ตายแล้วจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ สังเกตุได้จาก "มรณะทูต" สามองค์ดังนี้ฯ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 31 มีนาคม 2012.

  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    เมื่อคนใกล้ตาย จะมี "มรณทูต" อยู่ 3 แบบ
    ปรากฏแล้วนำพาจิตวิญญาณไป มีอะไรบ้าง?
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    มรณทูตทั้ง 3 แบบ นำจิตวิญญาณผู้ตายไปยังภพภูมิที่แตกต่างกันดังนี้


    1. เทวทูต : นำผู้ตายสู่สวรรค์ จะปรากฏในนิมิต "แบบที่ไม่คุ้นเคย" ไม่เคยเห็น
    หน้ากันมาก่อน มาแบบเป็นเทพเทวดาเต็มองค์ ไม่แปลงกาย เมื่อคนตายไม่รู้สึก
    แปลกแยก ยอมไปกับคนแปลกหน้าแต่เป็นคนดีได้ ก็จะได้ขึ้นสวรรค์ ช่วงนี้ ผู้ตาย
    อาจรู้สึก "เป็นห่วง" ภพเก่า ถ้าหวนหันหลังกลับ จะหลงทางไม่ได้ขึ้นสวรรค์ จะมี
    สิ่งอื่นมาชิงดวงวิญญาณไปได้ ถ้าจิตใจคุณกล้าหันหลังให้ทางโลกแล้วไปกับคน
    แปลกหน้าที่เป็นคนดีได้ คนๆ นี้ ไม่ฟังคำสั่งคุณ ไม่เอาใจคุณ เขาทำงานตรงตาม
    หน้าที่ ตามบัญชาสวรรค์ เท่านั้น คุณกล้าเชื่อใจคนแบบนี้ไหม? ถ้าได้ ก็ขึ้นสวรรค์


    2. ยมทูต : นำผู้ตายสู่นรก จะปรากฏในนิมิต "แบบที่ผู้ตายต้องการพบมากที่สุด"
    เช่น แปลงกายมาเป็นญาติสนิทที่สุด, พ่อแม่, พี่น้อง, ลูกเมีย ฯลฯ ยมทูตมักไม่
    ปรากฏกายจริงให้เราเห็น แต่เขาจะต้องปลอมตัวเป็นสิ่งที่ผู้ตายต้องการพบ และ
    เชื่อใจ ไว้วางใจที่สุด เพื่อให้ผู้ตายยอมไปจากสังขารเดิม (จะได้ตายได้สบายๆ)
    เขาจะมาแบบคนดี เอาอกเอาใจ ประจบ ตามใจเรามากที่สุด แต่จะพาไปลงนรก


    3. มัจจุราชมาร : นำผู้ตายออกนอกระบบสามภพ ไปยังภพภูมิมืด จะปรากฏใน
    นิมิต "แบบที่ผู้ตายต้องการพบมากที่สุด" เขาจะไม่ได้แปลงกายแต่จะใส่หน้ากาก
    ที่ปลอมจนเหมือนคนที่เราต้องการพบหน้ามากที่สุด ที่เราห่วงหา และผูกพันมาก
    ที่สุด เพื่อให้เราตายใจและยอมตายได้ง่ายๆ ซึ่งเขาจะมา "เมื่อเรายังไม่ถึงวาระที่
    จะหมดอายุขัยจริงๆ" คือ มาก่อนยมทูตและเทวทูตเพื่อหลอกเอาวิญญาณไปก่อน
    ที่จะถูกสองท่านแรกนำไปสู่ระบบ บางท่านรู้ทัน ไม่ยอมเขา ไม่ยอมตาย และมีจิต
    กล้าแข็งมาก เขาก็จะครอบงำให้เป็นพวก และคอยหาเหยื่อคือ คนตายมาแทนตัว
    เพื่อเพิ่มพรรคพวกของเขาในโลกมืด ผู้ที่ถูกมัจจุราชมารหลอกใช้จะทำให้คนตาย
    ได้มาก และเขาจะได้รับ "ของวิเศษที่ช่วยทำให้คนตายได้" เช่น มีด, ปืน ทั้งที่ตา
    มองเห็นและทั้งของทิพย์ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับกำลังจิตของผู้รับ


    คนปกติ มักยึดมั่นกับคนที่ตนผูกพัน และพวกเขามักตกนรกหรือไปสู่โลกมืด ทั้งที่มี
    บุญสร้างไว้มากมาย แต่เพราะ "จิตไม่ตรงเทวทูต" ทำให้ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งที่มีบุญ
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    คนปัจจุบัน อย่าเพิ่งพูดเรื่องนิพพานเลย น้อยกว่า 1% ที่จะได้
    คงต้องนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำไปก่อนสัก 9 ปีกว่าจะได้
    พบสักคนหนึ่งนะครับ (แบบที่จะได้นิพพานจริงๆ)


    เอาแค่ "ให้รอดถึงสวรรค์ก่อน" นี่ก็ยากแล้วนะครับ ทำบุญกันก็
    เยอะจริง แต่มันไม่ใช่แค่นั้นที่จะได้พ้นนรก, รอดจากภพมืดหรือ
    ไม่ มันสำคัญที่ "จิตตอนตายตรงไปที่ใด" เผลอนิดเดียวก็หลง
    ได้เลยครับ คือ ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ถูกสิ่งอื่นๆ, ภัยมืดลากพาไป
    เท่านั้นก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์แล้วครับ


    ไม่ได้ยึดสวรรค์, ไม่ได้หลงสวรรค์นะครับ แต่พูดความจริงว่า
    น้อยคนมากที่จะได้ขึ้นสวรรค์ (อย่าเพิ่งพูดถึงนิพพานเลย ยิ่ง
    น้อยกว่าน้อยไปใหญ่) เอาแค่ เอาตัวให้รอดจากนรก และภพ
    มืดให้ได้นี่ ก็ยากมากๆ สำหรับคนปัจจุบันครับ ...
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    คัมภีร์มรณญาณแห่งทิเบตและการช่วยนำทางดวงวิญญาณสู่สวรรค์


    สิ่งแรกที่ลามะทิเบตได้เรียนรู้ คือ "มรณานุสติ" จากคัมภีร์มรณศาสตร์แห่ง
    ทิเบต เนื่องด้วยชีวิตคนไม่เที่ยง บวชเป็นลามะวันนี้ ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน?
    ดังนั้น สิ่งแรกที่พระลามะทิเบตมักต้องเรียนรู้ให้ได้ก่อนสิ่งอื่น คือ "มรณะ"
    เพื่อป้องกันพลาด ถ้าตายก็จะสามารถกำหนดจิตได้ทันว่าจะเคลื่อนจิตไป
    ยังภพภูมิใด ซึ่งก็มักเป็น "สุขาวดีโลกธาตุ" ซึ่งต้องมีบุญบารมีไม่น้อย คน
    ที่ทำความดี อย่างมากก็ได้อยู่ใน "สวรรค์แห่งไตรภพ" ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหก
    ชั้น แต่น้อยคนที่จะได้ถึง "พรหมโลกธาตุ" ซึ่งอยู่โลกธาตุอื่น (ไม่ใช่โลก
    ของเรานี้ โลกนี้ที่เรียกว่าไตรภพ) และยิ่งยากกว่า ถ้าจะจุติยังสุขาวดีโลก
    ธาตุนั้น แต่สำหรับพระลามะที่ปฏิบัติได้มรรคผลทางญาณ, สมาธิ ฯลฯ ก็
    จะสามารถไปจุติยังภพภูมินั้นได้ มากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ลามะทิเบต
    ยังสามารถ "นำทางดวงวิญญาณ" ของผู้ใกล้ตายสู่สวรรค์ได้อีกด้วย ท่าน
    สามารถหาอ่านได้เพิ่มเติม (ขอไม่อธิบายมาก จะได้ไม่ต้องเถียงกันครับ)
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    [​IMG]


    คำนำของผู้แปล

    เมื่อราว ๒ ปีที่ผ่านมา คุณปู่ของข้าพเจ้าได้ล้มป่วยลงด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างข้าพเจ้า ที่กิจกรรมในสังคม เป็นไปตามความคาดหวังและการจัดวางอย่างสูตรสำเร็จ ความรู้สึกสูญเสียเช่นนี้ได้บ่มเพาะความจริงบางประการที่ข้าพเจ้าไม่ได้แลเห็น มาเสียนาน ความไม่แน่แท้และความสิ้นหวังที่จะยึดมั่นอยู่ในสิ่งเราควบคุมไม่ได้ แม้ข้าพเจ้าจะได้สูญเสียน้องชายและคุณยายไปในเวลา ไล่เลี่ยกัน แต่ก็เป็นไปในปัจจุบันทันด่วนเต็มที พิธีกรรมทั้งหลายที่มีก็จัดขึ้นในเวลารวดเร็วและหมดจดยิ่งนัก ในฐานะของญาติสนิท แห่งผู้วายชนม์ ข้าพเจ้ามีสิทธิพิเศษแค่การชำระเงิน และปฏิบัติตามกำหนดการพิธีกรรมเท่านั้น

    แต่ในกรณีหลัง การเสื่อมสลายลงอย่างเชื่องช้า และการค่อย ๆ จากไป ทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้ขึ้น ด้วยหวังจะให้ ทันการได้อ่านในพิธีกรรมของคุณปู่ แต่ก็หาได้ลุล่วงดังใจหวัง ถึงอย่างนั้นก็ตาม เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ก่อให้ข้าพเจ้าได้เกิดสติ เล็งเห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ความตายไม่ใช่เรื่องปวดร้าว เป็นอาการอ่อนโยนของการยินยอมให้ร่างกายและสังขารที่เหนื่อยล้ามานาน ได้พักพิงอย่างสันติ เป็นช่วงเวลาอันมหัศจรรย์ที่เราจักได้ผ่านเข้าไปสู่โลกที่คุณไม่รู้จัก โลกที่เคลือบแคลง อย่างอาจหาญ การจัดการกับ ความตายเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากยังไม่รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอยู่ ที่จะเรียนรู้ความเป็นไปต่าง ๆ รอบตัวเราในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่

    ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้เป็นมากกว่าผู้วายชนม์ ต่อผู้อยู่มากกว่าผู้จาก เป็นแรงบันดาลใจของการเผชิญหน้ากับ ทุกสถานการณ์อย่างไม่หวาดหวั่น ข้าพเจ้ากราบขอบพระคุณ พระไพศาล วิสาโล ที่ทั้งได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้และยังได้สอบทาน หลังการแปลเสร็จ ทั้งที่ท่านมีภาระมาก รวมทั้งคุณฐิติมา คุณติรานนท์ ผู้ประสานงานให้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย


    อนุสรณ์ ติปยานนท์
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    [​IMG]
    * ภาพ อาจารย์ตรุงปะ


    คำนำ


    คัมภีร์มรณศาสตร์ เป็นหนึ่งในบรรดาคำสอนว่าด้วยการหลุดพ้นหกประเภท อันได้แก ่การหลุดพ้นโดยอาศัยการระลึกได้ การหลุดพ้นโดยอาศัยการลิ้มรส การหลุดพ้นโดยอาศัยการสัมผัส คำสอนเหล่านี้ถูกรจนาขึ้นโดยท่านคุรุปัทมสมภพ และต่อมาภรรยาของท่านนามเยเซ ซอกยุง ได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมกับคัมภีร์สาธนา อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพสันติสี่สิบสององค์ และเทพพิโรธห้าสิบแปดองค์

    คุรุปัทมสมภพฝังคัมภีร์เหล่านี้ไว้ในเทือกเขากัมโป ใจกลางประเทศธิเบต ต่อมาท่านกัมโปปะคุรุท่านหนึ่ง ก็ได้จัดตั้งอารามของท่านขึ้นที่นั่น คัมภีร์และวัตถุศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะถูกฝังไว้ทั่วธิเบตและได้รับการขนานนามว่า " มหาสมบัติที่ซ่อนเร้น " ท่านคุรุปัทมสมภพจักถ่ายทอดพลังอำนาจในการค้นพบคัมภีร์เหล่านี้แก่ศิษย์เอกจำนวนยี่สิบห้าท่านด้วยกัน คัมภีร์เล่มนี้ถูกค้นพบโดยท่าน กรรมะ ลิงปะ เป็นหนึ่งในศิษย์ กลุ่มดังกล่าวของคุรุปัทมสมภพที่กลับชาติมาเกิด

    คำว่าการหลุดพ้นในที่นี้หมายความว่า บุคคลใดก็ตามที่ได้รับรู้ถึงคำสอนเหล่านี้ แม้จะมีภาวะจิตอันเคลือบแคลงสงสัยหรือเปิดกว้าง ย่อม สัมผัสกับประพิมประพายแห่งการตรัสรู้ โดยผ่านอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้

    กรรมะ ลิงปะ เป็นคุรุในนิกายนยิงมา ทว่าสานุศิษย์ของเขาทั้งหมดสังกัดอยู่กับนิกายกาคิว เขาถ่ายทอดคำสอนเหล่านี้ให้แก่ โดกุล ดอร์จี ศิษย์ของเขาเป็นครั้งแรก

    บรรดาผู้ศึกษาคำสอนเหล่านี้ จะทำการฝึกฝนสาธนา และทำความเข้าใจกับเทพทั้ง ๒ กลุ่ม ( มณฑล ) อย่างครบถ้วน จนกลายเป็น ประสบการณ์ของตนเอง ข้าพเจ้าเองได้รับการถ่ายทอดคำสอนนี้เมื่ออายุได้แปดขวบ และถูกฝึกฝนโดยวิปัสสนาจารย์ประจำตัวข้าพเจ้า อาจารย์จะพาข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยียนผู้กำลังจะสิ้นใจเสมอประมาณ ๔ ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ การทำการติดต่อสัมพันธ์กับกระบวนการแห่ง ความตายเช่นนี้ โดยเฉพาะการเฝ้ามองเพื่อนรักและญาติสนิทค่อย ๆ จากเราไปนั้น ย่อมมีความสำคัญต่อผู้ฝึกฝนคำสอนนี้มาก ทั้งนี้เพื่อให้ ความคิดในเรื่องของอนิจจังภาวะ กลายมาเป็นประสบการณ์ชีวิตแทนที่จะเป็นแต่ความนึกคิดทางปรัชญา

    หนังสือเล่มนี้พยายามจะประยุกต์คำสอนดังกล่าวให้เข้ากับผู้สนใจ และบรรดานักศึกษาพุทธธรรมในโลกตะวันตก ข้าพเจ้าหวังว่า คัมภีร์สาธนาจะได้รับการแปลออกมาในกาลต่อไป เพื่อที่ว่าคำสอนแนวนี้ จะได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วน

    เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
     
  7. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    [​IMG]


    บทนำ

    โดยอาศัยการอธิบายเค้าโครงย่อ ๆ ของแนวคิดทางพุทธธรรมที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ย่อมก่อประโยชน์ในการเข้าใจถึงรายละเอียดที่มีอยู่ใน ภาคอรรถาธิบาย การยึดมั่นในตัวตนของเรา ( ตัวกูของกู ) จักถูกวิเคราะห์ในระบบของขันธ์ห้า คำว่าขันธ์ แปลว่ารวมความได้ว่า กลุ่มหรือออกอง แต่ความหมายจริง ๆ ของมันคือ " องค์ประกอบทางจิต "

    องค์ประกอบแรกได้แกรูป อันเป็นจุดเริมของความเป็นปัจเจกและการดำรงอยู่อย่างแยกตัวออกมาและจัดแจงประสบการณ์ออกเป็นทั้ง อัตวิสัยและภววิสัย บัดนี้มีตัวตนแต่เดิมที่ใช้รับรู้โลกภายนอก ทันทีที่การรับรู้นี้บังเกิดขึ้น ก็จะบังเกิดปฏิกิริยาตอบโต้อันเป็นขันธ์ที่สอง นามว่า เวทนา เวทนาเป็นอารมณ์ที่ยังไม่อิ่มตัวเต็มที่ เป็นเพียงความรู้สึกรักชอบ หรือไม่แบ่งแยกเราเขา ตามสัญชาตญาณนั้น ๆ แต่แล้วมันเริ่มซับซ้อนขึ้น เมื่อเจ้าตัวตนนี่เริ่มประเมินตัวเอง โดยการเปลี่ยนสภาพจากผู้รับรู้เป็นผู้ลงมือกระทำ อันเป็นสถานะขันธ์ที่สาม นามว่าสัญญา หรือการรับรู้ เป็นความรู้สึกอันเต็มเปี่ยม เมื่อเจ้าตัวตนได้ตระหนักถึงแรงกระตุ้นและทำการตอบโต้โดยพลันต่อสิ่งต่าง ๆ องค์ประกอบที่สี่ได้แก่ สังขาร หรือการปรุงแต่ง อันจะครอบคลุมกิจกรรมทางอารมณ์และกิจกรรมทางปัญญาที่เฝ้าแปลความหมายที่ ตามติดการรับรู้ องค์ประกอบนี้จะผูกองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเริ่มสร้างบุคลิกลักษณะและกรรม ขั้นสุดท้ายจะเป็นวิญญาณ ที่ได้ผสมรวมทุกสัมผัสรับรู้และจิตใจเข้าด้วยกัน บัดนี้เจ้าตัวตนได้กลายเป็นสากลจักรวาลซึ่งแทนที่มันจะรู้โลกดังที่เป็นอยู่ มันกลับก่อ จินตนาการต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง

    คำสอนพื้นฐานในหนังสือเล่มนี้ได้แก่การทำความเข้าใจถึงการที่บุคคลได้เกิดความรู้สึกเป็นตัวตนและถอนออกจากความรู้สึกดังกล่าว เมื่อทำได้เช่นนั้น ส่วนประกอบขันธ์ทั้งห้าของจิตซึ่งสับสนหรืออวิชชาจะกลายเป็นปัจจัยแห่งการตรัสรู้ องค์ประกอบทั้งห้าจะกลับสู่ ภาวะอันบริสุทธิ์ ซึ่งจะปรากฏในระหว่างห้าวันแรกของบาร์โดหรืออันตรภพ

    ในระหว่างประสบการณ์ดังกล่าว ภูมิทั้งหกได้ปรากฏขึ้นด้วยเป็นภาวะจิตซึ่งมีอวิชชา ซึ่งจะได้รับการพรรณาอย่างละเอียดในคำสอนนี้ แต่ละภพจะปรากฏขึ้นพร้อมกับทางเลือกอื่น ๆ อันเป็นโอกาสละทิ้งซึ่งความปรารถนาเฉพาะอย่าง ละเลิกการยึดเพื่อความมั่นคงแห่งตัวตน แต่กลับปลดปล่อยตนเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาซึ่งได้ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับแต่ละภพ

    ปัญญาดังกล่าวเหล่านี้ได้แก่อาณาจักรแห่งตถาคตทั้งห้า คำว่า ตถาคต หมายถึงผู้ไปแล้วด้วยดี ซึ่งอาจให้ความหมายเทียบเคียงได้ว่า เป็นผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นสารสาระแห่งสัจธรรมอันเป็นความหมายใกล้เคียงกับคำว่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และชินะ ผู้ทรงชัย ตถาคตทั้งห้า เป็นพลังห้าแบบใหญ่ ๆ ของพุทธภาวะ อันหมายถึงปัญญาที่ได้ตื่นขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ ตถาคตเป็นรูปปรากฏของปัญญาห้าประการ ทว่าในสังสารวัฏ อันหมายถึงโลกหรือภาวะแห่งจิตที่เราอาศัยอยู่ พลังงานเหล่านี้ปรากฏในรูปของอกุศลหรืออารมณ์อันสับสนทั้งห้า ทุกสิ่งในโลกหล้า ทั้งสัตว์สถานที่และสิ่งของต่าง ๆ ล้วนมีคุณลักษณ์โดดเด่นที่ข้องเกี่ยวกับหนึ่งในพลังงานทั้งห้า ดังนั้น นามอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจึงได้แก่ ปัญจสกุล

    ตถาคตองค์ที่หนึ่ง ที่สถิตอยู่ ณ ใจกลางแห่งมณฑล ได้แกพระไวโรจนพุทธ พระองค์เป็นตัวแทนแห่งอกุศลพื้นฐาน อันได้แก่อวิชชา เป็นความโง่งมที่ระมัดระวังตั้งใจอันเป็นที่มาของอกุศลอื่น ๆ พระองค์ยังเป็นปัญญาแห่งธรรมธาตุ อันได้แก่ อากาศอันไม่มีขอบเขต ที่ซึ่งทุกอย่างได้บังเกิดขึ้น เป็นด้านหักล้างแห่งอวิชชา ความที่พระองค์ทรงเป็นต้นเค้าและเป็นศูนย์กลาง สกุลของพระองค์จึงเป็น ที่รู้จักกันในนามของตถาคตหรือพุทธะเป็นด้านตรงข้ามกับอวิชชา

    ตถาคตองค์ที่สอง ได้แก่ พระอักโษภยพุทธ สถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแห่งมณฑล ตามคติของชาวอินเดียจะอยู่ด้านล่างสุด ในบางคัมภีร์ พระอักโษภยพุทธอาจปรากฏอยู่ศูนย์กลางมณฑล โดยมีพระไวโรจนพุทธสถิตอยู่ทางทิศตะวันออกแทน อาจทำให้เกิดการสับเปลี่ยนคุณลักษณะพื้นฐานบางประการ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสีขาวและสีครามจึงปรากฏในวันที่หนึ่งและวันที่สอง และมักเกิดความสับสน ในแบบแผนของมณฑล พระอักโษภยพุทธเป็นผู้ปกครองวัชรสกุล อกุศลประจำองค์ได้แก่ความก้าวร้าวและความเกลียดชัง อันได้รับ การแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาญาณที่แจ่มใสดุจกระจกเงา ที่สะท้อนทุกสิ่งอย่างแจ่มชัดไม่บิดเบือน

    ในทางทิศใต้แห่งมณฑล ค่อนมาทางซ้าย พระรัตนสัมภวพุทธ ผู้ปกครองรัตนสกุล รัตนะ หมายถึงเพชร และในบางกรณีหมายถึง มณีล้ำค่าที่สนองตอบความต้องการ ดังนั้นยาพิษในที่นี้จึงไก่ มานะ อันเป็นผลมาจากการครอบครองความมั่งคั่งในทุกรูปแบบ ด้านหักล้างของมันได้แก่ปัญญาญาณแห่งความเท่าเทียม และวางเฉย หรืออุเบกขา

    ในทางทิศตะวันตก พระอมิตาภพุทธ อันอยู่ในสกุลปัทมะหรือดอกบัว พระองค์เป็นสัญลักษณ์ของความใคร่และกระหายต้องการเสพทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญญาญาณ อันตรงข้ามอกุศลได้แก่ ความไม่แบ่งเขาแบ่งเรา อันก่อให้เกิดความสงบรำงับ และการปล่อยวางต่อความปรารถนา จนเปลี่ยนเป็นการุณย์แทน

    ลำดับสุดท้าย ณ ทิศเหนือ หรือด้านขวาแห่งมณฑล พระอโฆสิทธิพุทธแห่งกรรมสกุล กรรมหมายถึง การกระทำ มีสัญลักษณ์คือดาบหรือ วัชรไขว้ ความริษยาเป็นอกุศลที่ข้องเกี่ยวกับผลกรรม อุบัติจากความทะยานอยากที่ไม่ได้รับการตอบสนองอันก่อให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ นานาติดตามมา กุศลตรงข้ามได้แก่ ปัญญาที่ยังกิจสำเร็จในการณ์ทั้งปวง

    ตถาคตทั้งห้ายังมีคุณลักษณ์อื่นอีกมากมาย ซึ่งได้พรรนาแลอธิบายไว้ในภาคอรรถาธิบาย นอกจากนี้ ตถาคตทั้งห้าแต่ละองค์ยังมาคู่กับ อิตถีภาวะและประกายฉายฉานแห่งโพธิสัตว์ด้วย

    ในขณะที่พระพุทธองค์ทั้งหลายเป็นรูปธรรมของการตรัสรู้ที่ไปพ้นความสับสนวุ่นวายของชีวิต พระโพธิสัตว์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง การบำเพ็ญกิจอย่างแข็งขันเพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายคือกิจกรรมภายนอกของปัญญาทั้งห้าร่วมกับพลังงาน แห่งอิตถีภาวะ ที่มอบความอุดมพรั่งพร้อม อันทำให้กิจสำเร็จและปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ เหล่าทวยเทพดังกล่าวที่ปรากฏในหนังสือ เล่มนี้ถือได้ว่าเป็นการแสดงออกของโลกในท่ามกลางความเป็นจริง เทพเหล่านี้เป็นรูปปรากฏของพลังงานที่แตกต่างกันออกไป อันเราจักประสบอยู่เสมอทั้งใจ กาย จิต และอารมณ์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่พินิจชีวิตของเราในแง่ของพลังงาน แต่ผลกระทบของมันก็บังเกิด ขึ้นกับเราตลอดเวลา ในภาคอรรถาธิบาย ท่าน เชอเกียม ตรุงปะ ได้ตีความพลังงานเหล่านี้โดยใช้ภาษาที่เราจดจำได้ง่าย ๆ ได้แก่ อารมณ์ คุณสมบัติ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต การกระทำและเหตุการณ์

    ดังนั้น ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนขึ้นสำหรับผู้ตายโดยเฉพาะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นเรื่องของชีวิตด้วยเช่นกัน พระพุทธองค์ มิได้ทรงหยิบยกถกเถียงว่าภายหลังจากดับจากโลกนี้ไปจะมีอะไรบังเกิดขึ้นกับเรา นั่นเป็นเพราะว่าปัญหาดังกล่าวหาประโยชน์มิได้ในการแสวงหาสัจธรรมในปัจจุบันขณะ ทว่าแนวคิดเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด การดำรงอยู่ในภพทั้งหก และสภาวะระหว่างภพ ล้วนเกี่ยว ข้องกับชีวิตนี้เป็นอย่างยิ่ง ส่วนมันจะเกี่ยวพันกับชีวิตหลังความตายหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง การตระหนักว่า จุดประสงค์ของการอ่าน คัมภีร์มรณศาสตร์ให้ผู้ตายก็คือการเตือนใจเขาให้ระลึกถึงสิ่งที่เขาได้กระทำยามมีชีวิตอยู่ หนังสือเกี่ยวกับความตายเล่มนี้สามารถบอกเรา ได้ว่าเราควรจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไรในปัจจุบันขณะ


    ฟรานเชสก้า เฟอร์แมนเดิ้ล
     
  8. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    อรรถาธิบาย
    โดย เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช


    ถ้อยความแห่งคัมภีร์

    ดูเหมือนจะมีปัญหาพื้นฐานบางประการที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันเป็นเบื้องแรกเมื่อเราพูดถึงคัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต หากผู้อ่านศึกษา คัมภีร์เล่มนี้โดยเทียบเคียงกับคัมภีร์ศพแห่งอียิปต์ ในด้านของตำนานและเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับบุคคลผู้ล่วงลับไป อาจทำให้เราคลาดออก จากประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นที่ข้องเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานในเรื่องของการเกิดและการตายอันดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในชีวิตเรา ซึ่งอาจทำให้เราขนานนามคัมภีร์เล่มนี้ว่าเป็นคัมภีร์ชาตศาสตร์ได้ด้วยเช่นกัน คัมภีร์เล่มนี้ไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การสิ้นชีพเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีมุมมองเกี่ยวกับความตายที่แตกต่างไปจากธรรมดามากทีเดียว มันเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับช่องว่างเป็นช่องว่างระหว่างการเกิดและการตาย เป็นภาวะแวดล้อมที่ซึ่งเราจักปฏิบัติหายใจแสดงกิริยาอาการ เป็นสถานที่ที่ก่อแรงบันดาลใจให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น

    วัฒนธรรมบอนที่ดำรงอยู่ก่อนการเข้ามาของพุทธศาสนาในธิเบต มีคำชี้แนะอย่างละเอียดว่าสมควรจักปฏิบัติต่อพลังจิตที่ถูกละทิ้งไว้โดย ผู้ตายอย่างไรดี สิ่งที่ผู้ตายหลงเหลือไว้นั้น ได้แก่ รอยเท้า ระดับอุณหภูมิ อันทำให้คาดคิดได้ว่าทั้งวัฒนธรรมบอนและวัฒนธรรมอียิปต์ ต่างก็มีรากฐานจากประสบการณ์ดังกล่าว คำแนะนำดังกล่าวเป็นในแง่ว่าจะทำอย่างไรดีกับรอยเท้า มากกว่าจะมุ่งความสนใจไปยัง มโนวิญญาณของผู้ตาย ทว่าหลักการสามัญที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงในที่นี้นั้น ได้แก่บรรดาความไม่แน่นอนที่ปรากฏในสภาวะเปี่ยมสติและ ความคลุ้มคลั่ง

    คำว่าบาร์โดนั้นหมายถึง ช่องว่าง แต่กลับมิได้หมายเอาถึงช่วงพักในภายหลังการจบชีวิตของเราเท่านั้น หากยังหมายถึงช่องว่าง ในสถานการณ์ชีวิตประจำวันด้วย การแตกดับนั้นปรากฏในสภาวะการดำเนินชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา ประสบการณ์บาร์โดเป็นส่วนหนึ่ง จากการปรุงแต่งทางจิตวิทยาโดยพื้นฐานของเรา ความจริงแล้วประสบการณ์แห่งบาร์โดทุกประเภทอุบัติกับของเรา ทั้งความหวาดระแวง และความไม่แน่นอนแห่งชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่นความไม่แน่ใจในสภาพความเป็นอยู่ของเรา เราไม่รู้ว่า ตนกำลังแสวงหาสิ่งใดหรือ มุ่งสู่สิ่งใด ด้วยเหตุนี้คัมภีร์เล่มนี้จึงมิใช่เป็นเพียงถ้อยความสำหรับผู้ที่กำลังจะตายหรือได้ดับสิ้นลงไปแล้ว หากยังเป็นสารสำหรับบุคคล ที่ได้ถือกำเนิดแล้วอีกโสตหนึ่งด้วย การเกิดและการดับเกิดขึ้นกับทุกผู้คนในทุก ๆ ขณะภาวะ

    ประสบการณ์บาร์โดภพสามารถแยกพิจารณาได้เป็นเรื่องราวแห่งภูมิหก แห่งการคุมขังที่เราต้องเผชิญผ่าน เป็นภูมิหกแห่งสภาวะทางจิตใจ ของเรา ในรูปของภูติผีเทวาต่าง ๆ กัน ดังได้พรรณาบรรยายในคัมภีร์เล่มนี้ ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการตายเราจะประสบกับเทพชั้นสูง ส่วนในสัปดาห์สุดท้าย จักปรากฏตถาคตทั้งห้าและเทพเฮรุกามากมาย และหมู่เการิศอันเป็นผู้เชิญสารแห่งตถาคตทั้งห้า เหล่าภูติผีปีศาจ เหล่านี้จักปรากฏตนในรูปแบบน่าหวาดกลัวและแปลกตายิ่งนัก รายละเอียดที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้หาใช่อาการจิตหลอนหรือนิมิตที่ปรากฏหลังการตายเท่านั้น หากยังเป็นแง่มุมในสถานการณ์แห่งชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้า

    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาพนิมิตมายาเหล่านี้อาจหมายถึงสิ่งที่ปรากฏในการฝึกฝนสมาธิภาวนา อันเป็นกระบวนการที่จะไม่มีใครช่วยเหลือ เกื้อกูลเราได้ ทุกสิ่งถูกทอดทิ้งให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวอย่างโดดเดี่ยว เป็นการเผชิญหน้าในสิ่งที่เราเป็น อาจเป็นได้ที่คุรุหรือกัลยาณมิตร เป็นผู้ปลุกเร้าส่วนนั้น แต่โดยพื้นฐาน พวกเขาหามีส่วนร่วมด้วยไม่

    แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจริงภายหลังการตายของเรา มีใครเคยกลับมาจากเชิงตะกอนหรือหลุมศพและบอกเล่าถึง ประสบการณ์ที่เขาพานพบมาหรือ ทว่ารอยประทับเหล่านี้กลับทรงพลังมาก จนบุคคลที่เพิ่งถือกำเนิดมาใหม่จักมีความทรงจำในช่วงเวลา ระหว่างการเกิดและการตายอันใหม่สด ทว่าเมื่อเราเติบโตขึ้นเราจักตกอยู่ใต้อิทธิพลแห่งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคม อีกทั้งเรายังตกอยู่ ใต้แบบแผนการเลี้ยงดูอันแตกต่างกันไป ดังนั้นรอยประทับอันลึกล้ำจักลบเลือนไป เว้นแต่ในบางครั้งบางคราที่มันจะผุดขึ้นชั่วพริบตา เมื่อนั้นแลเราจักสงสัยใคร่รู้ในประสบการณ์เยี่ยงนั้น และเราจักเริ่มหวาดหวั่นที่จะสูญเสียสิ่งที่จับต้องได้อันได้แก่การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ จนทำให้เราปฏิเสธหรือลังเลต่อสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ การพิจารณาเรื่องราวเหล่านี้จากแนวคิดที่ว่ามีสิ่งใดปรากฏขึ้นภายหลังการตายของเรา ดูออกจะคล้ายกับการศึกษาเรื่องราวในตำนาน แต่จริงแล้วเราจำเป็นต้องมีประสบการณ์บางอย่างในภาวะบาร์โด

    เรื่องราวเหล่านี้เป็นประสบการณ์ขัดแย้งแห่งกายและวิญญาณ ประสบการณ์ต่อเนื่องระหว่างการเกิดและการตาย ประสบการณ์บาร์โดแห่งธรรมดา แสงสุกใส ประสบการณ์ใกล้จุติ บิดามารดาในอนาคตหรือภูมิที่เราจะไปจุติ เราย่อมได้พบเห็นนิมิตแห่งเทพสันติและเทพพิโรธ ซึ่งปรากฏอย่างต่อเนื่องในเวลานั้น หากเราหาญกล้าและเข้มแข็งเพียงพอเราย่อมเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างองอาจ ครั้นแล้วประสบการณ์แห่งความ ตายและสภาวะบาร์โดก็จะไม่เป็นเพียงตำนานหรือเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนกอีกต่อไป เพราะว่าเราได้เตรียมตัวอย่างพร้อมมูลและ ทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่งไว้ก่อนหน้าแล้ว
     
  9. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    [​IMG]



    สภาวะบาร์โดที่ปรากฏก่อนตาย




    ประสบการณ์บาร์โดแรกสุดได้แก่ ความไม่แน่ใจที่ว่าเขากำลังจะตายลงจริง เป็นความรู้สึกในแง่ของการพลัดพรากจากโลกที่เคยอาศัยอยู่ หรือเป็นในแง่ที่ว่าเขาจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่ ความไม่แน่ใจหาใช่เป็นในเรื่องราวของการละร่างไป แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่มั่น อันเคยดำรงอยู่ เป็นการก้าวออกจากโลกของความจริงสู่โลกมายา

    เราอาจอ้างถึงโลกของความจริง ในแง่ที่ว่ามันเป็นสถานที่ที่เราประสบซึ่งความทุกข์ทรมาณ ความดีงามและความเลวร้าย มีความเจ้าปัญญา ที่สรรหาบรรทัดฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ ในลักษณะทวิลักษณ์ ซึ่งหากเราได้ทำการสัมผัสกับความรู้สึกทวิลักษณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง จะพบว่า ประสบการณ์อันจริงแท้นั้นปราศจากการแบ่งแยกแม้แต่น้อย ดังนั้นสภาวะทวิลักษณ์นั้นถูกมองโดยทัศนคติอันแจ่มชัดและเปิดกว้างอัน ปราศจากความขัดแย้ง จะไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความเป็นหนึ่งเดียวที่โอบล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ความขัดแย้งนั้นเกิดจากว่าสภาวะ ทวิลักษณ์ไม่ได้ถูกมองดังที่มันเป็น มันถูกพิจารณาผ่านแง่มุมจนบิดเบี้ยวและโง่งม ในความเป็นจริงแล้วเราแทบไม่เคยรับรู้สรรพสิ่งดังที่มันเป็นเลย เราจึงเริ่มงุนงงสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ เช่นตัวฉัน และภาพเงาฉายแห่งฉันนั้นมีตัวตนอยู่จริงในขณะนั้น ดังนั้นเมื่อเราเอ่ยถึง โลกแห่งทวิลักษณ์ว่าเป็นความสับสนยอกย้อนจริงแล้ว ความสับสนยอกย้อนหาใช่โลกทวิลักษณ์อันสมบูรณ์ไม่ มันเป็นเพียงโลกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น อันเป็นโลกที่ก่อให้เกิดความไม่พึงใจและความไม่แน่นอนอย่างมหาศาล มันถูกก่อหวอดจนถึงจุดที่เกิดความรู้สึกหวาดกลัว ว่าจะกลายเป็นคนวิกลจริต เป็นจุดที่อาจพาเราผ่านพ้นโลกแห่งทวิลักษณ์เข้าสู่ความว่างอันบางเบาและอ่อนนุ่ม อันเป็นโลกแห่งความตาย เป็นสุสานที่ดำรงอยู่ในสายหมอก

    คัมภีร์เล่มนี้พรรณาถึงความตายในรูปขององค์ประกอบแห่งร่างกายในภาวะที่ลุ่มลึกลงไปเรื่อย ๆ คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากเมื่อ ธาตุดินสลายกลายเป็นธาตุน้ำ และเมื่อธาตุน้ำสลายกลายเป็นธาตุไฟ ระบบหมุนเวียนภายในตัวคุณจะดูหยุดยั้งลง และเมื่อธาตุไฟสลาย กลายเป็นธาตุลม ความรู้สึกอบอุ่นหรือเติบโตก็จบสิ้นลง และเมื่อธาตุลมได้ละลายสู่อากาศธาตุคุณย่อมสูญเสียสายสัมพันธ์สุดท้ายที่มีต่อโลก ในที่สุดเมื่อที่ว่างและมโนวิญญาณแปรเปลี่ยนสู่ศูนย์กลางนาภีย่อมบังเกิดแสงสว่างภายใน สรรพสิ่งจะน้อมลงสู่เบื้องในอย่างสิ้นเชิง

    ประสบการณ์ดังกล่าวนี้อุบัติขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สถานะอันจับต้องได้อ้างอิงได้สูญสลายไป และบุคคลนั้นจักไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังเข้าสู่ ภาวะวิมุตติหรือกำลังเสียสติกันแน่ เมื่อใดก็ตามที่ประสบการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นมักปรากฏขั้นตอนสี่ห้าประการอยู่เสมอในขั้นแรก คุณลักษณ์อันจับต้องได้ ที่มีชีวิตจิตใจจะเริ่มพร่ามัว กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณได้สูญเสียสัมผัสทางกาย แล้วคุณจะหันมาเพื่อพาสิ่งที่กำลัง ทำงานอยู่อันได้แก่ธาตุน้ำ คุณย้ำเตือนกับตนเองว่า จิตใจคิดนึกของคุณยังทำงานอยู่ ในขั้นต่อไป จิตใจเริ่มเกิดความไม่แน่นอนว่ามันยัง ปฏิบัติงานอยู่หรือไม่ บางจุดในวงจรการทำงานของมันเริ่มชำรุดบกพร่อง หนทางเดียวในการติดต่อสื่อสาร คือ การผลักดันทางอารมณ์ คุณพยายามจะคิดถึงบุคคลที่คุณรักหรือเกลียดชัง บางสิ่งแจ่มชัด ด้วยเหตุที่คุณลักษณ์แห่งธาตุน้ำในระบบไหลเวียนไม่ทำงานอีกต่อไป ดังนั้นอุณหภูมิอันเร่าร้อนของความรักและความเกลียดชังจึงกลายเป็นของสำคัญ และแล้วคุณจะค่อยกลืนหายไปในอากาศ มีความรู้สึก บางเบาของความปลอดโปร่ง มีแนวโน้มว่าคุณจะเริ่มละทิ้งการผูกติดอยู่กับความรู้สึกรัก หรือการพยายามที่จะจดจำบุคคลที่คุณรัก สิ่งทั้งหลายดูจะดำดิ่งลงสู่ภายใน

    ประสบการณ์ต่อไปได้แก่แสงสว่างเรืองรอง คุณมีทีท่าว่าจะปราชัยเพราะคุณได้ดิ้นรนมาเนิ่นนานแล้วและไม่อาจต่อสู้ต่อไปได้อีก ความรู้สึกทอดทิ้งที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ ดูกับว่าความเจ็บปวดและความสมหวังได้บังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนในเวลาเดียวกัน สายธารอันเชี่ยวกรากของผืนน้ำที่เยียบเย็นดุจก้อนน้ำแข็งและผืนน้ำที่ร้อนระอุได้ไหลรินไปทั่วร่างของคุณ เป็นประสบการณ์อันหนักหน่วง เปี่ยมล้นและทรงพลัง ประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวที่ความทุกข์ทนและปีติสุขไม่อาจแยกขาดออกจากกัน ความพยายามอย่าง แรงกล้าที่จะแบ่งแยกบางสิ่งถูกทำให้สับสนโดยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่สองประการอันได้แก่ ความหวังที่จะเข้าสู่วิมุตติสุข และ ความหวาดกลัวที่จะเสียจริต แรงยิ่งใหญ่สองประการที่เข้มข้นจนกระทั่งก่อให้เกิดความผ่อนคลาย และเมื่อคุณไม่ทำการดิ้นรนอีกต่อไป แสงสุกใสก็จะปรากฏตนตามธรรมชาติ

    ขั้นต่อไปได้แก่การประสบแสงสุกใสในชีวิตประจำวัน แสงสุกใสคือฉากเบื้องหลัง หรือฉากอันเป็นช่องว่างเมื่อความมืดทึบได้จางลง ปัญญาบางประการได้เริ่มทำการเชื่อมต่อกับภาวะตื่นขึ้นแห่งจิต อันนำไปสู่ประพิมประพายแห่งสมาธิหรือพุทธภาวะซึ่งเรียกขานกันว่า ธรรมกาย ทว่าหากเราไม่อาจทำการเชื่อมต่อกับปัญญาพื้นฐานได้ และพลังแห่งความสับสนยังคงมีอำนาจเหนือกระบวนการแห่งจิต พลังอำนาจอันสั่งสมอย่างสะเปะสะปะจะกลับเป็นพลังงานเจือจางหลายระดับ อาจกล่าวได้ว่าจากพลังงานเปี่ยมล้นแห่งแสงสุกใส แนวโน้มในการยึดติดได้พัฒนาขึ้น จากจุดนี้ภพทั้งหกก็จักเกิดขึ้นโดยมีความเข้มข้นต่างกัน แต่อย่าลืมว่า ความเข้มข้นหรือความบีบรัดนั้นไม่อาจดำเนินไปโดยปราศจากพลังงานเป็นตัวกระตุ้น อีกนัยหนึ่งก็คือพลังงานถูกใช้ไปในการจับฉวย ซึ่งบัดนี้เราจะพิจารณาภูมิทั้งหกซึ่งขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณการประพฤติตน
     
  10. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    หาอ่านเพิ่มเติมได้ใน


    คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงแรก


    โพสโดยคุณ "มดเอ็กซ์"


    อนึ่ง ในคัมภีร์ได้อธิบายเรื่องราวช่วงตายและเปลี่ยนภพภูมิ "ตามปกติ"
    เอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ส่วนที่ผมอธิบายเพิ่มมาจาก "ประสบการณ์ส่วน
    ตัว" ซึ่งเป็นเรื่องของ "นอกระบบสามภพ" หรือ "ภพมืด" (กรณีที่หลง
    ทางออกนอกเส้นทางปกติตามตำราคัมภีร์) เมื่อหลงไปสู่ภพมืดแล้ว ก็
    ยากที่จะหลุดพ้น รอดออกมาได้ ผมจึงมาเขียนเรื่องราวของภพมืดไว้ก็
    เพื่อหวังประโยชน์จะพึงมีเกิดแก่ท่านผู้อ่านบ้าง ไม่มากก็น้อยแค่นั้นครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2012
  11. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    จะเดินทางไปโลกต่างๆ (ภพภูมิต่างๆ) แล้วกลับออกมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร?


    เมื่อคุณไร้ซึ่งสังขารแล้ว คุณจะมีเพียง "จิตวิญญาณ" เท่านั้น ซึ่งจิตวิญญาณนั้น สามารถ
    เคลื่อนไปได้หลายวิธี 1. คือ การเดินตามปกติมนุษย์ 2. การเหาะไป ซึ่งจิตวิญญาณนั้นจะ
    ต้องมีฤทธิ์มากพอที่จะเหาะได้ด้วย ไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณชั้นต่ำจะเหาะได้ 3. ขี่พาหนะทิพย์
    เช่น บังลังก์แก้ว, อาสน์บัว, วงล้อทิพย์ ฯลฯ ซึ่งจะเกิดมีได้ตามบุญบารมี 4. ขี่พาหนะสัตว์
    ทิพย์ เช่น มังกรทอง, หงส์ฟ้า, ม้าแก้ว ฯลฯ จะได้มาจากการบำเพ็ญบารมี เช่นกัน เมื่อได้
    เลือกวิธีการเดินทางแล้วก็กำหนดจิตตรงยังเป้าหมาย การกำหนดจิตตรงเป้าหมายเป็นสิ่งที่
    สำคัญมาก เพราะในโลกทิพย์ ไม่มีป้ายบอก, ไม่มีเส้นทางเหมือนโลกของเรา มันไม่มีอะไร
    ที่บ่งบอกถึงว่าที่ใดเป็นที่ใดได้แน่ชัด คุณจะต้องกำหนดจิตตรงเป้าหมายเป็น "ตัวบุคคล" ก็
    เพื่อจะเคลื่อนจรไปยังท่านผู้นั้น เช่น สุขาวดี คุณอาจระลึกถึงพระยูไล, หรือพระโพธิสัตว์ ก็
    ได้ เพราะการระลึกถึงสถานที่ในสุขาวดีมันยากกว่าการระลึกถึงบุคคล ใช่ไหมครับ? (สถาน
    ที่มันมีรายละเอียดมาก เช่น หน้าเจดีย์เกตุแก้วจุฬามณี นี่มันก็นึกยาก จำยาก ใช่ไหมครับ?)
    การจรไปในภพมืด คุณอาจต้องเสี่ยงมาก เพราะบุคคลที่คุณจะระลึกถึงและนำพาคุณไปนั้น
    ล้วนเป็น "ซาตานทั้งสิ้น" แต่คุณก็ต้องอาศัยเขา จึงจะผ่านมิติของเขาเข้าไปได้ซึ่งแน่นอน
    ว่า "เขาต้องได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่าจากท่านแน่ๆ" ทางที่ดีคือ การยอมทำงานให้เขา แต่
    ต้องทำกิจอย่างระมัดระวัง จึงจะจรเข้าออกภพมืดได้ และอาจสามารถนำพาวิญญาณมืดให้
    หลุดพ้นตามเราออกมาได้ (เป็นการปลดปล่อยจิตวิญญาณมืด ที่ถูกกักขังอยู่ในภพมืดครับ)


    การเดินทางไปภพนรก ไม่ยากเท่าไรนัก หากมีดวงแก้วมณีทิพย์คุ้มครองกาย ก็ไม่ได้รับผล
    ร้ายจากเพลิงนรก (ท่านจะมีได้ด้วยการถือศีล, ครองศีลดีแล้ว) แต่การจรไปในโลกมืดของ
    ซาตาน อันตรายมากกว่ามาก และมีโอกาสพลาด เสีย "จิตวิญญาณให้ซาตาน" ไปได้ด้วย
     
  12. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    สวัสดีครับคุณบาร์โด...ชีวิตของคนเราไม่มีความแน่นอนเลยจริงๆ...จะไปทุคติหรือสุขคติก็ยังไม่รู้...
     
  13. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    ทำจิตให้ "ผูกพันกับญาติที่พึ่งได้ เป็นเนื้อนาบุญ" จึงจะง่ายที่จะขึ้นสวรรค์


    คงยากที่จะทำให้ปุถุชน ไม่ห่วง ไม่ผูกพันลูกหลาน แต่จะดีกว่าและง่ายกว่าถ้าจะให้
    "เลือกผูกพันกับญาติที่ดี พึ่งได้จริง เป็นเนื้อนาบุญ" เช่น ญาติคนใดคนหนึ่งที่มีจิต
    ดีงาม และไม่หลงโลก จิตตรงนิพพาน, ตรงพระรัตนตรัยแท้, ตรงสวรรค์จริงๆ ไม่
    ไขว้เขวเป๋ไปนอกทาง หรือผูกพันผู้อื่นที่ไม่ใช่ญาติ เมื่อตายลงจะคิดถึงและผูกพัน
    ก็แต่คนผู้นี้ ซึ่งคนผูนี้ควรเป็น "เนื้อนาบุญ" จึงจะฉุดช่วยให้คนได้ขึ้นสวรรค์ได้จริง
    ถ้าเป็น "เนื้อนาเน่า" คือ ทำบุญไม่งอกเงย ทำบุญมาก ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะมี
    จิตตกต่ำมาก แบบนี้ไม่ควรเอาจิตใจไปผูกพันด้วย, ไม่ควรไปหลงใหล, ผูกมัดมาก
    เพราะ "จิตที่คุ้นเคยกับใคร" ก็จะไปตามความเคยชินนั้น และจะเสี่ยงต่อการตกนรก


    ดังนั้น "ยังไม่สายที่จะหาเนื้อนาบุญแท้" แล้วสร้างบุญบารมีร่วมกันไว้ หรือมีจิตใจ
    ผูกพันคิดถึงคนผู้นั้นเนืองๆ เพราะเขาจะเป็น "ทางสว่าง" นำทางเราสู่สวรรค์ได้จริง
     
  14. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829

    ชีวิตคนเราหนึ่งชีวิต มีทั้งบุญและกรรม
    ทั้งความดีและความชั่ว สิ่งที่ตัดสินเรา
    ไม่ใช่แค่การทำดีหรือเลว ครั้งหนึ่งแค่
    นั้น มันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของทั้งหมด
    ไม่อาจตัดสินภพหน้าของเราได้ครับ


    สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ "จิตขณะตาย" ครับ
    ซึ่งผู้ฝึกจิตดี จะได้เปรียบกว่าตรงนี้ครับ
     
  15. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    ขอบคุณที่ชี้แนะครับ...คุณบาร์โดนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ..อยากจะคารวะสักหลายๆจอกจริงๆ:cool::cool:
     
  16. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    เป้าหมายของการขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่หลงสวรรค์ แต่เพื่อรับธรรมจากพระวิสุทธิเทพ


    เทวดาที่บรรลุธรรมเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดบนสวรรค์มีมากมายนัก ถ้าเราได้ขึ้น
    สวรรค์ ก็มีโอกาสได้ธรรมจากพระวิสุทธิเทพ เทพเทวดาที่บรรลุอรหันต์แล้วนั้น แต่ถ้าเรา
    ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ก็ไม่ต้องคิดกัน ดังนั้น "ภาคมืด" จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะ "ตัดสายธรรม"
    ไม่ให้ปวงสัตว์ได้ขึ้นสวรรค์ เพราะจะได้ต่อสายธรรมสำเร็จมรรคผลได้บนสวรรค์ กระบวน
    การ "ตัดสายธรรม" ด้วยการ "ตัดเส้นทางสู่สวรรค์" ของภาคมืด จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างแนบ
    เนียนและดูไม่ออกแม้กระทั่ง "การทำบุญสร้างความดี" หลายอย่างแทนที่จะได้ขึ้นสวรรค์
    กลับเข้าสู่ภพมืด ก็มาก เพราะ "เป็นระบบและขบวนการที่ภาคมืดสร้างกับดักรอไว้แล้ว" ก็
    เพราะดูเปลือกนอกเป็นความดี, เป็นบุญ เหมือนกัน แต่ "ใส้ใน" ต่างกัน เช่น ภาคมืด ปั้น
    ให้ "เกิดตัวละครพิเศษ" ให้คนสนใจ สร้างกระแส สร้างเรื่องราวเป็นงานโฆษณา ฯลฯ ให้
    คนแห่ตามๆ กันมา เป็น "กระแสแห่งความหลงสื่อ" ซึ่งทั้งหมดนั้น จะถูกครอบงำและผูกมัด
    ด้วยภาคมืดทั้งหมด ไม่อาจทำบุญสร้างความดีที่แท้จริง ที่ได้ขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริงได้เลย
    นี่ภาคมืดเขาทำงานไปไกลและแนบเนียนขนาดนี้ มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่รู้ และไม่รอดเลย !


    ทว่า หากท่านสามารถ "รอดพ้นจากการครอบงำของโลกนี้ได้" ท่านหลุดพ้นโลกมนุษย์ไป
    สู่ภพสวรรค์อย่างแท้จริง นั่นคือ ท่านก็มีโอกาสต่อสายธรรมและสำเร็จอรหันต์บนสวรรค์ได้
     
  17. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829

    ขอเป็นชาดีกว่าเหล้านะครับ
     
  18. nongyao

    nongyao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +346
    โปรดรับการคารวะและศรัทธา
     
  19. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    catt13 ขอบคุณค่ะ ไม่มีคำบรรยาย..
    เคยสัมผัสมาบ้างเรื่องยมทูต
     
  20. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ยมฑูตเกิดจากจิตตัวเองคิดปรุงแต่งไปทั้งนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...