ปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 มิถุนายน 2012.

  1. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    กิเลสไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆเเล้วปรากฏให้เห็นโดยไม่มีอะไร เปรียบเหมือนเเสง
    มีปัจจัยให้เกิด เเสงใช่หรือไม่
    อะไรเป็นปัจจัยให้เเสงเกิด เเล้วอะไรทำให้เเสงปรากฏ เเล้วอะไรเป็นผู้รู้เเสง
    "แล้วแสงที่มากระทบใน อุปมาคือดวงตาอีกที?"
    เเสงที่มันกระทบฝาเรือน พิ้นดิน ต้นไม้
    เเล้วให้ตัวเองเป็นผู้รู้ตัวเองหรือ?
    ก็ต้องเป็นดวงตาที่เห็น คุณลองจิตนาการว่าเวลาคุณเป็นขี้เถ้าใครเป็นผู้เห็น?
    ก็ต้องเป็น คนนอกที่เข้ามาดูขี้เถ้าตัวคุณ คุณจะดูขี้เถ้าตัวเองได้หรือไม่?
    เเต่ถ้ายังยึดกับวิญญาณก็ไม่เเน่นะ

    ส่วนที่เหลือคุณต้องศึกษาอีกเยอะเลย บัญญัติทั่งหลายคำลองเเห่งการพูด การเรียก การบัญญัติทั่งหมดมีเพราะ วิญญาณกับนามรูป
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    อ้าว!!!

    เมื่อเป็นธาตุรู้ แล้วรู้สักแต่ว่ารู้(รู้อยู่ที่รู้) ไม่ได้หรือ?

    แล้วทำไมต้องออกไปรับรู้ เรื่องของกาลเวลาด้วยหละ?

    เมื่อธาตุรู้ยังชอบออกไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ

    เพราะโง่เขลา เนื่องจากโดนอวิชชาครอบงำอยู่ ใช่หรือไม่?

    เมื่ออวิชชาหมดไปวิชชาเข้ามาแทนที่ได้(สติปัญญา)

    จำเป็นด้วยหรือ ที่ต้องออกไปรับเข้ามารู้เพื่อปรุงแต่ง

    รู้สักแต่ว่ารู้ก็พอมั๊ง?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  3. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    อย่างเเรกเลยคุณยังยึดว่าลิงต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ตามความคิดของคุณที่ยังติดใสสมมุติ เเต่ที่ยกมาคืออุปมาที่มีลิงกับกิ่งไม้
    เพราะองค์เปรียบก็ถูกจิตที่อยู่ในโลกเป็นลิง เพราะ3สิ่งอยู่ในตัวลิงทั่งหมด
    ที่ลิงชอบจับอารมเพราะว่า ลิงมันชอบเปลียนกิ่งไม้ใช่มั้ย ทั่งวัน ทั่งคืนใช่หรือไม่
    บางครั้งลิงก็สุข เมื่อเจอกิ่งไม้ที่จับถนัด เมื่อลิงทุกข์ก็เพราะว่าลิงเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจ
    พระองค์เปรียบลิงกับกิ่งไม้ ต้องศึกษาดูดีๆ เเล้วอะไรคืออาการของจิต อะไรคือลิง
    เเล้วการเหนี่ยวกิ่งใครเป็นผู้เหนี่ยว... ใครเป็นผู้รู้สึกหล่ะเมื่อลิงไปเกาะเเล้ว
    เอาเเค่นี้พอ
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ยังจะดันไปให้ได้จริงๆนะ

    ก็ในเมื่อเปรียบกิเลสเหมือนแสง เกิดขึ้นมาเองลอยๆไม่ได้?

    ใช่ ต้องมีปัจจัยให้เกิดแสง

    เอาง่ายๆชัดๆ แล้วคนตาบอดเอาอะไรไปเห็นไปรู้หละ?

    จะเปรียบอะไรนั้น ควรเอาแบบชนิดที่ตริตรองตามได้ด้วยสิ

    ไม่ใช่คิดเองเออเองแบบนี้

    ทำไมคนตาบอกจึงรู้ได้หละว่านั่นเป็นขี้เถ้า

    ตอบข้อนี้ให้ได้ก็จะรู้เองแหละว่า อะไรที่ไปรู้ไปเห็น ใช่หรือไม่?

    แล้วปัจจัยอะไรหละที่ทำให้เกิดแสง?ตอบแบบชัดๆนะ

    ก็เล่นพูดเองเออเองคนเดียว คนอ่านจะเข้าใจได้อย่างไร?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    ทำไมจะต้องยึดว่าลิงทำอย่างโน้นอย่างนี้

    ลิงก็คือลิง

    ยึดหรือไม่ยึด ลิงก็เป็นลิงอยู่วันยังค่ำ ชอบทำตามอำเภอใจ

    ขนาดนี้ยังไม่รู้จริงอีกหรือว่าอะไรคือลิง? ไม่น่าเชื่อ

    เเล้วการเหนี่ยวกิ่งใครเป็นผู้เหนี่ยว...

    ใครเป็นผู้รู้สึกหล่ะเมื่อลิงไปเกาะเเล้ว


    ถามตรงๆเถอะ ที่ถามมานะ

    เอาอวัยวะส่วนไหนคิดคำถามแบบนี้ขึ้นมา?

    เฮ้อ!!!

    อย่าทำให้คำถามนั้นเป็๋นปริศนาธรรมเลย

    ของทุกอย่างตั้งอยู่บนเหตุผล

    และตริตรองได้ตามความเป็นจริง

    เพราะศานาพุทธนั้น "เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต"

    ต้องชัดเจนและยืนอยู่บนหลักเหตุผล จึงจะถูกต้อง ใช่หรือไม่?

    จะสนทนาจริงๆ แค่ไหนก็ไม่รู้จักพอ

    เอาว่าหยุดเป็นก็เย็นได้ หยุดไม่เป็นก็เย็นไม่ได้

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  6. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เมื่อไม่มีปัจจัยในการมองเห็นเเสง เช่นคนตาบอด ก็เป็นปัจจัยให้มองไม่เห็นเเสงสิ
    เพราะจะเห็นเเสงได้ต้องใช้ดวงตาในการมอง ถึงจะรู้ว่านั่นคือเเสง
    ถึงเเสงจะสองมาที่ดวงตาเลย คนตาบอดก็ไม่รู้ว่านั่นคือเเสง ... เเต่เป็นสิ่งที่คนอื่นเค้ามองเห็นว่าเเสงสองเข้าหน้าคนตาบอด
     
  7. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    คุณนั่นเเละไปคิดว่าลิงต้องซน ต้องวิ้งเล่นตามภาษาลิง เป็นสิ่งสมมุติในโลกๆ ซึ่งออกนอกจากอุปมาไป ไม่ใช่อุปมา
    ผมก็เลยบอกว่าให้อยู่ในกรอบของ ลิง กับ กิ่งไม้
    ผมก็อธิบายเเล้วถามคุณได้ว่า
    ใครเป็นผู้เกาะกิ่งไม้ ก็คือลิง เเล้วใครเป็นผู้เปลียนกิ่งไม้ทั่งวันทั่งคืน ก็คือลิง
    เเล้วใครเป็นผู้เกิดอาการก็ลิง ใครเป็นผู้รู้สึก ก็ลิง เเต่มันเป็นหลายเเง่ เเต่ของคุณรู้เท่าที่รู้ ก็พอเเละมั่ง - -
    ตกลง สรุปว่าลิงเนี่ยเป็นคุณ หรือ? ที่เทียวไล่เปลียนกิ่งทั่งวันทั่งคืน เป็นทั่งผู้รู้ กับ ถูกรู้ หรือ?
     
  8. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เอางี้เปรียบเหมือนคนตาบอดนั่นเเละคือตัวจิต

    เเสงส่องใสเค้าจนเกิด เเสงขึ้น ใช่หรือไม่?
    เเต่คนตาบอดมองไม่เห็นเเสงที่กระทบตัวเอง...
    เเล้วคนที่จะเห็นเเสงได้ไม่ใช่คนตาบอด เเต่เป็นคนนอกที่เค้าเห็น ถูกมั้ย ไม่ใช่ตัวเองเห็น
    เมื่อคนตาบอดไม่มี เเสงก็ไม่มีใช่มั้ย...
     
  9. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^
    ถ้ามีลูกเล่นอีกตอบให้ก่อนว่า

    ถ้าคนตาบอดกลับมามองเห็น(คนตาบอดในที่นี้คือจิต) ก็มองเห็นได้เเต่เเสง ไม่ได้มองเห็นว่าตัวเองนั่นเป็นตัวกำเนิดเเสง.. ไม่ได้มองว่าตัวเป็นผู้ทำให้เเสงเกิด เเต่เป็นตัวที่ไปยึดเเสงไปรู้เเสงเท่านั่น ไม่ได้เห็นว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ โดนเเสงส่องมาทำให้เกิดเเสง ก็ไม่รู้
    เเต่คนนอกเค้าเห็น คนนอกเค้ารู้ เค้ามองออก
    -------
    ถ้าเกิดศึกษาวิทยาศาสตร์มาบ้างก็จะรู้ว่าดวงจันทร์นั่นไม่มีเเสง จักวาลมีเพียงความมืดกับขยะอวกาศ เเล้วเเสงจากดวงจันทร์เกิดยังไง?
    ก็เกิดจากเเสงจากพระอาทิตย์ใช่มั้ย จนทำให้เกิดเเสงขึ้นที่ดวงจันทร์ ...!
    ''โลกหันหลังหนีพระอาทิตย์ ก็เหมือนคนตาบอด ใช่มั้ย ที่มองไม่เห็นเเสงเเล้วถ้าไม่มีดวงจันทร์อยู่ นี้เป็นความว่างจากกิเลส ต่อเมื่อวางตัวผู้รู้ได้''
    กลับมาใหม่ ในความเป็นจริง ถ้าโลกไม่มีดวงจันทร์ โลกจะเห็นเเสงได้มั้ย เกิดความสว่างได้มั้ย .. ก็ไม่ได้ มีเพียงความมืดเท่านั่น ในความเป็นจริงมีดวงจันทร์อยู่ด้วย
    คราวนี้ใครเป็นผู้เห็นเเสงจากดวงจันทร์หล่ะ.. ไม่คนรึเปล่า หรือ โลก ที่มองเห็น เป็นเพียง คนภายนอกเท่านั่นที่จะมองเห็นได้ใช่มั้ยว่า นั่นเกิดเเสงมาเเล้ว
    จะให้ดวงจันทร์เห็นเเสงตัวเองได้มั้ย ... ดวงจัทร์เป็นเพียงผู้เห็นเเสงที่มีมาหาเเล้ว เป็นผู้ยึดเเสงไว้กับตัวเองเท่านั่น เเต่ความสว่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นั่นมองไม่เห็น

    ต้องเข้าใจสมมุติบัญญัติ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งดับ
    เช่นจิตธาตุรู้กิเลส กับ ผู้รู้ในความว่างวิมุตติ นี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราถึงต้องรู้สมมุติไม่ใช่ไปยึดสมมุติ ถ้าเอาไปรวมจะเข้าใจผิด ไปยึดว่าจิตนั่นเป็นเรา เป็นตัวเป็นตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2012
  10. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เก็บคาถาไว้ท่องสักบทจะได้จำได้ง่ายๆ ว่าจิตนั่น เป็นยังไง เป็นธาตุรู้ ? ผู้อะไร? กิเลสกับอารม เอาเเค่นี้เเล้วเก็บไปตรองดูว่า ถ้าจิตมันรู้กิเลสได้เนี่ย! นี้มัน คือปัญหาหรือไม่?


    [๒๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง
    ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
    ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี
    ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ

    ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น
    แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
    ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตเป็นต้นนี้
    อันปุถุชนผู้มิได้สดับ
    รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า
    นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
    นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน

    ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นไม่ได้เลย<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    ถามตรงๆเถอะ ฟังภาษาคนรู้เรื่องและเข้าใจภาษาคนหรือเปล่า?

    จึงได้สนใจแต่ภาษาลิง

    จิตเป็นนามธรรม คือธาตุรู้ จึงใช่คำว่ารู้เห็น เป็นสำนวน

    ส่วนคนตาบอดนั้น ก็คือคนตาบอด ที่สูญเสียการมองเห็น

    คืออวัยวะภายนอกคือตาที่จะเห็นรูปไป

    แต่เพราะมีจิตที่เป็นธาตุรู้ จึงสามารถรับรู้ได้ด้วยอวัยวะส่วนอื่น

    จำไว้นะ อย่าเปรียบเทียบแบบมั่วๆแบบนี้ พระพุทธศานาเสียหายหมด

    ตกลงจะมั่วไปถึงไหน

    เดี๋ยวๆก็ "เเสงส่องใสเค้าจนเกิด เเสงขึ้น"เอง

    เดี๋ยวๆก็ "มองไม่เห็นเเสงที่กระทบตัวเอง"

    ถามว่า คนตาบอดมองไม่เห็นแสง

    แล้วคนตาบอดรู้มั้ยว่ามีแสง อย่าดูถูกคนตาบอดสิ

    อยู่ก็พูดลอยๆว่า คนตาบอดไม่มี

    *ถ้าคนตาบอดไม่มีไปพูดถึงมันทำไม? ให้เสียเวลา

    พูดแบบนี้แสดงว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี? กิเลสจึงไม่มีสิ?

    มั่วเข้าไป

    อย่าเสียเวลาอธิบายแบบมั่วๆ รู้อยู่คนเดียวเลย อย่าเสียเวลาเลย

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    เฮ้อ!!!

    หัดอ่านของคนอื่นหรือฟังคนอื่นบ้าง

    อย่าคิดแต่อยากจะพูดในสิ่งที่ตนเองอยากพูดเท่านั้น

    จะบ้าหรือเปล่า จะยึดหรือไม่ยึดจิต

    ทุกคนก็มีจิตคนละดวงเหมือนกันทุกคน จิตใครจิตมัน

    สงสัยพวกนักตำรานิยม คงมีคนละหลายๆดวง

    จึงได้กลัวจิตเป็นเราหนัก เพราะมีจิตคนละหลายๆดวงจนจำไม่ได้ว่า

    ดวงไหนรับกรรมอะไรบ้าง ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า

    ดวงไหนทำกรรมอะไร? แปลกนะแต่บอกได้ ว่าได้ทำกรรมอะไรไว้บ้าง?

    จิตที่อาศัยอยู่ในกายนี้ ย่อมเป็นของเ้รา และไม่ใช่จิตของใครคนนั้น

    และจิตที่อาศัยอยู่นี้ มีนิสัยไม่ดี เห็นหรือรู้อะไรไม่ได้ จะยึดมันท่าเดียวใช่หรือไม่?

    ถ้ากลัวตัวตนมากหนัก ไปฆ่าตัวตายซะ จะได้หมดตัวตน พ้นทุกข์ได้เสียทีหรือ? งง

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรม
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!

    ก็แสดงว่าที่ลงไปให้อ่านตั้งหลายครั้ง

    ไม่เคยคิดจะอ่าน คิดแต่จะพูดในสิ่งที่ตนเองอยากพูดเท่านั้น

    แต่ไม่เป็นไร ลงซ้ำใหม่ก็ได้ เผื่อเป็นประโยชน์ขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อัสสุตวตาสูตรที่ ๒

    [๒๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง
    ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
    ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี
    ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ

    ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น
    แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

    ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตเป็นต้นนี้
    อันปุถุชนผู้มิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า
    นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน
    ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นไม่ได้เลย ฯ

    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ในพระสูตร พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ชัดเจนว่า
    ปุถุชนผู้มิได้สดับ อันว่าปุถุชนผู้มิได้สดับมักมีทิฐิรู้เห็นตรงกันข้ามกลับ พระอริยสาวก ผู้ได้สดับเสมอ
    ปุถุชนรู้เห็นอย่างที่ยกมานั้น ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส
    ย่อมรู้เห็นแตกต่างจากพระอริยสาวกที่รู้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

    มีพระพุทธพจน์ที่ทรงกล่าวรับรองเปรียบเทียบ ระหว่างจิตของปุถุชนและจิตของอริยสาวกนั้น
    ย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่างตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงไว้หลายแห่งในหลายพระสูตร

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้
    ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่าย
    แม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
    เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
    ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
    กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ"

    อย่างในอัสสุตวตาสูตร พระพุทธองค์ทรงชี้ชัดให้เห็นว่า
    อันปุถุชนผู้มิได้สดับ มักรวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิ ในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆว่า
    นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน
    ไปยึดมั่นถือมั่นเอาจิตเป็นต้นนั้น(จิตสังขาร) เหล่านั้นมาเป็นของๆตน
    จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้น(จิตสังขาร)ไม่ได้เลย
    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อ้างอิงอัสสุตวตาสูตรที่ ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อย
    กิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย
    อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
    จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ

    ^
    ^
    เมื่อวานรคือจิต มีตัวเดียวเที่ยวไป(เอก จรํ จิตตํ=ดวงเดียวเที่ยวไป)
    ในป่าใหญ่(ในอารมณ์) กิ่งไม้เปรียบเหมือนอารมณ์ต่างๆ ที่จิตเข้าไปยึดถือ
    จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป

    ส่วนจิตเป็นต้นนั้นในพระสูตร ล้วนเป็นจิตสังขาร หรือจิตที่ปรุงแต่งกับอารมณ์ไปแล้วทั้งสิ้น
    และเกิดดับตามอารมณ์เหล่านั้น เราเรียกจิตสังขารเหล่านั้นว่า"ดวง"เช่นกัน จึงต้องเรียกว่า ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงดับไป
    ควรต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่า"จิต" ที่มีการใช้ชื่อเรียกแทนกัน๑๐ชื่อนั้น
    เป็นเพียงไวพจน์ที่ใช้แทนกันเท่านั้น ไม่ใช่เหมือนกันโดยสภาวะธรรมโดยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น

    เราเปรียบจิตเป็นต้นนั้น เหมือนน้ำที่เดิมนั้น มีสภาพใสอยู่ก่อน(ยังไม่ได้รับความบริสุทธิ์)
    ที่ต้องสกปรกโสมมไปเพราะ มีสิ่งแปลกปลอมต่างๆ
    ที่เข้ามาปนเปื้อน ทำให้เสียคุณภาพของน้ำเสียไป
    แต่เราก็ยังเรียกว่า"น้ำเป็นต้นนั้น"

    ที่เราเรียกว่า น้ำแดง แกงส้ม ต้มมะระ หมูบ๊ะช่อฯลฯ น้ำเป็นต้นนั้น
    สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งดับไป ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ฉันใด

    "จิต"เปรียบเหมือน"น้ำ"

    ส่วนน้ำแดง แกงส้ม ต้มมะระ น้ำอัดลมฯลฯ น้ำที่กล่าวถึงเป็นต้นนั้น
    พอเห็นความแตกต่างนะว่า ที่เรียกมาทั้งหมดนั้น ล้วน"น้ำเป็นต้นนั้น"ทั้งสิ้น แต่แตกต่างกันชัดเจน
    ที่เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างฯลฯ จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ

    เราสามารถกลั่นน้ำ ให้บริสุทธฺ์หมดจดจากสิ่งแปลกปลอมที่มาปนเปื้อนได้หมดจดฉันใด
    เราสามารถฝึกฝนอบรมชำระจิต ให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายได้ฉันนั้น

    v
    v
    มีพระพุทธพจน์จากพระสูตรอื่นมารองรับ วานรในอัสสุตวตาสูตรดังนี้
    ชนผู้ประกอบด้วยทิฐิเป็นผู้กล่าวความบริสุทธิ์โดยทางมรรคอย่างอื่นเหล่านั้น
    ละศาสดาเบื้องต้นเสีย อาศัยศาสดาอื่น อันตัณหาครอบงำ
    ย่อมข้ามธรรมเป็นเครื่องข้องไม่ได้
    ชื่อว่าถือเอาธรรมนั้นด้วย สละธรรมนั้นด้วย
    เปรียบเหมือนวานรจับและปล่อยกิ่งไม้ที่ตรงหน้าเสียเพื่อจับกิ่งอื่น ฉะนั้น ฯลฯ

    ท่านสละกิเลสเครื่องยึดมั่นและเครื่องร้อยรัดอันเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้แล้
    ย่อมไม่กระทำความหวังในโลกไหนๆ

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๑๐๐๓๘ - ๑๐๐๗๖. หน้าที่ ๔๓๕ - ๔๓๗.
    http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=10038&Z=10076&pagebreak=0
    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  16. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    หาคำ พูดไปเรื่อย เหมือนลิงเที่ยวในป่าใหญ่ จริงๆ - -
    ''ถามว่า คนตาบอดมองไม่เห็นแสง
    แล้วคนตาบอดรู้มั้ยว่ามีแสง อย่าดูถูกคนตาบอดสิ''

    ผมก็อธิบายคนตาบอดนั่นถูกเเล้ว เเต่คุณจะเลี่ยงไปอีกหรอว่า คนตาบอดเค้าเห็นเเสง ?
    คุณรู้ได้ยังไงว่าเค้าเห็นเเสงละเอาอะไรไปวัด... ผมก็บอกเเล้วไงเอาคาถาไปสวด ไม่ใช่สวดอะไรที่ไร้ประโยชน์
    ส่วนเรื่องจิตเป็น ธาตุรู้เนี่ย คุณลองคิดดูสิคำว่าธาตุเนี่ยมันคือสิ่งที่มีในโลกใช่หรือไม่.. คำง่ายๆเเค่นี้พอ
    ส่วนเรื่องเเสงนะ โลกใบนี้ถ้าว่างเปล่า ไม่มีธาตุอะไรก็ตามเเสงก็ไม่ปรากฏให้เห็น นะ เเต่ที่คุณเห็นมันมีบางสิ่งกระทบจนเกิดเเสงเเล้ว
    เเล้วเรื่องที่คุณบอกต่อไปนี้ ซุ่มไปมั่วเเละ เอาเรื่องกิเลสไปโยงกับการไม่มีพระพุทธ เพราะมีกิเลสนั่นเเละถึงมีพระพุทธ คุณรู้คำๆนี้มั้ยนิ เเม้ตถาคตจะบังเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตามธรรมชาติย่อมเป็นเเบบนี้อยู่เเล้ว
    มันมีอยู่ของมันอยู่เเล้ว ส่วน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผู้บัญญัติสิ่งที่มี เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ จะได้หลุดพ้น ไม่ใช่ให้ยึดในกิเลสในความหมายของคุณ
     
  17. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ถ้าในเวลานี้นะ ผมคิดว่ามีคุณนี้เเละเป็น1ในนั่น ที่ยังคิดว่าจิตเป็นของดี ของน่ายึด
    ที่บอกว่ามีจิตคนละดวง เอาอะไรมาวัดครับ จิตประภัสสร อะใช่ มีคนละ1
    เเต่จิตธาตุรู้กิเลส คุณก็จะไปเหมารวมด้วยละสิ..
    ผมจะบอกอะไรให้ จิตมันเกิดดับ ตลอดเวลา ถ้าคุณเข้าใจคำว่าเวณกรรมจริงๆ ก็จะรู้ว่า มันมีอยู่ในโลกนี้เท่านั่น โลก สวรรค์ นรก
    ไม่อย่างนั่นพระอรหัน เค้าก็ไม่หลุดพ้นกันสิมัวเเต่ไปยึดจิตที่เกิดดับ บรรจุกรรมเอาไว้ อย่างนี้องค์คุลีมา ก็ต้องมาใช้กรรมก่อนถึงจะไปนิพพานสิ?
    กรรมเนี่ยก็ไม่เที่ยง คุณรู้หรือเปล่า? ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดกรรม?
    อยากจะถามจังว่า จิต กับ กรรม นี่เที่ยงอยู่หรือ ไปรู้มาจากไหนมา! ถ้าคิดว่า 2สิ่งนี่มันเที่ยง งั้นคงเหนื่อยเเทนเลย
    ผมอยากจะบอกว่า ธรรมมะ ธรรมโม หรือ รู้อยู่ที่รู้ ที่คุณพูดมานั่นมันถูก เเต่คุณยังไม่เข้าใจคำที่คุณตั้งมา
    รู้อยู่ที่รู้ ก็จะได้รู้เห็น จิต=กิเลส ถ้าไม่อย่างนั่นจะไปรู้เรื่อง กิเลส เเต่เมื่อลืม เเต่รู้ว่าไปยึดไว้ พอระลึก นึกได้ ก็จะกลายเป็นวิปัสสนึกไง เลยต้องมาอยู่ที่รู้จะได้เห็นชัดๆ จะได้รู้อย่างกลางๆได้
    ไม่ใช่เเบบที่คุณคิดว่า เค้าจะอยู่กับจิต เเบบนั่น เเต่เค้าต้องสมาธิในการเเยกปริตัวออกมาดูตลอด
     
  18. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ********************************
    เรียนคุณพี่....คุณน้องก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ
    ครือ คุณน้องเรียนมาจากคาถาแสดงไว้ค่ะ ชื่อ
    คาถาแสดงจิตที่รับอารมณ์แน่นอน 4 ไม่แน่นอน 3

     
  19. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้
    ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่าย
    แม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
    เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
    ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
    กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ"

    เห้อ... คุณจะสื่ออะไรของคุณ
    อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมเบื่อหน่าย ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เเล้วทุกสิ่งนี้มันเที่ยงหรือ?เเล้วจะทำยังไงละให้เบื่อหน่าย? ให้ครายกำหนัด? ในขันธ์5นี้.
    ผมก็อธิบายได้หมดเเละเเต่ผมคิดว่าคุณยังไม่เข้าใจนะ

    อย่างในอัสสุตวตาสูตร พระพุทธองค์ทรงชี้ชัดให้เห็นว่า
    อันปุถุชนผู้มิได้สดับ มักรวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิ ในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆว่า
    นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน

    ไปยึดมั่นถือมั่นเอาจิตเป็นต้นนั้น(จิตสังขาร) เหล่านั้นมาเป็นของๆตน
    จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นใน
    จิตเป็นต้นนั้น(จิตสังขาร)ไม่ได้เลย
    เจริญในธรรมทุกท่าน<!-- google_ad_section_end -->



    จิตเป็นต้นนี้ ผมอธิบายมาทั่งหมดนี้ถูกมั้ยลองคิดดู ผมก็บอกถึงอาการของจิตที่โดนกิเลสเป็นเเสงส่องมา เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดเรื่อง เกิดกิเลส (ส่วนเเสงจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีปัจจัยของมันในการเกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าคืออะไร ทั่งผู้ก่อ ทั่งผู้เริ่ม เป็นวงจรกลมๆในปฏสม)
    เเต่มันเป็นเรื่องที่ว่า ปุถุชนที่ไม่ได้สดับมักจะยึดว่านั่นเป็นของเรา ยึดในสิ่งที่มันไม่มี เพราะไม่เห็นการเกิดดับของจิต หรือ อาการของจิต หรือ กิเลส นั่นเเละ ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่เที่ยง เกิดก็ต้องดับ
    ก็คือเพลินในอารมไงสัญโญคะ ต่อเมื่ออยู่ที่รู้ ก็จะเห็น อาการของ จิต นั่นได้ เเต่เมื่อหลงพอนึกได้มันก็จะกลายเป็นไปรู้อยู่ที่นึก ไม่ได้เห็น การเกิดดับ
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ยังจะมั่วไม่เลิกอีก

    ถ้าจิตมันเกิด-ดับเวลาจริงแบบนี้

    แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจิตดวงไหนหละทีั่ไปนรก สวรรค์

    ก็มันเกิดๆดับๆไป เป็นผีกระสือ แว้บๆ แบบนี้หรือ

    ทำกรรมไว้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ดับไปแล้ว

    เรื่องเวรกรรมเสียหายหมด ยังจะเชื่อเข้าไปได้

    ไอ้แบบนี้มีหัวไว้กั้นหูชัดๆ

    จะมั่วอะไรก็หัดใช่วิจารณาญาณบ้าง

    พูดมาได้ว่า "กรรมนี้ไม่เที่ยงตรง" คือ "ทำกรรมแล้วไม่ต้องใช้ ใช่หรือไม่?

    ไอ้ความคิดแบบนี้คนนอกรีตชัดๆ

    ยังจะกล้ามาแอบอ้างว่าเป็นชาวพุทธอีกหรือ?

    ไม่รู้จริงๆหรือว่าท่านพระอาจารย์องคุลีมาน ท่านต้องชดใช้กรรมอะไรบ้าง?

    อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย

    คำว่า"ไม่เที่ยง" คือ รูปแบบที่ได้รับกลับนั้นเปลี่ยนแปลงไป

    ไม่ใช่ไม่ต้องรับกรรมที่ทำขึ้นมานั้น

    เมื่อทำกรรมเช่นใดไว้ ต้องไดัรับการชดใช่กรรมนั้นแน่นอน

    ไม่รู้คงไม่มีใครว่าอะไร

    แต่อวดรู้นี่สิรับไม่ได้จริงๆ

    เอาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาฝาก อย่าอวดรู้อีกเลย

    เจริญในธรรมทุกท่าน


    V
    V
    มรณกรรมฐาน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    มรณกรรมฐาน
    พระธรรมเทศนาของ พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)


    ณ บัดนี้เป็นต้นไป ได้เวลาถึงเวลานั่งสมาธิภาวนาปฏิบัติบูชา ทำความเพียร เพื่อละกิเลส ราคะ ละกิเลสโทสะ ละกิเลสโมหะให้หมดสิ้นไปในจิตใจของเราทั้งหลายทุก ๆ คน ฉะนั้น การนั่งสมาธิภาวนา จึงเป็นบุญเป็นกุศล นำความสุขความเจริญมาให้แก่ผู้ปฏิบัตินั้น ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...