ความลับของจักวาล ในพระไตรปิฏก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เทพธรรมสมาบัติ๙มรรคา, 31 สิงหาคม 2008.

  1. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    จริงแล้ว ทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จักรวาลมีรูปทรงเช่นไร นักฟิสิกส์ทฤษฎีล่าสุด เสนอว่า จักรวาลน่าจะมีถึง 11 มิติ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ารูปทรง 11 มิติเป็นเช่นไร เพราะเราคุ้นเคยเพียงจักรวาล 3 มิติ + 1 มิติเวลา

    ลองพิจารณาดูว่า ถ้าจักรวาลในความหมายของพุทธศาสนา เปรียบได้กับกาแล๊กซี่หนึ่งๆ และเราอยู่ในกาแล๊กซี่ทางน้ำนมหรือทางช้างเผือก ซึ่งมีรูปร่างปรากฏเป็นเมือนจานคว่ำเมื่อมองด้านข้าง และเป็นวงก้นหอยเมื่อมองด้านบน ผมจะลองเปรียบเทียบลักษณะกายภาพต่างๆ ที่คุณ chayutt กล่าวถึง

    1 ศูนย์กลางของจักรวาลคือเขาพระสุเมรุ เปรียบได้กับ ใจกลางของทางช้างเผือกเป็นก้นหอยหนาแน่นด้วยกลุ่มก๊าสและดาวฤกษ์
    2 ขุนเขาบริวารที่รายรอบเขาพระสุเมรุ เปรียบได้กับ กลุ่มของดวงดาวต่างๆ ถัดจากจุดศูนย์กลาง
    3 มหาสมุทรต่างๆ เปรียบได้กับ อวกาศรอบๆกลุ่มของดวงดาว
    4 แผ่นดิน เปรียบได้กับ ธาตุที่มีลักษณะแข็ง หรือธาตุดิน รองรับจุดศูนย์กลางของกาแล๊กซี่ หรืออาจเป็นสสารมืด(dark matter) ที่นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นหาอยู่
    5 น้ำรองแผ่นดิน เปรียบได้กับ ธาตุที่มีลักษณะเหลว อาจเป็นพลาสมา
    6 ลมรองน้ำ เปรียบได้กับพลังงานมืด(dark energy) ที่ยังตรวจหาไม่เจอ

    ปัญหาใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันคือ เหตุใดจักรวาลจึงดำรงรูปทรงอยู่ได้ค่อนข้างสมดุลย์ ทั้งๆที่คำนวณดูแล้ว แรงโน้มถ่วงที่ดึงให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในวงจรที่เป็นระบบ มีค่าน้อยกว่า แรงที่ผลักให้จักรวาลขยายตัว และค่าแรงโน้มถ่วงมีค่าเพียง 4 % ถ้าเทียบกับแรงที่ผลักให้จักรวาลขยายตัว ก็แสดงว่ามันต้องมีสสารและพลังงานอะไรบางอย่าง (dark energy and dark matter) อีก 96 % ที่เรายังไม่สามารถเห็นและตรวจจับได้ ช่วยส่งแรงเสริมให้จักรวาลเกิดความสมดุลย์
    เราเรียนรู้จักรวาลที่เราอาศัยอยู่ได้เพียงน้อยนิด ตามวิทยาการของเรา ถ้ามีแหล่งความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้น ก็อย่าด่วนสรุปว่าผิดพลาด เพราะความคุ้นเคยมักเป็นสิ่งปิดกั้นองค์ความรู้ใหม่ๆเสมอ
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บันทัดสีแดงข้างบนนี้แหละ คือทั้งหมดที่ผมต้องการนำเสนอให้ผู้อ่านทั้งหลายเก็บเอาไปคิดดู
    สำหรับการอ่านข้อความจากต่างมิติทั้งหลายที่ผมโพสต์อยู่นี้

    ขออนุโมทนากับคำกล่าวนี้ด้วยครับ

    และเราก็จะเห็นแล้วว่า ด้วยความคุ้นเคยอย่างที่ท่านว่ามานั่นแหละ
    ที่ทำให้ บ่อยครั้ง เราปิดกั้นข้อมูลใหม่ๆเสียหมด

    เพราะว่า เมื่อเรา "คุ้นเคย" และ "เชื่อสนิทใจ" เสียแล้ว
    ว่าสิ่งที่เราเคยรู้มานั้นมัน "ถูกต้องที่สุดแล้ว" เพราะฉะนั้น
    เราจึงไม่มีข้อสงสัยอะไรเลยเกี่ยวกับข้อมูลที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้นเลย

    และไม่กล้าสงสัย และไม่กล้าถามออกมา หรือไม่กล้าซักไซ้ไล่เลียง
    เพื่อให้ได้ความจริงแบบกระจ่างชัดด้วยซ้ำไป เพราะเดี๋ยวโดนยำเละ
    เพราะเดี๋ยวจะถูกหาว่าปรามาทความรู้ในตำราที่เราเคารพนับถืออยู่

    เพราะฉะนั้น ท่านตอบว่าอย่างไร หรือแม้แต่ตอบว่า

    "มันเป็นอจินไตย อย่าไปคิดถึงมันให้เสียเวลาเลย"

    เราก็ต้องยอมรับแต่โดยดี โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น
    มิหนำซ้ำ แม้ว่าเราจะเห็นทั้งเห็นกันอยู่แบบโทนโท่แบบนี้แหละว่า

    เรามิอาจยึดเอาทุกถ้อยคำในตำราใดๆ มาตีความออกมาแบบตรงๆได้ทั้ง 100% ก็ตาม
    แต่เราก็ยังพยายามตีความออกมาตามนั้น และยึดเอาตามนั้น แบบไม่กล้าคิดออกนอกจากกรอบนั้น
    เพราะเดี๋ยวกลัวผิด ดังนั้น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ข้อมูลทางวิทยาการมีมากขึ้น
    เราก็เลยเห็นว่า วิธีการยึดแบบนั้น ของเรานั้น มันก็ยิ่งดูห่างไกลจากสิ่งที่เราค้นพบใหม่ๆมากขึ้นเรื่อยๆ

    ในทางกลับกัน เพราะความที่เราเชื่อว่าข้อมูลในนั้น มันถูกต้อง และต้องเป็นไปตามนั้นแน่ๆซะแล้ว
    เมื่อหลักฐานอย่างอื่น หรือข้อมูลอย่างอื่น ที่เราค้นพบกันใหม่ๆทั้งหลาย
    มันปรากฎชัดออกมาว่า มันขัดแย้ง หรือไม่เป็นไปตามที่ในตำราเขียนไว้เสมอไป
    เราก็จะหาคำอธิบาย ที่สละสลวย ที่ดูดีมีเหตุผล ออกมาสนับสนุนความเชื่อของเราเองเสมอ
    ไม่ว่าคำอธิบายเหล่านั้น มันจะฟังขึ้นหรือไม่ก็ตาม แต่ที่แน่ๆก็คือ มันทำให้เรารู้สึกสบายใจ

    พอดีกว่านะครับ..ผมก็แค่อยากจะบอกว่า..ผมไม่เชื่อว่าทุกอักษรในตำราทางศาสนาใดๆ
    จะถูกต้องเป็นไปตามนั้นทั้งหมด ผมไม่เชื่อว่าจะไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของตำราทางศาสนา
    ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม ที่ไม่ถูกตีความผิดไป หรือถูกบิดเบือนไป หรือถูกเขียนขึ้นมาใหม่
    หรือถูกปรับปรุงแก้ไขไป โดยคนรุ่นหลัง ที่มีความเข้าใจไม่ตรงกับของคนรุ่นก่อน หรือต้นฉบับเลย

    เท่านั้นเองครับ..เพราะฉะนั้น ถ้ามีข้อมูลส่วนใดที่ผิดอยู่จริง มันก็เลยยังผิดอยู่ต่อไป ไม่ถูกแก้ไขให้ถูกซะที
    เพราะไม่มีใครกล้าวิจารณ์ว่ามันผิด เพราะว่าคนที่วิจารณ์ทั้งหลาย เช่นท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น
    ที่ท่านเคยบอกว่าเนื้อแท้ของตำราทางศาสนาของเรา มีแค่ใน 30% ของเนื้อหาทั้งหมดเท่านั้นเอง

    แล้วเป็นไงหละครับ..ท่านก็โดนยำเละไปนานอยู่เหมือนกัน

    ............................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...