๑๗ อภิญญาสมาบัติ ทิพย์แห่งจิต หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย 789987, 3 มิถุนายน 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า
    ช่วงที่ ๔


    ภูตพระพุทธเจ้า จึงมีความหมายถึง พลังงานหรือความดีของพระที่ยังคงอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน มีผู้ไปเรียนถามหลวงปู่บุดดา ถาวโร ว่า การที่มีผู้ได้มโนมยิทธิ ในสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือแม้แต่ในสายของหลวงปู่ดู่ก็ดี จะสามารถไปนมัสการพระจุฬามณี และไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริงหรือไม่ ในเรื่องนี้หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า "สิ่งเหล่านี้เป็นพุทธนิมิตของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีศาสนาสิ่งเหล่านี้ก็สิ้นไป แม้แต่ในศาสนาพราหมณ์ ก็ยังมีการปฏิบัติจิต สามารถที่จะพบกับพระพรหม หรือเทวดาในศาสนาของตัวเองได้ หรือแม้แต่ในศาสนาอื่น ก็ยังมีการปฏิบัติทางจิต เช่น ศาสนาคริสต์ แล้วทำไมพุทธศาสนาซึ่งว่าด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติก็น่าที่จะไปพบพระพุทธเจ้าได้" การที่ไปพบพระพุทธเจ้าได้นั้น ก็แสดงว่าพลังงานและพลังจิตไม่ได้สูญหายไปไหน ยังคงมีอยู่ ท่านอธิษฐานไว้ถึง ๕,๐๐๐ ปี แม้ในปัจจุบันจากหนังสือ ที่พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เขียนถึงเรื่องพระอาจารย์มั่น ว่า แม้แต่พระอาจารย์มั่นก็ยังพบกับพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนเชิงวิจารณ์ในเรื่องนี้ โดยอ้างตามบาลีว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เมื่อนิพพานแล้วย่อมมีสภาพสูญ แต่สูญในที่นี้หมายถึง สูญจากกิเลส ตัณหา อุปทาน ดังนั้น การที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พบนั้นก็คือ พุทธนิมิตที่พระพุทธองค์ หรือสังฆนิมิต ที่พระอรหันต์มาแสดงให้เห็น แม้แต่เมื่อพระอาจารย์มั่นนิพพานไปแล้ว ลูกศิษย์ของท่านอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่ขาวก็ดี หลวงปู่แหวนก็ดี เมื่อปฏิบัติถึงจุดหนึ่งแล้ว พระอาจารย์มั่น ก็จะมาโปรดในนิมิต ซึ่งแสดงว่าพระอาจารย์มั่นมิได้สูญหายหรือสูญเปล่าไป
     
  2. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า
    ช่วงที่ ๕

    การเสด็จโปรดสัตว์โลก ซึ่งเป็นพุทธกิจของพระพุทธเจ้า ปกติท่านจะเสด็จด้วยพระองค์เอง แต่บางโอกาสก็จะเสด็จโดยพุทธนิมิตในภาวนาก็ได้ ตามพระธรรมทัฏฐกถา กล่าวไว้หลานต่อหลายครั้งว่า พระสาวกของพระองค์กำลังพิจารณาธรรมอยู่ เกิดขัดข้องในการพิจารณาธรรม อันเป็นช่วงสำคัญด้วยประการใดก็ตาม พระพุทธเจ้าระหว่างประทับอยู่ในพระคันธกุฏิ จะทรงเปล่งพระโอภาสแสดงพุทธนิมิตปรากฎพระองค์อยู่ต่อหน้าพระสาวกองค์นั้นๆ ด้วยพระเมตตาธรรม ทรงตรัสแนะ ทรงเฉลยธรรม และเมื่อพระสาวกองค์นั้นพิจารณาตามไป ก็สามารถบรรลุมรรคผล อรหัตผลได้โดยไม่ยาก

    พุทธนิมิตจึงมิได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพาะสมัยนี้ หากแต่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ผู้รู้ท่านกล่าวว่าเกิดจากกระแสพระเมตตาธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแผ่สู่เวไนยสัตว์เป็นอัปปมาโณพุทโธ คือ ไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่สรรเสริญคุณความดีของพระพุทธเจ้านั้น จึงเปรียบเสมือนนกบินไปมาในอากาศ ผู้ที่เข้าถึงธรรมดังพระอริยสาวก จะเป็นผู้เข้าถึงพุทธนิมิต ธัมมนิมิต สังฆนิมิต ตามภูมิจิตภูมิธรรมของตน หลวงปู่เคยเล่าว่า แต่ครั้งพุทธกาล พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ที่มาประชุมกันในวันมาฆบูชา เพ็ญเดือน ๓ นั้น ท่านได้ภูตพระพุทธเจ้าหรือพุทธนิมิตนี้ ท่านจึงมีใจตรงกันที่จะมานมัสการพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าได้ประทาน "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งถือเป็นต้นบัญญัติในการเผยแพร่พระพทธศาสนาในครั้งนั้นว่า

    ขันติ ปะระมัง ตะโป ตีติกะขา
    ความอดทน คือความทนทาน เป็นตะบะอย่างยิ่ง
    นิพพานัง ปะระมัง ทันติ พุทธา
    ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมกล่าว พระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม
    นหิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาติ
    บรรพชิต ผู้ฆ่าสัตว์อื่น เบียดเบียนสัตว์อื่น
    สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐยันโต
    ไม่ชื่อว่าสมณะเลย
    สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
    การไม่ทำบาปทั้งปวง
    กุสสะละสู ปะสัมปะทา
    การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม
    สะจิตตัง ปริโยทะปะนัง
    การทำจิตของตน ให้บริสุทธิ์แจ่มใส
    เอตัง พุทธานะ สาสะนัง
    สามอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    อนูปวาโท
    ความไม่เข้าไปว่าร้ายกันด้วย
    อนูปฆาโต
    ความไม่เข้าไปล้างผลาญกันด้วย
    ปฏิโมกเข จะ สังวโร
    ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ด้วย
    มัตตะญะญุตา จะ ภัตตสังสะมิง
    ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหารด้วย
    ปันตัญจะ สะยะนาสนัง
    ที่นอนที่นั่งอันสงัดด้วย
    อธิจิตเต จะ อาโยโค
    ประกอบความเพียรในอธิจิตด้วย
    เอตัง พุทธานะ สาสะนัง
    นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2007
  3. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า
    ช่วงที่ ๖

    ในสมัยปัจจุบันท่านธัมมวิตักโก (เจ้าคุณนรรัตน์) ท่านก็ยังเคยส่งกายทิพย์ไปรักษาฝรั่งที่สหรัฐอเมริกา ตามข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อมีคนไปเรียนถาม ท่านได้อธิบายว่า "พลังจิตเปรียบเสมือนคลื่นวิทยุ สามารถรับได้ทุกแห่งที่ส่งไป แต่การส่งมีมาแต่แหล่งใหญ่เพียงที่เดียว" ผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงปู่อินทร์ วัดไทรงามเหนือ จังหวัดกำแพงเพชร เกี่ยวกับเรื่องนิพพานสูญ ท่านตอบสรุปได้ว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง สุญ คือ สูญจากกิเลสโลภ โกรธ หลง แต่ไม่ใช่สูญไปหมด เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์" ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านอธิบายว่าเป็นลักษณะของจิตที่เข้าสู่สุญญตาหรือความว่างของจักรวาลเดิม ทำให้จิตหมดความคิดปรุงแต่ง ดังที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง ท่านใช้คำว่า "ใจ" นั่นเอง หรืออย่างกับคำกล่าวของหลวงปู่เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ที่ว่า "ความเห็นเป็นต้นเหตุแห่งความคิด ความคิดเป็นต้นเหตุแห่งความเห็น คิดดีก็เป็นทางเย็น คิดไม่เป็นก็เย็นสบาย"

    ดังนั้น คำว่า ภูตพระพุทธเจ้า ที่หลวงปู่กล่าวถึง ก็คือพลังงานบริสุทธิ์ที่ยังคงอยู่ ไม่ได้เสื่อมสูญหายไปไหน ขอให้นักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้โปรดเข้าใจ สิ่งใดก็ตาม ที่ทางโลกไม่รู้ไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือยังพิสูจน์ไม่ได้ เขาจะพูดว่าไม่มี แต่สำหรับทางธรรมนั้น การเรียนรู้ถึงกิเลส เป็นสิ่งละเอียดเกินกว่าทางโลกจะเข้าไปสัมผัสได้ถึง จึงมิควรที่จะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มี เหมือนกับเรามองไม่เห็นเชื้อจุลินทรีย์ได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้าใช้กล้องจุลทรรศน์ซึ่งทางโลกประดิษฐ์ขึ้น ก็สามารถจะรู้ได้เป็นลำดับ จนปัจจุบันมีการประดิษฐ์กล้องอิเล็กตรอน ทำให้เรามองเชื้อโรคเป็นสิ่งไม่ลึกลับอีกต่อไป

    ส่วนธรรมะของพระพุทธองค์นั้น มีอยู่สิ่งเดียวที่เราจะเข้าถึงได้คือ การเรียนรู้ถึงเรื่องของจิตใจ อันเป็นสิ่งที่ต้องประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง เรียกว่า "ปัจจัตตัง" ทำให้เราเป็นคนฉลาด คือมีกุศลกรรมบังเกิดขึ้นและจะไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการสบประมาทต่อสิ่งที่เราคิดว่าไม่มี เพื่อไม่ให้เกิดผลกรรมที่ตัวเองเป็นผู้กระทำโดยไม่ตั้งใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2007
  4. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า
    ช่วงที่ ๗

    กล่าวโดยสรุป เมื่อประมาณปี ๒๕๒๘ ที่วัดสะแก ได้เกิดพุทธนิมิตขึ้น คือ เกิดขึ้นที่พระพุทธรูป แก้วน้ำ หรือสิ่งต่างๆ ซึ่งการเกิดนี้มีลักษณะที่เป็นพระพุทธรูป เป็นวิมานแก้ว หรือเป็นรูปหลวงปู่เองก็ดี รูปพระสงฆ์องค์อื่นก็ดี มีพุทธศาสนิกชนมาดูกันมากมาย แล้วก็วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ว่าจะเป็นการสะท้อนของแสงหรือไม่ แต่เมื่อพิสูจน์กันอย่างจริงจังแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นภาพลวงตา หรือแม้แต่ภาพถ่ายซึ่งมีอยู่ปีหนึ่งถ่ายรูปหลวงปู่ในงานถวายกระทง รูปหลวงปู่ก็เกิดมีเส้นแสงของพลังเกิดขึ้น พลังนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะหลวงปู่องค์เดียว หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก็ดี หรือหลวงพ่ออีกหลายๆ องค์ก็ดี อย่างเช่น พระอาจารย์จวน ก็เกิดแสงสว่างแบบนี้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นตัวชี้ว่า พลังงาน พลังจิตนั้นเป็นของมีจริง และในเหตุการณ์ปัจจุบันที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ในงานหล่อพระที่วัดพุทไธสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เป็นพระพุทธรูปปางอู่ทอง ที่จะนำไปประดิษฐานที่ สำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้สร้างให้หลวงปู่เป็นอนุสรณ์ ในเทปวิดีโอที่ปรากฎขึ้นมานั้นก็มี ลักษณะของวิมานแก้ว และลักษณะของพลังรัศมี ๖ ประการ เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังเททองหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ หรือแม้แต่ในถ้ำเมืองนะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ก็ยังมีลักษณะของเส้นแสงเกิดขึ้นเช่นกัน

    ที่วัดพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี มีรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฎอยู่บนหน้าผา ซึ่งรูปนี้มีประชาชนไปเคารพสักการะมาก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เคยเดินธุดงค์ไปแล้ว ได้อธิษฐานและนั่งสมาธิ ท่านก็รับรองพระพุทธฉายนั้นเป็นของจริง มีจริง สำเร็จได้ด้วยพระพุทธบารมี หมายถึงพระพุทธองค์ถ่ายรูปเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ บารมีของพระพุทธองค์นั้น เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ย่อมสามารถที่จะแสดงสิ่งที่เหนือมนุษย์ได้ สิ่งเหล่านี้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "อภิญญา" คือ ความรู้ยิ่ง ดังนั้นในเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธนิมิต สิ่งที่จะเป็นตัวเสริมว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงนั้น ก็ต้องอยู่ที่จะต้องมีการประพฤติปฏิบัติ เพราะบุคคลที่จะประพฤติปฏิบัติแล้วไปพบพระพุทธเจ้า พบหลวงปู่ดู่ พบหลวงปู่ทวดได้ ก็จะเป็นเครื่องเจริญศรัทธา จะมีความก้าวหน้า เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

    สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว การได้มานมัสการก็ดี ได้ชมพุทธนิมิตด้วยตนเองก็ดี จะเป็นภาพติดตาติดใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานอีกด้วย ดังคำหลวงปู่ที่ว่า

    ดูแล้วให้จำ จำแล้วเอาไปทำ (ปฏิบัติ) ที่บ้าน
    ถ้าเราทำเป็น ทำที่บ้านเราก็เห็น ไม่ต้องมาวัดหรอก

    - จบเรื่องที่ ๕ -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2007
  5. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖.
    การเกิดพระธรรมธาตุ
    ช่วงที่ ๑
    [​IMG]

    เมื่อมีการสร้างพระเครื่อง โดยมีผงพระพุทธคุณต่างๆ เช่น อิทธิเจ มหาราชปถมัง หรือสิ่งเป็นมงคลพวกดอกไม้ ขี้ไคลเสมา เป็นต้น มักจะมีการผสมเกศาของพระภิกษุผู้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง เมื่อเวลานานไป จะมีการงอกในลักษณะพระธาตุขึ้นที่องค์พระ เช่น ในพระเครื่องของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

    [​IMG] พระเกศาของหลวงปู่ดู่


    อาจมาจากสาเหตุที่ว่า ในพวกธาตุทรายและแร่บางตัวที่เป็นองค์ประกอบของกระดูก หรือที่รวมเรียกว่า ธาตุดิน ซึ่งในเกศาของพระอรหันต์ก็เป็นธาตุดินเช่นกัน แต่เป็นธาตุดินที่มีพลังงานในตัวเอง ทั้งนี้เกิดจากความบริสุทธิ์ของจิต ที่หมดจากความโลภ โกรธ หลง อย่างสิ้นเชิง พลังงานนี้อยู่ในรูปของความร้อน หรือที่เรียกว่า "เตโชธาตุ" ซึ่งเกิดจากความเป็นทิพย์ของอริยจิต สามารถเปลี่ยนเกศาให้เป็นพระธาตุได้ด้วยตัวเอง หรือเหนี่ยวนำกับธาตุดินที่เป็นส่วนประกอบของพระเครื่อง ได้แก่ พวกทรายหรือซิลิกอนให้กลายเป็นแก้วขึ้นมาได้ โดยมีลักษณะใสและมีผลึกเกิดขึ้น ซึ่งรวมเรียกว่า "พระธรรมธาตุ" นัยหนึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงธาตุดินให้เป็นพระธาตุ โดยอาศัยคุณธรรมของท่านผู้มีความบริสุทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2007
  6. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    การเกิดพระธรรมธาตุ
    ช่วงที่ ๒


    เมื่อผู้เขียนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ให้สร้าง "ลูกแก้วสารพัดนึก" ท่านได้มอบเกศาให้มาผสมกับผงพุทธคุณเช่นกัน ได้เกิดเหตุของความอัศจรรย์ คือผงที่เหลือจากการทำส่วนหนึ่ง ได้เกิดเป็นพระธาตุขึ้นมา ผู้เขียนจึงกราบเรียนหลวงปู่ทวด เพื่อถามถึงสาเหตุว่ามีได้อย่างไร หลวงปู่ตอบว่า "เป็นของอาจารย์เธอ" เมื่อมีโอกาสจึงจะถามหลวงปู่เพื่อให้หายสงสัย แต่หลวงปู่ท่านตอบเสียก่อนว่า "ที่หลวงปู่ทวดบอกนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ต้องสงสัย" และท่านยังกล่าวเสริมอีกว่า "เกศาของข้า มีคนเขานำไปบูชาเกิดเป็นพระธาตุขึ้นมาได้" ผู้เขียนจึงถามต่ออีกว่า "ยังไม่ตายก็เป็นได้หรือครับ" หลวงปู่พยักหน้ารับ และบอกลักษณะการเกิดขึ้นคือ "เกศาจะมารวมตัวกันเป็นร่างแหเสียก่อน จึงเกิดเป็นพระธาตุขึ้นมาได้" ทำให้ผู้เขียนคิดถึงเกศาหลวงปู่ที่ใส่ผอบไว้ เกิดลักษณะแบบเดียวกับที่ท่านอธิบาย แต่เพราะความไม่รู้ จึงจับแยกออกจากกัน หลังจากนั้นมา จึงไม่กล้าแยกเส้นเกศาเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

    การเกิดพระธาตุจากกระดูกพระอรหันต์
    กระดูกพระอรหันต์ ก็มาจากปุถุชนธรรมดา ซึ่งต้องอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ จากของสากลเหมือนกับลมหายใจ ไม่มีการจำกัดลักษณะของผู้ใช้ว่าคนรวย คนจน สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ เพราะมีออกซิเจนประกอบทั้งสิ้น แต่ในพระอรหันต์เจ้า ย่อมมีความผิดแปลกไปจากเดิมคือ กระดูกจะเปลี่ยนเป็นพระธาตุ เพื่อแสดงถึงการเหนือโลก เหนือสมมติอย่างสิ้นเชิง เปรียบเสมือนกับของใช้ของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น พระมหามงกุฎ ซึ่งบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ไม่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะถือว่าเป็นของสูง ผู้มีบุญบารมีเท่านั้นจึงจะได้เป็นกษัตริย์ ในทำนองเดียวกัน ธาตุดินของพระอรหันต์ก็ต้องแสดงความพิเศษ คือบุคคลทั่วไปไม่สามารถนำมาประกอบเป็นธาตุดิน (รูปกาย) ขึ้นได้ ด้วยพลังงานแห่งความบริสุทธิ์ของจิต ส่งผลให้กระดูกซึ่งเป็นธาตุคาร์บอนกลายเป็นเพชรได้ โดยไม่ต้องอาศัยความร้อนสูง และใช้เวลาหลายร้อยปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2007
  7. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    การเกิดพระธรรมธาตุ
    ช่วงที่ ๓


    การเกิดพระธรรมธาตุนั้น ในพระของหลวงปู่ดู่ จะอัศจรรย์ก็คือ จะมี ลักษณะของผลึกที่มีความแวววาว มีลักษณะคล้ายเพชร ข้าพเจ้าได้เคยนำไปให้นักธรณีวิทยาใช้กล้องส่อง เมื่อส่องออกมาแล้ว เขาได้อธิบายในแง่ของทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นผลึกของแคลเซี่ยมซัลเฟต หรือผลึกของหินปูนได้นั้น หินปูนก็น่าจะมาจากผง หรือดินสอพองที่หลวงปู่นำมาเขียนเป็นอักขระคาถา แล้วก็ลบมาเป็นผงต่างๆ อันเกิดเป็นผลึกขึ้นมาได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาอธิบายไม่ได้ก็คือว่า ลักษณะของการเกิดผลึกเหล่านี้ จะต้องอาศัยความร้อนอย่างมาก ซึ่งเขาได้ถามผู้เขียนว่า ได้นำไปอบหรือไปเผาด้วยความร้อนสูงหรือไม่ ผู้เขียนก็ตอบว่า ใช้อุณหภูมิธรรมดา ดังนั้น จึงมีข้อสงสัยว่า แล้วความร้อนหรือเดลต้าฮีทนี้มาจากที่ไหน ซึ่งผู้เขียนบอกว่า ควรจะมาจากพลังจิตของหลวงปู่ได้ไหม เพราะพลังจิตนี้แสดงออกมาในรูปของดิน น้ำ ลม ไฟเอง สำหรับผู้ที่ได้อภิญญาแล้ว พลังเหล่านี้ก็มาเปลี่ยนธาตุปูน ที่มีอยู่ในองค์พระให้เป็นผลึกขึ้นมา เขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วก็แปลว่าหมดสงสัย ว่าความร้อนนี้เกิดมาจากไหน

    ส่วนในเรื่องเกศาหลวงปู่นั้น เมื่อนำมาส่องดูจะมี ลักษณะที่ใสตลอด ไม่มีความขุ่นมัวแม้แต่นิดเดียว สิ่งเหล่านี้แสดงถึงคุณธรรม ความบริสุทธิ์ หรือพลังของความบริสุทธิ์ สามารถเปลี่ยนธาตุ เปลี่ยนขันธ์ ให้กลายเป็นส่วนที่ใสขึ้นมาได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2007
  8. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    การเกิดพระธรรมธาตุ
    ช่วงที่ ๔

    [​IMG]

    ผู้เขียนโชคดี ที่ได้รับฟันของหลวงปู่ ซึ่งท่านมอบให้โดยกล่าวว่า "เก็บไว้ให้ดี ถ้าหายไปก็ไม่มีของแทนแล้ว ลองตรวจดูซิว่าใช้ประโยชน์ทางไหนได้บ้าง" ผู้เขียนตอบท่านว่า "ไม่หรอกครับ เสกมาไม่รู้กี่ปีแล้ว" หลวงปู่กล่าวว่า "ไม่ใช่ อยากรู้เคล็ดลับว่ามีอะไร" ผู้เขียนจึงตอบท่านว่า "ที่รู้ๆ ก็คือ พระธาตุ" หลวงปู่สรุปว่า "เรื่องพระธาตุน่ะ แน่นอนอยู่แล้ว" ฟันที่ได้มาครั้งแรก เมื่อดูด้วยสายตายังแสดงการเป็นพระธาตุไม่ชัดเจน แต่หลังจากที่นำมาบูชาได้ ๒ ปี จึงมีลักษณะมัน สีเหลืองสวย ส่วนขาวของฟัน มีความแวววาวเหมือนมุก ส่วนรากฟันเกิดความสดใสสวยงามมาก ผู้เขียนเคยให้ทันตแพทย์และนายแพทย์ที่ชำนาญทางกระดูกตรวจดู ต่างลงความเห็นว่าฟันของหลวงปู่มีลักษณะเหมือนกับมีชีวิต หลวงปู่เพิ่งจะมาบอกกับผู้เขียนก่อนที่ท่านจะมรณภาพว่า "แกรู้ไหมว่าข้าเสกเป็นอะไร ข้าอธิษฐานขอให้เป็นพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า" ซึ่งแสดงถึงสัจจธรรมในความเป็นพระอริยะผู้บรรลุธรรมชั้นสูงของท่าน

    การเปลี่ยนจากกระดูกหรือธาตุดินของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ อย่างในปัจจุบัน กระดูกของพระอาจารย์มั่น หลวงปู่แหวน หรือแม้แต่อีกหลายๆ องค์นั้น จากอัฐิธาตุธรรมดา ก็สามารถที่จะกลายเป็นพระธาตุได้ ซึ่งมีลักษณะใส หรือลักษณะสีต่างๆ กัน ก็คงจะเปลี่ยนในแนวเดียวกับที่อธิบายไว้แล้ว กับการเกิดพระธรรมธาตุ ซึ่งพระธรรมธาตุนั้น ไม่มีส่วนของอัฐิธาตุปนอยู่ด้วย สิ่งที่แสดงถึงคุณธรรมอย่างเช่น พระอาจารย์มั่นนั้น จากอัฐิธาตุธรรมดา ใช้เวลาสักระยะหนึ่ง จึงกลายมาเป็นพระธาตุได้ สำหรับบางองค์อย่างเช่น พระอาจารย์ต่วน วัดกล้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อมีการนำท่านมาเผาแล้ว อัฐิธาตุของท่านก็กลายเป็นพระธาตุขึ้นมา มีสีทอง เงิน นาก แล้วก็มีลักษณะใส แวววาว ในวันรุ่งขึ้นนั้นด้วย สิ่งเหล่านี้ก็แสดงถึงว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นสิ่งที่โกหกหลอกลวง สามารถที่จะพิสูจน์ได้ในบุคคลที่มีความบริสุทธิ์อย่างเช่น พระอรหันต์ เป็นต้น

    - จบเรื่องที่ ๖ -
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2007
  9. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗.
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
    ช่วงที่ ๑

    ในการปลุกเสกอธิษฐานของหลวงปู่แต่ละครั้ง จะไม่มีพิธีอะไรมาก บางครั้งท่านจะชุมนุมเทวดาก่อน แล้วจึงอธิษฐานปลุกเสกตามลำดับ ท่านบอกว่า "อาราธนามาหมด พระทั้งแสนโกฏิจักรวาล" พระพุทธเจ้าไม่ใช่มีแต่จักรวาลนี้ สมัยเมื่อพระโมคคัลลาน์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านท่องไปในจักรวาลต่างๆ ไปจักรวาลไหนก็เอาเม็ดถั่วเขียวทิ้งไว้ ไปจนหลงกลับไม่ถูก ไปพบพระพุทธเจ้าอีกจักรวาลหนึ่ง ท่านเลยบอกให้นึกถึงพระพุทธเจ้าที่พระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกอยู่ เมื่อนึกแล้ว พระโมคคัลลาน์จึงกลับมาได้ การเสกของคนคนเดียวน่ะขลังยาก ต้องอาศัยบารมีพระ บารมีพรหม เทวดาช่วย คนเราต้องไหวดี เอาตัวเองเก่งคนเดียวนั้นยาก พระโมคคัลลาน์ท่านเก่งทางฤทธิ์ แต่อย่างไรก็สู้ทางปัญญาไม่ได้ ดังเช่นคราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าให้พระโมคคัลลาน์นับเม็ดฝนที่ตกในจักรวาล พระโมคคัลลาน์ใช้ฤทธิ์เหาะไปนับ แต่พระสารีบุตรไม่ไป อยู่กับที่ใช้ปัญญาถามพระพุทธเจ้า ผลออกมาเหมือนกัน แต่เหนื่อยผิดกัน

    สำหรับคาถาที่ท่านใช้ปลุกเสกมีหลายบท แต่ท่านสรุปว่า "บรรดามนต์ดลต่างๆ นั้น สู้บทสวดมนต์ไม่ได้ เพราะมีอานุภาพมากกว่ากัน บทไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทั้งนั้น เมื่อก่อนข้าเรียนมาหมด เวทมนต์คาถาว่าเละไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้ทิ้งหมดแล้ว เอาคุณพระดีกว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง น่ะยอดคาถาอยู่แล้ว ไม่ว่าบทไหนก็ตาม จะต้องมีการปลุกเสกด้วยบทมหาจักรพรรดิ์ทั้งสิ้น พระที่ข้าทำน่ะ ข้าก็ว่าทำดีแล้ว แต่คนที่ไปใช้จะทำดีตามหรือเปล่า บางคนก็กลัวว่าไปรอดราวตากผ้า ไปทำไม่ดี พระจะเสื่อมหรือไม่ ของดีน่ะไม่มีเสื่อม ไอ้ที่เสื่อมน่ะ ใจคนเสื่อม"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2007
  10. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
    ช่วงที่ ๒


    ที่หลวงปู่บอกว่า การสวดมนต์นั้นจะดีกว่าการใช้มนต์ดล การใช้มนต์ดลคือ คำหน้า ที่ใช้คำว่า "โอม" ก็ดี หรือคำที่ใช้คำกล่าวถึงเทพหรือฤาษีต่างๆ นั้น หลวงปู่บอกว่าใน ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนานนั้น เป็นการแสดงถึงบารมีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ บารมีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ซึ่งแสดงออกมาได้ และเมื่อท่านผู้หนึ่งผู้ใด สำเร็จในพลังจิตแล้ว มีแต่การนำเอาบทสวดมนต์ใน ๗ ตำนาน มาสวดในการปลุกเสก โดยยังไม่ทันเข้าสมาธิ ก็สามารถทำให้วัตถุนั้น เกิดเป็นพลังงาน พลังจิตขึ้นมาได้ อย่างเช่นหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เจ้าคุณนรรัตน์ ราชวานิต เวลาท่านปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะสวดมนต์หลายบท ซึ่งมนต์หลายบทนั้นก็อยู่ใน ๗ ตำนาน หรือแม้แต่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง การปลุกเสกพระสมเด็จ ท่านก็ใช้คาถาชินบัญชร ซึ่งแสดงว่าพระที่ท่านมีพลังจิตแล้ว แม้ท่านจะกล่าวอะไรขึ้นมาก็ตาม ก็ย่อมเกิดเป็นพลังงานได้ง่าย สำหรับการปลุกเสกพระของหลวงพ่อวัดประดู่ทรงธรรมนั้น จะต้องมีธาตุทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ อันนี้ก็หมายถึง ในคนเช่นมนุษย์ทั่วไป ก็จะมีธาตุเหล่านี้ประกอบอยู่ ดังนั้นวัตถุหรือรูปเปรียบ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งยังไม่มีการปลุกเสกก็เสมือนเป็นตุ๊กตาหรือเป็นรูปธรรม แต่เมื่อมีการปลุกเสกหรือการอธิษฐานแล้ว ก็เป็นการเชิญพลังงานเหล่านี้ มาสถิตอยู่ในองค์พระเหมือนกับบรรจุลงไป เมื่อบรรจุลงไปแล้ว ก็จะทำให้วัตถุนั้นเป็นวัตถุที่มีพลังขึ้นมาได้ หรือแม้แต่หลวงพ่อคล้าย วัดจันทร์ดี การปลุกเสกของท่าน ท่านก็อธิษฐานเอาความว่างเปล่าลงไปไว้ในวัตถุเหล่านั้น ความว่างเปล่านั้น ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย มีแต่ความบริสุทธิ์ เมื่อมีความว่างเปล่าไปบรรจุในวัตถุ วัตถุนั้นก็ย่อมมีพลานุภาพขึ้นมาได้ จึงมีทั้งรูปธรรม และนามธรรมเกิดขึ้นในวัตถุมงคลเหล่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2007
  11. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
    ช่วงที่ ๓


    ข้าพเจ้า "พระเครื่องที่ทำด้วยโลหะกับเนื้อผง เนื้อผงน่าจะแรงกว่าใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "ไม่จำเป็น ดูอย่างหลวงพ่อเกษม ท่านเสกก้านธูป คนเอาไปยิงไม่ออก อยู่ที่ผู้เสกหรือตัวอาจารย์นั่นแหละ"

    ข้าพเจ้า "แล้วพระที่มีการจารด้วยเหล็กจาร กับไม่จารนั้นต่างกันหรือไม่"

    หลวงปู่ "การจารนั้นก็คือ นำมาทำอีกครั้งหนึ่ง อธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง"

    ข้าพเจ้า "การปลุกเสกพระด้วยคณาจารย์หลายๆ องค์ กับองค์เดียวทำ หรืออธิษฐานจากที่หนึ่ง ไปช่วยอีกที่หนึ่งนั้นเป็นไปได้ไหม"

    หลวงปู่ "เป็นไปได้ อำนาจจิตน่ะเป็นของวิเศษ ไปได้เกินกว่าแสนโยชน์ แต่การที่เขาต้องมีพิธีปลุกเสก โดยให้มีคณาจารย์นั่งรวมกันหลายๆ องค์ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ที่จะนำไปใช้ คือเกิดกำลังใจดีกว่ากัน ที่จริงผลเหมือนกัน"

    ข้าพเจ้า "แล้วการที่ปลุกเสกหลายๆ วัน กับปลุกเสกช่วงระยะเวลาเดี๋ยวเดียว อย่างหลวงปู่แหวนปลุกเสกไม่เกิน ๑๕ นาที หรือหลวงปู่เสก ก็เห็นเต็มหมดแล้วนี่ครับ"

    หลวงปู่ "อยู่ที่เชื่อ หลวงพ่อเกษมท่านให้คนถือของหรือกล่องที่จะเสก เดินผ่านช่องกุฏิ ท่านเป่าพรวดเดียวก็ใช้ได้ การปลุกเสกนานๆ อย่างเช่น ในไตรมาส ก็เป็นการบังคับให้ต้องทำเสมอ เสกนานก็ทำให้เพิ่มเติมอะไรที่เห็นว่าขาดตกบกพร่อง ถ้าใครเชื่อข้า ข้าก็ไม่ต้องเสก หยิบให้แล้วนำไปใช้ได้เลย"

    ข้าพเจ้า "พระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสสโก ท่านจะมีความสามารถในการเสกพระหรือไม่ครับ"

    หลวงปู่ "สุกขวิปัสสโก ก็ประเภททำให้หมดทุกข์คนเดียว แต่แกเอ๋ย พระอรหันต์น่ะ ท่านทำอะไรก็ได้ เพียงแต่การอธิษฐานว่า ขอให้วัตถุเหล่านี้ จงศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำไปใช้จงมีความสำเร็จ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าก็ใช้ได้แล้ว"
     
  12. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
    ช่วงที่ ๔



    หลวงปู่ยังได้เล่าถึง วิธีการปลุกเสกพระ ตามแบบฉบับของ วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดอยุธยา ดังนี้

    "การปลุกเสกพระจริงๆ แล้ว จะต้องมีผู้ทำอย่างน้อย ๔ คน หมายถึง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ โดยมีตัวอาจารย์เป็นผู้ควบคุม และหมายถึงอากาศธาตุ ต้องทำให้สว่าง เวลาจะลงเป็นอย่างไหนต้องรับรองได้ การนำไปใช้จึงสัมฤทธิผล สมัยโบราณเขาต้องมีการยิงปืน ตีดาบให้ได้ยินเสียง เพื่อเป็นการปลุกจิตปลุกใจเพื่อเสก เพื่อให้เกิดความขลังได้ง่าย"

    ข้าพเจ้า "การที่หลวงปู่จะทำอะไรทุกครั้งเห็นต้องมีคนคุม คือคอยตรวจสอบดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเกิดไม่มีเขาเหล่านั้น แล้วหลวงปู่จะทำอย่างไร"

    หลวงปู่ "ไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเราแน่ใจว่าเมื่อตั้งอธิษฐานอะไรแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้น"

    ข้าพเจ้า (ยกมือขึ้นสาธุ) "แสดงว่าหลวงปู่ต้องการให้ผู้ที่นั่งอยู่เกิดบุญ เพราะจะได้โมทนาในสิ่งที่ตนรู้เห็น เป็นการช่วยให้เขาได้บุญน่ะครับ"

    หลวงปู่ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา และทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า หลวงปู่ท่านมีกุศโลบายในการที่จะทำให้คนได้บุญ และท่านยังเสริมอีกว่า "บุญนั้นหมั่นทำไว้ ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม โมทนาไปเลยไม่มีเสีย มีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา เวลาเดินผ่านไปไหนเห็นดอกไม้เขาปลูกอยู่ เราก็นึกถวายพระแทนเขา ของอะไรก็ตามนึกถวายพระพุทธเจ้าได้บุญทั้งนั้น เวลาจะเปิดไฟ ถ้าอยากได้บุญก็ว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ก็ได้แล้ว"

    ข้าพเจ้า "ถ้าเราถวายแทนเขาโดยไม่ขออนุญาตนี้ จะผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่ครับ"

    หลวงปู่ "ก็แกแผ่เมตตาให้เจ้าของเขาหรือเปล่าล่ะ ถ้าแผ่เมตตาให้เขาก็ไม่บาป" (ผู้เขียนเข้าใจว่า ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เจ้าของก็ไม่ผิดศีลข้อ ๒ แต่ที่หลวงปู่ว่าไม่บาป คงหมายถึงทำให้ใจเราไม่เศร้าหมอง)
     
  13. kim_osk119

    kim_osk119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,598
    โมทนาครับ ได้ความรู้อีกเยอะเลย

    เพิ่งจะมีโอกาสเข้ามาอ่าน เมื่อวานเปื่อย นอนให้น้ำเกลืออยู่ รพ.
     
  14. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๑๗ เรื่องในกระทู้นี้สุดยอดทุกเรื่องเลยครับผม
    ได้ความรู้มากมายจากหลวงปู่ดู่

    โมทนาครับ

    เชิญทุกท่านสู่ เวปวัดถ้ำเมืองนะ ครับผม
    ข้อมูลทุกอย่างจะอยู่ที่นั่นครับ พร้อมด้วยลูกหลานหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา
    คลิกที่ภาพมือหลวงปู่หรือที่ลิงค์ได้เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2007
  15. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
    ช่วงที่ ๕

    หลวงปู่ท่านยิ้ม แล้วตอบให้ศิษย์หายข้องใจ โดยท่านสรุปการปลุกเสกพระให้ขลังไว้ดังนี้

    "เรื่องของคงกระพันชาตรีน่ะทำง่าย แค่ขนลุกก็เหนียวแล้ว แคล้วคลาดน่ะดีกว่า เพราะไม่เจ็บตัว การเสกพระทำน้ำมนต์ให้ดีให้ขลัง ต้องทำใจของเราให้มีเมตตา คือรักเขายิ่งชีวิตแล้วจะได้ผลดี การเสกพระให้มีพุทธคุณทางเมตตาน่ะ ทำยากที่สุด หมั่นปฏิบัติไปเถิด"

    คำพูดของหลวงปู่ถือเป็นสัจธรรม หรืออมตธรรมที่ตรงกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "โลโกปัตถัมภิกาเมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก" คือต้องทำตัวเราเองให้เป็นคนดีเสียก่อน จึงจะมีผลในการดำเนินชีวิต และทำให้คนใกล้ชิดได้รับความสุขไปด้วย

    พวกติดคุกติดตะรางหรือไอ้เสือทั้งหลายเหล่านี้ มักจะมีความสามารถทางคงกระพันชาตรี แล้วเกิดฮึกเหิมขาดศีลธรรม ทำให้เขาต้องประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางไปในที่สุด บางคนไม่มีพระ ไม่มีคาถาอาคม ก็ยังสามารถรอดจากภยันตรายได้ เรื่องมีว่า มีคนเหนือไปทำงานแถบปราจีนบุรี ซึ่งมีพวกเขมรมาก และเกิดไปขัดใจกับพวกนั้น พวกเขมรนั้นเก่งทางทำของ ทำคุณไสย เขาก็ปล่อยมาให้เจ้าคนนี้ แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนในที่สุดคนทำของเกิดความสงสัยจึงไปถาม เขาตอบว่า "ไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย คาถาอาคมก็ไม่มี แต่ก่อนจะนอนทุกคืนต้องกราบหมอน ไหว้พ่อไหว้แม่ เป็นเช่นนี้มิได้ขาด" คนทำของจึงบอกว่า "คืนนี้แกอย่าไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ข้าจะปล่อยของแล้วจะแก้ให้" เขาก็ทำตาม ตอนนี้เป็นเพื่อนกันแล้ว คืนนั้นก็ปล่อยของเข้าตัวได้ แล้วเขาก็แก้ให้ นี่ขนาดไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ทำให้จริงยังสามารถป้องกันตัวได้ หลวงปู่สอนให้พวกเรามีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นคุณธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติ ดังพุทธภาษิตว่า "นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ความกตัญญูกตเวทิตา เป็นเครื่องหมายของคนดี


    - จบเรื่องที่ ๗ -
     
  16. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    เชิญทุกท่านสู่ เวปวัดถ้ำเมืองนะ ครับผม
    ข้อมูลทุกอย่างจะอยู่ที่นั่นครับ พร้อมด้วยลูกหลานหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา

    คลิกที่ภาพมือหลวงปู่หรือที่ลิงค์ได้เลยครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  17. kim_osk119

    kim_osk119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,598
    ดีขี้นแล้วครับ ขอบคุณมาก

    ระหว่างนอนอยู่ที่ รพ. ผมก็ได้แผ่บุญให้ทุกๆภพภูมิใน รพ. ขนลุกซู่เลย
     
  18. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๘.
    พิธีการสร้างพระกลางลาน
    ช่วงที่ ๑

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทางวัดสะแกประสงค์จะสร้างพระ โดยทำพิธีกันที่กลางลานวัด โดยหลวงปู่สี พินทสถวัณโณ เป็นประธานในการทำพิธีพุทธาภิเษก พร้อมด้วยคณาจารย์อีกหลายท่าน อาทิ หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ เป็นต้น หลวงปู่สีเป็นคณาจารย์ซึ่งมีพลังจิตสูง แต่ในการศึกษาเบื้องแรกของท่าน ท่านจะทำไปในลักษณะของทางพราหมณ์ เนื่องจากการร่ำเรียนของท่าน ท่านคิดว่าพรหมนั้นน่าจะต้องเป็นอมตะ เป็นสิ่งที่สูงสุด หลวงปู่ได้เล่าว่า "เราก็มาคำนึงว่า ของที่ออกไปให้ญาติโยมบูชานี้ ต้องให้ดีจริง มิเช่นนั้นจะมีผลเสียกับวัดสะแก" คือเจตนาของท่านเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของวัดสะแก ในฐานะที่หลวงปู่อาศัยอยู่ที่วัดสะแกด้วย ดังนั้น ท่านจึงคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือพิธีครั้งนี้ ท่านเล่าว่า "ฉันก็ตั้งจิตอธิษฐานให้สายไฟที่ออกไปจากกุฏินี้เป็นสายสิญจน์ เพราะสมัยก่อน กุฏิของฉันเป็นศูนย์รวมที่จะออกจ่ายไฟไปยังที่ต่างๆ"
     
  19. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พิธีการสร้างพระกลางลาน
    ช่วงที่ ๒

    เมื่อพิธีพุทธาภิเษกผ่านไปอีกวันหนึ่ง หลวงปู่สีเดินมาที่หน้ากุฏิหลวงปู่แล้ว ท่านพูดขึ้นว่า "ยวง ไปถามหลวงปู่ทวดทีว่า ใครเอาอะไรไปครอบให้พระของข้า" (ยวง คนนี้มีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่ดู่) หลวงปู่ดู่จึงยกมือขึ้นไหว้หลวงปู่สีแล้วกล่าวว่า "หลวงพี่ครับ ผมเอง เป็นคนเอา วิมานแก้วพระพุทธเจ้าไปครอบให้" หลวงปู่สีไม่พูดว่าอะไร แล้วจึงเดินกลับกุฏิ หลวงปู่ดู่บอกว่า "ผู้ที่เขามีความรู้แล้ว เขามาเห็นสิ่งที่เราอธิษฐานลงไป เขาย่อมจะมีไหวพริบที่จะศึกษาต่อไป" แสดงถึงว่านักปราชญ์ย่อมที่จะศึกษาจากผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า และผู้เขียนจึงเรียนถามว่า "หลวงปู่สีได้ทรงศึกษามาจากไหน มาศึกษาจากหลวงปู่หรืออย่างไร" ท่านบอกว่า "ท่านก็ศึกษาจากหลวงพ่อที่ท่านอธิษฐานไปนั้นเอง" ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่สีได้บอกกับคณะศิษย์ของท่านว่า "ให้ปฏิบัติตามอาจารย์ดู่ เพราะท่านดำเนินถูกทาง รู้วิธีการ" หลวงปู่สีนับเป็นเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกลั่น

    เมื่อพิธีพุทธาภิเษกเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่สี ต้องมาตรวจพระอีกครั้งหนึ่งว่า การปลุกเสก มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องตรงไหนหรือไม่ จะได้พิจารณาแก้ไข เมื่อมาทราบ สิ่งที่ท่านเองไม่เคยเรียนมา จึงเกิดความสงสัย และเพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้น ท่านจึงมาถามที่กุฏิหลวงปู่โดยตรง แต่มีข้อให้ชวนสะกิดใจว่า ทำไมหลวงปู่สี จึงมีความแน่ใจอย่างมากว่าหลวงปู่ดู่เป็นผู้ช่วยทำ คงจะบารมีที่ท่านอธิษฐานให้นั้น มีหลวงปู่ดู่อยู่ในวัตถุมงคลด้วยแน่นอน
     
  20. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    พิธีการสร้างพระกลางลาน
    ช่วงที่ ๓

    หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า "เมื่อบวชมาก็มีหลวงปู่สีกับฉันเท่านั้น ที่ภาวนา องค์อื่นๆ ไม่ได้ทำ เวลาจะภาวนาต้องแอบไปทำในโบสถ์ กลัวคนจะเห็น ถึงอย่างนั้นยังมีคนล้อฉันเลยว่า กำลังทำเสน่ห์อยู่หรือไง สมัยก่อนครูบาอาจารย์ก็หายากเย็น เมื่อเรานำผลของการปฏิบัติไปเล่าให้อุปัชฌาย์ฟัง ท่านก็พูดอยู่อย่างเดียวว่า บุญ นิมนต์ทำต่อไปเถิด" ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ผู้เขียนเลยเรียนถามท่านว่า "สงสัยหลวงปู่กลั่นคงมี อนาคตังสญาณ ล่วงรู้ว่าหลวงปู่คงจะพบวิธีการปฏิบัติ ต่อไปภายภาคหน้าด้วยตังเองกระมังครับ ท่านจึงไม่สอนอะไรมาก" หลวงปู่ยิ้มไม่ตอบว่ากระไร

    จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ผู้เขียนไปนมัสการหลวงปู่ ท่านได้พูดว่า "หลวงปู่สีท่านเป็นขั้นอาจารย์ ข้าจะไปสอนพระสังฆราชได้อย่างไร ก็ต้องให้ หลวงปู่ทวดสอนท่าน แต่เป็นการสอนทางใน คนที่เขาเก่งเมื่อเขารู้ว่า ยังมีการปฏิบัติที่สูงกว่านี้ ท่านก็ปรึกษาจากพระที่ท่านทำ ถ้าคนเราลองมีทิฐิว่าข้าแน่ ก็จะไม่เจอะของดี"

    ในสมัยที่หลวงปู่สียังมีชีวิตอยู่ ในแต่ละปีก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่ท่านจะไปทำวัตร คือ การไปถวายเครื่องสักการะ จวบจนกระทั่งหลวงปู่มรณภาพ ซึ่งการมรณภาพของท่านก็เป็นไปอย่างอาจหาญ โดยท่านบอกว่า เขาเอาเราแน่แล้ว แล้วท่านก็นั่งสมาธิดับสังขาร แสดงถึงการปฏิบัติที่ท่านทำมา ทำให้ท่านไม่หวาดกลัวกับอันตรายอย่างใดๆ ทั้งสิ้น

    - จบเรื่องที่ ๘ -
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...