ในที่นี้ มีใครคิดบำเพ็ญเนกขัมบารมีชั่วชีวิต (โสดตลอดชีพ) บ้างครับ?

อยากทราบความคิดเห็นต่อการเป็นโสดครับ
ถ้าเราจะบำเพ็ญเนกขัมบารมีตลอดชีพคิดว่า
อย่างไรครับ?

 

มุมมองและทัศนคติเกี่ยวกับความรักและเพศ ของคุณเป็นอย่างไร?


บางคนอาจคิดเป็นโสดตลอดชีพ เพราะมีทัศนคติเชิงลบต่อความรักและ
ด้านเพศ ก็มีนะครับ เช่น อกหักฝังใจ เป็นต้น แต่ในการบำเพ็ญเนกขัมบารมี
นี้ เราจะเริ่มต้นจากทัศนคติที่ถูกต้องกัน ขอย้อนกลับไปตอนที่เรายังอยู่บน
สวรรค์ครั้งที่ยัง "ไม่มีการแบ่งแยกเพศ" เทพสวรรค์ทั้งหลาย ต่างดำรงอยู่
ได้โดยไม่มีการเรียกร้องคู่ครอง, การยึดครอง, การครองคู่ หรือเรื่องกาม
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความรักนะครับ ความรักเกิดขึ้นโดยไม่เรียกร้องต้องการ
ไม่ต้องการยึดครอง เหมือนเราเห็นดอกไม้สวยงาม ก็เห็นว่างามอยู่ แต่ไม่
ได้ต้องการเด็ดมาเป็นของเรา เราชื่นชมกับบุญบารมีของเขาที่เขาเกิดมามี
รูปที่งดงาม และเราไม่คิดอยากได้ครอง, ยึดครอง, หรืออยากได้อย่างเขา
ก็ไม่มี เรายินดีด้วยมุทิตาจิตเฉยๆ และเราก็มีความสุขแล้ว เวลาเราเห็นคน
หรือสัตว์น่ารัก เราก็รักได้ครับเพียงแต่ไม่มีการคิดยึดครองว่าสิ่งนั้นต้องเป็น
ของเรา เรามีความบริสุทธิ์จริงใจ มองหน้าเขาได้อย่างสนิทใจ ไม่คิดอะไร
มากมาย ไม่ต้องระแวงระวังว่าเขาจะชอบเราตอบไหม? จะมีความรักตอบ
มาบ้างไหม? จะครองคู่อยู่กันได้หรือไม่? เราก็มีความสุขแล้ว เพียงเท่านั้น


ไม่มีทัศนคติเชิงลบหรือบวกกับเรื่องกามหรือความรักความใคร่ ทั้งยังเห็น
หญิง-ชาย เหมือนจิตที่บริสุทธิ์เช่นกัน เหมือนครั้งที่เรายังเด็ก ใสซื่อบริสุทธิ์
เราไม่คิดว่านี่หญิงนั่นชาย นั่นเรารู้สึกตรงข้ามด้วย มีความรู้สึกอยากอยู่ร่วม
ด้วย หรือต้องการเชิงกามก็หาไม่ (กามารมณ์มีได้ตามปกติ เพราะร่างกายก็
ปกติ มีฮอร์โมนเพศปกติ แต่ไม่คิดจะทำอะไรกับใคร เท่านั้นเอง) แล้วโลกนี้
ก็จะเปลี่ยนไป เราจะอยู่ได้โดยหลุดพ้นจากภาวะของเพศใดๆ มีแต่ความใสซื่อ
บริสุทธิ์ของจิตใจเราที่มีต่อคนทุกคนเหมือนๆ กัน ไม่แบ่งแยกหญิงหรือชายใดๆ

 

กามและความรัก ไม่ใช่สิ่งผิด แต่เราจะเลือกอยู่กับมันอย่างไร?


ความรักเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ถ้ามันไม่ถูกเจือปนด้วยอย่างอื่น มันงดงาม
ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ส่วนกามนั้นเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของ
สัตว์ที่ยังต้องอาศัยกามก่อเกิดและเป็นมูลเหตุให้มนุษย์ทุกคน รวมทั้ง
เราด้วยได้มีโอกาสเกิดมาบนโลกใบนี้ แต่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะมีกิจจะ
ต้องมีกามเสมอไป เมื่อใดที่จิตของเราตกต่ำลง เสื่อมต่ำลง เห็นคนมี
ความแตกต่างหยิน-หยางนั่นหญิง นี่ชาย นั่นเรารู้สึกเชิงความรักความ
ใคร่ด้วย เราก็จะมัวหมอง เพราะต้องกังวลว่าเราจะได้หรือไม่? เขาจะ
ชอบเราไหม? และอะไรอีกหลายประการ หลังครองคู่แล้ว ความทุกข์
ความกังวลก็ทับถมมาอีกมากมายไม่จบสิ้น ในขณะที่การดำรงอยู่แบบ
เนกขัมบารมี ไม่ทำให้เราต้องกังวลใจเช่นนั้น แม้เราจะอยู่ร่วมกันหลาย
คนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เช่น อาจจะอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับคนที่มาก
กว่าหนึ่งคน โดยไม่ได้อยู่ในฐานะสามีภรรยากัน มนุษย์ก็สามารถปรับ
ตัวให้อยู่ร่วมกันได้เหมือนกัน เหมือนครั้งเทพสวรรค์ที่มีภาวะเหนือเพศ
คือ "มหาบุรุษเพศ" ดำรงอยู่ร่วมกัน คือ ความหลุดพ้นแล้วจากทั้งเพศ
หญิงและเพศชาย นั่นเอง เมื่อนั้น ปัญหาและความทุกข์อีกมากมายก็ถูก
ยกหายไปหมดสิ้น (ในที่นี้ ไม่ได้ต้องการให้มนุษย์ทั้งโลก ดำรงอยู่แบบ
นี้นะครับ เพราะต้องสืบเผ่าพันธุ์กันต่อไป) เหมือนการดำรงอยู่ของพระ
สาวกในพระพุทธศาสนา, นักพรตเซียนเต๋า ฯลฯ ก็ล้วนเลือกที่จะดำรง
ชีวิตอยู่บนโลกแบบนี้ เพราะได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นการดำรงชีวิตที่ดีกว่า

 

การดำรงชีวิตอยู่บนโลกดั่ง "เทพเซียน" คุณก็สามารถเลือกเป็นได้!


ในการบำเพ็ญธรรมแบบเซียนและพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีบางอย่างที่
เหมือนกันเช่น การบำเพ็ญเนกขัมบารมีคือ อยู่อย่างคนโสด ไม่มีคู่ครองเพื่อ
ทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญธรรม, ทำกิจของตน หรือเพื่อตรงสู่นิพพานอย่างแท้
จริง ฯลฯ ซึ่งการดำรงชีพอยู่แบบนี้ มีผลดีต่อ "สุขภาพทั้งกายและใจ" มาก
สังเกตุดูคุณจะพบว่าผู้ชายหลังแต่งงานแล้ว ประมา 2-3 ปี ร่างกายของเขา
ก็จะเปลี่ยนแปลงไปมาก, ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว และแก่ลงอย่างรวดเร็ว
เพราะการเผาผลาญพลังงานไปกับการสร้างครอบครัว ก็ดี, กาม ก็ดี เหล่านี้
ล้วนส่งผลให้ร่างกายและจิตใจอ่อนล้า กำลังลดถอยลงเรื่อยๆ ในขณะที่คน
โสดยังคงมีความสดชื่นมีชีวิตชีวามากกว่า นักพรตและเซียนเต๋าต่างก็เลือก
ที่จะเป็นโสด เพราะเหตุนี้ ไม่ใช่เพราะมีทัศนคติเชิงลบกับการมีกามหรือการ
ครองคู่ แต่เพราะ "เห็นแจ้งชัดแล้วจึงเลือกทางที่ดีกว่า" นั่นเอง การดำรงตน
อยู่บนโลกอย่างคนมีครอบครัว ก็อย่างหนึ่ง, การดำรงตนอยู่อย่างนักพรต ผู้
ทรงศีลก็อย่างหนึ่งในอดีตก็มีคนมากมายเลือกทางแตกต่างกันไป แต่ปัจจุบัน
ถ้าใครเป็นโสด ก็จะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีใครชอบ, ไม่มีใครรัก, ไม่มีใครจะ
ต้องการครอบครอง (ทั้งๆ ที่อาจไม่จริงเลย) ในทางตรงกันข้าม คนโสด ก็ยัง
มีความรัก, มีความรู้สึกทางกามได้ตามปกติ เพียงแต่มีวิธีที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านี้
ต่างไปจากคนที่ไม่โสดนั้น คุณลองนึกย้อนกลับไปตอนที่คุณยังเด็กใสซื่อและ
บริสุทธิ์ดูสิ โลกช่างสดใส คุณมีความสุขอย่างใสๆ ซื่อๆ มากกว่าตอนที่คุณเริ่ม
รู้สึกถึงความแตกต่างทางเพศ เริ่มแยกความเป็นเพศหญิง เพศชาย และเริ่มเกิด
ความรู้สึกระหว่างเพศขึ้น ความสุขที่ใสซื่อ-บริสุทธิ์นั้น มันค่อยๆ ลดหดหายไป
หลังจากคุณเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ใช่หรือไม่? (ทั้งนี้ไม่ได้ต้องการให้เห็นค่าของ
ความเป็นเด็กว่าดีกว่าผู้ใหญ่นะครับ เพราะความเป็นผู้ใหญ่ก็มีได้ในคนที่ใสซื่อที่
มีความบริสุทธิ์ของจิตใจเหมือนเด็ก แต่เขาก็ยังมีความเป็นผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน)

 

เคยไหมครับที่อยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่งดงาม
แล้วคุณไม่คิดครอบครองหรือเด็ดมันมาเป็นของคุณ


อยู่ท่ามกลางชายและหญิงที่งดงาม คุณรักและชื่นชม
แต่ไม่เคยคิดที่จะครอบครองเอาใครมาเป็นของๆ คุณ


แล้วคุณก็มีความสุข ไม่ต่างจากการอยู่ท่ามกลางดงดอกไม้งาม

 

แบบนี้ดีไหม? เขาไม่ใช่คนที่สวยงามที่สุดนะครับ แต่มีเสน่ห์และต่าง
จากผู้หญิงทั่วไป มีสายตาที่ทรงพลังสะกดใจชาย เหมือนนางพญาที่
มีพลังอำนาจเหนือผู้หญิงและผู้ชายทั่วไป เหมือนนางพญาหงส์นะครับ


พิจารณารูปนาม ไปเลยครับ เห็นชัดตรงว่างดงามแต่ไม่คิดครอบครอง

 

เหอยุนตง คุณชอบเขาไหม? ผมชอบนะ เขาตาหวานมาก, มีริมฝีปากที่เซ็กซี่แม้
ว่าจะหนา ไม่บางเข้ารูป ไม่เพอร์เฟคเหมือนดาราเกาหลีที่นิยมไปทำศัลยกรรมกัน
แต่ความเป็นธรรมชาติ เป็นแบบที่ไม่ต้องเพอร์เฟคนี่แหละที่ทำให้เขามีเสน่ห์ แล้ว
ยังมี "ไฝเสน่ห์" ด้วยนะ ข้างแก้วของเขา ซึ่งสามารถที่จะใช้เลเซอร์จี้ออกก็ได้หรือ
เอาแป้งทาทับก็ได้ แต่สังเกตุไหม เขาไม่ได้ปกปิดมันเลย เหมือนมาริรีน มอนโร ก็
มีไฝเสน่ห์แบบนี้ ผมคิดว่าน้องๆ วัยรุ่นหลายคนคงชอบเขาละ ชอบแต่ไม่ได้คิดจะ
ครอบครองหรือไขว่คว้า เรามีพลังรักได้ ชอบได้ แล้วใช้มันในทางที่สร้างสรรค์ครับ

 

หยางไฉ่หนี ละ เขาเป็นผู้หญิงที่ดูแตกต่างจากผู้หญิงทั่ว
ไป สังเกตุดูนะครับ คิ้วเข้มเชียว เวลาแสดงหนังปลอมตัว
เป็นผู้ชาย ก็เหมือนนะครับ น่ารักดี ดูทะลึ่ง ทะเล้นดี เหมือน
น้องชายที่น่ารักเล่นกับพี่ชายตัวเอง ตอนเด็กๆ เลย คู่นี้เล่น
เรื่องม่านประเพณีได้สมบทบาททีสุดเลยครับ เป็นเวอร์ชั่นที่
คลาสสิคมาก เลือกคนแสดงได้เหมาะสมกับตัวละครที่สุดเลย

 

ผมคนหนึ่งล่ะครับ ผมไม่ได้เกลียดผู้หญิง ผมไม่ได้รักผู้หญิง แม่ผมมองว่า ลำพังขันธ์ 5 ของเราก็เป็นทุกข์พออยู่แล้วทำไมต้องมาแบกมาหามขันธ์ 5 ของคนอื่นอีก เบื่อพอแล้วครับ ตอนนี้มีความสุขกับการได้ฝึกสมาธิและวิปัสสนาญาณ อยากให้หลุดพ้นเสียที มองโลกเหมือนถังขยะมากตอนนี้ ไม่รู้ใครรู้สึกเหมือนผมบ้าง มาแชร์กัน

 

พิจารณารูป ตรงไปตรงมา เห็นคนงามก็ว่างาม
ไม่ใช่เห็นเป็นโครงกระดูก (นั่น สัญญาวิปลาส)
เห็นดอกไม้งาม ก็ยังงามอยู่ แต่กลับไม่ลุ่มหลง
ความสุขท่ามกลางมวลหมู่ไม้ยังมี แต่ไม่คิดที่
จะครอบครอง ความรัก, ความใคร่มีได้ แต่ไม่
มีอิทธิพลเหนือเรา เป็นแค่ธรรมชาติหนึ่งเท่านั้น


... รูป พิจารณารูป เห็นทางทีวีทุกๆ วัน ...

 

โลกนี้ก็ยังงามอยู่ แต่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่เที่ยง เป็นธรรมดา
ผมมี "ชามะระ" กระปุกหนึ่ง เมื่อก่อนเอาขึ้นไหว้ไฉชิ่งเอี้ย
พอลองชิมดู ปรากฏว่า มันรสชาติประหลาดมาก ขมตื้นๆ
และหวานซ่อนลึกอยู่ข้างใน?


ช่วงเช้ายังมีพระอาทิตย์ที่สวยงาม และหมอกอ่อนๆ อยู่นะครับ

 

งามที่ว่างามแบบโลก ติดอยู่ในโลก

 

ขณะนี้ เรายังอยู่บนโลกกันนะครับ
แต่ "พร้อมเสมอกับการเปลี่ยนแปลง"
หรือยัง? ก็เท่านั้นเองครับ ...


hello8

 

คุณมีแฟนไหมครับ?
รักใครบ้างหรือเปล่า?
คบใครในฐานะแฟน
อยู่บ้างไหม?


ส่วนผมก็มีไฟรักที่จุด
ติดได้ง่าย บ่อยมาก
เลย แต่ผมไม่ได้ใช้
ไฟรักนั้นไปเพื่อการ
ครอบครองนะครับ


ใช้เขียนบทความมากกว่า

 

กิเลสก็คือ "ธรรมชาติ" อย่างหนึ่ง
ผู้มีปัญญาย่อมอยู่เหนือมัน และใช้
มันเป็น ดุจ นายใช้บ่าวนั้น


ไม่ว่าธรรมชาติใดก็ไม่จำเป็นต้องตัด
ขาวหรือดำ, มืดหรือสว่าง ก็ไม่ต้องดับ


อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด อะไรจะดับ มันก็ต้องดับ
ไม่ถึงวาระ ก็ไม่เกิด-ไม่ดับ, ถึงวาระ ก็เกิด-ดับเอง


วาระไม่เกิด-ไม่ดับ ถึงพร้อมเมื่อใด ก็พ้นเกิด-ดับเอง

 

ไม่ได้ตั้งใจโสดนะครับ.... แต่มันไม่แอทแทรกทีฟต่อเพศตรงข้าม งือๆ

 

คงหมดวิบากกรรมด้านความรัก ทั้งส่วนดีและชั่วแล้วขณะนี้มังครับ?
(ขณะหน้าก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ อาจจะมีก็ได้)


วิบากกรรมชั่ว มักทำให้ตามืดบอด ลุ่มหลงในรัก
วิบากกรรมดี มักทำให้ได้มาโดยไม่คาดคิดมาก่อน


(ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเพราะสังขารไม่น่าดึงดูดนะครับ)

 

โสดจ้า แต่ไม่สด โอเคมะคับ

 

แล้วคุณชอบใครบ้างไหมละครับ?
เช่น ชอบดารา, หรือคนที่ดูถูกใจ
ยังมีความรู้สึกตามปกติอยู่ไหม?

 

แล้วคิดจะมีครอบครัวไหมครับ?
ถ้ามีแฟน คิดจะแต่งงานกันไหม?
(ผมถามเผื่อในอนาคตนะครับ)