พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ขุนท้าว... [​IMG]
    จุดประสงค์หลักของอ้อยเพื่อมาร่วมบุญกับสมาชิกทุกท่านค่ะ วัตถุมงคลทุกชิ้นมีคุณค่า ถามว่าอยากได้ไหม อ้อยอยากได้ค่ะ แต่บางครั้งบารมีเราไม่ถึง ปัจจัยไม่ถึง วาสนาไม่ถึง ก็ต้องทำใจ อ้อยดีใจนะค่ะที่ได้ร่วมทำบุญกับสมาชิกทุกท่าน เคยแซวคุณสิทธิพงษ์อยู่บ่อย ต้องยุติธรรมนะค่ะ
    ปล.จ๋า ลูกคุณณรงค์น่าตาคล้ายภราดรนะค่ะ น่ารัก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มาเสริมที่คุณอ้อยบอกเรื่องบารมี ผมเองก็เคยมีจักรและตรีศูร ถ้าหากนำตรีศูรวางบนจักร จะเหมือนกับเครื่องหมายราชวงศ์จักรีครับ

    ในครั้งแรกที่อยู่กับผม มีทั้งพระภิกษุและฆารวาส บอกกับผมเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้ผมนำไปไว้ที่วัดซะ ผมไม่มีวาสนาบารมีที่จะได้ครอบครอง ผมจะแย่ เปรียบเทียบกับผมสามารถยกของได้สัก 10 กก. แต่ทั้งจักรและตรีศูรมีน้ำหนัก 20 กก. ผมถือของ 20 กก.ซึ่งเกินความสามารถที่ผมจะถือไว้ได้ อีกทั้งยังมีพระพิมพ์ ,ไม้ครู ,พระขรรค์ ,กฤช และอื่นๆอีก ซึ่งแค่นี้ก็ถือกันหลังแอ่นแล้ว

    จักรและตรีศูรนั้น เหมาะสมที่จะอยู่ 2 แห่งคือพระบรมมหาราชวัง หรือวัด องค์ท่านที่ดูแลจักรและตรีศูรนั้นคือองค์พระสยามเทวาธิราช ผมจึงได้นำถวายพระอาจารย์นิลเรียบร้อยแล้ว และเพื่อบรรจุในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อก่อนนี้ ผมเป็นคนที่ชอบของโบราณหรือของแปลกๆ ผมเคยไปได้พิรอดแขน มาวง(ไม่รู้ผมเรียกสรรพนามถูกต้องหรือเปล่า) นึง ผมนำไปให้หลายๆท่านตรวจสอบพลังอิทธิคุณ ผลปรากฎว่าพลังแรงมากๆ หลายๆท่านบอกว่าให้ใส่ไปออกรบยังได้ รับรองคงกระพันแน่นอน

    ผมนำพิรอดแขนวงนี้ไปให้บุคคลท่านหนึ่ง พอท่านเห็นพิรอดแขนวงนี้ ท่านรีบบอกว่าให้นำไปไว้วัด ผมก็ถามว่าทำไมครับ ท่านนี้ตอบผมมาว่า เจ้าของพิรอดวงนี้ อยู่ในพิรอดแขน เจ้าของเป็นทหารในสมัยรัชกาลที่ 1 ตายโดยไม่รู้ตัว (ถ้าผมจำไม่ผิด ท่านนี้บอกว่าน่าจะโดนลูกปืนใหญ่ หรือของหนักๆตกใส่หัว ร่างกายไม่มีบาดแผล แต่ช้ำในตาย) ผมก็เลยต้องนำไปถวายวัด

    หลังจากนั้น ของแปลกๆ ผมไม่เคยไปหาอีกเลย

    จบข่าวสั้น
    .
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ตอบโดยความสัตย์จริงผมก็คล้ายกับ คุณอ้อยแหละครับ จุดประสงค์ใหญ่คือการร่วมบุญช่วยกันสร้างพระเจดีย์ให้ลุล่วงตามกำลังที่มี การได้รับพระพิมพ์ผมถือว่าไม่สำคัญ เท่าที่ผมมี หรือได้รับจากคุณหนุ่มก็ถือว่ามากเกินพอ แล้ว
    เพียงแต่ในชีวิตผม ผมถือสัญญาเป็นสำคัญ ถ้าไม่มั่นใจผมจะไม่บอกออกไป เหมือนที่ผมได้ตั้งใจตามที่ ได้จองหนังสือของอ.ประถมนั้น เป็นสิ่งที่ผมอยากได้จริงๆ และพระพิมพ์กลักไม้ขีดก็เช่นกันถ้าได้รับก็ถือเป็นวาสนาครับ
    ที่แซวกันในบอร์ดผมช่วยสร้างสีสันครับ;)
    nongnooo...
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24916.jpg
      24916.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.3 KB
      เปิดดู:
      390
    • 24917.jpg
      24917.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      394
    • 24918.jpg
      24918.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.6 KB
      เปิดดู:
      389
    • 24919.jpg
      24919.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.8 KB
      เปิดดู:
      388
    • 24920.jpg
      24920.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.7 KB
      เปิดดู:
      404
    • 24921.jpg
      24921.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.3 KB
      เปิดดู:
      395
    • 24922.jpg
      24922.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.9 KB
      เปิดดู:
      393
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="60%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="25%" rowSpan=2>
    [FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC][​IMG] [/FONT]​

    </TD><TD width="51%">[FONT=AngsanaUPC, BrowalliaUPC, CordiaUPC]หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
    ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
    [/FONT]




    </TD><TD width="24%" rowSpan=2>[​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    http://72.14.235.104/search?q=cache...samati.html+บังเทียน&hl=th&ct=clnk&cd=4&gl=th

    [​IMG]



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=765 align=center border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ff33cc bgColor=#ff99ff>เรื่อง : การเดินสมาธิจิตทางสัมมาสมาธิ</TD></TR><TR><TD borderColor=#ff33cc>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]การหักห้ามจิตคือ การหักห้ามความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเราที่มีต่อสิ่งกระทบ คือ เหตุการณ์ที่จะชวนให้เราเกลียด โกรธ รัก ชอบ ต้องการ ไม่ต้องการ จะชวนให้เราหัวเราะ ร้องไห้ ความรู้สึกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ การหักห้ามเราก็ไม่ได้ไปหักห้ามที่ตรงไหน ก็หักห้ามตรงที่ความรู้สึกนี่แหละ เราจะไปบำรุงตรงความรู้สึกนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญจึงไม่ได้มองจิตเป็นตัว ให้มองเห็นจิตให้ชัดว่า มันจะน้อมเอียงไปในทางให้โทษหรือคุณ หากเมื่อประกอบด้วยโทษเราก็จะได้หักห้าม เมื่อประกอบด้วยคุณเราก็จะได้ส่งเสริม โดยจุดประสงค์แล้วมีเพียงแค่นี้ เพราะฉะนั้นจึงขอเตือนบรรดาผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ขอจงดำเนินให้เป็นไปตามรู้นี้เถอะ ถ้าเราดำเนินให้เป็นไปตามรูปนี้ตรงกับเจตนาของผู้แนะนำ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ตรงกับเจตนา[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ทีนี้ถ้าเราเข้าใจว่าอย่างนี้เป็นเหตุเบื้องต้นแล้ว เราจะได้ต่อไปว่าความรู้สึกของจิตที่รู้สึกต่อสิ่งกระทบที่เป็นปัจจุบันเหตุ ที่กำลังปรากฎอยู่ก็ดี หรือความรู้สึกของจิตที่นึกตรึกถึงอารมณ์หรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วแต่อดีต เกิดมีความรู้สึกขึ้นมาอย่างไรบ้าง เราจะใช้กำลังตัวอริยมัคคุเทศก์ หรือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้สอดส่องพิจารณาให้เห็นว่า ความรู้สึกอย่างนี้เป็นไปเพื่อความเศร้าหมอง ความรู้สึกอย่างนี้เป็นไปเพื่อความสะอาดหมดจด อยู่ในระบบของธรรม และความรู้สึกอย่างนี้ เป็นอุบายวิธีหรือปัญญาของกิเลส ที่จะนำจิตเข้าไปเชื่อมโยงต่อภพชาติ หรือเป็นการทอดสะพานหาภพชาติ ขอให้เราพยายามตั้งสติปัญญาคอยสังเกตุความเคลื่อนไหวของจิตนี้อยู่เสมอ อย่าเผลอ อย่าประมาท เพราะอุบายของจิตที่จะนำพาเราเข้าไปสู่ภพนี้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาที่เรียกว่าอริยมัคคุเทศก์ที่เราสร้างขึ้นมาให้พอกับความต้องการแล้ว หรือให้มีอำนาจเหนือจิตแล้ว มักจะเข้าข้างมันเสมอ อุบายมันลึกลับนัก บางทีเรานั่งสมาธิกันนาน ๆ กิเลสมันก็หาอุบายแล้วว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มันมีอันนั้น มีอันนี้จะต้องทำ นอนเถอะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจจะทำงานไม่ได้ จะง่วงนอนสัปหงกอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ อุบายอันลึกลับต่าง ๆ ที่ว่านี้ไม่ใช้ปัญญาญาณ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://th.wikipedia.org/wiki/ผงอิทธิเจ

    ผงอิทธิเจ

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->สูตรเขียนผงอิธะเจ หรือ อิทธิเจของเทพย์ สาริกบุตร เป็นวิชาทางไสยศาสตร์ว่าด้วยการทำผงตามคัมภีร์อิธะเจ ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์หลักของระบบไสยศาสตร์ไทยโบราณ อันประกอบด้วยคัมภีร์ปถมัง อิธะเจ ตรีนิสิงเห และมหาราช นอกจากนั้นชื่อวิชาอิธะเจยังปรากฏอยู่ในเสภาขุนช้างขุนแผนตอนพลายงามเรียนวิชาด้วย เนื้อหาของวิชาอิธะเจคือการทำผงด้วยการตั้งตัวตามสูตรบาลีมูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นระบบบาลีไวยากรณ์ใหญ่ที่ปัจจุบันได้ล้มเลิกไป อิธะเจมีหลายตำรับด้วยกัน แต่ที่เป็นหลักสำคัญจะตั้งตัวด้วย อิทะ อิติ อิติ อัสสา อุทัง อะหัง อัคคัง อะหัง อะหัง อิถัง อัมมะ อัสสา จากนั้นจึงกระทำตามสูตรสนธิโดยอ้างสูตรตามคัมภีร์บาลีไวยากรณ์จนสำเร็จเป็น อิธเจตโสทฬฺหํคณฺหาหิถามสา เป็นอันขาดตัวในสูตรสนธิ ผงที่ได้จากการเขียนและลบอักขระตามคัมภีร์อิธะเจ เรียกว่าผงอิธะเจ เชื่อว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์โดยเฉพาะแก่สตรีเพศ
    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    [แก้] สูตรการทำผงอิธะเจ ของเทพย์ สาริกบุตร

    ผงอิธะเจ เป็นวิชาไสยศาสตร์ไทยโบราณอย่างหนึ่ง วิธีทำเริ่มต้นจากจัดเครื่องบูชาคำนับครูมีดอกไม้ธูปเทียนอย่างละ ๕ หัวหมู บายศรีปากชาม เครื่องกระยาบวช มีขนมต้มขาว ขนมต้มแดง มะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำไท เป็นต้น และเงินบูชาครู จากนั้นผู้กระทำกล่าวคำนมัสการตามตำรา เมื่อสักการบูชาครูเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มทำผง การทำผงอย่างโบราณคือใช้ดินสอพองปั้นเป็นแท่งขนาดพอจับได้ แล้วบริกรรมเขียนอักขระลงบนกระดานชนวน ขณะที่เขียนอักขระแต่ละตัวให้บังเกิดขึ้น ผู้ทำจะต้องบริกรรมคาถา (เรียกสูตร) ตามที่บังคับไว้ในตำราทุกครั้งไป สำหรับแท่งดินสอที่ใช้เขียนผงนี้บางสำนักอาจระบุส่วนผสมต่างกันไปก็ได้ เช่น อาจผสมไคลโบสถ์ ไคลเสมา ไคลพระศรีมหาโพธิ์ ดินเจ็ดโป่ง เจ็ดป่า ดอกรักซ้อน ยอดสวาด กาหลง หรือเครื่องหอมอื่น ๆ บางชนิดผสมลงไปในดินสอพองอีกด้วยก็ได้ การทำผงอิธะเจจะอ้างสูตรพระบาลีในคัมภีร์มูลกัจจายนะ ซึ่งเป็นสูตรตามคัมภีร์ไวยากรณ์ใหญ่ซึ่งปัจจุบันหลักสูตรปริยัติธรรมแผนกบาลีได้ยกเลิกไป สูตรมูลกัจจายนะนี้ทางไสยศาสตร์นับถือว่ามีอานุภาพศักดิสิทธิ์มาก ผงอิธะเจดำเนิดตามแนวสูตรดังกล่าว เมื่ออ้างสูตรเขียนและลบจนขาดตัวในสูตรสนธิ กล่าวคือเขียนและบริกรรมคาถาและเสกจนสำเร็จดีแล้ว จึงลบอักขระบนกระดานชนวนออกมา ผงดินสอพองที่ได้จากการเขียนและลบตามสูตรคาถาอาคมในคัมภีร์อิธะเจนี้ เรียกว่า ผงอิธะเจ มีอานุภาพทางเสน่ห์แก่สตรีเพศยิ่งนัก ตามตำรากล่าวว่าหากใส่ลงในอาหารให้หญิงกินย่อมรักชายผู้นั้นจนวันตาย ผงนี้เพียงทิ้งให้ถูกตัวผู้ใด ผู้นั้นก็เกิดงงงวยหลงตามเรามา เป็นที่สุดของวิชาเสน่ห์โบราณ คาถาอิธะเจ ๑๓ ตัวคือ อิธะเจตะโสทัฬหังคัณหาหิถามะสาฯ ผงอิธะเจนี้เมื่อทำสำเร็จแล้วจะต้องผสมเครื่องยาและปั้นเป็นแท่งเก็บไว้ โดยมากนิยมนำไปสร้างพระ ที่มีชื่อเสียงคือพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ก็ผสมผงอิธะเจนี้ด้วย อานุภาพของผงอิธะเจมีทั้งเสน่ห์ เมตตา และอิทธิฤทธิ์ทางแคล้วคลาดคงกระพัน แต่จะเน้นหนักไปในทางเสน่ห์แก่สตรีเพศมากที่สุด

    [แก้] สูตรเขียนผงอิทธิเจและผงปถมํของพระครูสาทรพัฒนกิจ

    ผงอิทธิเจและผงปถมัง เป็นผง ใช้สำหรับสร้างพระพิมพ์ ประกอบด้วยสูตรการเขียนผง ผงอื่นๆ เช่น ว่านนางกวัก ว่านเพชรน้อย เพชรใหญ่ เพชรกลับ เศษพระชำรุด ใบลานที่เขียนพระไตรปิฎกนำมาเผาเป็นถ่าน

    [แก้] ความสำคัญ

    มวลสารวัตถุจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุในที่นี้ รัชกาลที่ ๙ ได้นำมาเป็นส่วนประกอบในการทำพระสมเด็จจิตรลดา

    [แก้] อ้างอิง
    <!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:63168-0!1!0!!th!2 and timestamp 20070817075751 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%88".
    หมวดหมู่: ผงพระพิมพ์ | วัดไทย | จังหวัดปทุมธานี | พุทธศาสตร์ | ความเชื่อ | ไสยศาสตร์
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผงปถมัง

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->สูตรการเขียนผงปถมังของเทพย์ สาริกบุตร ปถมัง [ปะ-ถะ-หฺมัง] ชื่อวิชาไสยศาสตร์โบราณของไทย ว่าด้วยการทำผงด้วยเวทมนตร์คาถา โดยใช้แท่งดินสอพองเขียนอักขระลงบนกระดานชนวน เริ่มจากลงนะปถมังหรือนะทรงแผ่นดิน บางแห่งเรียกนะปัดตลอด แล้วลบบังเกิดเป็นนะโมพุทธายะ เป็นองค์พระ เป็นมะอะอุ เป็นอุณาโลม เป็นต้น ไปจนกระทั่งถึงสูญนิพพานจึงเป็นอันสิ้นสุด โดยระหว่างการลงอักขระและลบในขั้นตอนต่าง ๆ จะต้องมีการบริกรรมสูตร ซึ่งเป็นพระคาถาสำหรับการลงอักขระและลบอักขระต่าง ๆ กล่าวกันว่าเป็นอุบายในการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ ผงดินสอพองที่ได้จากการเขียนและลบอักขระตามคัมภีร์ปถมังนี้ เรียกว่าผงปถมัง เชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านอิทธิฤทธิ์อยู่ยงคงกระพันโดยมากมักนำมาผสมทำเป็นเครื่องราง ผู้ที่สำเร็จคัมภีร์ปถมังจะอยู่ยงคงกระพันรวมทั้งล่องหนหายตัวได้ ชื่อวิชานี้ปรากฏในวรรณกรรมเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนด้วย


    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    [แก้] การทำผงปถมัง

    สูตรการเขียนผงปถมังของเทพย์ สาริกบุตร คติโบราณถือสืบกันมาว่า ปถมังเป็นคัมภีร์แรกที่ผู้ใคร่ศึกษาวิชาเวทมนตร์พึงจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเมื่อเริ่มเรียนรู้สูตรในคัมภีร์ปถมังได้แล้ว ก็จะสามารถหัดลงเลขยันต์ต่าง ๆ ต่อไปได้ กล่าวกันว่าที่มาของคัมภีร์ปถมังนี้ เริ่มแรกเมื่อครั้งต้นกัป โลกนี้ยังเป็นที่ว่างเปล่าอยู่ พื้นแผ่นดินยังเพิ่งจะงวดจากน้ำ เริ่มจะเกิดเป็นพื้นดินขึ้นมา ท้าวสหัมบดีพรหมได้เล็งญาณลงมาแลเห็นดอกบัวโผล่พ้นระลอกน้ำขึ้นมา ๕ ดอก ก็ทราบด้วยญาณว่าในกัปนี้จะบังเกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ เป็นกำเนิดแห่งภัทรกัปอันประเสริฐยิ่ง แล้วจึงได้หยิบหญ้าคาทิ้งลงมาบนพื้นน้ำ น้ำนั้นก็งวดเป็นแผ่นดินขึ้น มีกลิ่นหอม เหล่าพรหมได้กลิ่นง้วนดินต่างลงมาเสพกิน ติดรสง้วนดินนั้นมิอาจกลับคืนสู่พรหมโลกได้ จึงได้ตั้งรกรากเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สืบมาจนทุกวันนี้ ฉะนั้นก่อนจะเล่าเรียนคัมภีร์ปถมังจึงต้องกล่าวคำนมัสการสหัมบดีพรหมดังนี้
    อังการะพินทุนาถังอุปปันนัง พรหมาสหัมปตินามะ อาทิกัปเป สุอาคะโต ปัญจะปทุมมังทิสวา นะโมพุทธายะวันทะนังฯ
    คัมภีร์ปถมังเริ่มแรกด้วยการทำพินทุ คือแววกลม ถือเป็นปฐมกำเนิด จากนั้นจึงแตกเป็นทัณฑะ เภทะ อังกุ และสิระตามลำดับ สำเร็จเป็นนะปถมังพินทุ เวลาทำใช้แท่งดินสอพองเขียนลงบนกระดานชนวน มีการเรียกสูตรบริกรรมคาถากำกับตลอด จนสำเร็จเป็นนะปถมัง มีการนมัสการและเสกตามลำดับ ขณะทำมีขั้นตอนและวิธีการที่สลับซับซ้อนพิสดารมาก ผู้สนใจควรศึกษาจากคัมภีร์ปถมังโดยตรง เนื้อหาของคัมภีร์ปถมังนี้มีทั้งสิ้น ๙ วรรค หรือ ๙ กัณฑ์ แต่ละกัณฑ์เป็นวิธีการทำผงเพื่อฝึกจิตอย่างพิสดารต่างกันไป โดยทุกวรรคหรือทุกกัณฑ์จะเริ่มต้นด้วยนะปถมังพินทุ จากนั้นจะแยกแยะไปเป็นอุณาโลม อุโองการ องค์พระภควัม หัวใจพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ฯลฯ ต่างกันไปในแต่ละวรรค แต่ทุกวรรคจะจบที่สูญนิพพาน คือ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง เหมือนกันทั้งสิ้น ขณะทำผู้ทำจะใช้จิตเพ่งอักขระ มือเขียน พร้อมบริกรรมคาถาอย่างต่อเนื่องจนจิตสงบเป็นเอกัคคตาสมาธิ เมื่อจบสูตรแล้วจึงเอามือลบอักขระบนกระดาน กล่าวกันว่าหากจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ ผงดินสอพองบนกระดานชนวนนั้นบางทีก็จะร่วงหล่นหรือทะลุลอดแผ่นกระดานลงไปอยู่เบื้องล่างได้ เรียกว่าผงปัดตลอดหรือผงทะลุกระดาน เป็นของวิเศษมีอานุภาพยิ่งนัก โดยเฉพาะปถมังวรรคที่ ๙ ซึ่งเป็นวรรคสุดท้ายที่นับว่าพิสดารและสำคัญมาก ด้วยการทำถึงขั้นมหาไวย มหาเมฆ มหานิล มหาคลาด มหาแคล้ว มหาอุทัย จนถึงมหาราพย์น้อยใหญ่ จะมีอานุภาพอภินิหารมาก ตามตำนานในวรรณคดีเล่าว่าขุนแผนก็เป็นผู้ที่สำเร็จปถมังวรรค ๙ นี้ ซึ่งผู้สำเร็จจะเรืองวิทยาคมมีความอยู่ยงคงกระพันจนถึงล่องหนหายตัวได้
    จากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งสะท้อนภาพวิถีชีวิตในสังคมไทยโบราณไว้หลายประการ รวมถึงการศึกษาเล่าเรียนของกุลบุตรไทยแต่ครั้งก่อน ที่นอกจากจะศึกษาวิชาทางหนังสือแล้วยังต้องฝึกหัดวิชาทางจิตควบคู่ไปด้วยกัน และวิธีการฝึกจิตด้วยการหัดลงผงนี้ก็คงเป็นสิ่งที่มีปรากฏอยู่ไม่น้อยในสังคมไทยยุคก่อน ดังปรากฏเรื่องในเสภาว่าเมื่อครั้งที่ขุนแผนไปเรียนวิชาอยู่กับพระอาจารย์คง ที่วัดแคนั้น พระอาจาย์คงได้สอนทั้งวิชาอยู่ยงคงกระพัน การผูกหุ่นพยนต์ และการทำผงปถมัง แต่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือจากเสภาตอนกำเนิดพลายงาม เมื่อพลายงามได้เรียนหนังสือขอมหน้งสือไทยจนแตกฉานสามารถอ่านเขียนได้ดีแล้ว จึงเริ่มศึกษาวิชาทางจิตหรือไสยศาสตร์ และเริ่มศึกษาจากคัมภีร์ปถมังเป็นต้นไป ดังบทกลอนว่า
    <TABLE style="POSITION: relative" align=center><TBODY><TR><TD>อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย</TD><TD> ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี</TD></TR><TR><TD>ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี</TD><TD> เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนตร์</TD></TR><TR><TD>ปถมังตั้งตัวนะปัดตลอด</TD><TD> แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน</TD></TR><TR><TD>หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล</TD><TD> แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน</TD></TR></TBODY></TABLE>อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ผู้ชำนาญทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์คนสำคัญของไทย ได้อรรถาธิบายเรื่องการทำผงไว้ในคัมภีร์พุทธศาสตราคมว่า "...การทำผงนั้นเป็นการหัดทำสมาธิขั้นแรกอย่างเอกอุ กระทำพร้อมกันทั้งองค์ ๓ คือทางกาย ใช้มือขีดเขียนตัวอักขระลงไป พร้อมกับทางวาจา ซึ่งบริกรรมท่องบ่นสูตรและคาถาที่ทำต่าง ๆ ไปพร้อมกับอาการกิริยาที่เขียน ทางใจก็ต้องสำรวมควบคุมเพ่งเล็งตัวอักษรมิให้เขียนผิดพลาด...นับว่าเป็นเครื่องล่อในการหัดทำสมาธิเป็นอย่างดี เพราะมิใช่แต่จะเขียนอย่างเดียว พอเขียนเสร็จบังเกิดขึ้นแล้ว ก็ลบเสียบังเกิดเป็นขึ้นใหม่ต่อไปอีก เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปฉะนี้สลับกันไป จนท้ายที่สุดถึงองค์พระและลบเข้าสู่สูญนิพพาน..." ผงปถมังนี้เมื่อทำตัวนะปถมังสำเร็จแล้ว ต่อมาคือฝึกหัดเพ่งจนเกิดเป็นนิมิตในลักษณะอย่างอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต เพราะโดยแก่นแท้แล้วหลักการทำผงของไทยโบราณก็คือการฝึกสมาธิที่ประยุกต์ขึ้นตามแนวทางของสมถกรรมฐาน ซึ่งหากพิจารณาให้ถ่องแท้จึงจะเห็นถึงหลักไตรลักษณ์ ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ดังเช่นผงที่กำเนิดขึ้นและลบดับสู่นิพพานไปบนกระดานชนวนนั่นเอง



    [แก้] ความเชื่อในด้านอานุภาพ

    ตามตำราทางไสยศาสตร์กล่าวว่า อานุภาพของผงปถมังหนักไปทางด้านอิทธิฤทธิ์ อยู่ยงคงกระพันชาตรี จังงังกำราบศัตรูหมู่ปัญจามิตร สะกดทั้งมนุษย์และสัตว์ให้ตกอยู่ในอำนาจ และเป็นกำบังล่องหนหายตัว ถึงทางเมตตามหานิยมก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้ผสมทำเครื่องรางเมื่อพกพาติดตัวทำให้อยู่ยงคงกระพัน หรือนำผงทาตัวเป็นล่องหนกำบังหายตัวได้ โบราณาจารย์ได้กล่าวอุปเท่ห์สืบต่อกันมาว่า อันผงปถมังที่ทำถึงเพียงองการมหาราพน้อยใหญ่นั้น ถ้าเอาผงนั้นไปโรยใส่เข้าที่ไหน เช่น โรยใส่ใต้ถุนบ้านเรือน มิช้านานบ้านเรือนนั้นจะยุบหายกลายเป็นป่าไป ถึงบ่อน้ำที่มีน้ำเต็มเมื่อเอาผงปถมังโรยเข้ามิช้าน้ำก็จะถึงกับแห้งเหือดหายไป ถ้านำไปทาที่เสาเรือนใครอาจทำให้คนบนเรือนถึงกับเป็นบ้าได้ เมื่อทำผงสำเร็จถึงสูญนิพพานแล้วตำราให้นำเครื่องยามาผสมปั้นแท่ง มีกฤษณา กะลำพัก ขอนดอก จันทน์ทั้งสอง ชะมด พิมเสน ฯลฯ เป็นอาทิ โบราณนิยมนำผงปถมังมาผสมทำพระเครื่องราง พระเครื่องที่มีชื่อเสียงหลายสำนักก็สร้างขึ้นโดยมีส่วนผสมของผงชนิดนี้ หรือนำผงไปผสมหมึกสำหรับสักยันต์ที่กระหม่อมตามความเชื่อว่าจะทำให้อยู่ยงคงกระพัน
    อนึ่ง คัมภีร์ปถมังแต่เดิมมีอยู่หลายตำรับ แต่ละตำรับอาจมีวิธีการทำแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน โดยหลักแล้วคือเริ่มที่ทำตัวนะ เมื่อสำเร็จเป็นนะพินทุแล้วก็อาจแยกออกไปหลายแบบ เป็นคัมภีร์ปถมังภาณวาร ปถมังองควิฏฐาร หรือตำรับอื่น ๆ ที่มีวิธีการต่างกันไปอีกก็ได้ ปถมังเป็นความเชื่อโบราณของไทยซึ่งปัจจุบันหาผู้ทึ่สืบทอดความรู้ในวิชานี้ไว้ได้มีอยู่น้อยมาก



    [แก้] สูตรการเขียนผงปถมังของพระครูสาทรพัฒนกิจ (วัดเสด็จ ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี)

    ผงปถมัง มีสูตรเขียน ดังนี้



    [แก้] อ้างอิง

    • เทพย์ สาริกบุตร.คัมภีร์พุทธศาสตราคม.กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,2516.
    • _________.คัมภีร์หัวใจ ๑๐๘. กรุงเทพ ฯ : เสริมวิทย์บรรณาคาร, 2533.
    • _________.เคล็ดลับไสยศาสตร์. กรุงเทพ ฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2522.
    • _________.พระคัมภีร์พระเวทย์มหาพุทธาคม.กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,2525.
    • _________.พุทธรัตน์สรรพเวทย์พิสดาร.กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร,2520.
    <!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:93941-0!1!0!!th!2 and timestamp 20070816215910 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87".
    หมวดหมู่: ไสยศาสตร์
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://72.14.235.104/search?q=cache...=61454+ประถม+อาจสาคร&hl=th&ct=clnk&cd=5&gl=th

    พระท่าดอกแก้ว ตำนานแห่งผงโสฬสมหาพรหม

    หลวงปู่ศรีทัต หรือ ยาคูศรีทัต ท่านเป็นที่เคารพของมหาชน 2 ฝั่งโขง ไม่ว่าท่านจะสร้างสิ่งใด ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งจะร่วมแรงร่วมใจถวายแด่หลวงปู่ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าดอกแก้ว อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งท่านจะไปมาระหว่างวัดท่าดอกแก้ว และ ภูเขาควายในฝั่งลาว หลวงปู่ศรีทัตท่านมีศิษย์ที่ท่านถ่ายทอดสรรพวิชาการทั้งหลายจนสิ้นอยู่ 2 รูป ได้แก่

    1. หลวงปู่สนธ์ ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าอาวาสต่อจากท่าน หลวงปู่สนธ์เป็นเจ้าอาวาส วัดท่าดอกแก้ว จวบจนปี 2510 จึงมรณภาพ

    2. หลวงปู่จันทร์ เขมิโย หรือ ท่านเจ้าคุณปู่ ที่เป็นที่สักการะอย่างสูง ท่านเจ้าคุณปู่ที่นั่งอยู่ในดวงใจของชาวนครพนม ท่านเป็นมหาเถระที่ชาวนครพนมและ จังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพอย่างสูง ท่านมีสมณศักดิ์ที่ พระเทพสิทธาจารย์ ท่านเจ้าคุณปู่เป็นเสาหลักแห่งพระศาสนา เป็นผู้วางรากฐานแห่ง พระธรรมยุติ
    ให้บังเกิดขึ้นที่นครพนม ท่านมรณภาพในปี 2516

    สำหรับหลวงปู่สนธ์นั้น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในเรื่องของความขลัง อาจจะเนื่องจากท่านอยู่ไกลถึงนครพนม แต่ในครั้งเมื่อมีการปลุกเสกพระประมาณปี 249กว่า หลวงปู่สนธ์ท่านมาร่วมปลุกเสก พระที่วัดเทพฯ ท่านขึ้นมาแบบพระบ้านนอกไม่มีใครรู้จักนัก ครั้นพิธีปลุกเสกผ่านพ้นไป วันเดินทางกลับนครพนม ได้มีปรากฏการณ์พิเศษคือ มีพระคณาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกพระในครั้งนั้น ได้เดินทางติดตามหลวงปู่สนธ์ไปวัดท่าดอกแก้วหลายสิบองค์

    คุณอาคม ( บุตรชายของอาจารย์ประถม อาจสาคร ) เล่าว่า ( นิตยสาร ศักดิ์สิทธิ์) อาจารย์ประถม ได้นำพระเครื่องของหลวงปู่สนธ์ไปให้หลวงปู่เฮี้ยง(เจ้าคุณวรพรตปัญญาจารย์ วัดป่าอรัญญิกาวาส ชลบุรี ซึ่งเป็นอาจารย์องค์หนึ่งของอาจารย์ประถม) ดู ปรากฏว่า ท่านดูไม่ออก กว่าจะดูรู้เรื่องว่า หลวงปู่สนธ์ทำพระอย่างไร ปลุกเสกอย่างไร วิธีไหน ก็เสียเวลาหลายวัน ต้องกำหนดจิตเข้าในองค์พระอยู่นานจึงรู้เรื่อง พอรู้แล้วก็เอ่ยปากยกย่องหลวงปู่สนธ์เป็นอย่างยิ่ง เสร็จแล้วก็ฝากพระของท่านไปให้หลวงปู่สนธ์ดูบ้าง เมื่ออาจารย์ประถมนำพระไปถวายให้หลวงปู่สนธ์ ท่านก็บอกทันทีว่าพระองค์นี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างโน้น ปลุกเสกด้วยวิธีนั้น วิธีนี้ คาถาบทนั้น คาถาบทนี้ หลวงปู่เฮี้ยงถึงกับร้องทำนองว่า เขารู้เราหมด แต่กว่าเราจะรู้เขาได้นั้นผิดกันเยอะ

    จากคำบอกเล่าของหลวงปู่สนธ์ ได้เล่าให้อาจารย์ประถม ซึ่งขณะนั้นได้เดินทางไปปฏิบัติราชการตำแหน่งหัวหน้าสหกรณ์อำเภอท่าอุเทน จ.นครพนม ปี 2493 ฟังว่า อาจารย์ของท่านคือ หลวงปู่ศรีทัต เป็นพระเถระที่ทรงคุณยิ่งใหญ่ มีจริยวัตรที่งดงามนักหนา เคร่งครัดในธรรมวินัยยิ่งยวดมีตบะแก่กล้า นอกจากท่านจะเชี่ยวชาญทางวิปัสสนาธุระและคันธุระแล้ว ท่านยังอุดมไปด้วยวิชาการต่างๆมากมาย และในช่วงที่หลวงปู่สนธ์เป็นเณรอยู่นั้น ได้ถูกเรียกใช้เป็นประจำ ก็เลยอยู่ดูแลหลวงปู่ศรีทัตมากกว่าคนอื่น และตอนที่หลวงปู่สนธ์เป็นเณรนั้น หลวงปู่ศรีทัตได้เขียนยันต์ให้ผืนหนึ่งและบอกกับหลวงปู่ว่า
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://72.14.235.104/search?q=cache...2.htm+ประถม+อาจสาคร&hl=th&ct=clnk&cd=10&gl=th

    พระปิดตาบินเดี่ยว


    หลวงปู่ทิมเริ่มสร้างวัตถุมงคลครั้งแรกเมื่อปี 2503 โดยมีคุณประถม อาจสาครเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง เรียกว่า พระผงโสฬสมหาพรหม โดยใช้ผงหลักของหลวงปู่ศรีฑัต ผงโสฬสมงคลของหลวงปู่เฮี้ยงซึ่งมีผงของหลวงพ่อแก้ววัดเคลือวัลย์และผงของหลวงปู่เจียมวัดกำแพงผสมอยู่ด้วย และผงของเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมันนั้น สำหรับแม่พิมพ์ของพระผงโสฬสมหาพรหมนั้นถอดพิมพ์จากพระพิมพ์ต่างๆของชาวบ้าน ซึ่งมีอยู่หลายพิมพ์ แต่ละพิมพ์ก็มีจำนวนการสร้างที่ไม่เท่ากันมากบ้างน้อยบ้าง ที่พบเห็นเล่นหากันเป็นมาตรฐานได้แก่
    1. พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ สร้างจำนวน 108 องค์
    2. พระสมเด็จพิมพ์เจดีย์ สร้างจำนวน 108 องค์
    3. พระท่ากระดาน สร้างจำนวน 108 องค์
    4. พระผงสุพรรณ พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ไม่ทราบจำนวน
    5. พระนารายณ์ทรงปืน สร้างจำนวน 32 องค์
    6. พระอู่ทอง ไม่ทราบจำนวน
    7. พระสังกัจจายน์ สร้างจำนวน 108 องค์
    8. พระพุทธชินราช ไม่ทราบจำนวน
    9. พระปิดตาแขนอ่อน สร้างจำนวน 108 องค์
    10. พระปิดตาแขนตรง สร้างจำนวน 108 องค์
    11. พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว สร้างจำนวน 108 องค์
    12. พระปิดตาหลวงพ่อทาบ สร้างจำนวน 108 องค์
    13. พระปิดตาหัวบายศรี สร้างจำนวน 58 องค์

    14. พระปิดตาบินเดี่ยว สร้างจำนวน 108 องค์

    กล่าวสำหรับพระปิดตาบินเดี่ยวเนื้อผงโสฬสมหาพรหม ด้านหน้าเป็นพระปิดตาสะดือจุ่น ด้านหลังเป็นรูปพระปิดตาปั๊มจมลงไปในเนื้อพระหรือที่นิยมเรียกกันว่าหลังแบบ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ เป็นเนื้อผงสีดำลักษณะคล้ายกับเนื้อผงคลุกรัก แต่เนื่องจากมีอายุการสร้างมากว่า 45 ปีแล้วเนื้อพระจึงมีลักษณะที่เรียกว่าเนื้อกระลา และอีกอย่างเป็นแบบเนื้อผงจุ่มรักจากเมืองจีนออกสีแดงใสเข้ม พุทธคุณเป็นเลิศทางด้านเมตตามหานิยม


    **********************************************

    ผมมาแก้เล็กน้อยนะครับ

    เนื้อผงจุ่มรัก รักนั้นจุ่มไม่ได้ครับ ต้องใช้ทาก็พอไ
    ส่วนรักนั้น เป็นรักไทย ไม่ใช่รักจีนครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไปเจอมาอยู่เว็บนึง ลองอ่านกันดูนะครับ
    http://72.14.235.104/search?q=cache...+หลวงปู่เทพโลกอุดร&hl=th&ct=clnk&cd=186&gl=th

    โยม หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่เคยได้ยินได้ฟัง

    หลวงปู่ (เกษม อาจิณฺณสีโล) ก็เคยได้ยินมา แล้วก็ไปถามทางนั้นก็ไม่มี ถามทางนี้ก็ไม่มี ถามทางโน้นก็ไม่มี เขาจะฆ่ากันตายอยู่ตรง ไอ้พวกกรรมฐานก็ยกทัพไป พวกพระวัดบ้านในเมืองก็ยกทัพไป จะไปฆ่ากันอยู่ตรงทำเนียบรัฐบาล พระเทพโลกอุดรก็ไม่จ้าลงมาตรงนั้นน่ะมันอยู่ โคตรพ่อ โคตรแม่มันที่ไหนล่ะ ไอ้สันดานหมา ก็ด่าไปทั่วเลยล่ะ บางคนก็บอกว่า ถ้าเผื่อท่านเป็นพระอรหันต์จริง ๆ ล่ะ อรหันต์ก็ช่างโคตรมัน มันเก่งขนาดนั้น มันไม่มาช่วย ชาวบ้าน มันจะอรหันต์โคตรพ่อมึงอยู่ทำไม ทำไมไม่มาช่วยชาวบ้าน ก็ว่าอย่างนี้ ชาวบ้านเขาจะตายแล้วนั่น ถ้าว่าเป็นเรื่องของกรรม ก็ทำไมไม่นิพพานไปแล้ว แล้วมายุ่งอยู่ทำไม ใช่ไม๊ล่ะ ก็ว่างั้น ก็เลยด่าไอ้เทพโลกอุดร สันดานหมา อยู่ที่ไหนตอนนี้ว่ะ ก็ด่ามันจนป่านนี้ ตอนนี้ไม่เห็นโผล่เลยนะ จริง ๆ ไม่เคยเห็น แน่จริงก็โผล่มาซิ ชาวบ้านเดือดร้อนจะตายนะ ปวงเทพ เทวา ทั้งหลายโผล่กันมา แต่ถ้าว่าพระอริยะในสวรรค์นั่นน่ะ มีอยู่ ที่เป็นพวกเทพ พระโสดา สกทาคา อนาคา ในพรหม น่ะมี มีแน่นอน แต่พระอรหันต์ที่หายตัวไป แล้วหายตัวมา ปรากฏตรงนั้นตรงนี้อย่างว่านี้ แหม โคตรพ่อมึงอยู่ที่ไหนว่ะ ว่างั้นเลย นี่ก็ยังอธิษฐาน ไม่ใช่อธิษฐานหานะ ด่าหาอยู่เรื่อย ๆ ไปตายอยู่ที่ไหน ชาวบ้านเดือดร้อนกันจะตายแล้ว ศาสนาพุทธ ไหนว่าเกิดมาทำนุบำรุงศาสนาพุทธ แล้วปล่อยให้ศาสนา พุทธเป็นอย่างนี้ทำไม ปล่อยให้คนเข้าใจผิดต่อศาสนาอยู่อย่างงี้ทำไม เข้าใจว่าศาสนาไม่วิเศษ เข้าใจว่าศาสนาไม่ดี ส่วนมากเข้าใจว่าอย่างนั้น ว่าศาสนาพุทธเสื่อม ความจริงศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อม จิต ของเขานั่นเสื่อม ใจของเขานั่นเสื่อม จากความดี จาการที่จะประพฤติเอาศีลเอาธรรมนี้เข้าไป ว่ามันเข้าไปยาก เขาว่าอย่างนั้น มันเป็นอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่สิ่งเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ถ้าหากดำรงฌานอยู่ก็ วันไหนมีเรื่องยุ่ง อย่างงั้นก็โผล่มาบ้างซินะ ไอ้คนพูด พูดอยู่จนจะล้ม จะตายนะ ไอ้คนคุยว่าตนเองวิเศษแล้วไม่เห็นโผล่มาโคตร พ่อมึงอยู่ที่ไหนว่ะ ไอ้สันดานหมา ไปนั่นเลย จนป่านนี้ยังไม่เห็น อยู่นี่ ด่ามาอย่างนี้ 9 ปี 10 ปีแล้ว 11 ปีแล้วด้วย ด่าอย่างนี้ เทวดาไหนรู้จักพระเทพอุดรหมาองค์นั้นก็ไปบอก ให้มันมาซิ โอ๋ย พรหมไหนรู้ก็ไปบอกมันมาซิ จะได้มาช่วยกันทะนุบำรุงศาสนาพุทธ ไหนล่ะอยู่ทะนุบำรุงศาสนาพุทธ แล้วไม่โผล่มา โคตรพ่อ ไม่เห็นมาช่วยข้าโว้ย นั่น เห็นไม๊ล่ะเอาอีกแล้ว (22:25)
     
  12. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ขอบคุณครับ แล้วรีบตามมาเร็ว ๆ นะฝนเดี๋ยวลูกโอ๊ตแก่ก่อน หุหุ :love: ({) ;)
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    9. พระปิดตาแขนอ่อน สร้างจำนวน 108 องค์
    พอมีรูปให้ศึกษาไหมครับ อยากทราบว่าพิมพ์เป็นอย่างไรครับ
    ขอบคุณครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    บอกอะไรให้อย่างหนึ่ง พระที่คุณหนุ่มออกชุดนี้ จะมีหลวงพ่อเงินอยู่ราว 3 องค์ หลวงพ่อเงินชุดนี้สำคัญนัก ลักษณะพระพิมพ์จะเป็นรูปหล่อ หลวงพ่อเงินเสกก่อน แล้วนำให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จเสกอีกรอบนึงด้วยความเคารพ ซึ่งผมแน่ใจว่าน่าจะเป็นพิธีเดียวกันกับที่องค์รูปเหมือนที่มีผู้ใหญ่ท่านนึงนำมาให้พี่ใหญ่ตรวจเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ผมอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย แรงจนขนาดพี่ใหญ่ที่ถือว่าเป็นฌาณลาภีบุคคลยังบอกว่าโอ้โฮ มือชาเลยว่ะ ซึ่งหากเป็นพิธีเดียวกันต้องใช้ความสามารถในการประมูลแล้วล่ะ เพราะคำว่าแรงหมายถึงโภคทรัพย์และเมตตามากจริงๆ สมกับชื่อท่านทั้ง 2 จะหาท่านที่เสกคู่กันยังไงก็ไม่มีอีกแล้วทั้งชาตินี้และชาติต่อไป ได้ข่าวว่าคุณหนุ่มจะออกไม่ครึ่งหมื่น (รวมกับพระองค์อื่นๆ อีก) ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงให้เก็บไว้ เก็บไว้ และเก็บไว้ให้ได้ ส่วนเบี้ยน้อยหอยน้อยก็แขวนกลักไม้ขีดพิมพ์หนา หรือพิมพ์บางก็ได้ แรงน้อยกว่า แต่ก็เหลือกินแล้ว หรือยังเก็บกลักไม้ขีดไม่ได้ วัดระฆังเพดานโบสถ์ก็ใช้ได้ เนื้อหาไม่เบาจริง ใครที่ได้พระกลุ่มนี้ไว้ใช้ช่วยกรุณาแขวนท่านด้วย ท่านจะได้ไปเที่ยวกับเราได้ แขวนสัก 6 เดือน แล้วดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง อย่าปล่อยให้โม้อยู่คนเดียว อย่างนี้เขินแย่..ใครมีประสบการณ์อะไรก็แบ่งปันกันบ้าง ชีวิตมีสุข มีทุกข์ มีโชคดี และโชคไม่เข้าข้าง อย่าลืมหัดขีดชะตาชีวิตตนเอง ด้วยศีล สมาธิ และปัญญาด้วย วันนี้มีบทความมาฝาก เป็นบทความเดิมในกระทู้นี้ จนจำไม่ได้ แต่วันนี้มีคนโมทนาให้สาธุจริงๆ...จึงนำมาฝากอีกครั้งหนึ่งครับ อ้อ..ลืมบอกไป ตอนนี้มุมสนทนาทางจิตจะเปลี่ยนที่บ้านพี่ใหญ่ในวันอาทิตย์ ซึ่งไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ หากรอบหน้ามีอีก อาจจะให้ก๊วนเวียนกันไปสนทนาธรรม สนทนากับพีใหญ่ที่ได้ชื่อว่าฌาณลาภีบุคคลกันบ้างแต่ต้องขออนุญาตก่อนเพราะแต่ละคนมีวาระไม่เท่ากัน ต้องผ่านการสกรีนจากโน่น..และที่สำคัญก็คือ ต้องปฏิบัติให้ได้ก่อน ไม่งั้นจะกลายเป็นเวทีตรวจพระไปซะฉิบ..เดี๋ยวพี่ใหญ่จะโดนข้างบนเล็คเชอร์อีกครับ

    อยากจะให้ผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้ ้มีความรู้แปลกแยกออกไประหว่าง "ฌาน" และ "ญาน" จึง พอที่จะค้นคว้านำบทความในเวบธรรมะลงมาให้ดูถึงนิยามแห่งอาการจิตทั้ง 2 พอสังเขปสำหรับผู้ที่ยังไม่กระจ่างในเรื่องนี้ดังนี้ ส่วนผู้ที่กระจ่างใจแล้ว ขอโมทนาบุญด้วย
    [FONT=&quot]ฌาน...การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ เป็นอัปปนาสมาธิ...[/FONT]
    [FONT=&quot]
    หรือ ..ภาวะจิตที่สงบประณีต โดยมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก..
    เช่น ..ฌาน 4 (ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน)

    ญาณ...ความรู้ ปรีชาหยั่งรู้ ปรีชากำหนดรู้
    เช่น ...ญาณ 3

    สัจจญาณ (หยั่งรู้อริยสัจแต่ละอย่าง) ...
    กิจจญาณ (หยั่งรู้กิจในอริยสัจ) ...
    กตญาณ (หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจ) ...

    ญาณจริต ...คนที่มีพื้นนิสัยหนักในความรู้ มักใช้ความคิด พึงส่งเสริมด้วย
    การแนะนำให้ใช้ความคิดในทางที่ชอบ (เป็นอีกชื่อหนึ่งของพุทธิจริต)....

    สมาบัติ...ภาวะสงบประณีตซึ่งพึงเข้าถึง..
    สมาบัติ มีหลายอย่าง เช่น ฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหารสมาบัติ

    สมาบัติ ที่กล่าวถึงบ่อย คือ ฌานสมาบัติ กล่าวคือ สมาบัติ 8
    อันได้แก่ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 ...

    ถ้าเพิ่ม นิโรธสมาบัติ ต่อท้ายสมาบัติ 8
    ก็รวมเรียกว่า อนุปุพพวิหารสมาบัติ 9

    เมื่อดูตามนิยามศัพท์แล้ว
    ฌาน-สมาบัติ..จะเป็นเรื่องของ .."สมถะ หรือ สมาธิ"
    ญาณ ..จะเป็นเรื่องของ .."วิปัสนา หรือ ปัญญา".....

    ซึ่งก็อยู่ในไตรสิกขา เรื่อง ศีล ..สมาธิ (ฌาน-สมาบัติ) ..ปัญญา (ญาณ)
    ผู้ปฏิบัติ สามารถเข้าสู่จุดหมายที่ต่อจากปัญญา คือ วิมุตติ..หลุดพ้นกิเลสได้
    ตามแนวทางองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา..นั่นเอง..!

    ร่วมแสดงความเห็นไว้กว้าง ๆ ครับ..
    ส่วนรายละเอียดแบบลงลึกเรื่อง ฌาน ญาณ..มีมากมายยิ่ง..
    ซึ่งฐานะผู้ปฏิบัติ เมื่ออยู่ในทางของไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา..

    ศีล 5
    สมาธิ (ฌาน 4)
    ปัญญา พิจารณาแยกรูป นาม ว่ามีภาวะเป็นไตรลักษณ์ ให้จิตเห็นจริงรู้แจ้ง
    ในความไม่ใช่ตัวตน ให้จิตถอนความยึดมั่นถือมั่นในรูป นาม ทั้งหลาย โดยลำดับ

    ก็ถึง นิพพิทา เบื่อหน่ายในกายนี้ ในจิตนี้ หรือ ในรูปนี้ ในนามนี้..
    ก็จะเข้าสู่ วิราคะ คือจิตจางคลายจากยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่ง ถอนออกมาจาก
    ความรู้สึก รู้คิด ติดยึดว่า นั่นเป็นเรา นั่นของเรา..!

    จิตถอนความรู้สึกนึกคิดได้เรื่อย ๆ ที่สุด ก็จะเป็นอาการตามธรรมชาติของจิต
    ที่เกี่ยวข้องกับสรรพสิ่ง เพียงสักแต่ว่าต้องเกี่ยวข้อง แต่ใจไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
    ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา...

    เมื่อสิ่งทั้งหลาย(รูปนามตน รูปนามผู้อื่น สัตว์อื่น สิ่งอื่น) แปรปรวนไป ..
    ใจก็ไม่เศร้าหมอง เพราะไม่ได้นำใจเข้าไปติดอยู่..

    นี่เองที่ท่านกล่าวว่า "จิตวิมุตติ" ความหลุดพ้นแห่งจิต..
    อันเกิดจากการพิจารณาทางปัญญา หรือ วิปัสนา นั่นเอง..!<O:p></O:p>
    [/FONT]
    [FONT=&quot]<O:p[/FONT]
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แบบเต็มๆครับ
    อุเบกขาครับ


    http://www.samyaek.com/board2/index.php?PHPSESSID=bfa7afe7315acafd56f2062693b5844a&topic=19.30


    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top width="16%" rowSpan=2>ผู้ดูแลระบบ ครรชิต ยธิกุล
    ผู้ดูแลระบบ
    [​IMG]
    [​IMG] ออฟไลน์

    กระทู้: 230

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </TD><TD vAlign=top width="85%" height="100%"><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center>[​IMG]</TD><TD vAlign=center>Re: ตอบปัญหาชาวลานธรรม 28 พ.ค. 48
    &laquo; ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 07 มกราคม , 2007 เวลา 09:53:44 AM &raquo;

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลวงปุ่หมายถึง หลวงปู่ (เกษม อาจิณฺณสีโล)

    โยม หลวงปู่ครับ พวกพรหมหรือเทพที่มันเป็นมิจฉาทิฐิเนี่ย มันทำกุศลอะไร ถึงไปเป็นพรหมแล้ว ทำไม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต่อครับ
    อุเบกขาครับ

    กระดานสนทนาธรรมลานวัด | กระดานวัดป่าสามแยก | ธรรมะทาร์ซาน | หัวข้อ: ตอบปัญหาชาวลานธรรม 28 พ.ค. 48

    http://www.samyaek.com/board2/index.php?PHPSESSID=bfa7afe7315acafd56f2062693b5844a&topic=19.30

    โยม หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่เคยได้ยินได้ฟัง

    หลวงปู่ ก็เคยได้ยินมา แล้วก็ไปถามทางนั้นก็ไม่มี ถามทางนี้ก็ไม่มี ถามทางโน้นก็ไม่มี เขาจะฆ่ากันตายอยู่ตรง ไอ้พวกกรรมฐานก็ยกทัพไป พวกพระวัดบ้านในเมืองก็ยกทัพไป จะไปฆ่ากันอยู่ตรงทำเนียบรัฐบาล พระเทพโลกอุดรก็ไม่จ้าลงมาตรงนั้นน่ะมันอยู่ โคตรพ่อ โคตรแม่มันที่ไหนล่ะ ไอ้สันดานหมา ก็ด่าไปทั่วเลยล่ะ บางคนก็บอกว่า ถ้าเผื่อท่านเป็นพระอรหันต์จริง ๆ ล่ะ อรหันต์ก็ช่างโคตรมัน มันเก่งขนาดนั้น มันไม่มาช่วย ชาวบ้าน มันจะอรหันต์โคตรพ่อมึงอยู่ทำไม ทำไมไม่มาช่วยชาวบ้าน ก็ว่าอย่างนี้ ชาวบ้านเขาจะตายแล้วนั่น ถ้าว่าเป็นเรื่องของกรรม ก็ทำไมไม่นิพพานไปแล้ว แล้วมายุ่งอยู่ทำไม ใช่ไม๊ล่ะ ก็ว่างั้น ก็เลยด่าไอ้เทพโลกอุดร สันดานหมา อยู่ที่ไหนตอนนี้ว่ะ ก็ด่ามันจนป่านนี้ ตอนนี้ไม่เห็นโผล่เลยนะ จริง ๆ ไม่เคยเห็น แน่จริงก็โผล่มาซิ ชาวบ้านเดือดร้อนจะตายนะ ปวงเทพ เทวา ทั้งหลายโผล่กันมา แต่ถ้าว่าพระอริยะในสวรรค์นั่นน่ะ มีอยู่ ที่เป็นพวกเทพ พระโสดา สกทาคา อนาคา ในพรหม น่ะมี มีแน่นอน แต่พระอรหันต์ที่หายตัวไป แล้วหายตัวมา ปรากฏตรงนั้นตรงนี้อย่างว่านี้ แหม โคตรพ่อมึงอยู่ที่ไหนว่ะ ว่างั้นเลย นี่ก็ยังอธิษฐาน ไม่ใช่อธิษฐานหานะ ด่าหาอยู่เรื่อย ๆ ไปตายอยู่ที่ไหน ชาวบ้านเดือดร้อนกันจะตายแล้ว ศาสนาพุทธ ไหนว่าเกิดมาทำนุบำรุงศาสนาพุทธ แล้วปล่อยให้ศาสนา พุทธเป็นอย่างนี้ทำไม ปล่อยให้คนเข้าใจผิดต่อศาสนาอยู่อย่างงี้ทำไม เข้าใจว่าศาสนาไม่วิเศษ เข้าใจว่าศาสนาไม่ดี ส่วนมากเข้าใจว่าอย่างนั้น ว่าศาสนาพุทธเสื่อม ความจริงศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อม จิต ของเขานั่นเสื่อม ใจของเขานั่นเสื่อม จากความดี จาการที่จะประพฤติเอาศีลเอาธรรมนี้เข้าไป ว่ามันเข้าไปยาก เขาว่าอย่างนั้น มันเป็นอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันล้วนแล้วแต่สิ่งเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ถ้าหากดำรงฌานอยู่ก็ วันไหนมีเรื่องยุ่ง อย่างงั้นก็โผล่มาบ้างซินะ ไอ้คนพูด พูดอยู่จนจะล้ม จะตายนะ ไอ้คนคุยว่าตนเองวิเศษแล้วไม่เห็นโผล่มาโคตร พ่อมึงอยู่ที่ไหนว่ะ ไอ้สันดานหมา ไปนั่นเลย จนป่านนี้ยังไม่เห็น อยู่นี่ ด่ามาอย่างนี้ 9 ปี 10 ปีแล้ว 11 ปีแล้วด้วย ด่าอย่างนี้ เทวดาไหนรู้จักพระเทพอุดรหมาองค์นั้นก็ไปบอก ให้มันมาซิ โอ๋ย พรหมไหนรู้ก็ไปบอกมันมาซิ จะได้มาช่วยกันทะนุบำรุงศาสนาพุทธ ไหนล่ะอยู่ทะนุบำรุงศาสนาพุทธ แล้วไม่โผล่มา โคตรพ่อ ไม่เห็นมาช่วยข้าโว้ย นั่น เห็นไม๊ล่ะเอาอีกแล้ว (22:25)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    องค์จริงๆก็ยังไม่มีเลย แม้แต่รูปผมเองก็ไม่มี หาไม่ได้แล้วครับ
    พระที่อยู่ในตลาดพระ ผมไม่แน่ใจเพราะดูไม่เป็น ก็เลยไม่ได้นำรูปมาลงครับ
    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ตอนนี้ผมก็แขวนประจำในวันหยุดตามที่คุณพันวฤทธิ์เคยแนะนำในชุด 2+1คือด้านหน้าเป็น พระปัญจศิริในชุด2 ประกบหลังด้วยพระพิมพ์วังหน้าสีขาวชมพูในชุด1 ด้านอื่นผมยังไม่ทราบแน่ชัดเพียงแต่ตอนสวม 1-2วันแรกจะมึนๆชาตามแขนเล็กน้อยหลังจากนั้นก็ปกติ ส่วนเรื่องอื่นคงเป็นความมั่นใจเมื่อสวม แต่ก็มีอีกเหตุการณ์เมื่อผ่านเครื่อง อินฟาเรทแล้วมีวงสีแดงแรงมากบริเวณพระพิมพ์
    โมทนาสาธุครับ
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    แขวนกันแรงๆทั้งนั้น ตาร้อนแล้ว...
     

แชร์หน้านี้

Loading...