เปิดใจ "รู้จริง เห็นจริง และปฏิบัติได้จริง"มาเล่าสู่กันฟังนะ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย prachas, 30 มกราคม 2012.

  1. klaichid

    klaichid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +807
    ติดตามอ่่านค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะเจ้าค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2012
  2. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    <table id="post5720157" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt1" id="td_post_5720157" style="border-right: 1px solid #FFFFFF">
    เอามาฝาก14
    สวัสดีทุกท่าน ขอขอบคุณ คุณเกษมและคูณAunyasit และขออนุญาตินำมาเผยแพร่แด่สหายธรรมของเราเพื่อความไม่ประมาทในชีวิตทุกลมหายใจ..
    ปี 55 นี้ธรรมชาติจัดหนักแน่นอนครับ !!!

    [​IMG]

    Aunyasit สมาชิก

    ปี 55 นี้ธรรมชาติจัดหนักแน่นอนครับ อีกประมาณ 3 เดือน น้ำมหาศาลจะมาจากทางทะเล ปั่นป่วนไปหมดทั้งโลก สาเหตุมาจากลาวาร้อนใต้ผืนโลกที่กำลังแทรกแผ่นดินขึ้นมาจากมหาสมุทร พิกัดอยู่ระหว่าง ญี่ปู่น ไต้หวัน และ ฟิลิปปินส์ เมื่อความร้อนจัดจากลาวากับความเย็นจัดจากน้ำใต้ทะเลปะทะกัน ประกอบกับแรงดันสูงจากลาวาใต้โลกปริมาณมหาศาลดันทะลุเปลือกโลกขึ้นมา แรงดันจากใต้โลกจะยกยกผืนน้ำให้สูงขึ้นจากระดับปกติเป็นร้อยเมตร ขณะที่โลกก็หมุนไป ก็จะก่อตัวเป็นพายุใหญ่ยักษ์หอบเอาน้ำและโคลน เมื่อพายุน้ำหมุนผ่านที่ไหนก็จะกวาดพื้นที่นั้นไปกับน้ำด้วย เส้นทางของมหันตภัยที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกเตือนไว้คือผ่านไต้หวัน เวียดนาม เขมร ลาว ไทย ศรีลังกา อินเดีย ฯลฯ ไปรอบโลก และประเทศที่พายุนี้ผ่านจะราบคาบครับ ท่านบอกว่าขนาดมหึมาของพายุจะคลุมพื้นที่ระหว่างใต้หวันกับฟิลิปปินส์เต็ม พื้นที่

    เมื่อพายุน้ำหมุนนี้ผ่านไทย กทม.จะจมทันทีครึ่งนึงพร้อมๆกับจังหวัดชายทะเลหลายจังหวัด ในส่วนของ กทม ที่จะจมทันทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้เอาแนวทางรถไฟเป็นเส้นแบ่ง หลังจากนั้น กทม.จำค่อยๆจมลงอีก(เข้าใจว่าแผ่นดินทรุดต่ำลง ประกอบกับระดับน้ำสูงขึ้นอันเนื่องมาจากคลื่นสูงหลายสิบเมตรซัดชายฝั่ง)

    ทั้งพายุใหญ่ คลื่นใหญ่ แผ่นดินไหว แผ่นดินแยก ถึงเวลานั้นน้ำที่มาจากเขื่อนนั้นจิ๊บๆไปเลยครับ

    หลัง จากนั้นแรงสั่นสะเทือนทั้งหลายแหล่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดหนัก แล้วเกิดแผ่นดินแยก เขื่อนแตก น้ำเขื่อนก็จะไหลลงมาซ้ำเติม ท่วมหนักไปอีก

    ทางแก้มีทางเดียวคือ หนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

    ผม น่ะเชื่อเกินร้อยครับ เมื่อมีสัญญาณมา ผมจะหนีก่อนเป็นคนแรกๆเพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ในวันเกิดเหตุท่านบอกว่าจะมีปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าในตอนบ่ายของวันนึง ท่านให้ผมพาญาติพี่น้องและญาติธรรม ออกจาก กทม. ทันที เพราะหลังจากนั้นจะเกิดโกลาหล เดินทางออกจาก กทม. ได้ยาก ประกอบกับฝนจะตกอย่างหนัก ลมแรง น้ำท่วมฉับพลัน

    ที่ จริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเตือนผมมาอย่างต่อเนื่องเกือบสองเดือนแล้วและผมก็ เตรียมการมาระยะนึงแล้ว เคยถามท่านว่ากาลเวลาที่จะเกิดเหตุจะมีการเปลี่ยแปลงไม๊ ท่านบอกว่าสัจจธรรมเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเตรียมการแข่งกับเวลาครับ

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกผมว่า "ผู้ที่รู้แล้วไม่เตรียมการ เป็นผู้ที่ประมาทยิ่งกว่าผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย"

    อย่าง น้อยๆก็เตรียมปัจจัยสี่ไว้ในสถานที่ปลอดภัย เพื่อความไม่ประมาทครับ ของผมจะเตรียมทุกอย่างพร้อมภายในเดือนมี.ค. นี้ และจะมีเวลาส่วนที่เหลือเพียงน้อยนิดเตรียมอย่างอื่นๆ ต่อไป


    สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ท่านมาเตือนผมเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 54 ท่านบอกว่านับจากวันนั้นมาไม่เกิน 5 เดือนภัยพิบัติก็จะมาถึง กทม. ตอนนี้เวลาผ่านไปแล้วเกือบ 2 เดือน ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 3 เดือนครับ

    จาก นั้นท่านมาเตือนบ่อยขึ้นเกือบทุกสัปดาห์ หลายพระองค์ก็วนเวียนกันมาเตือนให้เก็บของเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอพยพไป อีสาน ดูแล้วเวลาแต่ละวันนับจากวันที่ท่านมาเตือนมีค่ามากๆ ที่จริงวันนึงก็ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ถ้าหากคิดแล้วทำเลย และรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปเร็วมาก ครับ


    หลัง จากเกิดภัยจากน้ำแล้ว ภัยอื่นๆก็จะตามมาอีก เป็นระลอกๆ ภัยจากคนมีแน่นอน เมื่อข้าวยากหมากแพง ขาดอาหาร คนก็จะแย่งชิง เข่นฆ่ากัน ส่วนใหญ่คนเหล่านั้นเขามีกรรมติดตามมาทันก็ต้องชดใช้กัน ถึงตอนนั้นเมืองใหญ่ไม่น่าอยู่แล้วเพราะระบบการปกครอง การบริหารจะล่มสลายไปด้วย จะเป็นกลียุคโดยสมบูรณ์อยู่ระยะนึง

    ดัง นั้นการที่เราจะไปอยู่ที่ไหนนั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเอาไว้ด้วย ที่ผมเตรียมนั้นก็เหมือนสร้างชุมชนอิสระขึ้นมาชุมชนนึง มีครบทุกอย่าง เครื่องป้องกันตัวก็ต้องมีไว้ให้ครบถ้วน ไม่ต้องติดต่อกับโลกภายนอกสักครึ่งปีหรือหนึ่งปีก็สามารถอยู่กันเองได้

    ส่วนคนที่เขามีบุญกุศลยังไงก็มีเหตุให้อยู่รอดปลอดภัยครับ


    เชียงใหม่ มีทั้งทีึ่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัย ที่ปลอดภัยนั้นต้องไม่อยู่ในแนวของทางน้ำหรือใกล้เคียงและควรหลีกเลี่ยงเส้น แนวแผ่นดินไหวด้วย อันนี้ต้องศึกษาลักษณะของพื้นที่ทางธรรมชาติ เพราะแถบนั้นเป็นภูเขาสูงน้ำจะไหลเร็วและแรง ประกอบกับจะมีดินถล่มด้วยครับ

    น้ำ ท่วมครั้งที่แล้ว ผมทราบล่วงหน้า 4 เดือน แต่ท่านมาเตือนให้เก็บของขึ้นที่สูงก่อนน้ำมาถึงบ้าน 2 อาทิตย์และผมถามท่านว่าน้ำจะเข้าบ้านไม๊ ท่านบอกว่าน้ำจะไม่เข้าบ้าน แต่จะปริ่ม ผมลองวัดดูเหลืออีก 15 เซนติเมตรน้ำก็จะเข้าบ้าน จากนั้นน้ำก็ค่อยๆลดลง

    เรื่องภัย พิบัติจากทะเลคราวนี้ ท่านบอกผมไว้ล่วงหน้าประมาณ 13 ปี และท่านมาเตือนให้เก็บของเตรียมอพยพล่วงหน้า 5 เดือนและก็เตือนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้

    ก็เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ หลังจากนั้นใครจะอยู่แบบทุกข์มาก ทุกข์น้อย ก็อยู่ที่การเตรียมการของแต่ละคน

    คณะ ผมตุนข้าวเปลือกกับข้าวสารรวมกัน 30 ตัน น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 15,000 ลิตร เครื่องปั่นไฟ ขนาด 5 kva 3 เครื่อง เครื่องสีข้าวด้วยมือ 5 เครื่อง เครื่องโม่แป้ง ตะเกียงน้ำมันก๊าซ 20 อัน รถมอเตอร์ไซด์ 2 คัน รถจักรยาน 3 คัน เครื่องปั๊มน้ำแรงลม 2 ชุด(ดึงน้ำจากบ่อบาดาล) บ่อน้ำชักรอก 3 บ่อ เลี้ยงปลา 5 กระชัง บึงน้ำ 4 บึง ที่ทำนา 25 ไร่ ที่ดินปลูกผัก 5 ไร่ ที่เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ รวมทั้งที่พัก(ห้องชุด) ประมาณ 20 units และที่พักรวม จำนวนหนึ่ง ตู้รถไฟ(ความยาว 16 เมตร) 3 ตู้ เอาไว้เป็นที่พักของญาติธรรม และมีวิหารขนาด 1200 ตรม. 1 หลัง ขนาด 100 ตรม. 2 หลัง ที่กันแดด กันฝนที่จะรองรับคนได้ประมาณ 500 คน เต๊นท์ประมาณ 40 หลัง รวมทั้ง เสื้อผ้ากันหนาว จอบ เสียม ขวาน สุนัข 6 ตัว แมว 5 ตัว ฯลฯ สรุปแล้ว ตุนทุกอย่างที่ขวางหน้าอัน นี้เป็นของส่วนกลางที่จะใช้ร่วมกัน แต่สำหรับแต่ละคนเขาก็ซื้อของไว้เป็นของส่วนตัวอีกส่วนนึง ถ้าให้ได้ราคาถูกก็คือซื้อมามากๆแล้วก็แบ่งกัน

    ที่ จริงในพุทธสถานฯผมต้องการรองรับญาติธรรมที่สนิทๆ ญาติผมและของญาติของญาติธรรม รวมกันไม่เกิน 200 คน แต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ปู่ขาวมหาราช ท่านมาบอกว่า ลูกจะมีที่พักรองรับผู้คนไม่เพียงพอ ให้สร้างเพิ่มเติม ลูกต้องเมตตาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้มาก อันนี้ทำเอาผมกลุ้มเลย เพราะคณะผมเตรียมกันจนหมดหน้าตักแล้ว คนมามากเราจะเลี้ยงไม่ไหว


    เมื่อถึงเวลาเราคงหาช่องทางในการสื่อสารบอกกันยากครับ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นความแปรปรวนทางบรรยากาศจะทำลายระบบการสื่อสารแทบทั้ง หมด โดยเฉพาะเครื่องมือสื่อสารที่ต้องใช้ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งระบบจะถูกทำลายโดยพลังประจุไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ก่อตัวขึ้นในบรรยากาศ ฟ้าจะผ่าสนั่นหวั่นไหวตลอดเวลาโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งหลายฟ้าจะลงหมด

    แค่ เสียงดังมากๆนี่จิตก็คงจะตกไปอยู่ที่ตาตุมแล้วครับ จิตที่รับสภาวะนี้ได้ดีต้องฝึกให้จิตไม่สะดุ้งสะเทือนเมื่อมีเสียงดังมากๆ จึงจะไม่กระทบจากเหตุการณ์นี้ครับ

    สำหรับ ผู้ที่จะหนีไปทางอีสานหรือทางเหนือ ก็พยายามเลี่ยงริมน้ำโขงไว้นะครับ เมื่อถึงเวลานึงมวลน้ำขนาดใหญ่จะพัดผ่านแม่น้ำโขงด้วยครับ มาทั้งน้ำทั้งโคลนสีแดงๆ อยู่ห่างแม่น้ำโขงไว้สักประมาณ 1 กม. ก็น่าจะดีครับ พุทธสถานที่ผมจะไปอยู่นั้นจะอยู่ห่างจากน้ำโขงประมาณ 1.5 กม. เมื่อน้ำโขงไหลผ่านไปแล้ว ต่อไปริมฝั่งจะมาอยู่ใกล้กับที่ผมอยู่ประมาณ 1 กม.

    ผมเองน่าจะหนีจาก กทม.ไปล่วงหน้าก่อนภัยพิบัติมา สัก 1-2 สัปดาห์ ก็คงประมาณหลังสงกรานต์ไปแล้วล่ะครับ หลังสงกรานต์ก็ไม่แน่ว่าจะได้มีเวลามาโพสต์ในนี้อีกหรือไม่ เพราะต้องเตรียมพร้อมหลายๆอย่าง


    ในวันเกิดเหตุในเมืองไทยจะมีสิ่งบอกเหตุคือในตอนบ่ายท้องฟ้าจะมืดมิดกลายเป็นกลางคืนจากนั้นภายในไม่กี่ ชม. น้ำก็จะเข้า กทม. ครับ

    นั่นคือสัญญาณของ "ฟ้ามืด แผ่นดินเคลื่อน" ครับ


    ที่มา http://palungjit.org/threads/น้ำท่วมปี-2555-นี้จะร้ายแรงหรือไม่.325211/page-3
    <fieldset class="fieldset"> <legend>รูปขนาดเล็ก</legend> [​IMG]
    </fieldset>
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เกษม : วันนี้ เมื่อ 03:05 PM
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  3. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    <table id="post5707273" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175">เอามาฝาก15
    ฟังไว้แล้วจำว่าครั้งนึงเราเคยได้ยินก็แค่นั้นครับ

    phirayut
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2012
    สถานที่: ยโสธร
    ข้อความ: 20
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5707273" style="border-right: 1px solid #FFFFFF">



    ข้อมูลมาใหม่ครับไม่รู้ว่าจะเกิดจริงหรือเปล่าครับ "โปรดใช้วิจารณาการอ่าน"
    ปฏิทิน มหาภัยพิบัติ 2012 (พ.ศ.2555)

    - เมษายน 55 เขื่อนจีนแตก น้ำทะเลขึ้น น้ำท่วมมาก ทั่วประเทศ
    - ก.ค - ต.ค 55 ปฏิวัติ นองเลือด
    - ต.ค - ธ.ค 55 อากาศหนาวเย็น หิมะตกในไทย ฝนกรด
    ... - 31 ธ.ค 55 เขื่อน จ.ตาก แตก
    - ม.ค 56 (+ 49 วัน) แกนโลกพลิก โลกมืดสี่สิบเก้าวัน น้ำอาหารเป็นพิษ โรคระบาด หนาวเย็น
    - พ.ศ. 2557 สงครามโลก เมียบิลลาเด็นขับยาน ไประเบิดตัวเองกลางนิวยอร์ค เชื้อโรคแพร่การจายทั่วโลก น้ำทะเลแยกไม่ออกจากน้ำจืด
    - พ.ศ. 2558 เริ่มคลี่คลาย คนที่รอด ไม่ถึงครึ่งที่มีอยู่


    ที่มา
    จากเณรรูปหนึ่ง ปลายปีเราจะเปิดเผยให้สาธารณะชน<wbr>ทราบ (อาจจะเป็นเณรปลาบู่ กลับชาติมาเกิด)


    *สานจากปลาบู่ "อีก 38 ปี(พ.ศ.2555) ยามสอง ปีใหม่ คนไทยเมา แผ่นดินไหว เขื่อนแตก" ซึ่งปลาบู่ไม่ได้พูดว่า 31 ธ.ค. 54 นะจ้ะ ทบทวนกันให้ดีๆ*
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  4. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    <table id="post5705005" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175">เอามาฝาก16
    ฟังไว้เหมือนเดิม แล้วจำว่าครั้งนึงเราเคยได้ยิน


    interpoo
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2011
    ข้อความ: 487
    พลังการให้คะแนน: 55 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5705005" style="border-right: 1px solid #FFFFFF">



    แผ่นดินไหวรุนแรง กำลังจะมาแล้วนะ เดือนหน้า

    (คุณปู Post เมื่อ 13ก.พ55ครับ)
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2012
  5. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    <table id="post5689317" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175">เอามาฝาก17
    ขออนุญาตินำสาระธรรมมาเผยแผ่และขอขอบคุณคุณอริยะบุญมากครับ แด่สหายธรรมของเรา

    อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5689317" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> <center>







    ความพิสดารของจิตตภาวนา

    </center>
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1">
    [FONT=&quot]ความพิสดารของจิตตภาวนา[/FONT]​
    [FONT=&quot]โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน[/FONT]​
    [FONT=&quot]เทศน์อบรมครูสอนพระปริยัติธรรมรุ่นที่ ๕ ณ วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี[/FONT]​
    [FONT=&quot]เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๖[/FONT]​

    [FONT=&quot] วันนี้ มีโอกาสได้มาพบกับพระลูกพระหลานซึ่งอยู่ในวัยควรเป็นลูกหลาน ในวัยควรเป็นน้องก็ได้มาพบน้องในวันนี้ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่บวชมาในพุทธศาสนา ต่างมาจากที่ต่าง ๆ ในวันนี้ ได้มาประชุมตามหลักวิชาการแห่งพุทธศาสนา แล้วมีโอกาสท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัด ก็ไปนิมนต์หลวงตามาชี้แจงอรรถธรรมทางภาคปฏิบัติให้ท่านทั้งหลายได้ฟังตาม โอกาสและธาตุขันธ์อำนวยในวันนี้[/FONT]

    [FONT=&quot] การ แสดงธรรมวันนี้จะไม่แสดงทางด้านปริยัติอะไรมากนัก เพราะต่างท่านต่างศึกษามามากพอสมควรแล้ว จะอธิบายทางภาคปฏิบัติซึ่งเป็นความสำคัญในวงพระพุทธศาสนาและในพระเณรของเรา ที่ควรจะได้ยึดเป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าการช่วยตัวเอง ให้มีกำลังใจปฏิบัติหน้าที่การงานทั้งภายนอกภายในได้โดยความราบรื่นดีงาม เพราะภาคปฏิบัติเป็นความสำคัญอยู่มาก หลังจากการศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว ภาคปฏิบัติจึงเป็นเหมือนเงาเทียมตัวหรือเงาตามตัว ระหว่างเงากับคนจะแยกจากกันไม่ได้ฉันใด เรื่องปริยัติกับเรื่องปฏิบัติก็แยกจากกันไม่ได้ฉันนั้น จึงจะเป็นศาสนาที่สมบูรณ์แบบที่เรียกว่าพระพุทธศาสนา[/FONT]

    [FONT=&quot] พระ พุทธศาสนาที่กลมกลืนกันด้วยธรรม ๓ ประเภทจึงจะเป็นธรรมที่สมบูรณ์ได้ และได้ผลเป็นที่พอใจแก่ผู้ปฏิบัตินั้นคือธรรมประเภทใดบ้าง คือปริยัติธรรม ได้แก่การศึกษาเล่าเรียนให้รู้แบบแปลนแผนผังเข็มทิศทางเดินพอสมควรแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นภาคปฏิบัติ คือดำเนินตามเข็มทิศที่ท่านชี้แนวทางบอกไว้ไม่ให้คลาดเคลื่อน ทางหลักพระวินัยก็เป็นความสำคัญ เพราะเป็นชีวิตจิตใจของพระเรา พระเราจะมีความสงบร่มเย็นอบอุ่นภายในตัวเอง ย่อมเป็นผู้ทรงวินัยได้เป็นอย่างดีหาที่ตำหนิความบกพร่องของตนไม่ได้ เพราะการฝ่าฝืนหลักพระวินัย นี่ก็เป็นความสวยงามอันหนึ่งที่จะยังความอบอุ่นให้แก่เรา เรียกว่าพระวินัย ก็เป็นปริยัติด้านหนึ่ง[/FONT]

    [FONT=&quot] พระ ธรรมคือการอบรมจิตใจของเราให้มีความสงบร่มเย็น ตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เรื่องจิตตภาวนานี้เป็นความพิสดารมาก สำหรับที่เราเรียนในทางด้านปริยัตินั้นไม่ค่อยจะพิสดารเท่าไร เพราะเราจดจำตามตำรับตำราที่ท่านชี้แจงเอาไว้เพียงเท่านั้น เช่น ทำจิตให้สงบด้วยคำบริกรรมบทใดก็ตาม เราก็จดจำได้ตามนั้น ว่าจิตเป็นสมาธิ เราก็จดจำได้ว่าความตั้งมั่นแห่งจิตนั้นเรียกว่าสมาธิ ความรู้เท่าทันในกองสังขารเรียกว่าปัญญา นี่เป็นทางภาคปริยัติ ไม่ค่อยพิสดารกว้างขวางอะไรมากนัก เราเรียนก็เรียนตามตำรับตำรา นอกไปจากตำรับตำราก็จะกลายเป็นเรื่องแหวกแนวไปในการศึกษาเล่าเรียน[/FONT]

    [FONT=&quot] แต่ ทางภาคปฏิบัติมีความพิสดารกว้างขวางมาก สำหรับผู้ที่ก้าวขึ้นสู่เวทีคือการดำเนินภาคปฏิบัตินี้จึงจะทราบได้ว่า ธรรมเป็นธรรมชาติที่กว้างขวางพิสดารลึกซึ้งมาก เพียงสมาธิเท่านั้นก็กว้างขวางมากมาย คำว่าสมาธิในตำราท่านสอนไว้ว่าจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ นี้คือในตำราท่านสอนไว้ แต่เวลาเรามาบำเพ็ญภายในจิตใจ คำว่าจิตตั้งมั่น ทำอย่างไรจิตจึงจะตั้งมั่นให้ตามความมุ่งหมายของเรา ต้องเป็นผู้มีสติ[/FONT]

    [FONT=&quot] ใน ธรรม ๔๐ ห้องมีอานาปานสติเป็นต้น ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้นแล้วแต่เราจะถูกกับจริตจิตใจในธรรมบทใด นำธรรมบทนั้นเข้ามาบริกรรมเป็นเครื่องกำกับใจ ไม่ให้ใจคิดส่ายแส่ไปสถานที่ต่างๆ อารมณ์ต่างๆ ให้อยู่ในจุดเดียวคือคำบริกรรมนั้นเป็นเครื่องบังคับเอาไว้โดยสม่ำเสมอ ไม่ให้พลั้งเผลอไปที่อื่นใด จิตก็จะเข้าสู่ความสงบ คำว่าจิตเข้าสู่ความสงบนั้น ได้แก่กระแสของจิตที่ซ่านไปในที่ต่างๆ รวมตัวเข้ามาๆ เพราะอำนาจแห่งความดึงดูดของคำบริกรรมที่ยึดหรือดึงดูดเข้ามาๆ จิตก็ปรากฏเป็นความสงบเย็นขึ้นมาภายในใจ นี้เรียกว่าจิตสงบ[/FONT]

    [FONT=&quot] ใน ตำราท่านบอกว่าจิตสงบ แต่เมื่อไม่ได้ทำก็ไม่รู้ว่าความสงบอย่างแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร จึงพิสดารอยู่มากในทางภาคปฏิบัติแห่งธรรมทั้งหลาย เมื่อจิตสงบแล้วเราก็ทราบได้ชัดว่า อ๋อ ความสงบนี้สงบที่ใจ ตำรับตำราท่านแสดงไว้นั้นแสดงเข้ามาสู่ใจของเรา เพราะใจของเราวอกแวกคลอนแคลนดีดดิ้นตลอดเวลาหาความสงบไม่ได้ จึงต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องกำกับยึดเหนี่ยวเอาไว้ให้จิตหยุดอยู่ในจุดเดียว ด้วยความมีสติครอบครองอยู่ในนั้น จิตก็ปรากฏเป็นความสงบขึ้นมา[/FONT]

    [FONT=&quot] คำ ว่าจิตเป็นความสงบ ได้แก่จิตไม่ส่ายแส่ไปในอารมณ์ต่าง ๆ ตามนิสัยของตนที่เคยเป็นมาก่อนที่ไม่ได้ภาวนา พอเราภาวนาจิตของเรามีความสงบเข้ามาสู่ความเป็นอารมณ์อันเดียว คือรู้อยู่จำเพาะตัวนี้เท่านั้น นี่เรียกว่าจิตสงบ ความสงบในตำรานั้นเข้ามากลายเป็นความสงบในหัวใจของเรา นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ เริ่มปรากฏแล้วว่าปฏิเวธ คือรู้ชัดภายในตัวว่าจิตสงบอย่างแท้จริงนั้นเป็นอย่างนี้ ความจำได้ในตำราเป็นอย่างนั้น ความเป็นในจิตของตนเพราะภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ นี่ก็แยกได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นความจำกับความจริงจึงต่างกัน[/FONT]

    [FONT=&quot] ความ จำคือเราเรียนจากตำรับตำรามากน้อยเพียงไร เป็นความจำทั้งนั้น เรายึดเอาความจำนั้นมาเป็นเข็มทิศทางเดินปฏิบัติตามนั้น เช่น ปริยัติท่านสอนว่าให้บริกรรมธรรมบทใดก็ตามในบรรดาธรรม ๔๐ ห้องนั้น เช่น อานาปานสติ เราก็นำอานาปานสติมากำกับใจโดยความมีสติ จนกระทั่งจิตเราเกิดความสงบขึ้นมาเห็นได้ชัดเจนภายในใจของเรา ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยปรากฏว่าจิตนี้ได้รับความสงบ แต่มาบัดนี้ได้สงบแล้วด้วยการภาวนาบทนั้น ๆ อย่างนี้ก็ประจักษ์ภายในใจของเรา นี้เรียกว่าความจริง[/FONT]

    [FONT=&quot] คือ สมาธิในตำรา ความจำในตำรา กลายมาเป็นความจริงขึ้นในหัวใจของเราผู้ปฏิบัตินี้ นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติด้วยการบริกรรมในขั้นเริ่มแรก และผลปรากฏขึ้นมาเป็นความสงบเย็นใจเห็นได้ประจักษ์ นี้ก็เรียกว่าเริ่มเป็นปฏิเวธะแล้ว คือรู้ชัดขึ้นภายในจิตใจของตน ว่าจิตสงบนั้นสงบขึ้นที่ใจ ไม่ได้สงบขึ้นที่ตำรา ตำรานั้นเป็นเพียงความจำ ความจริงแท้จิตสงบที่ใจของเราผู้ปฏิบัติ นี่จึงเรียกว่าจิตนี้ทางภาคธรรมะทางภาคภาวนานี้เป็นความพิสดารอยู่มาก[/FONT]

    [FONT=&quot] เมื่อ จิตมีความสงบเข้าไปหลายครั้งหลายหนก็สร้างฐานของตนขึ้นให้เป็นความมั่นคง จิตสงบย่อมไม่ส่ายแส่ไปตามอารมณ์ ทรงความรู้ไว้เด่นชัดภายในจิตใจพร้อมกับความเย็นความสบายภายในใจ นี้เรียกว่าจิตสงบ เมื่อจิตสงบอย่างนี้หลายครั้งหลายหน ในขณะที่จิตสงบแต่ละครั้งๆ นั้นก็สร้างฐานแห่งความมั่นคงขึ้นที่ใจของเรา เมื่อสงบหลายครั้งเข้าไปใจก็เกิดความแน่นหนามั่นคงขึ้นมา ท่านเรียกว่าใจเป็นสมาธิ คือความตั้งมั่นของใจ เพราะมีรากฐานมั่นคงเนื่องจากความสงบเป็นเครี่องหล่อเลี้ยงจิตใจสร้างฐาน ขึ้นมาหลายครั้งหลายหน จนปรากฏเป็นความแน่นหนามั่นคงขึ้นที่ใจ นี่ท่านเรียกว่าใจเป็นสมาธิ นี่ก็เรียกว่าเป็นความจริงปรากฏขึ้นแล้วในผู้ปฏิบัติ[/FONT]

    [FONT=&quot] ถ้า ไม่ปฏิบัติไม่รู้ เรียนสักเท่าไรก็จำได้แต่ตามตำรับตำราเท่านั้นหาความจริงไม่ได้ คำว่าสมาธิก็จำได้แต่ชื่อ องค์ของสมาธิอย่างแท้จริงไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเราได้ปฏิบัติแล้วองค์แห่งความจริงของสมาธินั้นปรากฏขึ้นที่ใจของ ผู้ปฏิบัติ และเป็นสมบัติของผู้นั้นด้วยไม่เหมือนความจำ ความจำจำได้ก็จริงแต่ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติแล้วความจำได้ก็สักแต่ว่าจำได้เท่า นั้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลนั้นไม่ได้บกบางไปเลยเพราะความจำนั้นๆ เพราะฉะนั้นเพียงความจำเท่านั้นจึงเพียงเป็นปากเป็นทาง ยังไม่จัดว่าได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไร ต่อเมื่อเราได้นำภาคความจำนั้นเข้ามาสู่ภาคปฏิบัติจนปรากฏเป็นผลแห่งความ จริงขึ้นมานั้นจึงชื่อว่าเป็นผลขึ้นมาแล้ว[/FONT]

    [FONT=&quot] ศาสนา ของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าจนกระทั่ง ปัจจุบันนี้ ด้วยสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว แม้จะปรินิพพานนานเพียงไรก็ตามคำว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมขั้นใดต่อขั้นใด ทรงแสดงให้เป็นไปตามจุดหมายปลายทาง คือจุดหมายแห่งความสิ้นสุดวิมุตติพุทโธ ก็ไม่พ้นจากคำว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้เลย นี่เป็นภาคปฏิบัติ[/FONT]
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย อริยะบุญ : 10-02-2012 เมื่อ 10:50 AM
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5689378" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 10-02-2012, 10:41 AM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3969 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5689378" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> เพียง เริ่มสมาธิให้จิตสงบนี้เราก็เห็นผลแล้วภายในจิตใจของเรา จิตสงบย่อมอิ่มตัวเองในอารมณ์แห่งธรรมคือความสงบเย็นใจ ไม่หิวโหยในอารมณ์ เช่น อารมณ์ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ อดีต อนาคต ซึ่งเคยรบกวนจิตอยู่ตลอดเวลานั้น เมื่อจิตมีความสงบแล้วย่อมอิ่มตัวกับอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ อารมณ์เหล่านี้ไม่ก่อกวนจิตใจ ใจมีแต่ความสงบร่มเย็น นี่ได้ผลแล้วในทางภาคปฏิบัติ จิตเป็นสมาธิ จิตมีความสงบร่มเย็น พออยู่พอเป็นพอไป อยู่ที่ไหนสบายจิตที่เป็นสมาธิ ไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะความส่ายแส่ของจิตไปเที่ยวกว้านเอาอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาเผาลนตนเองให้เกิดความทุกข์ความทรมาน

    จึง ต้องได้อาศัยภาคปฏิบัติ ท่านเรียกว่าปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียนมาแล้วให้มีภาคปฏิบ้ติกำกับกันไป เพื่อจะได้เห็นผลของพระพุทธศาสนาประจักษ์กับเรา อย่าให้มีตั้งแต่ครั้งพุทธกาลว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ พระสาวกทั้งหลายท่านได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นสาวก พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของชาวพุทธเรา แต่เราไม่ได้ปฏิบัติตน มีแต่เพียงภาคความจำเฉย ๆ ก็ได้แต่ชื่อแต่นามของกิเลสตัณหา ของมรรคผลนิพพาน ส่วนกิเลสเป็นอย่างไรนั้นไม่ได้หลุดลอยออกไปจากใจ คำว่าบาปว่าบุญก็ไม่ได้หลุดลอยออกไปจากใจเลย มรรคผลนิพพานก็ไม่ปรากฏที่ใจของเรา เพราะอำนาจแห่งเพียงความจำเท่านั้น

    เพราะ ฉะนั้นท่านจึงสอนให้มีภาคปฏิบัติ ให้เห็นความจริงตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราไม่เคยโกหกหลอกลวงโลก จึงสมกับพระวาจาว่าสวากขาตธรรม คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้วหรือตรัสไว้ดีแล้ว คือดีตั้งแต่ต้นจนอวสาน ดีเพื่อจุดหมายปลายทางที่ถูกต้องแม่นยำไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนนั้นแล จึงเรียกว่าตรัสไว้ชอบ ตรัสไว้ดีแล้ว เมื่อเราปฏิบัติตามดำเนินตามที่ท่านทรงสั่งสอนไว้นั้น ผลจะปรากฏขึ้นที่ผู้ปฏิบัติ

    เฉพาะ อย่างยิ่งพระเราเป็นสิ่งสำคัญมากไม่มีหน้าที่การงานอะไร จึงอยากขออาราธนานิมนต์บรรดาพระลูกพระหลานพระพี่พระน้องทั้งหลาย ได้มีความสนใจขวนขวายทางด้านจิตตภาวนาซึ่งเป็นภาคปฏิบัติ ทั้งด้านวินัยก็ให้มีความเคร่งครัด ให้เป็นความสวยงามในองค์พระของเรา ทางด้านธรรมอย่างน้อยก็ขอให้บำเพ็ญจิตตภาวนาให้ใจมีความสงบเย็น เราจะได้ทรงผลของศาสนาว่าเป็นผลอย่างไรประจักษ์กับใจของเราเสียเอง เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก เป็นลำดับลำดาไป

    นี่ พูดถึงเรื่องสมาธิเท่านี้ก็ประจักษ์แล้วว่าเป็นความจริงเกิดขึ้นที่ใจของเรา เราเป็นเจ้าของของสมาธิ ผู้มีสมบัติคือสมาธิ ได้ครอบครองสมบัติคือสมาธินี้ภายในหัวใจแล้ว อยู่ที่ไหนก็สบาย ท่านเรียกว่าอารมณ์ของจิตได้แก่ความสงบนี้ทำให้จิตใจมีความเอิบอิ่มอยู่ตลอด เวลา อิ่มตัว จึงไม่หิวโหยกับอารมณ์ต่าง ๆ นี่เป็นภาคสมาธิที่อธิบายเพียงย่นย่อให้บรรดาพระลูกพระหลานพี่น้องทั้งหลาย ได้ทราบในภาคปฏิบัติ เพราะอาจจะไม่ค่อยมีโอกาสได้บำเพ็ญ และไม่ค่อยมีโอกาสที่มีผู้แนะนำและแสดงให้ฟัง วันนี้หลวงตาจึงได้สละเวล่ำเวลามา เพราะเห็นแก่ใจบรรดาท่านทั้งหลาย และในฐานะที่ได้ปฏิบัติมาบ้างพอประมาณตั้งแต่วันบวชแล้วมา เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี พอสำเร็จเพียงเปรียญประโยค ๓ และนักธรรมเอกเท่านั้นก็ออกทางภาคปฏิบัติ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ จึงเรียกว่าถ้าขึ้นเวทีก็ขึ้นเอาเสียอย่างรอดเป็นรอดตายเดนตายมา จึงได้แนะนำสั่งสอนประชาชนพระเณรทั้งหลายตลอดมากระทั่งทุกวันนี้

    พูด อย่างไม่ปิดปากพูดอย่างเต็มอก เพราะได้ทำอย่างนั้นมาจริง ๆ เพราะหาความจริงจากพระพุทธศาสนาว่าพระพุทธเจ้าทรงบรรลุธรรม ธรรมประเภทใดบ้างที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุ กระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน ได้แก่ตรัสรู้ธรรมถึงแดนพ้นทุกข์ เราก็อยากพ้นทุกข์ พระสงฆ์สาวกท่านดำเนินตามพระพุทธเจ้า ท่านถึงความพ้นทุกข์เป็นพระอรหัตอรหันต์ขึ้นในโลก เราก็อยากทรงมรรคทรงผลเหล่านั้น จึงต้องอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายปฏิบัติมาตั้งแต่ออกจากเรียนหนังสือแล้ว จนกระทั่งปัจจุบันนี้

    จะ ได้มากได้น้อยเพียงไรก็ขวนขวายมาสงเคราะห์บรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลาย กรุณานำไปพินิจพิจารณาปฏิบัติตาม และให้เป็นที่แน่ใจในตนเองว่า พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลตั้งแต่ต้นจนสุดยอดแห่งธรรมทั้งหลาย เป็นอกาลิโก เสมอต้นเสมอปลาย มัชฌิมา เหมาะสมตลอดเวลาต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่จะต้องได้รับผลตามขั้นภูมิของตนที่ปฏิบัติได้มากน้อย จนกระทั่งสามารถทรงวิมุตติหลุดพ้นไปได้จากสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้านี้แล จะไม่ใช่ธรรมของผู้ใดลัทธิใด

    ขอ ให้ปฏิบ้ติตนให้ถูกต้องตามหลักศาสนธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปก็เพียงแต่พระสรีระซึ่งเป็นเหมือนกับโลกทั่ว ๆ ไปเกิดแล้วต้องตาย ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า แต่เรื่องธรรมะที่ทรงแสดงไว้เป็นความจริงอย่างใดนั้น ย่อมเป็นความจริงอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จึงเรียกว่าอกาลิโก หากาลหาเวลาไม่ได้ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตรัสไว้ชอบแล้ว แม้ปรินิพพานไปแล้วธรรมนี้ก็ชอบมาดั้งเดิมตลอดกระทั่งปัจจุบันนี้ สอนว่ากิเลสเป็นกิเลส ธรรมเป็นธรรม สอนว่าดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ในสิ่งใดย่อมเป็นไปตามความจริงนั้น ละชั่วทำดีก็มีอยู่ แล้วละดีไปทำชั่วก็มีประจำโลก พระองค์ก็เห็นก็แนะนำสั่งสอนไว้เรียบร้อยแล้ว

    ขอ ให้ทุกคนได้นำธรรมะนี้ไปปฏิบัติประดับจิตใจของเรา ที่ควรจะได้ทรงมรรคทรงผลในเพศที่ว่างที่สุด ก็คือเพศของพระ ทุกสิ่งทุกอย่างอาหารปัจจัยมีสมบูรณ์บริบูรณ์ ประชาชนคนศรัทธาทั้งหลายพร้อมเสมอที่จะบริจาคให้ทาน ไม่อดอยากขาดแคลนเพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราไม่ต้องไปกังวลกับอาหารการกินของเรา ให้กังวลตั้งแต่เรื่องของกองทุกข์ที่มันมีอยู่กับใจ ความโลภเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ภายในจิตใจ ความโกรธเกิดขึ้นเป็นทุกข์ภายในจิตใจ ราคะตัณหานี้เป็นสำคัญมาก เกิดขึ้นแล้วยิ่งบีบคั้นภายในจิตใจมาก โลกทั้งหลายระส่ำระสายวุ่นวายกันมาตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน และยังจะวุ่นวายไปตลอดหาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ ก็เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหาความไม่มีเมืองพอนี้แล มันกวนสัตว์ทั้งหลายให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย

    เรา จะระงับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยวิธีการใด ในธรรมทั้งหลายท่านก็ได้แสดงไว้แล้วว่า ด้วยวิธีการจิตตภาวนาเป็นสำคัญมากที่จะระงับให้มันสงบลงไปด้วย ให้มันขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจด้วย ด้วยจิตตภาวนานี้เท่านั้นเป็นสำคัญ จึงควรเร่งจิตใจของเราเพื่อต่อต้านสิ่งเหล่านี้ มีราคะตัณหาเป็นต้น อย่าให้มันรุนแรงขึ้นภายในจิตใจ มันไม่ได้เผาอะไรแหละ เวลาเกิดขึ้นแล้วจะต้องเผาใจ ในต้นเหตุที่มันพาให้เกิดนั้นแล ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เมื่อทำใจให้สงบเย็นลงไปแล้วใจของเราจะสบาย ได้ทรงมรรคทรงผล

    ระยะนี้ได้อธิบายถึงเรื่องสมาธิ ตามหลักธรรมท่านแสดงไว้ว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ผู้มีศีลเป็นเครื่องรักษาดีแล้วย่อมมีความอบอุ่น จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาจิตก็ไม่เป็นอารมณ์กับสิ่งใดพอให้เกิดความเดือดร้อนและ กวนใจหาความสงบไม่ได้ จิตผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ด่างพร้อย ย่อมไม่เป็นอารมณ์กับสิ่งใด แล้วการภาวนาก็สงบได้ง่าย นี่เป็นข้อที่หนึ่ง

    สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่สมาธิเป็นเครื่องหนุน ตามปริยัติท่านว่าเป็นเครื่องอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก แยกมาให้ได้ความชัดเจนลงไปสำหรับภาคปฏิบัติของเราก็คือว่า ปัญญาที่มีสมาธิเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอุดหนุนแล้วย่อมเดินได้คล่องตัว คือจิตไม่หิวโหยในอารมณ์ พาทำงานอะไรก็ทำ พาพินิจพิจารณาปัญญาจะต้องพินิจพิจารณาถึงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องเป็นเรื่องตาย อสุภะอสุภัง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่อุปัชฌาย์มอบให้นั้นมอบให้เป็นอาวุธอันสำคัญให้เราพินิจพิจารณา นี่เรียกว่าก้าวทางด้านปัญญา พิจารณาทางด้านปัญญา
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5689394" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 10-02-2012, 10:43 AM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3970 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> เกราะธรรม
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Oct 2011
    ข้อความ: 21
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]
    [​IMG]

    </td> <td class="alt1" id="td_post_5689394" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> โมทนา...สาธุ.....
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5689398" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 10-02-2012, 10:44 AM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3971 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5689398" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ถือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นสำคัญกว่าอื่นในขั้นเริ่มแรก เพราะอันนี้หยาบมากติดมาก ได้รับความทุกข์ความทรมานมากเพราะสิ่งเหล่านี้ ท่านจึงสอน โลกทั้งหลายติดกันทั้งนั้น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้หนาแน่นยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก ภูเขาทั้งลูกรถเขาไถไม่กี่วันกี่คืนแตกกระจัดกระจายลงไปเป็นถนนหนทาง เป็นกรวดเป็นทรายไปหมด สร้างนั้นสร้างนี้เป็นที่ทำงานต่างๆ ล้วนแล้วตั้งแต่ออกจากภูเขา เขาทำลายภูเขาให้แตกกระจัดกระจายลงไปได้อย่างง่ายดาย แต่จะมาทำลายภูเขาภูเราคือรูปร่าง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของหญิงของชาย ของเราของเขา นี้ทำลายได้ยาก และไม่มีใครจะค่อยสนใจทำลายกัน นอกจากจะส่งเสริมกันแบบงู ๆ ปลา ๆ ลม ๆ แล้ง ๆ ไม่สวยก็บอกว่าสวย ไม่งามก็เสกสรรว่างาม เพราะกิเลสพาเสกสรรกิเลสฉุดลากไป ความจริงแล้ว เกสา เป็นยังไง ที่เกิดที่อยู่ของมันเป็นยังไง นี้คือพาก้าวทางด้านปัญญา

    ขอให้พระลูกพระหลานทั้งหลายได้ทราบเป็นแนวทางเอาไว้ หลวงตาจะอธิบายให้ฟังตามที่เคยดำเนินมาแล้วอย่างนี้ ให้พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตาม ขอให้พิจารณาด้วยความจงใจ ใจ ที่มีความสงบมีสมาธิเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่เถลไถลออกนอกลู่นอกทางไปหาอารมณ์ต่าง ๆ เพราะอิ่มในอารมณ์อยู่แล้ว พาพิจารณาทางด้านปัญญาก็พิจารณาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดูผมก็เห็นชัดเจนทั้งเส้นของมันแต่ละเส้น ๆ เป็นยังไง มีคุณค่ามีราคาอะไรประสาผม ขนก็เหมือนกัน เล็บ ฟัน ฟันก็คือกระดูกนั่นเองจะเป็นอะไรไป หนังหุ้มห่อกระดูกหุ้มห่อร่างกายอยู่นี้ก็เสกสรรปั้นยอขึ้นประหนึ่งว่าทอง ทั้งแท่งสู้ไม่ได้ ทองไม่ค่อยติดกัน ถ้าเป็นรูปหญิงรูปชายนี้ติดมากทีเดียว แล้วสร้างความทุกข์ให้ได้มากมาย

    ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้ทำลายภูเขาภูเราอันนี้ลงไป ให้แตกกระจัดกระจายลงไปเป็นอสุภะอสุภังบ้าง เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แตกกระจายลงไปแล้วเป็นอยู่ในตามสภาพของตน ให้รู้ตามเป็นจริงอย่างนี้ท่านเรียกว่าปัญญา เมื่อปัญญาได้แทงทะลุลงไปอย่างนี้ ภูเขาภูเราก็แตก เมื่อภูเขาภูเราแตกแล้วหลงหญิงหลงชายหลงสัตว์หลงบุคคลกันที่ไหน ความหลงก็เพราะภูเขาภูเรามันเต็มหัวใจทุกคนนั้นแล เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญาออกแตกกระจัดกระจายนี้แล้ว ทางย่อมเปิดโล่งไปหมด ไม่มีอะไรมาตีบตันอั้นตู้บีบหัวใจนอกจากภูเขาภูเรานี้เป็นสำคัญ เมื่อภูเขาภูเราแตกแล้วด้วยปัญญา จิตย่อมว่างเปล่าโล่งไปหมดเลย นี่เป็นปัญญาประเภทหนึ่ง

    ปัญญา ประเภทนี้เป็นปัญญาที่สำคัญมาก การพิจารณาปัญญาประเภทนี้ผาดโผนโจนทะยาน ต้องเป็นผู้ขึ้นเวทีแล้วเท่านั้นถึงจะทราบ เราทราบทางปริยัติก็เรียนไปพอเป็นแถวเป็นแนว ไม่แยกไม่แยะไม่พิสดารกว้างขวางเหมือนภาคปฏิบัติ เพราะภาคปริยัติเรียนก็ต้องเรียนตามตำรับตำรา ตำราว่ายังไงเราก็ต้องเรียนต้องจำไปตามนั้น ถ้านอกจากนั้นแล้วจะกลายเป็นเรื่องแหวกแนวไป แต่ทางภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น เหมือนกับท่านยกไม้ทั้งท่อนให้ เอ้า เอาไปเลื่อยเอง ไปเลื่อยเอานะ ไม้ท่อนนี้จะเลื่อยให้เป็นอะไร ๆ เอ้า เลื่อยไป เลื่อยออกจาระไนออกไป จะทำเป็นบ้านเป็นเรือนเป็นตึกรามบ้านช่อง เป็นตู้เป็นหีบเป็นอะไรได้ทั้งนั้นจากไม้ท่อนนี้

    นี่ ก็ท่านยกธรรมขึ้นมา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นเหมือนกับว่าไม้ทั้งท่อนซุงทั้งท่อน ให้เราจาระไนด้วยปัญญาของเรา แยกแยะเข้าไปจนถึงภายในอาการ ๓๒ ดูตลอดทั่วถึงชัดเจนด้วยปัญญาแล้ววางกันเลย ไม่ต้องบอกว่าปล่อยก็ปล่อยเอง ที่มันยึดมันถือเพราะความไม่รู้นั่นเองมันถึงยึดถึงถือ เมื่อรู้แจ้งชัดเจนแล้วบังคับให้ยึดก็ไม่ยึด ปล่อยสลัดปัดทิ้งไปได้หมด นี่จิตใจโล่ง สติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นที่ผาดโผนโจนทะยาน เพราะราคะตัณหานี้มันเหนียวแน่นมั่นคงมาก ในโลกอันนี้ไม่มีอะไรเหนียวแน่นยิ่งกว่าราคะตัณหานี้ มันผูกมันมัดสัตว์โลกทั้งหลายให้จมอยู่ตลอดเวลาเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ และสร้างกองทุกข์ขึ้นในขณะเดียวกันๆ ให้เราเห็นชัดเจนอยู่ประจักษ์ ใครจะเรียนมากเรียนน้อยเรียนสูงเรียนต่ำประการใดก็ตาม ถ้าแก้ไขชำระมันไม่ได้ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นเครื่องมือให้กิเลสมันสับมันฟันเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้พินิจพิจารณาในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นี่เรียกว่าปัญญาขั้นหนึ่ง

    ปัญญา ขั้นนี้ผาดโผนโจนทะยาน รวดเร็วก็รวดเร็ว หนักก็หนัก จึงเรียกว่าผาดโผนโจนทะยาน เพราะกิเลสประเภทนี้หนัก พอได้ผ่านธรรมชาตินี้ไปแล้วจิตของเราจะไม่มีเรื่องรูปเรื่องร่างเรื่องหญิง เรื่องชายเรี่องเขาเรื่องเรา เรื่อง สวยเรื่องงามจะไม่ปรากฏเลย จากสุภะเป็นอสุภะ จากอสุภะแล้วทั้งอสุภะก็ไม่เป็น สุภะก็ไม่เป็น ปล่อยวางไว้ตามเป็นจริงในสภาพมันตามความเป็นจริงของมัน แล้วจิตผ่านออกไปในท่ามกลางแห่งความเป็นสุภะและอสุภะ นี่ก็เรียกว่ามัชฌิมาอันหนึ่งของจิตที่ก้าวเดินด้วยปัญญา เมื่อพอแล้วทั้งสุภะทั้งอสุภะไม่ยึดไม่ถือทั้งนั้น รู้เท่าตามเป็นจริงหมดแล้วปล่อย

    เมื่อ ปล่อยนี้แล้วจิตใจจะเบาหวิวๆ ไม่มีอะไรมากดถ่วง เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านผู้ที่สิ้นธรรมชาติอันนี้ไปแล้วท่านจึงไม่กลับมา เกิดอีก เพราะไม่มีเครื่องดึงดูด อันนี้ดึงดูดมากให้สัตว์ทั้งหลายเกิดแก่เจ็บตายตลอดเวลาเรื่อยมา และยังจะเรื่อยไปไม่มีสิ้นสุดจุดหมายปลายทางด้วย ถ้าหากว่าฆ่าธรรมชาติตัวดึงดูดนี้ไม่ได้ด้วยอำนาจของปัญญา นี่จึงเป็นประโยคสำคัญมาก อันนี้หนักมาก การพิจารณาก็หนักมาก ต้องเอาเป็นเอาตายเข้าว่ากัน พอผ่านอันนี้ไปแล้วจิตใจจะเบาโล่งว่างไปหมด ไม่มีเครื่องดึงดูด จิตใจจะเบาตัวไปโดยลำดับลำดา เพราะฉะนั้นพระอนาคามีจึงเป็นใจในหลักธรรมชาติคืออัตโนมัติ ค่อยชำระตัวเองไป

    คำ ว่าอัตโนมัตินี้ก็รู้สึกว่าหยาบ ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับผลไม้เมื่อแก่แล้วเป็นยังไง มีแต่ทางจะสุกโดยถ่ายเดียว ก่อนจะสุกนั้นมันทำหน้าที่อะไรของมัน ผลไม้ที่แก่แล้วนั้นมันจึงจะห่ามไปได้ มันจึงจะสุกไปได้ มันทำงานของมันอย่างไร อันนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่มีคำที่จะพูดก็เรียกว่าอัตโนมัติ จิตถึงขั้นพระอนาคามีแล้วย่อมเป็นจิตอัตโนมัติที่จะหมุนตัวไปเพื่อความหลุด พ้นโดยถ่ายเดียว ไม่มีคำว่าถอยกลับ กิเลสตัวให้ถอยกลับ ๆ มีแต่กิเลสราคะตัณหานี้เป็นสำคัญมาก ที่ดึงดูดและฉุดกระชากโลกทั้งหลายให้จมแน่ว ๆ จนไม่รู้จักบุญจักบาป ตกนรกอเวจีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วนก็เพราะอันนี้เองเป็นสำคัญ เมื่อผ่านนี้ไปแล้วจะโล่งไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรมากวนใจ จิตมีแต่ความสงบเย็นใจ อย่างเบาไม่ใช่สงบแบบสมาธิ เลยสมาธินั้นไปแล้ว เป็นความว่างเปล่าจากสัตว์จากบุคคล นี่อำนาจของปัญญา ท่านเรียกว่าปัญญา อันนี้ก็อยู่ในขั้นปัญญา

    ท่านว่า ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ นี่แหละขั้นนี้แล จิตที่ปัญญาอบรมแล้ว ซักฟอกแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ คือหลุดพ้นอย่างนี้แล หลุดพ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ตั้งแต่ขั้นหยาบๆ มีราคะตัณหานี้เป็นต้น จนกระทั่งอันนี้พังทลายไปหมดจากหัวใจก็รู้ได้ชัดตามเป็นจริง นี่ก็เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก หรือเรียกว่าปฏิเวธธรรม ปรากฏอยู่ในผู้ปฏิบัติเห็นได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องไปถามใคร พูดแล้วสาธุ แม้พระพุทธเจ้าจะมาประทับอยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่ทูลถามพระองค์ เพราะ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศกังวานมาแล้ว ด้วยโอวาทของพระพุทธเจ้านั้นแลจะเป็นโอวาทของใคร ประจักษ์ใจ เพราะเป็นหลักธรรมชาติอันเดียวกัน รู้ได้ชัดเป็นลำดับลำดา ท่านจึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก จากนั้นจิตก็ว่างเปล่าไป ปัญญาประเภทนี้เรียกว่าปัญญาอัตโนมัติ ถ้าในปริยัติของเราท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา

    สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟังหนึ่ง จินตามยปัญญา ปัญญาที่พินิจพิจารณาใคร่ครวญแล้วเกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมาหนึ่ง ภาวนามยปัญญา นี้เกิดขึ้นทางด้านภาวนาล้วนๆ ได้แก่ภาวนาที่มีสมาธิหนุนตัวแล้วเกิดความคล่องแคล่วว่องไว เห็นเหตุเห็นผล เห็นดีเห็นชั่ว เห็นโทษเห็นคุณ ของกิเลสและธรรมไปโดยลำดับลำดาแล้วหมุนตัวไปเอง นี่ท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา คือหมุนไปในหลักธรรมชาติของตัวเอง อัน นี้ถ้าจิตไม่เป็นด้วยตัวเองแล้ว เราเรียนในปริยัติเราก็จำได้ดังที่ท่าน ๆ เรา ๆ เรียนกันนั่นแหละ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ ก็ได้เพียงเท่านั้น ไม่ทราบสาเหตุเป็นมาอย่างไร ภาวนามยปัญญานี้ต้องเกิดขึ้นจากอำนาจของปัญญาที่พิจารณาเห็นเหตุเห็นผล แล้วหมุนตัวไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงธรรมขั้นละเอียดกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา ไปจากภาวนามยปัญญานี้ทั้งนั้น
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5689403" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 10-02-2012, 10:45 AM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3972 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> kratium
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2007
    ข้อความ: 314
    พลังการให้คะแนน: 212 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5689403" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ถ้า ไม่ปฏิบัติไม่รู้ เรียนสักเท่าไรก็จำได้แต่ตามตำรับตำราเท่านั้นหาความจริงไม่ได้ คำว่าสมาธิก็จำได้แต่ชื่อ องค์ของสมาธิอย่างแท้จริงไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเราได้ปฏิบัติแล้วองค์แห่งความจริงของสมาธินั้นปรากฏขึ้นที่ใจของ ผู้ปฏิบัติ และเป็นสมบัติของผู้นั้นด้วย

    โมทนาสาธุค่ะ ขอบคุณน้องตุ้ยและคุณอริยะบุญ ที่นำธรรมะของครูบาอาจารย์ มาให้อ่าน เป็นข้อเตือนใจ เตือนสติ เพื่อนำไปฝึกฝน ขัดเกลาจิตใจ และดำเนินชีวิต
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5689413" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 10-02-2012, 10:47 AM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3973 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5689413" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ธรรม เหล่านี้มีอยู่ที่ไหนเวลานี้ สวากขาตธรรมครอบไว้หมดแล้ว อกาลิโกครอบ ไว้หมด ไม่มีคำว่าเรียวว่าแหลม ไม่มีว่าครั้งโน้นศาสนาเจริญครั้งนี้ศาสนาเสื่อม มันเสื่อมที่หัวใจของคน เจริญที่หัวใจของผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติครั้งไหนก็เป็นครั้งนั้น กิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวใจตลอดเวลาหาความสุขความสบายไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติด้วยสวากขาตธรรมนี้แล้ว ยังไงก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์โดยลำดับลำดา เสมอต้นเสมอปลาย เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่นั้นแล นี่เรียกว่าปัญญาประเภทหนึ่ง ปัญญาขั้นภาวนามยปัญญา

    พอทะลุอันนี้ไปเรื่องราคะตัณหาเกี่ยวกับสุภะอสุภะอสุภังนี้ไปแล้ว การพิจารณาทางด้านปัญญาจะไม่หมุนไปทางสุภะอสุภะ จะหมุนไปทาง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา พิจารณาอารมณ์ต่างๆ รูปร่างกายทั้งของเขาของเรารู้เท่าทันไปหมดแล้ว จิตจะหมดปัญหาในการพิจารณาสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับว่าอิ่มตัว เหมือนเรารับประทานอิ่มแล้ว พิจารณาร่างกายนี้รู้หมดทุกสัดทุกส่วนจนปล่อยวางไว้ตามความจริงของมันหมด ไม่มีอะไรที่จะมายึดมาถือในร่างกายนี้แล้ว เรียกว่ารูปขันธ์ได้ปล่อยวางไว้แล้ว ทีนี้เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เป็นนามขันธ์ ปัญญาประเภทหนึ่งจะตามกันไปในนี้ นี่เรียกปัญญาละเอียด นี่ก็ต้องใช้ภาวนามยปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นภาวนามยปัญญาขั้นละเอียดลงไปโดยลำดับลำดา

    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้เกิดขึ้นภายในกายในจิต เพราะจิตยังไม่บริสุทธิ์ย่อมมีเวทนาเป็นธรรมดาเป็นส่วนละเอียด เป็นสุขเวทนาก็มี ทุกขเวทนาก็จะต้องเป็นคู่เคียงกันไป พินิจพิจารณาสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเกิดเรื่องดับ เป็นเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นหินลับปัญญาในขั้นนี้เป็นลำดับลำดา และหมุนตัวเข้าไป ๆ ด้วยอัตโนมัติของปัญญา เรียกว่าภาวนามยปัญญา เป็นไปเองไม่ต้องบังคับ ถึงปัญญาขั้นนี้แล้วไม่ต้องบังคับ เป็นอัตโนมัติหมุนไปในหลักธรรมชาติ จนกระทั่งว่ากิเลสมุดมอดไปเมื่อไรโน้นแล ปัญญาประเภทนี้จึงจะหยุดอยู่ได้ ถ้ากิเลสยังมีเชื้อสืบต่ออยู่ ตปธรรมคือปัญญาประเภทนี้จะต้องหมุนตัวไปเรื่อยๆ เผาไหม้ไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปเผาไหม้เข้าไป

    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้อะไรเป็นฐานของมัน ก็มีแต่จิตเป็นฐานของมัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น คนตายไม่มีเวทนา แต่นี้คนเป็นมีเวทนา เวทนาต้องออกมาจากจิต สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดแล้วดับๆ จำได้ไม่ว่าดีว่าชั่ว ปรุงเรื่องอะไรเกิดแล้วดับๆ สติปัญญาตามต้อนกันจนทันเข้าไปโดยลำดับลำดา ปล่อยวางเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปล่อยวางหมด ขันธ์ ๕ ปล่อยวางหมด รูปก็ปล่อยแล้วตั้งแต่ขั้นราคะตัณหา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ปล่อยแล้วในขั้นกลาง นี่ปัญญา ขั้นละเอียดแล้วนะสำหรับปัญญา เข้าเป็นขั้นละเอียดแล้ว แต่เราพูดเป็นขั้นก็ว่าขั้นกลาง ขั้นสุดท้ายคืออะไร คืออวิชชา นี่เป็นขั้นสุดท้าย

    เมื่อ ตีต้อนสิ่งเหล่านี้เข้าไปด้วยปัญญาเป็นลำดับลำดา ไม่มีที่ไป บรรดากิเลสทั้งหลายถูกตีต้อนเข้ามาตั้งแต่รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มันไปติดไปข้องรูปใดเสียงใดภายนอก ร่างกายของเรานี่ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปสัมผัสสัมพันธ์อะไรก็รู้เท่าหมด เวลาได้รู้เท่าร่างกายก็รู้เท่ารูปภายนอกในเวลาเดียวกัน ปล่อยวางได้ในเวลาเดียวกัน แล้วก็มาติดส่วนละเอียดอยู่ภายใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปัญญาพิจารณาเข้าไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งรู้เท่าทันแล้วเข้าถึงจิต จิตเป็นยังไงจิต จิตอวิชชา อวิชชาไม่มีที่อยู่เข้าถึงจิต ไปหลบซ่อนอยู่ในจิต การพิจารณาจึงไม่มีไว้มีเว้น

    เอ้า อะไรจะพังก็ให้พัง จิตเมื่ออวิชชาเข้าไปหลบซ่อนอยู่นั้นก็เหมือนอุโมงค์ที่เป็นที่หลบซ่อนของ โจร ถ้าเราจะยังเสียดายอุโมงค์อยู่ เราไม่ทำลายอุโมงค์นั้นโจรก็จะอยู่ในอุโมงค์นั้น แล้วทำลายเราจนได้ เพราะฉะนั้นอุโมงค์ก็อุโมงค์ ถ้าโจรยังมีอยู่มากน้อย จะต้องทำลายอุโมงค์นี้ให้แตกกระจัดกระจายไปได้ฉันใด สติปัญญาขั้นแกล้วกล้าสามารถก็พังทะลายเข้าไปในจุดที่อวิชชาเข้าซ่อนตัวอยู่ ในจิตนั้น เอ้า จิตจะพังก็ให้พัง เวลาถึงจุดสุดท้ายแล้วจะเป็นพระอรหันต์หัวตอก็ให้รู้ พิจารณาลงไปจนกระทั่งถึงพระอรหันต์หัวตอ ไม่รู้อะไรเลยเพราะถูกทำลายไปด้วยอวิชชาแล้ว ก็ให้มันรู้ ถ้ายังสงวนไว้ก็เท่ากับสงวนอวิชชา ไม่มีทางสงวน เปิดโล่งเข้าไปเลย ฟันเข้าไปแหลกจนกระทั่งแตกกระจายไปหมด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา กลายเป็น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ จนกระทั่ง นิโรโธ โหติ นี่ลงจุดนี้

    นี่ละพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ที่อริยสัจ ๔ นี้ นี่ ละอริยสัจ ๔ จะเป็นอะไรไป เราไม่เห็นเหรออริยสัจ ๔ มีอยู่กับทุกคน ๆ ศาสนาเสื่อมไปไหน ทุกข์ ทุกข์ที่กายที่ใจของเรานี่ก็คือทุกขสัจ สมุทัย ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี่ก็คือสมุทัย มันเกิดที่ไหน เกิดที่หัวใจของเรา ท่านบอกให้กำหนดรู้ให้ละ ละด้วยอะไรถ้าไม่ละด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ นี่ละอริยสัจทำงานเกี่ยวโยงกันในขณะเดียวกัน ไม่ใช่อริยสัจจะไปทำงาน ทุกข์ทำงานแล้วสมุทัยถึงจะไป นิโรธถึงจะเดิน มรรคถึงจะเดิน นั้นเป็นเรื่องปริยัติเราเรียนมา

    ถ้า จะเขียนลงในตัวเดียวกันมันก็อ่านไม่ออก ย้ำลงในที่นั่นมันก็อ่านไม่ออก เพราะฉะนั้นท่านถึงเรียงเอาไว้ว่า ทุกข์ เขียนทุกข์แล้วก็เขียนสมุทัย อ่านทุกข์แล้วก็อ่านสมุทัย แล้วก็อ่านมรรค หรืออ่านนิโรธแล้วก็อ่านมรรค แต่เวลามาปฏิบัติกันจะเกี่ยวโยงกันไปหมดเลยภาคปฏิบัติ เรื่องทุกข์ถึงกำหนดรู้นั่น สติเป็นเครื่องกระตุกตัวเอง ทุกข์เคยมีอยู่แล้ว ทุกข์ด้วยความเผอเรอของเราสามัญชนธรรมดาไปอย่างนั้นมีมาก แต่ทุกข์ที่จะกระเทือนสำหรับผู้ปฏิบัติก็ต้องมีสติ ท่านว่ายังไง ทุกฺขํ ว่า ไง ทุกข์พึงกำหนดรู้ รู้ด้วยอะไรถ้าไม่ใช่รู้ด้วยสติ สติมีแล้วทุกข์นี้เกิดขึ้นมาจากอะไรนั้นคือปัญญาก้าวไปแล้วนั่น ในขณะเดียวกันทำงานด้วยกัน พอพิจารณาเหตุผลตรงนี้ชัดเจนไปโดยลำดับ

    ดัง ที่กล่าวมาสักครู่นี้ในการพิจารณาทางด้านปัญญามันก็เป็นอย่างนั้น เกี่ยวโยงกันไปโดยลำดับ จนกระทั่งพังอวิชชาให้หมดไม่มีอะไรเหลือแล้วถามหาพระพุทธเจ้าทำไม พระพุทธเจ้าบอกว่ายังไง สวากขาตธรรมตรัสไว้ว่ายังไง ตรัสไว้ว่าให้ไปดูตถาคตที่เมืองอินเดียนะ อย่างนั้นเหรอ ให้ดูที่อริยสัจ อริยสัจทั้ง ๔ นี้เป็นที่กลั่นกรองเป็นที่เกิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกๆ พระองค์ไม่มีเว้น พระสาวกอรหัตอรหันต์ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไม่มีเว้น จะหนีจากอริยสัจ ๔ นี้ไม่ได้เลย นี้เป็นโรงงานผลิตพระอรหันต์ ผลิตผู้สิ้นกิเลส ขึ้นที่ตรงนี้ด้วยกันทุกคน นี่เรียกว่าปัญญาขั้นสุดท้าย ภาวนามยปัญญาจนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา หาความเผลอไม่ได้ ไม่ได้บังคับ

    ลง สติเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วเป็นอัตโนมัติไปในหลักธรรมชาติของตน ไม่มีคำว่าเผลอ เผลอไปไหน ถ้าเผลออยู่จะเรียกว่ามหาสติมหาปัญญาได้ยังไง เมื่อเข้าถึงตัวแล้วก็รู้เองคนเรา เอ้า ขึ้นเวที มวยของเราขนาดไหน เพลงมวยของเราเป็นยังไง ทางมวยของเราเป็นยังไงของเขาเป็นยังไง ระหว่างเรากับเขาได้เปรียบ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันก็รู้เอง เมื่อขึ้นเวทีแล้วพูดได้ คนเรารู้แล้วพูดไม่ได้มีเหรอ

    พระ พุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมาพระองค์เดียวเท่านั้น ทำไมสอนโลกได้ตั้งสามแดนโลกธาตุ ท่านเอาความรู้มาจากไหน เอาความรู้มาจากหลักธรรมชาตินั้นแล เพราะหลักธรรมชาติมีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ เมื่อทรงพิจารณาก็รู้เท่าไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นรกอเวจี สวรรค์ชั้นพรหม จนกระทั่งถึงนิพพาน สัตว์โลกมีมากมีน้อยเท่าไรพระองค์ทรงรู้ทรงเห็นไปหมด นี้คือหลักธรรมชาติมีอยู่ แล้วความรู้ในหลักธรรมชาติของตัวก็แทรกไปหมดรู้ทุกแห่งทุกหน แล้วทำไมจะมาสอนโลกไม่ได้ พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นสอนโลกได้สามแดนโลกธาตุ เป็นยังไง
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5689423" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 10-02-2012, 10:49 AM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3974 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5689423" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> นี่ ความรู้อันแท้จริง นี่ปฏิเวธะของพระพุทธเจ้า แล้วก็สอนให้พวกเราว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติศึกษาเล่าเรียนแล้วให้พากันตั้งใจปฏิบัติถ้าอยากทรงมรรคทรงผล ทรงความสุขความเจริญสงบเย็นใจจากพระพุทธศาสนา ให้พากันดำเนิน จะเป็นปฏิเวธะในอันดับต่อไป ปฏิเวธะก็เรื่อยๆ ขึ้นไปจนกระทั่งถึงปฏิเวธะรู้แจ้งแทงทะลุ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ที่เคยก่อภพก่อชาติมากี่กัปกี่กัลป์ ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยยอดแห่งมรรคคืออะไร คือมหาสติมหาปัญญา สติปัญญาอัตโนมัติ นี้แลคือยอดแห่งมรรค ทำลายยอดแห่งสมุทัยได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ให้กลายเป็น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ จนกระทั่งถึง นิโรโธ โหติ

    นี่ ละอริยสัจ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สาวกทั้งหลายทุกพระองค์ไม่ผ่านนี้เสียก่อนจะปฏิญาณตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ ได้ไม่ว่าท่านว่าใคร ไม่ว่าเราทุกวันนี้ก็เอาเถอะ อริยสัจมีอยู่สมบูรณ์กับเราทุก ๆ คน ให้ดำเนินตามนี้จะสมชื่อสมนามว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว ยังไม่ชอบเฉพาะพวกเรานี้เท่านั้นเอง ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ชอบผลก็จะปรากฏไม่ว่าครั้งโน้นครั้งนี้จะเสมอกัน เพราะธรรมพระพุทธเจ้าเสมอต้นเสมอปลาย เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา เหมาะสมตลอดเวลา ใครทำชั่วได้ชั่ว ใครทำดีได้ดีตลอดเวลา ไม่มีที่จะเป็นอย่างอื่นไป

    วันนี้ ได้อธิบายธรรมะให้บรรดาพระลูกพระหลานพระพี่พระน้อง ที่มาจากที่ต่างๆ ได้ฟังกัน ด้วยเจตนาเป็นกันเองตามโอกาสที่ควรจะได้สนทนาได้สงเคราะห์สงหากันก็มา ตามธรรมดาแล้วไม่เทศน์ในที่ต่างๆ แล้วทุกวันนี้ เพราะเทศน์หลงหน้าหลงหลังเหมือนคนไม่เคยเทศน์ งานต่าง ๆ ที่เคยรับแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ไม่รับแล้ว หยุดหมด นี่ก็ตั้งหน้าตั้งตามาสงเคราะห์บรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลาย ให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัติประดับตน ให้เป็นความสง่างามภายในจิตใจ อะไรงามก็สู้ใจงามไม่ได้ อะไรเย็นก็สู้ใจเย็นไม่ได้ เพราะอะไรร้อนก็สู้ใจร้อนไม่ได้ เมื่อแก้กันได้แล้วอะไรเย็นก็สู้ใจเย็นไม่ได้ เย็นนี่เย็นเพราะธรรมของพระพุทธเจ้านั้นแล ขออย่าให้ห่างเหินจากอรรถจากธรรมแล้วจะมีความสงบร่มเย็น

    เรื่อง ของโลกมันเป็นอย่างนี้แหละอย่าพากันตื่น เรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องความทะเยอทะยาน มันเป็นฉากของกิเลสพาตีตลาดโลกทั้งหลายให้แหลก อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี จะเอาอย่างนั้น ๆ แล้วสุดท้ายก็ตายทิ้งเปล่า ๆ กระดูกก็เอาไปไม่ได้ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยทิ้งเกลื่อนอยู่โลกอันนี้ไม่มีใครเอาไปได้ แต่เวลายังมีชีวิตอยู่นี้ดีดดิ้นจนกระทั่งไม่รู้จักเป็นจักตาย นี่ก็เพราะอำนาจของสมุทัยกล่อมหัวใจสัตว์โลกนั้นแล ถ้ามีธรรมแล้วมันกล่อมไม่ได้นะ อะไรเป็นอะไรรู้หมด จึงเรียกว่าธรรม ธรรมเหนือโลกจึงเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก ทุกอย่างธรรมต้องเหนือ ไม่เหนือแก้กันไม่ได้ ต้องเหนือตลอดเวลา

    ในอวสานแห่งการแสดงธรรมวันนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2012
  6. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    <table id="post5644034" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"><table id="post5645071" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> เอามาฝาก18
    ขออนุญาติและขอขอบคุณคุณอริยะบุญนำมาเผยแผ่ต่อครับ แด่สหายธรรมครับ
    </td></tr></tbody></table>

    อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5644034" style="border-right: 1px solid #FFFFFF">

    ปฏิบัติให้เห็นตัวจิตจริงๆ เป็นอย่างไร

    โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    เทศน์อบรมพระสงฆ์ ณ วัดป่าบ้านตาด เนื่องในวันอธิษฐานเข้าพรรษา เมื่อเย็นวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

    [FONT=&quot] ทุกอย่างๆ มันลดลง ร่างกายนี่ลดลงทุกอย่างๆ มือสั่นแล้วนะเดี๋ยวนี้ มือเริ่มสั่นแล้ว ทุกปีไม่สั่น ปีนี้เริ่มสั่น จะจับอะไรสั่น มันเป็นของมันแล้ว ปีนี้เห็นชัด มือก็สั่น เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยนะ เปลี่ยนเพื่อลดลงๆ มีแต่จิตเท่านั้นละ จิตนี้เรียกว่าคงเส้นคงวา แต่สังขารร่างกายนี้เปลี่ยนไปๆ อายุเรามันก็ถึง ๙๖ แล้ว มันก็ควรแล้ว มันก้าวเข้าเขตนั้นแล้ว จะให้มันเป็นธรรมดาไม่ได้ การอยู่นอกพรรษาและในพรรษา ในพรรษานี้เป็นความเข้มงวดกวดขันให้ต่างกันกับนอกพรรษามันถึงถูกต้อง ตามที่ท่านพูดไว้แล้วว่าไม่เข้าพรรษานี้พระเพ่นพ่านๆ เหยียบคันไร่คันนาเขาจนเขาได้บ่น ต่อมาจึงให้เข้าพรรษาในพรรษาสามเดือนนี้ไม่ให้พระออกไปที่ไหน ให้ประกอบความพากเพียรอยู่ตามสถานที่ของตน เป็นอย่างนั้นนะ [/FONT]
    จึง ได้มีเข้าพรรษา แต่ก่อนไม่มีเข้าพรรษา ข้อตำหนิติเตียนของเขาพระพุทธเจ้าก็นำมาพิจารณา จึงว่าในพรรษาไม่ให้ออกไปไหน เวลานี้เป็นเวลาที่เข้าพรรษา เป็นเวลาที่เข้มงวดกวดขันในทางความพากความเพียร ไปไหนไม่ไปไหนกับอยู่ในพรรษานี้เป็นเวลาที่จะได้เข้มงวดกวดขันในทางความพาก เพียร ความพากเพียรเพื่อจะระงับดับความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมภายในจิตนี้เป็นสำคัญมาก จิตใจนี้ดีดดิ้นมากทีเดียว ไม่มีอะไรจะดีดจะดิ้นยิ่งกว่าใจ ใจนี้ดีดดิ้นมาก จึงต้องใช้ความเพียรคือสติครอบมันอยู่เสมอ ถ้าสติดีความเพียรก็ก้าวเดิน ถ้าสติขาดเป็นวรรคเป็นตอนไปนี้ความเพียรก็หยุดๆ ยั้งๆ ไม่ค่อยก้าวเดิน ถ้ามีสติระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาเป็นที่แน่ใจได้ว่าผู้นั้นตั้งตัวได้แน่นอน เราเคยดำเนินมาแล้ว



    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย อริยะบุญ : 30-01-2012 เมื่อ 07:00 PM
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5644048" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 30-01-2012, 02:18 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3915 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5644048" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> เรื่อง สติจึงยกให้เป็นอันดับหนึ่งในการประกอบความเพียร จะเป็นที่ธรรมดาก็ตาม เป็นเวลาที่เดินจงกรมนั่งสมาธิก็ตาม สตินี้เป็นสำคัญมากทีเดียว ถ้าขาดสติเมื่อไรก็ขาดความเพียร ถ้าสติติดแนบกันอยู่แล้วความเพียรก็ก้าวเดิน นี่สำคัญให้จำเอาไว้ทุกคน ตั้งสติไม่ใช่ตั้งธรรมดานะ ผู้ที่จะเร่งรัดให้ถึงมรรคถึงผลจริงๆ สติกับจิตนี้ไม่จากกันละ ขาดเมื่อไรก็เป็นว่าขาดความพากความเพียร ตั้งสติปั๊บตั้งแต่ตื่นนอนไม่ให้เผลอกันเลย อยู่อย่างนั้นละ เพราะไม่มีงานอื่นใดทำ มีแต่งานภาวนาเพื่อจะดูละครลิงซึ่งมันมีอยู่ในจิต เอาธรรมะตีเข้าไปๆ จิตก็สงบได้

    ถ้า สติตั้งได้ดีมีทางที่จะตั้งตัวได้พระเราหรือนักภาวนาทั้งหลาย สำหรับฆราวาสญาติโยมเขามีการมีงานหลายด้านหลายทาง สำหรับ พระเรามีแต่งานทำความเพียรเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา สติกับจิตติดแนบกันอยู่ตลอดเวลา นี่ตั้งได้ไม่สงสัย ถ้าขาดสติแล้วก็ขาดความเพียร จำคำนี้ไว้ให้ดี ขาดสติเมื่อไรความเพียรก็ขาดไป ถ้าสติตั้งตลอดความเพียรก็ก้าวเดินได้ๆ เริ่มตั้งแต่ความสงบ..จิตใจจะฟุ้งซ่านรำคาญไปไหนเอาสติจับติดๆ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ สตินี้ตามติดกับจิตไม่ให้เผลอไปไหน
    นั่น ละผู้จะตั้งตัวได้ ตั้งตัวก็คือเข้าสู่ความสงบ ไม่ค่อยฟุ้งซ่านรำคาญ ตั้งสติจับตลอดเวลาก็สงบไปเรื่อยๆ ต่อจากนั้นสติก็เป็นสมาธิ มีความสงบเย็นภายในตัวเอง แต่ไม่ลดละทางด้านสติ ให้จับติดๆ ตลอดเวลา แล้วจิตใจก็ค่อยสงบเข้าไปๆ ต่อไปจิตก็เป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของจิต นี่เป็นขั้นๆ นะการพิจารณา สติตั้งไว้แล้วตั้งได้ ตั้งจิตตั้งได้ สงบได้ พอสติขาดไปเมื่อไรก็ให้ทราบเสียว่าความเพียรขาดไปเมื่อนั้น ตั้งสติต้องตั้งให้จริงให้จังทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้เผลอ ความเพียรก็เป็นไปตลอดทั้งวันทั้งคืน จากนั้นจิตก็เข้าสู่ความสงบเย็น เย็นลงไปมากๆ สติก็ดีไปเรื่อยๆ
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5644054" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 30-01-2012, 02:19 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3916 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5644054" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> พอ จิตมีความสงบ พอที่จะคิดอ่านไตร่ตรองในอรรถในธรรมภาคปัญญาแล้วก็ให้พิจารณาแยกธาตุแยก ขันธ์ ท่านสอนไว้ตั้งแต่เริ่มต้นบวชว่าเกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง นี้เรียกว่ากรรมฐานห้า เริ่มต้นในการภาวนาเริ่มด้วยเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์ท่านบวชจึงสอนจุดนี้เป็นสำคัญมาก แล้วเอาอันนี้ไปภาวนาให้มีจิตสงบ ทีแรกเราก็เอาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา ย้อนหน้าย้อนหลังไปเสียก่อน ทีนี้จิตก็ค่อยชำนิชำนาญถอยหน้าถอยหลังได้

    จาก นั้นก็เน้นหนักลงไป กรรมฐานห้าจะเอาอะไรก็แล้วแต่ที่นี่ เราไม่สืบต่อไปให้ครบกรรมฐานทั้งห้า กรรมฐานใดที่ถูกต้องกับจริตนิสัยของเรา เราเอานั้นมาประจำเลยที่นี่ เช่นอย่างเกสาๆ จนชำนาญ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา เป็นภาคพื้นเรียนใหม่ ครั้นต่อมามีความชำนิชำนาญแล้วก็ขึ้นเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จิตสงบแล้วเราจะเอาอะไรเป็นคำบริกรรมกับความสงบนั้น เช่นว่าเกสาๆ อย่างนั้นก็ได้ จะเอาโลมาๆ อย่างนั้นก็ได้ ว่าไปตามลำดับก็ได้ ทีนี้เราชอบกรรมฐานบทใดก็เอาแต่บทนั้นย้ำลงบทเดียว เช่นเกสาๆ ก็เกสาไปเรื่อย ให้จิตชำนิชำนาญ นั่นท่านเรียกว่าภาวนา

    เมื่อ ชำนิชำนาญแล้วจิตสงบเข้าโดยลำดับเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จากนั้นแยกธาตุแยกขันธ์ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง เข้าไปโดยลำดับ พิจารณาทวนหน้าทวนหลังจนมีความชำนาญ ออกพิจารณาทางด้านปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์แยกออกเป็นสัดเป็นส่วน ตั้งแต่ หนังแต่เนื้อดึงออกไปเป็นกองหนัง กองเนื้อ กองเอ็น กองกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ตีกระจายออกไปแล้วตั้งขึ้นมาเป็นสัตว์บุคคลเหมือนเดิม แล้วพยายามพิจารณาอย่างนั้น แต่อย่าพิจารณาให้ครบกำหนดเฉยๆ นะ พิจารณาจนมีความคล่องแคล่ว พิจารณาหนึ่งสองสามไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ พิจารณาอะไรก็ให้จดจ่ออยู่กับกรรมฐานบทนั้นๆ ครั้นต่อมาจิตก็ค่อยกระจายออกไปในเรื่องปัญญา
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5644065" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 30-01-2012, 02:22 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3917 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5644065" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ปัญญา พิจารณาทางด้านปัญญาเกี่ยวกับเรื่องสกลกายนี้ มีการยักย้ายเปลี่ยนแปลงกันเรื่อยๆ นะ พิจารณาอย่างนี้แล้วแยกอย่างนั้น พิจารณาอย่างนั้นแยกอย่างนั้น เอาจนกระทั่งสุภะ-อสุภะนี้มันกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน แล้วทีนี้มันหมดสภาพของร่างกาย จิตพิจารณาร่างกายจนครบรอบหมดแล้วอิ่มตัวในการพิจารณาร่างกายแล้วไม่อยาก พิจารณา จิตเข้าสู่ความสงบเข้าไป จากนั้นก็ว่างเข้าไปๆ ร่างกายเหล่านี้ก็ค่อยปล่อยไปๆ แต่เอาร่างกายสลับซับซ้อนทบทวนอยู่เสมอนะ จนกระทั่งจิตมันชำนาญ ร่างกายของเรานี้มันก็ปล่อยของมันเอง ทีนี้ยังเหลือแต่ความว่างของจิต สติจับอยู่กับความว่าง ตั้งอันนี้ขึ้นเรื่อย ตั้งสกลกายที่เป็นหินลับปัญญาตั้งขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปตั้งขึ้นไปมันก็ดับ ตั้งขึ้นไปก็ดับ ต่อไปมันก็หยุดทางร่างกาย
    มัน อิ่มร่างกายแล้วหยุด พิจารณาแต่เรื่องความว่างกับความรู้อยู่ด้วยกัน แต่อาศัยอันนี้ละตั้งอยู่เสมอ ไม่ใช่ปล่อยทิ้งทีเดียว มันควรจะปล่อยทิ้งได้มันก็รู้เอง ถ้ายังไม่ควรปล่อยก็เอาอันนี้สลับเข้าไป ช้าหรือเร็วมันเกิดแล้วมันดับ ช้าหรือเร็วเกิดแล้วดับ อสุภะอสุภังตามไม่ทันเมื่อถึงขั้นมันเกิดดับๆ แล้วไม่พิจารณาอสุภะอสุภังละ มันอิ่มของมันเอง จากนั้นมีความว่างแล้วนิมิตของร่างกายเข้าไปแทรกซ้อนๆ อยู่เสมอ ต่อไปมันก็ชำนาญ จิตก็เข้าถึงขั้นว่าง นี่ละการพิจารณา มันอิ่มของมันแล้วมันปล่อยเอง ปล่อยแล้วเอาอะไร เมื่อไม่มีร่างกายแล้วเอาอะไร ขั้นว่าง ว่างสลับกับร่างกายต่อไปมันก็ว่างเข้าไปเรื่อยๆ จิตใจก็สง่าผ่าเผยละเอียดลออเข้าไป จนกระทั่งว่างไปหมดในโลกธาตุนี้ กลายเป็นความว่างเปล่าไปเหมือนร่างกายของเรา
    นี่ ละการพิจารณาภาวนา เมื่อมันอิ่มตรงไหนแล้วมันก็ปล่อย ถ้ายังไม่อิ่มก็ไม่ปล่อย ร่างกายนี้ถ้ามันอิ่มแล้วมันก็วิ่งเข้าไปอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่ ว่าอสุภะอสุภังเหล่านี้มันผ่านของมัน มันอิ่มแล้ว เข้าไปหาความเกิดความดับ ความเกิดความดับ พิจารณาอันนั้นต่อไปมันก็ว่าง ว่างก็ยังเอาสิ่งนี้มาสลับอยู่นั้นแล มันหากจะรู้ในตัวเอง เมื่อมีผู้แนะไว้แล้วอย่างนี้ต่อไปมันก็ว่างไปหมด จิตกับความว่างอยู่ด้วยกัน สติกับจิตกับความว่างอยู่ด้วยกันเรื่อยๆ ละเอียดลออเข้าไป มีแต่ยิบแย็บๆ แล้วก็ว่างๆ เข้าไป นั่นจะเข้าถึงจิตเดิม
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5645044" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 30-01-2012, 06:49 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3918 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5645044" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> [FONT=&quot]จิตเดิมแท้ที่ว่า [FONT=&quot]อวิชฺชาปจฺจยา[/FONT][FONT=&quot] มันจะเข้าสู่จุดนั้นละ เมื่อพิจารณาพอแล้ว อวิชฺชาปจฺจยา มันก็เบิกตัวมันออกไป ปัญญาอันนี้มันก็บีบกันเข้าไปจนขาดสะบั้นไปหมดเลย ต่อจากนั้นไม่ถามใครก็ได้ มันหากเข้าใจในตัวเอง พิจารณาอะไรถ้าจิตยังดูดดื่มอยู่กับอะไรให้พิจารณาอันนั้นให้มาก เมื่อมันอิ่มแล้วมันก็เคลื่อนย้ายไปจากการพิจารณา สภาพของกรรมฐานที่นำมากำกับใจมันก็เปลี่ยนของมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันว่างหมด จิตเมื่อถึงขั้นมันว่างว่าง เราจะพิจารณาร่างกายเมื่อไรเกิดพับดับพร้อม เราจะแยกธาตุแยกขันธ์อย่างนี้ไม่ทัน มีแต่เกิดดับ ดับพร้อมๆ พร้อมแล้วก็มาอยู่ความว่าง หากฝึกกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเกิดปั๊บนี้เราจะพิจารณาว่าเป็นอย่างไรๆ ไม่ทัน เกิดแล้วดับๆ ทีนี้จิตก็อาศัยอันนี้เป็นอารมณ์ เกิดดับๆ สติจ่อเข้าไปๆ จิตจะเคลื่อนย้ายเข้าไปสู่ความละเอียดเรื่อยๆ[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]นี่ การพิจารณาภาวนาเป็นขั้นเป็นตอนนะ ไม่ถามใครมันก็รู้เอง เมื่อถึงขั้นตอนของจิตที่กำลังพัวพันอยู่กับกรรมฐานใดมันก็พัวพัน เมื่อมันอิ่มตัวของมันแล้วมันก็ปล่อยออกมา ปล่อยออกมาแล้วก็มาอยู่ขั้นว่าง ความว่างกับความคิดปรุงมันก็เกิดด้วยกันแล้วก็ดับพร้อมกันๆ นี่เรียกว่าการพิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาจะเกิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีสติติดแนบอยู่แล้วมันจะเกิดของมัน จึงเรียกว่าปัญญาอัตโนมัติ ท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา มันเกิดแล้วดับๆ หากเป็นไปอย่างนั้น นี่การพิจารณา[/FONT]
    [FONT=&quot]เรื่อง ภาวนานี้เป็นของสำคัญมากทีเดียวกับเรื่องสติปัญญา แต่ความสงบนี้เอาให้ได้ บริกรรมคำใดจนกระทั่งจิตมันหยุด เพราะคำบริกรรมตีต้อนเข้ามาไม่ให้มันไปยึดไปปรุงกับสิ่งใด มันก็มีแต่ความสงบๆ จากความสงบแล้วก็กระจายออกธาตุขันธ์ต่างๆ มันเป็นอย่างไร แล้วละเอียดเข้าไปเรื่อย สุดท้ายก็มีแต่ความเกิดความดับของจิต คิดดีก็ดับ คิดชั่วก็ดับ จิตติดตามกันเข้าไปตลอดเวลา แต่นี้พูดก็ต้องพูดย่อๆ อย่างนั้น จะพูดพรรณนาไปนั้นมันลำบาก พูดให้ผู้ฟังทั้งหลายจับได้ ถ้าจับไม่ได้มันก็ไม่ได้เหตุได้ผลประการใดเลยละ ให้พากันภาวนา[FONT=&quot]สติ ปัญญาเป็นของสำคัญมาก เมื่อถึงขั้นสติปัญญาแล้วจิตจะหมุนตัวเป็นเกลียวไปเลย ท่านเรียกว่าปัญญาอัตโนมัติ เมื่อถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติแล้วมันจะหมุนตัวของมัน หยาบละเอียดมันจะสัมผัสสัมพันธ์กันไปจนกระทั่งมันอิ่มพอ ปล่อยไปๆ อย่างนั้น นี่ละการภาวนา ให้พากันตั้งอกตั้งใจ[/FONT][/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5645059" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 30-01-2012, 06:53 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3919 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5645059" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> [FONT=&quot]พูด จริงๆ แล้วผมหายสงสัยหมดแล้ว ที่นำมาสอนหมู่เพื่อนนี้ไม่ได้คุยไม่ได้โอ้ได้อวดอะไร มันหนักแน่นขนาดไหน ลำบากขนาดไหนก็ไม่ถอย ซัดกันไปมันก็มีช่องว่างๆ ให้ก้าวเดินได้ เล็ดลอดไปได้ นี่ละปัญญา ไม่จนตรอกคนมีปัญญา สติกับปัญญาติดแนบกันไป ต่อไปก็มีทางเดินได้ แล้วจิตมีความละเอียดลออเข้าไปๆ เกิดอะไรกับจิตเกิดรู้ทันๆ เกิดรู้ทันดับรู้ทัน นี่เวลามันทันกันแล้วทันอย่างนั้น ปรุงอะไรมันก็รู้ดับพร้อมเสีย มันไม่มีเงื่อนต่อ ถ้าหากว่าสติ ไม่ดีแล้วปรุงนั้นปรุงนี้ปรุงต่อไปเลย เลยกลายเป็นฟุ้งเฟ้อ ถ้าเอาให้อยู่อย่างที่ว่านี้แล้วไม่ฟุ้งเฟ้อ หดตัวเข้ามาๆ สุดท้ายก็มาอยู่ที่จิต ไม่อยู่ที่ไหนละ อยู่ที่จิต แย็บออกมาจิตรู้เสียดับเสีย พอแย็บออกมาจิตก็รู้เสียดับเสีย หมุนแคบเข้าไปก็ไปอยู่กับจิตแห่งเดียว คิดอะไรปั๊บทางจิตนี้รู้แล้ว สติรู้แล้ว เกิดพับดับพร้อมๆ ไม่มีเรื่องมีราวอะไรเป็นเงื่อนต่อ [/FONT]
    [FONT=&quot]นั่น ละท่านว่าภาวนา ถึงขั้นมันเร็วมันเร็วนะ สติปัญญาเร็วมากทีเดียว พออะไรแย็บออกมานี้มันทันหมด ไม่ทันฆ่ากิเลสไม่ได้ กิเลสมันเป็นตัว [FONT=&quot]อวิชฺชาปจฺจยา[/FONT][FONT=&quot] หนุนให้เป็นสังขารให้คิดให้ปรุง นั่นละ อวิชฺชาปจฺจยา[/FONT][FONT=&quot]สงฺขารา[/FONT][FONT=&quot]สงฺขารปจฺจยา[/FONT][FONT=&quot]วิญฺญาณํ [/FONT][FONT=&quot]มันสืบต่อกันไปเรื่อยๆ ถ้าเราจะพูดย่นย่อเวลาได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้วก็พูดง่ายนิดเดียว [/FONT][FONT=&quot]อวิชฺชาปจฺจยา[/FONT][FONT=&quot]สงฺขารา[/FONT][FONT=&quot] อวิชฺชาปจฺจยา[/FONT][FONT=&quot] วิญฺญาณํ[/FONT][FONT=&quot]อวิชฺชาปจฺจยา[/FONT][FONT=&quot] นามรูปํ เรื่อยไปเลย มันเกิดจากนี้ๆ ทีแรกมันก็ต่อกันไปเสียก่อน ครั้นต่อมาสั้นเข้ามาๆ เลยอะไรก็เกิดจากอวิชชาๆ ไปหมด เวลามันเร็วมันทันกันอย่างนี้ละ[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ขอให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติ[FONT=&quot] การภาวนามีความทุกข์ความยากความลำบากบ้างไม่ว่าท่านว่าใครก็ตาม คิดดูซิอย่างพระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก นั่นท่านเพียรหรือไม่เพียร เอาขนาดนั้น แล้วองค์หนึ่งหนักไปทางหนึ่ง องค์หนึ่งทางไปทางหนึ่ง หนักไม่ซ้ำรอยกัน นี่ก็คือความเพียร ฝ่าเท้าแตกก็คือความเพียร จักษุแตกก็คือความเพียร ไม่ถอยจนจักษุแตกอย่างพระจักขุบาล เป็นอย่างนั้นละ ทางไหนที่จะเป็นไปได้ในการถอดถอนกิเลสให้พากันหนักแน่น[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]วัด นี้ผมก็ไม่ให้มีงานมีการอะไร ให้มีแต่การภาวนาอย่างเดียว อยู่ที่ไหนให้ดูแต่จิตของเจ้าของมันเคลื่อนย้ายไปไหนปรุงแต่งเรื่องอะไร สติให้ติดตามตลอดมันก็ไม่ดื้อด้านเอานักหนา ถ้าลงสติดีแล้วคิดอะไรก็ดับๆ ไม่ได้เกิดเรื่องเกิดราวไปเหมือนแต่ก่อนที่ไม่มีสติ ให้พากันจดจำเอาอย่างนี้ การภาวนาเป็นของลำบาก แต่เวลาถึงขั้นที่ดูดดื่มแล้วมันไม่ได้คิดนะเวล่ำเวลา มันดูดดื่มทางอรรถทางธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ แล้วดูดดื่มไปเรื่อย เดินจงกรมสักเท่าไรจนจะก้าวขาไม่ออกมันถึงจะออกจากทางจงกรม คือมันเพลินในการพิจารณาธรรมะ ธรรมะนี้เป็นธรรมะอัตโนมัติ มันหากหมุนเงื่อนนี้ต่อเงื่อนนั้น เงื่อนนั้นต่อเงื่อนนั้น อยู่อย่างนั้นละเพื่อแก้กิเลส หมุนไปหมุนมาแก้ไปแก้มากิเลสมันจะมีอำนาจมาจากไหนมากยิ่งกว่าสติปัญญาไม่ ลดละ มันก็ค่อยหดตัวเข้ามาๆ ครั้นหดเข้ามาจริงๆ แล้วก็มาอยู่ที่ [FONT=&quot]อวิชฺชาปจฺจยา [/FONT][FONT=&quot]ตีไปข้างหลังอวิชชาแตกด้วยแล้วนั่นละท่านว่าบรรลุ หรือตรัสรู้ธรรม บรรลุธรรม ตรัสรู้ที่ตรงนั้นแหละ[/FONT][/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table>
    <table id="post5645071" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">
    </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อริยะบุญ
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Apr 2011
    ข้อความ: 433
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5645071" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> [FONT=&quot]ให้ พากันตั้งอกตั้งใจ ทำอะไรอย่าเหยาะๆ แหยะๆ มองดูนี้มันขวางตานะกับพระกับเณรที่อยู่ด้วยกัน พอมองพับมันรู้แล้ว นอกจากว่าไม่พูดเฉยๆ ใช้หูหนวกตาบอดเอา มันแสดงอันหนึ่งละขึ้นมา คือกิเลสออกหน้าๆ ธรรมะไม่ทราบว่าออกช่องไหน สุดท้ายก็มีแต่สั่งสมกิเลสในวงกรรมฐานในตัวของเราเองใช้ไม่ได้นะ ตั้งหน้าตั้งตาทำ อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ ทำอะไร มันดูไม่ได้ งานทางโลกก็ไม่เป็นท่า งานทางธรรมก็ไม่เป็นท่า ถ้ามีตั้งแต่ปล่อยให้จิตไปตามบุญตามกรรม ถ้าจะทำเป็นธรรมมันฝืนจิต ถ้าจะวิ่งไปตามกิเลสนี้คล่องตัวๆ ผู้นี้ถึงวันตายมันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรละ มันจะฝืนขนาดไหนซัดกันให้มันเต็มเหนี่ยวๆ ต่อไปมันก็มีทางเบิกกว้างออกไปได้ ให้พากันจำเอาทุกคน[/FONT]
    [FONT=&quot]เทศน์มากก็ไม่ไหวผมเหนื่อย ไม่เหมือนแต่ก่อนละ ให้พากันจำเอา ปฏิบัติให้มันเห็นตัวจิตจริงๆ เป็นอย่างไร ท่านว่าท่านบรรลุ บรรลุอย่างไร บรรลุที่หัวใจท่านหัวใจเรานี้ เมื่อมันบรรลุขึ้นแล้วจะไปถามใครอีก ท่านก็เหมือนกัน เราเหมือนกันกับท่านถามอะไร แม้แต่สาวกก็ไม่ถามพระพุทธเจ้า เมื่อมันถึงขั้นที่เป็นอันเดียวกันแล้วไม่ทูลถาม พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ดี สาวกองค์ใดก็ดีเมื่อรู้แล้วไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะมันสมบูรณ์แบบอยู่ที่ตัวของเราเอง มีเท่านั้นละ วันนี้จะไม่พูดอะไรมาก เหนื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องอะไรละ เหนื่อยๆ พากันจำเอา หยุดละ พอ พากันกราบได้ละ กราบแล้วไปเลย ตั้งใจปฏิบัติธรรมนะ เอาให้จริงให้จัง อย่าเหลาะๆ แหละๆ[/FONT]
    </td></tr></tbody></table>
     
  7. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    คุยกันเล่น1
    แด่สหายธรรมของเรา เพื่อนเอ๋ย เวลาของพวกเราดูท่าจะเหลือน้อยเต็มที เร่งๆมือกันหน่อย
    "เตรียมตัวอยู่และเตรียมตัวตายกันให้ดีๆ จงอย่าประมาทในชีวิตทุกลมหายใจ เพื่อนเอย"
    เตรียมตัวอยู่: ฟังข่าวคราวหาข้อมูลจากหลายๆแหล่ง,เสบียงอาหาร,ที่อยู่,ยานพาหนะ,ยา
    รักษาโรค,อุปกรณ์Rescueต่างๆ,อาวุธป้องกันตัวและครอบครัว ,อื่นๆที่จำ
    เป็น
    เตรียมตัวตาย:เพื่อนเอย เรามาคนเดี๋ยวเราก็จักไปคนเดี๋ยวเหมือนตอนที่เรามานั้นแหละ
    แต่เรารู้จัก ศีล สมาธิ และพอจักใช้ปัญญาได้อยู่ เรารู้จัก จิตคือจิต เรารู้จักใจ
    คือใจ เรารู้จักสติแล้ว เราเข้าใจธาตุ4 ขันธ์5 อยาตนะ6 แล้ว
    แต่ที่เรากำลังหาทางอยู่คือการทำลาย กิเลส ตัณหาและอุปาทานของเราเอง
    อยู่ในเวลานี้ ให้สิ้นซากสะที เราไม่อยากเกิดอีกแล้วเพื่อนเอย..เรากำลังค้นหาทางออกจากวัฏะนี้อยู่ มีใครออกไปใด้แล้ว
    ช่วยบอกวิธีทำลายกิเลส ตัณหาและอุปาทานให้เราหน่อยซิ เราไม่ปราถนาจะปฏิบัติแบบแผ่นเหล็กทับหญ้าแพรก หญ้ามันไม่ตายมันแค่สงบนิ่งอยู่ใต้แผ่นเหล็กแค่นั้น พอเรายกแผ่นเหล็กออก หญ้ามันก็โตขึ้นมาอีก เหนือยจังเลย..ชีวิต ปราถนาจะใด้ครูบาอาจารณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และปฏิบัติได้จริง ของจริง ช่วยสงเคราะห์หน่อย สาธุ ขอให้พบท่านเหล่านั้นทีเถอะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2012
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ท่านเอ๋ย .......
    ขอให้ท่านลองค้นหาอุบายอื่นๆดูบ้างที่มันจะสามารถปลดล๊อคให้แก่จิตเรา
    ถ้ามันเป็นแนวทางสมถะกรรมฐานอย่างเดียวล้วนๆ ก็จะหวังมรรคผล
    นิพพานไม่ได้ เป็นอย่างมากก็พร-หม แถมลดความกระฉับกระเฉงของ
    เราไปอีกตั้งเยอะ ดีไม่ดีพอกอัตตาเข้าด้วยอีก เพราะไปสัมผัสสาระพัดนิมิต
    แล้วไปยึดติดในความอัศจรรย์ของสภาพจิตนั้นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ของเขาดีจริงๆ คุณปูเนี่ย
     
  10. MAXARIT

    MAXARIT สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +4
    เดือนหน้า มีนาคม
    ใกล้ถึงวันมาฆบูชา แล้วหรือนี่
     
  11. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571


    ตัวท่าน นั่นแหละ สอนตัวท่านเอง

    ไม่ต้องไปหมองหาใครที่ไหนหรอก


    คนอื่นเขาก็พูด เขาก็คิด ในมิติในทาง ของเขา

    ก็ในเมื่อใครๆก็ จุดหมายเดี่ยวกัน

    แล้วท่านจะใจร้อน ดูแคลนตัวเองไปใยเล่า


    เขาคนนั้นที่ท่านตามหา ถ้าสะดุดขาตัวเอง จะพาท่านล้มขะเมนไปด้วย ก็จบเหตุ กันพอดี
     
  12. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    เล่าสู่กันฟัง12(ทีแรกเสียความรู้สึกกับตัวเองไปแหละ มัวขี้ตาดูวันผิดไปหน่อย เลยลบกระทู้นั้ทิ้งแต่กลับมาพิจารณาในเหตุและผลและจุดประสงค์ของเราแล้วเราแค่ต้องการเล่าไห้ฟังเฉยๆ)

    สวัสดีสหายธรรมของเราทุกท่าน วันนี้ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555
    ขอมาเล่าความฝันให้ฟังสักหน่อย เพื่อ เอาไว้เป็นหลักฐานของเรา เพื่อความไม่ประมาทและอาจจะมีประโยชน์แด่สหายธรรมของเรา นับจากที่คุณ ZZ ได้เคยเข้ามา PM ไว้เมื่อหลายวันก่อนโน้นว่า


    มีพระมาบอกในฝันของภรรยาคุณ ZZ ว่า วันที่ 14 มีนาคม 2555 จะมีภัยเกิดขึ้น

    บัด นี้ผมขอมา Confirm กับเหตุการณ์นั้นดังจะเล่าต่อไปนี้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคืนอากาศปลอดโปร่ง สบายใจเลยลุกมานั่งสมาธิตอนตีสองเหมือนเดิม แล้วก็นอนหลับไปเมื่อไหรไม่รู้ จนกระทั่งฝันไปว่า ขณะเรานอนหลับแถวมีนบุรี อยู่ ที่ในห้องนั้นแหละ แล้วเรานอนตะแคงและรู้สึกว่ามีแผ่นดินไหวเบาๆ ก็นึกในใจว่าเราฝันอยู่หรือตื่นอยู่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบเพราะมันเหมือนจริงมาก ก็เลยช่างมันจะหลับหรือตื่นมันก็เป็นใจดวงเดียวจิตดวงเดียวของเรานี่แหละ ก็เลยมองไปที่โต้ะหนังสือ มีแก้วน้ำอยู่หนึ่งใบ(ในฝันนะ) แก้วมันก็ขยับตามแรงสั่นสะเทือนจนร่วงตกลงพื้นกลิ่งไปอยู่ริมห้อง

    แล้ว ในฝันเราก็ลุกออกไปนอกห้องมองลงไปด้านล่างเห็นน้ำเอ่อ ตามทุ่งเพียบเลย ก็ยังสงสัยว่าน้ำมาจากใหน พอมองไปบนท้องฟ้า เห็นฝูงนกสีขาวมากมายบินจากทิศตะวันตกไปตะวันออก เลยตกใจรู้สึกตัว ก็เลยบอกกับตัวเองว่าเราฝันไป ช่างมันลืมมันเสีย ก็ทำใจสงบ แต่..พอมันสงบนี่ซิมันดันบอกมาว่า"เหตุการณ์นี้จะเกิด วันอาทิตย์ที่ 13 ต่อวันจันทร์"

    เราก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ก็ตีห้าพอดี ใหนลองดูซิว่า วันที่ 13 เดือนใหนมันตรงกับวันอาทิตย์บ้าง ก็ปรากฏว่ามีเป็น "วันอาทิตย์ที 13 มีนาคม 2555 "ก็เพียงแปลกใจอะไรจะแม่นขนาดนั้น ก็รอๆดูกันไปเหนาะ..(จริงๆ จะตรงอาทิตย์ 13 พ.ค55 ไม่ใช่13มี.ค55 ขออภัย)แต่ก็ฟังพอคำๆเน้อ..
     
  13. moopanda_kae

    moopanda_kae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2009
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,107
    ขอโมทนาสาธุกับคุณprachas กับทุกๆ ท่านที่เอาข้อมูลและประสบการณ์ดีๆ มาบอกกล่าวกันนะคะ ชอบมากเลยค่ะกระทู้พูดคุยแบบนี้เพราะมันไม่เครียดดี ^ ^

    ขอบ่นหน่อยนะคะเพราะงุงิมากเลย คือ ปกติเราจะเป็นคนนอนกลางวันและทำงานกลางคืนเพราะมีสมาธิในการเขียนหนังสือดี เวลาสวดมนต์ นั่งสมาธิก็จะอยู่ในช่วงตี 2-ตี5 เมื่อก่อนก็ปฏิบัติได้สบายดีไม่มีปัญหาอะไร แต่มีเมื่อสามถึงสี่วันก่อนมีสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถทำอย่างที่เคยทำได้ก็เลยหยุดพักไป(ก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตในการกดดันให้สวดมนต์พอสมควรแต่เราก็จะบอกเขาไป ความรู้สึกก็ผ่อนคลายลงแปลกมาก)

    พอหายดีเราก็มาเริ่มใหม่โดยเปลี่ยนเวลานอนเป็นเวลาตั้งแต่สี่ทุ่มไม่นอนตอนกลางวันแล้วก็เกิดเรื่อง คือ นั่งสมาธิตอนช่วงสายๆ หลังกินข้าวแล้วก็ปกติดีค่ะ แต่ที่ไม่ปกติคือ เราก็ย้ายเวลาสวดมนต์มาเป็นก่อนนอน (สวดมนต์กับนั่งสมาธิเราแยกกันคนละรอบค่ะ)
    แต่เมื่อคืนสวดช้าประมาณสี่ทุ่มจบห้าทุ่มกว่าเพราะออกไปข้างนอกมา บอกตรงๆ เมื่อคืนตอนสวดมนต์เสียจริตมากมีเสียงดังเหมือนเล่นถุงพลาสติกไม่เลิกมันเงียบนิก็ยิ่งฟังชัดอ่ะ แต่พยายามไม่สนใจ(หลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรนั่นแหละ) แต่จิตนึกในใจว่า พี่จุกช่วยไปจัดการเสียงที่ทำให้แม่เสียสมาธิสวดมนต์หน่อยสิลูก

    โอเค...เสียงหายแปบนึง แต่ก็ดังอีก บอกตรงๆ ว่าจะบ้าตาย ที่จะบ้าตายเพราะเสียงมันดังมาจากในห้องนอนน่ะสิแล้วฉันจะนอนยังไง T^T ในห้องนอนก็มีพระนะเป็นบรรดาพระเครื่องที่เก็บแยกไว้ที่โต๊ะทำงาน ทำไมเมื่อก่อนไม่มีเสียงเลยแต่เราก็กัดฟันจนสวดถึงบทมหาเมตตาใหญ่ กรณียเมตตสุตตังแล้วก็แผ่เมตตาจบนะคะ...
    โอ้ยหลอน หลอนเพราะเสียงมาจากในห้องนอน คือ ห้องพระกับห้องนอนเราเยื้องกันเราปิดไฟในห้องแต่เปิดไฟห้องพระน่ะค่ะ...แต่สวดจบก็ไม่มีเสียงแล้วและเราก็นอนหลับสนิทแต่ก็นะช่วงนี้ฝันอีกแล้วฝันติดๆ กันสามวันแล้วที่ฝันเห็นเลขก็ไม่กล้าบอกใครอีก ล่าสุดเมื่อเช้ามาทั้งหกตัวเลยแต่จดไม่ทัน...คิดว่าคงจะฟุ้งซ่านแล้วล่ะค่ะ ^ ^"

    กะว่าตั้งแต่วันนี้ฉันจะสวดมนต์ตั้งแต่หกโมงเย็นแล้วล่ะเพราะยังได้ยินเสียงคนในหมู่บ้านคึกคักอยู่...ฮาๆ เรามีความสามารถพิเศษที่ต่อให้เสียงดังขนาดไหนก็นั่งสมาธิหรือสวดมนต์ได้(ยกเว้นที่ไม่ใช่เสียงคนนะ)แต่เพื่อนบอกมันทำไม่ได้ เราว่าถ้าตั้งใจก็ทำได้แหละมั้งคะ ^ ^"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  14. hs9mcu

    hs9mcu สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    วันนี้ขอมาแนะนำวิธีปฏิบัติอีกวิธีที่ทุกท่านสามารถทำตามแล้วจะรับรู้ได้ทันทีที่ทำครับ
    ถ้ามี 2 คนก็ทำตามวีดีโอได้เลย คนเดียวก็รับรู้ได้เหมือนกันครับ แค่ทำตามที่พระอาจารย์ท่าน
    บอกครับผมจะไม่บอกว่าจะรับรู้ได้อย่างไรเพราะเดี๋ยวจะเป็นการชี้นำ ให้ท่านปฏิบัติกันเองนะครับ...[ame=http://www.youtube.com/watch?v=fzh9kTQwZpk&list=PL65B558589AFABFE8&feature=mh_lolz]5ขั้นตอนการฝึกจิต - YouTube[/ame]
     
  15. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    สวัสดีมิตรและสหายธรรมของเรา นานแล้วไม่ได้เข้ามา วันนี้มีเรื่องเล่าก็าฟ(deejai)
    เ่ล่าสู่กันฟัง13

    อาทิตย์ที่แล้วนั่งสมาธิอยู่ ตาในมันเห็นภาพ อาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิถล่ม
    กระจกแตกกระเด็นยังกะในหนัง ไม่รู้เกิดจากสาเหตุใด มันก็แค่เห็นไม่ได้หมายฟามว่ามันจะเกิดเนออ.เล่าเล่นๆ ถ้าเป็นจริงผมก็ตกงานแง็มๆ
     
  16. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    เล่าสู่กันฟัง14

    ไปบินเล่นมาสองวันติด คืนแรกจัดไปสองรอบ ยังกะโดนดึงวิญญาณออกจากร่างเลย
    มันค่อยๆเคลื่อนออกทางศรีษะ สักพักก็มีเสียงพระสวดมนต์ดังแว่วมา เอาละซิตู..งานนี้จัดหนักไปมั็ยย..เกิดออกไปครั้งนี้กลับเข้าร่างไม่ได้ละ ตำแหน่งงานว่างทันทีเลย อืมม..เอาไปก็ไปตายก็ตายดูซิว่าครั้งนี้จะพาไปดูอะไรอีก ก็ไป ไปยังกะจรวดความเร็วสูง สักพักก็มาถึงที่หมาย มองจากภาพบนท้องฟ้าเหมือนเดิมแล้วค่อยเอาเท้าลงแตะพื้นดิน ภาพที่ได้เห็นไกลๆ มันเป็นเหมือน พายุงวงช้างหลายสิบลูกแต่มันก็ไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า เพราะมองไปบนพื้นดินมันก็มีไฟไหม้เป็นหย่อมๆ ถ้าเป็นลม เปลวไฟด้านล่างมันต้องหมุนไปหมุนมาด้วยซิ ก็ช่างมัน แต่ที่ตรงนั้นยังเห็นเสา
    ไฟฟ้าแรงสูงอยู่ด้วยและมีปั้มน้ำมันอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าที่ใหน แล้วรอบแรกก็จบแค่นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  17. prachas

    prachas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +1,208
    จดหมายน้อยถึงคุณZZและภรรยาของคุณZZ
    สวัสดีและผมหวังว่าคุณจะได้อ่านความในใจของผมถึงคุณและภรรยา ว่า
    "วันนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือ ไม่เกิดด้วยเหตุแห่งปัจจัยในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงไป ผมก็ยังดีใจที่คุณและภรรยาได้ให้คำเตือน จากพระที่มาบอกในฝัน ผมขอไห้ท่านและครอบครัวจงมีแต่ความสุขและร่มเย็นในธรรมเทอญ สาธุ.." จากใจประชา
     
  18. Aloe SeRene

    Aloe SeRene Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +62
    ยังเป็นผู้ฝึกใหม่ ขอมาแอบอ่านก่อนแล้วกันนะคะ ^^
     
  19. joywarattaya

    joywarattaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +155
    ค่ะ ก็มีเรื่องเล่าบ้างนิดหน่อยนะคะ

    ก็ปฏิบัติทุกวันก่อนนอนเหมือนกันค่ะ จะเป็นนั่งสมาธินะคะ ก็นั่งไปเรื่อยๆจนจิตนิ่งสงบค่ะ นั่งไปนั่งมาทุกวันจะเห็นแต่ภาพเต้านมของผู้หญิงนะคะ เราเห็นภาพนั้นซ้ำๆกันเหมือนกันทุกวันตอนที่จิตเราเริ่มสงบ ในใจก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ พอผ่านมาสักระยะนึงตัวเราก็มีอาการเจ็บเต้านมค่ะ พอไปหาหมอตรวจดูก็พบก้อนเนื้อที่เต้านมของเรา ก็เป็นสิ่งนึงนะคะที่เราคิดว่ามันมหัศจรรย์มากค่ะ อันนี้ไม่มีเจตนาอันใดนะคะ มาเล่าสู่กันฟังเฉยๆค่ะ
     
  20. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    เมื่อเช้านี้มาลงเลขหวยไว้ค่ะ ^^ บน: 61 ล่าง: 05

    แต่ก็ลบออกไปแล้วเพราะไม่อยากให้มีคนซื้อตาม อิอิ ^^ (ไม่อยากใบ้หวย แค่จะฝึกญาณหยั่งรู้เฉยๆค่ะ)

    เมื่อกี๊ดูผลหวยแล้ว.. ดีใจมากๆ เราคลาดไป 2 ตัว

    ก็เลย.. เห็นผลของญาณใกล้เคียงแบบนี้ ก็เลยจะเอาข้อความเดิมมาลงด้วย

    ปี 2012

    เดือน 3 มีดิน
    เดือน 4 มีไฟ
    เดือน 6 มีน้ำ

    หลายๆท่านก็หมั่นไส้ อยากได้วันที่ "เป๊ะๆ" จริงๆแล้วมันไม่มีใครบอกแบบเป๊ะๆได้หรอก

    แต่อันนี้ เราก็จะลองมั่วๆดูนะคะ 17 และ 26 มีนาคม 2555 แผ่นดินจะสะเทือน 2 รอบใน 1 เดือน

    วันที่ 17 ก็พรุ่งนี้แล้ว.. อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ แต่เราก็พูดไปตามที่เราฝึกญาณหยั่งรู้ของตัวเองอ่ะค่ะ ^^ (มันยังไม่เป๊ะอ่ะ อิอิ ^^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...