เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    บางครั้งเวลานอนกำลังจะเคลิ้มๆหลับก็เห็นตัวเองพองได้หดได้ พองเหมือนลูกบอลลูนน่ะค่ะ ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นและก็หดลงมาเหลือกะติ๊ดเดียว สะดุ้งตื่นแล้วก็ยังจำภาพและความรู้สึกนั้นได้

    +++ อธิบาย ตามแนวของ มหาสติปัฏฐาน 4 แบบหยาบ ๆ คือ กาย เวทนากาย จิต อารมณ์ (เวทนาจิต)
    +++ โดยปกติแล้ว คนทั่วไป นับว่า กายคือเรา และ เราคือกาย เพราะจิตผนึกเข้ากับกาย จึงเป็นกาย ในขณะนั้น ๆ
    +++ หากผู้ฝึก ใช้ความรู้สึกตัวเป็นฐาน ก็เป็นการฝึกให้จิตผนึกกับ เวทนากาย จึงกลายเป็น เราคือความรู้สึก และ ความรู้สึกเป็นเรา ในขณะนั้น ๆ

    เวลานอนกำลังจะเคลิ้มๆหลับก็เห็นตัวเองพองได้หดได้

    +++ จริง ๆ แล้วเป็นการเห็นและรู้ด้วยตาสติ และอาการจริง ๆ ในขณะนั้น เป็นตัวคุณเองนั่นแหละ ที่พองได้ยุบได้ เพราะในขณะนั้น ๆ จิตของคุณผนึกเข้ากับ เวทนากาย ซึ่งมีความละเอียดกว่า กายปกติ อาจจะใช้คำศัพท์ว่า กายพลังงานก็ได้ แต่ยังไม่ถึงซึ่งความเป็นจิต ด้วยตัวจิตเอง

    +++ จนกว่าคุณจะถึง ซึ่งความเป็นจิต และความรู้สึกทางจิต (เวทนาจิต) จากนั้น หากตั้งมั่นที่สติได้ ทั้ง จิตและเวทนาจิต ก็จะกลายเป็นสิ่งถูกรู้ และคุณจะกลายเป็นสภาวะ สติที่บริสุทธ์ได้เอง

    ขอให้เจริญในธรรมไปเรื่อย ๆ นะครับ
     
  2. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    อนุโมทนาสาธุสำหรับธรรมทานค่ะ แล้วกรณีที่ฝันว่าได้ทานข้าวจนอิ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่าท้องอิ่มเหมือนในฝันเลย สรุปวันนั้นจะสังเกตุเห็นว่าตัวเองอิ่ม ไม่หิวและไม่ทานอะไรเลยทั้งวัน และสังเกตุดูร่างกายก็ไม่รู้สึกเพลียแต่อย่างใดเลยน่ะค่ะ อาการนี้เรียกว่าอะไรคะ

    ขอบพระคุณมากค่ะ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อนุโมทนาสาธุสำหรับธรรมทานค่ะ แล้วกรณีที่ฝันว่าได้ทานข้าวจนอิ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่าท้องอิ่มเหมือนในฝันเลย สรุปวันนั้นจะสังเกตุเห็นว่าตัวเองอิ่ม ไม่หิวและไม่ทานอะไรเลยทั้งวัน และสังเกตุดูร่างกายก็ไม่รู้สึกเพลียแต่อย่างใดเลยน่ะค่ะ อาการนี้เรียกว่าอะไรคะ

    +++ ผมเคยเกิดอาการที่น่าจะคล้าย ๆ กับคุณมาครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว คือ

    +++ วันนั้นผมค่อนข้างเหนื่อยและเพลีย พออาบน้ำเสร็จก็นอนเลย ปล่อยให้อยู่กับความรู้สึกตัวแล้วก็ทิ้งเอาไว้อย่างนั้น ตกดึกรู้สึกว่า กระหายน้ำมาก จึงลุกขึ้นมา (จากตัวผม) เหลือบเห็น น้ำใส่อยู่ในใบกะหร่ำห่อ วางไว้ใกล้ ๆ ตัว คล้าย ๆ กับกระบวยตักน้ำที่ทำจากใบกระหร่ำ จึงดื่มเข้าไป รู้สึกกระชุ่มกระชวยและสดชื่นมากกว่าในยามปกติเสียอีก แม้กระทั่งตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ยังสดชื่นและมีสติแจ่มใส และร่าเริงได้ทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุที่จะก่อให้เกิดความร่าเริงแต่ประการใด ทุกอย่างเป็นปกติธรรมดา

    +++ ผมปฏิบัติธรรมจนเป็นนิสัย ปรากฏการณ์นี้ อาจเป็นสิ่งที่เรียกันว่า ธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ก็เป็นได้ หรือ
    +++ บุญที่ได้เคยสะสมทำมา ได้เข้าช่วยเหลือในขณะที่มีความทุกข์ ก็ได้นะครับ เพราะกระหายน้ำจนถึงขนาดลุกขึ้นมา (จากตัวผมเอง) นี้ ไม่ใช่การกระหายแบบธรรมดา

    +++ ผลลัพธ์ ทำให้ผมเข้าใจในเรื่องที่เล่ากันมาจากผู้ที่ตายแล้วฟื้นต่าง ๆ ว่า หลังจากจิตออกจากร่าง (ตาย) แล้ว ต้องไปคอยในห้องโถงใหญ่ หากผู้ใดเคยทำบุญไว้ก็จะไม่หิวกระหาย ส่วนผู้ที่ไม่เคยทำบุญมาเลย ย่อมหิวกระหายเป็นธรรมดา ตรงนี้ทำให้ผมเข้าใจได้ชัดเจนมาก และไม่ประมาทในเรื่องของ ภพ ภูมิ ครับ

    ลองเปรียบเทียบกับกรณีของคุณดูนะครับ
     
  4. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ประสบการณ์ของตัวเอง เมื่ออายุยี่สิบต้นๆเข้ารับการผ่าตัดที่รพ. ช่วงที่ถูกวางยาสลบ หลับไปก็ฝันเลย ฝันว่าตัวเองเดินคนเดียวบนถนนเปลี่ยว เป็นถนนลูกรัง ริมข้างทางมีแต่ต้นไม้ ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีผู้คน ตัวเองก็เดินวนอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ในใจก็คิด เอ เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย จำได้ว่าเมื่อเช้าคนที่บ้านขับรถมาส่งเราที่รพ. แล้วไปไงมาไงถึงได้มาเดินอยู่บนถนนเปลี่ยวๆคนเดียว คิดทบทวนอยู่อย่างนั้นแหล่ะ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ในฝัน สักพักหนึ่งเหมือนตัวเองไปอยู่ในตึกของรพ. ก็เดินอยู่ในตึกวนไปวนมาอีกนั่นแหล่ะ ในใจก็คิดอีกว่าเมื่อเช้าเรามาก็เห็นคนเยอะแยะ แล้วตอนนี้ทำไมรพ.มันเงียบเหงาอย่างนี้ ไม่มีคนอยู่เลยสักคน มีแต่ตึกที่ว่างเปล่า คนหายไปไหนกันหมด พอเดินหาใครก็ไม่เจอ ก็เลยเดินไปนั่งตรงบนไดด้านหน้าตึก บอกตัวเองว่าไม่ต้องไปไหนแล้วนะ ให้นั่งรออยู่ตรงนี้แหล่ะ เดี๋ยวที่บ้านมารับจะหาเราไม่เจอ พอพื้นขึ้นมา พี่เลี้ยงบอกว่าสลบนานหลายชั่วโมงเลย หมอก็เดินมาดูบ่อย หมอก็แปลกใจว่าวางยานิดเดียว ทำไมใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะพื้น ... พอมานั่งคิดทบทวนดูกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเข้าใจดีว่า วิญญาณสัมพเวสี เป็นอย่างไร ทุกวันนี้ถ้านึกถึงเหตุการณ์นั้น จะนึกเห็นภาพในฝันนั้นได้ชัดเจนเลยค่ะ
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เป็นประสพการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง ไม่ได้เกิดจากความนึกติดปรุงแต่งใด ๆ จิตในขณะนั้น ๆ เป็นตัวตุณเอง เรียกได้ว่า ตัวคุณเองในขณะนั้น มีความเป็นอยู่ เช่นนั้น ในภพนั้น ภูมินั้น เฉกเช่นกับ ในขณะนี้ ตัวคุณเอง มีความเป็นอยู่ เช่นนี้ ในภพนี้ ภูมินี้

    +++ ทั้ง 2 กรณีล้วนเป็นคุณเองทั้งสิ้น ขณะที่เป็นมนุษย์ (กายมนุษย์) เรียก ขณะที่เป็นสัมพเวสี (กายจิต) ว่าฝัน แต่ในขณะที่เป็นสัมพเวสี (กายจิต) จะเรียกขณะที่เป็นมนุษย์ (กายมนุษย์) ว่าอย่างไร ให้ระลึกในขณะที่คุณเป็นสัมพเวสีดู คุณน่าจะทำได้ในเวลา 5-10 นาที เพื่อเป็นข้อยืนยัน และตระหนักของความเป็น ภพ และ ภูมิ และความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น หากคุณสามารถทำสลับไป ๆ มา ๆ ได้ 3-4 ครั้งภายในวันเดียวกัน ความจัดเจนนี้ จะเป็นคุณสมบัติที่ประกอบอยู่ในจิตคุณ และจะเป็นรากฐานของคุณในความเข้าใจในเรื่องของ การเปลี่ยน ภพ แปลง ภูมิ ได้ในอนาคต จุดนี้เป็นวาสนาของผู้ที่เคยผ่านประสพการณ์แบบนี้ ส่วนผู้ที่ไม่เคยผ่าน อาจไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ เลย และอาจทำให้เสียเวลาเปล่า

    +++ เมื่อทำได้แล้ว ก็ให้วางเรื่อง ภพ ภูมิ ทิ้งไป แล้วนำรากฐานนั้น มาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติธรรมของคุณ ในขณะที่ตัวเองพองได้หดได้นั้น หรือ ในขณะที่ตนเป็นสภาพนั้น ๆ (กายนั้น ๆ) ผลลัพธ์ที่จะได้คือ ความชัดเจนในขณะที่เป็น กาย (กายมนุษย์) ในขณะที่เป็นความรู้สึก (กายเวทนา) ในขณะที่เป็นสัมพเวสี (กายจิต) และในขณะที่มีอารมณ์ต่าง ๆ (กายธรรมารมณ์)

    +++ คุณจะได้ตระหนักชัดในเรื่องของ กาย ทั้งหมดที่คุณครองในปัจจุบันขณะ และ จนกว่าตัวคุณจะเป็น กายสติ คุณสามารถค้นคว้าเปรียบเทียบต่อไปได้ในเรื่องของ มหาสติปัฏฐาน 4

    ลองทำดูนะครับ มันเป็นประโยชน์สำหรับตัวคุณเอง
     
  6. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    จากเกิดอาการหูดับนั้น หลังจากนั้นก็ไม่เคยเกิดอาการนั้นอีกเลย แต่ทำ ไมก็ไม่ทราบได้ พอนั่งสมาธิเสร็จแล้วลืมตาขึ้นมาถึงมีอาการเพลียๆเวียนหัว เป็นมา2-3ครั้งแล้ว
    ตอนทำสมาธิก็เ ห็นแสงสีเหลืองรัศมีสีเขียวด้วยค่ะ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่เป็นไรหรอกครับ มันไม่เกิดก็ไม่เป็นไร มันยังเป็นอนิจจังอยู่ ส่วนอาการเพลียๆเวียนหัว อาจเกิดจากสภาวะของร่างกายก็ได้ ส่วนเรื่องแสงสีนั้น ผมเคยตามตอนแรก ๆ แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไร เสียเวลาไปพอสมควร

    +++ ผมแนะนำให้คุณลองทำความรู้สึกให้ทั่วทั้งตัวดูนะครับ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายแขนและขา เป็นความรู้สึกภายใต้ผิวหนัง แล้วปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกตัวนี้ไม่ใช่ภาพของตัวเองนะครับ ไม่มีส่วนประกอบของแสงสีแต่ประการใด

    +++ หากคุณไม่เคยทำ ให้ลองทำแบบนี้ก็ได้

    นั่งสมาธิตามแบบที่คุณถนัด ให้สังเกตุความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิหรือลมพัด ระหว่างนอกร่างกายกับภายในร่างกาย โดยสังเกตุถึงความแปรปรวนภายนอก กับความสงบมากกว่าซึ่งอยู่ภายในแบบคร่าว ๆ ทั่วทั้งตัวดู เมื่อจับความแตกต่างได้แล้ว ให้ รู้ และ อยู่ กับความสงบภายในนั้น เท่านั้น ตรงนี้เป็นเหตุหลักทั้งหมด ให้ทำเหตุตรงนี้ ให้ชำนาญ และ มั่นคงให้ได้เสียก่อน เมื่อเหตุตรงแล้ว ผลลัพธ์ภายหลังย่อมตรงเอง

    ลองทำดูนะครับ
     
  8. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2012
  9. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    เปนกท. ที่น่าสนใจดี ไม่ได้ถามแม่ ก้ไม่เปนไร สำคัญว่า เมื่อทำสมาธิเสรจแล้วได้แผ่ส่วนกุศลให้แม่รึป่าว รวมถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้ว

    ถ้าให้ดีปฏิบัติอย่างน้อยสัก ครึ่งชม. ไปเรยคับ
    ระบบการหายใจ กับสมอง อาจไม่สัมพันธกัน จะเปนหลังจากช่วงนั้งก้คงต้องปล่อยไป
    ลองหายใจยาวๆ ลึกๆ ด้วยสิคับ เวลาถอนจิตออกจากสมาธิเริ่มร้สึกตัว ก้หายใจเข้าสูดลมเข้ายาวๆ แล้วถอนลมออกยาวๆ ให้สูดอากาศเต็มปอดให้เต็มที่ ซึ่งเปนประโยชน์กับระบบหายใจและสมองครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ กรณีของคุณ จิตวิญญาณ กับคุณ jjustdream รูปแบบอาจต่างกัน แต่เนื้อหาเป็นสิ่งเดียวกัน
    +++ ของคุณ จิตวิญญาณ ในกระทู้นี้ ผมใช้ภาษาว่า "ในขณะที่เป็นสัมพเวสี (กายจิต)" แต่ของคุณ jjustdream ผมใช้ภาษาว่า "จิตตะชีพ (ความเป็นของจิต)" ในกระทู้นั้น

    [URL="http://palungjit.org/posts/6461352
    [/URL]
    +++ ผมใช้ภาษาที่ต่างกันไปในแต่ละบุคคล เพราะความเข้าใจในการใช้ภาษาแตกต่างกัน อย่างของคุณ จิตวิญญาณ เมื่อใช้คำว่า "สัมพเวสี" คุณจะสามารถกำหนดจิตให้ลงตัวได้ในทันที (ภาคปฏิบัติ) ส่วนของคุณ jjustdream จะกำหนดไม่ได้ และหาภาษาที่คุณ jjustdream ที่ใช้และเข้าใจอยู่ไม่เจอ เจอแต่คำว่า "ฝัน แต่อารมณ์อาการรับรู้จิตสำนึกนั่นคือตัวเอง" ดังนั้นผมจึงใช้ภาษาที่พิจารณาว่า "ง่ายต่อการกำหนดจิต" ของคุณ jjustdream ว่า "จิตตะชีพ (ความเป็นของจิต)"

    +++ ภาษาในทั้ง 2 กรณี คือ กายจิต หรือ การที่ตัวเองเป็นจิต ในขณะนั้น ๆ และพูดตามตรงก็คือ "ในขณะที่เป็นจิต ไม่ได้เป็นมนุษย์ในกายมนุษย์ ในโลกมนุษย์ แต่เป็น จิต มีกายเป็นจิต ในโลก ภพ ภูมิ ของจิต ในขณะนั้น ๆ" ประสพการณ์นี้ มีอยู่ในตัวของคุณทั้งสอง แต่ของคุณ jjustdream จะชัดเจนกว่าเพราะเป็น กายกินรี ในโลกกินรี และคุณทั้ง 2 ล้วนเห็นแม่ ในขณะที่เป็นจิต ในโลก ภพ ภูมิ ของจิต ทั้งคู่ คุณ jjustdream เห็นแสงสีเหลืองรัศมีสีเขียว และคุณ จิตวิญญาณ เห็นวงกลมสีส้มๆ ตอนทำสมาธิเหมือน ๆ กัน สรุปแล้ว คุณทั้งสองล้วนมีประสพการณ์ที่คล้าย ๆ กันค่อนข้างมาก หากสามารถตอบได้ในที่เดียวกัน จะยังประโยชน์ได้มากกว่าการแยกกันตอบ

    +++ เรื่องแสงสีต่าง ๆ นั้น ขอให้คุณทั้งสองวางไว้ก่อน หลักที่สำคัญที่สุดคือความเป็น กาย ในขณะจิตนั้น ๆ หรือสามารถใช้ภาษาอื่นได้ว่า ความเป็น ตน ในปัจจุบันของขณะจิตที่เป็นอยู่นั้น ๆ เช่น ของคุณ จิตวิญญาณ และคุณ jjustdream หากสามารถทำให้ ตน อยู่ในสภาวะที่เป็น กายจิต (สัมพเวสี หรือ ความเป็นของจิต) ได้ในขณะสั้น ๆ สัก 5-10 วินาทีก็พอ และในขณะจิต ที่ตนเป็น จิตนั้น ให้หันกลับมามอง อดีต ในขณะที่ตนเองยังเป็นมนุษย์เมื่อ 5-10 วินาทีที่แล้ว การฝึกในช่วงสั้น ๆ นี้ จะช่วยให้คุณทั้งสองตระหนักชัดในเรื่องของ ภพ ภูมิ และความเป็น ตน ใน ภพ ภูมิ นั้น ๆ ได้ชัดเจน และในขณะที่ฝึกนี้ คุณทั้งสองสามารถมีสติสัมปัญชัญะได้เต็มทั้งรูปแบบและเนื้อหา หากมีปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับ ภพ ภูมิ เกิดขึ้นกับคุณทั้งสองอีก ก็สามารถจัดการและรู้เรื่องได้ดีกว่าที่ผ่านมา

    +++ การที่ผมแนะนำให้คุณทั้งสองฝึกในความตระหนักชัดในความเป็น ตน แห่งขณะจิตนั้น ๆ จะมีอานิสสงค์อย่างมหาศาล ต่อตัวคุณเองและ จิตที่เกี่ยวข้อง ใน ภพ ภูมิ และญาติมิตรในวงจรจิตของคุณทั้งสอง ภาษาที่ผมใช้ในกระทู้นี้อาจเป็นเรื่อง นอกคอก สำหรับบุคคลอื่น แต่เป็นเรื่อง ในคอก สำหรับคุณทั้งสอง เพราะสามารถนำไปปฏิบัติและใช้ได้จริง โดยไม่ต้องแปลเป็นอย่างอื่นอันจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อคุณทั้งสองในภาคปฏิบัติ

    +++ ส่วนใหญ่แล้วผมจะแนะนำให้ฝึกความรู้สึกตัวเป็นหลัก เมื่อคุณอยู่กับความรู้สึกตัวได้เมื่อไร เมื่อนั้น ตัวคุณเป็น กายเวทนา (กายพลังงานของกายมนุษย์) ไม่ใช่กายมนุษย์ ดังนั้นเมื่อใดที่ตนเอง พองได้หดได้ หรือ หมุนไปหมุนมาเมื่อไร ในขณะจิตนั้น ๆ คุณเป็น กายพลังงาน ในขณะนั้น และกายพลังงาน (เวทนากาย) นี้สามารถ ถอด ออกได้จาก กายมนุษย์เช่นกัน แต่ต่ำกว่า กายจิต แต่เป็น รากฐานสำคัญอย่างยิ่งยวด ก่อนจะพัฒนาสู่ขั้นที่สูงกว่าขึ้นไป เพราะในขณะที่เป็น กายเวทนานั้น จะมีสติและสัมปัญชัญญะเป็นองค์ประกอบอย่างแน่นหนา อันเกิดจากการฝึกฝน

    +++ ส่วน กายจิต ในขณะที่เกิดขึ้นของคุณทั้งสองนั้น ไม่ได้เกิดจากการฝึก ดังนั้น องค์ประกอบของสติและสัมปัญชัญญะ และความตระหนักชัดในความเป็น ตน ในขณะนั้น ๆ จึงยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ หากคุณทั้งสอง มีรากฐานที่พัฒนามาจาก กายเวทนาแล้ว ในขณะที่เป็นกายจิต ทุกอย่างจะง่ายขึ้น

    +++ เริ่มจากการฝึก ความรู้ตัว (กายมนุษย์) เข้าสู่ความรู้สึกตัว (กายพลังงาน หรือ กายเวทนา ยังเป็นรูปคล้ายมนุษย์แต่เป็นพลังงานรูปหนึ่ง เรียกว่า ความรู้สึกทั้งตัว) ความตระหนักชัดในขณะที่เป็นจิต (กายจิต) และในยามที่ตนเสวยอารมณ์ (กายธรรมารมณ์ เวทนาจิต พลังงานจิตที่ไร้รูป เป็นอรูป) รวมทั้งความตระหนักชัดในความเป็นกายนั้น ๆ โดยใชัรากฐาน จากการกำหนดจิตแบบ 5-10 วินาทีตามที่กล่าวไว้ข้างบนนั้น

    +++ หากฝึกได้ดีแล้ว คุณสามารถใช้ความตระหนักในความเป็น ตน ในสภาวะของ ภพ ภูมิ นั้น ๆ ได้โดยไม่ยาก ถึงแม้ว่าจะมีข้อแตกต่างในระหว่าง ภพ ภูมิ นั้น ๆ กับ ภพ ภูมิ ในขณะที่คุณนั่งอ่านอยู่นี้ก็ตาม จากรากฐานของการฝึก กาย จะทำให้สติและสัมปัญชัญญะอยู่กับคุณได้ในความเป็น ตน ของคุณใน ภพ ภูมิ เหล่านั้น

    +++ จากรากฐานของการฝึก กาย และความตระหนักชัดในความเป็น ตน นี้ สามารถทำให้คุณทั้งสอง สิ้นข้อสงสัยได้ว่า อะไรเป็นกาย และอะไรเป็น ตน ได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงความไม่ประมาทใน ภพ ภูมิ ต่าง ๆ และ ความไม่ประมาทในกฏแห่งกรรมอีกด้วย อันจะส่งผลให้คุณทั้งสอง สามารถรู้วิธีปฏิบัติธรรมและก้าวต่อไปข้างหน้าได้ด้วยตนเอง โดยไม่ยาก

    +++ คำอธิบายและวิถีแห่งการฝึกนี้ น่าจะตรงจุดและเป็นประโยชน์ต่อคุณทั้งสอง เพื่อนำไปใช้ในขณะที่ปรากฏการณ์ของ ภพ ภูมิ ที่อาจเกิดขึ้นอีกในภายภาคหน้า การฝึกในบทนี้เป็นเพียงแค่ภาคเริ่มต้นของคุณทั้งสองเท่านั้นนะครับ

    +++ หวังว่าการฝึกนี้จะสามารถนำไปใช้ได้ตรงต่อเหตุการณ์เฉพาะกรณีของคุณทั้งสอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2015
  11. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับคุณจิตวิญญาณ ที่ใช้กระทู้นี้ถามไถ่ผู้รู้ในเรื่องราวของคุณ ดิฉันถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ที่คุณและดิฉันมีซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ดิฉันก็เข้ามาอ่านเหมือนกัน เอาไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์นั้นกับดิฉัน จะได้ทำตัวได้ถูก และก็ขออนุโททนา กับคุณธรรมชาติด้วยค่ะ คำตอบและคำแนะนำของคุณเป็นประโยชน์และตรงกับสิ่งที่ต้องการรู้ต้องการผู้ชี้แนะมาก แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าเรื่องอย่างนี้ไม่สามารถปรึกษาหรือพูดกับคนได้ทั่วไป และการที่คุณเข้ามาตอบอธิบาย แนะนำนั้น เป็นเรื่องดี ดิฉันยินดีรับฟังคำแนะนำต่างเพื่อประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง ขอบคุณมากจริงๆ อนุโมทนาค่ะ
     
  12. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    อนุโมทนาสาธุสำหรับการให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ

    เรื่องฝึกที่คุณธรรม-ชาติ แนะนำ จิตวิญญาณขออ่านทบทวนหลายๆรอบให้ละเอียดและทำความเข้าใจถ่องแท้ก่อนค่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วพอปฏิบัติไปเจอในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจมาก่อน ก็อาจจะทำให้ไปต่อไม่ได้ เรื่องฝันว่าตัวเองพองได้หดได้ ฝันหลายครั้งแล้วค่ะ ทุกครั้งจะรู้สึกตกใจ ตื่นแล้วหัวใจเต้นเร็วเพราะยังรู้สึกตกใจไม่หายค่ะ มีความรู้สึกไม่ดีด้วย ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็เหมือนกับที่ตัวเองเคยฝันว่าเหาะได้น่ะค่ะ ฝันบ่อยเหมือนกัน และฝันทุกครั้งในฝันนั้นจะรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ สิ่งที่ทำให้กลัวมากคือทุกครั้งที่ฝันว่าตัวเองกำลังเหาะอยู่ ก็จะมีร่างผู้ชายตัวดำๆใหญ่ๆเหาะไล่ตามจับเราน่ะค่ะ ต้องกระเสือกกระสนหาวิธีทำให้ตัวเองตื่นจากฝัน และทุกครั้งที่ตื่นได้คือต้องไปยืนตรงเหวแล้วกระโดดลงเหวน่ะค่ะ ใช้วิธีนี้ทำให้ตกใจตื่นได้ ตื่นแล้วหัวใจก็ยังเต้นตูมตามเลยค่ะ ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ชอบเลยที่ฝันแบบนี้ กลัวค่ะ ทีนี้พอใครจะแนะนำฝึกอะไร ก็รู้สึกกลัวไปหมด กลัวจะเห็นโน้นเห็นนี่น่ะค่ะ ถ้าในฝันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่เป็นไร แต่การนั่งสมาธิฝึกนี่เหมือนเราเจาะจงอยากได้อยากเห็นน่ะค่ะ ตรงนี้ใจไม่ให้เลยค่ะ ... เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาที่ตรงกับวันพระน่ะค่ะ จิตวิญญาณถืออุโบสถศิล พอดึกๆเข้านอนช่วงที่กำลังเคลิ้มหลับน่ะค่ะ รู้สึกเหมือนร่างกายหนักๆขยับเขยื้อนไม่ได้ พอเรายกแขนขึ้น ความรู้สึกตัวเองรู้ว่ายกแขนแล้ว แต่แขนยังวางอยู่ที่เดิม ลองทำอีกทีก็เป็นเหมือนเดิม แขนเรารู้สึกขยับและยกขึ้นนะคะแต่แขนของสังขารไม่ขยับ ก็เลยนึกทบทวนว่าตัวเองเคยอ่านประสบการณ์ของคนที่ถอดกายทิพย์ได้ น่าจะเป็นลักษณะนี้ ในใจก็เลยคิดอยากลอง พอลุกขึ้นนั่งและกำลังจะยืน เกิดเปลี่ยนใจไม่เอาดีกว่า เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยนอนทับร่างตัวเองเหมือนเดิม ก็พยายามกลั้นใจอึดหนึ่งเลยล่ะค่ะกว่าจะขยับตัวได้จริงๆ ตกลงคืนนั้นเลยไม่ต้องนอน .. ก็ความกลัวนี่ล่ะค่ะที่ทำให้ไม่อยากได้ไม่อยากเห็นอะไร เห็นเพื่อนรุ่นน้องเธอฝึกจนเข้าสมาธิเห็นโน้นเห็นนี่ได้ เราก็ เออเน๊อะ ทำไมใจเราไม่อยากได้อยากเห็นเหมือนเธอเลย หรือเพราะใจปรารถนาจะไม่ขอกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว คิดแต่ว่าแค่ที่เห็นความวุ่นวายของมนุษย์ด้วยกันแต่ละวันก็มากพอแล้ว อย่าให้ต้องเห็นวิญญาณอะไรเพิ่มขึ้นอีกเลย ( แบบว่าตอนเด็กๆเคยเห็นผีบ่อยน่ะค่ะ เลยติดนิสัยกลัวมาแต่เด็กๆแล้ว )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2012
  13. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ดิฉันเริ่มเห็นความผิดปกติของตัวเองมาพักหนึ่ง แต่พอมาเริ่มนั่งสมาธิ วันละนิดวันละหน่อยตามแต่จะมีเวลาและไม่เหนื่อยเพลียจากการทำงานเกินไป ความผิดปกติของดิฉันก็พัฒนาแจ่มชัดไปด้วย ดิฉันเห็นภาพในหัวน่ะค่ะ เป็นมา2-3ปีแล้วค่ะ การเห็นของดิฉันมันจะเกิดขึ้นในขณะที่ดิฉันอยู่ในอาการที่เรียกว่าสบายค่ะ ไม่มีเรื่องให้คิด หัวว่างๆในอารมณ์ผ่อนคลาย หากมีใครมาพูดรึคุยอะไรด้วยดิฉันจะเห็นภาพขึ้นในหัวค่ะ มันเป็นภาพมีสีเหมือนดูทีวีเลย หากพูดถึงสถานที่หนี่งขึ้นมาภาพก็ขึ้นมาด้วยแม้ที่นั้นดิฉันจะไม่เคยไปมาก่อนแต่ก็อธิบายลักษณะสถานทึ่ได้ถูกต้องจะบังเอิญรึอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ก็ได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง หรือบางครั้งอาจมีการพูดคุยพาดพิงไปถึงคนรู้จักหรือญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ก็เห็นภาพคนๆนั้นในหัว ซึ่งเค้ามีอากัปกิริยาท่าทางโต้ตอบกลับมาในหัวข้อ ข้อความที่ดิฉันกับคู่สนทนาคุยกันอยู่ เหมือนเค้าฟังผ่านดิฉันเลย แต่ดิฉันจะไม่ได้ยินเสียงเค้านะคะ เห็นแต่ภาพ แม้เค้าจะพูดอะไรก็ตาม ต้องใช้การอ่านปากกับดูอาการท่าทางของเค้า เช่น พยักหน้า ส่ายหน้า ยิ้ม เศร้า ร้องไห้ ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมดิฉันถึงไม่ได้ยินเสียง อีกอย่างก็คือทุกอย่างที่เห็นเกิดขึ้นในหัวในขณะที่ดิฉันคุยไปก็มองหน้าคู่สนทนาไป สายตาของดิฉันมองที่คู่สนทนาแต่ภาพต่างๆในหัวน่ะมาจากไหน ดิฉันเอาตาไหนไปดูภาพพวกนั้น อันนี้งงมาก!!! และทุกครั้งที่เห็นดิฉันลืมตานะคะไม่ได้หลับตาเลย ซึ่งถ้าหลับตาแล้วจะเห็นภาพในหัวไม่ชัดเท่าลืมตา อันนี้ลองทำแล้วถึงรู้ อย่างที่บอกแต่ก่อนการเห็นของดิฉันต้องอยู่ในอาการที่สบายๆ แต่พอเริ่มมานั่งสมาธิ เกือบทุกวันวันละนิดวันละหน่อยน่ะค่ะ การเห็นของดิฉันมันเหมือนง่ายขึ้น ไม่ต้องรอให้อยู่ในอารมณ์ที่สบาย หากดิฉันอยากเห็น แค่ตั้งใจฟังและมีสมาธิอยู่กับเรื่องที่ฟังภาพก็ขึ้นในหัวแล้วล่ะค่ะ ดิฉันผิดปกติไหมคะ
     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไม่ผิด แต่อย่าหลงตาม อย่ายึดติด
    เห็นอะไร ก็ให้คิดไว้ก่อน ว่า อาจจะไม่ใช่ความจริง
    เห็น รู้ วาง
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ จิตวิญญาณ

    เรื่องฝึกที่คุณธรรม-ชาติ แนะนำ จิตวิญญาณขออ่านทบทวนหลายๆรอบให้ละเอียดและทำความเข้าใจถ่องแท้ก่อนค่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วพอปฏิบัติไปเจอในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจมาก่อน ก็อาจจะทำให้ไปต่อไม่ได้

    +++ ดีแล้วครับ ให้ใช้การเทียบเคียงกับประสพการณ์โดยตรงของคุณเอง ดีที่สุด

    เรื่องฝันว่าตัวเองพองได้หดได้ ฝันหลายครั้งแล้วค่ะ ทุกครั้งจะรู้สึกตกใจ ตื่นแล้วหัวใจเต้นเร็วเพราะยังรู้สึกตกใจไม่หายค่ะ มีความรู้สึกไม่ดีด้วย ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

    +++ สมัยตอนฝึกใหม่ ๆ ผมเองก็เคย พองได้หดได้ เหมือนคุณนั่นแหละ แต่ของผมเป็น ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะวิ่งออกจากที่นอนในเดี๋ยวนั้นเลย เพราะรู้ชัดเจนว่า เป็นตัวผมที่พองเองยุบเองได้ อาการหัวใจเต้นเร็วนั้นเป็นเหมือนกันไม่มีผิด แต่ของผมเป็นตื่นเต้นแปลกใจ ไม่ใช่ตกใจ สำหรับผมแล้ว มันไม่ใช่ฝัน มันไม่ใช่นิมิต และไม่สามารถจะคิดอีกด้วย

    ก็เหมือนกับที่ตัวเองเคยฝันว่าเหาะได้น่ะค่ะ ฝันบ่อยเหมือนกัน และฝันทุกครั้งในฝันนั้นจะรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ สิ่งที่ทำให้กลัวมากคือทุกครั้งที่ฝันว่าตัวเองกำลังเหาะอยู่ ก็จะมีร่างผู้ชายตัวดำๆใหญ่ๆเหาะไล่ตามจับเราน่ะค่ะ ต้องกระเสือกกระสนหาวิธีทำให้ตัวเองตื่นจากฝัน และทุกครั้งที่ตื่นได้คือต้องไปยืนตรงเหวแล้วกระโดดลงเหวน่ะค่ะ ใช้วิธีนี้ทำให้ตกใจตื่นได้ ตื่นแล้วหัวใจก็ยังเต้นตูมตามเลยค่ะ ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ชอบเลยที่ฝันแบบนี้ กลัวค่ะ

    +++ อืมมม... อันนี้เป็นฝันจริง ๆ แต่เป็นฝันซ้อนฝัน ส่วนผู้ชายตัวดำใหญ่นั้น คงต้องแผ่เมตตาทำบุญตรวจน้ำอุทิศสังฆทาน และแผ่ส่วนบุญกุศลให้เขาบ้าง คงจะดีขึ้น

    ทีนี้พอใครจะแนะนำฝึกอะไร ก็รู้สึกกลัวไปหมด กลัวจะเห็นโน้นเห็นนี่น่ะค่ะ ถ้าในฝันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่เป็นไร แต่การนั่งสมาธิฝึกนี่เหมือนเราเจาะจงอยากได้อยากเห็นน่ะค่ะ ตรงนี้ใจไม่ให้เลยค่ะ ...

    +++ ดีแล้วครับ เพราะมัน เกิดโดยไม่ต้องอยาก ถ้าอยาก จะไม่เกิด

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาที่ตรงกับวันพระน่ะค่ะ จิตวิญญาณถืออุโบสถศิล พอดึกๆเข้านอนช่วงที่กำลังเคลิ้มหลับน่ะค่ะ รู้สึกเหมือนร่างกายหนักๆขยับเขยื้อนไม่ได้

    +++ จริง ๆ แล้วนั่นคือ ความรู้สึกที่เกิดมีขึ้นทั้งตัวใช่หรือไม่ (ดำรงสติมั่น) ให้สังเกตุให้ดีนะครับ และในขณะนั้น เรารู้สภาพชัดเจนหรือไม่ และเป็นการรู้ที่คล้ายเห็น ใช่หรือไม่ (รู้ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า) ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าใช่ นั่นแหละ มันคือกายเวทนา ที่ผมกล่าวถึงในโพสท์ที่แล้วนั่นเอง

    พอเรายกแขนขึ้น ความรู้สึกตัวเองรู้ว่ายกแขนแล้ว แต่แขนยังวางอยู่ที่เดิม ลองทำอีกทีก็เป็นเหมือนเดิม แขนเรารู้สึกขยับและยกขึ้นนะคะแต่แขนของสังขารไม่ขยับ ก็เลยนึกทบทวนว่าตัวเองเคยอ่านประสบการณ์ของคนที่ถอดกายทิพย์ได้ น่าจะเป็นลักษณะนี้ ในใจก็เลยคิดอยากลอง พอลุกขึ้นนั่งและกำลังจะยืน เกิดเปลี่ยนใจไม่เอาดีกว่า เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยนอนทับร่างตัวเองเหมือนเดิม

    +++ ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบทใดก็ตาม หาก "ดำรงสติมั่น รู้ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า" แล้วละก้อ อันนี้ใช่เลยครับ มันเป็นกายเวทนาที่กำลังจะออกจากกายมนุษย์ ดังที่ผมโพสท์ไว้ข้างบนนั่นแหละ กายนี้ฝึกได้ง่ายกว่ากายอื่น เพราะมันเป็นกายที่อยู่ใต้ผิวหนังของเราตลอดเวลา เพียงแค่ทำความรู้สึกตัวเท่านั้น เราก็อยู่กับมันแล้ว และเป็นการฝึกมหาสติที่เป็นฐานใหญ่ซะด้วย (อนุสติ คือ สติเล็กเพราะแยกเป็นส่วน ๆ ไม่เต็มกาย ส่วน มหาสติ คือ สติใหญ่เพราะมีอยู่ทั้งกายเต็มฐาน)

    +++ การที่คุณกลัว ก็เพราะว่า คุณยังไม่คุ้นเคยมัน หากเกิดขึ้นอีก และคุณสามารถลุกขึ้นจากตัวเองมาเป็นท่านั่งได้อีก ก็ให้คุณน้่งภาวนาต่อในขณะนั้นเลยก็ได้ จากนั้นก็ให้หลุดมาจากร่างมนุษย์อยู่กลางอากาศซักคืบหนึ่งก็พอ ผมเองเคยทำเล่น ๆ มาหลายครั้งอยู่เหมือนกัน ก่อนจะข้ามไปสู่ขั้นอื่น ประสพการณ์จากการทำความคุนเคยกับกายนี้ ส่งผลให้เกิดความหนักแน่นในธรรมและยากที่จะคลอนแคลนได้ง่าย เพราะกายนี้เป็น ธรรม ชนิดหนึ่ง อันเกิดมาจากฐานของมหาสติปัฏฐาน ซึ่งไม่อาจจะนึกขึ้นเอง เออขึ้นเองได้ อันนี้เป็น ธรรมจริง ไม่ใช่ ธรรมกลาย อย่างเด็ดขาด

    ก็พยายามกลั้นใจอึดหนึ่งเลยล่ะค่ะกว่าจะขยับตัวได้จริงๆ ตกลงคืนนั้นเลยไม่ต้องนอน .. ก็ความกลัวนี่ล่ะค่ะที่ทำให้ไม่อยากได้ไม่อยากเห็นอะไร

    +++ จริง ๆ แล้ว อันนี้ไม่ได้เกิดจากความอยากแต่อย่างใดเลย แต่มันเกิดขึ้นเอง เป็นขึ้นเอง ใช่หรือเปล่าครับ

    เห็นเพื่อนรุ่นน้องเธอฝึกจนเข้าสมาธิเห็นโน้นเห็นนี่ได้

    +++ ต้องระวังให้มาก ๆ ครับ หากจะเห็น ให้เห็นธรรมดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก

    เราก็ เออเน๊อะ ทำไมใจเราไม่อยากได้อยากเห็นเหมือนเธอเลย หรือเพราะใจปรารถนาจะไม่ขอกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว คิดแต่ว่าแค่ที่เห็นความวุ่นวายของมนุษย์ด้วยกันแต่ละวันก็มากพอแล้ว

    +++ ความปรารถนามีโอกาสเป็นไปได้ เมื่อผ่าน กายธรรมารมณ์ ไปแล้ว และเข้าใจถึงความเป็นอนิจจัง และภพภูมินั้น ๆ ของแต่ละกายที่อาศัยอยู่ได้ จนกว่าจะสิ้นความสงสัย ตื่นเต้น แตกตื่น และกลัว ในความเป็นกายทั้งมวลลง

    อย่าให้ต้องเห็นวิญญาณอะไรเพิ่มขึ้นอีกเลย ( แบบว่าตอนเด็กๆเคยเห็นผีบ่อยน่ะค่ะ เลยติดนิสัยกลัวมาแต่เด็กๆแล้ว )

    +++ ชำนาญในกายเวทนาให้ได้ก่อนครับ แล้วจะพ้นจากความเป็น ผี และ สัมพเวสี เพราะความเข้าใจได้อย่างชัดเจน
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ jjustdream

    ดิฉันเริ่มเห็นความผิดปกติของตัวเองมาพักหนึ่ง แต่พอมาเริ่มนั่งสมาธิ วันละนิดวันละหน่อยตามแต่จะมีเวลาและไม่เหนื่อยเพลียจากการทำงานเกินไป ความผิดปกติของดิฉันก็พัฒนาแจ่มชัดไปด้วย ดิฉันเห็นภาพในหัวน่ะค่ะ เป็นมา2-3ปีแล้วค่ะ การเห็นของดิฉันมันจะเกิดขึ้นในขณะที่ดิฉันอยู่ในอาการที่เรียกว่าสบายค่ะ ไม่มีเรื่องให้คิด หัวว่างๆในอารมณ์ผ่อนคลาย หากมีใครมาพูดรึคุยอะไรด้วยดิฉันจะเห็นภาพขึ้นในหัวค่ะ มันเป็นภาพมีสีเหมือนดูทีวีเลย หากพูดถึงสถานที่หนี่งขึ้นมาภาพก็ขึ้นมาด้วยแม้ที่นั้นดิฉันจะไม่เคยไปมาก่อนแต่ก็อธิบายลักษณะสถานทึ่ได้ถูกต้องจะบังเอิญรึอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ก็ได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง

    +++ หากพิสูจน์แล้วไม่ตรงกับสัจจธรรม หรือความเป็นจริงแล้ว จึงเรียกได้ว่า ผิดปกติ หากตรงต่อสัจจธรรม ซึ่งมีอยู่และเป็นอยู่เช่นนั้นจริง เรียกว่า ต่างไปจากปกติ และเป็นเรื่อง ทิพยจักษุ ซึ่งน่าจะเป็น ของเก่าที่ติดตัวคุณมาจากอดีต

    หรือบางครั้งอาจมีการพูดคุยพาดพิงไปถึงคนรู้จักหรือญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ก็เห็นภาพคนๆนั้นในหัว ซึ่งเค้ามีอากัปกิริยาท่าทางโต้ตอบกลับมาในหัวข้อ ข้อความที่ดิฉันกับคู่สนทนาคุยกันอยู่ เหมือนเค้าฟังผ่านดิฉันเลย แต่ดิฉันจะไม่ได้ยินเสียงเค้านะคะ เห็นแต่ภาพ แม้เค้าจะพูดอะไรก็ตาม ต้องใช้การอ่านปากกับดูอาการท่าทางของเค้า เช่น พยักหน้า ส่ายหน้า ยิ้ม เศร้า ร้องไห้ ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมดิฉันถึงไม่ได้ยินเสียง อีกอย่างก็คือทุกอย่างที่เห็นเกิดขึ้นในหัวในขณะที่ดิฉันคุยไปก็มองหน้าคู่สนทนาไป สายตาของดิฉันมองที่คู่สนทนาแต่ภาพต่างๆในหัวน่ะมาจากไหน ดิฉันเอาตาไหนไปดูภาพพวกนั้น อันนี้งงมาก!!!

    +++ อันนี้เป็น ตาจิต ครับ เป็นฐานเดียวกันกับ ตานึก ตาคิด แล้วจึงเห็น อาจจะสังเกตุได้ยากอยู่สักหน่อย แต่พอจะใช้ความรู้สึกเข้ามาเพื่อการประเมินผลได้

    +++ การประเมินผลที่ใช้ความรู้สึกนั้น หากมีพื้นฐานมาจากการฝึกการมอง 3 ระดับมาก่อน ก็จะสามารถพิสูจน์ความเป็นจริงได้รวดเร็วขึ้น เพราะเป็นการวัดความรู้สึก ที่เกิดมาจากการ เห็น โดยตรง โดยเฉพาะการมองในระดับ 3 นั้น สามารถนำมาใช้ในการประเมิน ตาจิต ได้โดยไม่ยาก ผมจะ copy ข้อความเก่าที่ผมเคยโพสท์ในการฝึกมอง 3 ระดับมาไว้ในที่นี้ นะครับ

    +++ การฝึกการปรับจิต เพื่อการประเมินผลของการมอง 3 ระดับ (ประมาณ 10 นาที ไม่น่าเกิน 40 นาที)

    ระดับแรก มองจ้อง (เพ่ง)

    1. นำสิ่งของขนาดเล็กสักขนาดก้นดินสอ มาวางตรงหน้า ห่างจากคุณประมาณ 2-3 ฟุต
    2. มองจ้องโดยตรง (เพ่ง)(รวมศูนย์ในการมองไปยังวัตถุนั้น ๆ)
    3. สังเกตุ ขนาด ขอบเขตของการเห็น (วัตถุนั้น และ รอบนอก)(ห้ามชำเลืองตา) ตรงนี้สำคัญมาก
    4. จำ หรือใช้ เครื่องหมายมาช่วยทำขอบเขตของการเห็นที่ชัด (ส่วนที่เห็นไม่ชัด ที่พร่า ๆ เลือน ๆ ถือว่าอยู่นอกขอบเขต ให้ตัดทิ้งไป) ว่าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณกี่ฟุต (ห้ามลำเอียง)
    5. สังเกตุและจดจำระดับ ความตึงในบริเวณท้ายทอยในเวลาเดียวกัน สำคัญมาก
    6. ถอนจิตและการมองออกสู่ระดับปกติธรรมดาสามัญ
    7. ทบทวนการทำ 2-3 ครั้ง เพื่อความมั่นใจว่า ทำ หรือ จำ ขนาด ขอบเขตของการเห็น และ ความเครียดในบริเวณท้ายทอยได้ดี

    ระดับที่สอง มองธรรมดา (แบบปกติ)

    1. ไม่กำหนดจิตใด ๆ มองแบบธรรมดา ๆ
    2. เปรียบเทียบ ขนาด ขอบเขตของการเห็น โดยการใช้ เครื่องหมายช่วยทำขอบเขต ก็เป็นการดี
    3. เปรียบเทียบ ระดับ ความตึงในบริเวณท้ายทอย ว่าต่างกันอย่างไร
    4. ทบทวนการทำระหว่างการ มองจ้อง กับ การมองแบบปกติ ไป ๆ มา ๆ สัก 2-3 ครั้ง เพื่อความชัดเจนในการเปรียบเทียบ
    5. สังเกตุค่า ความชัดเจนของวัตถุ (อุปกรณ์ที่นำมาใช้ฝึก) ว่าต่าง หรือไม่ต่างกัน อย่างไร

    ระดับที่สาม มองกว้าง (ทำความรู้สึกที่ดวงตา)

    1. ลืมตาเฉย ๆ ไม่เจตนาที่จะมองอะไรเลย
    2. ทำความรู้สึกที่ดวงตา
    3. ทำเครื่องหมาย ขอบเขตของการเห็น ในขณะที่ ทำความรู้สึกที่ดวงตาอยู่นี้
    4. เปรียบเทียบ ระดับ ความตึงในบริเวณท้ายทอย
    5. สังเกตุค่า ความชัดเจนของวัตถุ
    6. ทบทวนการมองทั้ง 3 ระดับ 3-4 ครั้ง

    +++ หากท่านใดทำได้ชัดเจน จะพบว่า ระบบการมองแบบเพ่ง จะได้วิสัยทัศน์ที่แคบที่สุด และความตึงเครียดบริเวณท้ายทอยเกิดขึ้นสูงสุด รองลงมา จะเป็นการมองแบบธรรมดา ส่วนการมองกว้างในระดับที่สาม จะได้วิสัยทัศน์ที่มากที่สุด และเกิดความสบายที่ โล่ง โปร่ง มากกว่าการมองทุกชนิด กายเบากว่า จิตเบากว่า ส่วนวัตถุที่นำมาใช้ในการฝึกนั้น มีความชัดเจนเท่าเดิม ไม่มีผลแตกต่างกันแต่ประการใด

    +++ ข้อความเต็มของการฝึก อยู่ที่นี่

    [URL="http://palungjit.org/posts/6475703
    [/URL]
    +++ หลักสำคัญที่สุดคือ ให้สังเกตุความตึงเครียดบริเวณท้ายทอย หากเกิดมาจาก ความนึกคิดของเราเอง ความตึงเครียดจะมีสูงจนสังเกตุได้ หากเกิดจาก จิตอื่นติดต่อ ความตึงเครียดบริเวณท้ายทอยแทบจะไม่ปรากฏ

    และทุกครั้งที่เห็นดิฉันลืมตานะคะไม่ได้หลับตาเลย ซึ่งถ้าหลับตาแล้วจะเห็นภาพในหัวไม่ชัดเท่าลืมตา อันนี้ลองทำแล้วถึงรู้ อย่างที่บอกแต่ก่อนการเห็นของดิฉันต้องอยู่ในอาการที่สบายๆ แต่พอเริ่มมานั่งสมาธิ เกือบทุกวันวันละนิดวันละหน่อยน่ะค่ะ การเห็นของดิฉันมันเหมือนง่ายขึ้น ไม่ต้องรอให้อยู่ในอารมณ์ที่สบาย หากดิฉันอยากเห็น แค่ตั้งใจฟังและมีสมาธิอยู่กับเรื่องที่ฟังภาพก็ขึ้นในหัวแล้วล่ะค่ะ ดิฉันผิดปกติไหมคะ

    +++ และ ย่อหน้าสุดท้ายในการโพสท์ของผมในกระทู้นั้น คือ

    +++ การฝึกการมองสามระดับนี้ สามารถให้คำตอบและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ เห็นแวป ๆ ทางหางตาได้เป็นอย่างดี และสามารถช่วยผู้ฝึกให้ออกพ้นมาจากสื่งที่เรียกว่า ความงมงายได้ในหลาย ๆ ประการ เพราะเป็นการฝึกแบบ ลืมตาจะ ๆ ปรับจิตสด ๆ และมีสติสัมปัญชัญญะครบเต็มรูปแบบ

    +++ คงเข้ากับสถานการณ์ของคุณได้อย่างเต็ม ๆ นะครับ แต่ผมจะเพิ่มข้อความอีกนิดหน่อย ตรงนี้ คือ

    +++ สามารถให้ คำตอบ และ แก้ปัญหา ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ เห็นแวป ๆ ทางหางตา และ เรื่องของ จิตเห็น และอาจส่งผลถึง จิตได้ยิน ได้เป็นอย่างดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2015
  17. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ทุกครั้งที่ดิฉันเห็น ดิฉันจะคิดเสมอว่าอาจไม่จริง รึจริงก็ได้ ไม่ได้ยึดติดว่าทุกภาพที่เห็นนั้นถูกต้อง แรกๆที่ดิฉันเริ่มเห็นเริ่มรู้ ดิฉันเครียดมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน คุยกัยใครก็เห็นภาพโน่นนี่ (แต่ไม่ทุกครั้งนะคะ อย่างที่บอกต้องอยู่ในอารมณ์ที่สบายถึงเห็น) ถึงขนาดที่คิดว่าเรามีอาการทางจิตประสาท ประสาทหลอน เพ้อเจ้อ รึบ้าไปเลย แม่ดิฉันรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกดิฉันบอกแม่ทุกอย่าง เพราะดิฉันคิดว่าแม่จะเป็นคนเดียวที่จะเข้าใจดิฉันและไม่คิดว่าดิฉันบ้า แม่จะคอยสังเกตุและฟังสิ่งที่ฉันพูดในสิ่งที่เห็นแล้วติดตามผล เช่นญาติมาคุยกับแม่ว่าจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ก็คุยกันไป พอเค้ากลับไปแล้วดิฉันก็บอกแม่ว่าเห็นว่าที่นั่นมีลักษณะสถานที่อย่างไร ซึ่งเรายังไม่เคยไปกันเลย แม่ก็โทรบอกญาติว่าไปมาแล้วโทรมาเล่าให้ฟังบ้างนะว่าสวยไหม เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการเช็คดิฉันด้วยว่าจริงไหม ซึ่งปรากฏว่าเป็นตามที่เห็นจริง มีลักษณะตามที่บอกจริง ซึ่งเกิดเหตุการณ์อย่างนี้หลายครั้ง แม่จะตามเช็คทุกครั้งว่าเป็นจริงไหม มีจริงไหม เพื่อช่วยดิฉันที่ในขณะนั้นกำลังเครียดมากกับอาการประหลาดของตํวเอง มันเลยเป็นนิสัยว่าเห็นอะไรต้องติดตามผล เพื่อเช็คตัวเอง
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตอนนี้น่าจะถึงเวลาที่ท่าน jjustdream จะได้รู้จักกับคำสองคำนี้
    1. ภวตัณหา คือ ความอยากได้ อยากมี ความพึงพอใจ ปรารถนาในสิ่งต่างๆ
    2. วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ความไม่พึงพอใจ ไม่ปรารถนาในสิ่งต่างๆ

    เวลารู้เห็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน หรือนิมิตที่เห็น
    วางใจให้เป็นอุเบกขา โดยไม่ปิดกั้นการรับรู้
    มันจะมีอะไรเข้ามาให้จิตรับรู้ ก็ รับรู้ไปตามนั้น เห็นไปตามนั้น
    ไม่ปิดกั้น ไม่คิดอยากไม่ให้มันไม่เข้ามา
    เห็นแล้ว ก็สักแต่ว่าเห็น เข้าใจแค่ไหน รู้แค่ไหน เอาแค่นั้น
    ไม่ตามต่อ ไม่สร้างความคิดว่า เราอยากเห็นเพิ่ม ไม่จินตนาการต่อไปอีกว่าที่เราเห็นคืออะไร ไม่เก็บมานั่งคิดปรุงแต่ง และ ไม่สร้างความคิดว่า เราไม่อยากเห็น เช่นกัน

    หาทางเข้าไปสู่ตรงกลาง ระหว่าง อยาก และ ไม่อยาก ให้ได้
    แล้วจะได้เข้าถึงสภาวะนึง ที่ "อยากได้ ก็ไปไม่ถึง ไม่อยากได้ ก็ไปไม่ถึง" ครับ
     
  19. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    คาดว่า อรูปฌาน ระดับ
    อรูปฌาน ๔ หรือ อรูปฌาน 4 นี้จะเขียนโดยใช้ตัวเลขแบบไหน ก็อ่านออกเสียง อรูปฌานสี่ เหมือนกัน แต่โดยมากแล้วพระท่านจะใช้ตัวเลขไทยเขียนเป็น อรูปฌาน ๔ มากกว่า เพราะเป็นการรักษาไว้ซึ่งแบบแผนและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในศาสนา

    อรูปฌาน คือฌานที่ไม่มีรูป ๔ อย่าง คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รวม ๔ อย่างด้วยกัน

    อรูปฌานทั้ง ๔ นี้ เป็นฌานละเอียดและอยู่ในระดับฌานที่สูงสุด ท่านที่ปฏิบัติได้อรูปทั้ง ๔ นี้แล้ว เจริญวิปัสสนาญาณ ย่อมได้บรรลุมรรคผลรวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะอารมณ์ในอรูปฌานและอารมณ์ในวิปัสสนาญาณ มีส่วนคล้ายคลึงกันมาก ต่างกันแต่อรูปฌานเป็นสมถภาวนา มุ่งดำรงฌานเป็นสำคัญสำหรับวิปัสสนาภาวนามุ่งรู้แจ้งเห็นจริง ตามอำนาจของกฎธรรมดาเป็นสำคัญ แต่ทว่าอรูปฌานนี้ก็มีลักษณะเป็นฌานปล่อยอารมณ์ คือ ไม่ยึดถืออะไรเป็นสำคัญ ปล่อยหมดทั้งรูปและนาม ถือความว่างเป็นสำคัญ

    ๑. อากาสานัญจายตนะ

    อากาสานัญจายตนะนี้ ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า ก่อนที่จะเจริญอากาสานัญจายตนะนี้ ท่านจะเข้าจตุตถฌานในกสิณกองใดกองหนึ่งแล้วให้เพิก คือ(ปล่อย)ไม่สนใจในกสิณนิมิตนั้นเสีย ใคร่ครวญว่า กสิณนิมิตนี้เป็นอารมณ์ที่มีรูปเป็นสำคัญ(ได้แก่) ความสุข ความทุกข์ (ซึ่ง)เป็นปัจจัยของภยันตราย มีรูปเป็นต้นเหตุ เราไม่มีความต้องการในรูปแล้วละรูปนิมิตกสิณนั้น ถืออากาศเป็นอารมณ์จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ แล้วย่อให้สั้นลงมา อธิษฐานให้เล็กใหญ่ได้ตามประสงค์ ทรงจิตรักษาอากาศไว้โดยกำหนดใจว่า อากาศหาที่สุดมิได้ดังนี้ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ (อารมณ์วางเฉย จัด)เป็นฌาน ๔ (แต่อยู่)ในอรูปฌาน

    ๒. วิญญาณัญจายตนะ

    อรูปฌานนี้กำหนดวิญญาณ(คือตัวรู้)เป็นอารมณ์ โดยจับอากาสานัญจายตนะ คือกำหนดอากาศจากอรูปฌาน(ที่หนึ่ง)เดิมเป็นปัจจัย แล้วถือนิมิตอากาศนั้นเป็นฐานที่ตั้งของอารมณ์ แล้วกำหนดว่า อากาศนี้ยังเป็นนิมิตที่รูปอาศัยอยู่ ถึงแม้จะเป็นอรูปก็ตามแต่ยังมีความหยาบอยู่มาก เราจะทิ้งอากาศเสีย ถือเฉพาะวิญญาณ(คือตัวรู้)เป็นอารมณ์ แล้วกำหนดจิตว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ (แล้วละ)ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมดเด็ดขาด กำหนดวิญญาณคือถือวิญญาณ ตัวรู้ ซึ่งเป็นเสมือนจิต โดยคิดว่าเราต้องการจิตเท่านั้น รูปกายอย่างอื่นไม่ต้องการ จนจิตตั้งอยู่เป็นอุเบกขารมณ์ (อารมณ์วางเฉย)

    ๓. อากิญจัญญายตนะ

    อรูปฌานนี้กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ โดยเข้าฌาน ๔ (ให้เป็นบาทฐานที่ตั้ง)ในวิญญาณัญจายตนะ แล้วเพิกวิญญาณคือ(ปล่อย)ไม่ต้องการวิญญาณ(ตัวรู้)นั้น คือคิดว่าไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ อากาศก็ไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ายังมีอะไรสักอย่างหนึ่งแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เป็นเหตุของภยันตราย ฉะนั้นการไม่มีอะไรเลยเป็นการปลอดภัยที่สุด แล้วก็กำหนดจิตไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด จนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์ เป็นจบอรูปฌานนี้

    ส่วนในความเห็นของข้าพเจ้า เห็นว่าในข้อนี้ยังไม่ชัดเจนสำหรับผู้ศึกษาใหม่ จึงขอนำเอาบทความของผู้ใช้นามปากกาว่า ศรีสารภี จากเว็บไซท์วิชาการดอทคอมมาอธิบายเพิ่มเติมไว้ ณ ตรงนี้กล่าวคือ เมื่อผู้ปฏิบัติได้เจริญวิญญาณัญจายตนะบ่อยๆ จนชำนาญจิตนิ่งอยู่ที่วิญญาณคือตัวรู้ ก็จะรู้สึกขึ้นมาว่า อากาศอันไม่มีที่สิ้นสุดก็ดี หรือวิญญาณคือตัวรู้ เช่นรู้ว่าอากาศนั้นไม่มีที่สิ้นสุดก็ดี จริงๆแล้วก็คือความไม่มีอากาสานัญจายตนะที่เป็นอารมณ์ของวิญญาณัญจายตนะ (เมื่ออากาสานัญจายตนะไม่มี วิญญาณัญจายตนะคือตัวรู้ก็จึงไม่มีด้วย) ผู้ปฏิบัติจึงน้อมเอาสภาพที่ไม่มีอะไรเลยมาเป็นอารมณ์ ในการเจริญกรรมฐาน2

    ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ

    เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ กำหนดว่ามีสัญญา(ความจำได้)ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญา(จำไม่ได้)ก็ไม่ใช่ คือ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งมีสัญญาอยู่นี้ก็ทำความรู้สึกเหมือนไม่มีสัญญา คือไม่ยอมรับรู้จดจำอะไรหมด ทำตัวเสมือนหุ่นที่ไร้(ทั้ง)วิญญาณ(และหน่วยความจำ คือไม่มีการประมวลผล) ไม่รับรู้ ไม่รับอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น หนาวก็รู้ว่าหนาวแต่ไม่เอาเรื่อง ร้อนก็รู้ว่าร้อนแต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย มีชีวิตทำเสมือนคนตาย คือไม่ปรารภสัญญาความจดจำใดๆ ปล่อยตามเรื่องเปลื้องความสนใจใดๆ ออกจนสิ้น จนจิตเป็นเอกัคคตาและอุเบกขารมณ์

    การปฏิบัติทางจิตในสายสมาธิ หรือที่เรียกว่า สมถกรรมฐาน มีสูงสุดเพียงเท่านี้คือ ถ้านับตามนัยแห่งพระสูตร ก็จะได้เป็นรูปฌาน ๔ กับอรูปฌาน ๔ ถ้านับตามนัยแห่งพระอภิธรรมก็จะได้เป็นรูปฌาน ๕ กับอรูปฌาน ๔ รวมเรียกว่า สมาบัติ ๘ นั่นเอง

    สำหรับสมาบัติ ๘ นี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะได้เคยศึกษามาแล้ว ในสำนักของดาบสทั้งสอง ได้แก่ อุทกดาบส และอาฬารดาบส ทรงเห็นแล้วว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงอำลาจากดาบสทั้งสอง มาแสวงหาทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง จนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น การปฏิบัติทางจิตในสายสมาธิ ซึ่งเรียกว่า สมถกรรมฐาน (หรือเรียกอีกอย่างว่า สมถภาวนา) เพียงอย่างเดียว จึงไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ ที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนาภาวนา) เท่านั้น จึงจะเป็นหนทางพ้นทุกข์ ถึงซึ่งสันติสุข คือ พระนิพพานได้
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ทุกครั้งที่ดิฉันเห็น ดิฉันจะคิดเสมอว่าอาจไม่จริง รึจริงก็ได้ ไม่ได้ยึดติดว่าทุกภาพที่เห็นนั้นถูกต้อง

    +++ เห็นแต่ยังไม่เชื่อ ถูกแล้วครับ

    แรกๆที่ดิฉันเริ่มเห็นเริ่มรู้ ดิฉันเครียดมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน คุยกัยใครก็เห็นภาพโน่นนี่ (แต่ไม่ทุกครั้งนะคะ อย่างที่บอกต้องอยู่ในอารมณ์ที่สบายถึงเห็น)

    +++ ตรงนี้เป็นธรรมดาครับ เวลาคุยกันย่อมมีภาพประกอบทุกคน บางคนมีสติพอที่จะรู้ได้ทันเหตุการณ์ (ในกรณีของคุณ) แต่หลาย ๆ คนยังไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ จึงคิดเอาเองว่า ไม่มีภาพเป็นองค์ประกอบ เป็นการคิดภายหลังเหตุการณ์ ความเครียดของคุณก็มาจาก ความคิดหลังเหตุการณ์เหมือนกัน

    +++ ผมจะพูดกับคุณแบบง่าย ๆ ครับ "คุณเคยเห็น โค้ก กระป๋องมั้ย แล้วมันต่างจาก แปปซี่ กระป๋อง ยังงัย"

    +++ ภาพเกิดมั้ยครับ ถามจริง ๆ ครับ ตรงนี้เป็น อาการประหลาดหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่ทัน ลองดู โค้ก กับ แปปซี่ ใหม่

    ถึงขนาดที่คิดว่าเรามีอาการทางจิตประสาท ประสาทหลอน เพ้อเจ้อ รึบ้าไปเลย

    +++ อาการที่มีอยู่ เป็นอยู่ ตามธรรมชาติ หากไปคิดเอาเอง เออเอาเอง ว่า มันผิดธรรมชาติ ถือว่าเป็นการสาบแช่งตัวเองอย่างทารุณที่สุด มโนกรรมที่เป็นมิจฉาทิฐินี้ สามารถแก้ไขได้โดย ยอมรับว่า

    +++ อะไรที่มี มันก็มี อะไรที่ไม่มี มันก็ไม่มี อะไรที่เกิด มันก็เกิด อะไรที่จริง มันก็จริง อะไรที่เป็นเท็จ มันก็เป็นเท็จ มันเป็นมัน เราเป็นเรา มันมีอยู่ เราก็มีอยู่เช่นกัน

    +++ หากมันมี เราเถียงตัวเองว่า มันไม่มี หากมันไม่มี เราเถียงตัวเองว่า มันมี ผลลัพธ์คือทุกข์ เพราะมันขัดกับความเป็นจริง

    แม่ดิฉันรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกดิฉันบอกแม่ทุกอย่าง เพราะดิฉันคิดว่าแม่จะเป็นคนเดียวที่จะเข้าใจดิฉันและไม่คิดว่าดิฉันบ้า แม่จะคอยสังเกตุและฟังสิ่งที่ฉันพูดในสิ่งที่เห็นแล้วติดตามผล เช่นญาติมาคุยกับแม่ว่าจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ก็คุยกันไป พอเค้ากลับไปแล้วดิฉันก็บอกแม่ว่าเห็นว่าที่นั่นมีลักษณะสถานที่อย่างไร ซึ่งเรายังไม่เคยไปกันเลย แม่ก็โทรบอกญาติว่าไปมาแล้วโทรมาเล่าให้ฟังบ้างนะว่าสวยไหม เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการเช็คดิฉันด้วยว่าจริงไหม ซึ่งปรากฏว่าเป็นตามที่เห็นจริง มีลักษณะตามที่บอกจริง ซึ่งเกิดเหตุการณ์อย่างนี้หลายครั้ง แม่จะตามเช็คทุกครั้งว่าเป็นจริงไหม มีจริงไหม เพื่อช่วยดิฉันที่ในขณะนั้นกำลังเครียดมากกับอาการประหลาดของตํวเอง มันเลยเป็นนิสัยว่าเห็นอะไรต้องติดตามผล เพื่อเช็คตัวเอง

    +++ ไม่มีอะไรประหลาดครับ มันมีก็คือมันมี มันจริงก็คือมันจริง จิตทุกดวงมีขีดความสามารถนี้เหมือนกัน เป็นธรรมชาติของจิตทุกดวงเหมือน ๆ กัน ที่ต่างกันคือขีดความสามารถของสติ ในการสังเกตุและทำความรู้จักกับประสพการณ์แบบนี้

    +++ ผมเคยผ่านประสพการณ์แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก มัวแต่ไปฉงนสนเท่ห์อยู่กับมัน หากอารมณ์ดีเบาสบาย ความแม่นยำก็เกิด หากอารมณ์ไม่รักษาระดับ ความผิดพลาดก็เกิด เรื่องพวกนี้อาจกินเวลาหลายปี ของผม เวลามันเสื่อมใช้เวลาถึง 7 ปีกว่าการเสื่อมจะสิ้้นสุด ทุกข์ทรมาณโดยไม่รู้ว่านี่คือทุกข์ เพราะมันเป็นทุกข์ที่เกิดจากโมหะล้วน ๆ เลยละครับ

    +++ อาการเริ่มเสื่อมของผม สังเกตุได้จาก แรก ๆ ไม่ค่อยอยากจะจำอะไร เวลาคุยกัน ภาพ แสง สี เสียง ปรากฏชัดเจนในขณะนั้น แต่หลังจากนั้น จิตมันจะเริ่มตัดความจำนั้นทิ้้งไป แล้วไปอยู่กับอารมณ์ที่สบาย ๆ สงบ ๆ ดังเดิม หากจะเรียกว่าทรงฌาณ ก็เรียกได้ว่า ได้นิสัยนี้มาตั้งแต่เด็ก อาการทุกอย่างเหมือนละวางปล่อยวางไม่มีผิด ต่างกันตรงที่ว่า มันวางแบบไม่รู้ตัว จนถึงขนาดที่ว่า ใครพูดอะไรก็ตาม สามารถรู้ได้ชัดเจน คมกริบ แล้วก็วางลืมไปเลย เหมือนกับอยู่ในปัจจุบันขณะจริง ๆ ละวางปล่อยวางจริง ๆ หากเปิดตำรามาแล้วละก็ ใช่ทุกอย่างจริง ๆ นั่นแหละ

    +++ ผมโชคดีที่รอดมาได้ เพราะได้พบกับพระรูปหนึ่งในขณะถอดจิต (ในขณะนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับผม) ผมลอยไป (ทั้งตัว) จนถึงวัดชนบทแห่งหนึ่ง ทรุดโทรมมาก มีพระประธานสีดำองค์ใหญ่ในศาลา ผมได้กราบพระประธานองค์นั้น 3 ครั้ง พอเงยหน้ามาในครั้งที่ 3 พบพระสงฆ์องค์หนึ่ง ท่านพูดกับผมเพียงแต่ประโยคเดียวเท่านั้นคือ "โยม ฝึกมาผิดทางแล้วนะ โยม" ในจิตของผมขณะนั้นทราบชัดเจนเลยว่า ท่านพูดความจริง แล้วผมก็กลับร่างเลย

    +++ ผมวางการฝึกลงทั้งหมด จนกระทั่งกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ใช้เวลา 7 ปี จากนั้นจึงเริ่มค้นคว้าว่า ผมผิดไปได้อย่างไร แล้วไปตกตรงไหน ผลลัพธ์จากการค้นคว้าคือ ผมไปตก "อสัญญีภูมิ" หรือที่เรียกกันว่า "พรหมลูกฟักนั่นเอง"

    +++ ส่วนข้อสงสัยที่ว่า ผมผิดไปได้อย่างไรนั้น ตอนหลังผมทราบว่า ผมผิดไปเพราะคำพูดเพียงคำเดียวเท่านั้นเองแหละ ไม่เยอะเลย นั่นคือคำพูดที่ว่า "ตั้งจิตมั่น" ต่อมาภายหลัง หลังจากที่ผมค้นคว้าปฏิปทาสายหลวงปู่มั่นแล้ว ผมจึงเปลี่ยนมาใช้การ "ตั้งสติมั่น" แทน ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างกันอย่างมหาศาล เพราะการ "ตั้งสติมั่น" นี้ทำให้รู้ว่า กำหนดจิต อย่างไร ให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร และเป็นทางออกอย่างแท้จริง

    +++ การ "ตั้งสติมั่น" สามารถเริ่มต้นได้ที่ "ทำความรู้สึกให้เกิดขึ้นทั่วทั้งตัว แล้วปล่อยให้รู้อยู่อย่างนั้น" หลังจากนั้นทุกอย่างจะเป็นไปเอง รู้สภาวะไปเองโดยธรรมชาติของมัน

    +++ คุณลองเทียบเคียงสภาวะของคุณในขณะนี้ กับสภาวะของผมในอดีตดูนะครับว่า มันเป็นรอยเดียวกันหรือเปล่า ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พิจารณาดูนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...