สำหรับผู้ภาวนา แล้วคิดว่ามีสติรู้สึกตัว แต่ผิดไปได้ยังไงมาตรองดู

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ได้คับ, 14 มิถุนายน 2012.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ขออภัย..สัมมาสมาธิทำให้เกิดปัญญายังไงครับ..เกิดขึ้นเฉยๆรึครับ !
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    สมถะของคุณ vitcho หมายถึง กำลังสมาธิที่ได้มาจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าครับ..
    แต่ถึงจิตจะแยกรูปแยกนาม ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจให้จิตเค้ารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกเรื่อง หรือว่าปล่อยให้เค้าแยกเฉยๆยังไงเค้าก็จะกลืนกลับมารวมตัวกันเหมือนเดิมได้ ..ทีนี้จะแยกครั้งต่อไปจะยากกว่าครั้งแรกนะครับ..ผมไม่แย้งกับวิธีปฎิบัติของหลวงพ่อเทียนเลยครับ..แต่ผู้ที่นำมาปฎิบัตินี่หละครับจะเข้าใจคำ่ว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง จนจิตเค้าวาง เค้าละ เค้าเห็นว่า ไม่มีสาระจนเค้าไม่อยากเกิดหรือเปล่า..
    เพราะว่าผมสังเกตุที่หลายๆท่านบอกว่าไม่ทุกข์ เพราะว่าไปทันความคิด ไปคิดว่าวิธีการที่ทำนั้นทำให้จิตเป็นกลาง เลยคิดว่าไม่ทุกข์เพราะไม่มีความคิดอะไรเค้ามา แต่หากความเป็นกลางจุดนี้นะครับ ที่ผมเห็นว่าหากไม่พิจารณา ก็ยากจะไปถึงปลายทางได้นะครับ คุณ vitcho ว่าไงครับจุดนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    วิธีฝึกของหลวงพ่อเทียน..ชัดเจนครับ ฝึกให้เกิดสติสมาธิ แล้วนำสติสมาธินั้น มาเรียนรู้ธรรมอีกทีหนึ่ง..ชัดเจนครับลองทบทวนดูการทำมือ 7 จังหวะ เพื่อต้องการอะไร..!
    ปัจจุบันผมไม่เคยได้ข่าวว่า กระดูกหลวงพ่อเป็น พระธาตุ..จากวิธีฝึก เพราะอะไร ใครได้ข่าวไหมครับ
    เจตนาผมชี้ให้เห็นแค่มันเพราะอะไร ขาดเหตุ-ผล อะไร จึงไม่เป็นพระธาตุ มิมีเจตนาดูหมิ่นแต่ประการใด สาธุครับ
     
  4. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    ใจเย็นๆนะครับ..ธรรมมะ ละเอียด ลึกซึ้ง
    ผม จะเปรียบ ธรรมมะ ว่าเป็น ลูกบอลกลมๆ..
    คุณ เชื่อ มั้ยว่า บนผิวกลมๆ ของลูกบอลเนี่ย มันมี เหลี่ยม อยู่ ทุกอณู..

    เหลี่ยม อันนี้เอง ที่คล้ายๆธรรมมะ..บางที อาจใช่ แต่ มองแล้ว มันไม่ใช่..

    เรื่องที่คุณ สงสัย ผม ตอบรวมๆนะ..การศึกษาธรรมมะ เนี่ย คุณ ต้องตั้ง เอาความจริง ของสภาวะไว้ก่อนว่า จัเป็นจริง..ตาม ที่ พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ เช่น เรื่อง ไตรลักษณ์ เนี่ย มันคือ ความจริง ที่ไม่มีทางแปรผัน...
    ดีงนั้น การ ปฏิบัติธรรม..เนี่ย ทางพระพุทธศาสนา กล่าวว่า การเจริญสติ เป็นการ ปกิบัติธรรม ที่ตรงทางที่สุด อันนี้ ยอมรับมั้ยครับ...
     
  5. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    การตามดูกายเคลื่อนไหว ไม่เข้าไปในความคิด วางมือ7 จังหวะ..ล้วนทำเพื่อไม่ให้"จิต"ส่งออกนอกหรือไปคิด เมื่อจิตไม่คิด ก็ได้กำลังจิต..
    นี่ไงครับ ท้ายสุดที่ได้คือ สมถะล้วนๆเลยครับ ไม่มีปัญญาใดเกิดขึ้นเลย..
     
  6. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ปัญญา ทางพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นได้ด้วยการที่จิต เห็น ปรมัติ ใช่ไหมครับ และต้องใช้จิตที่ทรงสมาธิเท่านั้นมาดูจึงจะเห็นครับ.
     
  7. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    การเข้าใจ ธรรมมะ นั้น แรกๆ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้อง อ่าน ให้พอ จะรู้เรื่องบ้าง..มันคือ สุตตมยปัญญา..การคิดๆ เอาเองนั้น มันคือช่องทาง ให้ จิต ซึมซับ เปลือก และกระพี้ธรรมมากขึ้น ใครก้ตามเมื่อ ได้อ่าน ปริยัติแล้ว..ต้องคิดตามไป และหาเหตุผล คอยเติมเต๊ม ความคิดนั้นๆ..อันนี้ คือ จินตามยปัญญา......

    เมื่อ ถึงจุดนี้ แล้ว...สมอง เรา เต๊มกำลัง แล้ว..จิต ยัง ไม่รับรู้ ธรรรมมะ มากนัก เพระ มันยังไม่พบ ธรรมส จาก การ ปฏิบัติจริง อาศัยการ อ่าน และ คิด..มา 2 อย่าง..แต่ว่า จิตเริ่มคล้อยตามากขึ้น..เหมือน สาสๆ ที่ มีหนุ่มไป จีบใหม่ๆ..ด้วยคำหวาน ด้วยของกำนัล..ต่างๆ ใจสาวจะเริม รักหนุ่มเรื่อยๆ แต่....ทึ่สุดแล้ว ต้องไปใช้ชีวิตร่วมกัน จะรักมากขึ้นหรือไม่..นี่คือ หนทาง สุดท้าย ที่จะมีคำตอบ เมื่อได้ ลงมือ ปฏิบัติ...

    เหมือนกันครับ...ปริยัติเรียนแล้ว ได้ สุตตมยปัญญาแล้ว ได้ คิด ต่อ ก้ ได้ จินตามยปัญญา..แล้ว..ทึ่สุด ต้อวงไป ปฏิบัติ จะได้ ภาวนามยปัญญา...

    ทีนี้ ลงลึกในเรื่องการปฏิบัติ ....
     
  8. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748

    เดี๋ยวก่อนนะ..ผม กำลัง เรียบเรียงอยู่ ..เด๋วผม จบ บท เรียบเรียง จะมาตอบให้ครับ...ใจเย็นๆ
     
  9. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    เรื่อง การ ปฏิบัตื นั้น...มี 3 หนทาง...คือ สมธิ นำปัญญา ปัญญานำสมาธิ และ สมาธิ และ ปัญญา ควบกันไป.....

    ผม จะกล่าวเรื่อง ปัญญา นำสมาธิไปเลยนะครับ..เพระ เป็นสายตรง ในสิ่งที่หลวงพ่อ เทียน ท่านสอนไว้......
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    เมื่อก่อน..การวิจารณ์ การสอนธรรมครูอาจารย์ เป็นเรื่องที่ประเพณีไทย วัฒนะธรรมไทยไม่ยอมรับครับ บาป ตกนรก กลามสูตร10 เลยไม่ใช้กัน..ปิดปากเลยสมองด้วย
    ปัจจุบัน ไม่ใช่แล้วครับ มีอีกหลายสำนักมากที่สอนผิดเพื่อหวังเอาเงินทำบุญ เท่านั้น..ผมไม่ได้เก่งนะครับ..
    คุณลองเกิดสติดู ซีครับ เหตุผลมันเรียงมาให้คุณคิดจนแตกเองครับ (สติภาคปฏิบัตินะครับ) คุณจะเห็นอย่างที่ผมเห็นมากมาย..มันไม่ได้วิเศษวิโสอะไร..แต่มันหนีเหตุ-ผล ของพุทธศาสนาไม่ได้เลย หนีไปไม่ได้เลยครับ
     
  11. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    หลวงพ้อ เทียน ท่านสอน การเจริญสติ.โดยใช้ กรรมฐาน ใน กายานุปัสสนากรรมฐาน บรรพพะ ที่ 3 เรื่อง สัมปชัญญะบรรพพะ..

    คือ ให้ตามรู้ รูป..ทุกๆ ความเคลื่อนไหว..เมื่อกายเคลื่อนไหว ครั้งใด ให้ รู้สึกไปว่า มีการเคลื่อน ของกายเกิดขึ้น..คราวใดก้ตาม ที่รู้สึก ว่ากายเคลื่อน..จะเกิด การ ชัด ในอารมณ์ขึ้น แบบว่า ความรู้สึก มาอญุ่ ที่เนื้อ ตัว 1 ครั้ง....((ค่อยๆ ตาม คิดนะครับ))..เมื่อ เรารู้สึกตัว ปุ๊บ..ใจเราจะไม่ แส่ส่ายออกไป 1 ขณะ จิต เจตนา สำคัญ อยู่ตรงนี้ และ การ รู้แบบนี้ ไม่ใช่ คำตอบทั้งหมดว่า จะ ขาด จาก อารมณ์ อื่นๆใหม่ๆหรือแบบเก่าๆ จะหมดไป.ยังครับ
    มันยังเกิดได้อีก..เรื่อง ฟุ้งซ่านต่างๆ.ยังเกิดได้

    ตรงนี้ น่าจะตอบคุณ ได้ว่าที่ว่า(((((สมถะของคุณ vitcho หมายถึง กำลังสมาธิที่ได้มาจากการนั่งสมาธิหรือเปล่าครับ..
    แต่ถึงจิตจะแยกรูปแยกนาม ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจให้จิตเค้ารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกเรื่อง หรือว่าปล่อยให้เค้าแยกเฉยๆยังไงเค้าก็จะกลืนกลับมารวมตัวกันเหมือนเดิมได้ ..ทีนี้จะแยกครั้งต่อไปจะยากกว่าครั้งแรกนะครับ..))))

    การ ขาด ตอนของ อารมณ์ บ่อยๆนั้น..ภพใหม่ จะไม่เกิด แต่ภพ เก่าๆ มันจะค่อยๆฝ่อไป..
    อย่าอ่าน จากผม แล้ว บอกว่า ไม่น่าทำได้ อ่านแล้วลอง ดูครับ หาก ตั้งใจจริง ไม่น่าเกิน 20 วัน จะรู้ว่า เออ อารมณ์ มันเบาขึ้นจริง ต้องลองครับ..
     
  12. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    จิต ที่ กลับมา อยู่กับเนื้อ กับตัว บ่อยๆ แต่ ครั้งละ เดี๋ยวเดียวนี่เอง...
    ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ...เล็กๆ แต่ มีความหมาย..การสั่งสม ขณิกสมาธิ นี่เอง..
    ที่มีผลในอนาคต..คุณลองดู พระ อานนท์ สิ...ท่าน เจริญสติ หลายสิบปี..
    เป็นเพราะ ท่าน มีหน้าที่ ดูแล พระศาสดาด้วย..การ เจริญสติ จึง ขาดตอนบ้าง แต่ก้
    มีการสะสม บารมีตลอด..จน พระศาสดา สิ้นไป แล้ว 3 เดือน พระอานนท์ ท่านจึงได้ บรรลุธรรม..พระ อานนท์ นั้น มี การทำสมถะ และ เจริญสติ ควบคู่ไปด้วยตลอด ท่านจึง ชำนาญ อิทธิวิธีด้วย..การเดิน จงกรม ของท่าน..ท่านก็ เดินด้วยความ มีสติ ไม่เพ่งจ้อง ที่เท้า ไม่ บริกรรม ที่ใจ....แต่ ท่านเดินไป ด้วยใจ สบายๆ เมื่อเท้ากระทบ ท่านก็ รู้สึก ว่า มีแรงกระทบที่เท่าเกิดขึ้น เมื่อใจไหลไปคิด ท่านก็รู้ว่า ใจท่าน ไหล ออกนอก...

    การ รู้ แบบนี้เอง ทำให้ จิต มี สมาธิเกิด บ่อยๆ แต่ไม่แช่...
    สมาธิแบบนี้ ไม่แช่ นิ่ง สมาธิแบบนี้ เรียกว่า ลักขณูปนิฌาณ
     
  13. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748

    มาจัดให้ครับ....
    สัมมาสมาธิ คือ สมาธิ แบบบริสุทธิ์ ที่เกิด จากการ ที่จิตเห็น ไตรลักษณ์..มันจะวางความยึดติด แค่ชั่วขณะ..สมาธิแบบนี้ได้มาจาก การ เจริญสตื..แบบทันกาย ทัน ใจ..จึงจะเกิด...เมื่อ มันเกิด มันจะ ปล่อยอุปปาทาน การปล่อยอุปาทาน.นี้เอง ทำให้ ตัวมันเองเห็นว่า สรรพสิ่ง มันไม่เที่ยง เพราะ ตัวมันเอง ยัง ขาดตอนได้เลย..มันขาดตอน จากการ ปรุงแต่ง มันขาด เพราะ เรา รู้ทัน สติ เกิด มันขาด การขาด นี่เอง ที่เผยตัว จิตเองว่า..มัน เกิดๆ ดับๆ..

    การที่มันเห็น เกิดๆ ดับๆ นี่เอง..มันเกิดปัญญาแล้ว ว่า ที่แท้ จิตเราไม่มีจริง เกิดเ และดับตลอดเวลา..อันนี้ คือ คำว่า ปัญญา ทางจิต เป็นปัญญา แบบปรมัตถ์ ไม่มใช่ สมอง ฉลาด คิด เก่ง แบบนั้น ปัญญา ทางโลกียะ. ยังผันแปรได้ตลอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    แหมๆ คุณ Vitcho ผมปกติใจเย็นอยู่แล้วครับ ถือว่าพักเรื่องเลข 555+ มาสนทนาธรรมกันแล้วกันครับ
    ที่คุณถามตามคำที่ขีดเส้นใต้ ตอบว่ายอมรับครับ ว่าการเจริญสติ เป็นการ ปฎิบัติธรรมที่ตรงทางที่สุด และในกรณีที่เรากำลังกล่าวถึง ก็เป็นวิธีการที่บุคคลส่วนมาก สามารถเข้าถึงได้โดยง่ายเหตุเพราะ
    1.ใช้กำลังสมาธิไม่มาก แต่คงปฎิเสธผมได้ยากนะครับว่า ความจริงแล้วการเจริญสติก็เป็นการฝึกสมาธิแบบลืมตาชนิดหนึ่งแต่ได้กำลังสมาธิไม่มาก เพราะส่วนมากจะเข้าใจว่าฝึกสมาธิต้อง มานั่งเป็นพิธิการ หรือ เดินจงกลมอะไรทำนองนี้ใช่ไหมครับ..
    2.พอกำลังสติมากเพียงพอ ที่จะทันได้ตั้งแต่ต้นเรื่องหรือทันเห็นได้ในขณะที่ความคิดกำลังจะเข้าไปร่วมกับจิต เค้าจะแยกกันออกได้เองใช่ไหมครับ..
    ที่นี้ประเด็นที่ความเข้าใจในทางที่ดีของแต่ละท่าน แต่อาจจะสื่อความหมายและเห็นต่างกันก็คือ

    1.ตามสายของหลวงพ่อเทียน ที่ท่านสอนนั้น คำว่า ไม่เผลอ ไม่เพ่ง นั้นนะ ที่เข้าใจกันว่าไม่ทุกข์นั้น ลองพิจารณาดูดีนะครับว่า นั้นคือ ความเป็นกลางของจิตหรือเปล่า เนื่องจาก ณ จุดนี้ จิตจะว่างไม่มีความคิดร่วม นั่นก็คือเป็นกลางเฉยๆ
    2.แต่หากความเป็นกลางเฉยๆนี่หละครับ ที่เป็นประเด็นว่า สามารถที่จะทำให้จิตหลุดพ้น จากความไม่รู้ต่างๆ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดการก่อภพก่อชาติหรือไม่ครับ
    3.ไม่งั้นถ้าผมรักษาความเป็นกลางได้ตลอดหรือรักษาความว่างเป็นอารมย์ได้..ไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง ผมก็สามารถเข้านิพพานได้แล้วซิครับ เหมือนๆคนที่สงบจากกำลังสมาธิอย่างเดียวก็เข้านิพพานได้ซิครับ..
    4.ที่หลายท่านต้องการสะกิด มิได้มีเจตนาจะหลบหลู่ หรือประการใดๆ เพียงแต่ให้ข้อสะกิดใจนิดหน่อย ว่า
    ถ้าหาก หลังจากที่เค้าแยกรูปแยกนามได้แล้ว กำลังสติที่สร้างจะกลายเป็นมหาสติ และจะตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง สติปัญญาตัวนี้ จะต้องหาเหตุหาผลจนจิตเค้ายอมรับความเป็นจริงๆได้ และไม่ใช่ว่าเค้าจะวางง่ายๆ และเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ไรสาระ เป็นทุกข์ เค้าถึงจะไม่อยากเกิด สุดท้ายแม้ตัวจิตเองก็ต้องวาง ถึงจะเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้ ประเด็นอยู่ที่ว่าแล้วอะไรเป็นเครื่องมือในการพิจารณาในการประหารกิเลสหละครับสำหรับวิธีการสายหลวงพ่อเทียนครับ..
    ปล.ที่เขียนเนี่ยว่า วิธีการที่ว่านี้ เป็นเส้นทางการเดินทางที่สมบูรณ์จริงๆแล้วหรือถึงปลายทางได้จริงๆหรือเปล่าครับ.. ถ้าจริงๆ ทำไมวิธีการถึงไม่รู้แจ้งแทงตลอด ทำไมถึงพูดเรื่องปรมัตถ์ไม่เค้าใจ ยังเกิดความสงสัยให้กับบุคคลที่มีจริตไปทางสายอื่นๆมาตั้งข้อสงสัยได้ครับ คุณ vitcho ว่าไงหละ
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมเห็น นักปริยัติ พูดกันบ่อยมากว่า ผัสสะเกิ ทุกข์รู้ สุขรู้..พูดแค่นี้บอกอาการได้3อย่างครับ
    1.รู้ นานแค่ไหนจึงตัดได้ สลัดออก..สติอ่อน-แข็ง แค่ไหนจะบอกได้
    2.รู้..แช่แสดงถึงจิตยังไม่เกิดสติตัวจริงเลย
    3.รู้ สกัด ตัด เลือกสรร กระจาย ได้ทันที..นี่คนเกิดสติตัวจริงเขาทำได้เลยครับฉับพลันทันที ไปดูกระทู้คุณ SUPOP..นั่นเขากำลังฝึกว่างจากอารณ์เพื่อความเป็นกลางของจิต อย่างมีเหตุมีผลครับ
    สติ เขาเหมือนหมาเฝ้าบ้าน เวลามีผัสสะกระทบปั๊บเขารายงานจิตทันทีแบบสายฟ้าแล็บยังไงครับ จิตจะเอาไปพิจราณาต่อหรือจะตัดทิ้งเพราะเขารู้ว่าถ้าคิดต่อปั๊บทุกข์จะตามมาทันทีจิตจะตัดฉับให้เลยครับ..วิญญาณ6 ทำงานต่อไปไม่ได้เพราะถูกสติ คัดสรรเลือกแล้ว รายงานแล้ว ตัดฉับก่อนเลยครับ นี่สติของจริงครับ.
     
  16. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748

    ก่อน อื่น..ขอบอกก่อนว่า การขยับมือ ของหลวงพ่อ เทียนนั้น..มี 14 จังหวะครับ...ไม่ใช่ 7 จังหวะ...ส่วนการ ทำขยับมือไม่ใช่การ ปฏิบัติ ที่บังคับจิตไม่ให้ส่งออกนอก ครับ..แต่ เป้นการ เอา มือ เป็น ตัว ล่อ จิต ให้ คอยตามรู้ทัน..หาก ใครเคยหีดทำ แล้วจะเห็นว่า เมื่อ ขยับมือ แล้ว พอรู้สึก และ ระหว่าง ที่ มือ หยุด จิตจะ ออกนอกทันที และเมื่อขยับใหม่ จิตจะจับที่รู้สึก ใหม่ สลับไป มา ตลอดเวลา...

    การ รู้ แล้ว จิต กลับ 1 ครั้ง และ อออกไปใหม่ และรู้ใหม่..
    การ เข้าๆ ออกๆ นี่เอง...มัน แสดง สภาวะธรรมให้ใจ ได้ เห็น ตัวมันเองว่า มันเกิดๆ ดับๆ ตลอด..

    ซึ่งตรง กับคำ พูด ของพระพุทธองค์ ที่ว่า
    ผู้ใด เห็น เกิด ดับ..แม้ มี ชีวิต วันเดียว ยังดีกว่า ผู้ มี อายุ 100 ปี แต่ไม่เคยเห็น เกิด ดับ..
     
  17. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    1.ตามสายของหลวงพ่อเทียน ที่ท่านสอนนั้น คำว่า ไม่เผลอ ไม่เพ่ง นั้นนะ ที่เข้าใจกันว่าไม่ทุกข์นั้น ลองพิจารณาดูดีนะครับว่า นั้นคือ ความเป็นกลางของจิตหรือเปล่า เนื่องจาก ณ จุดนี้ จิตจะว่างไม่มีความคิดร่วม นั่นก็คือเป็นกลางเฉยๆ
    ......................................................................................

    คำว่า ไม่เผลอ ไม่เพ่ง นั้น..คือ หนทางการปกิบัติ แท้ๆ ถูกต้องครับ
    นี่คือ สิ่งที่พระพุทธองค์ ทรงเอามาสอน เป็นครั้งแรก ที่เริ่ม เทศนาเลยทีเดียว..ท่านสอน เหล่า ปัญจวัคคีย์ ด้วยบทเริ่มอันนี้เอง..การเพ่ง คือ การ ทำสมถะ จนสุดโต่ง กรเผลอ คือ การปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ไหลไปกับทุกๆสภาวะ

    มีแต่ มัชฌิมาปฏิปทาเท่านั้น..คือ จับบ้าง ปล่อยบ้าง จะว่าไม่เพ่ง ก็ ไม่ใช่ จะว่า ปล่อยเผลอไผล ก็ ไม่ใช่..สภาวะ อันนี้เอง ที่เหล่านัก ทำสมถะ ใจยาก..และมีปัญหา กับ การทำ วิปัสสนาแท้ๆมาตลอด

    ในหมู่ นักปฏิบัติ บ้านเรา จึงเลี่ยง การปฏิบัติแบบนี้ ออก ด้วยการ ให้ หัด การปฏิบัติ เริ่มต้นท ที่ การ พิจารณษ มูลกรรมฐ่าน..อันมี ผม ขน เล็บ ฟันหนัง เป็นตัวพิจารณษ ถือว่าเน้น ที่ การ คิด แต่เป็นการ คิด แบบโยนิโสมนสิการ..กล่าวคือ คิด แบบ ไม่เติมแต่งความคิด อื่นๆใส่ลงไป..เช่น เมื่อพิจารณษ ผม ก็ ดุไปตรงๆเลยว่า มันไม่สวยจริง มันสกปรก มันไม่ใช่ เรา และ มันบัลคับบัญชาไม่ได้

    การ ใช้โยนิโสมนสิการนี้เอง ที่ต้อง นั่งสมธิ แบบสมถะ ช่วยบ่อยๆ มากๆ เมื่อว่างในแต่ ช่วงวัน ให้ นั่งสมาธิ ตรงเวลา ตามเวลา ทุกวัน แล้ว มาพิจารณา มูลกรรมฐาน บ่อยๆ ใจจะ ละ อุปาทานได้ ในที่สุด
     
  18. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    2.แต่หากความเป็นกลางเฉยๆนี่หละครับ ที่เป็นประเด็นว่า สามารถที่จะทำให้จิตหลุดพ้น จากความไม่รู้ต่างๆ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดการก่อภพก่อชาติหรือไม่ครับ
    .......................................................................................


    ความเป็นกลาง ที่ คุณ กล่าวถึง นี่ กับความเป็นกลาง..ที่จิตเกิด นั้นคนละขั้นตอน นะครับ...
    หาก เป็นทางวางใจ เพื่อการ ปกิบัติ ก็ ไม่อสจ ตัดภพชาติได้ แต่ หาก กลาง จาก การเจริญสติ แล้ว..ภพชาติ มันขาดไปแล้วครับ..คุณ รู้จักภพชาติ หรือยัง

    ภพดชาติ เนี่ย มัน มี มาแต่ ใจเริ่มเคลื่อนเลยนะ..เช่น แค่คิดเปิด คอม เพื่อมาเวบ พลังจิต เนี่ย เริ่มคิด ก้ เกิด ภพชาติแล้ว..ภพ คือ สภาวะ ที่จะก่อสร้างเรื่องราว สืบเนื่องต่อไป ไม่สิ้นสุด บางภพ ชาติ ก้ สั้นๆ บางภพชาติ ก้ ยาว จนหาจุดเริ่ม และจุดจบไม่เจอ...

    ภพชาติ ไม่ได้หมายถึง การใช้ชีวิต เป็นเรื่องราว หลายๆสิบปี จนตายไปนะครับ..
    มันมี ภพชาติ ย่อยๆ ซ้อนมากมาย..แหมือน ไม้ขีดไฟ เล็กๆ ที่สามาถื แค่ จุด เทียน หรือ สามารถ เผาเมืองได้...(อันนี้ผม เปรียบเทียบนะ))

    การ รู้ทันสภาวะ ต่อหน้า ทุกๆ ครั้งที่รู้ ภพชาติ มันขาด ไปแล้วครับ...
     
  19. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    3.ไม่งั้นถ้าผมรักษาความเป็นกลางได้ตลอดหรือรักษาความว่างเป็นอารมย์ได้..ไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง ผมก็สามารถเข้านิพพานได้แล้วซิครับ เหมือนๆคนที่สงบจากกำลังสมาธิอย่างเดียวก็เข้านิพพานได้ซิครับ..

    อาจจะใช่..ถ้า คุณ ทำ ถุกต้อง ตาม คัมภีร์..เพราะ นิพพานนั้น อยู่ ต่อหน้าต่อตา.เป็น ปรมัตถ์ ที่มีอยู่จริง..เป็น 1 ใน 4 เรื่องจริง ของโลก ที่มีอยู่ แน่นอน...

    พระพุทธองค์ กล่าวว่า..โลกนี้ มี ปรมัตถธรรม 4 อย่าง..((ปรมัตถธรรม แปลว่า ความเป็นจริงสูงสุด ที่มีแน่ๆ)) รูป จิต เจตสิก และ นิพพาน

    ส่วน นิพพาน ที่ ขาด สูญ จาก กิเลส ทั้งมวลนั้น.งไม่สามารถ จะรู้ได้ว่า จะเกิดเมื่อไร..ขึ้นอยู่กับความเพียร และ บารมีธรรม ที่ ปฏิบัติ..
    คุณ ดู พระอานนท์ สิ กว่าจะบรรลุได้ ก็ไม่ณุ้ตัวมาก่อน แถม บรรลุ ตอน ยกขาจากพื้น ตัวกำลังล้มลงนอน..ยังไม่สมบูรณ์ ในการนอน นั้นเลย..ท่าน ก้บรรลุธรรม ตรงนั้น..คุณ คิดว่า นิพาน บัคบได้ไหม..หาก ตอบว่าบังคับไม่ได้ นิพพาน ก็ คือ อนัตตาครับ......
     
  20. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    4.ที่หลายท่านต้องการสะกิด มิได้มีเจตนาจะหลบหลู่ หรือประการใดๆ เพียงแต่ให้ข้อสะกิดใจนิดหน่อย ว่า
    ถ้าหาก หลังจากที่เค้าแยกรูปแยกนามได้แล้ว กำลังสติที่สร้างจะกลายเป็นมหาสติ และจะตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง สติปัญญาตัวนี้ จะต้องหาเหตุหาผลจนจิตเค้ายอมรับความเป็นจริงๆได้ และไม่ใช่ว่าเค้าจะวางง่ายๆ และเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ไรสาระ เป็นทุกข์ เค้าถึงจะไม่อยากเกิด สุดท้ายแม้ตัวจิตเองก็ต้องวาง ถึงจะเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้ ประเด็นอยู่ที่ว่าแล้วอะไรเป็นเครื่องมือในการพิจารณาในการประหารกิเลสหละครับสำหรับวิธีการสายหลวงพ่อเทียนครับ..

    ความคิด ไม่ใช่ ที่สุดของการปฏิบัติ นะครับ...
    ความคิด เป็น อุปกรณ์ สำคัญในการ ปกิบัติธรรม...
    การติดความคิด ทุกๆชนิด ไม่มีทาง เห้นธรรม ได้..ผมกล่าวเสมอๆ ว่า จิต กับสมอง
    ไม่อาจ ร่วม กันได้ แต่ สามารถ ช่วยกันได้ ในแง่ การ ใช้เป็นเครื่องมือ การปกิบัติ...

    หาก แยกรูป แยกนามได้แล้ว...
    มัน ก็ ง่ายขึ้นแล้ว..เพราะ เมื่อใดที่แยก ออกจากกันได้ การเห็นสภาวะ ธรรม..แก่จิต
    จะง่ายมาก และชัดเจน มาก...แต่ การ ละ จิต นี่สิ ยาก มากๆ...มันเวิ้งว้าง จน น่ากลัว

    ครูบาอาจารย์ รุ่นก่อนๆ มักกล่าวว่า..นิพพาน อยู่ฟากตาย
    ผผม มาตรองๆ ดู ก็เห็นจริงตามนั้น..เพราะ เมื่อไร ที่ จิต ไม่เคลื่อนไหว
    มันจะรู้สึกว่า เราเหมือน หลุด โลกไป ไม่มีที่ยึดเกาะ เหมือนคน ตก เหว หรือคน ตกตึก สูงๆมากๆ...

    นิพพาน อยู่ ฟาก ตาย..ใคร ใจไม่ถึง ไม่มีทางถึงนิพพาน..ของจริงครับ...

    คุณถามว่าเครื่องมือ ประหาร กิเลส...
    กิเลส มันโดน รู้ทัน บ่อยๆ เมื่อรู้ทัน จะเห็นบ่อยๆว่า กิเลสไม่ใช่เรา มันจะฝ่อไปเรื่อยๆ..หาก มีการเจริญสติ มากๆ.ต่อเมื่อ จิต เกิดสมาธิ สืบเนื่อง บ่อยๆ นานๆงตามการเกิดดับของจิต ที่เป็นสัมมาสมาธิแล้ว...ตัวจิตนั้นเอง ที่จะ มีพลังในการประหาร กิเลส เพราะ มันสะสมสมาธิจนแก่กล้า จนได้อัปปนาสมาธิในที่สุด และเมื่อนั้น จิตจะแสดงตัว สลัด กิเลสออกเอง..ดังเช่น ตัวอย่างเรื่อง พระอานนท์ ครับ...

    แม้แต่ หลวงพ่อ พุธ ฐานิโยท่านก็ว่าไว้ว่า จิตเหมือนฟองไข่ เมื่อใดที่มในเจริญเต็มที่แล้ว มันจะเจาะ เปลือกไข่ออกมาเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...