สวัสดีค่ะ..

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย january2555, 5 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ความคิดสูงสุดแฝงความเบิกบานเสมอ

    ;aa35
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ความคิดที่เบิกบาน คำพูดที่กระจ่าง และความรู้สึกเมตตา
     
  3. nuzmul

    nuzmul Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +57
    การไม่คิด อะไร

    เพราะเมื่อ สัมผัสทางอายตนะ แล้ว บังเกิดความคิด

    นั่นคือ การเอาไฟ ไปต่อเทียน เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

    ครับ
     
  4. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
    เบิกบานจิต ก็เพราะเสพย์เสวยอารมณ์จากกุศลจิต
    เสพย์เสวยอารมณ์ ก็เพราะว่ารู้ความหมาย
    รู้ความหมาย ก็เพราะตรึกนึก คิด จดจำ
    ตรึกนึก คิด จดจำ ก็เพราะกระทบใจ
    กระทบใจ ก็เพราะมีประตูรับรู้
    เมื่อรู้สักแต่ว่ารู้ สภาพคิดจะดับไป
    ความตรึกนึกคิดดับไป ความเบิกบานจึงเกิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 สิงหาคม 2012
  5. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    จากการที่เราได้อ่านมา เขาบอกว่าความคิดมีพลังสร้างสรรค์ ถ้าเราคิดเรื่องอะไรบ่อยๆ มันก็จะเป็นจริงตามนั้น แล้วประโยคที่ว่า "ความคิดสูงสุดแฝงความเบิกบานเสมอ"

    ก็เป็นเรื่องที่ต้องฝึกควบคุมความคิด เป็นนายเหนือความคิด เป็นเรื่องของวินัยและความมุ่งมั่น

    ยกตัวอย่างเช่น เวลา ไปดูเด็กๆ เล่นเก็ตน้ำแข็ง เราอาจจะเบิกบานยินดีไปกับเสียงเพลงและเพลิดเพลินเหมือนเป็นเราไปเล่นอยู่ก็ได้ หรือถ้าเราคิดแบบแบ่งแยกก็อาจจะไม่เบิกบาน เช่นคิดว่าทำไมเราถึงไม่มีโอกาสเช่นนั้น เกิดความอยากแบบไม่มีเหตุผล (คงเหมือนสติมาปัญญาก็เกิด)

    ก็ต้องพยายามแยกแยะอยู่เสมอว่า อะไรสูงส่งที่สุด ชัดแจ้งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด "ความเบิกบาน ความจริง ความเมตตา"

    การไม่คิดอะไรได้ก็คงดีที่สุด คือหยุดปรุงแต่งเห็นตามจริง (ยังทำไม่ได้..??..)

    จิตที่เสวยอารมณ์คงเหมือนเด็กที่ติดขนมหวาน หรือของเล่น เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องให้ ผิดหวัง สมหวัง ดีใจ เสียใจ สลับไปมา ไม่คงที่น่ะ เราจึงต้องมารักษาจิต ตามดูจิตกัน เอวัง..(อาจมั่วเล็กน้อย..)
     
  6. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ความคิดมีพลังสร้างสรรค์ แต่ตัวที่มีพลังสร้างสรรค์จริงๆ คือความคิดสนับสนุน
    มันอยู่ในส่วนลึกที่สุดตกตะกอนนอนก้นอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของจิตไร้สำนึก ถ้าความ
    คิดของเราขัดกันกับความคิดสนับสนุนนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เกิดผลน้อย จึงต้อง
    จัดการกับความคิดสนับสุนหลักตัวนี้ก่อน
     
  7. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    แล้วต้องใช้วิธีไหนจัดการกับความคิดสนับสนุนนั้น .. คุณbluebaby2
     
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เวลาที่เรามีความทุกข์ ความขัดใจ ความน้อยใจ ความท้อแท้สิ้นหวัง มันเป็นช่วง
    เวลาที่ความคิดสนับสนุนหลักที่ตกตะกอนอยู่จะขึ้นมาที่ผิวหน้า ถ้าเราอยู่กับมัน
    ด้วยความนิ่งอย่างที่สุด ไม่หลบหนี เป็นแต่เพียงผู้สังเกต มีสติแล้วปัญญาก็จะ
    เกิดขึ้น รู้พร้อมกันทั้งหมด มันจะมีแต่รู้แล้วเข้าไปในจิต เรียบเรียงไม่ถูก เกิด
    ความโล่งสบายใจ นั่นคือเรากลั่นความคิดสนับสนุนนั้นออกไปแล้ว
     
  9. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
    - จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว จิตจดจ่ออยู่สิ่งใด กำลังของจิตย่อมมีแก่สิ่งนั้นมาก
    - ความเบิกบาน ตรึงอยู่ที่ความพอใจยินดีฝ่ายกุศล
    - ความพอใจยินดีฝ่ายกุศล ตรึงอยู่ที่ความปิติสุข
    - ความปิติสุข ตรึงอยู่เมื่อจิตเบาบางผ่องใส
    - ความเบาบางผ่องใส่ ตรึงอยู่เมื่อจิตสงบ
    - จิตสงบไม่ได้เว้นว่างจากความคิด แต่จิตนี้เกิดเมื่อมีความปรุงแต่งสภาพจิตเป็นกุศลจิต
    - ศีล ทาน พรหมวิหาร๔ เกิดเมื่อมีกุศลจิต
    - แยกจิตที่เป็นกุศล และ อกุศล ก็จะรู้สภาพความปรุงแต่งที่เกิดเป็นประจำหรือเกิดเป็นอันมากแก่ตน
    - เห็นตามจริงได้ต้องรู้ปรมัตถธรรม
    - เห็นปรมัตถธรรมเป็นประจำ จะแยกขาด รูป-นาม

    ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "จิต"
    ธรรมชาติใดย่อมน้อมไปหาอารมณ์ ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "มโน"
    จิตที่รวบรวมอารมณ์ไว้ภายในนั่นแหละชื่อว่า "หทัย"
    ธรรมชาติฉันทะ คือความพอใจที่มีอยู่ในใจนั้นชื่อว่า "มนัส"
    จิตเป็นธรรมชาตฺที่ผ่องใส จึงชื่อว่า "ปัณฑระ"
    มนะที่เป็นอายตนะ คือเครื่องต่อ จึงชื่อว่า "มนายตนะ"
    มนะที่เป็นอินทรีย์ คือครองความเป็นใหญ่ จึงชื่อว่า "มนินทรีย์"
    ธรรมชาติใดที่รู้อารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า "วิญญาณ"
    วิญญาณที่เป็นขันธ์ จึงชื่อว่า "วิญญาณขันธ์"
    มนะที่เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่รู้อารมณ์ จึงชื่อว่า "มโนวิญญาณธาตุ"

    ทั้งหมดนี้ชื่อว่า จิต
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ถาม : เคยอ่านที่พระอาจารย์บอกว่า การทำบุญในปัจจุบัน เราจะไม่ได้ผลในชาตินี้ นอกจากทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นสิบปี แล้วทำไมการทำแท้งจึงให้ผลชาตินี้ครับ ?

    ตอบ :
    โยมทำบุญแล้วเคยนึกถึงบุญที่ทำบ้างไหม ? แต่ คนทำแท้งนั้นตอกย้ำตัวเองทุกวินาทีว่าเขาทำความชั่ว ในเมื่อเขามุ่งใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ตรงดิ่งอย่างเดียวเลย ผลกรรมจึงเกิดเร็ว แต่เราเองทำบุญมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้อยครั้งที่เราจะนึกว่าทำอะไรไปบ้าง

    เพราะฉะนั้น.. ถ้าโยมต้องการที่จะให้ผลบุญนั้นส่งผลอย่างรวดเร็วในชาตินี้ เราก็ต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับผลบุญนั้น
    ก่อน จะทำก็มีความปีติยินดีว่าเราจะได้ทำ กำลังทำก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำ เมื่อทำได้แล้วนึกถึงเมื่อไรก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำบุญนั้นแล้ว ถ้าสามารถรักษากำลังต่อเนื่องอย่างนี้ได้ตลอดเวลาผลก็จะเกิดเร็วเหมือนกัน

    เมื่อวานมีพระมาทำบุญ ท่านบอกว่า "ทำบุญอุทิศให้ลูก ผมฆ่าลูก" อาตมาถามว่าไปฆ่าอีท่าไหน ? ท่านบอกว่า “ทำแท้งครับ” นั่นขนาดผู้ชายใจยังจดจ่ออยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าคนที่ทำเป็นผู้หญิงเขาจะรู้สึกอย่างไร ? เลือดในอกของตัวเองโดนคว้านทิ้งไปอย่างนั้น จะเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาหาย กระทบแล้วเจ็บอยู่ตลอดเวลา

    ใจที่จดจ่ออยู่ตลอดเวลา
    มโนมยา ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ในเมื่อคุณไปคิดอยู่ว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดี ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอดแล้วผลจะไปดีได้อย่างไร ถึงเวลาสิ่งนั้นก็สนองเร็วมาก เพราะว่าเราไปตอกย้ำเพิ่มโทษให้อยู่ตลอดเวลา



    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕
     
  11. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    เพียงผลิใบเพื่อร่วงไปในวันหนึ่ง
    เพียงสุขซึ้งเพื่อเสียใจในภายหลัง
    เพียงสัมผัสอยู่กับสิ่งไม่จีรัง
    เพียงดั่งสร้างปราสาททรายในสายลม
    (จาก บทความ The Way to Nibbana)

    สวัสดี ยามเย็นค่ะ เจอบทกลอนที่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้พอดีเลย ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างรวดเร็ว ฝนมักจะตกเวลาที่คนเดินทางกลับบ้าน

    พระพุทธเจ้าตรัสเตือนไว้ว่า "บุคคลเมื่อถึงคราวตาย ไม่ว่าใครก็ต้านทานไว้ไม่ได้ บัณฑิตผู้สำรวมในศีลเมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว พึงเร่ารีบชำระทางอันจะนำไปสู่นิพพาน"

    เราทุกคนเกิดมาด้วยธาตุทั้งสี่ และร่างกายต้องสลายกลับไปสู่ธาตุกำเนิดเดิม นั่นคือบทสรุปสุดท้ายของตัวตน ชีวิตคือกระบวนการของการพลัดพรากจากสิ่งที่รักไปเรื่อยๆ เพื่อสอนให้เราเรียนรู้ที่จะยอมรับการจำพรากครั้งสุดท้าย นั่นคือชีวิตของเราเอง ชีวิตทุกคนล้วนเปราะบาง ไม่คงทนและเสื่อมสลาย แต่ในขณะเดียวกันจิตใจเราก็อิ่มเอมได้ด้วยธรรมะที่หล่อเลี้ยงจิตใจ และบันเทิงอยู่ได้ในปัจจุบัน เฉกเช่นเด็กที่เล่นกองทรายบนชายหาด
     
  12. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ขออนุโมทนาครับท่าน January..


    ขออนุญาตลงบทกลอนและถ้อยความเตือนใจจากพระพุทธพจน์ดังนี้ครับ..


    บทกลอนเตือนสติ
    เห็นหน้ากันเมื่อเช้า สายตาย
    สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย
    บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับ ชีพนา
    เย็นเห็นหยอกลูกด้วย ค่ำม้วย อาสัญ




    มีพระคาถาบทหนึ่งใน ขุททกนิกาย ทสรถชาดก กล่าว่า
    "ทหรา จ หิ เย วุฑฺฒา เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา
    อทฺธา เจว ทลิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปราายนา"
    ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนโง่และคนฉลาด
    ทั้งคนจนและคนรวย ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งสิ้น..



     
  13. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    หัดวาง หัดปลง ขันธ์๕

    พยายามฝึกปัญญาให้เหลมคม ตัดรากของกิเลสให้ขาด

    มิตรภาพ ความรัก ความคิดถึง

    ทำจิตใจให้เบิกบาน ผ่องใส ใจสงบ ใช้ปัญญา

    การเลือกที่สูงส่งที่สุดคือการเลือกที่นำมาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดต่อตัวเอง

    ความลี้ลับจะกระจ่างฉับพลันเมื่อเราตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด

    วงวัฏฏะครบรอบสมบูรณ์ในตัวเอง สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอกลายเป็น

    สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่นด้วย

    (ไม่ได้คิดเองหรอก มาจากที่อ่าน, ฟัง ...)
     
  14. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    เพื่อนๆเคยสังเกตไหมครับว่า พระอริยสงฆ์ที่เราเคารพนับถือหลายๆรูป ท่านจะมีบางสิ่งที่ดูคล้ายๆกันคือ รอยยิ้มและแววตาที่บริสุทธิ์...เหมือนเด็กๆครับ เป็นรอยยิ้มแบบที่เรียกว่ายิ้มจากใจจริงๆ ทำให้ผู้ที่ได้ใกล้ชิดและพบเห็นเกิดความปีติเบิกบานไปด้วย แบบนี้รึเปล่าครับที่เรียกว่ากระแสแห่งเมตตา.. แม้แต่หลวงปู่มั่นพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนาที่ใครๆร่ำลือว่า ท่านเข้มงวดและดุดันดั่งสายฟ้าฟาดทีเดียวเวลาเทศนากำราบกิเลสสั่งสอนศิษย์ ถ้าสังเกตในภาพถ่ายของท่านเห็นสีหน้าท่านเข้มงวดจริงจัง.. แต่แววตาท่านแจ่มใสเบิกบานดูเหมือนท่านกำลังยิ้มอยู่ทีเดียวครับ... อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ผิดถูกยังไงยินดีน้อมรับฟัง

    พุทธ
    ผู้รู้ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์
    ผู้ตื่น จากอวิชชาคือกองกิเลส
    ผู้เบิกบาน บริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรม

    อย่างนี้เรียกสูงสุดสู่สามัญได้รึเปล่าครับ

    ;aa10
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2012
  15. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
     
  16. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เวลาเทวดามาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ท่านหัวหน้าเทวดากราบเรียนถวาย
    เล่าให้หลวงปู่มั่นฟังว่า
    “ท่านมาพักอยู่ที่นี่ทำให้เทวดาสบายใจไปทั่วกัน เทวดามีความสุขมาก
    ผิดปกติเพราะกระแสเมตตาธรรมท่านแผ่กระจายครอบท้องฟ้าอากาศ
    และแผ่นดินไปหมดกระแสเมตตาธรรมท่านเป็นกระแสที่บอกไม่ถูก
    และอัศจรรย์มาก ไม่มีอะไรเหมือนเลย ฉะนั้น ท่านพักอยู่ที่ไหน
    พวกเทวดาต้องทราบกันจากกระแสธรรมที่แผ่ออกจากท่านทุกทิศ
    ทุกทาง แม้เวลาท่านแสดงธรรมแก่พระเณรและประชาชน กระแส
    เสียงท่านก็สะเทือนไปหมดทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ไม่มีขอบเขต
    ใครอยู่ที่ไหนก็ได้เห็นได้ยิน นอกจากคนตายแล้วเท่านั้นจะไม่ได้ยิน”
     
  17. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    ขออนุญาตลงรูปที่เซฟมาจากที่ต่างๆนะครับ เพื่อความเป็นสิริมงคล :d
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2012
  18. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    พุทธ
    ผู้รู้ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์
    ผู้ตื่น จากอวิชชาคือกองกิเลส
    ผู้เบิกบาน บริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรม

    เมื่อรู้แล้วจึงตื่น เมื่อตื่นแล้วจึงเบิกบาน เมื่อเบิกบานถึงที่สุดแล้วจึงกลับสู่สามัญคือความเป็นธรรมดา เป็นความว่างจากความมีและไม่มี
     
  19. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ"
     
  20. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    วันนี้มีเรื่องการเปลี่ยนวิธีคิดที่น่าสนใจ(จากหนังสือ)มาให้ลองอ่านกันค่ะ

    ผมจะเปลี่ยนวิธีคิดได้ยังไง วิธีที่ผมคิดเกี่ยวกับสิ่งใดก็คือวิธีที่ผมคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น ทัศนคติของผม มโนคติต่างๆ ไม่ได้สร้างขึ้นภายในหนึ่งนาทีนะครับ มันเป็นผลจากประสบการณ์นานปี ใช้เวลาทั้งชีวิตหล่อหลอมขึ้นมา...

    วิธีสร้างสรรค์ตามปกติของคนส่วนใหญ่คือขบวนการสามขั้น คือ ความคิด ถ้อยคำ และการกระทำ

    สิ่งที่มาเป็นอันดับแรกคือความคิด มโนคติตั้งต้น แนวคิดแรกเริ่ม ต่อมาคือถ้อยคำ ความคิดส่วนใหญ่จะผันตัวเองมาเป็นถ้อยคำ ซึ่งมักจะออกมาเป็นคำพูด นี่คือการเพิ่มพลังให้ความคิด ด้วยการผันออกสู่โลกให้เป็นที่รับรู้จากผู้อื่น สุดท้าย ในบางกรณีถ้อยคำจะกลายเป็นการกระทำ ซึ่งเป็นผลลัพท์ของสิ่งที่เริ่มต้นจากความคิด

    ทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจะปรากฎเป็นรูปเป็นร่างด้วยวิธีนี้ โดยอาศัยการสร้างสรรค์จากทั้งสามระดับ

    แต่ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนความคิดสนับสนุนได้อย่างไร

    วิธีที่เร็วที่สุดในการถอนรากความคิด คือ ให้กลับ กระบวนการความคิด ถ้อยคำ การกระทำ

    จงทำสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดใหม่ที่เธอต้องการจะมี จากนั้นให้พูดถ้อยคำที่สอดคล้องกับความคิดใหม่ที่เธอต้องการจะมี ถ้าทำอย่างนี้มากพอเธอจะฝึกจิตใจให้คิดแบบใหม่ได้
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...