุ้มภัยนี้จากภยันอันตรายต่าง ๆ ให้ตัวเราเอง วันนี้ลูกหลานทั้งหลายได้มีการให้ทาน ได้รักษาศีล ได้เจริญภาวนา มาสร้างดีเพื่อละชั่ว ความชั่วนั้น มีกายทุจริต 1 วจีทุจริต 1 มโนทุจริต 1 ครั้นลูกหลานทั้งหลายได้สร้างกุศล คือได้ทำความดี ความดีจะตามสนองให้ลูกหลานทั้งหลายมีความสุข มีสุคติเป็นที่ไป ครั้งเราทำความชั่ว ความชั่วจะตามสนองเรา มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความเศร้าหมอง มีทุคติเป็นที่ไป พวกเราโดยอัตภาพ คือร่างกายมาสมบูรณ์ แล้วก็บริบูรณ์ ก็เป็นเพราะปุพเพกตปุญญตา คือกุศลผลบุญของพวกลูกหลานทั้งหลายได้ทำมากันแต่ชาติปางก่อน พวกเธอทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท ควรรีบทำคุณงามความดี ละความชั่ว ความชั่วก็ให้เห็นว่ามันพาไปในทางไม่ดี ทำแล้วได้รับความเดือดร้อน ตกนรกทั้งเป็น นั่นแหละ ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้พวกเธอได้ชักชวนกันมาทำบุญให้ทาน มีการฟังธรรมะ มีการรักษาศีล เจริญมนต์ และก็นั่งปฏิบัติภาวนา ก็พาให้เกิดความสบายแห่งใจ นั่นแหละที่เรียกว่าบุญ

    เรามาพิจารณาเห็นกันที่นี่แหละ ไม่ต้องลาตายแล้วจึงจะไปสวรรค์แล้วใจพวกเราดีกันเมื่อไหร่ก็เป็นสวรรค์ทันที ใจเราร้ายเมื่อไหร่มันก็เป็นนรกทันที จงทำใจให้ร่าเริง อย่าไปทำอารมณ์ให้เศร้าหมองและขุ่นมัว มันจึงจะมีความสบาย จึงจะมีความสุข เพราะฉะนั้น ควรที่จะสร้าง ควรที่จะทำความดี อย่าประมาท พวกเธอทั้งหลายพากันทำสติสัมปชัญญะให้รู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ คือความรู้ตัวในการกระทำ ก่อนทำอะไรลงไปให้คิดเสียก่อนว่ามันได้ผลดี หรืออย่างไรต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าพวกเธอรู้ว่ามันไม่ดี ให้ความทุกข์ต่อตัวเราก็ไม่ทำ จงประกอบแต่คุณงามความดี ให้ระลึกรู้ว่า เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล ไม่ได้ทำเสียเปล่าประโยชน์เสียเมื่อไร เราทำเหตุลงไปแล้ว ไม่ได้รับผลไม่มีหรอกในโลกนี้ ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย เหตุดีก็ต้องได้รับผลดี เห็นชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว มันจะสูญหายไปนั้นย่อมไม่มีอย่างแน่นอน

    การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีโทษ มีแต่คุณ คือหนึ่งจิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จิตเบิกบาน จะยืนเดินนั่งนอนก็มีความสุข ไม่มีความทุกข์ จะเข้าสู่หมู่ใดก็แล้วแต่ ก็องอาจกล้าหาญ การทำความเพียร เมื่อเพียรเกิดขึ้น ทำให้สมาธิเกิดขึ้น มีกับจิตกับใจของเราแล้ว เราจะไม่มีความหวั่นไหว หนึ่งความเกียจคร้านต่อการงานทั้งทางโลกทั้งทางธรรม จากนั้นก็เป็นปัญญาที่จะมาเป็นกำลัง เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้ว รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ จะทำทางธรรมก็สำเร็จ องค์พระบรมสุคตญาณ พระองค์ท่านจึงสั่งสอนอบรมให้เกิดให้มีขึ้นมานับตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่ศีล ศีลเป็นที่ตั้งของสมาธิ สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา ไม่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางมาแห่งวิมุตติ คือความหลุดพ้นด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ธรรมทั้งหลายในโลกนี้ ตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีทุกขา มีอนิจจา มีอนัตตา ทั้งสามนี้ให้เราสำนึก พึงรู้ว่า ทุกขัง ชา-ติ ความเกิดมาเป็นทุกข์ อนิจจัง คือของมันไม่เที่ยง มันแปรเป็นอื่นอยู่ตลอดเวลา อนัตตาไม่ใช่ตัวตน บอกมันก็ไม่ฟัง บอกมันไม่ให้แก่มันก็แก่ ฟัน บอกฟันไม่ให้หลุดมันก็หลุด หัวบอกไม่ให้มันหงอก มันก็หงอก หนังบอกไม่ให้มันเหี่ยวไม่ให้มันย่น ผลที่สุดไม่นานร่างกายของเรานั้นก็ต้องนอนตายถมทับแผ่นดิน ส่วนดินก็เป็นดิน ส่วนน้ำก็เป็นน้ำ ส่วนลมก็เป็นลม เหลือแต่ดวงวิญญาณนี้เท่านั้น ธาตุทั้ง 4 ให้เรามาพิจารณาแยกออกว่า มันไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ธาตุดินต่างหาก ธาตุน้ำต่างหาก ธาตุลมต่างหาก ธาตุไฟต่างหาก มารวมกันแล้วก็แตกดับไป เป็นของไม่แน่ไม่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง มีแต่ทุกข์ ถ้าใครไปยึดถือ

    เรามาพิจารณาในส่วนอริยสัจ 4 ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริง ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละเสีย นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรทำให้เกิดให้มีแก่จิตแก่ใจของ ตัวเราเอง ชาติคือความเกิด ชรา คือความแก่ พยาธิคือความเจ็บ มรณะคือความตาย นี่เรียกว่าทุกขสัจจะ ทุกข์บังเกิดขึ้นมาจากไหน ทุกข์เป็นตัวผล สมุทัยเป็นตัวเหตุ สมุทัยคือกามตัณหาหนึ่ง ภวตัณหาหนึ่ง วิภวตัณหาหนึ่ง ความใคร่ในรูปที่สวยที่งาม ในวัตถุกามต่าง ๆ มีเงิน มีทอง มีข้าว มีของ เป็นต้น เรียกว่ากามตัณหา ความอยากมีอยากเป็น อยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่ อยากเป็นเศรษฐี คหบดีต่าง ๆ เป็นต้น เรียกว่าภวตัณหา ความไม่พอใจ ของได้มาแล้วหายไปก็เกิดความไม่พอใจ ร่างกายของตนก็ดี ของคนอื่นก็ดี เมื่อแก่ลงมา มีความชำรุด มีความเสื่อม เป็นของธรรมดา มีผมหงอก ฟันหัก แก้มตอบ เป็นต้น เลยไม่พอใจ หรือเสียเขาด่าเขานินทา ได้ยินเข้าก็เกิดความไม่พอใจ นี่เรียกว่าวิภวตัณหา ตัณหาทั้ง 3 ประการนี้ เป็นเหตุให้สัตว์ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารนี้ ในภพน้อย ภพใหญ่ นับกัปนับกัลป์ไม่ได้ ตัณหามันเกิดขึ้นจากไหน เราก็ต้องมาพิจารณาถึงเหตุมัน ว่าเหตุมันเกิดขึ้นจากไหน ก็จากอายตนะภายใน และอายตนะภายนอก มาสัมผัสกัน ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัสใจ รู้ธรรมารมณ์ องค์พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ให้เหมือนเต่า คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เพียรสำรวม เพียรละไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย ทำจิตให้เป็นกลาง ๆ วางเฉยต่ออารมณ์ นี่เรียกว่าการดับตัณหา การทำความเพียร การสำรวม และการทำความดีทุกอย่าง เพื่อละตัณหา นี่แหละเป็นทางมรรค

    เมื่อปัญญาเห็นความเกิดขึ้น ความดับไปของสังขารทั้งหลายทั้งปวง เห็นแน่ว่าไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงธาตุสี่ มาประชุมกันเข้าแล้ว ก็แตกสลายไปอย่างนี้ แต่ไหนแต่ไรมา คติธรรมมีการตั้งขึ้น มีอยู่แล้วดับไป พิจารณารู้เท่าทันในสิ่งเหล่านี้ไม่หวั่นไหว เรียกว่านิโรธ คือผู้วางเฉยต่ออารมณ์ ลูกหลานทั้งหลายเอ๋ย ที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมกันนี้ เรามาเพื่ออะไร เรามาเพื่อให้จิตให้ใจของเราเป็นสุขปราศจากความทุกข์ เรามาเพื่อให้จิตให้ใจของเราเข้มแข็ง มาเพื่อให้ใจของเราสบาย เราจงค้นพบตัวของตัวเอง ด้วยอำนาจแห่งปัญญา ว่ากายทั้งหลายนี่เราไม่ต้องการ เพราะอะไร เพราะกายนี้มันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อมีขันธ์ทั้ง 5 ตั้งอยู่ เราก็รู้ว่าขันธ์ทั้ง 5 ตั้งอยู่ ล้วนแล้วแต่เป็นของเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เราพึงไม่ต้องการในสิ่งเหล่านี้ เรามาพิจารณาเห็นตัวทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์แล้ว เหตุที่เกิดทุกข์คือสมุทัย เมื่อเหตุให้เกิดทุกข์ก็คือสมุทัย เพราะอย่างที่พูดไว้ตอนต้นแล้ว เหตุที่เกิดทุกข์คือสมุทัย คืออายตนะภายในและภายนอกมาสัมผัสกัน แล้วทางดับทุกข์ได้ก็คือมรรค มีองค์ 8 เป็นต้น เมื่อดับทุกข์แล้วก็เรียกว่านิโรธ ก็ขอให้ลูกหลานทั้งหลายพึงสำรวมจิต พึงสำรวมใจ ของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อต้องการอารมณ์แห่งพระนิพพาน มีความวางเฉยต่อกิเลส อาสวะทั้งหลายให้มันสิ้นเชื้อไป ลูกเอ๊ยหลานเอย จงตั้งมั่นในความดี อย่าเป็นคนประมาท ประมาทเมื่อไรชื่อว่าตายแล้วเมื่อนั้น ถ้าเธอทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาท เธอนั้นยังไม่ถึงความตาย เมื่อเธอไม่ประมาทแล้ว เธอจงมีสติยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยอารมณ์ใจทั้งหลายให้มันหลงเพลิดเพลินไปตามกิเลส ไปตามนิวรณ์ทั้งหลาย

    ลูกเอ๊ยหลานเอ๊ย แดนพระนิพพานยังรอพวกเราอยู่นะลูก จงตั้งมั่นอย่าหวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้ง 8 จงพยายามที่จะสร้างความดี สร้างอารมณ์ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต และสำรวมจิตของเราตั้งมั่นอยู่ในพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ตลอดเวลา แล้วลูกหลานทั้งหลายจะได้ผลคือพระนิพพานที่เราอธิษฐานบารมีกันเกิดขึ้นหมดทุกคน

    ขอให้พวกเธอทั้งหลายจงมีแต่ความสุข จงมีแต่ความเจริญงอกงามทั้งทางโลกและทางธรรม อย่าทิ้งขันติ อย่าทิ้งวิริยะ นะลูกเอ๊ยหลานเอย </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มาhttp://www.sawangburi.com/modules.ph...article&sid=41
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.sawangburi.com/modules.php?name=News&file=article&sid=44

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff></TD><TD width="100%" bgColor=#ffffff>บทสวดบทกลอนหลวงปู่: คำกลอนบูชาพระพุทธเจ้าแบบโบราณ จากหลวงปู่ทองดี อนีโฆ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2>
    <TABLE width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]อิติปิโส ภะคะวา........อะระหังสัมมา.........สัมพุทโธ
    นะโมลูกจะไหว้.........พระพุทธเจ้า..........ทั้งห้าพระองค์
    เมื่อจะดับจิตไป.........อย่าได้ไหลหลง......ขอให้ใจจำนง
    ตรงทางพระนิพพาน....ให้ได้พบดวงแก้ว.....ขอให้แคล้วบ่วงมาร
    ให้พบพระศรีอาริย์......ในลานพระเจดีย์......ให้ได้ไปบูชา
    พระจุฬามณี.............พระธาตุทั้งสี่..........ดินน้ำลมไฟ
    ได้แก้วสามดวง..........รุ่งเรืองสดใส.........รักษาภายใน
    กุศลาธัมมา...............


    อิติปิโส ภะคะวา......อะสาม มานัส...............พระพุทธเจ้าลงมาตรัส
    ได้แปดสิบปี..........เขาตัดขันธ์สี่................เขาแบกคัมภีร์
    เข้าสู่พระนิพพาน.....นิพพานประเสริฐ............ลูกขอไปเกิด
    ที่พระนิพพาน ........นิพพานประสูติ..............ลูกขอไปอยู่
    ที่พระนิพพาน ........ลูกจะไปไหว้พระพุทโธ.....ไหว้พระธัมโม
    ไหว้พระสังโฆ..........


    อิติปิโส ภะคะวา............นะโมพระแก้ว
    ท่านนิพพานไปเสียแล้ว....ทั้งสี่พระองค์ .........เหลือแต่ยอดพระไตร
    อย่าได้ไหลหลง...........สืบหาพระองค์.........ทั่วโลกโลกา
    พระพุทธเจ้า...............ของเรานี่เอ๋ย .........ไม่ทันเห็นเลย
    ลูกบุญน้อยหนักหนา......หล่อรูปแทนกาย.......ไว้ให้บูชา
    สวดมนต์ภาวนา...........เจริญพุทธคุณ .........พระเจ้าใจบุญ
    ล่วงลับไปเสียก่อน........ทิ้งสาวกไว้.............ไม่มีใครสั่งสอน
    เหลือแต่พระธรรม.........แนะนำสั่งสอน.........พระสงฆ์บวร
    สอนให้จำศีล .............สงสารมนุษย์..........ล่าสุดใจสิ้น
    แบกโง่โผผิน..............บินเข้ากองไฟ


    อิติปิโส ภะคะวา............พระพุทธเจ้า.................ของเรานี่เอ๋ย
    ไม่เคยเห็นเลย.............ลูกบุญน้อยหนักหนา........เห็นแต่รูปพระเจ้า
    ค่ำเช้าวันทา................สวดมนต์ภาวนา.............ถึงพระพุทธคุณ
    พระเจ้าใจบุญ..............นิพพานไปเสียก่อน.........เหลือแต่สาวก
    ตกอยู่ในสิงขร.............เวลาเข้าไต้.................ใครเล่าจะสอน
    ปีกหางยังอ่อน.............ใครเล่าจะสอนให้ลูกบิน.....สงสารมนุษย์
    ตายคุดไปทั้งสิ้น ..........แบกโง่โผผิน.................บินเข้าอัคคี
    มะอะอุทุกขัง..............มะอะอุอนิจจัง...............มะอะอุอนัตตา
    กุศลาธัมมา................

    หมายเหตุ: หลวงปู่ตรวจทานแล้วว่าถูกต้องตรงตามที่ท่านสวดทุกประการ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หากท่านใดมีความประสงค์จะดูว่าเณร(พระปลอม) ผมมีตัวอย่างเล็กๆน้อยๆให้ดูกัน บางพิมพ์นี่เห็นแล้วถึงบาดเจ็บสาหัสได้ บางพิมพ์แค่เจ็บเล็กๆน้อยๆ

    ติดตาได้ในหน้าที่ 134 ครับ
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=22445&page=134
     
  14. tum399

    tum399 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,908
    โมทนา สาธุ กับลุงหนุ่มที่นำเรื่องราวดีๆมาเผยแพร่เสมอ และมีข้อเตือนใจอีกตะหาก เดือนเมษาต้น&ตั้มจะบวชเณรภาคฤดูร้อนและจะฝากให้แม่ติดตามข่าวสารธรรม จากwebมาเล่าให้ฟังครับ ตัวแทนผมอยู่ข้างล่างครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • new.jpg
      new.jpg
      ขนาดไฟล์:
      779.5 KB
      เปิดดู:
      52
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มีนาคม 2007
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อยากไปงานบวชด้วยมากๆเลยนะ แล้วจะโทร.ไปครับ

    โมทนาสาธุครับ
    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=121096&NewsType=1&Template=1


    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ : การปล่อยสัตว์เพื่อ ‘สะเดาะเคราะห์’ จะสะเดาะเคราะห์หรือเพิ่มเคราะห์?


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาหมาด ๆ ได้ชมรายการ “จุดเปลี่ยน” ทาง “โมเดิร์นไนน์ทีวี” รู้สึกประทับใจและตรงใจผู้เขียนมากกับเรื่องการ “ปล่อยนกปล่อยปลา” รวมทั้งการ “ปลดปล่อยสัตว์” ของบรรดาสาธุชนทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็น “พุทธศาสนิกชน” แต่โทษทีกลับเป็น “พุทธศาสนิกชนคนปัญญาเบา” ที่ไม่น่ามานับถือ “ศาสนาพุทธ” กันเลยเพราะสักแต่อยากจะ “ทำบุญทำกุศล” แต่กลับทำบุญทำกุศลแบบ “ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง” เนื่องจากไป “หลงเชื่อ” ผู้ที่ทำมาหากินกับการ “นำสัตว์” มาขายเพื่อให้ผู้อื่นปลดปล่อยด้วยการปลูกฝัง “ความเชื่อ” กันอย่างผิด ๆ จนกลายเป็น “ความเชื่อ” ที่ “สุดงมงาย” อย่างไม่น่าให้อภัย

    เพราะการนับถือพระพุทธศาสนาที่เป็น “ศาสนาแห่งปัญญา” นั้นต้องรู้จักใช้สติปัญญาใคร่ครวญบ้างว่าสิ่งที่กำลังจะทำบุญนั้นมันเหมาะมันควรหรือไม่ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอพักเรื่องราวของวัตถุมงคลกระแสแรง “จตุคามรามเทพ” ที่มีการบิดเบือนและปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ไว้ชั่วคราวโดยขอนำเรื่องราวการ “ปลดปล่อยสัตว์” เพื่อเป็นการ “สะเดาะเคราะห์” ตามความเชื่อที่บรรดา “หมอ ดู” น้อยใหญ่ทั้งหลายนิยมให้ “มนุษย์” ไปปฏิบัติมานำเสนอเพราะผู้เขียนบังเอิญมีกิจธุระผ่านไปยัง “วัดระฆังโฆสิตาราม” ฝั่งธนบุรีซึ่งเป็นพระอารามที่ยอดเกจิอาจารย์แห่ง “กรุงรัตนโกสินทร์” ซึ่งก็คือ “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” จำพรรษาอยู่ที่นั่นมีการกระทำที่ไม่ค่อยเหมาะ ไม่ค่อยควรนักเพราะถือเป็นการ “แอบแฝงกำแพงบุญ” แถมด้วยการปลูกฝังความเชื่องมงายไร้เหตุผลและสร้างความเดือดร้อนให้กับบรรดา “สัตว์ทั้งหลาย” ที่พวกเขานำมาหลอกขายให้บรรดา “สาธุชนคนปัญญาเบา” นำไปสร้างเวรสร้างกรรมต่อนับว่าน่าอเนจอนาถใจยิ่งกับธุรกิจที่สร้างความเดือดร้อนให้สัตว์เหล่านั้น

    จากที่ได้ชมรายการ “จุดเปลี่ยน” ดังกล่าวจึงได้ทราบปัจจุบันยังมีการสร้างความเชื่อให้ “ผู้คนงมงายไร้สาระ” อย่างเช่น “ถ้าปล่อยปลาช่อน” จะได้ “ช้อนเงินช้อนทอง” ตรงนี้ล่ะที่ผู้เขียนข้องใจเพราะไม่รู้ “มันเกี่ยวกันตรงไหน”

    และกับอีกความเชื่อที่ว่า “ถ้าปล่อยปลาทับทิม...ความรักจะสดชื่นสมหวัง” ซึ่งหากเป็นจริงดังว่า “ปลาทับทิม” ที่จะปล่อยนี้คงเป็น “ปลาทับทิมสายพันธุ์ใหม่” ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ “คนที่มีความรักสมหวัง” ผู้เขียนก็ยิ่งข้องใจ “มนุษย์จะรักจะชอบกัน” และ “จะสมหวังหรือผิดหวัง” ไฉนต้องให้ “ปลาทับทิม” เป็นผู้กำหนดหากมีการปลูกฝังความเชื่อที่แสนจะ “งมงาย” แบบนี้ผู้เขียนก็บอกได้ว่าประเทศไทยจะเต็มไปด้วย “คนบ้าห้าร้อย” ที่จะหันมานับถือ “ปลาทับทิม” เป็นเทพเจ้าอีกอย่างแน่นอน

    แม้กระทั่งการปลูกฝังที่ว่า “หากปล่อยปลาไหล เงินทองจะไหลมาเทมา” ถ้าเป็นแบบนั้นจริง “คนไทย” ทั่วประเทศคงไม่ต้อง “ทำมาหากิน” อะไรแล้วเพราะวัน ๆเอาแต่ซื้อหรือจับ “ปลาไหล” มาปล่อยก็จะ “ได้เงินได้ทอง” ช่างเป็นการสรรหาเรื่อง “หลอกลวง” เพียงเพื่อ จะได้เงินโดยแท้เลยและอีกเรื่องที่ปลูกฝังกันด้วยเรื่อง “ถ้าปล่อยปลาหมอชีวิตจะไร้โรคภัยมาเบียดเบียน” ช่างเป็นการสรรหา “ความเชื่อ” มาหลอกลวงกันได้ดีแท้เพราะ “มนุษย์ทุกคน” เกิดมาย่อมหนีไม่พ้นกับเรื่อง “เกิด แก่ เจ็บ ตาย”

    ดังนั้นกับความเชื่อที่ปลูกฝังว่าหากไม่อยากมีโรคภัยต้อง “ปล่อยปลาหมอ” โถ ๆ ๆ...หากมัวแต่จะคอยปลดปล่อย “ปลาหมอ” เพื่อจะได้ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนโลกนี้ไม่ต้องมี “คุณหมอ” ก็แล้วกัน

    นอกจากนี้การปลูกฝังคำว่า “ถ้าปล่อยปลาบู่... ก็จะได้ลูกกตัญญูรู้คุณ” ก็ไม่รู้ผู้บัญญัติคำพูดนี้เป็น “ศาสดา” มาจากไหน “สุดบรมโง่” โดยแท้เพราะการปล่อย “ปลาบู่” ก็คือการปล่อยปลาธรรมดาทั่วไปคือ “ปล่อยมาก” และปล่อยเรื่อย ๆ ก็จะได้บุญมากและได้บุญเรื่อย ๆ จึงไม่เกี่ยวกับจะได้ “ลูกกตัญญู” หรือ “ไม่กตัญญู” เนื่องจากคนเรามี “กรรมติดตัว” มาแต่ปางก่อนทุกคนหากชาติที่แล้ว “ทำบุญไว้ดี” ชาตินี้ก็จะมีความสุขแต่หากชาติที่แล้ว “ทำบุญไว้น้อย” ชีวิตชาตินี้ก็จะ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ นี่คือ “สัจธรรม” ที่เป็นความจริงหากจะได้ลูก “กตัญญู” หรือ “อกตัญญู” ทุกประการก็ขึ้นอยู่กับ “กรรมเก่า” ทำไว้แบบใดดังนั้นเรื่อง “ปล่อยปลาบู่” หากไปเชื่อตามนิทานโบราณเรื่อง “ปลาบู่ทอง” แล้วเอามายึดมั่นเป็น “ความเชื่อ” ก็บอกได้ว่านั่นคือพวก “พุทธศาสนิกชนคนปัญญาเบา” ที่แท้เลย

    แน่นอนการ “ปลดปล่อยสัตว์” ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใดให้เป็น “อิสระ” หรือรอดพ้นจาก “ความทุกข์เข็ญ” หรือ “ความตาย” ย่อมเป็น “เรื่องดี” สำหรับมนุษย์เพราะเป็นการช่วยเหลือ “สัตว์โลก” ให้พ้นทุกข์แม้สัตว์ทั้งหลายบนโลกเกิดมาเพื่อเป็น “อาหาร” ของมนุษย์แต่ “สัตว์ทุกชนิด” ก็รักชีวิตของมันเช่นกันดังนั้นเมื่อมีคติ “การปล่อยปลา” รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ อย่างเช่น “นก” เพื่อเป็นการ “ทำบุญสะเดาะเคราะห์” ก็ถือเป็น “เรื่องดี” ที่คนปล่อยได้บุญแน่แต่หากปล่อยแล้วกลับทำให้ชีวิตมัน “ทุกข์เข็ญมากขึ้น” คนปล่อยน่ะแหละ “จะได้บาปเพิ่มเท่าตัว” เพราะการปล่อยสัตว์ที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาลก็คือการได้ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้กลับไป “ดำรงชีวิต” ยืนยาวตามธรรมชาติแต่เวลานี้สภาพที่เป็นอยู่ก็คือ “หน้าวัดระฆังฯ” น้ำค่อนข้างสกปรกเพราะมีปลาสวายอาศัยอยู่มากมายวัน ๆ จึงมีผู้คนนำอาหารไปเลี้ยงเป็นการ “ทำบุญ” ก็เลยมีผู้คนนำสัตว์สำหรับเพื่อการปลดปล่อยอย่าง “นกกระจิบ” พร้อมปลาที่มีทั้ง “ปลาช่อน, ปลาหมอ, ปลาทับทิม, ปลาดุก, ปลาไหล ฯลฯ” เพื่อขายให้กับผู้สนใจการ “ปลดปล่อยสัตว์” โดยแนะนำการปล่อยสัตว์ชนิดใดก็จะได้บุญตามที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการจูงใจให้ “คนปล่อยงมงายตาม” แต่จากสภาพแวดล้อมที่เห็นคือ “น้ำสกปรก” แถมมีปลาสวายนับหมื่นตัวหากปล่อย “ปลาบู่ ปลาช่อน ปลาหมอ” ลงไปแล้วก็บอกได้ว่าถูกปลาสวายไล่งับไม่หลงเหลือแน่นอนก็เลยอยากถาม “ปล่อยเพื่อได้บุญ” หรือ “ปล่อยเพื่อได้บาป” กันแน่โยม???.
    “นายรู้สึก แสนรู้ชัด”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=119525&NewsType=1&Template=2

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=headline-normal>ครบเครื่อง เรื่องลายคราม : พระราชสาสน์ทองคำ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ไต้หวัน</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD class=messageblack> เมื่อปลายเดือนมกราคมผู้เขียนได้รับโอกาสไปเยี่ยมพิพิธภัณฑสถานพระราชวังแห่งชาติ (National Palace Museum) กรุงไทเปซึ่งตั้งอยู่ในตำบลไวซวงซี ซึ่งเป็นชัยภูมิอันเหมาะสมเนื่องด้วยมีภูเขาล้อมรอบเป็นดั่งกำแพงยักษ์ ถนนผ่านมีด้านเดียว คือ ด้านหน้า ซึ่งแต่ก่อนเป็นร่องสวนผัก ปัจจุบันเป็นสำนักงานและคอนโดใหญ่และมีที่จอดรถประจำทางระหว่างตัวเมืองไทเปและไวซวงซี

    พิพิธภัณฑสถานพระราชวังแห่งชาตินี้เป็นพิพิธภัณฑ์ใหญ่ที่มีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอด้วยการจัดนิทรรศการให้ทันสมัยตามความต้องการของตลาดของนักศึกษา ประชาชนและนักท่องเที่ยวโดยจัดเป็นโครงการแห่งชาติที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยี่ยมมาเยียนซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรทางสติปัญญาและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของนักท่องเที่ยวแบบทัศนศึกษา

    การจัดนิทรรศการจัดแสดงตามยุคของประวัติศาสตร์เน้นโบราณศิลปวัตถุชิ้นเยี่ยมของจีนนับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนมีราชวงศ์ เรียงลำดับมาจนยุคประวัติศาสตร์ตามราชวงศ์ต่าง ๆ แต่ได้แบ่งเน้นจัดแสดงวัตถุชิ้นเยี่ยมของแต่ละยุคแต่ละสมัย เช่น เครื่องหยก เครื่องสำริด กระเบื้องเครื่องถ้วย ภาพจิตรกรรม ตัวอักษรและพระพุทธรูปแบบมหายาน ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์สุ้งหรือซ้อง ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไคฟงหรือไคเฟง ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของราชวงศ์ โดยเฉพาะเตาหลู่หรือเตาจู ซึ่งมีสีเคลือบฟ้าอมเทาหรือเขียวอมฟ้ามีทั้งชนิดเคลือบแตกรานและไม่แตกรานเนื้อดินปั้นออกสีเทาอมน้ำตาล ขอบปากภาชนะมักออกสีชมพูบาง ๆ ซึ่งในโลกนี้ค้นพบแล้ว 70 ชิ้น แต่การจัดแสดงครั้งนี้ได้นำมาแสดงเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบในตู้เดียวกันถึง 21 ชิ้น จัดเพื่อประชดประชันความงามเครื่องถ้วยจูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์การจัดแสดง การจัดแสดงก็เป็นไปด้วยเทคนิคที่ทันสมัยแบบสุด ๆ โดยใช้ความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นมีหลักวิชาการแบบตะวันตกและมีการเอกลักษณ์แบบตะวันออก และมีความสง่างามและรสนิยมแบบราชสำนักในราชวงศ์สุ้ง (ค.ศ.960-1280) ซึ่งในการจัดแสดงมีทั้งคำอธิบายทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน มีภาพวิดีโอทัศน์แสดงแบบและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนผสมของน้ำเคลือบเพื่อดินปั้น แถมยังมี คู่มือ “Precious Ju ware” และก้อนดิน เนื้อดินปั้นพร้อม CD เป็นแบบให้ศึกษาเฉพาะด้าน ซื้อพร้อม DVD ด้วยเงิน 500 บาทก็สามารถเป็นเจ้าของได้ ความสำคัญของเครื่องถ้วยจู (JU) นี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญเป็นอาหารทางสายตาสติปัญญาและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของประวัติศาสตร์ยุครุ่งเรืองแห่งปรัชญา และความงามเหนือจินตนาการนอกพิภพที่มีความงามปีติอย่างยากที่จะพรรณนาได้ดั่งน้ำตากวี (ไม่ใช่น้ำตานักการเมือง) วันนี้ออกจะร่ายยาวไปหน่อยต้องขออภัยจนเกือบ จะลืมเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนซึ่งผู้เขียนเองก็ไหลเลื่อนเคลื่อนคล้อยไปดังน้ำเคลือบที่เกินอุณหภูมิไป

    ถัดไปเป็นห้องที่ผู้เขียนต้องตะลึงและมึนงงกับพระราชสาสน์ทองคำนพคุณหนัก 1 ตำลึงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งเป็นยุคแห่งเงื่อนงำยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ความเป็นชาติไทยมักมีคำถามต่าง ๆ อย่างไม่หยุดสิ้นว่าพระเจ้าตากหายไปไหนสิ้นพระชนม์อย่างไร ทรงเสียสติไปจริง ๆ หรือ ซึ่งไม่ขอกล่าวถึง เพราะประวัติศาสตร์เองก็มิได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นความจริงทุกขั้นทุกตอนมันย่อมขึ้นอยู่กับผู้จดบันทึกผู้สั่งให้บันทึกผู้ตรวจบันทึกและองค์ประกอบหลายอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมของสังคมตามยุคตามสมัยหากจะชำแหละชำระจนชำรุดก็เป็นเรื่องของนักประวัติศาสตร์ตัวจริงซึ่งคงตายไปนานแล้ว แต่ยังคงมีนักประมวลประวัติศาสตร์จากจดหมายเหตุต่าง ๆ ที่โลกในสมัยนั้นได้บันทึกไว้อย่างหลายคนดูด้วยสำนึกแห่งความรักชาติแต่ผู้เขียนกลับดูเป็นหนังตลกไปแต่ก็เป็นหนังตลกแบบตลกกรมศิลป์ซึ่งเป็นสื่อและเบื้องลึกเบื้องต้นที่สำคัญแห่งความเป็นเชื้อชาติที่สำคัญเหมือนใครบางคนที่ปลื้มกับพระเอกในนิยายอิงประวัติศาสตร์ผู้ชนะสิบทิศ โดยลืมไปว่ากำลังถูกครอบงำแห่งโลกมายา ยกคู่ศึกของชาติให้เป็นพระเอกในเรื่องไป โดยการครอบงำแห่งมายาของตัวละคร กว่าจะมีสติเกือบ ๆ เสียเมืองไป อันว่าเอกสารชุดนี้เป็นเอกสารสำคัญในชุดจดหมายเหตุความสัมพันธ์ต่างประเทศกับจีนที่อยู่ในเรื่องของจีนที่ทำการค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ กันในภาคพื้นเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพม่า เวียดนาม สยาม ลาว เขมร มลายู และอื่น ๆ อันเนื่องจาก Palace Museum นี้ได้รวบรวมจดหมายเหตุและภาพจิตรกรรมจากพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ์จีนหลายยุค หลายสมัย มาไว้ในที่เดียวกัน โดยท่านประธานาธิบดีเจียง ไค เจ๊ก ได้ย้ายหนีสงครามมาจากแผ่นดินใหญ่มาสู่ไต้หวันดินแดงแห่งความสวยและปลอดภัยเมื่อราวครึ่งศตวรรษที่แล้ว เอกสารสำคัญต่าง ๆ จึงถูกเก็บรักษาไว้ใน Palace Museum แห่งนี้ สาระที่น่าสนใจสำหรับคนไทยก็คือ จดหมายเหตุอันเป็นพระราชสาสน์และจดหมายเหตุกำกับบังคับของเอกสารสำคัญนี้อีก 2 แผ่น เขียนเป็นอักษรและภาษาจีนตัวหลวงหรือตัวอารักษ์พัดเป็นแผ่นแบบหนังสือ “ขอเฝ้า” แยกออกจากพระราชสาสน์ทองคำอักษรและภาษาไทยจารเป็นตัวอักษรใหญ่ 6 บรรทัด มีขนาดกว้าง 28.5X16.3 เซนติเมตร ปัดด้วยชาดสีแดงทำให้ตัวอักษรไทยอ่านได้ชัดเจนเป็นเอกสารลงวันที่ 26 เดือน 5 ค.ศ. 1781 (พระเจ้าเฉียนหลงปีที่ 46) ซึ่งพระเจ้าตากสินมหาราชทรงส่งราชทูตพร้อมด้วยพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปจีน มีพระยามหานุภาพเป็นราชทูต ครั้งนี้พระเจ้ากรุงจีนทรงยอมรับและมีพระบรมราชานุญาตให้กรุงสยามส่งเครื่องบรรณาการ (จิ้มก้อง) สืบต่อไป กับทั้งให้ราชทูตเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสาสน์แด่พระเจ้าเฉียนหลงจักรพรรดิ์จีนดังมีรายละเอียด ดังนี้

    26 พฤษภาคม ค.ศ. 1781 (พ.ศ. 2324) ที่ 46 รัชกาลพระเจ้าเฉียนหลง พระเจ้าตากสินทรงส่งราชทูตพร้อมด้วยพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปจีน มีพระยามหานุภาพเป็นราชทูต ครั้งนี้พระเจ้ากรุงจีนทรงยอมรับและมีพระบรมราชานุญาต ให้กรุงสยามส่งเครื่องราชบรรณาการสืบต่อไป กับทั้งให้ราชทูตเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสาสน์

    วันที่ 29 มิถุนายน มีรายงานว่ากว่างตุ้งมีเรือสินค้าออกจากไทยเดินทางกลับกว่างตุ้ง ในเรือมีขุนนางไทย 3 คน นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระเจ้ากรุงจีนพร้อมด้วยทหาร 15 คน และเชลยจากพม่าอีก 6 คน

    วันที่ 1 กรกฎาคม ขุนนางไทยได้นำพระราชสาสน์ของพระเจ้าตากสินไปถวายพระเจ้ากรุงจีน เจ้าเมืองกว่างโจวให้การต้อนรับท่านราชทูตพระยาสุนทรอภัยราชาซึ่งนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ทั้งกราบทูลว่าเจิ้นเจ้าหรือพระเจ้าตากสินทรงมีอำนาจยิ่งขึ้นถ้าพระเจ้ากรุงจีนทรงยอมรับเครื่องราชบรรณาการที่ส่งไป ซึ่งจะทำให้หัวหน้าก๊กอื่น ๆ ยอมรับพระเจ้าตากสินว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่ถูกต้องของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในระยะแรก ๆ ที่จีนทราบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในไทย พระเจ้ากรุงจีนไม่ทรงยอมรับว่าพระเจ้าตากสินทรงเป็นกษัตริย์ แต่ต่อมาพระเจ้ากรุงจีนทรงมีพระราชสาสน์แจ้งมายังเจ้าเมืองกว่างโจวหลายครั้งว่า ถ้าพระเจ้าตากสินมีพระราชสาสน์มาขอพระราชทานตำแหน่งพิเศษมาอีก ก็ให้รีบรายงานเข้ามายังเมืองหลวงทันที พระองค์ทรงพระราชทานตราตำแหน่งพิเศษให้

    จะเห็นได้ว่าในรัชกาลพระเจ้าตากสินนี้ พระองค์ทรงส่งราชทูตไปจีนรวม 8 ครั้ง พระเจ้ากรุงจีนจึงทรงยอมรับ ทำให้สามารถสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างจีนกับสยามได้ใหม่ ครั้งนี้ราชทูตได้รับการต้อนรับจากพระเจ้ากรุงจีน และราชสำนักจีนได้ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบการส่งเครื่องราชบรรณาการ และเตรียม ของตอบแทนให้ราชทูตนำกลับมาถวายพระเจ้าตากสิน แต่อย่างไรก็ดี พระเจ้าตากสินก็ยังไม่ได้รับตำแหน่งที่เป็นทางการจากจีน เพราะในฤดูร้อนปีที่ 47 รัชกาลพระเจ้าเฉียนหลง เมื่อราชทูตสยามได้นำของขวัญกลับมาจากจีน ระหว่างการเดินทางที่จะถึงสยาม พระเจ้าตากสินก็ถูกปลงพระชนม์

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกซึ่งครั้งนั้นทรงดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาจักรี ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อมาและราชสำนักจีนได้ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นชามาดา (ลูกเขย) ของพระเจ้าตากสิน

    พระเจ้าตากสินทรงครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1761-1782 หรือ พ.ศ. 2310-2325 ส่วนพระเจ้าเฉียนหลงครองราชสมบัติในราชวงศ์เมนจู ค.ศ. 1736-1796 หรือ พ.ศ. 2279-2339 (60 ปี) ในยุคนั้น ในพระราชสาสน์เป็นเรื่องประเพณีจิ้มก้อง เพื่อธุรกิจ การค้าและการเมืองในยุคสมบูรณญาสิทธิราชที่สำคัญมากในเอกสารยังได้กล่าวถึงช้างและควาญที่ส่งไปถวาย 4 เชือก งาช้าง กำยาน พรหมยุโรป นาฬิกายุโรป นอแรด การบูร หางนกยูง ไม้หอมนานาชนิด เช่น ไม้กฤษณา ไม้ฝาง (ใช้ย้อมผ้าสีแดง) และไม้สมุนไพรต่าง ๆ พริกไทย และที่สำคัญ คือ จินกังจ้วง หรือวัชชิระเป็นพุทธอาวุธของพระโพธิสัตว์-อวโลกิเตศวร ที่กำจัดอวิชชาให้เกิดปัญญา แต่ถ้าคติทางพราหมณ์หมายถึง อาวุธของพระอินทร์อันเป็นเทพรุ่นเก่าใช้วัชชระเป็นอาวุธสายฟ้าซึ่งพระเจ้าเฉียนหลงทรงเป็นพุทธมามกะเช่นเดียวกันกับพระเจ้าตากสิน ทรงทราบเรื่องดี น้ำผึ้งและขี้ผึ้งและอื่น ๆ การจัดแสดงนั้นได้นำเจียดประดับมุกลายพุ่มข้าวบิณฑ์บนลายช่องกระจกมีรัศมีขนนกหรือดอกบัวโดยรอบ ถุงผ้าเยียรบับไหมทอง แหวนทองและแท่งหมึกหรือก้อนชาประทับตรามังกรห้าเล็บปัดชาดตัวมังกรทำเป็นมังกรหน้าอัด สำหรับก้อนชาสหรือหมึกก้อนนี้ไม่ทราบว่าเป็นของจีนเองหรือเป็นตราประทับรับรองของพระราชสาสน์และบัญชีสิ่งของแนบมาอีก 2 ฉบับ รวม 9 หน้า 36 บรรทัด กับหนังสือภาพภูมิศาสตร์และประวัติประเทศต่าง ๆ เรียงโดยจิตรกรราชสำนักราชวงศ์ชิงชื่อ เซี่ยสุ่ย อีก 1 ม้วน มีภาษาจีนและภาษาแมนจูกำกับ ค.ศ. 1736-1795 ซึ่งเอกสารดังกล่าวถือเป็นหลักฐานสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ของการทูต การศึกษา และเผยแพร่ทางวัฒนธรรมที่ควรจะมีการประสานงานเพื่อความรู้ในวงการศึกษาที่ขาดหายไปในด้านเอกสารสำคัญอันเป็นหัวใจของประวัติศาสตร์หน้าใหญ่ยุคใหม่แห่งยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติอย่างถล่มทลายอย่างไม่เคยมีมาในยุคก่อน ๆ

    จากพระราชสาสน์ทองคำและบัญชีแบบสิ่งของถวายต่าง ๆ นั้นทำให้ระบบจิ้มก้องดำเนินไปโดยคณะฑูตคณะสุดท้ายที่ส่งไปเป็นผลให้จีนรับรองฐานะของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ เจิ้นเจาแห่งสยามประเทศให้เป็นพระมหากษัตริย์แบบเต็มรูปแบบที่สากลยอมรับ แต่ก็ยังเป็นปมปริศนาสำคัญเกิดปรับเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างไม่คาดฝันเกิดเหตุการณ์จราจลวุ่นวายจนทำให้ประวัติศาสตร์สำคัญหน้านี้เปลี่ยนที่ไปในที่สุดแม้นขุนศึกคู่บัลลังก์เช่น พระยาพิชัยดาบหัก ก็ต้องดับชีพไปเพื่อเป็นกษัตริย์พลีในที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดคำว่า ข้าสองจ้าวบ่าวสองนาย ขอตายไปให้สมศักดิ์ศรี อย่างชายชาติทหารเสือ จะดีกว่าให้โลกดูแคลน!

    การตายของพระยาพิชัยดาบหักนักรบผู้กล้าแห่งยุค กอบกู้เอกราชย่อมสะท้อนเหตุการณ์ในเฮือกสุดท้ายแห่งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งพระเจ้าเฉียนหลงอาจจะทรงเข้าพระทัยดีถึงผลกระทบในด้านการเมืองของสยามเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ได้ครองราชสมบัติแผ่นดินจีนมาอีก 14 ปี พระเจ้าแผ่นดินสยามเองก็ได้ใช้พระนามของพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นการติดต่อค้าขายกับจีนตลอดมาในนามของ เจิ้น หรือแต้ นั่นเอง ซึ่งแปลว่า ตั้งอยู่สถิตอยู่ ดำรงอยู่แล้วต่อด้วยพระนามแห่งกษัตริย์แหงกรุงรัตนโกสินทร์มาจวบจนรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นยุคฝรั่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เปลี่ยนขั้วการปกครองเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของผู้คนบนโลกใบเล็กๆ แห่งนี้อย่างมิอาจจะช่วยได้! โอ้ อนิจจาดาบของชาติ...?.
    ภุชชงค์ จันทวิช
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=120340&NewsType=1&Template=2

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=headline-normal>ครบเครื่องเรื่องลายคราม : ‘ลายเซียน ลายคราม’</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD class=messageblack> คำว่า เซียน ดูเหมือนว่าจะเป็นคำที่ออกจะคุ้นหูแต่ไม่คุ้นตาอยู่เสมอ คำว่า เซียน ซึ่งเป็นภาษาจีนจึงเป็นคำหนึ่งที่อยู่ในภาษาไทยอยู่ในหลายที่หลายวงการ เช่น เซียนพนัน อันหมายถึง พนัน ม้า มวย หวย ไก่ และวัว แต่ถ้ามีการแข่งช้างก็น่าจะเซียนพนันช้างหรือเซียนช้างเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นไปได้

    อันที่จริง เซียนพนัน เป็นผู้สำเร็จของลัทธิเต๋าที่ยึดถือการไม่ตายเป็นหลัก ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้งมาก เป็นเหมือนคนที่มีอำนาจชั้นอภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้และสามารถทำอะไรที่มนุษย์สามัญธรรมดาทำไม่ได้

    เซียน จึงเป็นคำยกยอกึ่งประชดประชันให้คุ้นหูเล่นและดูเหมือนจะชมคนที่ฉลาดแกมโกง เช่น “เอ็งนี่เป็นเซียนพระเครื่องนี่หว่า” ก็หมายถึงนักเล่นพระเครื่องที่มีการหักเหลี่ยมเฉือนคมเป็นพวก ๑๘ มงกุฎ จำพวกนั้น แต่ ๑๘ มงกุฎความจริงเป็นกลุ่มคนดีในวรรณคดีอินเดียผสมไทยในเรื่องรามเกียรติ์ไม่ได้ชั่วร้ายตามความหมาย ของ ๑๘ มงกุฎอย่างในปัจจุบัน

    โป๊ยเซียน เป็นคำเรียกเซียนกลุ่มหนึ่งที่เคยเป็นธรรมดาแต่มีพฤติกรรมแปลก ๆ เป็นคนมีฤทธิ์ ช่วยคนและสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่พอมาถึงเมืองไทย คำว่า โป๊ยเซียนก็มีความหมายแตกต่างกันไป เพราะคำว่า โป๊ย หรือ ปา ออกเสียงยาว ๆ ว่า ป๋า นั้นหมายถึงเลย ๘ ซึ่งเป็นเลขที่เขียนแบบฝรั่งเป็นการลากเส้นที่ยาวแบบไม่รู้จบ ถือเป็นมงคลชนิดหนึ่ง เลขแปดถือเป็นมงคล เช่น แปดทิศ หรืออัฐทิศ ซึ่งเป็นพระนามของพระที่นั่งสำคัญองค์หนึ่ง เลขแปดในทางไสยศาสตร์หมายถึง พระอรหันต์ ๘ ทิศ ซึ่งอาจหมายถึงแปดเซียนนั่นเอง หรือยันต์ โป๊ยก่วนที่ใช้รหัสสั้น ๆ ยาว ๆ สั้น ๆ ยาวสั้น สลับกันไป ตรงกลางทำเป็นรูปปลาอมหางกัน นิยมเรียกกันว่า หยิน-หยัง ในลัทธิเต๋า ซึ่งจะเห็นได้จากธงชาติของประเทศเกาหลีนั้นเอง ซึ่งในวงการ ๑๐๘มงคล ถือเป็นยันต์กันผีที่สำคัญยันต์หนึ่ง

    นอกจากยันต์โป๊ยก่วนแล้ว คำว่า โป๊ยเซียน ยังไปเกิดเป็นต้นตำรับชื่ออันเป็นมงคลของต้นไม้มีหนาม คือ ต้นโป๊ยเซียน นั่นเอง ต้นโป๊ยเซียนนั้นออกดอกสีแดง ซึ่งชาวจีนถือเป็นสีมงคลสีแห่งการต้อนรับปีใหม่ ต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีต่อชีวิต ต้นโป๊ยเซียนนี้มีเคล็ดลับว่าถ้าจะเป็นต้นไม้เสี่ยงทายต้อง “แฮบ” มา อย่าไปขอเจ้าของเพราะจะทำให้เสื่อมเวลาเสี่ยงทาย เวลาออกดอกจะออกเป็นช่อ ถ้าช่อใดมีแปดดอกขึ้นไปถือเป็นการเสี่ยงทายว่าเจ้าของจะโชคดีหรือกำลังจะมีโชค ให้ทำขวัญด้วยการนำโบหรือผ้าสีแดงผูกทำขวัญที่ต้นนั้น จุดธูปติดอินเทอร์เน็ตบอกกล่าวไปยังแปดเซียน ขอให้อำนวยอวยพรทำให้เกิดความสุข อย่าให้มีโรคพยาธิ แม้นเจ้าหนี้มาก็ขออย่าให้เจอะให้เจอ เจ้าประคุณเอ๋ย

    ส่วนในวงการ “กิน” นั้นก็เป็นอาหารชนิดหนึ่งเป็นการผัดกึ่งแห้ง ๆ ด้วยวุ้นเส้น เห็ดหูหนู กุ้งแห้ง ดอกไม้จีน ผักขึ้นฉ่าย หมู กระเพาะหมู ปลาหมึกแห้งแช่ และฟองเต้าหู้ ก็แล้วแต่สูตรใครสูตรมัน เคยเป็นอาหารยอดนิยมเพราะถือเป็นอาหารมงคลอย่างหนึ่ง กินแล้วเฮง เฮง รวย รวย ซวย ซวย ออกไป

    แต่ถ้าเป็นเครื่องถ้วยกะลาแตกแล้ว ลายโป๊ยเซียน เป็นลายภาพบุคคลที่เก่าแก่มากลายหนึ่ง เพราะการเขียนลายบนเครื่องลายครามนั้นนิยมกันมากมีทั้งเขียนบนถ้วย จาน ชาม ชุดชา กระโถน กา และปั้นเป็นตุ๊กตาก็นิยมกัน แต่ยุคดึกดำบรรพ์โดยเฉพาะลายโป๊ยเซียนสีนั้นถือเป็นชุด “โต๊ะ” ที่เลิศที่สุดในยุค ร.๔, ร.๖ ของไทย แต่ปัจจุบันก็หาโต๊ะให้ครบชุดนั้นยากเต็มที ของชิ้นใหญ่ลายโป๊ยเซียนที่นำมาให้ชมกันนั้นเป็นหม้อน้ำ หรือ “กลด” ลายครามเป็นรูปทรงและหุ่นแบบนิยมไทย แต่เขียนลายจีนเป็นความนิยมชมชอบของคน “รุ่นปู่รุ่นทวด” ที่สั่งไปให้จีนทำตามความต้องการของตลาดไทย เช่นเดียวกันกับในยุโรปที่ชอบออกแบบ “ฝรั่ง” ทำตามแบบฝรั่งที่เรียกกันว่า “ฝรั่ง” กังไส นั่นเอง แต่ถ้าจะใช้คำว่า “สยามกังไส” ก็น่าจะเป็นไปได้

    สำหรับชุดโป๊ยเซียนหรือแปดเซียนนั้นมักเขียนตามรูปดังนี้

    ขอเริ่มด้วยเซียนองค์ที่หนึ่งคือ หลีทิไกว้หรือหลีถิก่วน ตอนเป็นคนท่านแซ่หลี เป็นคนมณฑลชื่อฉวนหรือเสฉวน เล่ากันว่าอยู่ในสมัยราชวงศ์จิวหรือโจว ยุคก่อน ค.ศ. ๑๑๒๒-๑๗๐๐ เป็นยุคก่อนพระเจ้าฉินชีสร้างกำแพงเมืองจีน ก่อนยุคราชวงศ์ฮั่น ลักษณะเป็นชายพิการมีไม้เท้าและน้ำเต้าเป็นสัญลักษณ์ เดิมทีท่านเป็นคนขาดี รูปหล่อเอาการ แต่ท่านเป็นผู้สนใจธรรมแบบเต๋า จึงไปสนทนาธรรมกันท่านเล่าจือ ผู้เป็นบรมศาสดาของลัทธิเต๋า การไปท่านไม่ได้ไปเองต้องนั่งถอดจิตสั่งใจไปสนทนาแบบเซียนนิยมกันไม่งั้นท่านเล่าจือจะไม่สนทนาด้วย

    ขณะไปก็มีศิษย์ชนิดเสี่ยวเอ้อเฝ้าร่างกายที่นั่งสมาธิอยู่นั้นสั่งว่าจะไป ๓-๔ วันก็จะกลับห้ามใครเข้ามา ไม่รับแขก ว่าแล้วท่านหลีก็ไปปฏิบัติธรรมสนทนาธรรม ย่างเข้าวันที่ ๓ ต่อวันที่ ๔ ท่านอาจารย์หลีก็ยังไม่กลับมา พอดีมีคนมาบอกข่าวว่า แม่ของเสี่ยวเอ้อผู้นั้นตายลง เสี่ยวเอ้อจำเป็นจะต้องไปปลงศพแม่ แต่ก็เป็นห่วงร่างของอาจารย์ คอย ๆ จนย่างเข้าวันที่ ๔ ก่อนเพล เสี่ยวเอ้อเห็นอาจารย์หลียังไม่กลับมาก็ตัดสินใจนำอาจารย์นั้นปลงศพด้วยการเผาเสีย เพราะจำเป็นจะต้องเดินทางให้ทันก่อนตะวันตกดิน เนื่องด้วยสมัยนั้นไม่มีห้องเย็น น้ำแข็ง หรือยาฉีดอะไร ศพถ้าข้ามวันข้ามคืนก็จะมีปัญหามาก ศิษย์รักอาจารย์หลีจึงปลงศพอาจารย์เพื่อจะไปงานศพมารดา อาจารย์หลีกลับมายังถ้ำที่อาศัย วิญญาณไม่สามารถเข้าร่างได้จึงเดินคิดอยู่สักพักก็เข้าตลาดไปบังเอิญระหว่างเดินทางเข้าตลาดนั้นก็พบเซียนเมา คือ ขอทานขี้เมานอนตายตาลืมโพลงอยู่ วิญญาณของท่านหลีจึงอาศัยร่างขอทานนั้นอยู่ต่อมา เพราะตามกฎแห่งเซียนไม่อาจให้ตะวันลับฟ้าได้ต้องหาร่างเข้าให้ทันตะวันตกดิน แต่วันนั้นมีแต่ขอทานคนเดียวที่ตายลงจึงจำเป็นต้องอาศัยร่างนั้นมาตลอด ในรูปจะเป็นชายขอทานขาพิการ ใช้ไม้เท้าและเหยือกน้ำเต้าเป็นสัญลักษณ์ของหลีทิไกว้หรือหลีถิก่วน แห่งมณฑลชื่อฉวน

    องค์ที่ ๒ ฮ่อเซียงโกว สัญลักษณ์คือดอกบัวหรือเฮี้ยงเน้ย เป็นคนมณฑลกว้างตุ้งเมืองเล่งเล้ง อำเภอจุงเซียม เฮียเน้ยได้กินลูกท้อหมื่นปีของเซียนใหญ่จึงเป็นอมตะตามความเชื่อของลัทธิเต๋าเป็นที่นับถือของแม่บ้านผู้มีหน้าที่เป็นนักถักร้อยถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่มเย็นเป็นสุขของครอบครัว

    องค์ที่ ๓ เซียนน่าไฉฮั้ว เซียนองค์นี้มีชื่อคล้ายร้านซักแห้งในเมืองไทย เกิดที่เมืองฉางอัน ถือกระเช้าดอกไม้เป็นสัญลักษณ์เป็นคนแปลกโดยชอบใส่รองเท้าข้างเดียว ใส่เสื้อหนามากในฤดูร้อนและตรงกันข้ามในฤดูหนาวกลับใส่เสื้อบางเปิดหน้าอกหรือถ้าอากาศหนาวมาก ๆ กลับไม่ใส่อะไรเลยเป็นศิษย์ของหลีทิไกว้หรือหลีถิก่วนนั้นเอง มักทำเป็นรูปคนที่ขี่นกกระเรียนบรรดาชาวไร่ชาวนานับถือเซียนองค์นี้

    องค์ที่ ๔ เซียนฮั้งจงหลี มีสัญลักษณ์คือ พัดขนไก่ เป็นคนในตระกูลขุนนางผู้ใหญ่เป็นคนมีสติปัญญาศึกษาวิชาการทหารและอักษรศาสตร์เป็นเทวดารักษาห้องสมุด

    องค์ที่ ๕ เตียก๋วยเหลา เป็นชายชราหนวดเคราขาวเหมือนปุยฝ้ายสวมหมวกผ้า มือถือกรับคู่ เป็นคนสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. ๖๑๘-๙๐๗) ชาติกำเนิดเดิมเป็นค้างคาวเผือกขี่ลา แต่ถ้าต้องการไปเร็วก็เรียกเมฆมานั่งไป เรียกว่าถนัดทั้งทางบกและทางอากาศ

    องค์ที่ ๖ เซียนฮั้งเซียงจือ เป็นหลานเสนาบดีฮั้งขุนกงเป็นศิษย์เซียนลือท่งปิน สัญลักษณ์เป็นขลุ่ย สามารถเสกดอกไม้ผลไม้นอกเหนือฤดูกาล สามารถดับพายุลมฝนหิมะได้ และมีขลุ่ยวิเศษเป็นของคู่กายสามารถให้ผู้ฟังคลายทุกข์โศกลงได้ เป็นเทพทางดนตรีและอุทกภัยของจีน

    องค์ที่ ๗ เซียนเฉาก๊กกู๋ เดิมแซเฉา ชื่อเตียง จึงชื่อเช่าเตียง แต่คงไม่ใช่เตียงแถวพัทยา มียศศักดิ์เป็นน้าของฮ่องเต้ในราชวงศ์ช้อง (ค.ศ. ๙๖๐-๑๒๘๐) เป็นเทพเจ้าของดนตรีเป็นนักปราบฉ้อราษฎร์บังหลวงตัวยง ซึ่งคณะ ป.ป.ช. น่าจะนิมนต์มาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลของงาน

    องค์ที่ ๘ เซียนง้ำท่งปิน คนเมืองฟู่จิว อำเภอหยงลัก คนทั่วไปเรียกว่า ลื่อทิงปิน เดิมเป็นนายอำเภอชอบศึกษาปรัชญาเต๋าและลาออกจากนักปกครองมาบวชเป็นนักพรตในลัทธิเต๋า มีนามฉายาว่า ซุ่งเฮี้ยง อยู่ที่ภูเขาน่ำซัว เป็นเซียนมือปราบกระบี่บิน เคยฆ่ามังกรทะเลและปราบปรามคนชั่วของแผ่นดิน ช่างตัดผมในเมืองจีนนับถือบูชาเป็นพิเศษลักษณะเป็นชายกลางคนไว้หนวดเครายาวเกล้ามวยเสียบกระบี่ไว้ด้านหลัง มือถือแส้ที่บังคับแดดลมและฝน ใช้กระบี่เป็นสัญลักษณ์มือปราบกระบี่บิน

    สำหรับในเมืองไทยเราได้พบโถลายโป๊ยเซียนพร้อมฝาลายเขียนสีแบบห้าสีของจีนที่บริเวณเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นลายโป๊ยเซียนอายุราว ค.ศ. ๑๕๒๒-๑๖๒๐ ตรงกับสมัยราชวงศ์หมิงหรือเหม็งและยังได้พบชามลายโป๊ยเซียนในเส้นทางตาก อมก๋อย เมาะตะมะอีกด้วย

    อนึ่ง การนับลำดับของโป๊ยเซียนนั้นมีหลายตำราโดยเฉพาะการลำดับตามรูปภาพนั้นมิอาจเรียงตามลำดับได้ จึงเรียงตามลักษณะของช่างเขียนที่มีความถนัดตามเนื้อที่และช่องไฟในการเขียนภาพนั้น จึงขอเรียนมาเพื่อทราบ ณ ที่นี้ด้วย. (คุณหมูลายครามเอื้อเฟื้อภาพ)
    ภุชชงค์ จันทวิช
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-copyright vAlign=top align=middle height=10>คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD style="HEIGHT: 2px" vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=119526&NewsType=1&Template=1

    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ : รู้เท่าทันกระแสไม่มีแพ้แน่นอน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวใดที่ดังไปกว่าข่าวงานพระราชทานเพลิงศพ “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” เพราะบรรดาเพื่อน ๆ สื่อมวลชนต่างพากันเสนอข่าวอย่างอึกทึกครึกโครมทั้ง “วิทยุ, หนังสือพิมพ์, โทรทัศน์” ที่มีทั้งฟรีทีวีและเคเบิลทีวีพร้อมผ่านดาวเทียมทั้งหลาย ยกเว้นเพียงสำนักข่าวต่างประเทศอย่าง “รอยเตอร์, ซีเอ็นเอ็น, เอเอฟพี, เบอร์นามา, อัลจาซีรา ฯลฯ” เท่านั้นที่ไม่ได้นำเสนอแต่หากท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” เป็นบุคคลสำคัญระดับโลกสำนักข่าวต่างประเทศเหล่านั้นก็คงจะต้องรายงานข่าวเป็นแน่แท้

    และสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีข่าวคราวงานพระราชทานเพลิงศพท่าน “จอมพลถนอม กิตติขจร” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเช่นกันแต่ข่าวของท่าน อดีตนายกฯ ท่านนี้ กลับไม่โด่งดังเหมือนท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” เลยทั้งที่เป็น “บุคคลที่สำคัญกว่า” ทั้งนี้คงเป็นเพราะ ปัจจุบัน “กระแสความนิยม” ในตัวท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีผลงานในอาชีพ “รับราชการตำรวจ” เป็นแบบอย่างที่ดีที่ของบรรดา “ตำรวจ” ทุกระดับควรนำเป็นแบบอย่างเนื่องจากท่าน “พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช” มีความซื่อสัตย์สุจริตและตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างดียิ่ง ซึ่งคุณงามความดีและผลงานของท่านสุดยอดและยอดเยี่ยมแบบใด คงไม่ต้องอธิบายขยายความกันอีกเพราะ “อ่านความจริง...อ่านเดลินิวส์” ก็มีการนำเสนอกันแล้ว และ ที่น่าทึ่งก็คือท่าน “อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี” นักวิชาการสายการ เมืองยังยก “ตัวอย่าง” ของคุณงามความดีของท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” ให้คณะรัฐบาลชุดปัจจุบันนำเป็นแบบอย่างทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะมิใช่เรื่องง่ายนักที่ “อาจารย์ธีรยุทธ” จะยอมรับใครง่าย ๆ เช่นท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” ท่านนี้

    และก่อนหน้าบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายจะนำเสนอข่าวคราวงานพระราชทานเพลิงศพท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ” นั้นก็มีกระแสความนิยมวัตถุมงคลชุด “จตุคามรามเทพ” เกิดขึ้นทั้งนี้เพราะการสร้างวัตถุมงคล “จตุคามรามเทพรุ่นแรก” เมื่อปี ๒๕๓๐ นั้นท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ” ก็มีส่วนร่วมเป็นเจ้าพิธีในการจัดสร้างซึ่งต่อมาวัตถุมงคลชุดนี้ได้รับ “ความนิยมมาก” จึงมีผู้สร้างวัตถุมงคลชุด “จตุคามรามเทพ” ออกมาจำหน่ายมากมายหลายสิบรุ่นและแต่ละรุ่นต่างก็ขายดิบขายดี และบางรุ่นราคาทะยานสูงขึ้นหลายสิบเท่าตัวก็มีเช่นกันนอกจากนี้ยังมีการประโคมข่าวเป็นระยะ ๆ ว่าในงานพระราชทาน เพลิงศพท่าน “พล.ต.ต.ขุนพุนธ์ฯ” จะมีการแจกวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกอีกด้วยก็ยิ่งทำให้ในวันงานหรือก่อนหน้าวันงานพระราชเพลิงศพมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงานเป็น “เรือนแสน” ราวกับว่าท่าน “พล.ต.ต.ขันพันธ์ฯ” เป็นพระเกจิอาจารย์หรือ พระวิปัสสนาจารย์ชื่อดังในอดีตอย่าง “หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงฯลฯ” ซึ่งในครั้งงานพระราชทานเพลิงศพพระเกจิอาจารย์หรือพระ วิปัสสนาจารย์เหล่านั้น ก็มีศรัทธาสาธุชนแห่แหนไปร่วมงานชนิดมืดฟ้ามัวดิน “วัตถุมงคล” ที่นำมาแจกเป็นที่ระลึกก็ไม่พอ แจกเช่นกันและต่อมาวัตถุมงคลรุ่นเก่า ๆ ที่สร้างและปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์เหล่านั้นก็ขยับขึ้นราคาขายอย่างมหาโหด “คนขายรวยคนซื้อกระเป๋าแฟบ”

    ซึ่งกระแสการปั่นราคาขายวัตถุมงคลของท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ” ก็ไม่ต่างกับงานพระราชทานเพลิงศพของ “พระเกจิอาจารย์” ดังที่กล่าวมาเพราะเท่าที่ทราบมาในวันงานพระราชทานเพลิงศพท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ” นั้น “พระผงรูปเหมือนขุนพันธ์ฯ หลังลายนิ้วมือ” ที่เจ้าภาพตั้งใจจะแจกในงานแต่ก็ได้มีการนำส่วนหนึ่งมาจำหน่ายล่วงหน้าผ่าน “สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย” ก่อนเพื่อสาธารณกุศลเป็นการเรียกน้ำย่อยไปในตัวซึ่งราคาเริ่มต้นจาก “องค์ละ ๓๐๐ บาท” (มีสามสี ดำ แดง ขาว ราคาเท่ากัน) “เหรียญรูปเหมือนเนื้อทองแดง” เหรียญละ “๕๐๐ บาท” และ “เหรียญรูปเหมือนเนื้อเงิน” เหรียญละ “๓,๐๐๐ บาท” เรียกได้ว่าราคาเริ่มต้นก็แพงมากพอแล้วสำหรับ “วัตถุมงคลใหม่” ซึ่งหน้ากล่องระบุว่าเพื่อ “สาธารณกุศล” ที่เจ้าภาพมีจุดประสงค์เช่นนั้น ก็ถือเป็นเรื่องของความพอใจที่จะ “ร่วมบุญร่วมกุศล” แต่ในวันงานพระราชทานเพลิงศพ “รูปเหมือนเนื้อเงิน” ขายกันที่เหรียญละ ๒๕,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท ส่วน “เนื้อผง” ขายกันองค์ละ ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท ซึ่งผู้เขียนถือว่า “แพงสุดโหด” แต่ก็มีคนบ้าดีเดือดยอมจ่ายโดยไม่ลังเล งานนี้ไม่เกี่ยวกับการกุศลเหมือนที่ระบุไว้ที่หน้ากล่องแต่เป็นเรื่องของ “คนโง่กับคนฉลาด” ซื้อขายกันเองและก็คงไม่ต้องบอกนะว่าใครคือ “คนโง่” และใคร “คนฉลาด” เพราะคำตอบบอกอยู่ในตัวชัดเจนแล้ว

    และจากการเปิดเผยของผู้รับผิดชอบต่อการสร้างวัตถุมงคล “พล.ต.ต.ขุนพันธฯ” รุ่นสำหรับแจกในงาน “พระราชทานเพลิงศพ” บอกว่า “เนื้อผง” และ “เหรียญเนื้อทองแดง” รูปเหมือน “พล.ต.ต. ขุนพันธ์ฯ” สร้างจำนวนสูงถึง ๑๓๐,๐๐๐ ชุด เรียกได้ว่ามีจำนวนมากมายเหลือเฟือต่อการเสาะหาในอนาคตซึ่งหากเข้าใจเรื่องกฎอุปสงค์อุปทานก็คงไม่มีกรณี “คนโง่และคนฉลาด” เกิดขึ้นโดยที่ “คนฉลาด” ก็จะฉวยโอกาสตอน “กระแสขุนพันธ์ฯแรง” โก่งราคาส่วน “คนโง่” ก็ตกเป็นเหยื่อไปตามกระแสโดยไม่รู้เลยว่า “กระแสแรง” ทั้งหลายนั้นมากันเป็นระยะ ๆ และมากันเป็นระลอก ๆ และเมื่อถึง “จุดอิ่มตัว” มันก็จะผ่านไปดัง “ตัวอย่าง” ที่มีให้เห็นมาแล้วอย่างเช่น “กระแสพระวัดปากน้ำรุ่นหก” แรงเป็นแบบใดและพอถึง “จุดอิ่มตัว” เป็นแบบใดแม้กระทั่ง “ให้กัน ฟรี ๆ” ยังไม่อยากได้เลยรวมทั้งวัตถุมงคลของ “พระเกจิอาจารย์” ต่าง ๆ ก็มีการปั่นราคากันอยู่เสมอมาเพื่อ “หลอกขายคนโง่” ที่หลงกระแสมาซื้อมาหากันนี่แหละคือ “การรู้ไม่เท่าทันกระแส”

    สำหรับวัตถุมงคลรุ่นแจกงานพระราชทานเพลิงศพ “พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ” รวมทั้งวัตถุมงคล “จตุคามรามเทพ” ก็เช่นกันผู้เขียนขอ “ฟันธง” ได้ว่าในไม่ช้าก็จะมีลักษณะเช่นดียวกับ “วัตถุมงคลกระแสแรง” ที่กำลังก่อเกิดเพราะนี่คือ “สัจธรรม” ของผู้ที่ยังมี “กิเลส” แต่หากรู้เท่าทันกระแสก็จะ “ไม่มีวันแพ้” ทุกกรณี.
    “นายรู้สึก แสนรู้ชัด”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=120339&NewsType=1&Template=2

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=headline-normal>รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ : ‘สติปัญญา’ เป็นสิ่งสำคัญ</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD class=messageblack> ดังได้กล่าวมาแล้วในฉบับก่อน ๆ ในเรื่อง “รู้เท่าทันกระแสไม่แพ้แน่นอน” ก็เป็นเรื่องของ “สติปัญญา” ที่เหตุผลทาง “พระพุทธศาสนา” เรียกว่า “พุทธิปัญญา” คือ ปัญญาที่รู้แจ้งและเห็นจริงตลอดเรียกว่าเป็น “สติปัญญา” ที่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดีดังนั้น “การรู้เท่าทันกระแส” ก็คือการใช้ “พุทธปัญญา” นั่นเอง

    เพราะเรื่องของ “กระแส” ที่บางคนบอกว่าเมื่อมี “กระแสแรง” ถ้าไม่เล่นตามก็ “ไม่มันส์และไม่สนุก” ก็เชิญเถิดครับถ้าคิดว่าเรื่องของกระแสเป็นเรื่องสนุกก็ตามสบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแส “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” ที่กำลังเชี่ยวกรากอยู่ในขณะนี้เป็นโอกาสให้ผู้ที่มีของไว้ในมือถือโอกาส “ขึ้นราคา” หากำไรใส่ตัวแถมด้วยพวก “ไม่กลัวบาป” ทำ “ของปลอม” ออกมาให้ผู้ที่ “หลงกระแส” ซื้อไปบูชาโดยไม่รู้เลยว่านั่นคือการบูชา “เศษโลหะ” เข้าเต็มเปาจน “ทายาทท่านขุนพันธ์” ต้องออกมาแจ้งความตามที่เป็นข่าว ฮือฮาอยู่ในเวลานี้

    นอกจากกระแสของ “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” แล้วกระแสของ “พระเครื่องชุดจตุคามรามเทพ” ก็รุนแรงและเชี่ยวกรากไม่แพ้กัน และเมื่อกระแสวัตถุมงคลชุด “จตุคามรามเทพ” ผสมผสานกับกระแสท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” แรงอย่างที่เห็น ๆ จึงทำให้วัตถุมงคลชุด “จตุคามรามเทพ” ที่ท่าน “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” จัดสร้างหรือมีส่วนร่วมในการจัดสร้างอย่างเช่น “รุ่นแรกปี ๒๕๓๐” หรือ “รุ่นเจดีย์รายปี ๒๕๔๕” รวมทั้งรุ่นที่สืบเนื่องจาก พล.ต.ต.ขุนพันธ์ ที่บรรดาทายาทของท่านดำเนินการจัดสร้างอย่างรุ่น “ปฐมอรหันต์สุวรรณภูมิปี ๒๕๔๘” หรือ “รุ่นปฐมกษัตริย์สุวรรณภูมิปี ๒๕๕๐” กระทั่ง “เหรียญรูปเหมือน” ทั้ง “เนื้อโลหะและเนื้อผง” สำหรับแจกในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน พล.ต.ต.ขุนพันธ์ ก็ได้รับอานิสงส์ราคาเช่าหาแพงขึ้นดังได้กล่าวมาแล้วเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว

    ด้วยเหตุนี้วันนี้จึงขอพูดถึงเรื่อง “สติปัญญา” ที่อยากจะบอกว่าท่านผู้อ่าน เชื่อหรือไม่กระแสความนิยมวัตถุมงคลชุด “จตุคามรามเทพ” นี้รุนแรงมากชนิด “ชนทุกชั้น, ทุกเพศ, ทุกวัย” และทุก “สาขาอาชีพ” แขวนจตุคามกันถ้วนหน้าทั้ง “ของแท้และ ของปลอม” มั่วไปหมดซึ่งหลาย ๆ ตอนของเนื้อที่ “รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ” ได้นำเสนอเรื่อง ราวการ “ปั่นราคา” ของนักขายมืออาชีพกับวัตถุมงคลพระชุดจตุคามชุดหนึ่งว่าหากผู้ใด “แขวนจตุคามรามเทพ” รุ่นนี้แล้ว “โดนยิงไม่เข้า” (โดยนำผู้ที่เคยถูกยิงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพราะการถูกยิงคราวนั้น “กระสุนไม่ได้กินเลือดจริง ๆ” ทั้งนี้เพราะ “ผู้ถูกยิง” รู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าถูกปองร้ายจึงนำ “เสื้อเกราะ” มาสวมใส่ป้องกันตัวจึงทำให้กระสุนเจาะไม่เข้า) แต่ต่อมาระยะเวลาห่างกันเพียง ๗ เดือนก็มา “ถูกยิงอีก” เมื่อปลายปี ๔๙ ที่ผ่านนี้เองที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คราวนี้ “ไม่มีเหลือ” ทั้ง ๆ ที่แขวนคอด้วย “จตุคามรามเทพ” ที่ตัวเองเป็นพรีเซ็นเตอร์แถมไม่มีเหลือเพราะ “ตายคาที่” พร้อมผู้ติดตามอีก ๒ ศพเนื่องจากถูกยิงหนสองนี้ “ไม่ได้สวมเสื้อเกราะ” นั่นเอง ซึ่งนิตยสารแนว “อาชญากรรม” ฉบับหนึ่ง ทำการถ่ายภาพมาเสนอให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า “ผู้ตาย” แขวน “จตุคามรามเทพ” รุ่นที่โฆษณาว่า “ยิงไม่เข้า” ในลักษณะโดนยิงตายเลือดอาบตลับทองคำที่หุ้มพระรุ่นนั้นอย่างน่า อเนจอนาถ

    แต่การตายเพราะ “ถูกยิง” ของ “พรีเซ็นเตอร์จตุคามรามเทพ” รายนี้ผู้คนส่วนใหญ่ “ไม่ทราบเรื่อง” จึงยังยึดติดว่า “จตุคามรามเทพ” รุ่นนี้ถ้ามีแขวนคอแล้วถูกยิงไม่เข้าก็พากัน “งมงาย” หลงเชื่อนักขายพระอาชีพที่พยายามปลูกฝังว่า “จตุคามรามเทพ” รุ่นนี้ “ดีทุกอย่าง” ถูกยิงก็ไม่เข้าแถม “ขอได้” ไม่ว่าจะขอให้ “รวย” หรือ “ให้สำเร็จ” ในกิจการทุกสิ่งซึ่งเรื่องนี้หากขอได้จริงแล้ว “ผู้เขียน” ก็ตั้งจิต “ขอบ้าง” โดยไม่บังอาจขอให้ “ตัวเองรวย” อย่างที่คนอื่น ๆ งมงายกันอีกด้วยจะขอ “ประการเดียว” คือ “ให้แผ่นดินใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้” อันเป็นดินแดนในเขตอิทธิพลที่ท่านปกปักรักษากลับคืนสู่ “ความสงบ” ภายใน “๗ วัน ๑๐ วัน” อย่าได้มีรายการ “ฆ่ารายวัน” เกิดขึ้นอีกนับตั้งแต่ข้อ เขียนนี้เผยแพร่ออกไปหากบันดาลได้ดังที่ขอแล้ว “ผู้เขียน” จะไป “แก้บนการขอ” ด้วยละคร “มโนราห์” ๗ วัน ๗ คืนกันเลย...สาธุ!!!

    “ขอแล้ว” ผู้เขียนก็หวังอย่างยิ่งให้แผ่นดินใต้สงบเพื่อเป็นการพิสูจน์ “วัตถุมงคล” ทั้งหลายรวมถึงชุด “จตุคามรามเทพ” รุ่นต่าง ๆ ที่มีการ “ส่งเสริมการขาย” ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่อง “ความเป็นความตาย” โดนยิงแต่กระสุนไม่ระคายผิวนับว่า “อันตรายมาก” กับผู้ที่ “สติปัญญาเบา” เชื่อง่ายจึงอยากย้ำให้นักสะสมทุกท่านคิดให้ลึกและใช้ “สติปัญญา” ใคร่ครวญสักนิด “วัตถุมงคล” ทุกรูปแบบในเมืองไทยหากมีการ “ขอได้ ไหว้รับ” ตามที่มีการนำสโลแกนนี้มาโปรโมตกันแล้ว “ประเทศไทย” จะไม่มี “คนยากจน” แน่นอนเพราะเมื่อ “ขอได้” ทุกคนย่อมหวัง “ขอให้ตัวเองรวย” ทั้งนั้นเพราะประเทศไทยเป็นเมืองที่มี “พระพุทธศาสนา” เป็นศาสนาประจำชาติ “พระพุทธ เจ้า” ทรงสอนไว้ว่าการดำเนินชีวิตควรใช้ “สติปัญญา” แต่ขณะนี้คนไทยที่เป็นชาวพุทธกลับกำลังจะกลายพันธุ์ทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่ “พระพุทธเจ้า” ไม่เคยทรงสอนไว้เลยเพราะ “งมงาย” กับสิ่งที่ “เขาเล่าว่า” โดยไม่ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อนพ้องของ “ผู้เขียน” เองถือว่าเป็น “ปัญญาชน” ผู้หนึ่งก็เห่อกระแสนิยมวัตถุมงคลจตุคามรามเทพกับเขาเช่นกันถึงขั้นลงทุนขับรถเก๋งใหม่เอี่ยมไปบูชาที่ “วัดพุทธไธสวรรค์” มาหลายองค์หลายรูปแบบเพื่อฝากญาติพี่น้องและ “เจ้านาย” พร้อมทั้อาราธนาแขวนไว้ที่ “หน้ารถเก๋งใหม่เอี่ยม” อีกด้วยหมดเงินไป “หลายหมื่น” แทนที่จะได้โชคได้ลาภกลับ “ประสบอุบัติเหตุ” ขณะขับรถกลับกรุงเทพฯ “รถเก๋ง” ที่ขับมาดี ๆ หักหลบรถอีกคันที่วิ่งกินเลนมาไป “ตกคลอง” แบบง่าย ๆ แม้ไม่ตายแต่เจ้าตัวรวมทั้งเพื่อนผู้หญิงที่นั่งมาด้วยก็ “สะบักสะบอม” หัวร้างข้างแตกตาม ๆ กันแถมหมดเงินค่าซ่อมรถอีก “นับแสน”

    และเมื่อไม่อาจทวนกระแสนิยม “จตุคามรามเทพ” ได้ “อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์” จึงขอฝากแง่คิดสำหรับท่านผู้อ่านผ่านตรงนี้การสร้างวัตถุมงคลชุด “จตุคามรามเทพ” ในนาทีนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติกันง่าย ๆ เพราะจะมีการสร้างเพิ่มอีกนับ “ร้อย ๆรุ่น” และเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีจตุคามรามเทพรุ่นหนึ่งที่ “ข้าราชการ” ผู้หนึ่งจัดสร้างขึ้นโดย ร่วมกับเจ้าอาวาสวัดร้างวัดหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช แถมได้รับความนิยมขายได้เงิน “สิบกว่าล้านบาท” แล้วเจ้าอาวาสก็ “หอบเงินหนี” เนื่องจาก “เจ้าอาวาส” ผู้นี้ที่แท้ก็คือ “ผู้ต้องหาคดีข่มขืนแล้วฆ่า” มาบวชเป็น “พระปลอม” เพื่อหนีคดีที่ทำไว้จึงนับเป็น อุทาหรณ์อย่างดีต่อการเป็น “มนุษย์ผู้ประเสริฐ” จะทำเรื่องราวใดต้องรู้จักใช้ “สติและปัญญา” รวมทั้งการสะสม “วัตถุมงคล” ก็เช่นกันต้องใช้ “สติปัญญาใคร่ครวญ” โดยไม่งมงายตามกระแสแล้วท่านจะ “ไม่เสียเปรียบต่อการสะสม” โดยแท้เลย.
    “นายรู้สึก แสนรู้ชัด”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="HEIGHT: 2px" vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD class=message-normal vAlign=top align=middle height=10><SCRIPT>// URLs of slidesvar slideurl = new Array('http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/variety/3/10/120339_46894.jpg','http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/variety/3/10/120339_46895.jpg') ;// Comments displayed below the slidesvar slidecomment = new Array('','');var picNo = new Array('0','1');var i;var j;var picturecontent=''function poppic(ncId,NewsType,picNum){window.open('/dailynews/pages/front_th/popup_news/popup_news_popuppic.aspx?ncId=' + ncId + '&NewsType=' + NewsType + '&picNum='+picNo[picNum],'','menubar=no,toolbar=no,location=no,directories=no,status=no,scrollbars=yes,resizable=yes,dependent,,');}function createtable(){picturecontent ='<table width=100% cellSpacing=5 cellPadding=0 border=0>' ;for (i=0;i<=(slideurl.length-1);i++) {picturecontent +='<tr>' ;picturecontent +='<td vAlign=top align=center>' ;picturecontent += '';picturecontent += '[​IMG]' ;picturecontent += '</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;picturecontent +='<tr>' ;picturecontent += '<td bgcolor=#fbe5f2 class=messageblack vAlign=middle align=center height=20>' ;picturecontent+=slidecomment ;picturecontent +='</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;}picturecontent+='</table>' ;hlblTable.innerHTML=''+picturecontent+'';}</SCRIPT>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    ที่มา http://www.matichon.co.th/khaosod/k...g=03fea01170350&day=2007/03/17&sectionid=0327


    วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5952​
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>
    แปลกทั้งชื่อ-รสชาติ ผักพื้นบ้าน"บึงฉวาก"


    รายงานพิเศษ

    </TD><TD vAlign=top align=right>
    [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]วันนี้ว่าด้วยเรื่องของพืชผัก ทั้งชื่อที่ประหลาด รสชาติที่แปลก ถูกรวบรวมไว้ที่อุทยานผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพเฉลิมพระเกียรติบึงฉวาก อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี

    "บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ" ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดของจังหวัด เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้สามารถเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจได้สำหรับทุกเพศทุกวัย

    ที่นี่ยังมีพื้นที่หนึ่งที่เรียกว่าอุทยานผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพเฉลิมพระเกียรติบึงฉวาก เป็นสถานที่เป็นที่รวบรวมพืชพันธุ์ผักพื้นบ้านที่เดิมมีอยู่ 500 ชนิด แต่ในปัจจุบันมีถึง 541 ชนิด

    โดยมีการแบ่งผักพื้นบ้านเป็น 7 ประเภท คือ ไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ไม้น้ำ ไม้ชื้นแฉะ ไม้หัวเหง้า และไม้เถาเลื้อย รวมถึงต้นไม้ประจำจังหวัดต่างๆ เฉพาะที่เป็นผักพื้นบ้าน แห่งเดียวและเป็นแห่งแรกของประเทศไทย จากการดำเนินการภายใต้การนำของนายเชาว์ เสาวลักษณ์ ผอ.ผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพเฉลิมพระเกียรติบึงฉวาก

    ผักพื้นบ้านนั้นจะมีประโยชน์ทั้งทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาที่ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ หลายคนได้พึ่งพิงประโยชน์จากผักพื้นบ้านและพืชแปลกๆ ที่อยู่ตามธรรมชาตินำมาใช้ประโยชน์ ทั้งเป็นอาหารและสมุนไพรรักษาโรค

    หลายคนฮือฮา ผักที่มีชื่อแปลกๆ เช่น "ต้นเรียกจิ้งจก" ที่สามารถเรียกจิ้งจกได้เหมือนกับใช้คาถาอาคม "ผักซาดิสต์" ที่ยังคงต้องใช้ความรุนแรงในกระบวนการทำทุกขั้นตอน <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    นอกจากนี้ยังมี ผักลืมผัว ผักลืมชู้ ผักพ่อค้าตีเมีย มะเขือกินใบ และส้มสันดาน ล้วนน่าศึกษาถึงที่มาเป็นอย่างยิ่ง ลองดูกันเลย

    "ต้นเรียกจิ้งจก" ใบจะมีเว้า 2 แฉกและ 3 แฉก ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ มีดอกเล็กที่มีคุณสมบัติพิเศษใบและลำต้นของต้นจิ้งจก มีฟีร์โมนพิเศษที่สามารถเรียกจิ้งจกมาได้ทั้งเพศผู้และเพศเมีย หากนำใบของต้นจิ้งจกมาขยี้และทาตามฝาบ้าน มุมบ้าน หรือในมุมที่ต้องการเรียก

    เมื่อนำใบมาตีๆ ขยี้ตามที่ต้องการทิ้งไว้ ประมาณ 2-5 นาที จิ้งจกที่อยู่ตามซอกตามมุมต่างๆ จะออกมารวมตรงบริเวณที่ทาหรือขยี้ใบต้นจิ้งจก เพราะใบต้นจิ้งจกทำให้ออกมาจำนวนมาก จึงได้ชื่อว่า "ต้นเรียกจิ้งจก"

    "พริกขี้หนูหวาน" พริกขี้หนูหวานเหมือนพริกขี้หนูทั่วๆ ไป แต่เมื่อนำมารับประทานจะรู้สึกเฉยๆ และหวานที่ปลายลิ้น สามารถนำมาเป็นน้ำเพื่อสุขภาพโดยการนำมาทำน้ำปั่น และสามารถนำมาให้ผู้สูงอายุที่ชอบกลิ่นเผ็ดแต่ไม่ต้องการรสเผ็ดก็ได้เช่นกัน

    "ผักซาดิสต์" มีใบยาวแหลม ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ในภาคใต้ วิธีทำผักชนิดนี้ให้อร่อยต้องใช้มือดึงใบล่างของต้น จากนั้นใช้มือเด็ดเป็นท่อนๆ ขยำขยี้ให้เต็มแรงที่มีให้น้ำจากผักออกมาแล้วใส่ลงไปกระทะที่น้ำมันร้อนๆ ให้เกิดเสียงซ่าๆ เมื่อลงกระทะแล้วใช้โลหะตักใส่จานรับประทาน ผักชนิดนี้ชอบความรุนแรง ทุกกระบวนการต้องทำด้วยมือ เสร็จแล้วจะได้ความกรอบของผัก

    "ผักพ่อค้าตีเมีย" เป็นไม้ที่ขึ้นอยู่ในภาคเหนือของประเทศ มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่ว่าต้มแกงผัดอย่างไรเมื่อกินเข้าไปจะลักษณะเหมือนไม่สุก แต่มีรสชาติมันจนติดใจเมื่อใครได้ลิ้มลองเคี้ยวเพลิน <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=2><TBODY><TR bgColor=#ffffe8><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ชื่อที่เรียก มีเรื่องเล่าว่า พ่อค้าคนหนึ่งเดินทางกลับจากการค้าขาย รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและหิวมากในช่วงใกล้ค่ำ เมียพ่อค้าที่มีหน้าตาสะสวยได้จัดทำผักชนิดนี้ไว้ให้ เมื่อพ่อค้าเดินทางกลับมาถึงบ้านได้ลิ้มลองแกงผักเข้าเต็มที่ เมื่อกินไปก็อารมณ์ไม่ดีเพราะเกิดหึงหวงเมียสาวที่หลายคนมาชอบ บวกกับกัดกินผักที่เหนียวเหมือนไม่สุก จึงใช้ไม้ขัดหม้อตีเมีย จนได้ชื่อว่า "ผักพ่อค้าตีเมีย"

    "มะเขือกินใบ" สามารถกินได้ทั้งใบและผล ขึ้นอยู่ในภาคใต้ของประเทศ ไม่มีหนามและขนเหมือนมะเขือทั่วไป สำหรับใบมะเขือจะเด็ดจากใบล่างขึ้นมาด้านบน มะเขือกินใบสามารถนำมากินแทนผักได้แต่ต้องทำให้สุกก่อนเท่านั้น

    "มะเขือต้นยักษ์" นิยมปลูกประดับบ้านเรือนเพราะความสวยของดอก ผล และยังมีต้นที่มีความสูงสวยและอายุยืนยาว

    "ผักลืมผัว" ไม้ที่มีอายุสั้น พบอยู่ทั่วไปตามท้องนา ลำต้นจะลักษณะเหมือนไม้เลื้อยทอดยอด ใบจะเป็นรูปไข่ ทุกส่วนของลำต้นจะกรอบอวบน้ำ ออกดอกสีม่วง เมื่อแก่จะมีผลเล็กๆ ผักลืมผัวจะชอบอยู่ในน้ำมากกว่าอยู่บนที่แห้ง แต่ต้องเป็นน้ำตื้นๆ เท่านั้น

    ส่วนที่มาของชื่อ เกิดขึ้นที่ภาคอีสาน ขณะที่เมียกำลังนั่งกินลาบ ก้อย ปลาร้าและข้าวเหนียว พร้อมผักลืมผัวที่บรรจงเก็บมาจากท้องนาอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ผัวยังทำงานอยู่กลางนาที่แสงแดดแผดเผา จนกระทั่งหมดลืมเก็บไว้ให้ผัวกิน เมื่อผัวกลับมาไม่เห็นอาหารจึงได้ชื่อว่าผักลืมผัว

    "ส้มสันดาน" ผักชนิดนี้เป็นไม้เลื้อยขึ้นตามป่า นิยมนำมารับประทานสด ใส่ต้ม-แกง ที่ต้องการให้รสเปรี้ยว เมื่อรับประทานสด ผักชนิดนี้เมื่อเคี้ยวจะกรอบๆ และรสเปรี้ยว เมื่อใส่ต้มหรือแกงที่ต้องการรสเปรี้ยว เมื่อเราใส่ผักชนิดนี้ในปริมาณที่พอดีแล้ว หากเราใส่เพิ่มลงไปอีกความเปรี้ยวจะอยู่เท่าเดิม จึงได้มีคนเรียกว่า ส้มสันดาน (สันดานเปรี้ยว)

    "ผักลืมชู้" เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 5-10 เมตร ใบมีลักษณะมนรีปลายใบแหลมๆ ผักลืมชู้จะออกดอกเกือบตลอดทั้งปีสามารถเพาะเมล็ดได้ในฤดูแล้ง หรือปักชำก็ได้ ผักชนิดนี้สามารถเป็นผักแกล้มกินกับลาบ พร่า ป่น แกงอ่อม แกงส้ม หรือแล้วแต่ใช้ปรุงตามความเหมาะสม

    ส่วนเรื่องเล่าเกี่ยวกับผักลืมชู้ เล่ากันต่อๆ มาว่า มีพ่อบ้านท่านหนึ่งได้นัดหญิงสาวที่ไม่ใช่ภรรยาของตัวเองไว้ ก่อนจะถึงเวลานัดเกิดหิวขึ้นมาจึงรับประทานแกงผักนี้เข้าไปเพราะความหิว ด้วยอร่อยด้วยจึงกินมากกินเพลินจนอิ่ม แต่กินเท่าไรก็ยังไม่ถึงเวลานัดเสียทีจนกินไปเรื่อยๆ ก็เลยเวลานัดกับชู้ เพราะความอร่อยของผักลืมชู้ที่เมื่อได้เคี้ยวแล้วจะมีความมัน จึงเป็นที่มาของชื่อ "ผักลืมชู้"

    ไปงานนี้รู้ทั้งชื่อและที่มาถือเป็นอาหารตาและอาหารสมองได้อย่างดีเลยทีเดียว!!


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...