ข้อมูลเตรียมพรัอมรับมือสถานการณ์ภัยน้ำท่วม

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย tanakorn_ss, 7 ตุลาคม 2011.

  1. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]

    ช่วยกันแชร์ ข้อมูลด้วยครับ

    ภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ที่ล่าสุดตอนนี้ เกี่ยวกับน้ำท่วมทำความเดือดร้อน ในพื้นที่บริเวณมีน้ำไหลผ่านสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน และนอกจากโรคภัยต่างๆที่มากับน้ำท่วมแล้ว ภัยจากกระแสไฟฟ้าก็เป็นหนึ่งอันตรายที่ควรระมัดระวัง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง และไม่ประมาท

    ผศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ร่างกายคนเสมือนเส้นทางเดินไฟฟ้า มีอานุภาพร้ายแรงเมื่อไฟฟ้าไหลต่อเนื่องอย่างครบวงจร ซึ่งผู้หญิงและคนที่มีรูปร่างอวบมีโอกาสเสี่ยงถูกไฟฟ้าดูดมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากปริมาณน้ำในตัวมีมาก และมีความชื้นในตัวสูงที่จะเป็นตัวนำไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี

    เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีบริเวณความชื้นมาก ควรระมัดระวังในการใช้งานเป็นพิเศษ เช่น บริเวณบ่อปลา ปั๊มน้ำ เครื่องซักผ้า ตู้กดน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น ตัวอย่างเช่น เครื่องซักผ้าที่เกิดไฟฟ้ารั่วโดยไม่ติดตั้งสายดิน ขณะเดียวกันผู้ใช้งานไม่สวมใส่รองเท้า ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลครบวงจร โดยไหลผ่านตัวคนลงสู่พื้น ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจ และทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกวิธี

    กรณีเกิดไฟฟ้ารั่วตอนน้ำท่วมฉับพลัน อันดับแรกให้รีบสับสวิตช์ลงเพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้ารั่ว ความเข้มข้นของกระแส ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับการกระจายของกระแสไฟฟ้า ถ้าใกล้กับจุดที่ไฟฟ้ารั่วกระแสไฟฟ้าก็จะมีความเข้มข้นมาก ห่างออกไปก็จางลงไปตามลำดับ การที่จะพิสูจน์ว่ามีกระแสไฟฟ้ารั่วหรือไม่นั้นห้ามเอาหน้ามือสัมผัส เพราะโดยธรรมชาติของคนเมื่อโดนไฟฟ้าดูดก็จะกำมือลง ร่างกายจะหดตัวกำแน่น ทางที่ดีควรใช้หลังมือสัมผัส

    อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหลังโดนน้ำท่วมถ้าจะนำมาใช้ควรจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ว่าอยู่ในสภาพที่ยังใช้การได้อยู่หรือไม่ สิ่งแรกต้องทำให้แห้งก่อนที่จะเสียบปลั๊ก หากไม่แน่ใจควรให้ช่างผู้ชำนาญมาตรวจสอบก่อน แต่ถ้าอุปกรณ์เหล่านั้นเกิดความเสียหายมาก ก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะนำมาใช้งาน

    วิธีป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดไฟฟ้าดูด หากจะเสียบปลั๊กอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ต้องมั่นใจว่าร่างกายแห้งสนิทไม่เปียกชื้น บริเวณเต้ารับควรดูแลรักษาให้แห้งอยู่เสมอ หากไม่แน่ใจก่อนเสียบปลั๊กก็ควรสวมรองเท้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง และไม่ประมาท

    ก่อนเกิดเหตุ ควรมีการป้องกันไม่ไปสัมผัสกับกระแสไฟฟ้าที่รั่ว และห้ามใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่โดนน้ำท่วมมาแล้ว ถ้าบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อไฟฟ้ารั่วหรือมีโอกาสเกิดไฟรั่วได้ง่ายควรติด ตัวเบรกเกอร์ป้องกันไว้ก่อน

    ระหว่างที่เกิดเหตุ บุคคลที่มาช่วยไม่ควรจะไปสัมผัสร่างกายผู้เคราะห์ร้ายโดยตรง ควรหาฉนวน เชือกแห้ง เสื้อแห้ง ๆ ดึง หรือ ผลักออกไป และสิ่งสำคัญควรรู้จักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่เหมาะสม โดยปกติผู้ที่ถูกไฟฟ้าดูดจะหมดสติ กล้ามเนื้อเกร็ง เราต้องปั๊มหัวใจหรือผายปอด โดยการเป่าปาก

    “การเสียชีวิตที่เกิด จาก กระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่เกิดจาก ไฟฟ้าช็อตตายอย่างฉับพลัน และไฟฟ้ารั่วปริมาณกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่หัวใจเกินค่ามาตรฐาน”

    การช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายจากการถูกไฟฟ้าดูด คือเมื่อมีผู้ถูกไฟฟ้าดูดห้ามเอามือไปสัมผัสโดยตรง ให้สวมรองเท้าแล้วนำวัสดุที่เป็นฉนวนป้องกันไฟฟ้า เช่น ผ้าแห้งกระชากหรือดันตัวผู้ถูกไฟฟ้าดูดออกไป ถ้าเราสัมผัสตัวผู้ประสบภัยโดยตรงไม่มีเครื่องป้องกันกระแสไฟฟ้าก็จะวิ่ง เข้าสู่ตัวเราอีกคน ลักษณะแบบนี้ทางเทคนิคเรียกว่า แบบขนาน ทำให้ทั้งสองคนเสียชีวิตเร็วขึ้น เหมือนเป็นการแบ่งความแรงของไฟฟ้ากันคนละครึ่ง เพราะความต้านทานรวมลดลง กระแสไฟฟ้าจะแบ่งไหล วิธีการช่วยชีวิตแบบเร็วที่สุด คือการสับสวิตช์เบรกเกอร์ หรือสับตัวต้นทางทิ้งไป โดยปกติทางการแพทย์ศึกษามาแล้วว่าคนที่ถูกไฟฟ้าดูดประมาณ 0.01-0.04 วินาที แล้วสับสวิตช์เบรกเกอร์ทันจะปลอดภัย ถ้าเกินกว่านั้นจะทำให้เสียชีวิตทันที แต่ละคนระยะเวลาการเสียชีวิตจะเฉลี่ยกันไป คนอ้วนมีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่าปกติ

    ปัจจุบันมีเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดที่มีคุณสมบัติทนต่อน้ำท่วม โดยจะมีค่ามาตรฐานสากล สังเกตได้จากรหัส IP ที่ติดไว้ด้านข้างเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยแสดงด้วยตัวเลขสองหลัก ตัวเลขหลักแรก บอกการป้องกันการกระแทกจากของแข็ง ตัวเลขหลักที่สองบอกการป้องกันของเหลว เช่น น้ำ หากตัวเลขสองหลักมีค่าสูงสามารถ ป้องกันฝุ่นละอองได้

    ตัวอย่างเช่น IP56 สามารถป้องกันของแข็งได้ระดับ 5 และสามารถป้องกันน้ำได้ระดับ 6 ซึ่งเป็นค่ามากที่สุด ทนทานต่อความเค็มของน้ำทะเล

    นพ.อรรถ นิติพน ศัลยแพทย์ทั่วไป โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า คนไข้ที่ถูกไฟดูดส่วนใหญ่มีอยู่ 2 กรณีคือ



    1. มีอาการหมดสติ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นควรตรวจดูว่ายังมีลมหายใจหรือไม่ โดยการจับชีพจรหรือฟังการหายใจ หากคนไข้ถูกไฟดูดนานกว่า 5 นาที มีโอกาสเสียชีวิตสูง ซึ่งควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นควรตรวจดูในช่องปากและจมูก ไม่ให้สิ่งใดตกค้างและทำการผายปอดและปั๊มหัวใจ และต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที
    2. คนไข้ที่มีสติ อาจมีกล้ามเนื้อภายในสุก โดยควรตรวจดูบริเวณข้อพับต่าง ๆ ซึ่งหากมีการผิดปกติพับงอไม่ได้ต้องไปพบแพทย์ทันที

    “หมอมักพบคนไข้ที่ถูกไฟดูดเกิดอาการหัวใจขาดเลือด โดยคนไข้เจ็บหน้าอกและมีอาการหายใจไม่เต็มที่ อาการเหล่านี้อย่าประมาทควรไปพบแพทย์ทันที”

    อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การไม่ประมาท เพราะนั่นอาจหมายถึงอีกหลายชีวิตที่ต้องเสียไป


    ที่มา:http://www.oknation.net/blog/technology-update/2011/10/17/entry-5
     
  2. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" width="62%">ปัญหาสุขภาพและโรคผิวหนังหลังน้ำท่วม</td> <td width="38%">
    [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table>
    แพทย์หญิงวลัยอร ปรัชญพฤทธิ์
    สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย

    หลังภาวะน้ำท่วมนอกจากผู้ประสบภัยจะประสบกับการสูญเสียญาติมิตรและทรัพย์สินแล้ว ยังต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพหลายด้าน ทั้งนี้เพราะเมื่อเกิดน้ำท่วม แหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคจะปนเปื้อน กระแสน้ำจะพาสิ่งสกปรก เชื้อโรค ของเสียที่เคยถูกเก็บในที่มิดชิด หรือ สารเคมีกระจายเป็นวงกว้างและ ไปห่างไกลจากแหล่งเดิม น้ำท่วมทำให้สภาพสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนทำให้สัตว์ แมลง ไม่มีที่อยู่อาศัยออกจากถิ่นที่อยู่เพ่นพ่านทั่วไป ในขณะเดียวกันสภาพน้ำท่วมทำให้พาหะนำโรคต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ดีซึ่งส่งผลทำให้ปริมาณเชื้อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้นและแพร่ได้อย่างรวดเร็ว จึงมีโอกาสเกิดโรคระบาดได้ง่าย สภาพผิวดินหลังน้ำท่วมมีความเหมาะสมสำหรับการแพร่พันธุ์ของยุง โรคหลายชนิดที่เกิดจากยุงเป็นพาหะจึงมีโอกาสระบาดสูงขึ้นหลังน้ำท่วมโดยสรุปปัญหาด้านสุขภาพที่จะเกิดหลังน้ำท่วมมีทั้งอาการเจ็บป่วยในระยะแรกและระยะยาว

    หลังจากนั้น ได้แก่ โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร เช่นโรคท้องร่วงจากการติดเชื้อจากอาหารเป็นพิษ โรคเล็บโตสไปโรสิส (หรือโรคฉี่หนู) โรคผิวหนังจากการสัมผัสกับสารเคมีสิ่งสกปรก หรือ ติดเชื้อที่ผิวหนังไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราหรือหนอนพยาธิ โรคผิวหนังจากแมลง สัตว์มีพิษกัดต่อยซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่สบายจากการถูกกัดต่อยแล้ว ในภายหลังหากได้รับเชื้อโรคเข้าไปด้วยอาจทำให้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก มาลาเรีย ไข้สมองอักเสบ หรือติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น

    โรคผิวหนังที่ประชาชนทั่วไปมักจะคุ้นเคยและพบเสมอหลังภาวะน้ำท่วมคือโรคน้ำกัดเท้า เมื่อเดินย่ำน้ำบ่อย ๆ หรือยืนแช่น้ำนาน ๆ จะทำให้เท้าเปื่อย โดยเฉพาะบริเวณซอกเท้าบริเวณที่ผิวหนังเปื่อยนี้เป็นจุดอ่อนทำให้เชื้อโรคที่มากับน้ำเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

    หลังเสร็จกิจธุระนอกบ้านแล้วควรรีบล้างเท้าด้วย
    น้ำสะอาดและสบู่ แล้วเช็ดให้แห้งโดยเฉพาะตามซอกนิ้วเท้า
    หากเท้ามีบาดแผล ควรชะล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ โรคน้ำกัดเท้าในระยะแรกนี้ ยังไม่มีเชื้อรา เป็นเพียงอาการระคายเคืองจากความเปียกชื้นและ

    สิ่งสกปรกในน้ำ ทำให้เท้าเปื่อย ลอก แดง คันและแสบ การรักษาในระยะนี้ควรใช้ยาทาสเตียรอยด์อ่อนๆ เช่น 0.02 Triamcinolone cream หรือ 3 % vioform in 0.02 % Triamcinolone cream ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา เพราะยาเชื้อราบางชนิดจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและแสบมากขึ้น

    ถ้าผิวเปื่อยเป็นแผล เมื่อสัมผัสกับสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในน้ำจะเกิดการติดเชื้อได้ง่าย เมื่อมีการติดเชื้อ แบคทีเรีย จะทำให้เกิดอาการอักเสบ บวมแดง เป็นหนองและปวด

    การรักษา โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะร่วมกับการชะล้างบริเวณแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำด่างทับทิม แล้วทายาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะ หากปล่อยให้มีอาการโรคน้ำกัดเท้าอยู่นาน ผิวที่ลอกเปื่อยและชื้นจะติดเชื้อราทำให้เป็นโรคเชื้อราที่ซอกเท้ามีอาการบวมแดง มีขุยขาวเปียก มีกลิ่นเหม็นและถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นเรื้อรัง เชื้อราจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในผิวหนังรักษาหายยาก ถึงแม้จะใช้ยาทาจนอาการดีขึ้นดูเหมือนหายดีแล้ว แต่มักจะมีเชื้อหลงเหลืออยู่ เมื่อเท้าอับชื้นขึ้นเมื่อใด ก็จะเกิดเชื้อราลุกลาม ขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดอาการเป็น ๆ หาย ๆ เป็นประจำไม่หายขาด

    การดูแลป้องกันโรคเชื้อราที่เท้าไม่ให้กลับเป็นซ้ำอีกจึงมีความสำคัญ การรักษาความสะอาดให้เท้าแห้งอยู่เสมอเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุด

    ในการป้องกันโรคนี้ และควรให้ความสนใจเป็นพิเศษที่บริเวณซอกนิ้วเท้า เมื่อเช็ดให้แห้งแล้วให้ทายา

    รักษาโรคเชื้อรา แต่ถ้ามีอาการรุนแรงและเรื้อรัง ทายาไม่ได้ผลควรไปพบแพทย์

    ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับไต และควรรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาเองแม้ว่าจะดีขึ้น การหยุดยาเร็วเกินไปขณะที่เชื้อยังไม่หมด มีโอกาส กลับเป็นซ้ำอีกได้ง่ายนอกจากนี้

    ผู้ประสบกับปัญหาน้ำท่วมควรระมัดระวังเมื่อเดินลุยน้ำเพราะอาจถูกของมีคมทิ่ม ตำ ทำให้เกิดบาดแผลและติดเชื้อโรคต่าง ๆ รวมทั้งเชื้อบาดทะยักตามมาได้ เมื่อประสบเหตุดังกล่าวควรไปทำแผลที่หน่วยบริการสาธารณสุขทันที และถ้าไม่เคยฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเชื้อบาดทะยักมาก่อนควรปรึกษาแพทย์


    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"><tbody><tr><td>คำแนะนำการดูแลตนเองหลังประสบภัยน้ำท่วม </td> </tr> <tr> <td class="textDetail">
    </td> </tr> <tr> <td class="textDetail">• ใช้น้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด หากหาแหล่งน้ำสะอาดไม่ได้ให้ต้มน้ำให้เดือดก่อนใช้อย่างน้อย 10 นาที
    • ถ้าอาศัยอยู่ใกล้แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมหรือแหล่งสารเคมี พึงระลึกเสมอว่าแหล่งน้ำในครัวเรือน
    อาจปนเปื้อนสารเหล่านี้และ ความร้อนไม่สามารถทำให้น้ำเหล่านี้สะอาดพอสำหรับการบริโภค ควร
    ปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของน้ำหรือจัดหาน้ำสะอาดไว้บริการ
    • ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารเสมอ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและปรุงเสร็จใหม่
    • สวมเสื้อผ้ามิดชิด ป้องกันแมลงสัตว์กัดต่อย นอนในมุ้ง พึงระลึกเสมอว่าแมลง และสัตว์มีพิษ
    ทั้งหลายก็หนีน้ำมาอาศัยอยู่ในที่สูงเช่นกัน
    • ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานที่ยังเล็กเพราะเด็กมีจะสนุกกับการเล่นน้ำและไม่ใส่ใจเรื่องการรักษา
    ความสะอาดและอันตรายที่แฝงมากับน้ำท่วม
    • ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน ระมัดระวังเรื่อง ไฟฟ้าลัดวงจร
    • หากรู้สึกไม่สบายให้รีบปรึกษาแพทย์
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>
    คำแนะนำการดูแลผิวหนังหลังประสบภัยน้ำท่วม
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td class="textDetail">• หลีกเลี่ยงการแช่เท้าในน้ำนาน ๆ หากจำเป็นต้องลุยน้ำให้สวมรองเท้าบู๊ทกันน้ำ ป้องกันของมีคม
    ในน้ำทิ่ม ตำ เท้า
    • รีบทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ เช็คเท้าให้แห้งเมื่อเสร็จธุระนอกบ้าน
    • หากมีบาดแผลตามผิวหนังไม่ควรสัมผัสน้ำสกปรก
    • เมื่อมีแผล ผื่น ที่ผิวหนังให้พบแพทย์
    • ทายาหรือรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>=> รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ในวารสารผิวหนัง ปีที่11 ฉบับที่ 1(เมษายน 2549) <= Click</td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  3. pbun

    pbun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +369
    ผมขอแนะนำไม่ให้น้ำเข้าบ้านทางประตูหรือช่องผนังของบ้าน(กรณีน้ำท่วมไม่สูงมากครับ)โดยใช้แผ่นโฟมอย่างหนา(ประมาณ 2"ขึ้นไป) ตีตะปูโดยใช้แผ่นกระดาษหรือวัสดุเหนียวรองจุดที่จะตอกบนแผ่นโฟม อัดติดกับวงกบประตูที่เป็นไม้แล้วใช้ถุงทรายหรือวัสดุหนักๆ รองไว้ภายในอีกที ความยืดหยุ่นของแผ่นโฟมจะแนบสนิทกับวงกบกันน้ำเข้าได้อย่างดี ถ้ามีรูรั่วก็หาดินน้ำมันมาอุดเอาครับ หรือถ้าเป็นวงกบอลูมิเนียมหรือเหล็กก็คงต้องใช้สกรูยึดเอานะครับ.....คงพอช่วยกันได้เบื้องต้น ขอให้ทุกคนฝ่าวิกฤตนี้กันให้ได้นะครับ.
     
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [FONT=&quot]คำแนะนำ การป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม
    [/FONT]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]1.โรคติดต่อที่พบบ่อยในช่วงน้ำท่วม และหลังน้ำท่วม[/FONT]
    [FONT=&quot]โรคผิวหนัง[/FONT]
    [FONT=&quot]โรค ผิวหนังที่พบบ่อย ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้าจากเชื้อรา[/FONT][FONT=&quot] แผลพุพองเป็นหนอง เป็นต้น ซึ่งเกิดจากการย่ำน้ำหรือแช่น้ำที่มีเชื้อโรค หรือความอับชื้นจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่สะอาด ไม่แห้งเป็นเวลานาน[/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    •ในระยะแรกอาจมีอาการเท้าเปื่อย และเป็นหนอง
    •ต่อมาเริ่มมีอาการคันตามซอกนิ้วเท้า และผิวหนังลอกออกเป็นขุย มีผื่น
    •ระยะหลังๆผิวหนังที่เท้าเกิดพุพอง นิ้วเท้าหนาและแตก อาจเกิดโรคแทรกซ้อน คือ ผิวหนังอักเสบได้
    การป้องกัน
    •ควรหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำโดยไม่จำเป็น
    •ถ้าจำเป็นต้องย่ำน้ำ ควรใส่รองเท้าบู๊ทกันน้ำ และควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่และเช็ดให้แห้งเมื่อกลับเข้าบ้าน
    •สวมใส่ถุงเท้า รองเท้า และเสื้อผ้าที่สะอาดไม่เปียกชื้น
    •หากมีบาดแผล ควรใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผล แล้วทาด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์ หรือเบตาดีน [/FONT]


    สมุนไพรรักษาแผลอักเสบเรื้อรัง



    เมื่อผิวหนังเกิดบาดแผล?หรือ เกิดการระคายเคืองคันจากการแพ้ แมลงกัดต่อยหรือสาเหตุอื่นๆ หากไม่ได้มีการดูแลรักษาความสะอาดให้ดีพอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในบริเวณนั้นกลลายเป็นแผลเรื้อรัง เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ Staphylococus และ Beta Streptococcus โดยจะพบว่าบริเวณนั้นจะมีหนอง หรือน้ำเหลืองปนหนองไหลเยิ้มอาจพบ เป็นตุ่มหนองแล้วอตก ต่อมาจะแห้งเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล บางครั้งทำให้มีไข้หรือมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโตได้ นอกจากนี้การติดเชื้ออาจเกิดบริเวณต่อมไขมันและขุมขน ทำให้เกิดเป็นฝี มีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้ในการทำความสะอาดแผลและช่วยให้บาดแผลหาย ได้เร็วขึ้น
    อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดอาการอักเสบติดเชื้อยังขึ้น กับขนาดและบริเวณที่มีอาการด้วย หากเกิดเป็นบริเวณกว้างและอยู่ในบริเวณที่รักษาให้หายได้ยาก เช่น ที่ข้อพับหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียดสีอยู่เสมอ หรือในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรต้องดูแลเป็นพิเศษ หรือต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดการลุกลามจนติดเชื้อในกระแสเลือด มีอันตรายถึงชีวิต
    สมุนไพรที่ใช้สำหรับแผลเรื้อรังได้แก่

    • ว่านหางจระเข้?ให้เลือกใบล่างสุดของต้นมาใช้ก่อน ล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวและล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ ฝานวุ้นที่ได้เป็นแผ่นบางปิดแผลหรือขูดเอาวุ้นใสปิดพอกรักษาแผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก อาจใช้ผ้าพันแผลที่สะอาด พันทับเปลี่ยนวุ้นใหม่วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย
    • ขมิ้นชัน?ใช้เหง้ารักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง โดยทำเป็นผงผสมน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็นแผล หรือใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด ฝนน้ำข้นๆทา
    • บัวบก?ใช้ใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำละเอียดคั้นเอาน้ำทาบริเวณแผลบ่อยๆ แผลจะสนิทเร็ว
    • กะเม็ง?ใช้ต้นสด ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำทารักษาอาการผื่นคัน มีหนอง ป้องกันมือและเท้าเน่าเปื่อยจากการลุยน้ำสกปรก
    • ว่านหางช้าง?ใช้เหง้าสดหรือแห้ง ต้มน้ำในอัตราส่วน 1:20 เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ชะล้างบาดแผลเรื้อรัง เช้า-เย็น แก้อาการผื่นคัน อักเสบมีหนองได้ผลดี
    • มังคุดใช้เปลือกผลสดหรือแห้ง 1-2 ผล สับเป็นชิ้นเล็กๆต้มกับน้ำ 1 ลิตร ให้เดือดประมาณ 15 นาที เติมเกลือประมาณ 1 ช้อนชา ใช้ชะล้างบาดแผลเรื้อรัง แผลมีหนอง
    • เหงือกปลาหมอดอกขาวและเหงือกปลาหมอดอกม่วง?ใช้ต้นสดหรือแห้งทั้งต้น ต้มน้ำอาบ หรือชะล้างแผลเรื้อรัง ผื่นคันตามร่างกาย
    • น้ำผึ้ง?ใช้น้ำผึ้งอุ่นด้วยไฟอ่อนๆจนเดือดทิ้งไว้ให้ เย็น ใส่ลงบนแผลเรื้อรังให้ชุ่มอยู่ตลอดเวลา โดยใช้ผ้าพันแผลไว้แล้วหยดน้ำผึ้งลงบนผ้าพันแผลให้ชุ่มอยู่เสมอ หากไม่มีน้ำผึ้งสามารถใช้น้ำเชื่อมข้นๆแทน โดยใช้น้ำตาล 1 ส่วน ละลายน้ำ 1 ส่วน ตั้งไฟอ่อนๆจนน้ำเชื่อมเดือด ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาใช้ในลักษณะเดียวกันกับน้ำผึ้ง


    [FONT=&quot]
    [/FONT]




    [FONT=&quot] [/FONT]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  5. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [FONT=&quot]คำแนะนำ การป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม[/FONT][FONT=&quot]
    โรคระบบทางเดินหายใจ[/FONT]

    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ไข้หวัด[/FONT][FONT=&quot]
    เป็นโรคที่ติดต่อไม่อันตราย เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อโรคในบุคคลทุกเพศทุกวัย พบได้บ่อยในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยเชื้อโรคแพร่กระจายมาจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือสิ่งของใช้ของผู้ป่วย[/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]•มักมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้เล็กน้อย
    •คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอ จาม
    •ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร
    •มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์[/FONT]

    [FONT=&quot]ไข้หวัดใหญ่[/FONT][FONT=&quot]
    เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัส ทำให้เกิดโรคได้ในคนทุกเพศทุกวัย เชื้อจะแพร่กระจายอยู่ในลมหายใจ เสมหะ น้ำลาย น้ำมูก และสิ่งของใช้ของผู้ป่วย จึงมีโอกาสติดต่อกันได้ง่าย[/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    •มักมีไข้สูง ปวดศีรษะ
    •ปวดเมื่อยตามตัวมาก
    •มีน้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ จาม เจ็บคอ เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย [/FONT]
    [FONT=&quot]การปฏิบัติตัว[/FONT][FONT=&quot]
    •ผู้ป่วยควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม หรือควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
    •ใช้ผ้าเช็ดหน้า หรือกระดาษนุ่มสะอาด เช็ดน้ำมูก และไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะอาจทำให้เกิดหูอักเสบได้
    •กินอาหารที่อ่อนย่อยง่าย กินผักและผลไม้ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ
    •อาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที
    •เมื่อไข้สูง หรือเป็นไข้นานเกิน 7 วัน เจ็บคอ ไอมาก เจ็บหน้าอก หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรไปพบหรือปรึกษาแพทย์[/FONT]

    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]โรคปอดบวม[/FONT][FONT=&quot]
    เกิด จากเชื้อได้หลายชนิด เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอด ทำให้มีการอักเสบของปอด ผู้ประสบภัยน้ำท่วม หากมีการสำลักน้ำ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไปในปอด ก็มีโอกาสเป็นโรคปอดบวมได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การติดต่อ[/FONT][FONT=&quot]
    ติดต่อ โดยการหายใจเอาเชื้อโรคในอากาศเข้าไป หรือจากการคลุกคลีกับผู้ป่วยเมื่อ ไอ จาม หรือหายใจรดกัน หรือในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ อ่อนแอ พิการ มักพบเกิดจากการสำลักเอาเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ปกติในจมูกและลำคอเข้าไปใน ปอด [/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]•มีไข้สูง ไอมาก หายใจหอบและเร็ว
    •ถ้าเป็นมากจะหายใจหอบเหนื่อยจนเห็นชายโครงบุ๋ม เล็บมือ เล็บเท้า ริมฝีปากซีด หรือเขียวคล้ำ กระสับกระส่าย หรือซึม
    •เมื่อมีอาการสงสัยว่าเป็นโรคปอดบวม ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
    โรค แทรกซ้อนที่อาจเกิดได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด, หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด, ปอดแตกและมีลมรั่วในช่องปอด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ในผู้ป่วยมีโรคหัวใจอยู่ก่อนอาจหัวใจวายได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การปฏิบัติตัว[/FONT][FONT=&quot]
    •ต้องรีบพบแพทย์ และรับการรักษาในโรงพยาบาล[/FONT]
    [FONT=&quot]•ผู้ป่วยควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม หรือใส่หน้ากากอนามัย
    •หากมีไข้ ให้กินยาลดไข้ และใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเพื่อลดไข้
    •กินอาหารที่อ่อนย่อยง่าย กินผักและผลไม้ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ
    •ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่เปียกชื้น และรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ[/FONT]



    สมุนไพรเยียวยาโรคระบบทางเดินหายใจ

    นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์
    ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค
    กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคระบบทางเดินหายใจเป็นความเจ็บป่วย

    เจ้าประจำที่มักมาเยือนเมื่ออากาศเปลี่ยนโรคในกลุ่มนี้เกิดง่าย
    และสามารถเป็นได้ตลอดทั้งปี สำหรับช่วงหน้าฝนจะเกิดจากการ
    ที่อากาศมีทั้งความเย็นชื้น และร้อนอบอ้าว
    ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจง่ายขึ้น อาการที่พบบ่อยได้แก่


    [​IMG]

    ไข้หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ
    มีน้ำมูกหรือเสมหะ ปวดศีรษะ ตัวร้อน ไข้หวัดใหญ่ สำหรับปี
    พ.ศ.2553 นี้ โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ
    (เอช1เอ็น1) ยังคงอยู่ในกระแสที่ควรเฝ้าระวัง ผู้ป่วยจะมีอาการ
    คล้ายไข้หวัด แต่มีไข้สูงมาก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยร่างกาย
    ท้องเสีย อาเจียน เป็นต้น

    ปอดอักเสบ อาการนี้มักเป็นในเด็กและผู้สูงอายุ
    เกิดจากการติดเชื้อที่ถุงลมในปอด ทำให้มีอาการคล้ายคลึงกับหวัด
    แต่มีไข้สูง ไอ มีเสมหะมาก เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว หอบเหนื่อย

    หอบหืด ฤดูฝนเป็นช่วงที่ดอกไม้หลายชนิดมีการผสมเกสร
    จึงทำให้มีละอองเกสรลอยอยู่ในอากาศมากเป็นพิเศษ
    ส่งผลให้ผู้ที่แพ้ละอองเกสรอาจหายใจเข้าไปจนเกิด
    อาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก กระทั่งหอบหนัก

    สูตรจากหมอน้อยแห่งลพบุรี
    หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว หรือหมอน้อย


    เป็นหมอสมุนไพรผู้มีชื่อเสียงประจำคลินิกหนองบงการแพทย์แผนไทย จังหวัดลพบุรี
    เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรลำดับต้นๆของประเทศ

    [​IMG]

    สูตรเยียวยาโรคระบบทางเดินหายใจของหมอน้อยมีดังนี้

    ................

    • มหัศจรรย์ผักบุ้งไทยคลายหวัด

    นำผักบุ้งไทย 1 กำมือ ตำให้พอแตก จากนั้นผสมน้ำซาวข้าว 1 แก้ว

    คั้นรวมกัน กรองเอาแต่น้ำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว

    ก่อนอาหารเช้าและเย็น หากเป็นหวัดมาก
    ให้เพิ่มการกินเป็นสามเวลาคือ ก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็น

    [​IMG]

    • ว่านหางจระเข้ลดไข้
    ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ 1 ใบ ล้างยางสีเหลืองออก
    จากนั้นหั่นวุ้นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับน้ำสะอาด 1½ แก้ว กินทั้งน้ำและวุ้น
    ก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็น


    • ใบย่านางถอนพิษไข้
    หมอน้อยกล่าวว่า เราสามารถกินใบย่านางได้หลายวิธี แต่ที่นิยมมีดังนี้

    วิธีที่ 1 นำใบย่านาง 1 กำมือ ตำให้ละเอียด แล้วต้มกับน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำดื่ม

    วิธีที่ 2
    นำใบย่านาง 1 กำมือ กับน้ำซาวข้าว 1 แก้ว มาขยำรวมกัน กรองเอาแต่น้ำดื่ม

    ทั้งสองวิธีนี้ให้ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็น


    • ต้นโทงเทงบรรเทาทอนซิลอักเสบ
    ตำกิ่งต้นโทงเทง 1 กิ่งให้ละเอียด เติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูประมาณ ½ ช้อนชา

    นำมาอมแล้วค่อยๆ กลืนจนกว่าจะหมด สามารถกินได้วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าอาการจะทุเลา

    • ใบกะเพราแก้ไอ
    โขลกใบกะเพราประมาณ 7 ใบให้แหลก บีบมะนาว 1 ซีกเล็ก
    และใส่เกลือตัวผู้ลงไป 3 เม็ด นำมาอมหรือเคี้ยวแล้วกลืนช้าๆ
    สามารถกินได้วันละ 2-3 ครั้ง หากมีอาการเจ็บคอร่วมด้วยอาจตำกระเทียม 3 กลีบ
    ใส่เพิ่ม เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคบริเวณลำคอ

    • เหง้าตะไคร้ขับเสมหะ
    นำตะไคร้ 1 เหง้า (บริเวณโคนต้นที่ติดกับราก) มาตำให้ละเอียด
    ผสมน้ำมะนาว 1 ลูก ใส่เกลือประมาณ ½ ช้อนชา
    คนให้เข้ากัน แล้วเทใส่ถ้วย จากนั้นใช้นิ้วชี้จุ่มน้ำที่ได้
    แล้วล้วงกวาดให้ทั่วคอจนน้ำตะไคร้หมด จะช่วยขับเสมหะอีกทางหนึ่ง



    เมื่อกล่าวถึงยาสมุนไพรสำหรับหน้าฝน คุณหมอปราโมทย์กล่าวว่า เนื่องจากในฤดูฝน ร่างกายของคนเรามักเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากธาตุลมเป็นสำคัญ เมื่อเผชิญความเย็นจากฝนอีก

    ธาตุลมจึงยิ่งอ่อนแอ ทำให้เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้หวัดง่าย

    โดยเฉพาะหากบุคคลนั้นมีธาตุลมเป็นธาตุเจ้าเรือน


    สูตรสมุนไพรที่แนะนำให้ใช้คือ

    • ตำรับตรีกฎุก
    ตำรับนี้เป็นยาสมุนไพรประจำหน้าฝนของทางการแพทย์แผนไทย
    ประกอบด้วยสมุนไพรรสเผ็ดร้อน 3 ชนิด ได้แก่ ขิงแห้ง พริกไทยขาวอบแห้ง

    และดีปลีแห้ง มีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ เพิ่มความอบอุ่น
    และบำรุงร่างกายให้แข็งแรง


    วิธีการคือ นำขิง พริกไทย และดีปลีอย่างละ 1 กำมือ มาเคี่ยวกับน้ำ 1 ลิตร

    จนน้ำงวดเหลือ 1/3 ลิตร จากนั้นรินดื่มเฉพาะน้ำ ก่อนอาหารเวลาเช้าและเย็น

    2 สูตรจากหมอธีรศักดิ์แห่งวัดเขาน้อย
    หมอธีรศักดิ์ เกษตรสินสมบัติ


    เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และผู้ทรงคุณวุฒิประจำชมรมแพทย์แผนไทย (วัดเขาน้อย)อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


    นอกจากหมอธีรศักดิ์จะให้คำปรึกษาเรื่องการใช้สมุนไพรรักษาอาการต่างๆ แล้ว

    ยังทำหน้าที่เป็นครูสอนนักเรียนการแพทย์แผนไทย

    ของชมรมแพทย์แผนไทยด้วยเช่นกัน

    สูตรเยียวยาโรคระบบทางเดินหายใจที่หมอธีรศักดิ์แนะนำ
    ได้แก่


    • ฟ้าทะลายโจรลดไข้และคออักเสบ

    นำฟ้าทะลายโจร 5-7 ยอด มาล้างให้สะอาด
    เคี้ยวแล้วอมไว้ จากนั้นค่อยๆ กลืนน้ำที่ได้จนหมด
    รสขมจะเปลี่ยนเป็นรสหวาน ซึ่งช่วยแก้ไข้หวัดได้ดี
    โดยเฉพาะอาการคออักเสบ

    [​IMG]


    เมื่อหายจากอาการต่างๆ แล้วควรหยุดกิน และไม่ควรกินในปริมาณมาก
    หรือกินเป็นเวลานาน เนื่องจากจะเป็นผลเสียต่อร่างกาย


    • หนุมานประสานกายคลายคอเจ็บ

    เด็ดใบต้นหนุมานประสานกายมา 1 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ค่อยๆ เคี้ยวใบยาช้าๆ

    แล้วกลืนน้ำที่ได้ลงไป ควรกินเมื่อรู้สึกเจ็บคอ และสามารถกินได้จนกว่าอาการจะทุเลาลง


    2 สูตรจากเมืองเหนือของหมอคมเพชร


    คุณคมเพชร บุญประคม หรือหมอคมเพชร


    เป็นหนึ่งในหมอพื้นบ้านประจำวิสาหกิจชุมชน
    ชมรมหมอเมืองเพื่อสุขภาพมวลชนเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    หมอคมเพชรสืบทอดความรู้การรักษามาจากบรรพบุรุษ


    • มะนาวสลายเสมหะสูตรคลาสสิก
    นำมะนาว 1 ลูกมาหั่นแว่นทั้งเปลือก ใส่ลงในครก
    จากนั้นแกะกระเทียม 1 หัวใส่ตามลงไป เติมเกลืออีก ½ ช้อนชา
    โขลกเบาๆ ให้เข้ากัน ตักส่วนผสมนั้นมาอม แล้วค่อยๆ
    กินน้ำทีละน้อยจนกว่าจะหมด สามารถกินส่วนผสมนั้นได้
    หรือคายทิ้งตามต้องการ และทำกินได้จนกว่าอาการจะดีขึ้น



    • ฟ้าทะลายโจร+มะนาวแก้หวัด

    อาจารย์สาทิสแนะนำว่า หากมีอาการเจ็บคอ

    ให้เด็ดยอดฟ้าทะลายโจรมาเคี้ยว 2 ยอดต่อ 1 ครั้ง

    แล้วกินวิตามินซี 500 มิลลิกรัมควบคู่ไปด้วย โดยกินเวลาเช้า กลางวัน และเย็น

    หากมีอาการหวัดเพิ่ม ให้กินแคปซูลฟ้าทลายโจรมื้อละ 3 เม็ด เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน

    ควบคู่ไปกับการกินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม เช้า กลางวัน และเย็น


    นอกจากนี้ หากหายใจแล้วมีกลิ่นคาวและเค็มคล้ายเริ่มเป็นหวัด

    หรือมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ควรนอนพักผ่อนให้เต็มที่

    ทำตัวและใจให้สบาย จากนั้นกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ วันละ 4-5 ครั้ง
    และดื่มน้ำมะนาวคั้นสดโดยไม่ใส่น้ำตาล วันละ 2 แก้ว

    ข้อมูลวิทยาทาน ที่มา:
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=grizzlybear&month=08-2010&date=25&group=82&gblog=51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  6. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747

    [FONT=&quot]โรคเกี่ยวกับตา[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]โรคตาแดง[/FONT][FONT=&quot]
    เป็น โรคที่ติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายรุนแรง เพราะส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส แต่ถ้าไม่รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็น อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การติดต่อ[/FONT][FONT=&quot]
    •จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ได้แก่ การสัมผัสโดยตรงกับน้ำตา ขี้ตา น้ำมูกของผู้ป่วย
    •จากใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ หรือจากแมลงวันแมลงหวี่ตอมตา
    อาการ
    •หลัง ได้รับเชื้อประมาณ 1-2 วัน จะเริ่มมีอาการระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง โดยอาจเริ่มที่ตาข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงลามไปตาอีกข้าง
    •ผู้ป่วยมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ถูกวิธี อาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น กระจกตาดำอักเสบ ทำให้ปวดตา ตามัว
    การปฏิบัติตัว
    •เมื่อมีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
    •เมื่อ มีอาการของโรค ควรพบแพทย์เพื่อรับยาหยอดตาหรือยาป้ายตาป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยใช้ติดต่อกันประมาณ 7 วัน หากมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้แก้ปวดตามอาการ
    •หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่บ่อยๆ
    •ไม่ควรขยี้ตา อย่าให้แมลงตอมตา และไม่ควรใช้สายตามากนัก[/FONT]
    [FONT=&quot]•ผู้ป่วยควรนอนแยกจากคนอื่นๆ และไม่ใช้สิ่งของต่างๆ ร่วมกัน และไม่ควรไปในที่มีคนมากเพื่อไม่ให้โรคแพร่ระบาด
    •ถ้ามีอาการปวดตารุนแรง ตาพร่ามัว หรืออาการไม่ทุเลาภายใน 1 สัปดาห์ ต้องรีบพบแพทย์อีกครั้ง[/FONT]

    สาระความรู้ข้อมูลอื่นๆ


    โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส (Viral Conjunctivitis) : การรักษาโรคนี้ประกอบด้วย
    1. การรักษาเฉพาะ : ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง แต่โรคนี้สามารถหายได้เองใน 10-12 วันตามธรรมชาติของโรค การใช้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ช่วยให้หายจากโรคเร็วขึ้น เช่นเดียวกับในโรคหวัด แต่แพทย์มักจะให้ยาปฏิชีวนะแบบหยอดตาและป้ายตาแก่ผู้ป่วยด้วย เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งมักจะเกิดตามมาบ่อยๆ
    2. การรักษาตามอาการ : โดย

    • ประคบเย็น วันละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ10-15 นาที
    • อย่าขยี้ตา เพราะจะทำให้ตาอักเสบมากขึ้น
    • อย่าใส่ contact lens ช่วงที่มีตาแดง
    • เปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน
    • กรณีตาแห้ง ให้หยอดน้ำตาเทียม
    • กรณีมีอาการคันตาร่วมด้วย ให้ยาลดอาการคันตาไปหยอด (ยากลุ่ม anti-histamine ; ยาออกฤทธิ์ต้านกับสารฮีสตามีนที่ทำให้เกิดอาการคันตา)
    • ไม่ควรใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของ steroid เพราะจะทำให้หายช้าลง
    • กินยาลดไข้ / ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล
    • พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยพักผ่อนให้มาก ๆ, ไม่ควรทำงานดึก ควรนอนให้เพียงพอ, ลดการใช้สายตาในช่วงที่มีอาการตาแดงอย่างรุนแรง
    • ใส่แว่นกันแดด หากมองแสงสว่างไม่ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องปิดตาไว้ตลอด ยกเว้นมีกระจกตาอักเสบแทรกซ้อน ทำให้มีอาการเคืองตามาก จึงใช้วิธีปิดตาเป็นครั้งคราวเพื่อลดอาการปวดและเคืองตา
    • ไม่จำเป็นต้องล้างตา

    3. เนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการสัมผัส จึงควรป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโดย
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนอื่น เช่น ควรหยุดเรียนหรือไม่ไปว่ายน้ำ จนกว่าตาจะหายแดง
    • ทุกครั้งที่มือสัมผัสโดนตา ควรล้างมือให้สะอาด
    • งดการใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น

    โรคตาแดงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Conjunctivitis) : ถึงแม้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่ได้รักษา ก็สามารถหายได้เองใน 10-14 วัน (ยกเว้นเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่อาจติดเชื้อเรื้อรังได้หรือลุกลามเร็วจน เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา) แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาการจะหายเร็วขึ้น คือประมาณ 1-3 วัน การรักษาประกอบด้วย
    1. การรักษาเฉพาะ : การใช้ยาปฏิชีวนะ หยอดตาทุก 4 ชั่วโมง และป้ายตาก่อนนอน โดยต้องใช้ให้ครบระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ เช่น 7 วัน ไม่ควรใช้แค่ตาหายแดง เพราะอาจทำให้เกิดการกลับเป็นซ้ำของอาการตาแดงได้
    2. การรักษาตามอาการ : ปฏิบัติเหมือนโรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส
    3. เช็ดทำความสะอาดเปลือกตาเพื่อเอาขี้ตาออก เวลาตื่นนอนตอนเช้าหรือเวลาที่มีขี้ตามาก โดยการใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดเปลือกตา
    4. ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค : ปฏิบัติเหมือนโรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส
    โรคตาแดงจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis) : การรักษาประกอบด้วย
    1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
    2. ประคบเย็นเวลามีอาการคันตา
    3. ยาหยอดตาแก้แพ้ เวลาที่มีอาการคันตา (ยากลุ่ม anti-histamine ; ยาออกฤทธิ์ต้านกับสารฮีสตามีนที่ทำให้เกิดอาการคันตา)
    4. ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการของโรคภูมิแพ้ตารุนแรง หรือมีอาการภูมิแพ้ที่ระบบอื่นร่วมด้วย เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือภูมิแพ้ผิวหนัง จะได้ผลดีจากการใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน
    5. ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการคันตาจากภูมิแพ้บ่อย ทำให้ต้องหยอดยาแก้แพ้บ่อยๆ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาควบคุมอาการภูมิแพ้ร่วมด้วย เพื่อลดอาการกำเริบและลดความถี่ของการหยอดยาแก้แพ้ (ใช้ยากลุ่ม mast cell stabilizer ; ออกฤทธิ์โดยทำให้แมสค์เซลล์ซึ่งเป็นตัวหลั่งสารฮีสตามีนมาทำให้เกิดอาการแพ้ มีความแข็งแรงมากขึ้นเวลาเจอสารก่อภูมิแพ้ จึงหลั่งฮีสตามีนออกมายากขึ้น)
    6. ในผู้ป่วยบางครั้งอาจมีอาการเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้อย่างรุนแรง ไม่ดีขึ้นหลังหยอดยาแก้แพ้ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาหยอดตาลดการอักเสบกลุ่มสเตอรอยไปหยอดในช่วงระยะเวลา สั้นๆ ผู้ป่วยควรใช้ยานี้ตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้นานเกินคำแนะนำของแพทย์หรือซื้อยาชนิดนี้มาหยอดเอง เพราะถ้าใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดโรคต้อหินตามมาได้
    นอกจากการรักษาแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำในประชาชนทุกคน คือ การป้องกันไม่ให้เป็นตาแดงจากการติดเชื้อ ซึ่ง
    ทำได้โดย
    • ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
    • ไม่คลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วยโรคตาแดง
    • ถ้ามีฝุ่นละออง หรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
    • อย่าปล่อยให้แมลงหวี่ หรือแมลงวันตอมตา
    • หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย
    • ดูแลสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน

    ในขณะที่โรคตาแดงจากภูมิแพ้ ไม่สามารถป้องกันได้จากวิธีดังกล่าว แต่ทำได้โดยการพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ แหล่งอ้างอิง


    1. Pink eye (conjunctivitis) - MayoClinic.com
    2. เอกสารประกอบการสอนเรื่อง ตาแดง. โดยผศ.พญ.สุภาภรณ์ เต็งไตรสรณ์. ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
    3. Medscape: Medscape Access
    4. Conjunctivitis - Wikipedia, the free encyclopedia


    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร[/FONT]
    [FONT=&quot] ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง อหิวาตกโรค อาหารเป็นพิษ บิด ตับอักเสบเอ และไข้ทัยฟอยด์ เป็นต้น[/FONT]
    [FONT=&quot]การติดต่อ [/FONT][FONT=&quot]
    เชื้อ โรคจะเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป เช่น อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารที่ทิ้งค้างคืนโดยไม่ได้แช่เย็น และไม่ได้อุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส ก่อนรับประทานอาหาร[/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    โรคอุจจาระร่วง มีอาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกเลือด อาจมีอาเจียนร่วมด้วย หากมีอาการรุนแรงโดยถ่ายเป็นน้ำคล้ายน้ำซาวข้าว คราวละมากๆ เรียกว่า อหิวาตกโรค
    อาหารเป็นพิษ มักมีอาการปวดท้อง ร่วมกับถ่ายอุจจาระเหลว คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
    โรคบิด มีอาการสำคัญคือ ถ่ายอุจจาระบ่อย อุจจาระมีมูก หรือมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องและมีปวดเบ่งร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการเรื้อรัง
    โรคไข้ทัยฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย มีอาการสำคัญคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาจมีอาการท้องผูก หรือบางรายอาจท้องเสียได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การรักษา[/FONT][FONT=&quot]
    •ให้ ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมากๆ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส) ผสมน้ำตามสัดส่วนที่ระบุข้างซอง หรือเตรียมสารละลายเกลือแร่เอง โดยผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 ขวดกลม หรือ 750 ซีซี ให้ผู้ป่วยดื่มบ่อยๆ ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการขับถ่าย
    •หากมีอาการมากขึ้น เช่น อาเจียนมาก ไข้สูง ชัก หรือซึมมาก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
    •เด็กที่ดื่มนมแม่ ให้ดื่มต่อได้ตามปกติ พร้อมป้อนสารละลายน้ำตาลเกลือแร่บ่อยๆ
    •เด็กที่ดื่มนมผงชง ให้ผสมนมจางลงครึ่งหนึ่งของที่เคยดื่ม และให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่สลับกันไป
    •ไม่ควรกินยาเพื่อให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะเป็นอันตรายมากขึ้น [/FONT]
    [FONT=&quot]การป้องกัน[/FONT][FONT=&quot]
    •ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทุกครั้งก่อนเตรียมและปรุงอาหาร ก่อนกินอาหาร และหลังการขับถ่าย
    •ดื่มน้ำที่สะอาด เลือกกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ และเก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด
    •กำจัดสิ่งปฏิกูล ขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน[/FONT]



    [FONT=&quot][/FONT]
     
  7. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747


    [FONT=&quot]โรคฉี่หนู [/FONT]
    [FONT=&quot] โรค ฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรสิส เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน มีหนูเป็นตัวแพร่โรคที่สำคัญ เชื้อออกมากับปัสสาวะสัตว์แล้วปนเปื้อนอยู่ในน้ำท่วมขัง พื้น ดินที่ชื้นแฉะได้นาน
    การติดต่อ
    เชื้อ เข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล รอยขีดข่วน รอยถลอก หรือไชเข้าเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำนาน หรืออาจติดเชื้อจากการรับประทานอาหารที่หนูฉี่รด [/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    •มัก เริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 4 -10 วัน โดยจะมีไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะน่องและโคนขา หรือปวดหลัง
    •บางคนมีอาการตาแดง อาจมีอาการเจ็บคอ เบื่ออาหาร หรือท้องเดิน
    •หากมีอาการดังกล่าวหลังจากที่สัมผัสสัตว์ หรือลุยน้ำ ย่ำโคลน ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หรือหน่วยแพทย์ในพื้นที่ทันที
    •ถ้า ไม่รีบรักษา บางรายอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน หรือตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน เนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเสียชีวิตได้
    การป้องกัน
    •ควรสวมรองเท้าบู๊ทยางกันน้ำ หากต้องลุยน้ำ ย่ำโคลน โดยเฉพาะถ้ามีบาดแผล
    •หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ ย่ำโคลนนานๆ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบอาบชำระร่างกายให้สะอาดโดยเร็วที่สุด
    •รับประทานอาหารที่ปรุงสุกทันที และเก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด
    •ดูแลที่พักให้สะอาด ไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนู
    •เก็บกวาด ทิ้งขยะให้มิดชิดไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของหนู[/FONT]

    [FONT=&quot]โรคไข้เลือดออก[/FONT][FONT=&quot]
    เป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะ พบได้ทุกวัย และทั่วทุกภาคของประเทศไทย
    อาการ
    •ไข้สูงลอย (ไข้สูงตลอดทั้งวัน) ประมาณ 2-7 วัน
    •ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนใหญ่มีอาการหน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ตามลำตัว แขน ขา
    •มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร
    •ต่อ มาไข้จะเริ่มลง ในระยะนี้ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะอาจเกิดอาการรุนแรง โดยผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น หรือมีเลือดออกผิดปกติ เช่น ถ่ายดำ หรือไอปนเลือด อาจมีภาวะช็อค และถึงเสียชีวิตได้

    การปฏิบัติตัว
    •ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
    •ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้
    •ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพรินเพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
    •ให้ดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำตาลเกลือแร่บ่อยๆ [/FONT]
    [FONT=&quot]การป้องกัน[/FONT][FONT=&quot]
    •ระวังอย่าให้ยุงกัดในตอนกลางวัน โดยการนอนกางมุ้ง ทายากันยุง
    •กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยปิดฝาภาชนะเก็บน้ำ ทำลาย หรือคว่ำภาชนะไม่ให้มีน้ำขัง [/FONT]

    [FONT=&quot]โรคหัด[/FONT][FONT=&quot]
    เป็น โรคไข้ออกผื่นที่พบบ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากเชื้อไวรัส มักพบในช่วงฤดูฝน เป็นโรคที่สำคัญเนื่องจากอาจมีโรคแทรกซ้อนทำให้เสียชีวิตได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การติดต่อ[/FONT][FONT=&quot]
    •ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด
    •เชื้อกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ [/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    •หลังได้รับเชื้อประมาณ 8 -12 วัน จะเริ่มมีอาการไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ ตรวจพบจุดขาวๆ เล็กๆ ขอบแดงในกระพุ้งแก้ม
    •ในช่วง 1-2 วันแรกไข้จะสูงขึ้น และจะสูงเต็มที่ในวันที่ 4 เมื่อมีผื่นขึ้น
    •ผื่นมีลักษณะนูนแดงติดกันเป็นปื้นๆ โดยจะขึ้นที่ใบหน้าบริเวณชิดขอบผมแล้วแพร่กระจายไปตามลำตัว แขน และขา [/FONT]
    [FONT=&quot]•ต่อมาไข้จะเริ่มลดลง ผื่นจะมีสีเข้มขึ้นแล้วค่อย ๆจางหายไปในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
    ใน เด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการ หรือในเด็กเล็ก อาจมีโรคแทรกซ้อนได้ เช่น หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หรือสมองอักเสบ อาจถึงเสียชีวิตได้
    การดูแลรักษา
    •ให้ การรักษาตามอาการ ถ้าไข้สูงมากควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราว ร่วมกับการเช็ดตัว ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นกรณีที่มีโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หูอักเสบ เป็นต้น
    •แยกผู้ป่วยที่สงสัยเป็นหัด
    •ให้รับประทานอาหารอ่อนที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน
    •ถ้ามีผื่นออกแล้วยังมีไข้สูง หรือมีไข้ลดลงสลับกับไข้สูง ไอมาก หรือหอบ ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที [/FONT]
    [FONT=&quot]การป้องกัน[/FONT][FONT=&quot]
    •วิธีที่ดีที่สุดคือฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด
    •หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย
    •รักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหาร และออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อมีภูมิ ต้านทานโรค
    •เด็ก ทารกมีภูมิต้านทานเชื้อโรคน้อย ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยเฉพาะในช่วง 1 ถึง 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด น้ำนมแม่จะอุดมไปด้วยภูมิต้านทานต่อโรคต่าง ๆ[/FONT]


    [FONT=&quot]โรคไข้มาลาเรีย[/FONT][FONT=&quot]
    เป็นโรคที่ติดต่อโดยยุงก้นปล่องเป็นพาหะนำเชื้อโรค ยุงก้นปล่องพบในที่ป่าเขาที่มีแหล่งน้ำจืดธรรมชาติ มักกัดคนในเวลากลางคืน [/FONT]
    [FONT=&quot]อาการ[/FONT][FONT=&quot]
    •หลังได้รับเชื้อ 7 -10 วัน จะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ บางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด
    •ใน ระยะแรกอาจมีไข้สูงตลอดได้ บางรายมีอาการหนาวสั่น หรือเป็นไข้จับสั่นซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ ในรายอาการรุนแรงอาจถึงเสียชีวิตได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การควบคุมและป้องกัน[/FONT][FONT=&quot]
    •ควรนอนในมุ้ง ทายากันยุง
    •สวมใส่เสื้อผ้าปกคลุมร่างกายให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงกัดเมื่อเข้าป่า
    •ถ้าพบว่ามีอาการเจ็บป่วยดังกล่าวควรรีบพบแพทย์ทันที

    [/FONT]
    [FONT=&quot][/FONT]<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ที่มา[/FONT][FONT=&quot]: สำนักโรคติดต่อทั่วไป กระทรวงสาธารณสุข[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
     
  8. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [FONT=&quot]คำแนะนำ การป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]



    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
    [FONT=&quot]การเตรียมตัวและการป้องกันโรคจากน้ำท่วม[/FONT]

    · [FONT=&quot]ติดตามข่าวและสถานการณ์น้ำท่วมอย่างสม่ำเสมอ[/FONT]
    · [FONT=&quot]เตรียม อาหารแห้ง น้ำสะอาด ยาจำเป็นต่างๆ เช่น ยาลดไข้ ยาหยอดตา[/FONT][FONT=&quot] ยาใส่แผล ผงน้ำตาลเกลือแร่ รวมทั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ เช่น ไฟฉาย ถุงขยะหรือ ถุงพลาสติกไว้ในบ้าน[/FONT]
    · [FONT=&quot]รักษา สุขอนามัยตนเองและคนในครอบครัว โดยปฏิบัติอย่างเคร่งครัดให้เป็นนิสัย[/FONT][FONT=&quot] เน้นการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร หลังขับถ่าย หรือหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม หลังสัมผัสสิ่งสกปรก ก่อนเตรียมและปรุงอาหาร รวมทั้งการให้นมบุตร[/FONT]
    · [FONT=&quot]ในยามปกติควรรับประทานอาหารที่สะอาด[/FONT][FONT=&quot] มีคุณค่าทางอาหาร และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค[/FONT]
    · [FONT=&quot]ควบ คุมกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์และแมลงนำโรคต่าง ๆ เช่น หนู[/FONT][FONT=&quot] ยุง ลูกน้ำยุง กำจัดขยะ และรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ[/FONT]



    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]น้ำดื่มน้ำใช้ และอาหารที่สะอาดปลอดภัย[/FONT]

    [FONT=&quot] น้ำดื่ม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย ปกติร่างกายต้องการน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร โดยจะได้รับจากน้ำดื่ม[/FONT]
    · [FONT=&quot]ในภาวะน้ำท่วม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพจึงต้องทำน้ำให้สะอาดก่อนดื่ม คือ ต้มให้เดือดเพื่อทำลายเชื้อโรคในน้ำ[/FONT]
    · [FONT=&quot]ในกรณีใช้น้ำดื่มบรรจุขวด จะต้องดูตราเครื่องหมาย อย. ก่อนดื่ม[/FONT]
    · [FONT=&quot]น้ำ ดื่มในภาชนะควรบรรจุปิดสนิท น้ำต้องใส สะอาดไม่มีตะกอนและไม่มีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่บรรจุในขวดที่สะอาด หลังดื่มน้ำหมดแล้วควรทำลายขวด/ภาชนะบรรจุ โดยทุบหรือบีบให้เล็กลงก่อนนำไปทิ้งถุงดำ เพื่อสะดวกต่อการนำไปกำจัด[/FONT]
    [FONT=&quot]น้ำใช้[/FONT][FONT=&quot] ใช้น้ำสะอาด หากไม่แน่ใจให้ใช้คลอรีนทำลายเชื้อโรคในน้ำ โดยความเข้มข้นของคลอรีนจะต้องมีอัตราส่วนที่ถูกต้องและมีระยะเวลาเพียงพอ ที่จะทำลายเชื้อโรค[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]การใช้น้ำปูนคลอรีนฆ่าเชื้อโรค[/FONT][FONT=&quot]
    1.น้ำ ดื่ม ใช้น้ำปูนคลอรีนความเข้มข้น 50 พีพีเอ็ม ใส่ในน้ำสะอาด 10 ปี๊บ ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพ ทิ้งไว้ 30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค ซึ่งหลังจากนั้นจะยังมีคลอรีนอิสระคงเหลืออยู่ เพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำต่อไป สังเกตได้ว่าน้ำยังคงมีกลิ่นของคลอรีน ถ้ามีเครื่องวัด จะพบว่าคลอรีนอิสระคงเหลืออยู่ระหว่าง 0.2-0.5 พีพีเอ็ม
    2.ผักสด ผลไม้ ล้างด้วยน้ำสะอาด และฆ่าเชื้อโรคโดยแช่ในน้ำที่ผสมน้ำปูนคลอรีน ความเข้มข้น 50 พีพีเอ็ม นาน 30 นาที
    3.อาหารทะเล ล้างด้วยน้ำสะอาด และฆ่าเชื้อโรค โดยแช่ในน้ำที่ผสมน้ำปูนคลอรีน ความเข็มข้น 100 พีพีเอ็ม นาน 30 นาที
    4.เขียงที่ใช้กับอาหารประเภทต่าง ๆ ต้องล้างด้วยน้ำให้สะอาด และฆ่าเชื้อโรคโดยแช่ในน้ำปูนคลอรีนความเข้มข้น 100 พีพีเอ็ม นาน 30 นาที[/FONT]
    [FONT=&quot]ข้อควรระวังในการใช้คลอรีน[/FONT][FONT=&quot]
    1.เก็บคลอรีนให้พ้นมือเด็ก
    2.อย่า ให้ถูกผิวหนังและเข้าตา เมื่อถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที ถอดเสื้อผ้าที่ถูกคลอรีนออก และอาบน้ำชะล้างให้หมด เมื่อเข้าตาให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาด
    3.ระหว่างการผสมคลอรีนควรใส่ผ้าปิดปากและจมูก[/FONT]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]3. น้ำดื่มน้ำใช้ และอาหารที่สะอาดปลอดภัย[/FONT][FONT=&quot]
    น้ำดื่ม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย ปกติร่างกายต้องการน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร โดยจะได้รับจากน้ำดื่ม[/FONT]
    · [FONT=&quot]ในภาวะน้ำท่วม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพจึงต้องทำน้ำให้สะอาดก่อนดื่ม คือ ต้มให้เดือดเพื่อทำลายเชื้อโรคในน้ำ[/FONT]
    · [FONT=&quot]ในกรณีใช้น้ำดื่มบรรจุขวด จะต้องดูตราเครื่องหมาย อย. ก่อนดื่ม[/FONT]
    · [FONT=&quot]น้ำ ดื่มในภาชนะควรบรรจุปิดสนิท น้ำต้องใส สะอาดไม่มีตะกอนและไม่มีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่บรรจุในขวดที่สะอาด หลังดื่มน้ำหมดแล้วควรทำลายขวด/ภาชนะบรรจุ โดยทุบหรือบีบให้เล็กลงก่อนนำไปทิ้งถุงดำ เพื่อสะดวกต่อการนำไปกำจัด[/FONT]
    [FONT=&quot]น้ำใช้[/FONT][FONT=&quot] ใช้น้ำสะอาด หากไม่แน่ใจให้ใช้คลอรีนทำลายเชื้อโรคในน้ำ โดยความเข้มข้นของคลอรีนจะต้องมีอัตราส่วนที่ถูกต้องและมีระยะเวลาเพียงพอ ที่จะทำลายเชื้อโรค[/FONT]
    [FONT=&quot]การใช้น้ำปูนคลอรีนฆ่าเชื้อโรค[/FONT][FONT=&quot]
    1.น้ำ ดื่ม ใช้น้ำปูนคลอรีนความเข้มข้น 50 พีพีเอ็ม ใส่ในน้ำสะอาด 10 ปี๊บ ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพ ทิ้งไว้ 30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค ซึ่งหลังจากนั้นจะยังมีคลอรีนอิสระคงเหลืออยู่ เพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำต่อไป สังเกตได้ว่าน้ำยังคงมีกลิ่นของคลอรีน ถ้ามีเครื่องวัด จะพบว่าคลอรีนอิสระคงเหลืออยู่ระหว่าง 0.2-0.5 พีพีเอ็ม
    2.ผักสด ผลไม้ ล้างด้วยน้ำสะอาด และฆ่าเชื้อโรคโดยแช่ในน้ำที่ผสมน้ำปูนคลอรีน ความเข้มข้น 50 พีพีเอ็ม นาน 30 นาที
    3.อาหารทะเล ล้างด้วยน้ำสะอาด และฆ่าเชื้อโรค โดยแช่ในน้ำที่ผสมน้ำปูนคลอรีน ความเข็มข้น 100 พีพีเอ็ม นาน 30 นาที
    4.เขียงที่ใช้กับอาหารประเภทต่าง ๆ ต้องล้างด้วยน้ำให้สะอาด และฆ่าเชื้อโรคโดยแช่ในน้ำปูนคลอรีนความเข้มข้น 100 พีพีเอ็ม นาน 30 นาที[/FONT]
    [FONT=&quot]ข้อควรระวังในการใช้คลอรีน[/FONT][FONT=&quot]
    1.เก็บคลอรีนให้พ้นมือเด็ก
    2.อย่า ให้ถูกผิวหนังและเข้าตา เมื่อถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที ถอดเสื้อผ้าที่ถูกคลอรีนออก และอาบน้ำชะล้างให้หมด เมื่อเข้าตาให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาด
    3.ระหว่างการผสมคลอรีนควรใส่ผ้าปิดปากและจมูก[/FONT]


    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]มือสะอาด ร่างกายสะอาด ป้องกันโรคได้[/FONT]
    [FONT=&quot]ทำไมต้องล้างมือ[/FONT][FONT=&quot]
    มือ เป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้สัมผัสกับร่างกายของตนเอง และสิ่งแวดล้อมทั่ว ๆ ไป ถ้ามือสกปรกก็จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้ โดยมืออาจเปรอะเปื้อนสิ่งสกปรก เช่น ขยะมูลฝอย อาหารดิบ ฯลฯ ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจมีโอกาสที่จะใช้มือสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของตัวเอง แล้วน้ำเชื้อไปปนเปื้อนกับสิ่งของรอบ ๆ ตัว ทำให้คนอื่นๆ ที่ใช้มือหยิบจับสิ่งของเหล่านั้น ได้รับเชื้อโรคแล้วนำเข้าสู่ร่างกายเมื่อใช้มือมาจับต้องเยื่อบุจมูก ตา และปาก ดังนั้น จึงต้องดูแลรักษาให้ “มือสะอาดและมีสุขภาพดี” คือ ตัดเล็บมือให้สั้นอยู่เสมอ กรณีที่มีแผลที่มือและนิ้วมือต้องรักษาให้หายหรือใส่ยา ปิดพลาสเตอร์ไว้ และล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกฮอล์ ทำความสะอาดมือทุกครั้ง
    •หลัง ไอ จาม หรือสั่งน้ำมูก
    •ก่อนและหลังการสัมผัสผู้ป่วย
    •ก่อนรับประทานอาหาร
    •ก่อนและหลังการเตรียมและป้อนอาหารให้เด็ก
    •หลังการขับถ่าย สัมผัสสัตว์หรือขยะต่างๆ
    วิธี ที่ง่าย สะดวก และประหยัดที่สุด คือ การล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาด โดยถูซอกนิ้วมือ ฝ่ามือ หลังมือและรอบข้อมือให้ทั่วถึง แล้วเช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาด[/FONT]
    [FONT=&quot]รักษาร่างกายให้สะอาดและอบอุ่น[/FONT][FONT=&quot]
    •อาบน้ำชำระร่างกายทุกวัน
    •สระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
    •ตัดเล็บมือ เล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ
    •ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ซักผึ่งแดดให้แห้ง และสวมเสื้อผ้าให้หนาพอหากอากาศเย็น[/FONT]

    [FONT=&quot]ขับถ่ายในส้วม หยุดการแพร่ระบาด [/FONT]

    [FONT=&quot]ควรถ่ายอุจจาระในส้วม โดยปฏิบัติ ดังนี้[/FONT][FONT=&quot]
    -ราดโถส้วม ก่อนถ่ายทุกครั้ง เพื่อไม้ให้อุจจาระติดโถส้วม
    -ใช้น้ำชำระล้างหลังจากถ่ายเสร็จ
    -ทำความสะอาดบริเวณโถส้วม โดยราดน้ำให้อุจจาระลงหมด
    -ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังจากใช้ส้วม[/FONT]
    [FONT=&quot]ใน ภาวะน้ำท่วมหากไม่สามารถถ่ายในส้วมได้ ห้ามถ่ายลงในน้ำโดยตรง ให้ถ่ายใส่ถุงพลาสติกแล้วใส่ปูนขาวพอสมควร ปิดปากถุงให้แน่น ใส่ลงถุงขยะอีกครั้ง แล้วนำไปทิ้งบริเวณที่จัดไว้หรือรวบรวมไว้เพื่อรอการนำไปจัดการอย่างถูกวิธี[/FONT]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->[FONT=&quot]การจัดการขยะหลังน้ำลด[/FONT][FONT=&quot] ดำเนินการดังนี้[/FONT][FONT=&quot]

    1.ขยะ เปียกที่สามารถย่อยสลายได้ เช่น เศษอาหาร ซากพืช ซากสัตว์ ฯลฯ ควรเก็บรวบรวมไว้ในภาชนะหรือถังที่มีฝาปิดมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน แล้วรวบรวมเพื่อนำไปฝังกลบ โดยขุดหลุมที่มีความลึกประมาณ 1 เมตร ความกว้างขึ้นกับปริมาณขยะ โรยด้วยปูนขาว แล้วฝังกลบด้วยดิน เพื่อไม่ให้สัตว์คุ้ยเขี่ย หรือแมลงวันไปวางไข่ได้

    2.ขยะแห้ง ได้แก่ พลาสติก โฟม แก้ว เศษไม้ กระดาษ ฯลฯ สามารถคัดแยกประเภทแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ หรือบรรจุใส่ถุงพลาสติกสีดำ มัดปากถุงให้แน่น แล้วรวบรวมไว้ที่บริเวณเฉพาะ เพื่อรอการนำไปจัดการอย่างถูกวิธีโดยการเผา การฝัง หรือหมัก ทำปุ๋ย
    ถังขยะควรทำด้วยวัสดุแข็งแรง ทนทาน ไม่รั่วซึม มีความจุไม่เกิน 20 ลิตร มีฝาปิดมิดชิด และควรใช้ถุงพลาสติกรองด้านในถังขยะ[/FONT]


    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]การป้องกันอุบัติเหตุ และการดูแลบาดแผล[/FONT]

    [FONT=&quot]อุบัติเหตุ[/FONT][FONT=&quot] ที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงน้ำท่วม เช่น ไฟดูด พลัดตกน้ำ จมน้ำ รวมถึงบาดแผลจากของมีคม เศษแก้วบาด แผลถลอก แผลถูกตำ แผลฟกช้ำต่างๆ เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ถึงเสียชีวิตได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การป้องกัน[/FONT][FONT=&quot]
    •ตัดไฟฟ้าในบ้านโดยสับคัทเอาต์ของบ้าน เพื่อตัดไฟ ป้องกันไฟฟ้ารั่ว ไฟฟ้าดูด
    •ถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน
    •เก็บกวาดขยะ วัตถุที่แหลมคม ตะปู ในบริเวณพื้นบ้านและทางเดินสม่ำเสมอ
    •ระมัดระวัง และดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]การปฏิบัติเมื่อเกิดบาดแผล[/FONT]


    [FONT=&quot] บาด แผลที่ดูแลไม่ดี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น เช่น แผลติดเชื้อจากแบคทีเรียเกิดหนอง เป็นแผลเรื้อรัง เกิดการเน่าของเนื้อ จนบางครั้งอาจต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งได้ หรือถึงเสียชีวิตได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การดูแลบาดแผล[/FONT][FONT=&quot]
    แผล ข่วน แผลถลอก หรือแผลแยกของผิวหนังที่ไม่ลึก จะมีเลือดออกเล็กน้อยและหยุดเองได้ แผลพวกนี้ไม่ค่อยมีอันตราย ทำความสะอาดบาดแผล ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน ทิงเจอร์ ฯลฯ และปิดปากแผล แผลก็จะหายเอง
    แผลฉีกขาด เป็นแผลที่เกิดจากแรงกระแทกจากวัสดุที่ไม่มีคม มักฉีกขาดขอบกะรุ่งกะริ่ง แผลชนิดนี้เนื้อเยื่อถูกทำลายมากกว่า และมีโอกาสติดเชื้อมาก ควรทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำและสบู่ ถ้าบาดแผลลึกมากควรนำส่งโรงพยาบาลเพราะว่าผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายจากการติด เชื้อโรคได้[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]การทำความสะอาดบาดแผล[/FONT]

    [FONT=&quot] 1.ต้อง ล้างบาดแผลให้สะอาดด้วยน้ำต้มสุก หรือน้ำด่างทับทิม ซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ใช้น้ำยาแอลกอฮอล์ เช็ดบริเวณรอบ ๆ แผล ไม่เช็ดลงบนแผล[/FONT]
    [FONT=&quot]
    2.ทำความสะอาดแผลเป็นประจำทุกวัน[/FONT]
    [FONT=&quot]
    3.หลีกเลี่ยงไม่ให้ แผลสกปรก หรือเปียกน้ำ หากบาดแผลสกปรก หรือเปียกน้ำ ควรทำความสะอาด โดยใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบแผล และใส่ยาฆ่าเชื้อเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    4.ปิด แผลด้วยพลาสเตอร์ หรือผ้าพันแผล ไม่ใช้สำลีปิดแผล เพราะเมื่อแผลแห้งแล้วจะติดกับสำลีทำให้ดึงออกยากเกิดความเจ็บปวด และทำให้เลือดไหลได้อีก[/FONT]
    [FONT=&quot]
    5.สังเกตอาการอักเสบของบาดแผล เช่น บวม แดงร้อน สีผิวของบาดแผลเปลี่ยนไป มีหนอง ควรรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อรักษาต่อ[/FONT]

    [FONT=&quot]



    การปฏิบัติตัวเมื่อถูกงู หรือสัตว์มีพิษกัด[/FONT]


    [FONT=&quot] •เมื่อถูกงูที่มีพิษกัด หรือสัตว์มีพิษกัด หรือไม่แน่ใจให้ทำความสะอาดบาดแผลล้างบาดแผลให้สะอาดด้วยน้ำต้มสุก หรือน้ำด่างทับทิม ซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด แล้วใช้น้ำยาแอลกอฮอล์ เช็ดบริเวณรอบ ๆ แผล ไม่เช็ดลงบนแผล
    •หากเป็นงูพิษกัด ห้ามไม่ให้ดูดพิษงูด้วยปาก ให้ ทำความสะอาดแผลดังที่กล่าวข้างต้น และรัดรอบแขน หรือขาเหนือปากแผลให้แน่น และรีบนำส่งโรงพยาบาล ในระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ให้คลายเชือกหรือผ้าที่รัดทุก 10 -15 นาที เพื่อไม่ให้ส่วนปลายแขน หรือขาขาดเลือดไปเลี้ยง
    •ถ้ามีประวัติเคยแพ้พิษสัตว์ต่างๆ มาก่อน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที[/FONT]



    [FONT=&quot]ที่มา[/FONT][FONT=&quot]: สำนักโรคติดต่อทั่วไป กระทรวงสาธารณสุข[/FONT]
     
  9. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    h o w t o สู้ น้ำ ท่ ว ม

    กระจองงองๆ เจ้าข้าเอ้ย เง้ยยยๆๆ

    ประกาศจากรายการข่าวเช้าไทยพีบีเอส พ่อแม่พี่น้องท่านใด มีไอเดียดีๆ จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ เช่น (สมมตินะ) ทำกางเกงกันปลิง หรือวิธีประยุกต์ใช้สิ่งของต่างๆ รับสถานการณ์น้ำท่วม เช่น วิธีขับรถในน้ำท่วม (อันนี้รู้สึกจะมีจริงนะ)

    [​IMG]

    เสร็จแล้วอยากจะบอกเล่าเก้าสิบ ให้คนอื่นๆ ได้ประโยชน์ด้วย เรียกว่าเป็นวิทยาทาน ขอเชิญบอกกล่าวรายละเอียด พร้อมเบอร์โทรติดต่อกลับ เพื่อทางรายการ จะได้ไปถ่ายทำเอามาออกอากาศ ได้ที่นี่ ttv_1@hotmail.com

    ขอบคุณล่วงหน้าคนไทยใจดีทุกท่าน

    [​IMG]
     
  10. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    ทำสวนครัวในบ้านแบบไม่เปลืองเนื้อที่

    [​IMG]
    ช่วงระยะการป้องกัน และเกิดภาวะสภาพนี้ ผลที่เกิดผลต่อระบบสังคม เศรษฐกิจ การขนส่งสินค้าและอาหาร ราคาสินค้าการเกษตรจะมีราคาแพงขึ้นมาก ๆ ๆ และหายากดังคำท่านว่า "ข้าวจะยาก หมากจะแพง"

    ส่วนหนึ่งของการเร่งปรับสภาพและฟื้นฟู หากแต่ละครัวเรือนจะได้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องการกินอยู่ตามอัตภาพ ด้วยการหาเมล็ดพันธุ์ผัก พืชสวนครัว ปลูกไว้กินเองภายในครอบครัว หรือแบ่งปันกันยามขาดแคลนกันนะคะ



    มีวิธีใดบ้าง
    [​IMG]

    ทำสวนกระถาง หรือกระบะ
    ปลูก พริก ผักที่เราชอบกินประจำ เช่น
    สะระแหน่ โหระพา กระเพรา ผักชี ใบหอม
    ลงในกระถางหรือกระบะ
    กระถางหรือกระบะ เราสามารถหาที่วาง
    ไว้ทีระเบียงอพาร์ทเม้นท์ คอนโด
    หรือข้างบันได ขอบระเบียง บ้าน





    เผลอแป๊บเดียวจะเป็นกอ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    การปลูกผักบุ้ง
    ผักบุ้งเป็นไม้ที่ปลูกได้ในดินทุกชนิด
    ตั้งแต่ในดินที่แห้งแล้งไปจน ถึงที่ที่มีน้ำมาก
    และหากมีน้ำมากก็จะทำให้ลำต้นเจริญงอกงามดี
    มีความกรอบมากกว่าผัก บุ้งที่เจริญในที่แห้งแล้ง
    นอกจากนี้ผักบุ้งยังเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้ง่ายและรวดเร็ว
    สามารถ ปลูกหรือขยายพันธุ์ได้
    โดยการแยกกิ่งแก่ไปปักชำ


    [​IMG]

    <TABLE style="FONT: inherit; COLOR: inherit"><TBODY><TR><TD style="FONT: inherit; COLOR: inherit" vAlign=top>การทำสวนครัวแขวน
    คือการนำพืชผักสวนครัว เช่น
    พริก ตะไคร้ มะกรูด ผักชีฝรั่ง
    ต้นหอม เป็นต้น
    มาดัดแปลงปลูกลงในวัสดุเหลือใช้
    ในรูปแบบต่างๆ
    ที่สามารถแขวนไว้แถวชายคา
    หรือข้างๆ บ้านได้
    ซึ่งนอกจากผู้ปลูกเลี้ยงจะได้ประโยชน์
    คือสามารเก็บรับประทานได้แล้ว
    ยังสามารถใช้ประดับประดาบ้านเรือน
    ให้สวยงามแทนไม้ดอกไม้ประดับ
    ทั่วไปได้อีกด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในการปลูกผักหรือพืช จำเป็นต้องมีดินหรือวัสดุให้ต้นพืชยึดเกาะ
    รวมทั้งมีน้ำ แหล่งธาตุอาหารและสิ่งที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของพืช
    ซึ่งพิจารณาจากส่วนประกอบดังนี้


    <TABLE style="FONT: inherit; COLOR: inherit"><TBODY><TR><TD style="FONT: inherit; COLOR: inherit" vAlign=top>[​IMG] ... </TD><TD style="FONT: inherit; COLOR: inherit" vAlign=top>
    สภาพแสงและร่มเงา
    มีความจำเป็นในขบวนการสังเคราะห์แสง
    ของพืชเพื่อสร้างอาหาร
    โดยทั่วไปแล้วอาจแบ่ง
    ความต้องการแสง ในการปลูกผัก ดังนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    - สภาพที่ไม่ได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน
    ควรปลูกพืชผักที่สามารถเจริญเติบโตในร่มได้
    เช่น ต้นชะพลู สะระแหน่ ตะไคร้ โหระพา ขิง ข่า และกะเพรา เป็นต้น

    - สภาพที่ได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน
    ควรเลือกปลูกผักที่สามารถเจริญเติบโตได้ในแสงปกติ
    เช่น ถั่วฝักยาว คะน้า ผักกาดเขียว กวางตุ้ง พริกต่างๆ
    ยกเว้น พริกขี้หนูสวน

    ดินและธาตุอาหารพืช
    ดินที่เหมาะสมแก่การปลูกผัก คือ ดินที่มีลักษณะร่วนซุย
    ถ่ายเทอากาศได้ดี ระบายน้ำดี อุดมด้วยอินทรียวัตถุและธาตุอาหารพืช

    การปลูกผักในภาชนะ
    ควรจะพิจารณาถึงการหยั่งรากของพืชผักชนิดนั้นๆ


    พืชผักที่หยั่งรากตื้นสามารถปลูกได้ดีในภาชนะปลูกชนิดต่างๆ
    และภาชนะชนิดห้อยแขวนที่มีความลึกไม่เกิน 10 เซนติเมตร คือ

    ผักบุ้งจีน คะน้าจีน ผักกาดกวางตุ้ง (เขียวและขาว) ผักกาดฮ่องเต้
    ผักกาดหอม ผักกาดขาวชนิดไม่ห่อ (ขาวเล็ก ขาวใหญ่) ตั้งโอ๋
    ปวยเล้ง หอมแบ่ง (ต้นหอม) ผักชี ขึ้นฉ่าย ผักโขมจีน
    กระเทียมใบ (Leek) กุยช่าย กระเทียมหัว ผักชีฝรั่ง บัวบก
    สะระแหน่ แมงลัก โหระพา (เพาะเมล็ด) กะเพรา (เพาะเมล็ด)
    พริกขี้หนู ตะไคร้ ชะพลู หอมแดง หอมหัวใหญ่ หัวผักกาดแดง (แรดิช)


    วัสดุที่สามารถนำมาทำเป็นภาชนะปลูกอาจดัดแปลงจากสิ่งที่ใช้แล้ว

    [​IMG] [​IMG]
    เช่น ยางรถยนต์เก่า กะละมัง ปลอกซีเมนต์ เป็นต้น
    สำหรับภาชนะแขวนอาจใช้ กาบมะพร้าว กระถาง หรือเปลือกไม้



    วิธีการปลูกผักในภาชนะแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี

    - เพาะเมล็ดด้วยการหว่านแล้วถอนแยกหรือหยอดเป็นแถวแล้วถอนแยก
    ซึ่งพืชที่ควรปลูกด้วยวิธีนี้ ได้แก่
    ผักบุ้งจีน - คะน้าจีน - ผักกาดขาวกวางตุ้ง - ผักชี - กุยฉ่าย
    ผักกาดเขียวกวางตุ้ง - ผักฮ่องเต้ (กวางตุ้งไต้หวัน) - ตั้งโอ๋
    ปวยเล้ง -ผักกาดหอม - ผักโขมจีน - ขึ้นฉ่าย - โหระพา - ผักชีฝรั่ง
    กระเทียมใบ - หัวผักกาดแดง - กะเพรา - แมงลัก - หอมหัวใหญ่


    - ปักชำด้วยต้น และด้วยหัว ได้แก่
    หอมแบ่ง (หัว) - ผักชีฝรั่ง - กระเทียมหัว (ใช้หัวปลูก)
    หอมแดง (หัว) - บัวบก (ไหล) - ตะไคร้ (ต้น)
    สะระแหน่ (ยอด) - ชะพลู (ต้น) - โหระพา (กิ่งอ่อน)
    กุยช่าย (หัว) - กะเพรา (กิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน) - แมงลัก (กิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน)



    [​IMG]

    สำหรับในผักใบหลายชนิด เช่น หอมแบ่ง ผักบุ้งจีน คะน้า กะหล่ำปี
    การแบ่งเก็บผักที่สดอ่อนหรือ โตได้ขนาดแล้ว
    โดยยังคงเหลือลำต้นและรากไว้ไม่ถอนออกทั้งต้น
    รากหรือต้นที่เหลืออยู่ จะสามารถงอกงาม ให้ผลได้อีกหลายครั้ง
    ทั้งนี้จะต้องมีการดูแลรักษาให้น้ำและปุ๋ยอยู่

    การปลูกพืชหมุนเวียนสลับชนิดหรือปลูกผักหลายชนิดในแปลงเดียวกัน
    และปลูกผักที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นบ้างยาวบ้างคละกันในแปลงเดียวกัน
    หรือปลูกผักชนิดเดียวกันแต่ทยอยปลูกครั้งละ 3-5 ต้น
    หรือประมาณว่าพอรับประทานได้ในครอบครัวในแต่ละครั้งที่เก็บเกี่ยว
    ก็จะทำให้ผู้ปลูกมีผักสดเก็บรับประทานได้ทุกวันตลอดปี


    (ข้อมูลจาก www.rd1677.com , http://pirun.ku.ac.th,
    ภาพจาก internet)

    เครติด :
     
  11. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    <table id="post4627431" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175">


    เรื่องเล่า คนบ้าฝันช่างบังเอิญ
    (เล่าสู่กันฟัง..อย่าได้ถือสานะครับมันแ่ค่ความฝันเท่านั้นเอง
    )

    อ้างอิง:

    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tanakorn_ss [​IMG]
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tanakorn_ss [​IMG]
    ไม่ มีอะไรครับ ขอมาร่วมเล่าด้วยคนครับ เมื่อคืนฝันว่าเกิดเหตุแผ่นดินไหวครับ ที่่ใหนไม่ทราบ ดูน่ากลัวมากไหวจนภูเขาถล่ม แต่ว่าตัวเองก็หนีนะครับ พากลุ่มเพื่อนหนี และระหว่างนั้นพากันท่อง สวดมนต์พระพุทธคุณ พระธัมมคุณ พระสังฆคุณไปด้วยระหว่างหนี แต่ก็ หนีพ้นจากตรงนั้นได้ แต่มีสิ่งที่น่าคิดคือมักจะฝันเห็นน้ำบ่อยมาก เกี่ยวกับน้ำท่วมครับ คือมันไ่ม่ธรรมดาเลย มันมาเยอะมากไปตรงใหนก็เห็นแต่น้ำ ไม่รู้ว่ามาจากใหน หนีไปตรงใหนก็เจอแต่น้ำไหลเข้ามาพอไปจุดยอดสูงสุดของเขามองมาด้านล่างเห็น แต่น้ำ ไหลมาตามร่องแม่น้ำ อย่างเมื่อปีที่แล้วที่่มีข่าวน้ำท่วมประเทศไทย ก่อนเกิดเหตุไม่กี่อาทิตย์ก็ฝันเห็นน้ำ้เหมื่อนกันน้ำเยอะมากๆ จนตัวเองต้องขึ้นสะพานลอยถึงจะพ้นน้ำ ก็น่าแปลกดีนะครับ

    ไม่มีอะไรนะครับแค่มาเล่าความแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ (นานาจิตตัง)
    -----------------------------------------------------------------------------------
    (สงสัยน่าจะมีข่าวแผ่นดินไหวตามมาอีกหลายที่ไม่ไม่รู้ว่าที่ใหนบ้าง)

    </td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> </tbody></table>
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tanakorn_ss [​IMG]

    มาอีกแล้วครับ คนบ้าฝันมาเล่าสู่กันฟัง

    เมื่อคืนรู้สึกร้อนมากครับ และก็ฝันเห็นเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติอีกแล้ว ครั้งนี้จะเป็นเรื่องน้ำครับ ฝันว่าตัวเองไปเดินเ่ล่นริมเขาแถวทะเล มีป่าไม้ที่ใหนสักแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆ น้ำมันก่อตัวขึ้นครับ มันพัดจากฝั่งทะเลเข้ามาริมชายทะเล ฟ้าครึ้มมึดน่ากลัว แม่น้ำก่อตัวสูงแรงมากครับ ยิ่งกว่า สินามิ ที่เคยเกิดขึ้นเสียอีก มันน่ากลัวมาก พัดเข้ามาหาฝั่งที่ผมอยู่ ขนาดอยู่ที่สูงมันยังไม่พ้นเลย ผมก็วิ่งหนี วิ่งหนีให้เร็วที่สุด แต่น้ำมันวิงมาตาม วิ่งขึ้นเขายังไม่พ้นครับ แต่สุดท้ายจากที่้เป็นน้ำกลายเป็นคนถืออาวุธสงครามกะว่าจะฆ่าคนไม่เว้น ตัวเองก็คิดว่าไม่รอด ขณะนั้นก็ได้ไปเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มปฏิบัติธรรมแต่งชุดขาวมีหญิง ชาย และก็มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งชุดขาวมาช่วยไว้ ไม่รู้ทำอะไร สิ่งที่เห็นหายเว็บสลายตัวไปเลย แล้วเขาก็พาเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ในอุโบสถ จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาทันทีตกใจในความฝัน ก็มาดูนาฬิกา ฝันเวลา ตี 4 พอดิบพอดี ครับ

    ฝันแปลกดีครับ วิตกไปเองหรือเปล่าไม่แน่ใจ


    -----------------------------------------------------------------------------------------
    [/quote]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2011
  12. ปีศาจสายลม

    ปีศาจสายลม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +22
    คลายเครียดครับ เมฆประเทศไทย และการพึ่งพาอาศัยกันของสัตว์ครับ<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    วิธีการเก็บอาหารปลอดภัยในช่วงน้ำท่วม

    ตอนนี้หลายท่านอาจที่ไม่มีความมั่นใจความแน่นอนในการแจ้งเตือนเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมคงกำลังเตรียมทางออก และหาทางเตรียมรับมือกับวิกฤตนี้ให้กับครอบครัวคนรักของตนเองอยู่อย่างแน่นอนครับ

    เพราะสังเกตุจากการฟังข่าวหรืออ่านข่าว แจ้งว่าแนวกั้นน้ำหรือแจ้งว่ารับน้ำได้ สุดท้ายก็เกินกำลังจัดการได้ พราะน้ำกำลังไหลบ่าทะลักเข้ามาในหลายพื้นที่ ซึ่งตามความคิดของตนเองคิดว่าตอนนี้น้ำได้ล้อมเขตกรุงเทพไว้หมดแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะรับมือได้มากน้อยแค่ใหน เพราะมองว่าเรากำลังหาทางกักทางไหลน้ำไว้ น้ำที่มีปริมาณมาก อั้้นน้ำไว้ให้มันไหลน้อย เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้เข้ามาทำลายความเสียหายหรือเสียหายน้อยที่สุด และไม่ได้เร่งหาที่ระบายให้มันไหลลงไปตามธรรมชาติของมัน และบริเวณที่กันน้ำรอบนอกก็ไม่แน่ใจว่าจะมีความแข็งแรงมากน้อยแค่ใหน ด้วยธรรมชาติของน้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ ที่ที่มันไปได้ และมวลน้ำที่ถูกกักไว้มากๆมันจะสะสมด้วยแรงดันน้ำมหาศาล อั้นไว้ไม่อยู่ มันพยายามจะหาทางออกให้ได้ทางดิน ทางท่อน้ำ กำแพงไม่แข็งแรง ดินไม่แข็งแรงมันก็ทะลุทะลวงและทะลุทะลวงได้จะวิ่งไปเร็วมาก ทางใหนไปได้จะไปหมดถ้าระบายไปช้ามันก็จะท่วมกระจายไปหมด

    และที่สำคัญไม่ทราบแน่ชัดว่าปริมาณน้ำที่จะไหลเข้ามาจากทางภาคเหนือมีปริิมาณมากเท่าใหร่ถึงจะมั่นใจได้ว่าน้ำจะไม่มีการหยุดไหลหรือระบายไหลเข้ามาทางกทมและเขต ปริมณฑลอีก ซึ่งทางภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลที่พรัอมมากน้อยแค่ใหนว่า ปริมาณมากเท่าใหร่ที่สามารถจะบอกประชาชนและหน่วยงานภาคต่างๆ ได้มีความมั่นใจในเรื่องการการคิดการณ์ ความปลอดภัยและวิเคราะห์เตรียมความพร้อมในเรื่อง ส่วนต่างๆเพื่อรับมือต่อไป ไม่ขอกล่าวคาดการณ์ที่มันร้ายแรงเกินไปแต่ทุกท่านน่าจะมองวิเคราะห์ คาดการณ์ความเป็นได้ว่าจะต้องเป็นอย่างไร และการจะไปโจมตี ใส่ร้ายโทษกันไปโทษกันมา เพ่งโทษให้ผู้ื่อื่น ซ้ำเติมทุกข์ให้ใครนั้นในสถานการณ์แบบนี้คงไม่มีประโยชน์ เพราะมันให้ผลมาแล้ว สิ่งที่มีประโยชน์คือแสวงหาสิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่พอจะทำได้ ช่วยได้ แล้วลงมือทำเลย และควรจะทำอย่างไร อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มันอาจจะเกิดหรือไม่เกิด ไม่สำคัญเ่ท่าใหร่ แต่ที่สำคัญคือการไม่ประมาท และการเตรียมความพร้อมไว้เสมอ แต่ทุกอย่างขอให้ผ่านไปด้วยดี และต้องผ่านไปด้วยดี ถ้ามีความเสียสละ มีความรัก ความมีน้ำใจ ความเมตตา กรุณา ความสามัคคีของคนในหมู่คณะ แน่นอนในสถานการณ์แบบนี้
    สิ่งที่สำคัญที่สุด การให้ทาน รักษาศิล เจริญภาวนาจะทำให้เจริญสุขทั้งทางโลก และทางธรรมอย่างแน่นอน'เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก"





    แน่นอนว่ามีหลายครอบครัวที่รีบเร่งออกไปจับจ่ายซื้อหาอาหาร ของใช้จำเป็นตามดิสเคาน์สโตร์เพื่อสำรองเอาไว้ในยามฉุกเฉิน แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่บางครอบครัวอาจลืมไป และเราขอเก็บมาฝากกัน เช่น

    -
    อย่าลืมผักผลไม้ ในช่วงน้ำท่วม บางบ้านอาจต้องหนีขึ้นชั้น 2-3 ของบ้าน

    และรับประทานแต่อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป แต่ร่างกายก็ไม่ควรขาดวิตามิน และกากใยที่มีในผักผลไม้ อีกทั้งอาหารแห้งเหล่านั้นก็ไม่ดีต่อสุขภาพของคนสักเท่าใด หรือในบางครอบครัวมีผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรับประทานอาหารสำเร็จรูปติดกันนาน ๆ ได้ การมีผักผลไม้สด หรือผลไม้อบแห้งติดเอาไว้บ้างก็จะดีต่อสุขภาพมากกว่า


    - หากล่องหรือถังที่ปิดฝาได้สนิทสำหรับบรรจุอาหารแห้ง

    แต่ไม่ควรบรรจุจนเต็ม หรือหนักจนเกินไป ควรเหลือที่ว่างเอาไว้ด้วย เผื่อเวลาน้ำมามันจะได้ลอยตุ๊บป่อง ไม่ต้องเสียเวลาแบกหนีน้ำ หากเป็นถังที่มีหูด้วยก็จะยิ่งดี เพราะสามารถใช้เชือกร้อยเข้าด้วยกัน ลอยหนีน้ำได้ง่าย ๆ คุณจะได้มีเวลาไปยกของส่วนอื่นที่สำคัญกว่า

    - หากมีของสดในตู้เย็น เป็นไปได้ควรล้างให้สะอาด

    เพราะ หลังจากนี้คุณอาจไม่มีน้ำสะอาดให้ล้างมากนัก แล้วก็จัดการปรุงให้อร่อย (เท่าที่เวลายังพอมี) คุณอาจยังพอเก็บไว้รับประทานได้ 1 - 2 วัน ก่อนที่จะต้องหม่ำแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือปลากระป๋อง

    - ผักสดบางชนิดเก็บไว้รับประทานได้แม้ไม่อยู่ในตู้เย็น

    แต่ก็ควรล้างให้สะอาด และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 สัปดาห์

    - หากมีเครื่องกรองน้ำ ควรกรองน้ำเก็บไว้ให้มาก ๆ เพราะมันคือสิ่งจำเป็นสำหรับการเอาชีวิตรอดในช่วงน้ำท่วม


    - อย่าลืมซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือติดบ้านเอาไว้ด้วย

    สำหรับไว้ทำความสะอาดมือก่อนรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มากับกระแสน้ำ แต่ไม่ควรเลือกชนิดที่มีฤทธิ์รุนแรง เพราะผิวหนังของเรานั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอิฐปูน ชั้นของผิวหนังอาจถูกทำลายได้ง่าย ๆ ยิ่งบ้านที่น้ำท่วม ผิวหนังจะเปื่อยง่ายอยู่เป็นทุนเดิม การซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำลายผิวหนังได้รวดเร็ว และสร้างความเจ็บปวดเพิ่มในช่วงน้ำท่วมได้

    - หากมีถัง หรือคูลเลอร์ที่สามารถเก็บกักความเย็นได้ การซื้อน้ำแข็งมาใส่

    แล้วแช่อาหารบางส่วนที่ปรุงไม่ทันก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เพราะมันจะช่วยยืดอายุผักผลไม้สำหรับเก็บไว้บริโภคในยามน้ำท่วมได้นานขึ้น อีกนิด (โดยเฉพาะในบ้านที่ตู้เย็นมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถขนย้ายหนีน้ำได้ไหว หรือไม่มีกระแสไฟ ทำให้ทำความเย็นไม่ได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2011
  14. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ลุ้นระทึก24ชม.อันตรายป้องกทม.

    รมว.กห.-ผบ.ทบ.ยืนยันดูเเล24ชั่วโมงอันตราย พยายามผลักมวลน้ำไปทางตะวันออก ย้ำทุกหน่วยประสานเพื่อป้องกันกทม.ดีที่สุด เเต่ปชช.ต้องพร้อมด้วยเเละอย่าตื่นตระหนก

    เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 19 ต.ค.2554 พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวหลังร่วมประชุมกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประชุมศปภ. ผบ.เหล่าทัพและม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.โดยใช้เวลากว่าสองชั่วโมงว่า ตอนนี้กำลังรอมวลน้ำจากคลองระพีพัฒน์ซึ่งแตกแล้วและจะเข้ามากทม.ภายใน 24 ชม.ตอนนี้เฝ้าระวังในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากนี้หากไม่มีปัญหาทุกอย่างจะ ผ่านไปได้


    เมื่อถามว่าประเมินขั้นสูงสุดจากที่ประชุมมวลน้ำจะไหลเข้ากทม.ชั้นในหรือไม่ รมว.กลาโหมกล่าวว่า ไม่เข้า เพราะกั้นพนังกั้นน้ำเป็นแนวป้องกันที่คลองรังสิตไปถึงคลองแปดเพื่อดันน้ำ ออกไปข้างล่างจนถึงคลองหกวาดันออกไปทางแม่น้ำบางปะกง
    ส่วนที่ตอนนี้ชาวบ้านไม่ไว้ใจรัฐบาลว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ รมว.กลาโหมกล่าวว่าตอนนี้ทุกคนพยายามอย่างจริงจัง ได้ประสานกทม.และทีมของกทม.ในเจ็ดเขตตามที่กทม.ประกาศเตือนไปแล้ว
    เมื่อถามว่าผู้ว่าฯกทม.ให้ความร่วมมือดีหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากทม.กับศปภ.ทำงานสวนทางกันตลอดเวลา รมว.กลาโหมกล่าวว่า”เต็มที่ครับ ตอนนี้ยังให้ความร่วมมือกันดี” ส่วนที่ว่าคล้ายแต่ละฝ่ายมองเกมการเมืองเป็นใหญ่ จนละเลยการช่วยชาวบ้านอย่างแท้จริง รมว.กลาโหมกล่าวว่า “ก็ยังดีอยู่ วันนี้ที่คุยกันก็ดี ให้การร่วมมือกันดีอยู่ วันนี้ก็มาคุยกันแล้ว”

    ต่อข้อถามที่ว่าผู้ว่าฯกทม.ยืนยันว่าน้ำจะไม่เข้ากทม.ชั้นในแน่นอนหรือไม่ รมว.กลาโหมกล่าวว่า รอดูมวลน้ำใน24 ชั่วโมงที่จะมาจากคลองระพีพัฒน์จะมาถูกยันไว้ที่คลองรังสิตได้หรือไม่
    ส่วนกทม.ด้านตะวันตกเป็นเช่นใดบ้างนั้น รมว.กลาโหมกล่าวว่า พื้นที่กทม.ด้านตะวันตกทหารลอกคลองตลอดเวลาและนำเครื่องมือช่วยด้านตะวันออก เช่นกัน
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จากแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดนั้นพบว่ากทม.มีพื้นที่ท่วมแล้วหลายแห่ง รมว.กลาโหมกล่าวว่า อีกหน่อยน้ำจะไหลออกทางแม่น้ำท่าจีน
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.กล่าวหลังการประชุมว่า ทหารเร่งมือดำเนินการช่วยเหลือทุกพื้นที่น้ำท่วมและดำเนินการให้ทุกส่วน ป้องกันจากแนวข้างนอกและร่วมกับกทม. ไม่ต้องห่วงเพราะทำเต็มที่ภายใน 24 ชั่วโมงตามที่กทม.แจ้งเตือนไว้ใน 7 เขต
    " อย่าคิดว่าจะป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะมันทำไม่ได้ แต่ต้องทำเต็มที่ ต้องมีแผนอพยพที่ชัดเจนและพร้อม ไม่อย่างนั้นจะสับสนอลหม่านไปหมด แต่ขอว่าอย่าตื่นตระหนก ในเมื่อกทม.แจ้งเตือนเจ็ดเขตเสี่ยงภัย ประชาชนต้องเตรียมตัวช่วยเหลือตัวเอง เมื่อถึงเวลาแล้วผู้นำเขตและผู้เกี่ยวข้องต้องมาเตรียมการด้านการอพยพ อย่าให้มีการอพยพก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปเตรียมการ จะทำให้เกิดปัญหา ครั้งที่นิคมอุตสาหกรรมนวนครก็มีปัญหาเพราะยังเตรียมการไม่พร้อมแล้วก็อพยพ ประชาชน เมื่อประกาศให้อพยพก็เกิดปัญหาทันที "
    ผู้สื่อข่าวถามว่า 7 เขตดังกล่าวนั้นหากจะอพยพได้เตรียมสถานที่แล้วหรือไม่ ผบ.ทบ.กล่าวว่าตอนนี้เตรียมแล้วคือเพิ่มศูนย์ต่าง ๆ และประกาศในที่ประชุมแล้วว่าศูนย์ต่าง ๆ ต้องเพิ่มขึ้น และหน่วยงานต่าง ๆ จำเป็นที่ต้องช่วยเหลือ พยายามเตรียมการในกทม.ที่ผ่านมาเราช่วยในเขตรอบนอกแล้ว โดยต้านทานน้ำตามลำดับ ส่วนหนึ่งคือดำเนินการตามคำสั่งศปภ.ในการเสริมคันกั้นน้ำแนวคลองรังสิต คลองระพีพัฒน์และคลองหกวา แต่ในปัจจุบัน หากต้านไม่อยู่ก็ได้ประสานกทม.แล้วว่า จะทำอย่างไรให้พื้นที่กทม.ด้านเหนือปลอดภัย เพราะหากกั้นแล้วยังลำบากก็ต้องดูว่าจะทำเช่นใดให้ประชาชนปลอดภัย เราต้องทำทั้งสองส่วนเพราะที่ผ่านมาการทำแนวกั้นน้ำก็ทำเต็มที่แต่มันเป็น แนวดินไม่ใช่แนวถาวรและปริมาณน้ำ800ล้านลูกบาศ์กเมตรนาน ๆ ไปผนังกั้นน้ำมันก็ยุ่ย แค่พยายามซื้อเวลาระบายน้ำไปทางตะวันออก หากซื้อเวลาไม่ได้น้ำก็ทะลุ ซึ่งต้องมีแผนอพยพ ประชาชนอย่าตื่นตระหนกตกใจ ควรฟังคำชี้แจงของกทม.

    “ขึ้นอยู่ว่าหากน้ำลดลงเร็ว คันดินที่กั้นไว้ก็จะอยู่หากดินชุ่มน้ำมากจะไหลตามน้ำ กำลังพลซ่อมแซมตลอดเวลา ทหารโยกย้ายมาจากหลายกองทัพเพื่อมาช่วย เรานำกองทัพภาคที่สองมาช่วยกทม.และดูแลประชาชน”ผบ.ทบ.กล่าว


    ที่มา:����з֡24��.�ѹ���»�ͧ���. ��Ѵ�֡ : �Ҫ�ҡ��� : ���Ƿ����
     
  15. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    เรื่องพระเจ้าิมิลินท์ถามปัญหา เรื่องทำบุญทำบาป กับพระนาคเสน

    อัสสตปัญหาที่๒


    [​IMG]

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

    "ดู ก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"

    พระนาคเสนทูลตอบว่า

    "ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"

    " ไม่ได้ "

    " ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "

    " ก็ได้สิพระคุณเจ้า "

    " ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "


    " สมเหตุสมผลละ "

    ท่านเปรียบบุญเหมือนของเบา และ แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ทำเวลาใกล้ จะตาย จะเป็นบาปหรือบุญอย่างไรก็ตาม ก็ให้ผลก่อนอย่างอื่น เปรียบเหมือนโคตัวที่อยู่ริมประตูคอก ย่อมออกได้ก่อนตัวอื่น ฉะนั้น ข้อที่ว่าทำปาณาติบาตเพียงครั้งเดียว ก็ไปตกนรกได้นั้น ท่านเปรียบ บาปเหมือนของหนัก เช่นก้อนหินเล็ก ๆ ทิ้งลงไปในน้ำก็ต้องจม ทั้ง ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่า ได้แก่ ปาณาติบาตที่ทำในเวลาจะใกล้ตาย เช่น บี้ เลือดตบยุง หรือเวลาจะใกล้ตาย นึกถึงปาณาติบาตที่ตัวทำไว้เพียง ครั้งเดียวขึ้นมาได้ ก็ต้องไปตกนรก ดังพระนางมัลลิกา ทรงทำบุญ เลี้ยงพระวันละ ๑๐๐ องค์ อยู่จนตลอดพระชนมายุ แต่เวลาใกล้จะ สิ้นพระชนม์ ได้นึกถึงการกล่าวตู่พระราชสามีด้วยคำเท็จ เพียงครั้ง เดียวเท่านั้น ก็ไปตกอเวจีนรก ดังนี้.



    [​IMG]


    การภาวนาระลึกถึงพุทธานุสสติ หรือคุณพระรัตนตรัย ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่งานหนัก ไม่ใช่งานยาก ทำได้ตลอดเวลา ซึ่งมีคุณมหาศาลเกินกว่ามีผู้ใดบอกได้ถูก ผู้ใดทำผู้นั้นจะได้เข้าใจด้วยตนเอง จึงขอให้ทำเพื่อหนีผลแห่งกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายที่ไม่อาจล่วงรู้เห็นได้ ว่ากำลังจะเกิดแก่ชีวิตในวินาทีใด แล้วร้ายแรงแค่ใหน เช่นที่ได้เกิดขึ้นให้เห็นอยู่แล้วทุกวันนี้ ความหวาดกลัวที่แม้เกิดขึ้นจักหายสิ้นไป ความคิดถึงองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธุเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิริมงคลสูงสุดแก่จิตใจ สงบดับความวุ่นวายทั้งปวงไม่ว่าจะกำลังร้อนด้วยความคิดใด เป็นความเย็นให้เกิดขึ้นแทนที่ได้ ไม่พึงปฏิเสธความจริงอันประเสริฐอันเป็นมงคลนี้

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2011
  16. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    ถุงน้ำ อุปกรณ์กันน้ำ
    ใช้แทนกระสอบทราบ แบบง่าย ๆ
    แนวทางห้องกันน้ำล้นท่อน้ำ
    และสิ่งของสัมภาระเตรียมติดตัว

    (ส่งต่อมาทางเมล์)


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  17. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    บ้านเรากำลังเผชิญกับอุทกภัยระดับวิกฤตในขณะนี้
    เห็นวิธีทำพนังกั้นน้ำแต่ละแบบของเราแล้วช่าง"ไฮเทค"ซึ่งในที่สุดทั้งคันดิน คันกระสอบทรายก็ต้านแรงน้ำไม่อยู่
    ลอง มาดูประเทศที่เขามีเทคโนโลยีทางด้านป้องกันน้ำท่วมกันดูพอจะเป็นแนวทางในการ นำไปประยุกต์ใช้ในบ้านเราบ้าง และเผื่อจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปวิจัยผลิตภัณฑ์แบบนี้มีใช้ในบ้านเรา บ้าง



    [​IMG]

    [​IMG]


    นี่คือผลิตภัณฑ์ของ Hydrological Solutions จากสหรัฐอเมริกา
    ลักษณะเหมือนใช้มวลของน้ำช่วยลดแรงปะทะของกระแสน้ำท่วม
    เกิดการยืดหยุ่นไม่ปะทะรุนแรงจนพนังดินแตกเหมือนบ้านเรา


    [​IMG]


    [​IMG]





    [​IMG]


    [​IMG]


    พนังกั้นน้ำหลากแบบจาก Fargo, N.D., Flood Control
    and Flood Protection Products ของอเมริกาเช่นกัน



    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]

    Flood Barriers from Geodesign Barriers™
    ของบริษัท Hydro Response จากประเทศนิวซีแลนด์





    [​IMG]

    สิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่คิดว่ามันไ่ม่จะน่าเกิดขึ้นได้ มันอาจจะเกิดขึ้นได้ ให้สังเกตุเหตุการณ์ต่างๆจากต่างประเทศทั่วโลกว่าประสบปัญหาอะไรอยู่ น่าจะเป็นการเตือนเพื่อให้คิดเตรียมตัวแล้วว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง การเตรียมตัว และความไม่ประมาทน่าจะเป็นสิ่งที่บอกว่าคือการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ ต่างๆ
     
  18. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    <center>คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
    ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน


    [​IMG]
    [​IMG]



    สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้เป็นล้านองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขี มีด้วยกัน 5 พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 จึงนับได้ว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง

    สมัยที่พระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ซึ่งขณะนั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน


    พระพุทธองค์ ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ด้วย พระองค์เองทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ พระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ


    คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม

    " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่าง ต้องใช้แรงงานแต่ ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้า หมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือ ตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "


    (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็น อันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)


    " ภิกขุเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่า ทุกท่าน มีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิด บนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร โน่น...นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาว ลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะ ได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า เป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็น อันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "


    (ท่านยกมือชี้ขึ้น ให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพาน ไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราว เป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมดแล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)


    " ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้า การจุติมีคราวนี้ถ้าบุญวาสนาบารมี ของเรานี้ สิ้นสุดลงเราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เรา จะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และ การไป นิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็น สำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ ยังมี ความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อนอันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จง มีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะ ตายเมื่อไหร่ก็ ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง


    เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดี ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่าน ทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการ ขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม
    (พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)


    " ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับ ความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "
    (แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)


    " ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ ได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์


    ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความ โสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วย การงานต่างๆ มนุษย์ มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่ง ทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจาก ความเป็นมนุษย์เรา ก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็น พระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้า ได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้ว กลับไปเกิดเป็นคน หากว่า ท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์ เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดิน มาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความ จำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)


    “จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป” ตัด ความเป็นมนุษย์เสียเลิกความหมาย ความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของ รักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยาก เป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจ ไว้เสมอว่า


    เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวัน ข้างหน้า ตถาคตมี ความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธ บริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบัน กับ อารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดีใน เมื่อจุติความเป็นเทวดา หรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่า ขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารักมัน ไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคย เป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน


    สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
    ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของไม่ยาก

    1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่า ความตายอาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
    2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทราแท้ (ด้วยความจริงใจ)
    3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ
    4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิด เป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และ พรหม ในชาติต่อไปทุกท่านเห็น นิพพาน แล้วตั้งใจไป
    พระนิพพานได้ในที่สุด




    “คัดย่อจากหนังสือ มรดกของพ่อ ,หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
    เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทราราม ( วัดท่าซุง ) จ.อุทัยธานี ”

    </center>
     
  19. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ใช้หลักการ 'น้ำดันน้ำ' คำแนะนำจากผู้รู้ ป้องกันน้ำท่วม กทม.


    [​IMG]

    เวลานี้ชาวกทม.ต่างใจจดใจจ่อ ลุ้นระทึกว่าน้ำจะท่วมตามหลายๆจังหวัด และหลายๆนิคมอุตสาหกรรมหรือไม่ ขณะที่รัฐบาลโดยศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.) และกรุงเทพมหานคร(กทม.) ออกมาให้ความมั่นใจว่าสามารถป้องกันได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อถือเท่าใดนัก เพราะมีบทเรียนจากนิคมอุตสาหกรรม 6 แห่ง ที่รัฐบาลมั่นใจว่าเอาอยู่ แต่ปรากฏว่าแตกหมด

    ล่าสุด ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เผยแพร่คลิปวีดิโอแนะนำวิธีการป้องกันน้ำท่วม กทม. โดยนายอภิชาติ สุทธิศีลธรรม อดีตนิสิตวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ซึ่งทำงานภาคเอกชนมาทั้งชีวิต มีประสบการณ์ตรงมากมาย โดยได้เผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูบและเฟซบุ๊กส่วนตัว Moosa Taneewong | Facebook
    [​IMG]

    คุณ อภิชาติ แนะนำวิธีการป้องกันโดยเน้นไปที่ปัญหาเรื่องเขื่อน พนัง หรือคันกั้นน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถป้องกันได้ ล้วนถูกน้ำซัดพังในทุกๆพื้นที่ วิธีสู้กับมวลน้ำมหาศาลนี้คือ ใช้ "น้ำดันน้ำ" โดยแยกเป็น 3 กรณี

    กรณีที่ 1 ใช้วิธีสร้างเขื่อน 2 ชั้น
    [​IMG]

    คุณ อภิชาติ อธิบายว่า ที่ผ่านมามีการสร้างเขื่อนหรือคันกั้นน้ำป้องกัน โดยหวังจะให้พื้นที่นั้นๆแห้ง ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะเขื่อนที่สร้างขึ้นมาเป็นเขื่อนกั้นน้ำชั่วคราว แรงดันน้ำจำนวนมหาศาลจะทำให้น้ำค่อยๆซึมเข้าไปตามด้านล่างของเขื่อนที่อยู่ ติดกับพื้นดิน เซาะฐานล่างจนทำให้เขื่อนพังในที่สุด

    กรณีถ้ามีเวลา เตรียมตัว วิธีที่ทั่วโลกทำกันก็คือ ทำเขื่อน 2 ชั้น อาจจะให้มีระยะห่างระหว่างแนวเขื่อนชั้นแรกกับชั้นที่ 2 ประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นค่อยๆพร่องน้ำให้เข้ามาอยู่ระหว่างแนวเขื่อน ซึ่งแรงดันน้ำที่อยู่นอกเขื่อนกับในแนวเขื่อนก็จะดันกันเอง ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำซึมเข้ามาตามพื้นด้านล่าง หรือมีก็จะน้อยมาก นอกจากนั้นให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำคอยสูบน้ำที่อยู่ในแนวเขื่อนกลับออกไป เพื่อรักษาระดับสมดุลไว้ เขื่อนก็จะไม่พัง

    กรณีที่ 2 "ยอมแพ้ แต่ไม่ทั้งหมด"
    [​IMG]

    คุณ อภิชาติ อธิบายต่อว่า กรณีนี้จะเหมาะกับนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่อยู่นอกเมืองที่ยังไม่จม แต่มวลน้ำมาจ่อแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแนวเขื่อนกั้นอยู่ด้านนอก จุดอ่อนที่น้ำจะโจมตีคือที่บริเวณประตูทางเข้าอาคาร วิธีนี้จะใช้ผนังอาคารเป็นตัวกั้น โดยบริเวณประตูให้ก่ออิฐขึ้นมาและอาจจะมีแนวกระสอบเป็นตัวช่วย จากนั้นใช้เครื่องสูบน้ำ กาลักน้ำ หรือเปิดประตูระบาย เพื่อพร่องน้ำเข้ามาภายในแนวระหว่างเขื่อนกับตัวอาคาร วิธีนี้จะยอมให้พื้นที่รอบนอกอาคารถูกท่วมเสียหายเล็กน้อย เสียหายไม่เกิน 5% แต่จะสามารถป้องกันภายในตัวอาคารไว้ได้ ดีกว่ากั้นไว้จนเขื่อนพังแล้วน้ำทะลักเข้ามาจนเต็มพื้นที่ทั้งหมด

    "อย่า เอาชนะน้ำ เราต้องยอมแพ้มัน แต่เราไม่ยอมแพ้ทั้งหมด เรายอมให้มันเข้ามา มันต้องการที่อยู่เราก็ให้มันเข้ามาอยู่ แต่ให้เข้ามาครึ่งเดียว ที่เหลือให้อยู่ข้างนอก"

    กรณีที่ 3 "ต้องมีคนเสียสละ"
    [​IMG]

    คุณ อภิชาติ ระบุว่า กรณีนี้สำหรับ กทม.โดยเฉพาะ ที่มั่นใจว่าเขื่อนเอาอยู่นั้น ในที่สุดก็จะพังเหมือนกับทุกๆที่ วิธีนี้ก็จะเหมือนกับวิธีที่ 2 คือ ต้องยอมให้ท่วมพื้นที่ กทม.ชั้นนอก เช่น ดอนเมือง สายไหม เชื่อว่าความเสียหายจะไม่เกิน 20% ของพื้นที่ กทม.ทั้งหมด โดยเราค่อยๆปล่อยให้น้ำเข้ามาท่วม โดยแจ้งประชาชนให้ทราบล่วงหน้า ให้มีเวลาเตรียมการขนย้าย ป้องกันตัวเอง น้ำอาจจะท่วมขังอยู่ 15-20 วัน แล้วจะค่อยๆลดลง เพราะไม่มีฝนตกแล้ว แต่ยังมีมวลน้ำเหนือมหาศาลก็พร้อมที่จะถล่ม กทม.

    "กรณีนี้มันต้องมี คนเสีย มันต้องมีคนได้ และมันต้องมีคนกล้าถูกด่า เราต้องทำให้ประชาชนเชื่อว่า มันพังแน่ มันท่วมแน่ เพราะมันพิสูจน์แล้วว่า มันพังมาหมดแล้ว และพังแล้วไม่เคยอุดได้ อันนี้ต้องรีบตัดสินใจทำภายใน 1-2 วันนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ทีม ศปภ. หรือผู้ว่าฯ กทม.ต้องร่วมกันตัดสินใจ"
    [​IMG]

    วิธี คือ เราค่อยๆปล่อยน้ำเข้ามาทางประตูน้ำให้เข้ามาในพื้นที่ กทม.ชั้นนอก พอได้ระดับซัก 1-1.50 เมตรก็ปิด หากฝนตกลงมาหรือซึมเข้ามามากก็สูบออกไปนอกแนวเขื่อน เพื่อให้แรงดันน้ำดันกันเอง กทม.ต้องยอมท่วมบ้าง ต้องยอมรับ หากทุกคนบอกว่าไม่ต้องการท่วมเลยสักคน มันก็จะท่วมทุกคนเลย แล้วใครจะมาช่วยเรา แต่ถ้าเราทำแบบนี้ คนที่ไม่ถูกท่วมก็จะมาช่วยได้

    และ เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหาย ตอบแทนผู้ที่เสียสละ รัฐบาลหรือกทม.อาจจะใช้วิธีเก็บภาษีจากพวกที่ไม่ถูกท่วม อาจจะเป็นภาษีโรงเรือน จะเพิ่มขึ้นจาก 12.5% เป็น 15% เป็นเวลา 3 ปี เพื่อเอาเงินส่วนนี้มาช่วยเหลือฟื้นฟูพวกที่ยอมถูกน้ำท่วม หรือจะมีวิธีอะไรก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทที่สำคัญคือ จะต้องกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ปล่อยให้น้ำท่วม โดยมีคำอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ไม่สับสน.


    [​IMG]

    [​IMG]



    ที่มา:ใช้หลักการ 'น้ำดันน้ำ' คำแนะนำจากผู้รู้ ป้องกันน้ำท่วม กทม. - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2011
  20. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]




    เข้าใจธรรมชาติ (บ้าง!) กับประภัสสร เสวิกุล

    [FONT=&quot]ปัญหา[/FONT][FONT=&quot][FONT=&quot]น้ำท่วม[/FONT][/FONT][FONT=&quot]ที่[/FONT][FONT=&quot]เกิดขึ้นในประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศในเวลานี้[/FONT][FONT=&quot]พูดกันตามความจริงแล้วก็เป็นเรื่องของสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของโลกและสังคม[/FONT][FONT=&quot]ช่วงเวลาใดที่มนุษย์กับธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้[/FONT][FONT=&quot]ก็จะเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน แต่ช่วงเวลาใดที่มนุษย์กับธรรมชาติห่างไกลกัน[/FONT][FONT=&quot]มนุษย์ก็จะขาดความเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ และทำสิ่งต่างๆ[/FONT][FONT=&quot]ตามความพอใจของตน[/FONT][FONT=&quot]ก็จะเกิดปัญหาและความขัดแย้งของการอยู่ร่วมกันจากอดีตจนถึงปัจจุบัน[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ถ้าจะถามว่า[/FONT][FONT=&quot]เราจะสามารถจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างปกติสุขอย่างในสมัยก่อนได้หรือไม่[/FONT][FONT=&quot]คำตอบก็คือได้ ถ้าเราหันกลับมาทำความเข้าใจธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]เข้าใจความต้องการของตัวเอง และเข้าใจสังคม[/FONT][FONT=&quot]ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องเรียนรู้และหา[/FONT][FONT=&quot]ทางแก้ไขพฤติกรรมของตนเองให้สอดคล้องกับความเป็นไปของธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]และต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลก[/FONT][FONT=&quot]ที่ทำร้ายธรรมชาติมากที่สุดและรุนแรงที่สุด[/FONT][FONT=&quot]และภัยธรรมชาติหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในโลกเวลานี้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่[/FONT][FONT=&quot]มนุษย์กระทำต่อธรรมชาติทั้งสิ้น และการแก้ไขปัญหาต่างๆ[/FONT][FONT=&quot]จะไม่มีทางสำเร็จลงได้ ต่อให้ทุ่มเทงบประมาณมหาศาลขนาดไหน[/FONT][FONT=&quot]ถ้าขาดความเข้าใจในปรัชญาของธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]และไม่ได้แก้ที่ตัวมนุษย์ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]ประเทศเนเธอร์แลนด์น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับ[/FONT][FONT=&quot]ธรรมชาติ และการทำความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์[/FONT][FONT=&quot]ดินแดนที่เป็นประเทศนี้นั้นผืนที่เดิมเป็นสันทรายปากแม่น้ำซึ่งน้ำทะเลท่วม[/FONT][FONT=&quot]ถึง แต่เมื่อมีคนอพยพเข้ามาอยู่มากขึ้นก็ได้มีการสร้างคันแนวและพนังกันน้ำ[/FONT][FONT=&quot]ถมพื้นที่ และสร้างแนวเขื่อนป้องกันน้ำลึกลงไปในทะเล[/FONT][FONT=&quot]รวมทั้งเขื่อนกั้นแม่น้ำที่จะไหลลงสู่ทะเล[/FONT][FONT=&quot]ด้วยการร่วมมือกันอย่างแข็งขันและการวางแผนงานที่รอบคอบ[/FONT][FONT=&quot]มีการใช้เทคโนโลยีมาดูแลรักษาน้ำ และจัดการระบบน้ำเพื่อลดอิทธิพลของน้ำทะเล[/FONT][FONT=&quot]จนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า [/FONT][FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot]พระเจ้าสร้างโลก[/FONT][FONT=&quot]แต่ดัตช์สร้างเนเธอร์แลนด์[/FONT][FONT=&quot]”
    [/FONT][FONT=&quot]คนไทยเราในอดีตก็มีชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยความเข้าใจและยอมรับนับถือ[/FONT][FONT=&quot]บ้านเรือนที่อยู่อาศัย การทำมาหากิน น้ำดื่มน้ำใช้ ข้าวปลาอาหาร[/FONT][FONT=&quot]ยารักษาโรค การคมนาคม ตลอดจนงานบุญ งานประเพณี[/FONT][FONT=&quot]ล้วนเป็นไปอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]แต่ในปัจจุบันคนไทยมีชีวิตอยู่กับสิ่งที่ผิดแผกไปจากธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot]คนไทยอยู่ตึกแบบฝรั่งในที่ที่เคยเป็นทุ่งนา[/FONT][FONT=&quot]ใช้รถยนต์ญี่ปุ่นแล่นไปบนถนนซึ่งเป็นคูคลองในอดีต[/FONT][FONT=&quot]ที่ดินริมแม่น้ำเต็มไปด้วยอาคารชุด[/FONT][FONT=&quot]ผืนดินที่ใช้ในการเกษตรมาแต่เดิมถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานอุตสาหกรรม[/FONT][FONT=&quot]ไม่รวมถึงปัญหาเรื่องป่าไม้ เรื่องต้นน้ำลำธาร และเรื่องขยะจำนวนมหาศาล[/FONT][FONT=&quot]

    [/FONT][FONT=&quot]การแก้ปัญหา[/FONT][FONT=&quot][FONT=&quot]น้ำท่วม[/FONT][/FONT][FONT=&quot]คง[/FONT][FONT=&quot]ไม่สามารถแก้แบบไฟไหม้ฟางที่นิยมทำกัน[/FONT][FONT=&quot]แต่จะต้องระดมสมองเพื่อขุดรากเหง้าของทุกๆ ปัญหา[/FONT][FONT=&quot]และกำหนดแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบและเป็นเอกภาพ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ[/FONT][FONT=&quot]และต่างคนต่างก็โทษกัน รวมไปถึงการวางมาตรการภาระแห่งชาติ[/FONT][FONT=&quot]ที่ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการต่างๆ[/FONT][FONT=&quot]จะต้องมีส่วนเข้ามาร่วมรับผิดชอบให้มากขึ้นด้วย[/FONT][FONT=&quot]ซึ่งหากมีการแก้ไขปัญหาในจุดเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไป เช่นการกำจัดขยะ[/FONT][FONT=&quot]การดูแลแม่น้ำลำคลอง การจัดระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยล่วงหน้า ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]ควบคู่ไปกับปัญหาใหญ่ เช่น การขุดคลองลัด ขุดลอกแม่น้ำ สร้างเขื่อนกั้นน้ำ[/FONT][FONT=&quot]สร้างพื้นที่กักเก็บน้ำ ฯลฯ และที่สำคัญต้องเข้าใจธรรมชาติด้วยครับ[/FONT]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->[FONT=&quot]

    ที่มา:
    [/FONT]http://www.komchadluek.net/detail/20111021/112434/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%28%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87!%29.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...