เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Hello from Dallas

    คิดถึงทุกๆคนค่ะ เลยพยายามแวะเข้ามาดูเมื่อมีโอกาส เห็นน้องๆหน้าเก่าและมีน้องๆหน้าใหม่แวะเวียนกันเข้ามาก็ใจชื้น เพราะกลัวว่าห้องวิทย์ฯจะระเหิดไปก่อนพี่นักเขียนจะกลับมาจากการท่องเที่ยว

    รู้สึกว่าหลายๆคนรู้ใจและนำสาระหลายๆอย่างที่พี่นักเขียนกะว่าจะเขียน มาตั้งคำถามหรือเล่าประสบการณ์กันแล้วหลายเรื่อง เรียกได้ว่าข้ามกาลเวลาของพี่นักเขียนไปหลายมิติ

    ใครๆที่เตรียมจะกลับบ้านเก่า ขอแค่ไปเยี่ยมๆแล้วกลับมาหากันก่อนนะ อย่าเพิ่งจากจรไปลับไม่กลับมา เพราะยังมีที่ชอบที่ชอบ ที่พวกเรายังไม่ได้ไปกันอีกหลายที่ กลับบ้านเก่าแล้วเดี๋ยวจะติดบ้านจนอดเที่ยวที่ชอบที่ชอบ ในชาติภพนี้ มิตินี้ และชาติภพอื่น มิติอื่น อีกหลายที่ (*)
     
  2. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    สวัสดีครับ พี่นักเขียน
    อ่านเรื่องความบังเอิญที่เอาเรื่องของพี่นักเขียนมาเป็นตัวอย่างแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะเป็นไปได้ขนาดนั้น ทั้งเรื่องบ้าน ทั้งเรื่องครอบครัวที่ย้าย

    3 ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่อะไรจะคล้ายกันขนาดนั้น
     
  3. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ไปค้นหาข้อมูลมาแล้ว นักจิตวิทยาที่ชื่อว่า Carl Jung (คาร์ล จุล) ได้สนใจเรื่องความบังเอิญและได้ตั้งทฤษฏีความบังเอิญขึ้นมา

    ตอนนั้นเอามาเล่าให้อ่านที่กระทู้นี้
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=1073
     
  4. ต้นTKenji

    ต้นTKenji เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +683
    แล้วจะทำไงดีครับผมอย่ากได้บังเิอิญมั้งเดียวนี้ไม่คอยได้บังเอิญเลยครับ

    แล้วเมื่อไรผมจะได้บังเอิญเจอพี่นักเขียนบ้างครับ
    แต่ความบังเอิญไว้ทีหลัง ของสำคัญนั้นมาก่อน นั้นก็คือ

    ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆๆมากที่มากได้ มีสุชภาพร่างกายที่แข็งแรง
    ยิ่งกว่าก้อนหิน มีความอุดมสมบูรณ์มาก ถ้าหากไม่สบายไปเดียนผมไม่มีอะไรให้ผมอ่านและขอให้ทุกท่านเจอแต่สิ่งดีๆนะครับ(deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    วันนี้มีผู้ถามพี่นักเขียนว่า เหตุใดลูกของเขาจึงมีปฏิกริยาต่อต้านพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเล็กๆ และดูเสมือนโกรธเคืองพ่อแม่อย่างมากตั้งแต่ยังพูดไม่ได้โดยปราศจากสาเหตุ

    พี่นักเขียนนึกถึงความฝันของตนเองที่พบว่า ตนเองอยู่ในท้องคุณแม่ และรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของคุณพ่อคุณแม่ รู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของคุณแม่ แต่ก็ไม่เคยสอบถามกับท่านเลย จนท่านกลายเป็นคุณตาคุณยาย ก็ไม่เคยทราบว่าสิ่งที่เราฝันเห็นเป็นจริงหรือไม่ จนกระทั่งคุณพ่อเสียไปได้กว่าสิบปี ด้วยความเหงาและหวลระลึกถึงคุณพ่อและความหลัง คุณแม่วัย 87 ปีของพี่นักเขียนก็เล่าถึงเหตุการณ์ชีวิตในช่วงที่ตั้งครรภ์

    พี่นักเขียนรู้สึกเสมือนว่าตกอยู่ในภวังค์ที่แยกแทบไม่ออกว่า กำลังฟังความหลังก่อนตัวเองเกิดอยู่หรือว่าดูหนังที่เราสร้างและกำกับการแสดง ซ้ำสอง เป็นความรู้สึกที่กระโดดข้ามระบบประสาทอย่างน่าประหลาด แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหมดใจว่า คำว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มีอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไป พร้อมกันหมดนั้น เป็นสิ่งที่เผชิญได้เสมอๆ หากเรารู้จักมัน หรืออยากจะรู้จักมัน

    วันนี้เมื่อได้ยินคำถามจากคุณแม่รายนี้ พี่นักเขียนก็หวลระลึกถึงประสบการณ์นี้ขึ้นมาได้ในเสี้ยววินาที แล้วถามคุณแม่รายนี้ว่า ในขณะที่ตั้งครรภ์ เธอและสามีมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรกับลูกในครรภ์คนนี้

    คำตอบของเธอคือ คำถามของพี่นักเขียนได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง และให้คำตอบแก่เธอแล้ว

    พี่นักเขียนฝันมาก่อนที่จะมารับถ่ายทอดข้อมูลจากท่านอาจารย์อนาลัยหลายสิบปี และท่านอาจารย์อนาลัยก็มาอธิบายให้เข้าใจได้ดีขึ้นว่า ก่อนมาถือกำเนิดในครรภ์มารดา เราทั้งหลายมาเลือกพ่อแม่ของเรา จิตวิญญาณของทารก เข้าออก หรือจดจ่อกับรูปกายที่เจริญวัยในครรภ์บ้าง และไปจดจ่อกับชาติภพอื่นๆบ้าง แล้วแต่บุคลิกภาพของจิตวิญญาณนั้นๆ และการเข้าออกของจิตวิญญาณของทารก ก็ทำให้เขารู้เห็นความเป็นไปทั้งหลายก่อนหน้าที่เขาจะมาถือกำเนิด และเขาก็จดจำประสบการณ์เหล่านั้นไว้ในจิตใต้สำนึก

    ความเป็นไปตามธรรมชาตินี้ เป็นสิ่งที่พวกเราจำนวนมากขาดความรู้ที่จะทำให้ประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นไปในทิศทางที่พึงปรารถนา เพราะเราไม่อาจจะตระหนักได้ว่า เราคือผู้เลือกพ่อแม่ของเรา เราคือผู้เลือกมาถือกำเนิดในสภาวะครอบครัวและสถานการณ์ครอบครัวอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ เพราะจิตวิญญาณของเราพอใจที่จะมาเผชิญกับความท้าทายในทิศทางนี้

    ผู้ที่ฟันฝ่าปัญหาชีวิต หรือผู้ที่ท้อถอยต่อชีวิต อาจมีความหวังหรือหมดหวังไม่เหมือนกัน หากแต่ว่า ถ้าเราศึกษาถึงธรรมชาติของจิตวิญญาณของเราและตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับภาวะหรือสถานการณ์ใดๆในชีวิต เราเองเป็นผู้เลือก และทุกคนในชีวิตนี้คือ ครู และคือบุคคลที่จะทำให้จิตวิญญาณของเราได้เรียนรู้ และเราไม่อาจเรียนรู้ได้ด้วยวิธีการอื่นๆ

    การตระหนักได้ในธรรมชาติแห่งความเป็นจริงในข้อนี้ จะทำให้เรามองทุกคนในชีวิตของเราจากอีกมุมมองหนึ่ง คือมองเห็นคุณค่าและบทบาทของเขา ที่ทำให้เราได้เรียนรู้

    น้องๆบางคนกล่าวว่า การเปลี่ยนความเชื่อเป็นของยาก และทำอย่างไรจะรู้ได้ว่า อะไรคือความเชื่อ และอะไรคือความรู้ คำตอบนี้ง่ายและใกล้ตัวที่สุด เรารู้ได้ว่าสิ่งใดคือความเชื่อก็ต่อเมื่อมันก่อให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบ และก่อให้เกิดความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา ความโลภ ความลุ่มหลง

    ส่วนความรู้ทำให้เกิดความรู้สึกในแง่บวก การให้อภัย การรักอย่างปราศจากเงื่อนไข ความเมตตาและความชื่นชม ก็เมื่อเราเลือกมาเกิด เลือกประสบการณ์ชีวิต เลือกทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นภาวะจำเพาะที่จะทำให้จิตวิญญาณของเราพัฒนาได้ เหตุใดเล่าเราจะโกรธเคือง เกลียด อิจฉา อยากได้ของเขา หรือลุ่มหลงในบุคคลทั้งหลายที่เราเลือกให้มาเป็นผู้ที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิตนี้ เราน่าจะขอบคุณทุกคนในชีวิตที่มารับบทบาทต่างๆ ทั้งบทพระเอก ผู้ร้าย ตัวอิจฉา ตัวตลก ฯลฯ ที่ทำให้ละครของชาติภพของเราเต็มไปด้วยศิลปะการแสดงอันมั่งคั่ง (rose)
     
  6. มโนกรรม

    มโนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +877
    ต้องขอขอบคุณพี่นักเขียนมากครับที่ให้ความกระจ่าง เวลานี้ผมได้พบกับเรื่องบังเอิญ ที่เป็นจริงอยู่หลายเรื่องครับ ซึ่งผมคงไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกต่อไป

    ตอนนี้ผมอ่านจบไป2เล่มแล้ว กำลังอ่านเล่มที่3 "ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ"อยู่ อ่านแล้วจินตนาการไปด้วยก็พอที่จะเข้าใจได้ไม่ยากครับ แต่ถ้ามีข้อสงสัยคงรบกวนพี่นักเขียนอีกนะครับ
     
  7. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    เห็นด้วยครับช่วยทำประโยชน์ให้กับคนอื่นก่อน ช่วยกันเผยแผ่ หนังสือของอาจารย์ อนาลัย เพื่อเป็นกำลังใจให้กับอาจารย์นักเขียนที่ท่านทุ่มเทกำลังกายกำลังใจมาเกือบสิบปี เพื่อให้เวไนยได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง
    ส่วนงานชุมนุม หลงฮวา ก็เป็นงานที่เหล่าเทพเซียนที่สำเร็จธรรมประชุมกัน(น่าจะเป็นตัวตนรวมของเราที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว อันนี้ต้องให้อาจารย์นักเขียนตอบครับ) ก็ยังไม่เคยไปครับ ก็อย่างที่อาจารย์นักเขียนท่านบอก ไปเที่ยวดูก่อนอย่าเพิ่งหนีกลับ ผมก็อยากไปดูก่อนเหมือนกัน ได้ผลยังไงก็จะมาเล่าให้ฟังครับ

     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ใช่ครับพี่นักเขียนต้องขอบคุณจริงๆครับ ตัวละครในบทละครแห่งชาติภพทำให้เราได้เรียนรู้ตัวเองและก้าวหน้ายิ่งขึ้น..เมื่อวันอาทิตย์ก็ยังคุยกับพี่สาวท่านหนึ่ง(เป็นครูสอนวิทย์ฯอยู่นครสวรรค์) เป็นเรื่องเดียวกับพี่นักเขียนด้วยครับ..แปลกแต่จริง!..

    "เหตุใดลูกของเขาจึงมีปฏิกริยาต่อต้านพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเล็กๆ และดูเสมือนโกรธเคืองพ่อแม่อย่างมากตั้งแต่ยังพูดไม่ได้โดยปราศจากสาเหตุ?"

    เค้าเล่าว่าตัวเค้ามีปัญหากับแม่ตั้งแต่เด็ก แม่จะดุจะทุบตีเค้า เค้าก็ไม่ถูกชะตาแม่เค้าโดยไม่รู้สาเหตุ ทะเลาะกันมาตลอดแล้วเข้ากันแทบไม่ได้เลย..ภายหลังเค้าได้ฝึกนั่งสมาธิจนรู้สัมผัสรับรู้เรื่องกรรม ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกันในอดีตชาติ จึงเข้าใจครับว่า เค้าเคยถูกคนผู้นี้จับมัดมัดมือแล้วตีให้สลบจนหมดลม..ในที่สุดแรงดึงดูดของกรรมมันเริ่มบีบเข้ามา ชาตินี้จึงใกล้ชิดกันขึ้น ต้องมาเกิดเป็น"แม่เป็นลูก"กัน..บทบาทในภพชาตินี้จึงเปลื่ยนไปครับ..

    พอเค้ามารู้แบบนี้ เค้าก็คิดได้ จึงยิ่งต้องอดทน อดกลั้น ให้อภัย..กับแม่เค้าให้มากขึ้นไปอีก และเค้าก็ทำได้จริงๆครับ..ที่เคยปากไม่ดีก็แก้ไขซะ..ให้อภัยมาตลอด รักและยิ้มให้แม่เค้ามากขึ้น เค้าตั้งใจจะหลุดจากตรงนี้ให้ได้ เค้าจึงแก้ไขให้เป็นด้านบวกครับ..และได้ผลมากด้วยครับ..ทุกวันนี้แม่เค้าไม่ขัดขวางอะไรอีกแล้ว ทุกอย่างเปลื่ยนไปในทางที่ดี โดยการใช้ความรักอันบริสุทธิ์แท้ แสดงออกผ่านบทบาทแห่งการให้

    บางที่หากเราไปทำร้ายใคร ไปตีหัวใครในชาติที่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะกลับมาทำร้ายเราคืนในแบบนั้นเสมอไปถูกมั๊ยครับ..รูปแบบจะเปลี่ยนไป..อาจโดนของหล่นใส่หัวหรือคนอื่นตีมาหัวเราแทนก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสาระเนื้อหาเดียวกัน..เพื่อให้เรารู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่เราเคยกระทำไว้ จะว่าไปแล้วทุกอย่างถือเป็นบททดสอบจิตใจทั้งนั้น..เพื่อให้เราปลดปล่อยพลังงานด้านบวกออกมาซึ่งเป็นสิ่งที่โลกต้องการเป็นที่สุดครับ

    **********************************************

    การกระทำสิ่งใด ต้องไม่ให้เกิดผลลัพธ์ของการกระทำที่เป็นด้านลบ

    ปุจฉา+++
    มีคนถามว่าถ้าเรา"ไม่ทำดี" และ "ไม่ทำชั่ว" อยู่เฉยๆดีกว่าไหม?

    วิสัชนา+++
    การอยู่เฉยๆก็เท่ากับเป็นการอยู่อยู่รกโลก ไม่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ใดๆ
    ให้กับโลก เหมือนคนตกงานสมควรถูกไล่ออก จาก"บริษัทโลกเสรี"ใบนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    (bb-flower​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    (bb-flower (bb-flower (bb-flower

    อยากไปบวชไม่อยากทำงาน มีคนเอาข้าวให้กิน
    แถมไหว้เราด้วยไม่ต้องทำอะไร ใครก็ห้ามลบหลู่


    ดีมะอ่ะเพ่
     
  11. ต้นTKenji

    ต้นTKenji เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +683
    เออที่ว่าชวบมันก็ดีอะนะครับผมเห็นด้วยอย่างแรงเลยครับ แต่ว่าผมคงบวชไม่ได้แน่นเลยชีวิตชั่งลุงรังจัง ผมกระเพื่อนจะบวชตอนปิดเทอมใหญ่กระจะบวชเติมที่เลยแต่ไปซักพักบวชไม่ได้ติดเรียน
    เป็นเรื่องที่น่าเศร้าย่างแรงเลยเดียวต้องทำโน้นเดียวต้องต่อนี้


    [bw-cry][bw-cry][bw-cry]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  12. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    แก้ว เคยอ่านหนังสือดีๆอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อ Embraced by the light โดย Betty J. Eadie ผู้แต่งเขียนจากประสบการณ์ ใกล้ตาย (NDE : Near Death Experience) ถ่ายทอดจากชีวิตจริงของเธอ ภายหลังที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดมดลูกในคืนแรก เธอนอนอยู่ในห้องในโรงพยาบาล เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ขณะนั้นสามีและลูกกลับไปพักที่บ้านแล้ว เธอรู้สึกอ่อนเพลีย (เข้าใจว่า ร่างกายของเธอกำลังมีอาการตกเลือด) เธอพยายามกดเรียกพยาบาล แต่ไม่มีเรี่ยวแรงขยับเขยื้อน ไม่นานนัก จิตวิญญาณของเธอก็หลุดออกจากร่าง ลอยวนอยู่ใกล้ๆเพดาน เธอเห็นร่างๆหนึ่งซึ่งปราศจากชีวิตนอนบนเตียง เธอจำหน้าได้ว่าคือตัวเธอเอง เธอไม่ได้ตกใจ สักครู่หนึ่งมีชาย 3 คนปรากฏตัวขึ้นข้างๆเธอ ทั้งหมดอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลงดงามมาก มีเข็มขัดถักสีทองพันอยู่รอบเอว ร่างกายมีแสงเรืองนุ่มนวลที่ Betty สัมผัสลุ่มลึกได้ถึงความรัก และรู้สึกว่าเขาทั้งสามเป็นมิตรที่ไว้วางใจได้มานานแสนนานหลายกัปป์ เขาบอกเธอว่าเธอตายก่อนถึงวาระ (prematurely) เธอรู้สึกว่ากายใหม่ของเธอไร้น้ำหนักและเคลื่อนไหวคล่องตัว และที่สำคัญคือ เธอรู้สึกว่าเป็นตัวแท้จริงของเธอ (this is who I really am) ขอตัดเล่าข้าม ไปถึงตอนที่วิญญาณของเธอรู้สึกห่วงไยครอบครัวคือสามีและลูกเล็กอีก 6 คน เพราะไม่มีใครรู้ว่าเธอสิ้นชีวิตแล้ว สามีจะดูแลลูกอย่างไร เด็กๆจะอยู่อย่างราบรื่นไหม จิตวิญญาณเธอได้ไปที่บ้าน ก็พบว่าสามีกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ลูกๆบางคนกำลังเตรียมตัวเข้านอน ลูกสองคนกำลังเล่นเอาหมอนสู้กัน เธอมองเด็กๆลูกๆของเธอทีละคน
    มาถึงตรงนี้จิตวิญญาณของ Betty ได้เห็นภาพล่วงหน้าอนาคตของเด็กๆ เธอเกิดความรู้ ผุดขึ้นมาขณะนั้นว่า " ลูกของฉันแต่ละคนมาเกิดในโลกนี้ ต่างก็เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ของตนเอง ที่ฉันคิดมาตลอดว่าเด็กๆเป็น "ของฉัน" นั้นเป็นสิ่งที่คิดผิดพลาดหมด ลูกทุกคนและรวมทั้งฉันด้วยต่างก็เป็นจิตคนละดวงที่ต่างมีความเฉลียวฉลาดซึ่งได้พัฒนามานานก่อนที่เขาจะมีชีวิตบนโลก เราต่างก็มีอิสระที่จะเลือกว่ามีชีวิตแบบไหน และฉันก็รู้ว่าไม่ควรปฏิเสธอิสระเสรีอันนี้ของพวกเขา พวกเขาถูกส่งมาเพื่อให้ฉันดูแลเขา กำหนดการชีวิตของเขามีอยู่แล้ว เมื่อใดที่เสร็จสิ้นภารกิจ เขาก็จะจบและจากโลกไป" Betty ยังเห็นล่วงหน้าถึงความท้าทายและความทุกข์ลำบากที่ลูกแต่ละคนต้องเผชิญ แต่เธอก็รู้ว่าทั้งหมดก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการเติบโตของพวกเขา จึงไม่ต้องเศร้าหรือหวาดกลัวอะไรเลย
    เมื่ออ่านถึงตรงนี้ทำให้น่าคิดว่าจิตวิญญาณที่ไม่มีกายสังขารอำพรางอยู่ จะรู้ชัดเจน มีมุมมองที่ลึกกว้างกว่า มองจากจิตวิญญาณที่มีกายเนื้ออำพราง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ อีกอย่างสิ่งที่เธอเห็นมีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อยู่ขณะเดียวกัน ใช่ใหมคะ พี่นักเขียน
     
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สารจากท่านอาจารย์อนาลัย

    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ
    โนวา อนาลัย

    คำกล่าวสั้นๆนี้ เป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลายไม่อาจเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงได้อย่างหมดเปลือก หากเราปราศจากความเข้าใจในธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณว่า เป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณคือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ และกระบวนการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้นี้เป็นไปได้ด้วยการแสวงหาประสบการณ์เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต

    นอกจากนี้เราจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจในธรรมชาติการรับรู้ของจิตวิญญาณให้ถ่องแท้เสียก่อน จิตวิญญาณรับรู้ได้ด้วยอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ซึ่งข้อมูลความรู้ที่จิตวิญญาณได้รับ จะถูกแปลงสภาพเป็น รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสส่วนหนึ่ง และแปลงสภาพเป็นอารมณ์จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอีกส่วนหนึ่ง

    แต่ข้อมูลส่วนที่ได้รับการแปลงสภาพด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้ามักจะถูกบิดเบือนไปด้วยความเชื่อส่วนบุคคล

    พี่นักเขียนตื่นขึ้นมาเช้านี้พร้อมด้วยเสียงภายในที่ดลใจให้บอกกับพวกเราว่า คำกล่าวสั้นข้างต้นนี้ คือหัวใจแห่งคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัย เป็นคำตอบและคำอธิบายที่ครอบคลุมคำถามที่ว่า ประสบการณ์ชีวิตพร้อมด้วยสภาวะของร่างกายตัวตนของเรา มีเหตุมาจากปัจจัยใด และเป็นคำตอบและคำอธิบายที่ครอบคลุมคำถามที่ว่า เรามาถือกำเนิดได้อย่างไร และตายแล้วไปไหน และเป็นคำตอบและคำอธิบายที่ครอบคลุมคำถามที่ว่า วิวัฒนาการของจิตวิญญาณคืออะไร มีเป้าหมายที่เรียกว่าความเป็นเลิศตามนิยามของโลกมนุษย์ และโลกอื่น มิติอื่นๆอย่างไร

    ท่านอาจารย์อนาลัยมักให้คำกล่าวสั้นๆ หลายประโยคไว้ในหนังสือชุดของท่าน ที่เราท่านทั้งหลายมักอ่านและผ่านไปโดยไม่ได้ใช้เวลามากพอที่จะดูดซึมความหมายอันลึกซึ้งไว้ได้มากพอที่จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้อย่างหมดเปลือก

    ความฝันเป็นภาวะเดียวที่ทำให้ประสาทสัมผัสภายใน และธรรมชาติการรับรู้ของจิตวิญญาณเป็นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการขัดขวาง หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นคำกล่าวเพียงสั้นๆในหนังสือ เป็นสิ่งที่เราไม่อาจเข้าใจได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ต่อเมื่อเราเผชิญกับภาวะหนึ่งๆในความฝัน เราจึงจะเข้าถึงความรู้ที่แท้จริงได้

    วันนี้พี่นักเขียนขอเชิญชวนให้พวกเราอ่านประโยคสั้นๆนี้ซ้ำหลายๆครั้ง และจดจ่อกับการแสวงหาความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวนี้ และนำคำกล่าวนี้ไปสู่การแสวงหาคำตอบและความเข้าใจในระดับจิตวิญญาณด้วยความฝัน

    และนำประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านความฝันมาเล่าสู่กันฟัง
    (bb-flower
     
  14. pal

    pal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +856
    พี่นักเขียน ตอนนี้กำลังอ่านธรรมชาติของชาติภพอยู่ สงสัยต้องอ่านหลายๆรอบ เพราะอ่านแล้วต้องพิจารณาตาม อ่านทีก้อได้ข้อคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาที เหมือนเรายังไม่ได้อ่าน กว่าจะอ่านครบ ไม่รู้นานแค่ไหน แต่จะอ่านค่ะ ทีนี้ความฝันนี่ ถ้าเราไปติดฝันมากไปคงไม่ดีแน่ๆ ก้อคงต้องแยกแยะว่าฝันนี้เกิดจากประการใด บางทีฝันนี่แหละ ตื่นมาเหนื่อยจัง เพลียเหมือนไม่ได้นอนเลย แต่ดันจำไม่ค่อยได้ ต้องจดใช่ไหมคะ ... ตอนนี้พอจะเข้าใจอดีต ปัจจุบัน ยังไม่ค่อยเข้าใจอนาคตเท่าไร ว่าประสบการณ์จากอนาคตนี่มันยังงัย แต่ไม่เป็นไร จะอ่านและทำความเข้าใจต่อไปค่ะ สู้ค่ะ
     
  15. virojch

    virojch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264
    ผมกำลังอ่านหนังสืออิสระแห่งความปรารถนาอยู่ครับ มีข้อสงสัยอยากเรียนถามพี่นักเขียน ว่า ในหนังสือหน้า 28-29 ที่กล่าวถึงความรู้สึกนึกคิดที่แปลงสภาวะเป็น"วัตถุสิ่งของ" "เหตุการณ์" ต้องการสื่ออะไรครับ ที่ยกตัวอย่าง ตุ๊กตา ที่วางบนชั้นวางของที่ไม่มีอยู่แล้ว แต่ถ้ายังมีความทรงจำอยู่ ต๊กตา ก็จะวางอยู่ในที่นั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง ในกาลเวลาเสมอ อ่านแล้วทะแม่งๆครับ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรกับเราเลย ก็แค่ความทรงจำ เอ่อ อีกอย่างหนึ่งครับ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดลุ่มลึกคืออะไรครับ ต่างจากอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดทั่วไป อย่างไร ยกตัวอย่างให้ดูหน่อยครับ ขอบคุณครับ
     
  16. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    คืนก่อนฝันว่าไปต่างจังหวัดมีคนเยอะแยะเลยกำลังเดินไปงานกันทีนี้เราก็เดินเข้าไปในตลาด มองหาของกิน คิดๆว่าจะกินอะไรดี ไปเจอถังไอติม มีเครื่องให้เลือกเยอะแยะ สับปะรด ข้าวเหนียว ลูกชิด อยากกินมากพอจะซื้อพ่อค้าก็ดันไม่อยู่ซะนี่ มีม้านั่งอยู่ใกล้ๆก็เลยไปนั่งรอพร้อมกับเอากระเป๋าสะพายมาเทๆของออกมาดู ปรากฎว่ามีผู้ชาย2คนเป็นพี่น้องกัน คนพี่อ่อนกว่าเราประมาณ2ปี ก็23 คนน้องน่าจะแค่10กว่าขวบได้ มาขโมยของที่วางอยู่ เราก็ไล่แย่งไล่คว้าคืนได้แต่กำลังจะโดนรุม เห็นมีดวางอยู่ที่แผงขายของข้างๆเลยหยิบมาฟันที่แขนผู้ชายคนพี่ มีดแปลกมากไม่เหมือนมีดที่ใช้กันในครัวแต่มีลักษณะเว้าโค้งเข้าไปข้างใน คนพี่ก็สู้กลับเอาใบมีดคัตเตอร์ฟันแขนเรากลับ ฟันกันไปฟันกันโดยฟันที่แขนสองข้างแค่นั้นเอง ได้คนละหลายแผลจนสุดท้ายเค้าต้องยอมแพ้ ทีนี้เราก็เลยจับ2คนพี่น้องมานั่งสั่งสอนจนรู้ว่าเค้าไม่มีพ่อแม่เป็นเด็กกำพร้า ตอนนั้นก็เลยเข้าใจว่าทำไมเค้าต้องขโมยของ เพราะเหมือนเป็นทางหากินให้เค้าอยู่รอดได้ พอสอนไปสอนมาเค้ามาติดหนึบเลยบอกว่าเราเป็นเหมือนแม่ จะอยู่กับเราให้ได้ กำลังคิดว่าจะทำยังไงดีก็ตื่นซะก่อน

    สิ่งที่เราฝันนี้อาจหมายถึงสิ่งที่เราคิดหรือเปล่าค่ะ บางทีมีคนคิดไม่ดีกับเรา เราก็ชอบสั่งสอนให้รู้สำนึกก่อนถึงกลับตัวแล้วหันมาดีกับเราได้
    โดยส่วนตัวนิสัยจริงๆก็มักจะเป็นอย่างนั้น ใครทำไม่ดีกับเราหรือกับคนใกล้ชิดจะชอบจัดการแบบโต้ตอบกลับทันที
    คราวนี้ก็แปลกดีค่ะ ไม่ค่อยได้ฝันถึงการสั่งสอนใครเท่าไหร่ แถมยังให้ความรู้สึกว่าเราเป็นแม่อีก
     
  17. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนเพิ่งคิดเมื่อเช้านี้ว่า ได้เขียนทิ้งไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่า จะเล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับความตายให้ฟังหากใครอยากจะทราบก็มให้เตือนด้วย ไม่เตือนพี่นักเขียนจะลืมเล่า และที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าลืมเพราะขี้ลืม แต่จะจงใจลืมเพราะเชื่อว่า เมื่อเจ้าของคำถามยังไม่มา ก็จะยังไม่ให้คำตอบล่วงหน้านานเกินไปจะทำให้หากันไม่พบ

    เพิ่งหวลคำถึงสาระนี้เมื่อเวลาเช้าของพี่นักเขียน พอใกล้เที่ยงมาเช็คกระทู้ดู ก็พบเจ้าของคำถามแล้ววันนี้

    พี่นักเขียนอ่านเรื่องราวที่คุณน้องแก้วทิพย์อ่านพบจากหนังสือ ตอนแรกที่อ่านไปถึงตรงที่ว่าคุณแม่ผู้นึ้ห่วงลูกๆ ทำให้ตั้งคำถามกับตนเองว่า ทำไมเราไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นหนอ แต่เมื่ออ่านต่อไปจนจบก็เข้าใจ

    ถ้าหากพี่นักเขียนไม่เคยเผชิญกับประสบการณ์ที่เรียกว่าประสบการณ์ ใกล้ตาย (NDE : Near Death Experience) ด้วยตนเอง บอกตามตรงว่า ไม่มีวันที่จะตอบคำถามของคุณน้องแก้วทิพย์ได้เลย

    ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ ก่อนหน้าที่พี่นักเขียนจะลุกขึ้นเขียนหนังสือเล่มแรกคือ โนวา อนาลัยขยายความธรรมชาติของชาติภพ พี่นักเขียนกับสามีชอบไป picnic ริมทะเลสาบเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์ ไปนั่งสมาธิกัน และไปวาดภาพ ถ่ายรูป และก็คุยกันเป็นกิจวัตรที่ทั้งฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม่ผลิและฤดูร้อนจะกว่าจะหนาวหรือร้อนจัดจนทำไม่ได้

    คืนวันเสาร์คืนหนึ่งฝันไปว่า ตนเองอยู่ในเรือลำใหญ่ที่กำลังจะล่ม ผู้คนตื่นตระหนกกรีดร้องกันอย่างสยดสยอง บ้างก็กระโดดลงทะเลที่สีดำสนิท ท้องฟ้าก็ดำสนิทไม่มีแม้แต่แสงดาว พี่นักเขียนเดินไปบนดาดฟ้าเรือ มองเห็นเสากระโดงเรือไหม้ไฟแล้วโค่นลงในน้ำ จ้องมองแล้วตระหนักว่า กำลังมองดูวาระสุดท้ายของชีวิตที่เสมือนละครฉากสุดท้าย หรือ Grand Finale
    ถามตนเองว่า ความตายคืออะไร และเราจะทำอะไรได้อย่างดีที่สุดกับความตาย เมื่อคิดดังนั้น ก็พบว่าท่านอาจารย์อนาลัยปรากฏขึ้นตรงหน้า เป็นบุคลิกภาพของชายชราที่มีรูปกายสูงใหญ่ ก็ตรงเข้าไปหาท่านพร้อมกับความคิดว่า โชคดีเหลือเกินที่ครูบาอาจารย์ของเรามารับ พอเข้าใกล้ท่านก็เอามือขวาวางบนศีรษะเรา แล้วกล่าวว่า เมื่อเผชิญกับความตาย สิ่งที่เธอจะต้องทำและทำให้ดีที่สุดคือการขจัดความกลัว หากเธอตายไปพร้อมกับความกลัว เธอจะต้องอยู่กับความกลัวต่อไป เธอจะกลัวแม้กระทั่งขี้เถ้าอันเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากร่างกายเนื้อหนังของตนเอง

    เมื่อกล่าวจบ ท่านผายมือขวาออกแล้วเทฝ่ามือลงราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในฝ่ามือ แลเห็นเป็นขี้เถ้าร่วงลงพื้นไป แต่มันก็ร่วงไปเรื่อยๆไม่มีจบสิ้น จนกระทั่งแขน ลำตัว และรูปกายทั้งหมดของท่านก็ร่วงลงพื้นปลิวหายไปหมดด้วย

    พี่นักเขียนเข้าใจสิ่งที่ท่านสอนและคิดว่า โชคดีที่มีโอกาสได้เรียนรู้จากท่านทั้งยามตื่น ยามฝัน จนมาถึงวาระสุดท้ายก็ยังได้เรียนจากท่าน จึงเดินลงบันไดเรือ ลงไปในน้ำอย่างช้าๆ มองเห็นคนอื่นๆที่กรีดร้องแล้วอยากจะบอกเขาว่า เราทุกคนตัองมาถึงจุดนี้เหมือนกันหมด สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในขณะนี้คือ อยู่กับความสงบภายใน และเราจะไม่พบรอยต่อของความตายและการเกิดใหม่ ลงไปลอยคอในน้ำ ได้ยินเสียงผู้คนพยายามว่ายน้ำเอาชีวิตรอด ในความมืดนั้น แสงไฟจากเรือที่กำลังไหม้ไฟทำให้เกิดกองไฟสว่างโชติช่วง

    ร้องบอกใครๆว่า อย่าตกใจ อย่าพยายามดิ้นรนให้เหนื่อยเลย อยู่กับความสงบกันดีกว่าด้วยการนอนหงายลอยคอนิ่งๆในน้ำ มันไม่ได้น่ากลัวเลยที่จะตาย มีบางคนร้องถามกลับมาว่าทำอย่างไร ก็ทำให้เขาดู เขาก็ทำตาม

    จากนั้นพี่นักเขียนก็หายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง ถามตนเองว่าความตายมาถึงหรือยัง คิดแล้วก็รู้สึกถึงคลื่นที่โถมมาใส่ และคิดว่าลมหายใจคงจะหายไปในไม่ช้า พอคลื่นสงบ หายใจเข้าครั้งแรก มันเบาสบายยิ่งกว่าเดิม ก็ถามตนเองอีกว่า มาถึงรอยต่อของความตายแล้วหรือ คลื่นก็โถมซ้ำสอง หายใจเข้าอีกเป็นครั้งที่สอง ลมหายใจเบาสบายขึ้นไปอีก พอคลื่นโถมครั้งที่สาม ลมหายใจไม่มีแต่เท้ากับสัมผัสกับทรายนุ่มละเอียด เมื่อลืมตาขึ้นก็พบฟ้าใส น้ำใสสีฟ้าสดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ทรายเป็นสีทองสวยเหลือเกิน เมื่อเท้าแตะทรายก็เดินขึ้นฝั่งได้โดยง่าย

    พบคนกลุ่มหนึ่งโบกมือให้ข้ามสะพานไม้เพื่อขึ้นฝั่ง ถามตนเองว่า เราหมดภาระหรือยัง ก็รู้ว่ายัง จึงมองหาสามี เขายืนอยู่อีกปลายข้างหนึ่งของสะพาน เมื่อเห็นเขาก็ร้องว่า พ่อขา แม่ตายแล้ว แต่แม่จะกลับมา เพราะงานยังไม่เสร็จ

    ตื่นขึ้นเช้านั้นไม่ทันได้เล่าความฝันให้สามีฟังอย่างเคย ก็ไปทะเลสาบกัน คิดว่าจะเล่าเมื่อไปถึง ปรากฏว่าพอทานกลางวันเสร็จแล้วไปนั่งบนโต๊ะ picnic มองดูเรือใบและคุยกัน ไม่ทันจะเล่าความฝัน ปรากฏว่ารู้สึกเจ็บปลายที่นิ้วกลางข้างขวาอย่างสุดๆ บอกกับสามีว่า กลับเข้าเมืองด่วนก่อนที่จะหมดสติ ถูกตัวอะไรไม่ทราบกัด

    ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่าเป็นงูกัด เพราะรู้สึกถึงพิษที่แล่นจากปลายนิ้วขึ้นแขนขวาในชั่วพริบตา เอามือซ้ายรูดแหวนออกอย่างรวดเร็วเพราะรู้สึกได้ว่านิ้วบวมทันทีทันใดกลัวจะถอดแหวนไม่ออกหากชักช้า ก้าวเดินอย่างเร็วที่สุดไปขึ้นรถที่จอดอขู่ใกล้ๆ สามีก็รวบของโยนเข้ารถอย่างรวดเร็ว

    พอเข้าที่ไปนั่งในรถ รู้สึกทันทีว่าตัวเองหมดสติที่อยู่กับร่างกาย ความรู้สึกสุดท้ายคือรู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกขุมขน เอาจิตไปจดจ่อกับปุ่มบนหน้าปัดแอร์รถ เห็นตัวเลขวิ่งลงเพราะสามีปรับให้รถเย็นแล้วออกรถทันที ตัวเลขวิ่งลงจาก 90F 89F 88F วูบเดียวพบว่าความเจ็บทั้งหมดยังอยู่ แต่อยู่ข้างนอกตัวตน มันกองอยู่แยกไปจากสติสัมปชัญญะ ส่วนตัวตนและสติสัมปชัญญะไปอยู่ที่ปุ่มแอร์ มองเห็นตัวเองล้มไปกระแทกกับกระจกประตูรถ

    ได้ยินความคิดของสามีว่า โทรศัพท์มือถือของแม่อยู่ไหน ในกระเป๋ามียาอะไรบ้าง จะไปโรงพยาบาลไหนใกล้ที่สุด แต่ตอบเขาไม่ได้ ทันทีที่ได้ยินเขาคิดว่าจะไปโรงพยาบาลไหน

    หลุดวูบออกไปเดินอยู่ในโรงพยาบาลในเมืองที่ห่างไปประมาณ 30 นาที เดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดขาวบอกเขาว่า เราถูกสัตว์มีพิษกัดเอา แต่เขากลับหันมาหาแล้วมองผ่านทะลุตัวพี่นักเขียนไป แล้วเดินทะลุเราไปเลย เป็นความรู้สึกที่กระชากความรู้สึกอย่างแรง และคิดว่า เราได้ล่วงหน้ามาที่โรงพยาบาล แต่ร่างกายของเรากับสามียังอยู่ในรถ แค่คิดก็วูบกลับไปอยู่ที่ปุ่มแอร์อีก แล้ววมองดูสามีที่ขับรถเหยียบสุดๆ มองเห็นตนเองแล้วไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์อะไร แต่รู้ขึ้นมาว่า โรงพยาบาลที่เพิ่งแวะเข้าไปดูเมื่อกี้ไม่มี serum หรือยาถอนพิษ จิตพุ่งไปอีกโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปชั่วโมงครึ่ง ไปไม่ทันถึงก็รู้ตัวว่ามันไกลเกินไป ไม่ทันการ เปล่าประโยชน์ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดเวลานี้คือ รู้จักกับภาวะนี้ และคงอยู่กับมันด้วยสมาธิ

    กลับไปจดจ่อด้วยการจ้องดูสามีแล้วดลใจเขาว่า เอาเรากลับไปที่บ้าน อย่าไปโรงพยาบาล เราจ้องเขาเหมือนพยายามจะสะกดจิตเขา หรือแทบว่าบังคับเขาก็ว่าได้

    แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป รู้สึกตัวอีกที พบตัวเองนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องนั่งเล่นที่บ้านพัก ได้ยินเสียงลูกๆร้องไห้ ต่อว่าคุณพ่อว่าทำไมไม่เอาแม่ไปโรงพยาบาล คุณพ่อก็บอกว่า แม่ร้องสั่งพ่อก่อนจะหมดสติว่า เอาแม่กลับบ้านแล้วทุกอย่างจะ OK อย่าถูกตัว

    ระหว่างที่ได้ยิน รู้สึกว่าเราพุ่งออกไปไกลจนเสียงทุกคนหายไปหมด ไม่สงสารใคร ไม่ห่วงใคร แต่ห่วงหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น เป็นหน้าที่ที่ยังคั่งค้างด้วยร่างนี้ อยากจะไปเพราะรู้ว่าออกจากภาวะนั้นๆกล้บคืนร่างจะพบกับความเจ็บปวดที่ทำไม่ได้ รู้สึกถึงพิษที่อยู่ในไขกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจควบคุมได้ หากถอนออกจากภาวะนั้นๆ จะชักและขาดการควบคุมทั้งหมด ก็เฝ้าดูจนพิษที่อยู่ในไขกระดูก ขึ้นมาสู่กล้ามเนื้อ ก็ทรงอยู่ในสมาธิอีก รู้ว่าหากถอนออกจากสมาธิ แขนขาจะบิดจนผิดท่าและจะเจ็บปวดทรมาน ทรงอยู่กับสมาธิต่อไป ก็พบว่าพิษในกล้ามเนื้อขึ้นมาถึงผิวหนัง รู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ จากนั้นก็ร้อนเหมือนเตาเผา สลับไปมาอยู่นานเท่าไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่าต้องเฝ้าดูทั้งหมดนี้ไว้ แลเห็นท่านอาจารย์อนาลัยปรากฏท่ามกลางแสงสว่างจ้าสีฟ้าสด แล้วท่านก็บอกว่า อย่าห่วงเลย จะต้องกลับไปทำหน้าที่ ยังไปไม่ได้ ให้อดทนแล้วทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ฟังท่านแล้วก็อุ่นใจแล้ววูบเดียวก็ถอนออกมาจากสมาธิ

    ลืมตาขึ้น ทั้งพ่อลูกเข้ามากอด ความรักและสงสาร และความผูกพันธ์ที่ไม่รู้หายไปไหนหมดตลอดเวลาที่อยู่ในสมาธินั้น กลับมาหมด บอกกับทุกคนว่าสบายดี ขอไปหาต้นไม้ใหญ่ๆ และขอน้ำดื่ม

    ปรากฏว่า เวลาที่หายไปทั้งหมด 2ชั่วโมงครึ่ง ดื่มน้ำไปสามขวดลิตร หายหมด สามีรีบพาไปหาหมอ และบอกว่าพี่นักเขียนสั่งเขาเสียงดังฟังชัดว่า ห้ามเอาไปโรงพยาบาลเด็ดขาดเพราะจะต้องตาย กลับบ้านอย่าถูกตัวจะรอด

    เขาโกรธตัวเอง แต่เขาบอกว่าบางสิ่งบางอย่างดลใจให้ทำตามนั้นอย่างฝืนไม่ได้ พี่นักเขียนบอกกับลูกและสามีว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นเรืองบังเอิญ คุณพ่อทำถูกและทำได้ดีที่สุดแล้ว

    ไปหาหมอ ให้หมอดูรอยกัด เล่าอาการและประสบการณ์ให้ฟัง ปรากฏว่า หมอฟังไปอ้าปากค้างตาไม่กระพริบ แล้วบอกว่า อาการทั้งหมดที่พี่นักเขียนเล่ามานี้ คืออาการของคนที่ถูกแมลงมุมมีพิษกัด ซึ่งหากไปถึงจุดที่พิษเข้าในไขกระดูกแล้ว โอกาสรอดไม่มี เพราะพิษจะทำลายกล้ามเนื้อและระบบประสาท จากนั้นก็จะขึ้นมาสู่ผิวหนัง เมื่อบุคคลผู้นั้นถึงแก่ความตายแล้ว

    หมอบอกว่าพี่นักเขียนเป็นคนไข้รายแรกที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้วมาเล่าให้หมอฟังได้ หมอจับไปx-rayเพื่อหาว่า พิษทั้งหมดไปคั่งหรือตกค้างอยู่ในสมองหรือไม่

    ก็พบรอยคั่งอยู่ค่อนไปด้านหลังของศีรษะ หมอให้รอดูอาการหนึ่งวัน หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอาจตัองผ่าตัด

    ปรากฏว่าค่ำวันนั้นกลุ่มเพื่อนๆมาตามนัดปกติมานั่งสมาธิที่บ้าน ขณะที่นั้งรู้สุกว่าจิตพุ่งไปจดจ่อตรงศีรษะและรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรง แล้วก็หายเป็นปลิดทิ้ง พอถอนออกมา บาทหลวงท่านหนึ่งบอกว่า พบเลือดคั่งในสมองเลยเอาจิตไปจดจ่อและละลายออกให้ พี่นักเขียนกับสามีมองตากันแล้วเลยเล่าให้เพิ่อนๆฟัง

    ค่ะ เล่ามายืดยาวเพี่ยงเพื่อจะตอบว่า เมื่ออยู่ในภาวะใกล้ตาย เป็นภาวะที่ปราศจากสัมพันธภาพและความผูกพันธ์แบบที่เคยมี มีแต่เพียงความระแวดระวัง และตัวรู้ มีอารมณ์ที่ผูกพันธ์แต่กับหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียว ไม่สงสารใคร เพราะตระหนักว่า ทุกคนมีหนทางของตนเอง เรามาทำหน้าที่ส่วนของเราร่วมกันกับเขา เมื่อถึงเวลาก็แยกย้ายกันไป

    แทบจะไม่อยากบอกลูกกับสามีว่าเรารู้สึกเช่นนั้น แต่ในที่สุดก็คิดว่าเป็นความรู้ที่ต้องบอกให้เขาเข้าใจว่า ชีวิตกับความตายเป็นสิ่งที่ปราศจากรอยต่อ บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่ง พี่นักเขียนได้ตายไปแล้วในขณะที่ลูกๆร้องไห้และต่อว่าคุณพ่อของเขา อีกเส้นทางหนึ่งสามีได้พาเราไปโรงพยาบาลแห่งแรกแล้วไม่ได้ยาถอนพิษ ต้องลำบากเอาเราไปกับรถพยาบาลไปโรงพยาบาลแห่งที่สอง แต่ก็ไปไม่ทัน เราเสียชีวิตกลางทาง

    ภาพทั้งหมดปรากฏแว้บขึ้นเหมือนภาพยนต์ที่ฉายขึ้นหลายๆเส้นทางพร้อมกันหมด แต่เราก็เลือกเส้นทางนี้ ก้าวล่วงไปสู่ชีวิตบนเส้นทางใหม่ที่เราปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อทำงานให้เสร็จ

    รุ่งขึ้นไปตรวจซ้ำ เลือดที่คั่งหายไปโดยปราศจากร่องรอย

    หลังจากนั้นไม่กี่เดือน พี่นักเขียนก็ลุกขึ้นวาดภาพระบายสี และได้ทักษะที่ไม่เคยมีอื่นๆมาจากความฝัน และลงมือเขียนหนังสือชุดนี้ด้วยการจดฝัน และติดต่อสื่อสารกับท่านอาจารย์อนาลัยอย่างสม่ำเสมอ

    ชีวิตและความตายปราศจากรอยต่อ

    จิตวิญญาณเป็นอมตะและดำเนินต่อไปด้วยความปรารถนา ความปรารถเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตวิญญาณเป็นอมตะ

    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ
     
  18. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    "เมื่ออยู่ในภาวะใกล้ตาย เป็นภาวะที่ปราศจากสัมพันธภาพและความผูกพันธ์แบบที่เคยมี มีแต่เพียงความระแวดระวัง และตัวรู้ มีอารมณ์ที่ผูกพันธ์แต่กับหน้าที่แต่เพียงอย่างเดียว ไม่สงสารใคร เพราะตระหนักว่า ทุกคนมีหนทางของตนเอง เรามาทำหน้าที่ส่วนของเราร่วมกันกับเขา เมื่อถึงเวลาก็แยกย้ายกันไป"
    แก้วขอบคุณมากค่ะ กระจ่างเข้าใจหายสงสัย เป็นอย่างนี้เองที่ท่านอาจารย์สอน
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ



     
  19. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    อ่านแล้วน่าอัศจรรย์มากเลย ที่รอดตายมาได้
    เรื่อง Embraced by the light ก็เคยอ่านมาเหมือนกัน หลังจากที่เค้าตายไป ก็เจอเรื่องต่างๆ ในโลกวิญญาณ ทำให้ตัวคนเขียนเองรู้ว่า แม้ว่าคนที่เกิดมาพิกลพิการนั้น บางคนก็ตั้งใจที่จะมาเกิดอยู่ในรูปลักษณ์นั้นเอง เพื่อเรียนรู้ เพื่อสอนคนอื่น เพื่อเป็นผู้รับเผื่อว่าคนอื่นจะได้เป็นผู้ให้บ้าง
    (ประมาณนี้)
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    รอดจากความตายได้อย่างน่าทึ่งจริงๆครับ โดนแมงมุมพิษกัดอาการหนักแต่ยังมีสติ..จนกลับไปรู้เห็นทางเลือกที่เกิดขึ้นในอนาคต..ส่งจิตบอกให้แฟนรีบขับรถกลับบ้าน ข้ามพ้นจากความกลัวได้ และเอาความรู้สึกนึกคิดไปจดจ่อสร้างความจริงในทิศทางใหม่ได้สำเร็จอีกด้วย อ่านแล้วเข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ เป็นเรื่องเตือนสติได้ดีมากๆ ขอบพระคุณครับ เกือบไม่ได้อ่านหนังสืออาจารย์อนาลัยแล้วเชียว

    เหตุการณ์นี้อ่านแล้วต้องลุ้นเอาใจช่วยไปด้วยครับ โชคดีจริงๆที่ผ่านมาได้ ว่าแต่พี่ทำได้ยังไงครับที่ไม่ไปโรงพยาบาล แต่กลับรักษาพิษด้วยการใช้กำลังของจิตตามดู..ช่วยขยายความอีกหน่อยนะครับ จุดนี้ก็น่าเรียนรู้ไว้นะครับ

    (bb-flower(bb-flower(bb-flower
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...